บทที่ 86.1 จัดหาอนุ
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ” ฉู่จิ่นเหยาตอบรับอย่างคล่องแคล่วด้วยท่าทางว่านอนสอนง่าย แต่เพียงพูดว่าเข้าใจ กลับไม่บอกว่าตนเองเข้าใจว่าอย่างไร
เสี่ยวฉีฮองเฮาหมดปัญญา ทำได้เพียงพูดให้ชัดเจนขึ้น “ในเมื่อชายารัชทายาทเป็นกุลสตรีผู้เพียบพร้อมใจกว้าง เช่นนั้นการถวายงานในตำหนักบูรพาจะจัดการอย่างไร รัชทายาทเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ การมีทายาทในเร็ววันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ชายารัชทายาทคงจะเข้าใจกระมัง”
พูดจบเสี่ยวฉีฮองเฮาก็มองฉู่จิ่นเหยาประหนึ่งกำลังชมละคร วาจาของเหล่าปราชญ์มักสอนให้สตรีเพียบพร้อมใจกว้าง ข้อห้ามสตรีคัมภีร์สอนหญิงใครๆ ก็ท่องได้ แต่มีดไม่บาดตนเองย่อมไม่เจ็บ พร่ำพูดหลักการมากเพียงไร เมื่อถึงเวลาให้ภรรยาเอกรับอนุให้สามีเข้าจริงๆ ผู้ใดจะยินยอมเล่า
มิหนำซ้ำสามีของฉู่จิ่นเหยายังมิใช่คนธรรมดา นั่นเป็นถึงรัชทายาทผู้อยู่เหนือคนนับหมื่น รัชทายาทค้างคืนในห้องตนเองติดต่อกันหนึ่งเดือน ร่วมเรียงเคียงหมอนกัน ไม่ว่าแม่นางน้อยคนใดล้วนถูกความหลงละเลิงและความโลภทำให้สมองเลอะเลือนได้ทั้งสิ้น เสี่ยวฉีฮองเฮาไม่เชื่อว่าเจ้าสาวคนใหม่อย่างฉู่จิ่นเหยาซึ่งไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างสตรีสูงศักดิ์และไม่เคยได้รับการชี้แนะเรื่องหลักการระหว่างสามีภรรยาจากมารดาจะหักใจแบ่งปันรัชทายาทได้จริงๆ
ครั้นฮองเฮาออกปาก เสียงสนทนาในตำหนักก็เบาลงทันที วันนี้เป็นวันที่แปด ในวังต้องจุดโคมไฟสำหรับเทศกาลซั่งหยวนแล้ว เจดีย์โคมก็จะถูกจุดในวันนี้ เหล่าสนมชายาตำหนักในล้วนมารอชมโคมกันในตำหนักคุนหนิง คิดไม่ถึงว่าโคมยังไม่ทันได้ชม แต่กลับได้ดูละครฉากสนุกเข้าแล้ว
สตรีสองนางที่สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้าเริ่มงัดข้อกันแล้ว ยังจะมีละครฉากใดน่าดูไปกว่าฉากของฮองเฮากับชายารัชทายาทอีกเล่า
จ้าวหลันฮุยก็อยู่ในตำหนักคุนหนิง นางล่วงรู้ชะตากรรมในภายภาคหน้าของตนเองแล้ว วันนี้จึงถูกองค์หญิงใหญ่หรงอันส่งเข้ามากระชับความสัมพันธ์กับบ้านสามี จุดสำคัญที่จ้าวหลันฮุยให้ความสนใจย่อมเป็นฮองเฮาและเหล่าองค์หญิง นางกับเหล่าองค์หญิงนั่งกันอยู่ในห้องอุ่น ได้ยินบทสนทนาของฮองเฮากับฉู่จิ่นเหยาที่ด้านนอก จ้าวหลันฮุยก็เงียบลงเช่นกัน
วันข้างหน้านางจะกลายเป็นอีกคนในตำแหน่งนั้น ฮองเฮาจะกลายเป็นมารดาสามีสายตรงของนาง ชายารัชทายาทจะกลายเป็นพี่สะใภ้ของนาง บัดนี้จ้าวหลันฮุยได้ยินฮองเฮาโน้มน้าวให้ฉู่จิ่นเหยารับอนุ นางก็รู้สึกเข้าใจหัวอกอยู่บ้าง อีกทั้งรู้สึกว่าหากเป็นตนเองอยู่ในตำแหน่งนั้นจะต้องทำได้ดีกว่าฉู่จิ่นเหยาแน่นอน
