บทที่ 87.1 พ่ายแพ้ยับเยิน
เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ฉินอี๋พบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ เขาเป็นรัชทายาท โตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยมีใครกล้าแตะต้องเขา นับประสาอะไรกับส่วนที่ไวต่อความรู้สึกอย่างส่วนกลางลำตัว หลังจากมีฉู่จิ่นเหยา ฉินอี๋ก็ค่อยๆ เปิดเขตหวงห้ามนี้ให้นาง แต่ฉู่จิ่นเหยาก็เพียงแต่จับมือควงแขนในเวลาที่ต้องการออดอ้อนหรือมีเรื่องจะขอร้อง น้อยครั้งที่จะใกล้ชิดสนิทสนมเช่นนี้โดยที่สวมเสื้อผ้าอยู่ ฉินอี๋คิดจะดิ้นให้หลุด ทว่ายิ่งขยับฉู่จิ่นเหยาก็ยิ่งออกแรงมากขึ้น อีกทั้งฉินอี๋ไม่กล้ากระชากนางออกไปจริงๆ กลัวว่าจะลงมือหนักจนทำให้นางบาดเจ็บ สุดท้ายเขาก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วกล่าวขึ้น
“ข้าไม่ไป เจ้าปล่อยมือก่อน”
“หม่อมฉันไม่ปล่อย พระองค์ต้องคิดจะไปหาผู้อื่นเป็นแน่ ถึงได้จงใจมาว่าหม่อมฉัน”
นี่มันเรื่องอะไรกัน ฉินอี๋ถูกกล่าวหากลับก็รู้สึกงุนงง เขาร่างแข็งทื่อ ไม่คุ้นชินกับการสัมผัสทางกายที่สนิทสนมเช่นนี้ ปกติที่ผ่านมายามอยู่บนเตียงหรือไม่ก็บนตั่งล้วนเป็นเขาที่เป็นฝ่ายกระทำ ความรู้สึกย่อมไม่เหมือนกัน แต่ครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายถูกกอด มิหนำซ้ำเนื่องจากท่าทาง ลำตัวท่อนบนของฉู่จิ่นเหยาจึงเบียดกับส่วนกลางลำตัวของเขา เมื่อออกแรงก็ยิ่งแนบแน่น ฉินอี๋หมดปัญญาแล้วจริงๆ ได้แต่พยายามผ่อนคลายร่างกาย ยกมือโอบไหล่ฉู่จิ่นเหยาไว้
“ข้าไม่ได้หลอกเจ้า ไม่ไปจริงๆ เจ้าปล่อยมือก่อน…” ฉินอี๋พูดจบก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนรีบก้มลงไปเชยคางของฉู่จิ่นเหยา “เจ้าร้องไห้หรือ”
ฉู่จิ่นเหยาหลบมือของฉินอี๋ เบือนหน้าหนีไปอีกทาง “หม่อมฉันไม่ได้ร้องไห้!”
