X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหยกเร้นชะตา

ทดลองอ่าน หยกเร้นชะตา บทที่ 4.1-4.2

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 4.1 ชี้แนะส่วนตัว

“ยืดหลังตรง เชิดหน้าขึ้น อย่าก้มหน้า”

ฉู่จิ่นเหยาทำตามคำชี้แนะของฉินอี๋ ฝึกหัดท่าทางยามคารวะอย่างเก้ๆ กังๆ ฉู่จิ่นเหยาคิดในใจว่าฟังจากคำพูดคำจา ภูตอย่างฉีเจ๋อดูเหมือนนิสัยไม่ค่อยดี คิดไม่ถึงว่ายามสอนคนจะอดทนไม่น้อย นางทำผิดตรงที่ใด เขาก็จะค่อยๆ แก้ให้ทีละนิดโดยมิได้ด่าทอ

“อย่าโงนเงน”

“ข้าก็ไม่ได้อยากโงนเงน” ฉู่จิ่นเหยาพูดอย่างยากลำบาก “แต่ข้าควบคุมไม่ได้”

ฉินอี๋นับว่าพอใจต่อ ‘ศิษย์’ ที่มีวาสนาได้รับการชี้แนะจากตนเองผู้นี้ แม้กิริยาของฉู่จิ่นเหยาจะงุ่มง่าม แต่อดทนต่อความยากลำบากได้ดี เขาบอกก็แก้ไขทันที เก่งกว่าสตรีช่างพูดพวกนั้นในวังมากนัก ฉินอี๋จึงกล่าวขึ้น

“เหนื่อยแล้วก็พักสักครู่แล้วกัน”

บนหน้าผากฉู่จิ่นเหยาแทบจะมีเหงื่อผุดออกมาแล้ว แต่นางยังคงส่ายหน้า “ไม่ได้ ข้าเพิ่งจะทำท่านี้ถูก หากพักประเดี๋ยวท่านต้องมาคอยแก้ไขให้ข้าอีก ข้าทำท่านี้ค้างไว้อีกสักพัก รอข้าจำได้แล้วก็ดีขึ้นเอง”

ฉินอี๋ได้ยินวาจานี้แล้วก็มองฉู่จิ่นเหยาสูงขึ้นกว่าเดิม คิดไม่ถึงว่านางจะเป็นคนที่อดทนทรหดปานนี้ คุณหนูชั้นสูงทั่วไปมีใครยอมให้ตนเองลำบากเช่นนี้บ้าง

เมื่อฉู่จิ่นเหยาแน่ใจว่าจำได้แล้ว นางถึงกับล้มฟุบลงกับพื้น รีบทุบน่องของตนเองทันที “เมื่อยเหลือเกิน”

ฉินอี๋ตั้งใจจะบอกให้ฉู่จิ่นเหยาอย่านั่งกับพื้น อย่าเผยขาออกนอกกระโปรง เรื่องนี้สำคัญกว่าทำท่าคารวะไม่ถูกต้อง แต่พอเหลือบมองริมฝีปากสีซีดของนางคราหนึ่ง สุดท้ายเขาก็ไม่พูดอะไร

ฉู่จิ่นเหยาพักเสร็จเรียบร้อยก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “พวกเราฝึกกันต่อเถิด”

“ได้” ฉินอี๋มองร่างที่โงนเงนจวนจะล้มของฉู่จิ่นเหยาก็เอ่ยปากบอกเรียบๆ “ข้าสอนท่านั่งให้เจ้าแล้วกัน ตอนนี้ไปนั่งบนม้านั่ง วางขาชิดกันให้ดี”

“ได้” ฉู่จิ่นเหยารีบไปนั่งลงบนม้านั่งกลม บนม้านั่งมีเบาะแพรเย็บติดอยู่ นั่งแล้วสบายยิ่ง ขาที่สั่นน้อยๆ ของนางดีขึ้นมากแล้ว นางรออยู่ครู่หนึ่งก็ถามอย่างอดรนทนไม่ไหว “ต่อไปเล่า”

ฉินอี๋อยากจะถอนหายใจ ดูท่าทางทึ่มทื่อของนางเถิด เขาทำได้เพียงบอกว่า “ยามคารวะ นอกจากยอบกายแล้วจะพูดอะไรก็ต้องมีพิธีรีตอง คนต่างกันวาจาย่อมต่างกัน ต่อให้เป็นคนคนเดียวกัน หากช่วงเวลาแตกต่างกัน คำอวยพรก็ต้องไม่เหมือนกัน”