ใจคนมักมีความโลภไม่สิ้นสุด จ้าวหลันฮุยหรี่ตา มองเห็นองค์หญิงรองที่ยโสโอหังกลอกตาอย่างดูถูกดูแคลน นางยิ้มบางๆ ในใจคิดว่าตนเองมีความได้เปรียบด้านฐานะ เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงรองสนิทสนมกับตนเองมากกว่า จ้าวหลันฮุยมั่นใจว่าตนเองที่เป็นชายาองค์ชายรองจะเก่งกาจและได้ใจผู้อื่นยิ่งกว่าชายารัชทายาท
ที่ห้องด้านนอก เสี่ยวฉีฮองเฮาก็กำลังจ้องฉู่จิ่นเหยาอย่างบีบคั้น ในการคาดคะเนของนาง ไม่ว่าฉู่จิ่นเหยาจะอดทนอดกลั้นได้ดีเพียงไร ได้ยินคำพูดเช่นนี้ไปต้องเผยสีหน้าไม่ยินยอมพร้อมใจออกมาแน่ จากนั้นนางก็จะใช้ข้อห้ามสตรีเป็นอาวุธ ตรึงฉู่จิ่นเหยาเอาไว้ หากฉู่จิ่นเหยาไม่แสดงความไม่เต็มใจออกมา…แสดงว่าภรรยาลูกเลี้ยงของนางผู้นี้ก็นับว่าร้ายกาจ ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้คงลำบากกับการตบตานางแล้ว
ฉู่จิ่นเหยาผงกศีรษะแย้มยิ้มให้เสี่ยวฉีฮองเฮาท่ามกลางความเงียบในตำหนัก ตำหนักในล้วนมีแต่คนงาม ทว่าความงามของนางกลับเด่นชัดยิ่ง เป็นความงามราวมวลบุปผาบานสะพรั่ง สีสันแพรวพราว เปรียบดั่งดอกฉุยซือไห่ถังในฤดูวสันต์ ดอกเสาเย่า* หลังพิรุณ สงบนิ่งแต่ฉูดฉาด หากมิใช่บ้านผู้สูงศักดิ์มั่งคั่งย่อมไม่อาจทะนุถนอมเลี้ยงดูไว้ได้
ในยามปกติคนมากยังไม่รู้สึก แต่ขณะนี้สตรีเต็มห้องกำลังมองฉู่จิ่นเหยาเงียบๆ ยิ่งรู้สึกได้ถึงรูปโฉมอันพริ้งเพริศของนาง เมื่อครู่ขณะที่ฉู่จิ่นเหยาผงกศีรษะแย้มยิ้ม คนหลายคนรวมถึงฮองเฮาต่างรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง บนโลกนี้มีสตรีที่งดงามปานบุปผาอยู่จริงๆ สตรีทั่วไปเห็นแล้วยังรู้สึกว่านี่เป็นสมบัติล้ำค่าของโลกมนุษย์ นับประสาอะไรกับบุรุษ
ยังไม่ทันที่คนทั้งหลายจะได้สติกลับมา ฉู่จิ่นเหยาก็ตอบรับเสียงใสว่า “เพคะ”
ผู้อื่นล้วนตกตะลึงกับคำตอบนี้ นางพูดว่าอะไร คนเหล่านี้ยังไม่ทันมีอาการตอบสนอง ฉู่จิ่นเหยาก็ทำท่าโบกมือไปที่ด้านหลังเป็นการบอกให้เอ่อร์เสวี่ยและเอ่อร์ฮวาก้าวมาโขกศีรษะถวายบังคมเสี่ยวฉีฮองเฮา
“หลายวันมานี้หม่อมฉันให้พวกนางติดตามข้างกายมาโดยตลอด วันนี้นับว่าหาโอกาสให้พวกนางมาโขกศีรษะถวายบังคมฮองเฮาได้เสียที”
เสี่ยวฉีฮองเฮาถูกท่าทีนี้ของฉู่จิ่นเหยาทำเอารับมือไม่ทัน นางขมวดคิ้วอย่างงงงัน “เจ้าทำอะไร”
“ฮองเฮาทรงลืมไปแล้วหรือเพคะ นี่คือนางกำนัลที่พระองค์พระราชทานแก่หม่อมฉัน ล้วนงดงามไม่แพ้กันทั้งสิ้น” ฉู่จิ่นเหยาพูดยิ้มๆ “หม่อมฉันจดจำพระดำรัสของฮองเฮาอยู่ทุกเมื่อ มีฮองเฮาทรงจัดการ หม่อมฉันก็มิสิ้นเปลืองแรงในการหาคนแล้ว ฮองเฮาทรงคิดเพื่อตำหนักบูรพาเช่นนี้ ช่างมีพระทัยละเอียดอ่อนดุจเส้นเกศา ละเอียดรอบคอบโดยแท้”
