บทที่ 89.1 ปรากฏการณ์ประหลาดในวัง
เสี่ยวฉีฮองเฮาตื่นตัวขึ้นทันที “ว่าอย่างไร”
“ช่วงนี้ชายารัชทายาทพูดน้อยจริงๆ เวลาส่วนใหญ่ล้วนอยู่แต่ในห้อง ไม่ค่อยสนใจอะไร หงหมัวมัวพูดเหมือนกับที่สายลับบอก เห็นทีจะเชื่อถือได้เพคะ”
“อ้อ?” เสี่ยวฉีฮองเฮาคาดไม่ถึงอยู่บ้าง นางนึกว่าฉู่จิ่นเหยากำลังแสร้งทำตัวไร้เดียงสา แต่หูตาในที่ลับกลับส่งข่าวมาเช่นนี้ นางจึงถามต่อไป “นางกำนัลสี่คนนั้นเล่า”
“ล้วนปรนนิบัติรับใช้ตามปกติ มิได้ถูกกีดกันออกไปเพคะ”
เสี่ยวฉีฮองเฮาแปลกใจ “ในเมื่อได้พบหน้ารัชทายาทแล้ว เหตุใดยังไม่ถูกรับตัวให้ปรนนิบัติอีก”
หลันอวี้ก้มหน้าไม่พูดอะไร เสี่ยวฉีฮองเฮาครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่จนได้ข้อสรุปหนึ่งออกมา
“ต้องเป็นเพราะพวกนางเป็นคนที่ข้าส่งไปอย่างเปิดเผยเป็นแน่ รัชทายาทถึงได้ไม่ยอมเรียกใช้ ช่างเถิด พวกนางสี่คนล้วนเป็นหมากที่ถูกทิ้งแล้ว ส่งนางกำนัลหน้าใหม่เยาว์วัยไปตำหนักบูรพาอย่างเงียบๆ อีกสองสามคน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแทรกคนไปไว้ข้างหมอนของรัชทายาทให้จงได้”
“ฮองเฮาทรงพระปรีชา”
เสี่ยวฉีฮองเฮารู้ดีถึงความสำคัญของการเป่าหู ดังนั้นยามจะเล่นงานผู้อื่นจึงหนีไม่พ้นที่จะใช้ความคิดนี้ เสี่ยวฉีฮองเฮาคิดว่าตนเองเข้าใจบุรุษเป็นอย่างดี ขอเพียงมีสตรีหน้าใหม่เยาว์วัยล่อตาล่อใจอยู่ตรงหน้า ไม่ว่างดงามหรืออัปลักษณ์ อย่างไรเสียพวกเขาย่อมอยากจะลิ้มลอง ฮ่องเต้มิใช่เป็นตัวอย่างที่เห็นกันอยู่หรือไร เสี่ยวฉีฮองเฮาไม่อยากปล่อยให้ฉินอี๋เพิ่มพูนอำนาจ จึงไม่เคยเอ่ยปากเรื่องเลือกอนุจากขุนนางใหญ่ให้ฉินอี๋ ในราชสำนักมีคนเสนอ เสี่ยวฉีฮองเฮาก็พยายามเป่าหูให้ฮ่องเต้ล้มเลิกความคิดนี้ ตำหนักบูรพาก็เหมือนกับตำหนักใน ไฉเหรินและเสวี่ยนซื่อล้วนมีตำแหน่ง มากกว่าครึ่งล้วนเป็นสตรีบริสุทธิ์ผุดผ่องจากตระกูลขุนนาง เสี่ยวฉีฮองเฮาไม่อนุญาตเป็นอันขาด
หลันอวี้เห็นเสี่ยวฉีฮองเฮายังมีท่าทางวิตกกังวลจึงเกลี้ยกล่อมว่า “ฮองเฮา สายลับกับหงหมัวมัวพูดเหมือนกัน ชายารัชทายาทเป็นคนไม่มีประสบการณ์จริงๆ ถึงคนพรรค์นี้จะฉลาดอยู่หลายส่วน แต่มีหรือจะปิดบังฮองเฮาได้ ฮองเฮาคงทรงคิดมากเกินไปแล้วเพคะ”
เสี่ยวฉีฮองเฮาไม่อยากยอมรับเช่นกันว่าก่อนหน้านี้ตนเองถูกแม่นางน้อยผู้หนึ่งหลอกลวง มิหนำซ้ำบัดนี้นางก็กำลังหยั่งเชิงความจริงเท็จของฉู่จิ่นเหยาอยู่ หลันอวี้ถือดีในประสบการณ์ของตนเองจึงมีความคิดดูถูกแม่นางน้อยที่ไร้ภูมิหลังไร้ประสบการณ์อย่างฉู่จิ่นเหยาโดยไม่รู้ตัว เสี่ยวฉีฮองเฮาได้ยินแล้วก็โคลงศีรษะด้วยความขบขัน
“จะจริงหรือเท็จแล้วอย่างไร ไม่ว่าก่อนหน้านี้นางจะซ่อนเร้นข้อบกพร่องแสร้งทำตัวอ่อนแอหรือไม่ นางก็เป็นแค่ชายารัชทายาท”