สิ่งที่ทำให้ฉินอี๋กลัวได้บนโลกนี้มีอยู่ไม่กี่อย่าง และน้ำตาของสตรีก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาถอนหายใจ “ไม่เคยเห็นใครกล่าวหาคนกลับได้เก่งเท่าเจ้าจริงๆ เป็นเจ้าหลอกลวงคนแท้ๆ ข้ายังไม่ทันว่าอะไรเจ้าก็ร้องไห้แล้ว”
ฉู่จิ่นเหยาก้มหน้าไม่ยอมเงยขึ้นมา ฉินอี๋ใจอ่อนนานแล้ว ค่อยๆ โอบไหล่ของฉู่จิ่นเหยาแล้วนั่งลง ไฉนเลยจะยังจำได้ว่าตนเองต้องโมโหอยู่ หลังนั่งลงดีแล้วเขาก็เช็ดน้ำตาให้ฉู่จิ่นเหยา
“พอแล้ว ข้าไม่คิดจะดุเจ้า ไม่ต้องร้องแล้ว”
“พระองค์ไม่ไปแล้วหรือ” ฉู่จิ่นเหยาค่อยๆ หยุดร้องไห้ เหลือบตามองเขาด้วยน้ำตาเอ่อคลอ
ไม่ว่าใครถูกดวงตาเช่นนี้มองล้วนโมโหไม่ลง เดิมทีฉินอี๋เคยคิดว่ามีเพียงคนจำพวกบิดาของเขาเท่านั้นที่ถูกน้ำตาสตรีทำให้หวั่นไหว ขอเพียงเป็นผู้ทำการใหญ่จิตใจหนักแน่นล้วนไม่มีทางหวั่นไหว แต่ครั้นถึงคราวตนเองถึงได้ค้นพบว่าที่แท้เขาก็ไม่มีหลักการเช่นเดียวกัน ฉินอี๋ฟังที่ฉู่จิ่นเหยาพูดแล้วก็ทั้งปวดใจและขบขัน
“ที่นี่เป็นตำหนักของข้า ข้าจะไปที่ใดได้”
คิดไม่ถึงว่าฉู่จิ่นเหยาได้ยินคำตอบนี้แล้วหาได้ดีใจไม่ ยังคงเศร้าซึมอยู่เช่นเดิม “รัชทายาท พระองค์รู้หรือไม่ว่าวันนี้เป็นวันอะไร”
สิ่งที่นางต้องการย่อมมิใช่คำตอบ ‘วันที่แปดเดือนหนึ่ง’ แน่นอน ฉินอี๋เลิกคิ้วน้อยๆ เขาย้อนนึกเงียบๆ ว่าช่วงนี้มีเรื่องอะไรที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของฉู่จิ่นเหยาได้อีก โชคดีที่เขาได้รับคำชมจากราชครูมาตั้งแต่เล็กว่าฉลาดมีไหวพริบ ความจำเป็นเลิศ เขาจึงคิดเชื่อมโยงได้อย่างรวดเร็ว
“วันนี้เป็นวันที่พวกเราแต่งงานกันครบหนึ่งเดือน”
หลังฉู่จิ่นเหยาได้ยินคำตอบนี้ยิ่งเศร้าซึมหนัก “รัชทายาท สำหรับพระองค์นี่เป็นวันแต่งงานครบหนึ่งเดือน แต่สำหรับหม่อมฉันนี่เป็นวันสิ้นสุดกฎระเบียบของบรรพชน เป็นวันที่หม่อมฉันควรตระเตรียมอนุและสาวใช้ให้พระองค์”
คราวนี้ฉินอี๋ถึงค่อยนึกได้ ในวังหลวงมีกฎว่าแต่งงานเดือนแรกห้ามค้างคืนข้างนอกจริงๆ นี่เป็นการปฏิบัติที่ภรรยาเอกคนแรกเท่านั้นที่จะได้รับ ถึงจะเป็นฮองเฮา แต่ถ้ามาทีหลังก็ไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ทว่าอันที่จริงกฎของบรรพชนข้อนี้วางไว้ให้ดูดีเท่านั้น บุรุษสกุลฉินมีไม่กี่คนที่จะเห็นเป็นจริงเป็นจัง
คำพูดนี้ของฉู่จิ่นเหยารวมกับที่เมื่อครู่นางบอกว่าไปตำหนักคุนหนิงของฮองเฮามา ฉินอี๋ก็รู้ได้ไม่ยากว่าความผิดปกติในวันนี้มีที่มาจากที่ใด ฉินอี๋เชยคางฉู่จิ่นเหยาขึ้นมา แม้จะเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงกลับมั่นใจอย่างยิ่ง
“นางบีบบังคับให้เจ้ารับอนุให้ข้าหรือ”