เดิมทีเสี่ยวฉีฮองเฮาคิดจะพูดเรื่องที่ว่าชายาเอกมิอาจอิจฉาริษยาหึงหวง ครั้นถูกฉู่จิ่นเหยาขัดจังหวะเช่นนี้ นางก็ไม่สะดวกจะพูดแล้ว ที่สุดแล้วเสี่ยวฉีฮองเฮาก็มิใช่มารดาสามีแท้ๆ นางยัดเยียดนางกำนัลเข้าตำหนักบูรพาถึงสี่คนแล้ว บัดนี้ฉู่จิ่นเหยายังพาคนมาอวดอีก หากเสี่ยวฉีฮองเฮาก้าวก่ายต่อไปจะดูเหมือนจงใจสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในห้องหอของลูกเลี้ยง ชื่อเสียงคงได้ฉาวโฉ่เป็นแน่
เสี่ยวฉีฮองเฮาถูกทำเอาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เมื่อเอ่ยปากอีกครั้งวาจาก็คลุมเครือขึ้นไม่น้อย “เจ้ามีความตั้งใจก็ดีแล้ว เจ้าเป็นชายารัชทายาท ว่าที่มารดาของแผ่นดิน พึงมีคุณธรรมและใจกว้าง มิอาจทำเรื่องเสียฐานะอย่างการแย่งชิงความโปรดปรานได้เป็นอันขาด เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ขอบพระทัยฮองเฮาที่ทรงชี้แนะ” ฉู่จิ่นเหยาตอบรับอย่างลื่นไหล แต่ในใจกลับรู้สึกว่าน่าขันยิ่งนัก ภรรยาเอกแย่งชิงความโปรดปรานไม่ได้ ฮึ นางยังอุตส่าห์พูดออกมาได้ ทว่าฉู่จิ่นเหยาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ จงใจยิ้มพลางกล่าวว่า “ฮองเฮาตรัสได้ถูกต้อง ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็อายุยังน้อย เรื่องมากมายในตำหนักบูรพาล้วนดูแลไม่เป็น หากฮองเฮาทรงรู้สึกว่าหม่อมฉันทำได้ไม่ถูกก็ทรงชี้แนะได้เพคะ”
ฉู่จิ่นเหยาพูดเช่นนี้แล้ว เสี่ยวฉีฮองเฮายังจะทำอย่างไรได้อีก นางทำได้เพียงพูดว่า “ไม่เป็นไร ใครๆ ก็เริ่มจากไม่เป็นจนเป็นกันทั้งนั้น เจ้าทำได้ไม่เลวแล้ว วันหน้าค่อยๆ เรียนรู้ไปก็พอ”
“ขอบพระทัยที่ทรงเข้าใจและเห็นใจเพคะ” ฉู่จิ่นเหยายอบกายกล่าวขอบคุณด้วย ‘น้ำใสใจจริง’
พูดมาถึงขั้นนี้เรื่องนี้ก็ไม่อาจไปต่อได้อีก เสี่ยวฉีฮองเฮาได้แต่หาประเด็นใหม่มาพูด พอนางเริ่มต้นพูดเรื่องใหม่ สนมชายาคนอื่นๆ ก็พากันเอาอกเอาใจ เรื่องเมื่อครู่จึงผ่านพ้นไปด้วยประการฉะนี้
ในตำหนักคุนหนิงเริ่มครึกครื้นขึ้นอีกครั้ง ฉู่จิ่นเหยากลับไปนั่งที่ตนเอง ดูคล้ายตั้งใจฟังผู้อื่นสนทนากัน แต่สีหน้าท่าทางกลับมีแววมืดหม่นเผยออกมาเล็กน้อย เสี่ยวฉีฮองเฮาเพียงทำเป็นไม่รู้สึก ส่วนสนมชายาคนอื่นๆ มองเห็นแล้วก็ลอบสาแก่ใจเงียบๆ
คนในวังล้วนเป็นเช่นนี้ จะมีใครเป็นข้อยกเว้นได้อย่างไรเล่า นางกำนัลแค่สองคนเท่านั้นเอง อย่างน้อยฉู่จิ่นเหยาก็ยังได้รับส่วนแบ่งมาถึงสิบวัน ควรรู้จักพอได้แล้ว