ฉู่จิ่นเหยาพยักหน้ารับคำสอน ฉินอี๋ก็กล่าวต่อไปอีก

“เจ้าเป็นสตรี มารยาทที่เจ้าพึงมีอันที่จริงง่ายดายเหลือเกิน หากเป็นญาติผู้ใหญ่ เจ้าเผลอทำผิดไปก็ไม่เป็นไร พูดเอาใจพวกเขาสักนิดก็ผ่านไปได้แล้ว ยิ่งเจ้าอยู่ที่ซานซี นอกจากสกุลฉู่ก็มีตระกูลใหญ่ๆ ไม่กี่ตระกูล หากเจ้าไม่ได้ไปล่วงเกินใครก็ไม่มีใครกล้ามาล่วงเกินเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกริ่งเกรงถึงเพียงนี้ ถัดจากญาติผู้ใหญ่ลงมา คนรุ่นเดียวกันไม่ต้องไปสนใจ ปล่อยให้พวกเขาคารวะเจ้าไป เป็นพวกบ่าวไพร่เสียอีกที่เจ้าต้องระวังไว้หน่อย”

ฉู่จิ่นเหยารู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้อง อะไรคือคนรุ่นเดียวกันไม่ต้องไปสนใจ ต่อให้เป็นพี่สาวน้องสาวรุ่นเดียวกันคารวะนาง นางยังไม่กล้ารับ ทว่าเขาอุตส่าห์หวังดีอธิบาย ฉู่จิ่นเหยาก็มิได้ขัดอย่างคนไม่รู้กาลเทศะ แต่กลับขอคำชี้แนะอย่างถ่อมตน

“เหตุใดต้องระวังบ่าวไพร่ด้วยเล่า”

“ชนชั้นล่างพึงควบคุม เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะทำทุกอย่างด้วยตนเอง ดูคนออก ใช้คนเป็น กำราบผู้คนได้ก็แสร้งทำเป็นหูหนวกอย่างเหมาะสมได้ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งสำคัญที่สุดในวัง…ในจวน เป็นต้นว่าสาวใช้ที่เปิดม่านให้เจ้าที่เรือนมารดาเจ้าวันนี้ นางตั้งใจอบรมบ่าวแทนเจ้า แสดงว่าคนผู้นี้ดึงมาเป็นพวกได้ มิฉะนั้นเรื่องที่เปลืองแรงโดยเปล่าประโยชน์อย่างการสอดมือเข้าไปอบรมสาวใช้ของผู้อื่นเช่นนี้ใครจะยอมทำ ทั้งยังมีหมัวมัวชราผู้นั้น นางจะต้องรู้สึกผิดต่อเจ้าอยู่แน่นอน ในเวลาที่เหมาะสมเจ้าสามารถใช้ประโยชน์จากนางได้”

ฉู่จิ่นเหยาตกใจจนอึ้งงันไป “วันนี้ท่านตามข้าออกไปวันเดียวถึงกับมองทะลุหลายเรื่องปานนี้เชียวหรือ”

“แค่ดูคนไฉนเลยจะต้องใช้เวลาทั้งวัน” ฉินอี๋กล่าวเตือนอย่างไม่ชอบใจ “ตั้งใจฟัง อย่าขัดจังหวะ”

“อ้อ” ฉู่จิ่นเหยารีบนั่งสงบเสงี่ยม นางนับว่าได้เปิดหูเปิดตาเพิ่มขึ้นแล้ว ภูตหยกที่เพิ่งกลายเป็นภูตอย่างฉีเจ๋อผู้นี้ถึงกับเข้าใจการปฏิบัติตนในสังคมและธรรมชาติของมนุษย์มากกว่านาง ฉู่จิ่นเหยาทอดถอนใจพลางคิดว่าได้เห็นเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว บางทีภูตหยกของนางอาจจะฉลาดเป็นพิเศษก็เป็นได้ ฉู่จิ่นเหยาจึงเอ่ยถามอีก “ท่านบอกว่าสามารถใช้ประโยชน์จากจางหมัวมัวได้ นี่…หมายความว่าอย่างไร”

“เจ้ารู้จักร้องไห้ต่อหน้าข้า แต่เหตุใดถึงเลอะเลือนกับจุดนี้” ฉินอี๋กล่าวอย่างเย็นชา “ไปร้องไห้ทำตัวน่าสงสารกับนางเสีย นางเป็นหมัวมัวชราในเรือนใน ทั้งยังรู้สึกผิดต่อเจ้า นางขยับมือเพียงครั้งเดียวก็ทำให้เจ้ามีชีวิตที่ดีขึ้นมากได้ เป็นต้นว่าจัดการกับสาวใช้สองคนในเรือนเจ้า”

