บทที่ 88.1 สายลมเกิดเหนือยอดแหน
เดือนสอง ในวังมีโคมไฟและผ้าหลากสีประดับประดาทั่วทุกหนแห่ง วันนี้เป็นวันออกเรือนขององค์หญิงใหญ่ ย่อมต้องคึกคักครึกครื้น
ฉู่จิ่นเหยาสวมชุดเข้าเฝ้าสำหรับชายารัชทายาท แย้มยิ้มพลางตบหลังมือองค์หญิงใหญ่เบาๆ จากนั้นก็หลบออกมาให้แม่นมมงคล คลุมผ้าคลุมหน้าสีแดงให้องค์หญิงใหญ่ เมื่อพิธีในวังเสร็จสิ้น ฉู่จิ่นเหยาก็นั่งรถม้าไปยังจวนองค์หญิงหรู่หนิง
องค์หญิงใหญ่ได้รับแต่งตั้งเป็นองค์หญิงหรู่หนิง อภิเษกสมรสกับไฉอันคุณชายเล็กของอี๋ชุนโหวสกุลไฉ องค์หญิงหรู่หนิงเป็นองค์หญิงพระองค์แรกในวัง พิธีอภิเษกสมรสของนางแม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไต่ถามอยู่หลายครา จึงย่อมยิ่งใหญ่มากเป็นธรรมดา ฉู่จิ่นเหยามีฐานะเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ขององค์หญิงหรู่หนิง พิธีจะขาดใครไปก็ได้แต่ต้องมิใช่นาง ฉู่จิ่นเหยามาที่ตำหนักขององค์หญิงใหญ่ด้วยตนเอง คอยอยู่ข้างๆ ยามองค์หญิงใหญ่หวีผม ประทินโฉม และเปลี่ยนชุดเจ้าสาว หลังจากนั้นยังไปร่วมสร้างความน่าเกรงขามยังจวนองค์หญิงหรู่หนิงด้วย มีชายารัชทายาทมาส่งเจ้าสาวด้วยตนเอง นี่เป็นเรื่องที่มีหน้ามีตาที่สุดในบรรดาพิธีอภิเษกสมรสขององค์หญิงทุกยุคสมัย
ถึงแม้ฉู่จิ่นเหยาจะเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ขององค์หญิงใหญ่ แต่ขณะเดียวกันนางก็เป็นถึงชายารัชทายาท ยามไปร่วมพิธีจะไปเร็วไม่ได้เป็นอันขาด กว่ากองเกียรติยศและรถม้าของนางจะมาถึงจวนองค์หญิงหรู่หนิง คนที่มาร่วมพิธีต่างก็มาถึงกันไม่น้อยแล้ว ส่วนคนสกุลไฉได้รับข่าวอยู่นานแล้ว ล้วนมารอกันอยู่ที่หน้าประตูรอง
นี่คือความแตกต่างของการได้แต่งงานกับองค์หญิงของราชวงศ์ สถานที่จัดพิธีแต่งงานโดยทั่วไปล้วนเป็นบ้านฝ่ายชาย แต่องค์หญิงนั้นไม่เหมือนกัน องค์หญิงมีจวนของตนเอง หาได้อาศัยร่วมกับคนในบ้านสามีไม่ ดังนั้นในวันอภิเษกสมรส แขกผู้มีเกียรติตัวจริงล้วนอยู่ที่จวนองค์หญิงหรู่หนิง แม้ที่จวนอี๋ชุนโหวจะจัดงานเลี้ยงเช่นกัน แต่ก็ต้องแบ่งคนบางส่วนมาที่จวนองค์หญิงหรู่หนิงเพื่อต้อนรับแขกจากราชวงศ์
ในห้องโถงงานเลี้ยงบรรดาสตรีพร้อมคนในครอบครัวเดิมทีกำลังสนทนากันอย่างออกรส จู่ๆ ได้ยินว่าชายารัชทายาทมาถึงแล้ว ในห้องโถงใหญ่ก็เงียบกริบ คนทั้งหมดต่างมองไปที่ประตู
ฉู่จิ่นเหยาสวมชุดพิธีการสีแดงตามตำแหน่งชายารัชทายาท ค่อยๆ เดินเข้ามาพร้อมด้วยฮูหยินใหญ่ของสกุลไฉ ครั้นเหล่าฮูหยินที่อยู่ด้านในเห็นว่าเป็นชายารัชทายาทจริงๆ ก็พาบุตรสาวทั้งหลายมาทำความเคารพฉู่จิ่นเหยา
“ถวายบังคมชายารัชทายาท”
คำกล่าวทักทายดังอย่างต่อเนื่อง ฮูหยินผู้หนึ่งพบว่าชายารัชทายาทถึงกับยิ้มมาทางตนเองก็มีสีหน้าเปล่งประกายทันที แต่ความจริงแล้วผู้ที่กล่าวทักทายมีมากเกินไป ฉู่จิ่นเหยาจำหน้าคนเหล่านี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