“ฮองเฮา…”
“เพราะฉะนั้นไยต้องมัวหมกมุ่นกับความจริงความเท็จด้วยเล่า ยอมสังหารคนผิดนับพันดีกว่าปล่อยให้คนผู้เดียวรอดไปได้” เสี่ยวฉีฮองเฮายิ้มพลางลูบเล็บมือตนเอง แสงอาทิตย์ส่องกระทบบนเล็บสีชาดที่ตัดแต่งอย่างเอาใจใส่จนรู้สึกแสบตา
หลังฉู่จิ่นเหยากลับมา นางก็ได้รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในตำหนักของตนเองอย่างรวดเร็ว ฉู่จิ่นเหยาจึงยั้งทัพคอยดูสถานการณ์ ทั้งยังสั่งให้คนจับตาดูไว้แล้ว สายลับของฮองเฮาเป็นใครนางรู้ดีแก่ใจ เสี่ยวฉีฮองเฮาไม่อยากให้ตำหนักบูรพาเพิ่มพูนอำนาจ จึงไม่เคยเสนอเรื่องเลือกอนุจากตระกูลขุนนางใหญ่ ซึ่งก็ตรงกับใจของฉู่จิ่นเหยาพอดี ขอเพียงตำหนักบูรพาไม่มีบุตรสาวขุนนางใหญ่ที่มีตำแหน่งเข้ามา พวกนางกำนัลตัวเล็กๆ ฉู่จิ่นเหยาหาได้เห็นอยู่ในสายตาไม่ ฐานะของชายารัชทายาทกับนางกำนัลในวังห่างชั้นกันมาก ภายใต้การสั่งการของนาง แค่เอ่อร์เสวี่ยก็เพียงพอจะรับมือนางกำนัลที่ไม่เจียมตนได้แล้ว
พิธีอภิเษกสมรสขององค์หญิงหรู่หนิงครึกครื้นอยู่นานหลายวัน คล้ายว่าการอภิเษกสมรสของรัชทายาทเป็นการเปิดทาง หลังจากนั้นเชื้อพระวงศ์ก็จัดงานมงคลขึ้นบ่อยครั้ง เดือนสององค์หญิงใหญ่อภิเษกเสกสมรส เดือนหกถึงคราวซู่อ๋องผู้เป็นองค์ชายรอง ส่วนองค์หญิงรองกับลู่อ๋องก็เริ่มหารือเรื่องแต่งงานแล้วเช่นกัน หลังเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกสมรสของซู่อ๋อง กำหนดคลอดของเหลียนผินก็ใกล้มาถึง ถึงเวลานั้นยังมีพิธีสรงสามและงานฉลองครบเดือน ต่ออีก งานมงคลติดต่อกันไม่ขาดสาย
พร้อมกับบรรยากาศที่น่ายินดีนี้ ต้นหลิวในพระราชวังก็ค่อยๆ มีสีเขียวอ่อนโผล่ออกมา ระยะนี้ฮ่องเต้อารมณ์ดีอย่างยิ่ง สนมคนโปรดคนใหม่ตั้งครรภ์ พระโอรสพระธิดาทยอยแต่งงาน คล้ายว่าเทพบนสวรรค์ล้วนตั้งใจยืนอยู่ข้างเขา ฮ่องเต้โปรดปรานความครึกครื้นอยู่แต่เดิม พอเบิกบานสำราญใจก็ยิ่งจัดงานเลี้ยงไม่หยุด เสียงดนตรีดังไปทุกแห่งหน
เดือนสี่ทิวทัศน์ยามฤดูวสันต์กำลังงดงาม ฮ่องเต้จัดงานเลี้ยงเหล่าขุนนางที่ซีเน่ย องค์หญิงเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูงผู้มีบรรดาศักดิ์ทั้งหลายล้วนได้รับเชิญ พอทอดสายตามองไปในอุทยานซีย่วนที่มีบึงน้ำกว้างใหญ่ บนเกาะตรงใจกลางสร้างเป็นตำหนักที่หรูหราประณีตงดงาม มีครบทั้งศาลาระเบียงริมน้ำ งานเลี้ยงกำหนดจัดที่นี่ ผู้มีบรรดาศักดิ์และผู้ทรงอำนาจที่มีฐานะสูงส่งพาคนในครอบครัวเดินผ่านสะพานโค้งหลายแห่งไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยงภายใต้การนำทางของนางกำนัลชุดเขียว