“ท่านหมายถึงซานฉาหรือ”

ฉินอี๋หัวเราะเบาๆ “ไม่โง่นี่ อย่างน้อยก็ยังพอฟังเข้าใจบ้าง”

ฉู่จิ่นเหยาเองก็อมยิ้ม ได้รับคำชมจากฉีเจ๋อมิใช่เรื่องง่าย นางยิ้มเสร็จก็ถอนหายใจ “ในหมู่บ้านข้าเคยเห็นพวกที่ใช้เล่ห์กลปัดความรับผิดชอบมามาก ซานฉายังปิดบังไม่เก่งเท่าท่านป้าข้างเรือนข้า อย่างเช่นวันนี้หากมิใช่ข้าให้ติงเซียงนำผ้าแพรอวิ๋นจิ่นไปเก็บแล้วลั่นกุญแจไว้ ซานฉาจะต้องตัดชุดแทนข้าโดยอาศัยว่าข้าไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างแน่นอน แล้วก็ไม่แน่ว่าจะลอบลักผ้าแพรของข้าไปมากน้อยเพียงไร ทว่าติงเซียงกลับซื่อตรง อันที่จริงเก็บนางไว้ก็มิเป็นไร”

“อืม” ฉินอี๋ตอบรับเบาๆ คำหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับความเห็นของฉู่จิ่นเหยา จากนั้นเขาก็เสริมอีกว่า “เจ้าเห็นแก่เงินไม่ใช่เล่น”

หลังพูดจบฉินอี๋ก็ตกตะลึงอยู่บ้าง เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งพูดหยอกล้อกับผู้อื่น มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง

“มิใช่ว่าข้าเห็นแก่เงิน แต่ผ้าแพรอวิ๋นจิ่นพับหนึ่งมีราคาตั้งเท่าไร คุณหนูใหญ่กับคุณหนูสี่เห็นแล้วยังต้องยิ้ม พวกนางเคยใช้ของดีมาไม่น้อย ของที่อยู่ในสายตาพวกนางได้ ข้ามิใช่ต้องคอยดูให้ดีหรืออย่างไร” ฉู่จิ่นเหยาพูดกลั้วหัวเราะโดยไม่สังเกตเห็นอาการผิดปกติของฉีเจ๋อ

ในใจฉินอี๋รู้สึกซับซ้อนยิ่ง แต่พอได้ยินคำตอบของฉู่จิ่นเหยา เขาก็ไม่คิดแล้วว่าวันนี้ตนเองเป็นอะไร เพียงถามกลับไป

“เจ้าชอบผ้าแพรอวิ๋นจิ่นมากหรือ”

“ชอบสิ งามตระการปานเมฆเพียงนั้น ใครไม่ชอบบ้างเล่า”

ฉินอี๋ตอบรับในลำคอเบาๆ มิได้พูดอะไรอีก แต่ในใจกำลังคิดว่ารอเขากลับไปแล้วจะให้คนส่งมาให้ฉู่จิ่นเหยาสักชุด แน่นอนว่าไม่อาจส่งมาในนามของเขาได้

ฉู่จิ่นเหยานึกถึงผ้าแพรอวิ๋นจิ่นพับนั้นขึ้นมาก็กล่าวยิ้มๆ “ผ้าแพรพับนั้นสีสันงดงามทั้งยังดูเรียบๆ ใส่ไปทำอะไรก็สง่าผ่าเผยอวดผู้คนได้ ข้าว่าจะตัดเป็นเสื้อตัวสั้นตัวหนึ่งก็พอ สามารถนำออกมาใส่พบแขกก็ใช้ได้แล้ว ที่เหลือข้าคิดจะส่งไปให้พี่สาวข้า นางยัดเสื้อผ้าสองชุดให้ข้าต่อหน้าคนมากมาย ข้าเกรงว่านางอยู่บ้านสามีจะลำบาก ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ขาดแคลนเสื้อผ้าให้ใส่ ส่งไปให้นางจะดีกว่า รอปีหน้านางคลอดหลานชายแล้วจะได้ใช้ทำเป็นเสื้อผ้าให้เขาพอดี”

ฉินอี๋ฟังแล้วก็เงียบไปชั่วขณะก่อนถามว่า “เจ้าชอบผ้าแพรพับนั้นมาก เหตุใดถึงจะมอบให้ผู้อื่นเล่า”