นางไปเยี่ยมเจ้าสาวในห้องหอก่อน จากนั้นถึงกลับมาร่วมงานเลี้ยงที่ห้องโถงด้านหน้า บัดนี้ยังไม่ถึงฤกษ์งามยามดี งานเลี้ยงยังไม่เริ่มต้น ช่วงเวลานี้จึงเป็นเวลาพบปะสนทนาอันล้ำค่าของบรรดาสตรี
ผู้ที่อยากคุยกับฉู่จิ่นเหยามีนับไม่ถ้วน ฉู่จิ่นเหยาเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ขององค์หญิงหรู่หนิง ต้องช่วยหนุนหลังน้องสาวสามี ดังนั้นจึงยิ้มแย้มให้ฮูหยินใหญ่สกุลไฉตลอดเวลา แม้แต่บรรดาคุณหนูของจวนอี๋ชุนโหวมาคารวะ นางก็เรียกมาคุยสองสามคำเช่นกัน
คนของจวนอี๋ชุนโหวต่างมีสีหน้าเปล่งประกายขึ้นมาในชั่วขณะ คุณหนูสกุลไฉเหล่านี้ยิ่งมีหน้ามีตาต่อหน้าสหาย ลิงโลดเหลือประมาณ พอได้เกี่ยวดองเป็นญาติกับคนในราชวงศ์ก็แตกต่างไปจากเดิมแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนพวกนางจะมีโอกาสได้พูดคุยกับชายารัชทายาทเช่นนี้หรือ
มีฮูหยินมาถวายบังคมไม่ขาดสายครั้งแล้วครั้งเล่า มิหนำซ้ำพวกนางยังพาบุตรสาวของตนเองมาให้ฉู่จิ่นเหยาดู ฉู่จิ่นเหยาได้เห็นสตรีงดงามเปล่งปลั่งเป็นประกายมากเพียงนี้ในคราเดียวก็แทบจะตาลาย ขณะที่คนกลุ่มหนึ่งถอยไปแล้ว ฉู่จิ่นเหยาเล็งเห็นโอกาสก็รีบพาคนเดินออกมา
ฮูหยินพวกนี้พูดเก่งกันโดยแท้ ไม่รู้ว่าพวกนางเป็นอย่างไร แต่คนฟังอย่างฉู่จิ่นเหยานั้นเหน็ดเหนื่อยจนทนไม่ไหวแล้ว ฉู่จิ่นเหยาพาคนมาพักในที่เงียบสงบ ไม่ง่ายกว่าจะรู้สึกว่าหูของตนเองดีขึ้น ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังมาจากนอกศาลา
“ชายารัชทายาท”
ฉู่จิ่นเหยาได้ยินเสียงนี้ก็อึ้งงันไปเล็กน้อย ลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจ “พี่หญิงใหญ่!”
ฉู่จิ่นเสียนเดินยิ้มมาหา หยุดอยู่ห่างไปสามก้าว ทำท่าจะจัดเสื้อผ้าคารวะ แต่กลับถูกฉู่จิ่นเหยาห้ามไว้ “พี่หญิงใหญ่ นี่ท่านทำอะไร!”
“มารยาทละเว้นมิได้ บัดนี้พระองค์ทรงเป็นชายารัชทายาท มิอาจละเว้น”
“ท่านยังตั้งครรภ์อยู่ ข้าจะปล่อยให้ท่านคารวะข้าได้อย่างไร”
ฉู่จิ่นเหยาพูดเป็นเชิงต่อว่า ก่อนสั่งให้เจี๋ยเกิ่งหยิบผ้าห่มขนสัตว์มาด้วยความดีใจแล้วประคองฉู่จิ่นเสียนให้นั่งลงอย่างระมัดระวัง
“พี่หญิงใหญ่ หลานน่าจะอายุห้าเดือนแล้วกระมัง”
“ใช่แล้วเพคะ” เมื่อเอ่ยถึงบุตรในครรภ์ ฉู่จิ่นเสียนก็แย้มยิ้มนุ่มนวล ใบหน้ามีประกายอ่อนโยนของผู้เป็นมารดาแผ่ออกมา “เมื่อปีก่อนตั้งครรภ์ได้สามเดือนถึงกล้าส่งข่าวให้ทางบ้าน เวลานั้นครรภ์ยังไม่มั่นคง ไม่อาจออกไปข้างนอก จึงไปร่วมพิธีอภิเษกสมรสของพระองค์ไม่ได้”