“จำเป็นต้องบีบบังคับเสียที่ใดกัน นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ” ฉู่จิ่นเหยาอยากจะดึงคางของตนกลับมา แต่นางขยับเพียงเล็กน้อยก็ถูกฉินอี๋ยึดไว้ด้วยมือที่มั่นคง สุดท้ายฉู่จิ่นเหยาก็ยอมแพ้ นางหลุบตาลง ไม่สบตากับฉินอี๋ “รัชทายาท นี่เป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว พระองค์เป็นรัชทายาท ไม่ต้องพูดถึงสนมชายาเต็มตำหนัก อย่างน้อยสามภรรยาสี่อนุก็พึงมี อีกไม่กี่วันหม่อมฉันต้องคัดเลือกสตรีตระกูลสูงศักดิ์เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมความสามารถ ชาติกำเนิดดี อีกทั้งอ่อนโยนเป็นกุลสตรีจากตระกูลขุนนางใหญ่มาเป็นเสวี่ยนซื่อ* หม่อมฉันไม่ใช่ภรรยาที่ดี ไม่อาจถกเรื่องวรรณกรรมประวัติศาสตร์รวมถึงดีดพิณเดินหมากเป็นเพื่อนพระองค์ได้ และไม่สามารถช่วยพระองค์ใคร่ครวญเรื่องในราชสำนักได้เช่นกัน ทว่าโชคดีที่ยังมีสตรีอื่น พวกนางแตกฉานตำรับตำรา จะต้องได้รับความโปรดปรานจากรัชทายาทยิ่งกว่า”
ฉินอี๋ทำท่าคล้ายตรึกตรอง “ที่แท้นี่ก็เป็นสาเหตุให้เจ้าแสร้งล้มป่วยในวันนี้”
“รัชทายาท!” ฉู่จิ่นเหยาราวกับพองขนในชั่วพริบตา “พระองค์ได้ฟังหรือไม่ว่าหม่อมฉันกำลังพูดอะไร!”
เดิมทีฉินอี๋อยากจะคงความน่าเกรงขามของผู้เป็นรัชทายาทและสามีไว้ แต่พอได้ยินวาจาของฉู่จิ่นเหยา เขาก็กลั้นขำไม่ไหว ดวงตาเขาเป็นประกายวาววับ ยิ้มพลางมองนาง
“เจ้ากล้าแผดเสียงใส่ข้าเช่นนี้ ยังต้องกลัวเรื่องพวกนี้อีกหรือ”
ฉู่จิ่นเหยามองตาฉินอี๋ ลอบตกตะลึงในความงดงามของดวงตาคู่นี้ ทว่าราวกับเป็นกฎเหล็กตามธรรมชาติ สิ่งที่ยิ่งงดงามจะยิ่งอันตราย ดวงตาคู่นี้ยิ้มให้นางได้ แต่ก็มองใต้หล้าอย่างเยาะเย้ยได้เช่นกัน คำพูดเพียงไม่กี่คำสามารถตัดสินชะตาของตระกูลหนึ่ง พระราชทานความเป็นความตายได้ตามใจชอบ
ฉินอี๋มองสีหน้าของฉู่จิ่นเหยา ค่อยๆ เก็บงำกิริยาเจ้าชู้ของตนลงไป ประคองใบหน้านางไว้อย่างอ่อนโยนและจริงจัง ขยับเข้าไปใกล้ช้าๆ จวบจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน ขนตาแทบจะสัมผัสกัน
ฉู่จิ่นเหยากลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ฉินอี๋มองดูท่าทางประหม่าของนางก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “วางใจเถิด ข้าไม่มีคนอื่นแน่นอน”
“พระองค์ทรงหลอกหม่อมฉัน”
“จริงๆ” ฉินอี๋กล่าว “ฐานะของตำหนักบูรพาลึกลับซับซ้อน ไม่เหมาะจะผูกสัมพันธ์กับขุนนางในราชสำนักลึกซึ้งไปกว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นไม่ห่วงได้น้อยแต่ห่วงแบ่งไม่เท่า อำนาจในราชสำนักพัวพันกันยุ่งเหยิง อย่างไรเสียข้าก็ไม่อาจเลือกบุตรสาวของขุนนางใหญ่เข้ามาทั้งหมดได้ ดังนั้นข้าจึงไม่คิดจะรับแม้แต่คนเดียว”