“ข้าจากครอบครัวชาวนามาอยู่จวนโหวอย่างกะทันหัน ไม่ต้องมีชีวิตยากจนข้นแค้นเหมือนแต่ก่อน มิหนำซ้ำยังมีคนปรนนิบัติรับใช้ ควรรู้จักพอได้แล้ว แม้ท่านพ่อจะโยนข้าเข้ามาแล้วไม่สนใจอีก แต่ข้ายังคงรู้สึกขอบคุณเขา หากมิใช่เพราะเขา ข้ามีหรือจะมีชีวิตเช่นตอนนี้ ท่านพ่อไม่ได้ทำอะไรขาดตกบกพร่องทั้งสิ้น ข้าไม่รู้ว่าควรตอบแทนเขาอย่างไร ทำได้เพียงค่อยๆ ดูไปในวันหน้า แต่การตอบแทนพี่สาวข้าเป็นเรื่องที่ทำได้ทันที!”

ฉู่จิ่นเหยานึกถึงครอบครัวที่อยู่ด้วยกันมาสิบสามปี แววตาก็เปลี่ยนเป็นระลึกถึง แม้คนสกุลฉู่จะเป็นครอบครัวที่แท้จริงของนาง แต่สิบสามปีที่ผ่านมานางคิดว่าสกุลซูเป็นครอบครัวจากใจจริง ฉู่จิ่นเหยาหวนนึกถึงอดีตพลางกล่าวเสียงเบา

“เดิมทีท่านพ่อซูท่านแม่ซูมักจะไม่มีสีหน้าดีๆ ให้ข้า ข้านึกว่าเป็นเพราะข้าเป็นบุตรสาว นิสัยก็ไม่ชวนให้ชื่นชอบ ต่อมาถึงได้รู้ว่าที่แท้พวกเขารู้แก่ใจดีมาตลอดว่าข้าเป็นใคร พวกเขารักบุตรสาวตัวจริงของพวกเขาจึงสลับตัวนางให้มาเสพสุขอยู่ที่จวนโหว ข้าเข้าใจหัวอกบิดามารดาเช่นพวกเขาดี ชีวิตยากจนข้นแค้นไม่ง่ายจริงๆ แต่ข้าก็มิอาจยกโทษให้พวกเขาได้ อยากให้บุตรสาวของตนได้เสพสุขเป็นเรื่องธรรมดา ทว่าคนที่พวกเขานำมาสังเวยคือข้า! ข้าพลัดพรากจากบิดามารดาและพี่น้องตั้งแต่เล็ก แม้จะถูกตามตัวพบและพากลับมาก็ยังห่างเหินเหมือนคนแปลกหน้า ชีวิตที่ถูกทำให้ยุ่งเหยิงของข้าควรเป็นใครมาขออภัย แต่ถึงอย่างไรสกุลซูก็เลี้ยงดูข้ามาจนโต ข้าเห็นแก่น้ำใจส่วนนี้ของพวกเขา จะไม่กลับไปเหยียบย่ำสกุลซูเมื่อได้ที ทว่าข้าก็ไม่สามารถกตัญญูแล้วปล่อยให้พวกเขาเบียดเบียนข้าต่อไปได้เช่นกัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตระกูลโหวแล้ว ไม่ขาดอาหารเครื่องนุ่งห่ม แต่กลับไม่ยินดียื่นมือช่วยบิดามารดาบุญธรรมที่กำลังลำบาก ท่านว่าข้าเห็นแก่ตัวมากหรือไม่”

บทที่ 4.2 ชี้แนะส่วนตัว

ฉินอี๋ฟังอยู่เงียบๆ ความผิดพลาดในยามนั้นทำให้สองครอบครัววุ่นวาย ถึงแม้บัดนี้ทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางแล้ว แต่รอยแผลก็ใช่ว่าจะลบได้ในชั่วขณะ มิหนำซ้ำหากกล่าวอย่างไม่น่าฟังสักหน่อย ผู้ที่บาดเจ็บหนักที่สุดในเรื่องนี้ก็คือฉู่จิ่นเหยา นางถูกบีบให้ออกจากสกุลซู ออกจากสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย หลังกลับจวนมายังต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่อย่างยากลำบาก ต้องทนกับสายตาเย็นชาและการกีดกัน ในเรื่องนี้ท่านพ่อซูและท่านแม่ซูรวมถึงฉู่จิ่นเมี่ยวได้เสียอะไรบ้าง

“ไม่” ฉินอี๋ปลอบคนอย่างไม่เคยทำมาก่อน ปรับเสียงให้นุ่มนวลขึ้นอย่างไม่คุ้นชินแล้วกล่าวกับฉู่จิ่นเหยาว่า “เจ้าทำได้ดีมากแล้ว บุญคุณความแค้นแยกออกจากกัน แค่ในใจมีเจตนาดี เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว”