แม้การที่พี่หญิงใหญ่ไม่ได้มาส่งนางยามออกเรือนจะน่าเสียดายอยู่บ้าง แต่เรื่องนี้เทียบกับหลานชายหรือหลานสาวในครรภ์ของอีกฝ่ายแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่นับเป็นอะไร ตั้งแต่ฉู่จิ่นเสียนออกเรือนไป พวกนางสองพี่น้องก็ได้พบกันน้อยครั้งนัก ต่อมาพอฉู่จิ่นเหยาได้รับพระราชทานสมรส หลังจากนั้นก็ย้ายมาเมืองหลวง พวกนางสองพี่น้องก็ยิ่งได้พบหน้ากันยากกว่าขึ้นสวรรค์ พอนับดูแล้วพวกนางสองพี่น้องไม่ได้พบกันมาหนึ่งปีเต็ม
ฉู่จิ่นเหยาเสียดาย แต่ก็วางใจยิ่ง “ยังดีที่พี่เขยย้ายมาเมืองหลวงแล้ว ต่อไปพวกเราก็จะได้พบหน้ากันบ่อยครั้ง จริงด้วย พี่หญิงใหญ่ ที่ผ่านมาท่านสบายดีหรือไม่”
ฉู่จิ่นเสียนรู้ว่าฉู่จิ่นเหยากำลังจะถามอะไร นางลำบากเรื่องการมีทายาทจริงๆ สองปีเต็มกว่าจะตั้งครรภ์ หากมิใช่มีท่านยายคอยดูแล อีกทั้งฉู่จิ่นเหยาก็แต่งงานกับรัชทายาท เกรงว่าฉู่จิ่นเสียนคงลำบากในบ้านสามีแล้ว ฉู่จิ่นเสียนถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยตอบ
“พูดเรื่องเหล่านี้ไปจะมีความหมายอะไร ตอนนี้หม่อมฉันสบายดี ไม่มีอะไรต้องห่วง”
ก็จริง คนเราควรมองไปข้างหน้า ฉู่จิ่นเหยาไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องชวนเสียใจของพี่สาว จึงเปลี่ยนเรื่องไปถามเรื่องเด็กอย่างตื่นเต้น พอพูดถึงเรื่องนี้ฉู่จิ่นเสียนที่เฉยชามาแต่ไหนแต่ไรก็มีเรื่องมากมายให้พูดเช่นกัน
“…ครรภ์นี้ของหม่อมฉันได้มาอย่างยากลำบาก ต้องดื่มยาถึงหนึ่งปีเต็มกว่าจะตั้งครรภ์ หม่อมฉันมีภาวะกายเย็นแต่กำเนิด ช่วงที่เพิ่งตั้งครรภ์สภาพครรภ์ไม่มั่นคง สามเดือนแรกยังไม่กล้าลงจากเตียง…แต่พอพ้นช่วงที่ลำบากที่สุดมาได้ก็สบายแล้ว บัดนี้เขาอายุมากแล้ว ไม่ทรมานหม่อมฉันอีกต่อไป ความอยากอาหารของหม่อมฉันกลับเพิ่มขึ้นมากด้วยซ้ำ”
ฉู่จิ่นเหยาฟังคำบอกเล่าสั้นๆ นี้แล้วก็รู้สึกทอดถอนใจ นางรู้เพียงว่าฉู่จิ่นเสียนตั้งครรภ์ไม่ง่าย คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะร้ายแรงเพียงนี้ เมื่อคำนวณเวลาดูแล้ว ในช่วงปีที่ฉู่จิ่นเสียนดื่มยา จวนฉางซิงโหวได้ย้ายมาเมืองหลวงพอดี ฉู่จิ่นเสียนอยู่ที่เมืองไท่หยวนคนเดียว ไม่รู้ว่าอดทนผ่านมาได้อย่างไร
อีกทั้งเวลานั้นฉู่จิ่นเหยากำลังเตรียมตัวแต่งงาน นางเองก็มิได้เป็นอิสระ ถึงกับไม่รับรู้ข่าวคราวของฉู่จิ่นเสียนสักนิด ฉู่จิ่นเหยาละอายใจอยู่บ้าง แต่วันนี้เป็นวันมงคล นางไม่อยากพูดเรื่องพวกนี้ให้คนเศร้าเสียใจ จึงแสร้งพูดอย่างปลาบปลื้ม
“ไม่เป็นไร ล้วนกล่าวกันว่าความขมขื่นสิ้นสุดความหวานชื่นจะตามมา หลานทรมานคนเก่งเพียงนี้ วันข้างหน้าจะต้องเป็นเด็กชายที่สดใสร่าเริงแน่นอน”
ฉู่จิ่นเสียนก็ยิ้มแล้วเช่นกัน พวกนางสองคนล้วนไม่พูดถึงว่าหากเป็นบุตรสาวจะทำอย่างไร อันที่จริงฉู่จิ่นเหยามิได้ใส่ใจว่าจะเป็นชายหรือหญิง หากเป็นเด็กหญิงจะต้องเหมือนพี่หญิงใหญ่เป็นแน่ ฉู่จิ่นเหยาชื่นชอบยิ่งกว่าเสียอีก ทว่าทายาทเป็นดั่งดาบเหนือศีรษะสตรี ครรภ์นี้ของฉู่จิ่นเสียนได้มายากลำบากเพียงนี้ ฉู่จิ่นเหยาหวังจากใจจริงว่าอีกฝ่ายจะได้บุตรชายในครั้งเดียว