คนทั้งหลายพูดคุยกันอย่างออกรส มิได้สังเกตสักนิดว่าแม้ฉู่จิ่นเหยาจะพูดไปมากมาย มิหนำซ้ำยังเรียกเอ่อร์เสวี่ยกับเอ่อร์ฮวามาโขกศีรษะถวายบังคมฮองเฮา แต่โขกศีรษะไปเพื่ออะไรกัน ตามความเข้าใจของคนทั่วไป การโขกศีรษะคารวะนายหญิงก็หมายถึงรับเป็นอนุ เหล่าสนมชายาคิดไปตามแนวทางปกติ มิได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง ทว่าอันที่จริงตั้งแต่ต้นจนจบฉู่จิ่นเหยาไม่ได้บอกว่าจะมอบฐานะให้นางกำนัลสองคนนี้
นางเพียงให้นางกำนัลทั้งสองมาโขกศีรษะถวายบังคมฮองเฮา ขอบพระทัยที่ฮองเฮาพระราชทานคน หลังจากนั้นฉู่จิ่นเหยาก็เอ่ยเต็มปากเต็มคำว่า ‘ฮองเฮาตรัสได้ถูกต้อง’ ทว่าหาได้บอกไม่ว่าตนเองจะทำตามนั้น
ฉู่จิ่นเหยารู้สึกขอบคุณโรคชอบพูดครึ่งปล่อยให้เดาครึ่งของคนในวังเป็นครั้งแรก ครั้งนี้มันช่วยนางไว้ได้มากจริงๆ
แต่กระนั้นที่น่าแปลกคือฉู่จิ่นเหยาอาศัยการพูดอย่างคลุมเครือผ่านด่านยากนี้ไปได้แล้วแท้ๆ ทว่านางกลับไม่รู้สึกดีใจ
นางอาศัยอุบายเล็กๆ น้อยๆ ปฏิเสธเสี่ยวฉีฮองเฮาได้ ทว่านางปฏิเสธฉินอี๋ได้หรือ
เพราะเรื่องนี้ถึงแม้ฉู่จิ่นเหยาจะได้เห็นเจดีย์โคมอันสูงตระหง่านหรูหรางดงาม ทั้งยังได้เห็นโคมไฟในวังที่วิจิตรประณีตจำนวนมากก็ยังหาอารมณ์เช่นยามที่ได้ดูดอกไม้ไฟในวันปีใหม่ไม่ได้
อารมณ์ของฉู่จิ่นเหยาแผ่ไปถึงสาวใช้ข้างกายอย่างรวดเร็ว หลิงหลงมองฉู่จิ่นเหยาด้วยความกังวล เอ่อร์เสวี่ยนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ส่วนเอ่อร์ฮวานึกว่าตนเองได้เข้าเฝ้าฮองเฮาแล้ว ฐานะของนางจะแตกต่างจากนางกำนัลทั่วไป นางจึงลิงโลดในใจ แต่มิกล้าแสดงออกต่อหน้าฉู่จิ่นเหยา
เอ่อร์ฮวาความคิดโลดแล่น สายตาที่มองเอ่อร์เสวี่ยเปี่ยมไปด้วยแววท้าทายและระแวดระวัง เอ่อร์เสวี่ยหัวเราะเสียงเย็นคราหนึ่งแล้วพูดขึ้นเบาๆ
“ตัวโง่เง่า”
ขณะเดียวกันเอ่อร์เสวี่ยก็รู้ว่าคราวนี้นางไม่มีทางถอยแล้ว เอ่อร์ฮวาถูกลากออกมาเพราะนิสัยบุ่มบ่ามและไร้สมองของนาง เอ่อร์เสวี่ยเองก็ถูกลากออกมาเช่นกัน นี่คือการข่มขู่โดยไร้เสียงจากฉู่จิ่นเหยา ถ้าไม่ยอมเป็นดาบในมือชายารัชทายาทเหมือนหงหมัวมัวก็ต้องถูกสตรีที่คิดจะปีนเตียงในตำหนักบูรพาคนอื่นๆ ฉีกเป็นชิ้นๆ
สิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดของเอ่อร์เสวี่ยก็คือการรู้กาลเทศะ ในเมื่อชายารัชทายาทเล็งเห็นความสามารถ เอ่อร์เสวี่ยก็ยินดีจะเลือกกิ่งไม้เกาะให้ดี* ชายารัชทายาทเป็นผู้สูงศักดิ์ จะคิดเล็กคิดน้อยกับนางกำนัลตัวเล็กๆ ได้อย่างไร ดังนั้นผู้ที่ออกหน้ากำราบนางกำนัลที่มีใจคิดเป็นอื่นในตำหนักฉือชิ่งจึงได้แต่เป็นเอ่อร์เสวี่ยที่เป็นนางกำนัลใจดำอำมหิตและมีชาติกำเนิดต่ำต้อยเช่นกัน