ฉู่จิ่นเหยาเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างเงียบเชียบ นางจมอยู่กับการหวนคิดถึงอดีต พอคิดไปคิดมาแม้ในดวงตาจะมีน้ำตาคลอ แต่มุมปากกลับเผยรอยยิ้มบางเบายิ่ง

“แม้ท่านพ่อซูท่านแม่ซูจะไม่ดีต่อข้า ซูเซิ่งก็รังแกข้าประจำ แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีคนดีอยู่ แม้พี่สาวจะรู้แต่แรกว่าข้าไม่ใช่บุตรสาวสกุลซู ปกติก็ไม่เคยพูดดีๆ กับข้า แต่เมื่อต้องซักผ้าในยามอากาศหนาว นางจะชิงไปตักน้ำเองทุกครั้ง นางบอกว่าหงุดหงิดที่ข้าทำงานช้า อันที่จริงข้ารู้ว่านางไม่อยากให้มือข้าเกิดแผลเปื่อย ตอนยังเล็กทุกครั้งที่ท่านพ่อซูเมาสุราแล้วจะตีคน ล้วนเป็นนางทนคำก่นด่าแล้วผลักข้าออกไปข้างนอก สั่งให้ข้าไปตัดหญ้า นางไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้า แต่นางทำเพื่อข้าได้ถึงเพียงนี้ ทำให้ข้าซาบซึ้งใจในตัวนางมากจริงๆ” ฉู่จิ่นเหยาพูดแล้วก็รู้สึกแสบจมูก แต่รู้ว่าฉีเจ๋อไม่ชอบคนร้องไห้จึงกะพริบตาบังคับให้น้ำตาไหลกลับลงไป “ตอนนี้ข้ามีชีวิตที่ดีแล้ว ไม่มีสิ่งใดจะช่วยนางได้ ทำได้เพียงมอบเงินทองให้นางมีติดกายเอาไว้เท่าที่จะทำได้ นางจะได้ไม่ต้องซักผ้าในฤดูหนาวอีก”

ฉินอี๋มิได้พูดสิ่งใดเป็นเวลานาน เขาปลอบโยนเด็กสาวน้อยครั้งมาก ถึงขั้นแทบไม่เคยฟังผู้อื่นระบายความทุกข์ โลกของเขาคือกำแพงวังสีแดงเข้มที่น่าเกรงขาม คนในวังที่ฉลาดหลักแหลมและมีท่าทางเคารพนบนอบ โลกที่มีแต่การร้องรำทำเพลง ตลอดจนบรรดาสตรีที่มีรูปโฉมรื่นตา แต่จิตใจเปรียบดั่งอสรพิษ เขาเคยเห็นสตรีร้องไห้มามาก ทว่าสตรีในวังต่อให้ร้องไห้ก็ยังสามารถร้องได้อย่างงดงาม พอเหมาะพอควร นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินอี๋สงบจิตใจฟังเด็กสาวคนหนึ่งเล่าความลำเค็ญในโลกมนุษย์อย่างเงียบๆ

ฉินอี๋เกลียดคนร้องไห้เป็นที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร แต่ครั้งนี้พอฉู่จิ่นเหยาน้ำตาไหล เขากลับมิได้รังเกียจ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็กล่าวขึ้น

“ผ้าแพรอวิ๋นจิ่นล้ำค่าเกินไป ต่อให้เจ้าส่งไปถึงมือพี่สาวเจ้าได้ เกรงว่านางคงจะใช้ไม่ได้ ดีไม่ดีกลับจะนำภัยมาสู่ตัวด้วย”

“ข้าเองก็รู้ แต่ข้าไม่มีเงิน ผ้าแพรพับนี้เป็นสมบัติส่วนตัวชิ้นเดียวของข้า”

“เรื่องพวกนี้ไม่เป็นปัญหาอะไร เช็ดน้ำตาเสีย เลิกคิดเรื่องพวกนี้ได้แล้ว”

“จะไม่คิดได้อย่างไร” ฉู่จิ่นเหยาแทบจะถูกทำให้หัวเราะ “ข้าจะไม่พะวงกับเรื่องนี้ได้อย่างไร หรือว่าเงินทองตกลงมาจากฟ้าได้”

ฉินอี๋พลันถาม “หากเจ้าได้พบกับบุคคลใหญ่โตคนหนึ่ง มีฐานะสูงส่งมาก…อืม สูงส่งกว่าฉู่จิ้งบิดาเจ้าแล้วเขายินดีจะช่วยเจ้าเล่า”