ฉู่จิ่นเสียนพอคาดเดาความคิดของฉู่จิ่นเหยาได้บ้าง สำหรับตัวนางเองแล้วอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น จึงกลายเป็นฝ่ายปลอบใจฉู่จิ่นเหยาแทน
“หม่อมฉันไม่เป็นไร สกุลจ้าวไม่มีใครกล้าโหดร้ายกับหม่อมฉัน มิหนำซ้ำพี่เขยของพระองค์ก็เข้าใจในความยากลำบากของหม่อมฉัน หาได้รีบเร่งรับอนุเพื่อจะมีทายาทไม่ การที่ครอบครัวย้ายมาเมืองหลวงมีแต่จะเพิ่มความมั่นใจให้หม่อมฉัน ไฉนเลยจะมีใครไม่ดูตาม้าตาเรือถึงขั้นไม่ให้เกียรติเพราะตระกูลเดิมของหม่อมฉันไม่ได้อยู่ในท้องถิ่นแล้ว ทุกคนมีชีวิตที่ดีมีแต่จะช่วยเพิ่มความมีหน้ามีตาให้หม่อมฉัน กลับเป็นหม่อมฉันเสียอีกที่ไม่สามารถมาส่งพระองค์ออกเรือนได้ อีกทั้งไม่สามารถได้เปิดหูเปิดตากับพิธีอภิเษกสมรสของราชวงศ์ น่าเสียดายโดยแท้”
สองพี่น้องอภัยให้กัน บอกเล่าปมในใจตลอดหนึ่งปีมานี้จนเข้าใจ หัวใจยิ่งใกล้ชิดกันกว่าเดิม ฉู่จิ่นเสียนพูดเรื่องบุตรได้ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ ถามถึงเรื่องของฉู่จิ่นเหยา
“พระองค์เล่า ช่วงที่ผ่านมาทรงเป็นอย่างไรบ้าง”
ฉู่จิ่นเหยามองเห็นความวิตกกังวลในดวงตาของฉู่จิ่นเสียนก็กระจ่างแจ้งดีว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงนางจากใจจริง แต่ก็กลัวว่าจะพูดแทงใจดำนาง ฉู่จิ่นเหยายิ้มเล็กน้อย กุมมือฉู่จิ่นเสียนพลางเอ่ยตอบ
“ข้าก็สบายดีเช่นกัน”
ฉู่จิ่นเสียนถามเสียงเบา “มีข่าวดีหรือยัง”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ฉู่จิ่นเหยาก็มีท่าทีหดหู่ นางส่ายหน้าน้อยๆ ฉู่จิ่นเสียนเห็นแล้วก็ถอนหายใจอย่างวิตก
“หม่อมฉันมีภาวะกายเย็นมดลูกเย็นแต่กำเนิด ตั้งครรภ์ไม่ง่าย พระองค์คงมิได้เป็นเหมือนกันกระมัง”
ฉู่จิ่นเหยาไม่รู้จริงๆ เดิมทีนางคิดว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน นางกับฉินอี๋อายุยังน้อย มีอะไรต้องรีบร้อนกัน แต่คนข้างกายแต่ละคนล้วนกังวลแทบทนไม่ไหวกับเรื่องที่นางยังไม่ตั้งครรภ์เสียที ฉู่จิ่นเหยาจึงค่อยๆ เริ่มร้อนใจขึ้นมา
แต่การตั้งครรภ์มิใช่เรื่องที่แค่พูดก็จะสำเร็จ ปกติแล้วภรรยาเอกตั้งครรภ์ยากเป็นเพราะสามีไม่มาค้างคืนด้วย แต่สำหรับฉู่จิ่นเหยาแล้วมิใช่ด้วยสาเหตุนี้เป็นอันขาด เห็นได้จากความกระตือรือร้นของฉินอี๋ จ้าวซื่อมีบุตรยาก บัดนี้ฉู่จิ่นเสียนก็เป็นเช่นเดียวกัน หรือนี่จะเป็นปัญหาที่สุขภาพร่างกายของพวกนางแม่ลูก