ตำหนักจัดงานเลี้ยงถูกตระเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อสามวันก่อน เนื่องด้วยเกรงจะทำให้ฮ่องเต้หมดความเกษมสำราญ บุปผาตามฤดูกาลรอบตำหนักจึงล้วนถูกย้ายมาปลูกใหม่ ไม่สนใจว่าจะรอดชีวิตได้หรือไม่ แต่ขณะนี้ล้วนดูงดงามตระการตาทั้งสิ้น ส่วนสุราอาหารในงานเลี้ยงนั้นเหล่าขันทีในวังได้เริ่มเตรียมการตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนแล้ว สุราล้วนเป็นขันทีในวังบ่มเองทั้งหมด ไม่ได้ให้ผู้อื่นทำ
ฉู่จิ่นเหยาอยู่ในตำหนักฉือชิ่ง รอฉินอี๋จัดการงานในตำหนักเหวินหวาเรียบร้อย ทั้งสองถึงค่อยไปอุทยานซีย่วนด้วยกัน ตลอดทางบุปผานานาพรรณบานสะพรั่ง ฉู่จิ่นเหยาชมอยู่เงียบๆ ครั้นมาถึงสถานที่จัดงานเลี้ยง แม้นางจะเตรียมใจมาแล้วก็ยังต้องตกใจ
หลิงหลงและเจี๋ยเกิ่งที่อยู่ด้านหลังเคยเห็นงานใหญ่โตมามากมาย แต่บัดนี้ก็ลอบอ้าปากค้างเช่นกัน เจี๋ยเกิ่งถึงขั้นทนไม่ไหวเริ่มคำนวณค่าใช้จ่ายสำหรับหนึ่งวันนี้อย่างเงียบๆ ไม่กล่าวถึงอย่างอื่น ลำพังขนมและสุราก็เป็นเงินจำนวนมากแล้ว
ฉู่จิ่นเหยาลอบมองฉินอี๋ สีหน้าของเขาไม่ค่อยดีจริงดังคาด แต่สุดท้ายก็อดกลั้นไว้ได้ อุทยานซีย่วนเป็นเสมือนอุทยานบนน้ำของราชวงศ์ กฎระเบียบไม่เคร่งครัดเท่าในพระราชวังต้องห้าม แต่แม้จะเป็นเช่นนี้บุรุษสตรีก็ยังมิอาจนั่งในงานเลี้ยงด้วยกันได้
ฉินอี๋ต้องไปยังตำหนักทางทิศตะวันออก ที่นั่นมีขุนนางรออยู่หลายคนแล้ว ไม่รู้เพราะเหตุใดฉินอี๋กลับรู้สึกไม่ค่อยวางใจ เขากำชับหลายคำถึงค่อยเดินไปยังตำหนักทางทิศตะวันออกอย่างไม่เต็มใจ ฉู่จิ่นเหยามองส่งฉินอี๋ รอจนมองไม่เห็นแผ่นหลังของเขาแล้วถึงได้ขึ้นเกี้ยวไปยังตำหนักทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นที่จัดงานเลี้ยงของสตรี
เมื่อเข้ามาข้างในย่อมได้ยินเสียงกล่าวคารวะ ฮูหยินท่านโหวผู้หนึ่งพูดอย่างปากไว “ระหว่างทางหม่อมฉันมองเห็นเกี้ยวของชายารัชทายาทอยู่ไกลๆ หลงนึกว่าพวกหม่อมฉันมาสายแล้ว คิดไม่ถึงว่าพวกหม่อมฉันจะมาถึงก่อนพระชายาก้าวหนึ่ง ระหว่างทางที่เสด็จมาพระชายาทรงสบายดีหรือไม่ ถูกทำให้เสียเวลาหรือไม่เพคะ”
ฮูหยินกั๋วกงที่มีหน้ามีตาอีกผู้หนึ่งก็กล่าวยิ้มๆ “เรื่องนี้ต้องทูลถามรัชทายาทแล้ว หม่อมฉันเข้ามาจากอีกทาง มองเห็นรัชทายาทกำลังตรัสกับพระชายาพอดี พระชายาทรงงดงามปานนี้ รัชทายาทคงจะวางพระทัยไม่ลง เกรงว่าพวกหม่อมฉันจะรังแกพระชายา จึงได้กำชับสองสามคำกระมัง”
คนรอบๆ ได้ยินก็ต่างหัวเราะ ฮูหยินท่านโหวคนเมื่อครู่พูดยิ้มๆ “เป็นเช่นนี้นี่เอง ต้องโทษหม่อมฉันที่ปากมากแล้ว! พระชายากับรัชทายาททรงรักใคร่กันดีโดยแท้”