“เช่นนั้นนางกำนัลเล่า สตรีในวังก็เป็นสตรีตระกูลดีบริสุทธิ์ผุดผ่องที่ผ่านการคัดเลือกหลายขั้นจากในหมู่ราษฎรเช่นกัน ในจำนวนนี้ไม่ขาดแคลนโฉมงามมากความสามารถ พวกนางเล่า”
ฉินอี๋เย่อหยิ่งไร้เทียบเทียม เผยแววตาดูแคลนออกมาจริงดังคาด “รัชทายาทอย่างข้าไม่เห็นอยู่ในสายตา”
ฉู่จิ่นเหยาทนไม่ไหวในที่สุด หัวเราะออกมาทั้งน้ำตา
เดิมทีคนทั้งสองก็อยู่ใกล้กัน ครั้นคนงามหัวเราะอย่างสบายใจ ดวงหน้างามก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา ฉินอี๋ทำตามความคิดของตนโน้มกายไปสำรวจริมฝีปากสีแดงสดคู่นั้น ฉู่จิ่นเหยานึกว่าจุมพิตนี้จะหยุดเพียงผิวเผินเหมือนก่อนหน้านี้ แต่คิดไม่ถึงว่าคราวนี้ฉินอี๋ไม่คิดจะปล่อยไปง่ายๆ จุมพิตค่อยๆ เริ่มลึกซึ้ง ฉู่จิ่นเหยาเปรียบดั่งเรือน้อยกลางคลื่นสมุทร สูญเสียการควบคุมโดยสิ้นเชิง ไหลไปตามคลื่น เอวค่อยๆ เอนไปด้านหลัง สุดท้ายก็จมลงกลางผ้าห่มแพรสีแดง
ฉู่จิ่นเหยารู้สึกได้ถึงมือของฉินอี๋ที่สอดเข้ามาในสาบเสื้อนาง นางตกใจได้สติในทันใด “รัชทายาท ไม่ได้เพคะ!”
การถูกร้องห้ามในเวลาเช่นนี้มิใช่เรื่องน่ายินดี ดวงตาทั้งสองของฉินอี๋มองนางด้วยประกายดำมืด ฉู่จิ่นเหยาแก้มแดงก่ำ พูดเสียงแผ่วเบา
“รัชทายาททรงลืมแล้วหรือ ระดูหม่อมฉันมาแล้ว!”
ในฐานะที่เป็นสามีภรรยาคู่ใหม่ซึ่งมีชีวิตคู่กลมเกลียวกันอย่างยิ่ง ฉินอี๋ย่อมรู้ว่าระดูของฉู่จิ่นเหยามาวันใด มาทั้งหมดกี่วัน
รัชทายาทผู้มีความจำดีเลิศขมวดคิ้ว “ไยถึงเป็นวันนี้”
“หม่อมฉันก็ไม่รู้ รอบนี้มาก่อนกำหนด”
ฉินอี๋ถอนหายใจหนักๆ เขาถูกกระตุ้นเต็มที่แล้ว แต่กลับทำไม่ได้ ฉู่จิ่นเหยาทั้งกระอักกระอ่วนทั้งขบขัน
“เรื่องนี้โทษหม่อมฉันไม่ได้ รัชทายาท…”
ฉู่จิ่นเหยาเอื้อมไปเขย่าแขนเสื้อของฉินอี๋ ฉินอี๋จนปัญญากับสตรีที่ตีก็ไม่ได้ด่าทอก็ไม่ได้คนนี้ของตนเอง ทำได้เพียงหักห้ามใจ ดึงผ้ามาห่มให้ฉู่จิ่นเหยาพร้อมกับจับแขนทั้งสองของนางสอดเข้าไปในผ้าห่ม
“ข้าจะจำไว้ คราวหน้าจะมาทวงคืน”
ฉู่จิ่นเหยาถูกจับยัดกลับเข้าไปในผ้าห่ม แทบจะโผล่มาเพียงดวงตาทั้งสอง “เช่นนั้นพระองค์ไม่กริ้วแล้วใช่หรือไม่ วันนี้หม่อมฉันมิได้เจตนาจะหลอกลวง…แต่หม่อมฉันไร้หนทาง ไม่กล้าพูดตรงๆ กับพระองค์”
ฉินอี๋กลับยิ้มอย่างผิดไปจากปกติ มิได้ตอบรับวาจาของฉู่จิ่นเหยาเหมือนเช่นที่แล้วมา เพียงพูดว่า “นี่เป็นคนละเรื่องกัน เจ้าใช้อุบายอวดฉลาดกับข้านั้นไม่เป็นไร แต่มีบางขอบเขตที่ไม่อาจก้าวข้ามได้ ครั้งนี้กล้าแสร้งล้มป่วยมาทำให้ข้าตกใจ ครั้งหน้าเล่า เจ้าคิดจะทำอะไรอีก”
“หม่อมฉัน…”
“หืม?”