ในใจฉู่จิ่นเหยารู้สึกหดหู่อยู่บ้าง ฉู่จิ่นเสียนเห็นแล้วก็เอ่ยปลอบเสียงอ่อน “ไม่เป็นไร แม้ผู้มีภาวะกายเย็นจะตั้งครรภ์ยาก แต่ในบรรดาสตรีผู้มีภาวะนี้มีอยู่ไม่น้อย เพียงแต่หนักเบาไม่เท่ากันเท่านั้นเอง ข้าจะให้ตำรับยาบำรุงเจ้าสองสามขนาน ยามปกติเจ้าก็ระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน ค่อยๆ บำรุงรักษาไปย่อมมีได้เอง”
ฉู่จิ่นเหยาได้แต่ทำตามนี้แล้ว เรื่องจดจำตำรับยาบำรุงย่อมไม่ต้องถึงมือฉู่จิ่นเสียนและฉู่จิ่นเหยา สาวใช้ใหญ่ของพวกนางสองคนขยับไปแลกเปลี่ยนกันอยู่ด้านข้างอย่างคล่องแคล่วนานแล้ว ฉู่จิ่นเหยาเริ่มพูดเรื่องจวนฉางซิงโหวกับฉู่จิ่นเสียนต่อ แม้ฉู่จิ่นเสียนจะพูดน้อย แต่ก็ตั้งใจฟัง ขณะที่คนทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอึกทึกมาจากทิศทางห้องโถงงานเลี้ยง ฉู่จิ่นเหยากับฉู่จิ่นเสียนต่างเงยหน้า หลิงหลงก็เดินมารายงานพอดี
“พระชายา องค์หญิงใหญ่หรงอันกับคุณหนูรองจ้าวมาถึงแล้วเพคะ”
เป็นจ้าวหลันฮุยนั่นเอง
ฉู่จิ่นเหยาหันกลับไปสบตากับฉู่จิ่นเสียน ต่างมองเห็นแววจริงจังระมัดระวังจากในดวงตาของอีกฝ่าย มีพระราชโองการพระราชทานสมรสลงมาเมื่อเดือนหนึ่ง กำหนดเป็นเดือนหกของปีนี้ กล่าวได้ว่าจ้าวหลันฮุยได้เป็นชายาองค์ชายรองเป็นที่แน่นอนแล้ว แม้จะยังไม่ได้เข้าพิธี แต่มีพระราชโองการแล้ว ไม่มีใครกล้าเห็นจ้าวหลันฮุยเป็นคุณหนูธรรมดา เห็นได้ชัดว่าจ้าวหลันฮุยกระจ่างแจ้งในฐานะที่เปลี่ยนไปแล้วของตนเองดี แต่วันนี้จ้าวหลันฮุยมาช้ากว่าชายารัชทายาทอย่างนาง ถึงจะอ้างองค์หญิงใหญ่หรงอันได้ ทว่าก็ดูออกหน้าออกตาเกินไป
หลังมีพระราชโองการพระราชทานสมรสลงมาก็ยังมีพระราชโองการแต่งตั้งองค์ชายรองและองค์ชายสามเป็นอ๋องตามมาด้วย ฮ่องเต้อาจคร้านจะวุ่นวายอีกรอบจึงแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้องค์ชายสามไปพร้อมกับองค์ชายรอง องค์ชายรองได้รับแต่งตั้งเป็นซู่อ๋อง ปกครองชิ่งหยาง องค์ชายสามได้รับแต่งตั้งเป็นลู่อ๋อง ปกครองลั่วหยาง ซึ่งล้วนเป็นสถานที่ที่ดีเลิศอันดับหนึ่ง
ฉู่จิ่นเหยามีความสัมพันธ์กับองค์ชายรองและองค์ชายสามอย่างผิวเผินยิ่ง ในความทรงจำของฉู่จิ่นเหยา องค์ชายรองอ่อนน้อมถ่อมตน องค์ชายสามหยิ่งยโสตรงไปตรงมา คนทั้งสองมีเอกลักษณ์แตกต่างกัน แต่ล้วนเป็นลักษณะขององค์ชายที่ผู้คนในใต้หล้าต่างคาดหวัง แน่นอนว่ายามนี้ควรต้องเรียกพวกเขาว่าท่านอ๋องแล้ว เทียบกันแล้วฉินอี๋กลับค่อนข้างผิดแปลกจากผู้อื่น ดูวางอำนาจบาตรใหญ่มากกว่าอยู่บ้าง
ฉู่จิ่นเหยายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ดูจากทิศทางนี้ไยซู่อ๋องถึงเข้าใกล้เส้นทางรัชทายาทในตำราประวัติศาสตร์เหล่านั้นมากขึ้นทุกทีแล้ว ซู่อ๋องอ่อนน้อมถ่อมตนไม่ทำตัวเป็นจุดเด่น แต่ตระกูลเดิมของว่าที่ชายาซู่อ๋องร้ายกาจโดยแท้ เนื่องจากความสัมพันธ์ขององค์หญิงใหญ่หรงอันและจวนเว่ยกั๋วกง ไม่กี่วันมานี้อำนาจของซู่อ๋องในราชสำนักจึงค่อยๆ เพิ่มขึ้น