บทที่ 86.2 จัดหาอนุ
หลังกลับถึงตำหนักฉือชิ่ง เดิมทีกงหมัวมัวออกมาต้อนรับด้วยท่าทางยินดีปรีดา ครั้นเห็นสีหน้าของฉู่จิ่นเหยา นางก็นิ่งงันไป จากนั้นก็กระซิบถามหลิงหลงขณะที่ไม่มีคน
“พระชายาทรงเป็นอะไรไป”
หลิงหลงส่ายหน้า ใช้นิ้วชี้เอ่อร์ฮวาที่กำลังบิดเอวและลูบผมก่อนชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนืออย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นกงหมัวมัวก็เดาเรื่องที่จะเกิดในคืนนี้ได้รางๆ แล้ว เกรงว่าท่านผู้นั้นแห่งตำหนักคุนหนิงคงจะยกเรื่องนางกำนัลโฉมงามเหล่านี้มาพูดอีกแล้ว
เมื่อเข้ามาในห้อง กงหมัวมัวก็ไล่คนนอกออกไปแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “พระชายา บ่าวปรนนิบัติพระองค์คลายพระเกศาดีหรือไม่เพคะ”
“อืม”
ลูกปัดลายบุปผาที่หรูหรางดงามวางลงบนโต๊ะอันแล้วอันเล่า กงหมัวมัวมองสีหน้าของฉู่จิ่นเหยาผ่านคันฉ่องแล้วกล่าวอย่างระมัดระวัง
“พระชายา พระองค์ทรงเป็นเจ้านายของตำหนักบูรพา ท่านผู้นั้นกับรัชทายาทขัดแย้งกันมานานแล้ว ความไม่เป็นธรรมที่พระชายาทรงได้รับล้วนทำเพื่อรัชทายาท พระองค์อย่าใส่พระทัยไปเลยเพคะ”
“ข้ารู้”
เมื่อก่อนฉู่จิ่นเหยาก็เคยถูกฮองเฮากลั่นแกล้ง แต่ยังไม่ถึงขั้นมีท่าทางเศร้าซึมเพียงนี้ กงหมัวมัวพอจะเดาสาเหตุได้อยู่บ้าง
“พระชายา หรือพระองค์กำลังเป็นทุกข์เรื่องรับอนุ”
ฉู่จิ่นเหยาไม่พูดจา กงหมัวมัวก็อดจะโล่งใจไม่ได้
“พระชายา พระองค์ทรงเป็นผู้ใด จะคิดเล็กคิดน้อยกับพวกนางได้อย่างไร รัชทายาททรงรู้การควรมิควรดี มิหนำซ้ำยังทรงยินดีฟังคำพระองค์ นี่นับว่าดีกว่าภรรยาเอกคนอื่นมากเท่าไรแล้ว! สตรีเหล่านั้นก็เป็นแค่ของเล่น ต่อให้พวกนางเจ้าเล่ห์มีมารยาเพียงไร มีหรือจะข้ามหน้าข้ามตาพระองค์ได้”
หลิงหลงรีบดันกงหมัวมัวออกไป ขืนปล่อยให้กงหมัวมัวเกลี้ยกล่อมต่อ ปมในใจคงจะใหญ่ขึ้นกว่าเดิม หลังไม่มีใครแล้วหลิงหลงก็ยอบกายลง พิงอยู่ข้างขาฉู่จิ่นเหยา เงยหน้ามองนางด้วยท่าทางกระตือรือร้น
“พระชายาเพคะ”
หลิงหลงปราดเปรื่องสมชื่อ ไม่กี่ปีมานี้ฉู่จิ่นเหยากับหลิงหลงได้ชื่อว่าเป็นนายบ่าวกัน แต่ในใจฉู่จิ่นเหยาเห็นหลิงหลงเป็นกึ่งพี่สาวแล้ว หลิงหลงมองนางด้วยท่าทางจริงใจ ฉู่จิ่นเหยาจึงวางปราการในใจลง ถามความในใจของตนเองออกมาอย่างสับสน
“หลิงหลง เจ้าก็รู้สึกว่าข้าควรเป็นฝ่ายรับอนุให้รัชทายาทใช่หรือไม่”