“ก็ได้ หม่อมฉันผิดไปแล้ว”
“สำนึกผิดก็ดี เรื่องวันนี้มีหลิงหลงเกี่ยวข้องด้วยกระมัง ลงโทษหักเบี้ยหวัดนางสามเดือนตามกฎของวัง เห็นแก่ที่นางยังต้องปรนนิบัติข้างกายเจ้า ให้ยั้งโทษโบยไว้ก่อน หากวันหน้ากล้าทำผิดอีกให้รับโทษรวมด้วยกัน”
หลิงหลงเฝ้าอยู่ข้างนอกมาโดยตลอด พอได้ยินชื่อของตนเองแว่วๆ นางก็เข้าประตูมาคุกเข่ารับโทษอยู่ไกลๆ ทันที หลังฉู่จิ่นเหยาได้ยินก็มีสีหน้าร้อนใจยิ่ง นางอยากออกจากผ้าห่ม แต่กลับถูกฉินอี๋ใช้มือข้างหนึ่งกดให้นอนลงไป
“รัชทายาท หม่อมฉันเป็นคนทำ พระองค์ทรงลงโทษนางเพื่ออันใด”
ฉินอี๋มีท่าทางเยือกเย็นเป็นธรรมชาติ มองฉู่จิ่นเหยาอย่างเย้าแหย่ “เจ้าล้มป่วยมิใช่หรือไร เจ้านายต้องความเย็นจนไม่สบาย บ่าวรับใช้ไม่ควรถูกลงโทษหรือ”
“มิใช่เช่นนั้น…”
ฉู่จิ่นเหยายังพูดไม่ทันจบ หลิงหลงก็โขกศีรษะเอ่ยปากรับการลงโทษทันที “รัชทายาททรงสั่งสอนได้ถูกต้อง บ่าวขอรับโทษเพคะ”
ฉู่จิ่นเหยายังอยากจะพูดอีก แต่หลิงหลงกลับส่ายหน้าให้ฉู่จิ่นเหยาเงียบๆ พลางขยับปากบอกฉู่จิ่นเหยาอย่างไร้สุ้มเสียง จากนั้นก็ถอยออกไปแล้วปิดประตู
หลังหลิงหลงไปแล้ว ฉินอี๋ก็มองฉู่จิ่นเหยาด้วยสายตาเรียบเฉย แม้จะไม่ได้พูดสักคำ แต่ฉู่จิ่นเหยาเข้าใจความหมายของเขาแล้ว
เรื่องอย่างการแสร้งล้มป่วยครั้งนี้ให้เป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย ห้ามมีครั้งต่อไปอีก ฉินอี๋ตัดใจลงโทษฉู่จิ่นเหยาไม่ลง แต่บ่าวไพร่ข้างล่างกลับหนีไม่รอดแม้แต่คนเดียว
ฉู่จิ่นเหยานอนอยู่ในผ้าห่มพลางมองฉินอี๋ รู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าชาตินี้ตนเองคงหนีไม่พ้นเงื้อมมือเขา ฉินอี๋สอดมุมผ้าห่มให้ฉู่จิ่นเหยาอีกเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น
“หยุดคิดฟุ้งซ่านได้แล้ว นอนไปดีๆ”
ฉู่จิ่นเหยาเผลอตอบรับ จากนั้นก็ฉุกคิดได้ว่าเมื่อครู่ฉินอี๋กระตุ้นไฟในกายกับนาง เขาให้นางนอนหลับ เช่นนั้นเขาจะไปที่ใด
ฉู่จิ่นเหยายังไม่ทันรู้ตัว ร่างกายของนางก็ขยับแล้ว มือของนางคว้าเข้าที่แขนของฉินอี๋ การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วปราดเปรียวจนชวนให้คนทึ่ง
“พระองค์จะไปที่ใด”
“ข้าไม่ได้ออกไปที่ใด” ฉินอี๋จับมือของฉู่จิ่นเหยาออกแล้วสอดกลับเข้าไปในผ้าห่มด้วยท่าทางจนใจ “เจ้าหลับอย่างวางใจเถิด ข้าจะอยู่เฝ้าเจ้าตรงนี้”
ฉู่จิ่นเหยามองกิริยาท่าทางของฉินอี๋ พบว่าเขาไม่มีท่าทีจะออกไปจริงๆ ถึงได้เอนกายลงนอนในผ้าห่มแพรอย่างวางใจ