“ฮูหยินทั้งสองล้อเล่นแล้ว” ฉู่จิ่นเหยายิ้มพลางบอกปัดประเด็นนี้ นางไม่รู้สึกว่ามีอะไร ทว่าแม้ฮูหยินคนอื่นๆ จะประจบประแจง แต่อันที่จริงล้วนมีคำพูดในใจทั้งสิ้น มีคำกล่าวที่ว่าแต่งภรรยาให้แต่งสตรีที่มีคุณธรรม รับอนุให้รับสตรีที่โฉมงาม ท่าทีที่ผู้มีบรรดาศักดิ์ส่วนใหญ่มีต่อฮูหยินผู้เป็นภรรยาเอกล้วนห่างเหินและให้เกียรติ กับอนุต่างหากถึงจะมีความสนิทชิดเชื้อเช่นบุรุษสตรี รัชทายาทแต่งงานกับชายารัชทายาทมาหลายเดือนแล้ว อยู่ข้างนอกยังคงทำเหมือนคู่แต่งงานใหม่ ฮูหยินทั้งหลายเห็นแล้วให้รู้สึกฝาดเฝื่อนในใจอยู่บ้างโดยไม่รู้ตัว
คนทั้งหลายเอ่ยอย่างล้อเล่นจริงบ้างเท็จบ้าง ขณะที่พวกนางกำลังพูดอยู่ ฮองเฮาก็มาถึงแล้ว
พอฮองเฮามาถึง ไม่นานนักงานเลี้ยงก็จะเริ่มต้นขึ้น ผ่านไปไม่นานนักขันทีผู้หนึ่งก็วิ่งมาจากตำหนักทางทิศตะวันตกอย่างที่คาดไว้ เขากระซิบข้างหูเสี่ยวฉีฮองเฮาคำเดียว เสี่ยวฉีฮองเฮาก็ยกมือกล่าวขึ้น
“เริ่มงานเลี้ยงได้”
งานเลี้ยงของสตรีมีบทเพลงและระบำช่วยเสริมบรรยากาศเช่นกัน แต่บทเพลงและระบำเหล่านี้เป็นการแสดงที่เน้นความสง่างามตามฉบับในวัง งามก็งามอยู่ แต่ดูนานๆ ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ ฉู่จิ่นเหยานั่งถัดจากฮองเฮาลงมาทางฝั่งขวา ตำแหน่งที่นั่งสูงกว่าคนอื่นๆ ถัดจากฉู่จิ่นเหยาจึงจะเป็นชายาตำแหน่งขั้นสูงอย่างซูเฟยและลี่เฟย ถัดจากสนมชายาไปก็เป็นบรรดานายหญิงตราตั้งนั่งเรียงกันตามตำแหน่ง
เทียบกับบทเพลงและระบำอันแช่มช้าสง่างาม ฉู่จิ่นเหยาชอบดูสตรีเหล่านี้ในงานเลี้ยงยิ่งกว่า ลำดับที่นั่งในงานเลี้ยงพิถีพิถันอย่างยิ่ง ใครไม่ถูกกับใคร ช่วงนี้ใครโดดเด่นที่สุด ลำพังดูจากตำแหน่งที่นั่งก็มองสายสนกลในออกได้ นี่น่าสนใจกว่าการฟังบทเพลงและระบำมากนัก
ทว่าสิ่งที่ต่างไปจากที่ผ่านมาคือวันนี้เหลียนผินก็มาร่วมงานด้วย มิหนำซ้ำตำแหน่งที่นั่งเพียงถัดจากลี่เฟย นั่งร่วมตำแหน่งเดียวกับฮุ่ยเฟย เหลียนผินคือนางกำนัลที่บังเอิญถูกฉู่จิ่นเหยาชนเข้าก่อนหน้านี้ หลังถูกคน ‘จับได้’ ในวันสิ้นปี ฮ่องเต้ปีติยินดีอย่างยิ่ง แต่งตั้งนางเป็นเหลียนผินทันที จากนางกำนัลตัวเล็กๆ ก้าวพรวดเดียวเป็นสนมขั้นสูง ไม่เพียงกลายเป็นหนึ่งในสนมตำแหน่งผินทั้งเก้า ตอนนี้ยังสามารถนั่งร่วมโต๊ะเดียวกับฮุ่ยเฟยที่เป็นเจ้านายเก่าได้ด้วย ผู้ที่ได้โอกาสดีระดับเหลียนผินนั้นนับว่าหาได้ยาก
แน่นอนว่าถ้าเหลียนผินให้กำเนิดพระโอรสได้สำเร็จ นั่นถึงจะเป็นการพลิกฐานะกลายเป็นหงส์อย่างแท้จริง นับตั้งแต่ฮ่องเต้รู้ว่าตนเองมีบุตรที่ยังไม่ลืมตาดูโลกเพิ่มมาอีกคน เขาก็ยินดีปรีดิ์เปรม เริ่มเอ็นดูสงสารมารดาของบุตรตนไปด้วย เหลียนผินท่าทางเจ้าน้ำตา น่าสงสารเป็นหนักหนา ตรงกับนิสัยรักหยกถนอมบุปผา ของฮ่องเต้เหลือหลาย เป็นเหตุให้แม้เหลียนผินไม่อาจสนองความโปรดปรานก็ยังกลายเป็นสนมคนโปรดคนใหม่ในตำหนักในได้โดยอาศัยบุตร ความโปรดปรานที่นางได้รับเทียบเคียงได้กับลี่เฟยแล้ว