หลิงหลงมิได้ตอบในทันที นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นมือไปกุมมือฉู่จิ่นเหยา ฝ่ามือทั้งอบอุ่นและมีพลัง “พระชายา นี่เป็นเรื่องระหว่างพระองค์กับรัชทายาท ผู้อื่นพูดอะไรล้วนไม่มีประโยชน์ พระองค์ต้องถามตนเองและรัชทายาท จากที่บ่าวสังเกตมาหลายวันนี้ก็พบว่ารัชทายาททุ่มเทพระทัยต่อพระองค์ยิ่ง หากพระองค์หาสตรีอื่นมาให้รัชทายาทโดยไม่บอกไม่กล่าวสักคำ เกรงว่ารัชทายาทคงกริ้วเป็นแน่”
ฉู่จิ่นเหยาเคยคิดเสียที่ใด นางพบว่าสภาพจิตใจของตนเองในตอนนี้อันตรายอย่างยิ่ง นางเตือนตนเองแล้วแท้ๆ ว่าให้รักษาภาระหน้าที่ อย่าได้ถูกความรุ่งโรจน์จอมปลอมบังตา สุดท้ายก็เปลี่ยนไปมีสภาพน่าชิงชังเพราะความริษยา นางไม่อยากตามหึงหวงอนุไปทั้งชีวิตจนไม่มีชีวิตเป็นของตนเองเหมือนจ้าวซื่อ นางไม่อยากเอาแต่คับแค้นใจ ชั่วชีวิตล้วนรอคอยแต่ความอ่อนโยนและ ‘การให้เกียรติ’ เพียงชั่วครู่จากสามีเหมือนสตรีนางอื่น นางอยากเป็นชายารัชทายาทที่สง่าผ่าเผยและงดงาม
ขณะที่เพิ่งแต่งงานย่อมไม่เป็นไร แต่นี่ผ่านมานานแล้ว ฉู่จิ่นเหยาก็รู้แล้วว่าตนเองทำไม่ได้
ฉู่จิ่นเหยาไม่อยากเห็นฉินอี๋ไปหาสตรีอื่นสักนิด ไปยิ้มให้พวกนาง คัดอักษรเป็นเพื่อนพวกนาง มิหนำซ้ำตกค่ำก็ทำเรื่องพรรค์นั้นกับพวกนาง
ในดวงตาฉู่จิ่นเหยามีน้ำตาเอ่อคลอโดยไม่รู้ตัว หลิงหลงเห็นดวงตาที่งามจนน่าตกตะลึงคู่นั้นมีน้ำตา นางที่เป็นสตรียังรู้สึกปวดใจ จากนั้นก็ตบหน้าผาก ผุดความคิดที่ยอดเยี่ยมออกมาได้
“พระชายา วันนี้ยามพระองค์กลับมามิใช่สำลักลมหนาว ขณะที่เพิ่งเข้าตำหนักมาก็ไออยู่บ้างมิใช่หรือเพคะ เช่นนั้นพระองค์ก็ถือโอกาสแสร้งล้มป่วย บอกว่าตนเองต้องลมเย็นจนไม่สบาย รอรัชทายาทเสด็จกลับมา พระองค์เพียงแสร้งล้มป่วย ส่วนบ่าวจะทูลเรื่องที่ฮองเฮาบีบบังคับให้พระองค์รับอนุกับรัชทายาทเอง ถึงเวลานั้นรัชทายาทย่อมเห็นใจพระองค์ จะต้องแข็งพระทัยรับผู้อื่นมาปรนนิบัติไม่ลงอย่างแน่นอน”
ฉู่จิ่นเหยาได้ฟังก็รู้สึกว่ามีเหตุผล นางสามารถอาศัยอาการป่วยมาหยั่งเชิงความคิดของฉินอี๋ได้พอดี คนทั้งสองหารือกันมั่นเหมาะแล้วก็ลงมือจัดข้าวของทันที
ขณะฉินอี๋กลับมาจากงานเลี้ยงกลางคืนฟ้าก็มืดแล้ว ฮ่องเต้ไม่สนใจงานในราชสำนัก แต่ชื่อเสียงในยามร่วมงานเลี้ยงกลับเป็นที่เลื่องลือไม่น้อย กอปรกับฮ่องเต้ได้พระโอรสในวัยกลางคน ด้วยอายุเท่านี้ของเขาเป็นเรื่องที่ควรค่าให้ภูมิใจจริงๆ ดังนั้นกษัตริย์กับขุนนางต่างยินดี งานเลี้ยงในวันนี้จึงดำเนินอยู่นานยิ่ง
ในโอกาสเช่นนี้ฉินอี๋จึงเลี่ยงการดื่มสุราและคารวะสุราได้ยาก พอดื่มจนฮ่องเต้พอใจแล้ว ฉินอี๋ถึงปลีกตัวออกมาได้ หลังเขาเป็นอิสระก็เดินกลับมายังตำหนักฉือชิ่งทันที ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็นเช่นนี้ แต่บัดนี้มีคนมาอยู่เพิ่มอีกคน พอเขากลับดึกก็มักจะรู้สึกไม่วางใจ