“รัชทายาท พระองค์…บรรทมเร็วหน่อยเถิด”
ฉู่จิ่นเหยากระแอมกระไออย่างเก้อเขินคราหนึ่ง ละคำพูดบางส่วนไว้ ฉินอี๋มองนางอย่างไม่สบอารมณ์ ฉู่จิ่นเหยาก่อเรื่องวุ่นวายมาทั้งคืนจนเหน็ดเหนื่อยแล้ว การแสร้งล้มป่วยมิใช่งานเบาๆ ฝีมือการแสดงของนางไม่ดีจนถูกเปิดโปงคาหนังคาเขา หลังจากนั้นยังคุยกับฉินอี๋อีกเป็นนาน พอเงียบลงนางก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
ฉินอี๋มองดูฉู่จิ่นเหยาค่อยๆ เงียบไปจนสุดท้ายเข้าสู่นิทรา
บทที่ 87.2 พ่ายแพ้ยับเยิน
อันที่จริงเรื่องที่ฉินอี๋พูดเมื่อครู่นี้เป็นเรื่องเหลวไหลเสียครึ่งหนึ่ง หากกลัวว่าเลือกบุตรสาวจากตระกูลขุนนางใหญ่จะทำให้ราชสำนักฝ่ายหน้าเสียสมดุล เช่นนั้นสนมชายามากมายเพียงนั้นในวังมาจากที่ใดกัน ขุนนางมีอำนาจเพียงไรก็ยังเป็นขุนนาง เลือกสนมชายาจากตระกูลขุนนางใหญ่มีแต่จะทำให้พวกเขาสำนึกในบุญคุณ พร้อมทั้งทุ่มเทกำลังทำงานมากขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง วิถีของฮ่องเต้อยู่ที่การถ่วงดุล และการถ่วงดุลตำหนักในเดิมทีก็เป็นทักษะการอยู่รอดที่จำเป็นต้องมี
แต่ขณะที่ฉินอี๋รับปากฉู่จิ่นเหยาว่า ‘ไม่มีคนอื่นแน่นอน’ เขารู้ว่าตนเองพูดจากใจจริง
ฉู่จิ่นเหยาถูกกล่อมสำเร็จ บัดนี้เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสบายใจ แต่ฉินอี๋หลอกตนเองไม่ได้ เขาถามซ้ำไปซ้ำมาในใจว่าเพราะอะไร
คำถามนี้อันที่จริงฉินอี๋คิดมาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนที่เขาขอพระราชโองการพระราชทานสมรสจนได้สนทนาความในใจกับฉู่จิ่นเหยาในคืนแต่งงาน จวบจนวันนี้ที่ปล่อยให้ฉู่จิ่นเหยาใช้การแสร้งล้มป่วยมาหลอกลวงเขา เขาเติบโตมาท่ามกลางการอบรมสั่งสอนที่ละเอียดถี่ถ้วนและเข้มงวดกวดขันที่สุดในแว่นแคว้น เขาใจดำกับขุนนางได้ แต่ก็เหี้ยมโหดกับตนเองได้ยิ่งกว่า ยี่สิบปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยตระหนี่ที่จะเค้นถามตนเอง คัดเอาความเกียจคร้าน ความลังเล และความรู้สึกว่าโชคช่วยภายในใจตนเองออกมา ขูดเอาเนื้อเน่าที่ดำมืดและรัดรึงเหล่านี้ออกจากกระดูกของเขา จากนั้นก็เดินหน้าไปด้วยความเข้มแข็งแน่วแน่