ลี่เฟยและซูเฟยที่นั่งอยู่ในงานถ้าไม่เห็นว่าตนเองสูงส่งก็เป็นที่โปรดปรานมานานแล้ว ใครจะไปยอมรับได้กับการต้องนั่งร่วมตำแหน่งกับนางกำนัลชั้นต่ำผู้หนึ่ง ส่วนทางฮุ่ยเฟยนั่นยิ่งขุ่นเคืองหนัก เมื่อก่อนเหลียนผินเป็นนางกำนัลของนาง ปกติทำได้แค่งานใช้แรงงาน ฮุ่ยเฟยไม่เคยเห็นสาวใช้พรรค์นี้อยู่ในสายตา แต่ยามนี้เหลียนผินกระโดดขึ้นมาเป็น ‘พี่น้อง’ ของนาง นั่งร่วมกันกับนาง และที่ยิ่งน่าโมโหคือได้รับความโปรดปรานมากกว่านางเสียอีก
ฮุ่ยเฟยใบหน้ากระตุกตลอดเวลางานเลี้ยง เห็นได้ชัดว่าโมโหแทบกระอักเลือดแล้ว ไฉนเลยจะยังกินอะไรลง น่าเสียดายที่แม้สนมชายาคนอื่นจะดูถูกดูแคลนเพียงไร แต่แล้วอย่างไร ใครใช้ให้เหลียนผินตั้งครรภ์เล่า หากครรภ์นี้คลอดออกมา การได้รับแต่งตั้งเป็นชายาขั้นเฟยก็เป็นเรื่องปกติมิมีสิ่งใดเกินจริงเลย
ฉู่จิ่นเหยามองอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าการดูสตรีต่อสู้กับสตรีนี้สนุกโดยแท้ นางจับตะเกียบคีบเมล็ดถั่วที่ถูกแกะสลักเป็นรูปร่างเหมือนไข่มุก ค้นพบว่าถึงจะเป็นถั่วที่ไม่สะดุดตาเม็ดหนึ่งก็ยังผ่านการต้มในน้ำแกงนกพิราบ ฉู่จิ่นเหยายังไม่ทันทอดถอนใจต่อความฟุ่มเฟือยของคนในราชวงศ์เสร็จ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเพลงทอดยาวดังมาจากด้านหลัง
บทที่ 89.2 ปรากฏการณ์ประหลาดในวัง
เสียงจากที่ใด ผู้ใดกล้าร้องเพลงในเวลาเช่นนี้ ฉู่จิ่นเหยาหันไปมอง ทันใดนั้นก็เห็นบนผืนน้ำที่กว้างใหญ่ไหลกระเพื่อมมีเรือประดับตกแต่งอย่างงดงามลำหนึ่งลอยมาช้าๆ ที่หัวเรือมีสตรีชุดเขียวนางหนึ่งยืนอยู่ กำลังสะบัดแขนเสื้อร่ายรำด้วยท่าทางงดงามเย้ายวน ใบหน้าแฉล้มเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่กลับยิ่งชักนำให้ผู้อื่นอยากค้นคว้า ในประทุนเรือยังมีนักดนตรีนั่งบรรเลงพิณดีดผีผาอยู่อีกสองสามคน เสียงดนตรีแว่วมาจากที่นั่น
คนที่มองไปด้านนอกเหมือนกับฉู่จิ่นเหยามีไม่น้อย แม้แต่เสี่ยวฉีฮองเฮาก็ยังถูกดึงดูดสายตา ในห้องโถงงานเลี้ยงเต็มไปด้วยเสียงกระซิบกระซาบจากทุกมุม ล้วนกำลังสอบถามว่าคนเหล่านี้เป็นใคร นางกำนัลที่เดิมทีร่ายรำอยู่กลางห้องโถงค่อยๆ หยุดการเคลื่อนไหว พวกนางมีสีหน้างุนงง เห็นได้ชัดว่าไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
ไม่เพียงตำหนักทางทิศตะวันตก แขกบุรุษที่ตำหนักทางทิศตะวันออกก็ถูกดึงดูดความสนใจเช่นกัน ฉู่จิ่นเหยาเข้าใจสถานการณ์ดี เกรงว่านี่คงเป็น ‘ความประหลาดใจ’ ที่เหล่าขันทีเตรียมไว้ให้ฮ่องเต้กระมัง จำต้องบอกว่าขันทีคาดคะเนความต้องการได้เก่งโดยแท้ ฮ่องเต้ชอบคนงามและชอบภาพชวนฝัน นี่เป็นการแสดงที่ฮ่องเต้ต้องโปรดปรานเป็นแน่