ส่วนลู่อ๋อง ตัวเขาเป็นบุตรชายคนโปรดของสวรรค์ เป็นจุดรวมสายตาอยู่แล้วจึงมิได้เปลี่ยนแปลงชัดเจนเท่าซู่อ๋อง
เมื่อก่อนฉู่จิ่นเหยายังไม่เข้าใจ แต่หลังจากนางเข้าวังเรื่องในราชสำนักก็เริ่มมองเข้าใจได้สามส่วน ตอนนี้ซู่อ๋องกำลังมีชื่อเสียงโด่งดัง หากกล่าวว่านี่ล้วนเป็นเพราะจ้าวหลันฮุยทำตัวโดดเด่นเกินไป ไม่รู้จักสงวนท่าที นั่นนับเป็นการหลอกลวงแล้ว
ฉู่จิ่นเหยามั่นใจว่าต้องมีคนถือโอกาสสร้างอำนาจอยู่แน่นอน ส่วนพวกเขาทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไรนั้นไม่ต้องบอกก็เข้าใจ
ยามนี้ฮ่องเต้ยังไม่มีความคิดจะเปลี่ยนตัวรัชทายาทจริงๆ แต่ความคิดของฮ่องเต้มักจะแตกต่างกับรัชทายาท ฮ่องเต้เป็นบิดา ขณะที่ไว้วางใจในตัวรัชทายาทก็อยากให้บุตรชายคนอื่นๆ ของตนเองเจริญรุ่งเรือง นามเลื่องลือไปทุกยุคทุกสมัยเช่นกัน ฮ่องเต้ไม่เคยมีความคิดจะแตะต้องรัชทายาท ทว่าเหล่าบุตรชายที่เขาปฏิบัติด้วยเป็นอย่างดีเล่า
ฉู่จิ่นเสียนมองฉู่จิ่นเหยาอย่างเป็นกังวล เห็นได้ชัดว่ารู้สึกเช่นกันว่าว่าที่ชายาซู่อ๋องแสดงตัวข่มบารมีผู้อื่นแล้ว ฉู่จิ่นเหยากดมือฉู่จิ่นเสียนไว้ ส่ายหน้าเป็นการบอกว่าไม่เป็นไร
จ้าวหลันฮุยมาหยามหน้าแล้ว ฉู่จิ่นเหยาจะปล่อยให้อีกฝ่ายกำเริบเสิบสานต่อไปได้อย่างไร นางไม่ได้กลับเข้าห้องโถงงานเลี้ยงทันที แต่นั่งต่ออีกครู่หนึ่งถึงค่อยเดินกลับไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน
บทที่ 88.2 สายลมเกิดเหนือยอดแหน
ตั้งแต่ปรากฏตัวจ้าวหลันฮุยก็ยุ่งอยู่กับการพูดคุยกับผู้คน เด็กสาวที่เมื่อก่อนคอยตามยกยอปอปั้นนางเดินมาประจบประแจง แม้แต่ฮูหยินยังสาวที่ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกันก็ยังเดินมาพูดคุยกับนาง พิธีอภิเษกสมรสถูกกำหนดแล้ว จ้าวหลันฮุยกำลังจะกลายเป็นชายาซู่อ๋อง ไม่ว่าใครก็อยากมาหาประโยชน์แต่เนิ่นๆ กันทั้งนั้น
ข้างกายจ้าวหลันฮุยมีคนรุมล้อมมากมาย นางก็แสดงไมตรีอย่างชำนาญ ในห้องโถงงานเลี้ยงเต็มไปด้วยความครึกครื้น จ้าวหลันฮุยกำลังคิดจะตอบรับบุตรสาวสายตรงคนหนึ่งของตระกูลโหว แต่จู่ๆ ทั้งห้องโถงใหญ่ก็เงียบลง สายตาของคนทั้งหมดล้วนจับจ้องไปอีกด้าน
ในชั่วขณะผู้ที่กำลังพูดคุยอย่างสนุกสนาน ผู้ที่สานความสัมพันธ์ ผู้ที่ถกกันเรื่องแต่งงานของบุตรสาวบุตรชายล้วนหยุดการกระทำแล้วหลีกทางพร้อมกล่าวทักทายต่อผู้ที่มา
“ถวายพระพรชายารัชทายาท”