หลายปีก่อนราชครูก็เคยบอกว่ารัชทายาทฉินอี๋มีปฏิภาณไหวพริบแต่กำเนิด ไม่เพียงด้านตำรับตำราที่ชี้แนะเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจ ด้านการใช้พละกำลังอย่างขี่ม้ายิงธนูก็เรียนรู้ได้เร็วกว่าผู้อื่น แม้แต่ใจคนก็ยังตระหนักรู้ได้อย่างฉับไวปานสายฟ้าแลบ เขาใคร่ครวญความคิดความอ่านของพวกเจ้าเล่ห์เหล่านั้นในราชสำนักได้ ดังนั้นมีหรือที่นานปานนี้แล้วจะยังมองหัวใจตนเองไม่ออก
เขาคิดหาคำตอบไม่ได้จริงๆ หรือเขาแค่ไม่ยินดีจะยอมรับ เขาปล่อยให้ฉู่จิ่นเหยาเข้าใกล้เขาทีละก้าว แต่ทุกครั้งที่ฉู่จิ่นเหยาถามว่าเพราะอะไร เขากลับหลบเลี่ยงอย่างหลอกตนเองอยู่ร่ำไป แต่ละวันผ่านไปเช่นนี้ จมลงในปลักโคลนที่ลึกลงทุกที ในที่สุดประกายไฟเล็กๆ ก็ขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นเพลิงกองใหญ่ภายใต้การโหมกระพือของตัวเขาเอง จวบจนวันนี้ฉินอี๋พลันตระหนักได้ว่าแม้แต่หลอกตนเองเขาก็คล้ายจะทำไม่ได้แล้ว
บัดนี้ฉินอี๋มองดูใบหน้ายามหลับของฉู่จิ่นเหยาท่ามกลางแสงเทียนสีเหลืองอบอุ่น นางมีผิวพรรณขาวนวลเนียนปานหยก เรียวคิ้วและดวงตางามคมขำ ริมฝีปากรูปกระจับสีแดงก่ำ ดั่งภาพวาดหญิงงามที่ถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยความพิถีพิถัน
ไฉนเลยจะมีข้อยกเว้นมากเพียงนั้น ข้อยกเว้นทั้งหมดก็แค่เพราะว่าสตรีผู้นี้พิเศษเท่านั้นเอง ควรจะตระหนักรู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ยกเว้นให้สตรีผู้นี้โดยเฉพาะแล้ว แต่ฉินอี๋แข็งใจไม่ลง กว่าเขาจะตระหนักในเรื่องทั้งหมดนี้ได้ก็พ่ายแพ้ยับเยิน เละเทะไม่เป็นท่าแล้ว
ขอเพียงเป็นเรื่องอารมณ์ความรู้สึก กว่าจะรู้สึกตัวล้วนสายเกินไป
วันรุ่งขึ้น พอฉู่จิ่นเหยาตื่นขึ้นมา ฉินอี๋ก็ไม่อยู่แล้ว
ข้างกายยังมีความอบอุ่นจากร่างเขาหลงเหลืออยู่ ฉู่จิ่นเหยาใช้ปลายนิ้วลูบไล้ความอบอุ่นน้อยๆ นี้ รู้สึกสบายใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เสี่ยวฉีฮองเฮาบีบบังคับให้นางรับอนุ นางสามารถแสร้งคล้อยตามได้ คนในตำหนักบูรพาลับหลังไม่ยอมรับนับถือนาง นางก็ค่อยๆ กำราบได้ แต่ถ้าสามีของนางไม่ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับนาง นางก็หมดสิ้นหนทางแล้ว
รับอนุ ดูแลตำหนัก ปกครองบ่าวไพร่ จริงอยู่ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นกลอุบายสายฟ้าฟาดสำหรับทดสอบผู้เป็นนายหญิง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นท่าทีของนายท่านผู้เป็นสามี