มิผิดจากที่คาด ไม่นานนักตำหนักทางทิศตะวันออกก็มีขันทีผู้หนึ่งเดินมาตะโกนเสียงดังว่า “ร่ายรำต่อไป หากพวกเจ้าแสดงได้ดี ฝ่าบาทจะทรงตกรางวัลอย่างหนัก”
ตำหนักทางทิศตะวันออกและตะวันตกสร้างขึ้นคู่กัน เนื่องจากซีเน่ยล้อมด้วยน้ำ ตำหนักทางทิศตะวันออกและตะวันตกจึงล้วนมีด้านหนึ่งที่หันเข้าหาน้ำ บัดนี้เรือลำนี้ร่ายรำบรรเลงดนตรีมาบนผืนน้ำ ขันทีจากตำหนักทางทิศตะวันออกผู้นี้เห็นได้ชัดว่าได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ คนบนเรือสามารถได้ยินเสียงของเขาตะโกน ตำหนักทางทิศตะวันตกย่อมได้ยินชัดเจนเช่นกัน
สตรีที่หัวเรือได้ยินแล้วก็ทำความเคารพไปยังตำหนักทางทิศตะวันออกด้วยความดีใจจนควบคุมตนเองไม่อยู่ หลังลุกขึ้นยืน นางมิได้แสร้งทำมารยาอะไรอีก แต่เริ่มยืนหมุนกายอย่างฉับไวที่หัวเรือ พื้นที่ในเรือแค่เพียงเท่านี้ยังกล้าร่ายรำอย่างดุเดือดเพียงนี้ เห็นได้ว่านางถือดีในเรือนร่างและทักษะการร่ายรำของตนเองพอสมควร
ฉู่จิ่นเหยาไม่รู้ว่าตำหนักทางทิศตะวันออกยามนี้มีสภาพเป็นอย่างไร แต่ตำหนักทางทิศตะวันตกที่มีสตรีและสนมชายานั่งอยู่เต็มไปหมดนี้ สีหน้าของทุกคนล้วนไม่สู้ดี อยู่ไกลย่อมมองไม่เห็นรูปโฉมของสตรีที่หัวเรือ ทว่าลำพังเห็นเรือนร่างอ่อนช้อยนั้นก็รู้แล้วว่าต้องเป็นสตรีชั้นเลิศแน่นอน อันที่จริงฉู่จิ่นเหยาอยากดูการร่ายรำนี้ยิ่งนัก เพียงแต่นางแบกรับฐานะชายารัชทายาทอยู่ รวมถึงต้องไว้หน้าฮองเฮาไม่มากก็น้อย ดังนั้นนอกจากกวาดสายตามองเมื่อตอนเริ่มต้น จากนั้นนางก็หันกลับมามองกระเบื้องปูพื้นภายในตำหนักด้วยท่าทางสุขุมสง่างาม
เหล่าสตรีก็รู้สึกตัวเช่นกันว่าการมองข้างนอกเช่นนี้เป็นการไม่รักษากฎระเบียบมารยาท ต่างพากันเก็บสายตากลับมา เสี่ยวฉีฮองเฮามองคนทั้งหลายภายในตำหนักก็เหยียดมุมปากกล่าวยิ้มๆ
“บ่าวไพร่ในซีเน่ยมีใจแล้ว ร่ายรำบนเรือ แต่กลับมีกลิ่นอายร่ายรำบนฝ่ามือ ที่ตกทอดมาแต่โบราณอยู่พอสมควร”
ลี่เฟยหยิบผ้าเช็ดหน้าซับมุมปาก กลอกตาพูดว่า “ก็แค่การแสดงที่ประหลาดพิสดารเท่านั้นเอง”
ประหนึ่งว่าต้องการพิสูจน์คำพูดของลี่เฟย นางพูดยังไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงตบมือดังมาจากฝั่งตรงข้าม ฮ่องเต้ถึงกับพาคนออกมาชมแล้ว
ฉู่จิ่นเหยามองกระเบื้องปูพื้นต่อไป พยายามกลั้นขำไว้ ลี่เฟยราวกับถูกตบหน้าจึงสะบัดผ้าเช็ดหน้าอย่างแรงด้วยความโมโห เสี่ยวฉีฮองเฮาตวัดตามองลี่เฟยคราหนึ่งก่อนกล่าวขึ้น
“สนมชายาในตำหนักในอย่างพวกเราย่อมยึดถือฝ่าบาทเป็นอันดับแรก แบ่งเบาความกังวลจากฝ่าบาท ในเมื่อฝ่าบาทกับใต้เท้าทุกท่านออกไปชมกันแล้ว พวกเราจะยังนั่งอยู่ในนี้ได้อย่างไร หลันอวี้…”