“เขายินดีจะช่วยข้า แล้วข้าก็รับความช่วยเหลือง่ายๆ ได้หรือ” ปลายนิ้วฉู่จิ่นเหยาสะกิดจี้หยกพกเบาๆ พลางกล่าวว่า “ท่านเพิ่งมายังโลกมนุษย์ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะคิดว่าเรื่องจะสำเร็จภายในก้าวเดียว แต่ข้าบอกท่านไว้เสียก่อนว่าความคิดพรรค์นี้จะมีไม่ได้เด็ดขาด พึ่งเขาเขาถล่ม พึ่งคนคนหนี เอาความหวังไปฝากไว้กับคนอื่นไม่ควรกระทำ ถึงแม้นั่นจะเป็นบุคคลใหญ่โตก็ไม่ได้ เห็นทีข้าต้องจับตาดูท่านให้ดี จะได้ไม่เผลอถูกคนหลอกลวงเข้า!”

“เจ้าน่ะหรือ”

“แล้วเป็นข้าไม่ได้หรือไร เรื่องอื่นข้าไม่กล้าพูด แต่เรื่องปกป้องท่าน ข้าทำได้สบาย”

ฉินอี๋หัวเราะเบาๆ ฉู่จิ่นเหยาก็พูดต่อไปอีก

“วันหน้าท่านต้องเชื่อฟังข้า มิฉะนั้นข้าจะไม่สนใจท่านแล้ว”

ฉินอี๋รู้สึกว่าน่าขัน หลังจากเขาหัวเราะเสร็จก็คร้านจะพูดแก้กับฉู่จิ่นเหยา กลับไปจับอีกประเด็นแทน “ข้ามิได้เพิ่งมายังโลกมนุษย์ นี่เจ้าคุยภาษาคนรู้เรื่องหรือไม่”

“ก็ข้าเป็นห่วงท่านนี่” ฉู่จิ่นเหยากลัวฉีเจ๋อจะเกิดความคิดอยากเดินทางลัด ไปสำแดงอิทธิฤทธิ์ต่อหน้าบุคคลใหญ่โตจนทำให้ตนติดร่างแหไปด้วย

ฉินอี๋แค่นหัวเราะ “น้ำหน้าอย่างเจ้ายังจะมาห่วงข้า…เก็บผ้าแพรอวิ๋นจิ่นพับนั้นให้ดีเถิด เจ้าชอบก็เก็บไว้ใช้เอง เรื่องเงินกับเรื่องพี่สาวเจ้าไม่ต้องให้เจ้าเป็นกังวล”

น้ำเสียงราวกับจะรับผิดชอบด้วยตนเองนี้ของเขาช่าง…ฉู่จิ่นเหยารู้สึกว่าน่าขบขัน แต่ก็ไม่อยากขัดความปรารถนาดีของเขา จึงยิ้มพลางเอ่ยขึ้น

“ก็ได้ เช่นนั้นวันหน้าข้าขอพึ่งพาท่านแล้ว”

ฉู่จิ่นเหยาเพียงพูดล้อเล่นโดยไม่คิดอะไร หัวเราะเสร็จไม่นานก็ลืม ฉินอี๋มิได้โต้แย้ง นางจึงไม่รู้ว่าคำล้อเล่นนี้มีความหมายเช่นไร

เรื่องของซูฮุ่ยยังทำอะไรไม่ได้ ฉู่จิ่นเหยาเพิ่งกลับมาที่ตระกูลยังยืนหยัดได้ไม่มั่นคง แล้วจะยื่นมือออกนอกจวนไปช่วยพี่สาวได้อย่างไร เกรงว่าของของนางยังไม่ทันส่งออกจากจวนก็คงถูกพวกบ่าวไพร่แบ่งสันปันส่วนกันแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตนเองอีกด้วย ฉู่จิ่นเหยาเข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี เรื่องซูฮุ่ยจะรีบร้อนไม่ได้ เรื่องหาเงินก็รีบร้อนไม่ได้เช่นกัน นางทำได้เพียงค่อยๆ เรียนรู้กิริยามารยาทที่สตรีชั้นสูงพึงมีภายใต้การชี้แนะของฉีเจ๋อ