ฉู่จิ่นเหยาค่อยๆ เดินเป็นเพื่อนฉู่จิ่นเสียน ตอบรับการทักทายด้วยการแย้มยิ้มอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน ครั้นฉู่จิ่นเหยาปรากฏตัว จ้าวหลันฮุยก็ถูกข่มให้กลายเป็นแม่นางน้อยผู้หนึ่งทันที ต่อให้จ้าวหลันฮุยชาติตระกูลดีเพียงไร มารดามีฐานะสูงเพียงไร ตำแหน่งก็ไม่สูงไปกว่าชายารัชทายาท ฉู่จิ่นเหยาสวมชุดพิธีการขั้นหนึ่งชั้นโท มวยผมประดับอัญมณีแพรวพราว บนข้อมือสวมกำไลหยกใส กลิ่นอายทั่วร่างดูสุขุมสงบนิ่ง ทั้งยังมั่งคั่งมีเกียรติยิ่ง นางผงกศีรษะยิ้มน้อยๆ มาตลอดทาง ผู้คนทั้งสองฝั่งไม่มีใครไม่ชื่นชมว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นท่าทางที่สงบเยือกเย็นของเชื้อพระวงศ์ เทียบกับฉู่จิ่นเหยาแล้วจ้าวหลันฮุยเอะอะเสียงดังเกินไป ยิ่งเทียบกับก่อนหน้านี้ยิ่งไปกันใหญ่ จ้าวหลันฮุยทำให้ห้องโถงงานเลี้ยงเต็มไปด้วยเสียงอึกทึก แต่ครั้นฉู่จิ่นเหยาปรากฏตัวเสียงก็เงียบลงในทันใด
หนึ่งวุ่นวายหนึ่งสงบเช่นนี้เปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนเกินไปแล้ว และผู้มีฐานะสูงส่งตัวจริงก็ไม่จำเป็นต้องโอ้อวดฐานะของตนเอง
มิหนำซ้ำจ้าวหลันฮุยยังต้องก้าวเข้ามาทำความเคารพฉู่จิ่นเหยาท่ามกลางความกระอักกระอ่วนอันน่าประหลาดเช่นนี้อีกด้วย
“ถวายบังคมชายารัชทายาท”
“น้องหญิงรองจ้าวก็มาด้วยหรือ รีบลุกขึ้นเถิด” ฉู่จิ่นเหยาเพียงมองนางยิ้มๆ คราหนึ่ง จากนั้นก็เบนสายตาไปทางอื่นอย่างไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย มองไปยังองค์หญิงใหญ่หรงอัน “ท่านอาหญิงหรงอัน”
องค์หญิงใหญ่หรงอันยิ้มพลางคารวะตอบครึ่งหนึ่ง พูดคุยกับฉู่จิ่นเหยาเสียงแผ่วเบาทว่ากระตือรือร้น พวกนางสองคนไปนั่งลงบนเก้าอี้ประธาน แต่จ้าวหลันฮุยทำได้เพียงยืนอยู่ถัดลงมา
ในชั่วขณะนี้ไม่เพียงจ้าวหลันฮุย คนอื่นๆ ก็ตระหนักได้อย่างลึกซึ้งว่าจ้าวหลันฮุยเป็นเพียงชายาซู่อ๋อง แต่ฉู่จิ่นเหยาเป็นชายารัชทายาท ชายารัชทายาทสามารถสนทนาและลุกนั่งเคียงคู่กับเหล่าจู่จงผู้มีลำดับรุ่นสูงทุกคนในที่นี้ได้อย่างสบายๆ ทว่าชายาซู่อ๋องกลับทำไม่ได้
การโจมตีให้แตกพ่ายโดยไร้สุ้มเสียงเช่นนี้โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว จ้าวหลันฮุยไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่ในดวงตากลับกำลังอดกลั้นความอัปยศอดสูที่ตนถูกมองข้าม หากฉู่จิ่นเหยาตรงรี่มาหาเรื่อง นางยังคิดได้ว่าฉู่จิ่นเหยากำลังเป็นกังวลอยู่เช่นกัน ทว่าฉู่จิ่นเหยาไม่ได้ทำเช่นนั้น อีกฝ่ายเดินมาอย่างช้าๆ ท่าทางดูไม่ใส่ใจโดยสิ้นเชิงว่านางทำอะไรบ้าง ถึงขั้นที่ว่าหลังฉู่จิ่นเหยาเข้ามาไม่ได้จับจ้องมองมาทางนี้ด้วยซ้ำ แต่กลับไปสนทนากับมารดานางอย่างคุ้นเคย นี่ทำให้จ้าวหลันฮุยรู้สึกว่าตนเองเหมือนเป็นเด็กน้อยที่กำลังจงใจอวดตนกับผู้ใหญ่
มีอย่างที่ใดกัน ฉู่จิ่นเหยาอายุน้อยกว่าข้าหนึ่งปีด้วยซ้ำ! จ้าวหลันฮุยขุ่นเคืองในใจ หนึ่งปีก่อนหน้านี้นางยังร่วมมือกับพวกเป่าชิ่งจวิ้นจู่ทดสอบฉู่จิ่นเหยาอยู่ พอมาวันนี้สถานการณ์กลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