หลันอวี้ขานรับ เสี่ยวฉีฮองเฮาก็กล่าวขึ้นอีก
“ไป พวกเราก็ออกไปชมด้วย”
เสี่ยวฉีฮองเฮาออกปาก คนอื่นๆ ย่อมตอบรับแล้วตามเสี่ยวฉีฮองเฮาออกไปด้านนอก ฉู่จิ่นเหยาลุกขึ้นเป็นคนที่สอง เดินตามหลังเสี่ยวฉีฮองเฮา เมื่อนางไปแล้วคนอื่นๆ ถึงค่อยพากันขยับตัว
จุดเด่นของอุทยานซีย่วนคือน้ำ นอกตำหนักก็สร้างระเบียงและศาลาริมน้ำไว้เช่นกัน เพื่อให้เหล่าผู้สูงศักดิ์พักผ่อนหย่อนใจริมน้ำได้สะดวก ฮองเฮาพาคนทั้งหลายมายืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน ด้านนอกภาพตรงหน้าเปิดกว้าง สามารถมองเห็นสตรีร่ายรำนางนั้นบนน้ำได้ชัดเจนกว่า
พอออกมาพวกหลิงหลงก็เริ่มอารักขาเจ้านายอย่างลับๆ ห้อมล้อมปกป้องอยู่ข้างกายฉู่จิ่นเหยา ฉู่จิ่นเหยาก็มีท่าทีระแวดระวังเช่นกัน นางเป็นชายารัชทายาท ไม่มีใครกล้ายืนข้างหน้านาง ฉู่จิ่นเหยาจึงได้แต่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของระเบียง ก้าวไปข้างหน้าก็เป็นน้ำแล้ว
ดวงตาฉู่จิ่นเหยามองตรงไปข้างหน้า แต่จิตใจกลับคอยระแวดระวังอยู่ตลอด สตรีนางนั้นในเรือร่ายรำถึงท่อนที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว นางงอเอวลงอย่างอ่อนช้อยราวกับไร้กระดูก สายตาหยาดเยิ้ม จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นแล้วเริ่มหมุนกายอย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้ฮ่องเต้ทันมีอาการตอบสนอง ชายกระโปรงหรูหรางดงามอลังการคลี่ออกเป็นชั้นๆ ชวนสะท้านสะเทือนอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำสตรีนางนั้นก็สวมชุดเขียว หลังชายกระโปรงบานออกก็ดูราวกับใบบัว ส่วนตัวนางคือเกสร ฉู่จิ่นเหยาได้ยินเสียงชื่นชมจากในฝูงชนแล้ว มิพ้นคำชมเกินจริงอย่าง ‘งามจรัสราวกับบงกชโผล่พ้นน้ำ’ ‘ตัวเบาราวกับนกนางแอ่น’
ฉู่จิ่นเหยาลอบพยักหน้าเช่นกัน นางเองก็รู้สึกว่าน่าดู ขณะที่กำลังมองดูด้วยสายตาชื่นชม ทันใดนั้นสตรีที่กลางน้ำก็หวีดร้อง ยังไม่ทันที่ผู้อื่นจะมีอาการตอบสนอง บนกระโปรงของสตรีนางนั้นก็มีเพลิงพุ่งออกมา ฉู่จิ่นเหยาถูกทำเอาตกใจ อยู่ไกลเพียงนี้ยังได้ยินเสียงดังมาจากชายกระโปรงของสตรีนางนั้น ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือควันขาวลอยขึ้นมาตามลม
ไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุการณ์จะกลายเป็นเช่นนี้ เหล่าฮูหยินรักษากิริยาท่าทางไว้ไม่ได้อีกต่อไป เริ่มกรีดร้องด้วยความหวาดผวา ฉู่จิ่นเหยาก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่งด้วยความตกใจเช่นกัน พวกเจี๋ยเกิ่งกับหลิงหลงก้าวมาล้อมฉู่จิ่นเหยาไว้ทันที
“นี่เกิดอะไรขึ้น!”