ฉู่จิ่นเหยาคิดถึงตรงนี้ในใจก็พลันมีกระแสความร้อนแผ่ซ่านขึ้นมา ในชั่วชีวิตจวบจนถึงตอนนี้ซึ่งไม่นับว่ายาวนานของนางไม่มีใครดีต่อนางมากไปกว่าฉินอี๋แล้ว เขาให้การชี้แนะนาง ให้ตำแหน่งฐานะแก่นาง บัดนี้ยังมอบความไว้เนื้อเชื่อใจที่หาได้ยากไว้ในมือนางอีก ในใต้หล้านี้มีบุรุษสักกี่คนที่พูดคำว่า ‘มีเพียงเจ้า’ ออกมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นถึงรัชทายาท
คนสมัยนี้ให้ความสำคัญกับการรักษาคำพูด ในเมื่อเขาพูดเช่นนี้ออกมาได้ คิดว่าในใจจะต้องคิดมาเป็นอย่างดีแล้ว ฉินอี๋ยื่นมือมาให้ก่อน ฉู่จิ่นเหยาก็ยินดีจะเชื่อใจเขาอย่างสุดกำลัง มิใช่มัวแต่ไปคิดว่าถ้าเกิดภายภาคหน้าเขาเปลี่ยนใจจะทำอย่างไร ใจคนล้วนทำจากเนื้อ ความรู้สึกจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนกัน ต่างฝ่ายต่างต้องตั้งใจดูแลปกป้องกัน โดยเฉพาะสามีภรรยา
ฉู่จิ่นเหยาคิดได้เช่นนี้ในใจพลันเกิดความฮึกเหิม เสี่ยวฉีฮองเฮาจ้องจะตะครุบ ซูเฟยยุแยงตะแคงรั่ว วันข้างหน้ายังมีน้องสะใภ้ที่มีท่าทีคลุมเครืออย่างจ้าวหลันฮุยอีกคน มีที่ที่ต้องการชายารัชทายาทอย่างนางอยู่อีกมากเชียว
ฉู่จิ่นเหยากระฉับกระเฉงตลอดทั้งเช้า เหล่าบ่าวหญิงที่รับใช้ต่างพากันระแวง ในวังล้วนเล่าลือกันว่านกกระจอกสองตัวอย่างเอ่อร์ฮวากับเอ่อร์เสวี่ยกำลังจะบินขึ้นยอดไม้กลายเป็นพญาหงส์แล้ว เหตุใดชายารัชทายาทไม่เห็นมีท่าทีระแวดระวัง ยังคงมีความสุขเป็นพิเศษ
หลิงหลงที่รู้เรื่องราวภายในเพียงยิ้มโดยไม่พูดอะไร วันนี้นางเห็นชายารัชทายาทก็รู้แล้วว่าปมในใจของอีกฝ่ายกับรัชทายาทน่าจะคลายลงแล้ว ส่วนเรื่องที่ถูกหักเบี้ยหวัดนางหาได้ใส่ใจไม่ โทษนี้ได้รับอย่างมีเกียรติยิ่ง
เมื่อผ่านพ้นเทศกาลซั่งหยวน บรรยากาศปีใหม่ก็สลายไป ที่ต่างๆ กลับมาทำงานตามเดิม ครั้นเข้าเดือนสองในวังก็เริ่มงานยุ่งอีกครั้ง วันอภิเษกสมรสขององค์หญิงใหญ่มาถึงแล้ว เนื่องด้วยพิธีอภิเษกสมรสขององค์หญิงใหญ่ คนงานโยกย้ายบ่อยครั้ง คนหน้าใหม่เริ่มเคลื่อนไหวหมุนเวียนอย่างไร้สุ้มเสียง ผู้ที่จับตาดูอย่างหงหมัวมัวเข้ามารายงานเงียบๆ
“พระชายา ทางนั้นส่งคนมาอีกแล้วเพคะ”
ฉู่จิ่นเหยาหน้าไม่เปลี่ยนสี สายตาสงบนิ่ง คิดว่าครั้งนี้ฮองเฮาคงเก็บงำท่าทีดูถูกนางลงไปแล้ว ทั้งยังหยั่งเชิงนางโดยเห็นเป็นคู่ต่อสู้อย่างแท้จริง ถัดจากนี้ฉู่จิ่นเหยามิอาจใช้การแสร้งโง่ตบตารับมือให้ผ่านไปได้แล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 พ.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.