หลังงานเลี้ยงเริ่มต้นเสียงก็เริ่มดังเซ็งแซ่ การพูดคุยก็สะดวกขึ้นแล้ว ฮูหยินหลายคนต่างลอบถามคนร่วมโต๊ะ
“ผู้ที่เข้ามาพร้อมชายารัชทายาทเมื่อครู่นี้คือบุตรสาวคนโตสายตรงของจวนฉางซิงโหว พี่สาวร่วมอุทรของชายารัชทายาทหรือ”
“ใช่แล้ว เพิ่งจะย้ายมาเมืองหลวงเดือนนี้”
“ตายจริง ดูสองพี่น้องคู่นี้เถิด” ฮูหยินที่กำลังพูดไม่รู้ว่ากำลังทอดถอนใจหรืออิจฉา “พอสองคนนี้เดินเข้ามาก็ดูราวกับเทพธิดาบนสวรรค์ลงมาเยือนโลกมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น สุขุมสง่างาม ทั้งยังชวนพิศ บ้านใดที่ได้บุปผาสองพี่น้องคู่นี้ไปต้องมีวาสนาอย่างแน่นอน”
ผู้ฟังก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ฉู่จิ่นเหยากับฉู่จิ่นเสียนแค่เห็นก็รู้ว่าเป็นพี่น้องกัน ล้วนรูปโฉมงดงาม ท่าทางโดดเด่นเหนือผู้คน ฉู่จิ่นเสียนดูสุขุมสง่างามและเคร่งขรึมกว่า ส่วนฉู่จิ่นเหยานั้นงดงามเจิดจรัสมีชีวิตชีวากว่า
ทางด้านในวัง เสี่ยวฉีฮองเฮาก็กำลังถามเรื่องงานเลี้ยงพิธีอภิเษกสมรสขององค์หญิงหรู่หนิงอยู่เช่นกัน “เตรียมของสำหรับเติมสินเดิมเจ้าสาวเรียบร้อยหมดแล้วหรือยัง”
“เรียบร้อยหมดแล้วเพคะ บัดนี้ได้ให้คนนำไปส่งยังจวนองค์หญิงหรู่หนิงแล้ว”
เสี่ยวฉีฮองเฮามีฐานะเป็นมารดาใหญ่ นอกจากต้องมอบของล้ำค่าเพื่อเติมเป็นสินเดิมเจ้าสาวแล้ว วันจัดงานเลี้ยงก็ต้องส่งของขวัญไปให้เพื่อแสดงถึงความเมตตาอันยิ่งใหญ่และแสดงว่าองค์หญิงใหญ่ได้รับความโปรดปราน ของเหล่านี้ล้วนเป็นบ่าวไพร่ตระเตรียม เมื่อเสี่ยวฉีฮองเฮารู้ว่าของพระราชทานจากตำหนักคุนหนิงถูกส่งไปแล้ว ในใจก็วางเรื่องนี้ลงแล้วเริ่มทอดถอนใจ
“เป็นองค์หญิงนี้ดียิ่งนัก ไม่ต้องปรนนิบัติมารดาสามี ไม่ต้องคอยดูสีหน้าสามี ที่อยู่ที่กินหลังออกเรือนล้วนเป็นของราชวงศ์ นี่ถึงจะเรียกว่าชะตาชีวิตดี”
วาจานี้หลันอวี้มิอาจเห็นด้วย นางกล่าวเบาๆ ว่า “ฮองเฮาตรัสผิดแล้ว หากองค์หญิงชะตาชีวิตดี เหตุใดพวกนางยังต้องคิดหาทุกวิถีทางเพื่อทำให้ได้แต่งกลับเข้ามาในราชวงศ์ด้วย ฮองเฮาต่างหากเพคะที่ทรงมีชะตาชีวิตดีที่สุดในใต้หล้า”
คำพูดนี้พูดได้แยบคายยิ่ง เสี่ยวฉีฮองเฮาถูกทำให้หัวเราะ ดูจากสีหน้าเห็นได้ชัดว่านางก็รู้สึกว่าการเป็นฮองเฮาดีกว่าการเป็นองค์หญิง สุดขอบแว่นแคว้นล้วนเป็นราษฎร ชีวิตและความมีเกียรติเสื่อมเกียรติของคนทั้งหมดในใต้หล้าล้วนขึ้นอยู่กับฮ่องเต้เพียงผู้เดียว เห็นได้ชัดว่าการเป็นสตรีที่แข็งแกร่งที่สุดชวนมีเกียรติยิ่งกว่า
หากบุตรชายของนางกลายเป็นฮ่องเต้พระองค์ถัดไปได้ก็ยิ่งดี
ในเวลานี้เองหลันอวี้ก็กระซิบว่า “ฮองเฮา สายของเราส่งข่าวของชายารัชทายาทกลับมาแล้วเพคะ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 พ.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.