ทางฝั่งสตรีตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก พวกบุรุษก็เริ่มวุ่นวายเช่นกัน มีขุนนางและขันทีร้องตะโกนอย่างเร่งรีบไม่หยุด
“คุ้มครองฝ่าบาท! มีคนลอบสังหาร รีบมาคุ้มครองฝ่าบาท!”
ฉู่จิ่นเหยารีบมองไปยังตำหนักทางทิศตะวันออก เห็นรางๆ ว่าฉินอี๋ถูกคนทั้งหลายปกป้องไว้ตรงกลาง ถึงได้โล่งใจ
ร่ายรำบนน้ำอยู่ดีๆ เหตุใดถึงมีไฟลุกได้เล่า
หลังเกิดอุบัติภัยผู้คนทั้งหลายก็ส่งเสียงดังจอแจ ทว่าความเป็นจริงเพิ่งผ่านไปเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น สตรีนางนั้นบนเรือมองเห็นไฟไหม้กระโปรงก็ตกใจแทบตายเช่นกัน นางตบเปลวไฟบนกระโปรงเป็นพัลวัน หลังพบว่าไม่ได้ผลก็กัดฟันกระโดดลงน้ำ แต่เหตุการณ์ที่ประหลาดยิ่งกว่าปรากฏขึ้นแล้ว ไฟนี้พอพบน้ำกลับไม่ดับในทันที แต่ลุกไหม้เดี๋ยวดับเดี๋ยวติดอยู่ในน้ำตามการดิ้นรนอย่างรุนแรงของสตรีนางนั้น
นี่มันอะไรกัน ถึงกับเกิดไฟไหม้ในวันธรรมดา มิหนำซ้ำลงน้ำไฟก็ไม่ดับ
ไม่รู้ผู้ใดตะโกนขึ้นว่า ‘ไฟปีศาจ’ เหล่าสตรีตรงระเบียงตำหนักทางทิศตะวันตกก็ยิ่งหวาดหวั่นอย่างหนัก พวกนางได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างสุขสบาย ถูกเข็มตำยังต้องร้องหาหมอ ยามนี้ได้เห็นเหตุการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้กับตาตนเองก็ตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน อุบัติภัยเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ข้างกายเสี่ยวฉีฮองเฮาและฉู่จิ่นเหยาล้วนถูกคนล้อมไว้แน่นหนา ส่วนสนมชายาที่รากฐานตื้นเขินคนอื่นกลับไม่มีวาสนานี้ เหลียนผินที่เพิ่งได้ยกฐานะ ปกติยังเห็นไม่ชัดเจน แต่พอถึงเวลาเช่นนี้ก็ปรากฏให้เห็นสภาพอับจนข้างกายไร้คน นางปกป้องครรภ์ตนเองไว้ กำลังตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก ทันใดนั้นด้านหลังก็ถูกคนผลักอย่างแรง นางปราศจากการป้องกัน กรีดร้องได้คราเดียวก็ถลาลงน้ำ
ฉู่จิ่นเหยาถูกเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นข้างหูอย่างกะทันหันทำเอาตกใจ นางยังไม่ทันมีอาการตอบสนองก็รู้สึกว่าตนเองถูกใครบางคนคว้าจับไว้ เสียงน้ำแตกกระจายดังตามกันมาติดๆ บนระเบียงเงียบกริบ ก่อนจะเกิดเสียงร้องลั่นดังขึ้นทันที
“ชายารัชทายาทกับเหลียนผินตกน้ำแล้ว!”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 พ.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.