อันที่จริงธรรมชาติของมนุษย์ในใต้หล้าแต่ไหนแต่ไรล้วนเชื่อมโยงกัน ช่วงแรกๆ ที่ฉู่จิ่นเหยาเข้าจวนโหวนางยังไม่รู้ว่าต้องวางตนอย่างไร แต่บัดนี้มีฉีเจ๋อชี้แนะอยู่ข้างๆ ฉู่จิ่นเหยาก็ปรับตัวได้ในเวลาไม่นาน อีกทั้งเรื่องกิริยามารยาทเช่นนี้ หากผู้ไม่สันทัดหัดเองอย่างส่งเดช ยังมิสู้มีผู้สันทัดชี้แนะเพียงคำเดียว ยิ่งมีผู้ที่มีสายตาคมกริบอย่างฉีเจ๋อคอยช่วยและฉู่จิ่นเหยาเองก็พยายามอย่างหนัก ราวสิบวันผ่านไปนางก็ทำท่าทำทางได้เข้าทีแล้ว

แม้แต่สาวใช้ในเรือนจ้าวซื่อยังพูดกันว่าคุณหนูห้าคล้ายกลายเป็นคนใหม่ เข้าใจอะไรๆ ได้ในเวลาเพียงสั้นๆ แม้กิริยามารยาทจะยังไม่สู้คุณหนูคนอื่นๆ แต่ลำพังดูจากท่าทางนับว่าดีขึ้นมากแล้ว

ส่วนพวกเรื่องการแต่งตัว…ในเรื่องนี้สตรีล้วนมีความสามารถโดยธรรมชาติ ไม่นานนักฉู่จิ่นเหยาก็คุ้นเคยกับเครื่องประทินโฉมปานนับสมบัติในเรือนตนเอง ฉินอี๋เองก็รู้สึกนับถือนางอย่างมาก

หลังผ่านช่วงปรับตัวที่ยากลำบากมาแล้ว เมื่อฉู่จิ่นเหยามาเดินบนระเบียงทางเดินอันลดเลี้ยวของจวนโหวอีกครั้ง ในที่สุดในใจก็ไม่รู้สึกเคว้งคว้างวูบโหวงอีกต่อไป ช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานนี้มารดาของนางมิได้สนใจนางแม้แต่น้อย บิดาของนางก็ไม่เห็นแม้แต่เงา ญาติพี่น้องคนอื่นๆ ของนางล้วนทำเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนเอง ผู้ที่ช่วยนางอย่างแท้จริงคือฉีเจ๋อที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน

เมื่อก่อนฉู่จิ่นเหยามักอยากจะใกล้ชิดกับมารดา แต่มารดาของนางแค่มองยังไม่ยอมมองนางตรงๆ พอฉู่จิ่นเหยาผ่านช่วงปรับตัวที่ยากลำบากมาได้กลับกลายเป็นมิได้รู้สึกเคารพรักและอยากใกล้ชิดจ้าวซื่อเท่าแต่ก่อน เพราะช่วงเวลาที่นางต้องการมารดาที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว

ฉู่จิ่นเหยาสวมเสื้อตัวสั้นผ่ากลางคอตั้งสีเขียวเข้ม บนสาบเสื้อติดกระดุมลายสมปรารถนา ท่อนล่างสวมกระโปรงหม่าเมี่ยนสีเขียวอ่อนลายกิ่งไม้พัน และสวมรองเท้าขนกระต่าย นางเดินไปยังเรือนอี๋อันด้วยฝีเท้าแผ่วเบาเชื่องช้า มองไปยังทางข้างหน้า ไหล่ตั้งตรง หลังก็ยืดตรงเช่นกัน ระยะของแต่ละก้าวแทบจะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เร็วไม่ช้า คล่องแคล่วสม่ำเสมอ หลังก้าวเข้าประตูเรือนบ่าวหญิงสูงวัยที่ทำความสะอาดอยู่ในลานเรือนก็หยุดมือแล้วกล่าวทักทายฉู่จิ่นเหยา นางหยุดฝีเท้าเล็กน้อยแล้วพยักหน้ายิ้มให้บ่าวไพร่

ฉู่จิ่นเหยาทำตามคำบอกของฉีเจ๋อ เวลายิ้มให้ยิ้มบางๆ อย่ายิ้มกว้างเกินไป แต่ดวงตาของนางทั้งกลมและดำสนิท ช่วงเวลาที่ผ่านมาใบหน้าก็อวบอิ่มขึ้นแล้ว ใบหน้าซูบตอบกลายเป็นใบหน้ารูปไข่ ยามคลี่ยิ้มดวงตาคล้ายมีประกายดาว ลักยิ้มตรงข้างแก้มก็ปรากฏให้เห็นรำไร หวานล้ำไปถึงหัวใจคนได้ทีเดียว