แต่พอฉินอี๋เข้าตำหนักมากลับพบว่าผิดปกติอยู่บ้าง เขาย่อมจำสาวใช้ไม่กี่คนข้างกายฉู่จิ่นเหยาได้ หลิงหลงที่ติดตามข้างกายฉู่จิ่นเหยาเป็นประจำมีสีหน้าจืดเจื่อน ท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไร
“มีอะไร” ฉินอี๋ถาม
หลิงหลงยังคงประเมินความกดดันยามเผชิญหน้ากับรัชทายาทต่ำไป นางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเบาๆ ราวกับเสียงยุง
“พระชายาคล้ายจะประชวรแล้วเพคะ”
สีหน้าฉินอี๋เปลี่ยนไปทันควัน เขาไม่มัวคำนึงถึงเรื่องเปลี่ยนชุดเข้าเฝ้า โบกมือไล่ขันทีข้างกายเสร็จก็ก้าวเข้าไปด้านในทันที หลิงหลงเดินตามไปอย่างอกสั่นขวัญแขวน นางเฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูห้องบรรทม หูข้างหนึ่งฟังความเคลื่อนไหวด้านใน ทั้งยังไล่คนที่อยู่รายรอบออกไปจนหมด
ฉินอี๋เข้ามาในห้องก็ไม่เห็นเงาของฉู่จิ่นเหยา พอมองผ่านม่านเตียงจึงค่อยเห็นฉู่จิ่นเหยานอนหันหลังให้ เขามิรู้สึกตัวเลยว่าสายตาของตนเปลี่ยนเป็นเฉียบคม แต่เสียงฝีเท้ากลับเบาลง
“จิ่นเหยา เป็นอะไรไป” ฉินอี๋นั่งเบาๆ ลงที่ขอบเตียง มือยื่นออกไปแล้ว แต่กลับหยุดไว้ขณะที่สัมผัสถูกไหล่ของฉู่จิ่นเหยา เขากลัวว่าตนเองจะออกแรงมากเกินไป
ฉู่จิ่นเหยาค่อยๆ หันมา แก้มแดงปลั่ง “รัชทายาท”
“ไยจู่ๆ ถึงล้มป่วยเล่า เป็นเพราะอะไร เรียกหมอหลวงแล้วหรือยัง”
“ยัง แต่มิจำเป็นต้องยุ่งยากเพคะ”
ฉินอี๋มองสีหน้าของฉู่จิ่นเหยา คิ้วขมวด พูดพลางทำท่าจะลุกขึ้น “จะปล่อยไว้เช่นนี้ได้อย่างไร ข้าจะให้พวกเขาไปรับหมอหลวงเกาเข้าวัง”
ฉู่จิ่นเหยาได้ยินก็รีบดึงแขนเสื้อฉินอี๋ไว้ “รัชทายาท ลงกลอนประตูแล้ว ไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก”
“มีอะไรยุ่งยากกัน เจ้านอนไปอย่างวางใจก็พอ”
“รัชทายาท” ฉู่จิ่นเหยาหมดหนทางจริงๆ ได้แต่ยันกายขึ้นกอดแขนฉินอี๋ ฝืนรั้งเขาที่จะเดินไปด้านนอกไว้ “มิใช่ป่วยหนักอะไร หม่อมฉันนอนห่มผ้าหนาๆ สักคืนก็ดีขึ้นแล้ว จริงๆ เพคะ ไม่ต้องตามคนมาให้มากมาย พระองค์อยู่คุยเป็นเพื่อนหม่อมฉันก็พอ”
ฉินอี๋หยุดอยู่หน้าเตียง มองฉู่จิ่นเหยานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นั่งลงจริงๆ “ก็ได้”
“รัชทายาท วันนี้หม่อมฉันไปเข้าเฝ้าฮองเฮามา” ฉู่จิ่นเหยาพยายามเข้าประเด็นหลักอย่างแสร้งไม่ตั้งใจเต็มที่ นางมองเห็นบนบ่าฉินอี๋มีเศษกระดาษเล็กๆ สีแดงติดอยู่ คล้ายว่าหล่นมาจากโคมไฟ จึงอดเอื้อมมือไปปัดออกไม่ได้ ทว่ายังไม่ทันที่นางจะสัมผัสถูกบ่าอีกฝ่าย ฉินอี๋กลับกุมข้อมือนางไว้ เขามองนางนิ่งๆ อีกครู่หนึ่ง บนใบหน้ายังคงไร้อารมณ์ใดๆ แต่กลับโน้มกายลงใช้ฝ่ามืออังหน้าผากฉู่จิ่นเหยา
ฝ่ามือฉินอี๋เย็นอยู่บ้าง ฉู่จิ่นเหยากะพริบตา รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
ฉินอี๋อังอยู่ครู่หนึ่งก่อนค่อยๆ กลับไปนั่ง สีหน้าเขายังคงไม่เผยพิรุธใดๆ ฉู่จิ่นเหยาล้มลงนอนบนหมอนสีแดงที่อ่อนนุ่ม เบิกตากว้างมองฉินอี๋ ลืมไปในทันทีว่าตนเองจะพูดอะไร ฉินอี๋สบตาฉู่จิ่นเหยาได้ครู่หนึ่งก็หัวเราะเบาๆ
“เจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับข้า”
“หม่อมฉัน…”
รอยยิ้มของฉินอี๋ไม่ต่างจากปกติที่แล้วมา แต่ประกายในดวงตากลับทำให้ฉู่จิ่นเหยารู้สึกถึงอันตรายทันที นางเอ่ยอย่างตะกุกตะกักอยู่บ้าง ยังไม่ทันได้บอกเล่าสาเหตุ ฉินอี๋ก็พูดต่อจากนางอย่างไม่เร็วไม่ช้า
“เจ้าใจกล้านัก บังอาจแสร้งล้มป่วยต่อหน้าข้า”
ฉู่จิ่นเหยาแน่ใจในทันทีว่าฉินอี๋โมโหแล้ว คิดในใจว่านางถึงกับทำให้เขาโมโหได้ นี่สามารถจดลงสมุดบันทึกคุณความดีได้ทีเดียว ทว่าบัดนี้นางไม่กล้าประมาท จึงเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อเขาอย่างระมัดระวัง
“รัชทายาท?”
ฉินอี๋ไม่พูดไม่จา แต่สายตาเขาฟาดฟันคนตายได้ทีเดียว หากเป็นขุนนางที่เคยคลุกคลีกับฉินอี๋มาเห็นเข้ารับรองได้ว่าคงต้องตกใจกลัวจนคุกเข่าลงกับพื้น ไม่กล้าปริปากพูดแล้ว แต่ฉู่จิ่นเหยาไม่ใช่ขุนนางของเขา ดังนั้นพอเห็นสถานการณ์เช่นนี้นางไม่เพียงไม่กลัว แต่ยังกล้าใช้ไพ่ตายอันเป็นพรสวรรค์ของสตรีอีกด้วย นั่นก็คือการออดอ้อน
“รัชทายาท พระองค์กริ้วหม่อมฉันแล้วหรือ”
ฉินอี๋ถูกทำให้โมโหไม่น้อยจริงๆ ขณะที่ได้ยินข่าว หัวใจเขาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง คล้ายว่าความรู้สึกหนาวยะเยือกแผ่ลามจากศีรษะไปถึงเท้า เขาแทบจะออกคำสั่งให้คนนำป้ายประจำตัวเขาไปเปิดประตูวังแล้วลากตัวหมอหลวงเกาออกมาจากเรือน ส่วนจะเป็นการฝ่าฝืนกฎวังหรือไม่นั้นใครจะสนใจกัน แต่ฉู่จิ่นเหยาทำให้เขาตกอกตกใจอยู่นานสองนาน สุดท้ายกลับเป็นเรื่องโกหก
ฉินอี๋ทำหน้าเย็นชา ทำท่าจะลุกออกไป ฉู่จิ่นเหยาเห็นท่าไม่ดี หากปล่อยให้เขาจากไปในเวลานี้จริงๆ คงได้ยุ่งยากแล้ว นางโผไปกอดเอวของฉินอี๋ไว้ทันทีโดยไม่คำนึงถึงท่าทาง ฉินอี๋คล้ายว่าร่างแข็งทื่อไปเล็กน้อย ถัดจากนั้นก็คิดจะดึงนางออกไป แต่ฉู่จิ่นเหยาไม่ยอมปล่อยมือ ยังคงกอดไว้โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น น้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้
“รัชทายาท พระองค์จะไปหรือเพคะ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 พ.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.