บ่าวหญิงสูงวัยเห็นฉู่จิ่นเหยาแล้วก็แย้มยิ้มให้เช่นกัน รอยย่นบนใบหน้าแทบจะเผยออกมาทั้งหมด แม้คุณหนูห้าจะมีชีวิตที่น่าสงสาร แต่กลับยิ้มแย้ม ดูเข้าถึงได้ง่ายกว่าคุณหนูสี่ ความชมชอบของคนสูงวัยไม่เหมือนบุรุษ พวกนางมักจะชอบแม่นางน้อยที่มีใบหน้ารูปไข่ ร่างสูงโปร่ง อีกทั้งชอบยิ้มแย้มเหมือนฉู่จิ่นเหยา

หลังทักทายกับบ่าวไพร่ในลานเรือนแล้ว ม่านประตูก็เปิดออก ชิวเยี่ยชะโงกหน้าออกมาแล้วกล่าวยิ้มๆ “ได้ยินเสียงหัวเราะแต่ไกลบ่าวก็รู้แล้วว่าเป็นคุณหนูห้า คุณหนูห้ารีบเข้ามาเถิดเจ้าค่ะ!”

ฉู่จิ่นเหยารักษารอยยิ้มไว้ เดินผ่านระเบียงเชื่อมเข้าไปในห้องอย่างไม่เร็วไม่ช้า ขณะเข้าประตูนางเบี่ยงกายน้อยๆ หลบม่าน แต่เพียงไม่นานก็กลับมายืนตัวตรง ระหว่างนั้นลำคอเรียวยาวของฉู่จิ่นเหยายืดตรงตลอด มิได้ทำหน้ายื่นหลังค่อมเช่นแต่เดิม

ชิวเยี่ยมองเห็นภาพนี้ก็ทอดถอนใจ ตอนที่คุณหนูห้าเพิ่งมามีท่าทางเกรงกลัวอยู่พอสมควร แม้จะมีเหตุให้เข้าใจได้ แต่ถึงอย่างไรก็ดูไม่รื่นตา ทว่ายามมองในตอนนี้ท่าทางเหมือนในตอนแรกเสียที่ใด ต่อให้เป็นบุตรสาวสายรองของบ้านใหญ่ก็ยังแสดงท่าทียิ้มแย้มอบอุ่นและอกผายไหล่ผึ่งเช่นคุณหนูห้าออกมาไม่ได้

ท่าทางเช่นนี้ดูมีชีวิตชีวาไม่น้อย เช่นนี้ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์!

ตั้งแต่ฉู่จิ่นเหยาได้ฉีเจ๋อช่วยชี้แนะก็ไม่ได้รีบมาคารวะแต่เช้าตรู่อีก ตนเองลำบาก แต่ผู้อื่นกลับไม่คิดถึงความดีของเจ้า เช่นนั้นจะลำบากไปไย ทุกวันนางจะคำนวณเวลาให้มาถึงพอดีเหมือนฉู่จิ่นเมี่ยวกับฉู่จิ่นเสียน จะไม่รีบมาแต่เช้าตั้งแต่จ้าวซื่อยังไม่ลุกจากเตียง เพราะพอมาถึงแล้วจะได้ไม่ต้องรอนานเกินไป

แต่วันนี้พอฉู่จิ่นเหยาเข้าห้องมากลับต้องตกใจ เนื่องจากบิดาก็อยู่ที่นี่ด้วย

เมื่อเห็นฉางซิงโหว ฉินอี๋ก็อุทานในใจ ข้าลืมไปเสียได้ ทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าสามีล้วนต้องค้างคืนที่เรือนภรรยาเอก

ฉู่จิ่นเหยากลับมาตอนปลายเดือนหนึ่ง วันที่หนึ่งเดือนสองฉู่จิ้งไม่รู้ยุ่งอยู่กับงานอะไรจึงมิได้มาค้างที่เรือนจ้าวซื่อ เรื่องนี้ทำให้ฉู่จิ่นเหยาเพิ่งรู้ถึงกฎระเบียบที่เรียกว่า ‘ศักดิ์ศรีของภรรยาเอก’ หลังจากผ่านมาหนึ่งเดือน

ฉินอี๋คำนวณในใจ นางกลับจวนมาหนึ่งเดือนแล้ว ส่วนข้าสลบไสลไม่ได้สติมาหนึ่งเดือนแล้วเช่นกัน

นานถึงหนึ่งเดือน ถึงฉินอี๋ไม่พูดแต่เขาก็ร้อนรนอยู่บ้างอย่างยากจะเลี่ยง ไม่ได้สติถึงหนึ่งเดือน ต่อให้ข้างกายเขามีแต่คนสนิทที่ไว้ใจได้ เกรงว่ายังยากที่จะกลบเกลื่อน

เขาต้องคิดหาทางเสียแล้ว

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กุมภาพันธ์ 2568)

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: