บทที่ 48.1 สหายร่วมเรียนแห่งจวนจวิ้นอ๋อง
ฮูหยินผู้เฒ่าฉู่ดูจะคาดไม่ถึงอย่างมาก “คุณหนูสี่กับคุณหนูห้าหรือ”
“เจ้าค่ะ!”
ฉู่จิ่นเหยาอดหันหน้าไปสบตาฉู่จิ่นเสียนไม่ได้ จากนั้นก็เห็นแววไม่ทันตั้งตัวจากในดวงตาของอีกฝ่าย
ฮูหยินผู้เฒ่าฉู่ที่อยู่ในห้องก็รับมือไม่ทันเช่นกัน ในเวลาเช่นนี้ยังไม่อาจบอกว่าฉู่จิ่นเมี่ยวกำลังจะถูกนางไล่ออกจากจวนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าฉู่ไตร่ตรองพลางกล่าว
“ในเมื่อเซี่ยนจู่ถูกใจ พวกเราย่อมทำตามนั้น รออีกสองสามวันให้พวกนางเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วค่อยให้ไปเรียนเป็นเพื่อนเซี่ยนจู่”
ในเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อพรรค์นี้ยังมีใครพูดเรื่องฉู่จิ่นเมี่ยวจะไปปฏิบัติธรรมที่อารามอีกเล่า
วิกฤตที่กำลังจะถูกไล่ไปอยู่อารามของฉู่จิ่นเมี่ยวก็คลี่คลายลงด้วยประการฉะนี้
เมื่อฉู่จิ่นเมี่ยวออกมาจากในเรือนตนเอง นางได้อาบน้ำแต่งตัวใหม่ ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง ไม่เห็นสภาพห่อเหี่ยวซึมเซาเช่นเมื่อไม่กี่วันก่อนแม้แต่น้อย ดวงตาของนางยังบวมอยู่บ้าง คิดว่าไม่กี่วันนี้คงร้องไห้มาโดยตลอด แต่ยามนี้สีหน้าของนางดูเย่อหยิ่งอย่างยิ่ง
“มีคำกล่าวที่ว่าป๋อเล่อรู้จักการดูลักษณะม้า และก็มีคำกล่าวอีกว่าเล่ห์กลหมดสิ้นกลายเป็นว่างเปล่า คนบางคนนั้นพยายามใช้สารพัดอุบายหมายจะโค่นล้มข้า น่าเสียดายที่สุดท้ายยังคงคว้าน้ำเหลว สวรรค์มีตาแท้ๆ”
ฉู่จิ่นเมี่ยวพูดประโยคนี้ต่อหน้าพี่สาวน้องสาวทุกคน น้ำเสียงทั้งได้ใจและโอหัง คุณหนูสามลอบกลอกตา คุณหนูหกสีหน้าเรียบเฉยประหนึ่งภิกษุชราเข้าฌาน ส่วนฉู่จิ่นเหยาก็จดจ่ออยู่กับตนเอง ทำเหมือนไม่ได้ยินโดยสิ้นเชิง
หากสวรรค์มีตาจริงๆ คงไม่ปล่อยให้เจ้ากระโดดโลดเต้นเช่นนี้ต่อไป ฉู่จิ่นเหยาคิดในใจอย่างไม่สบอารมณ์
เมื่อพ้นวันที่สิบห้า บรรยากาศช่วงปีใหม่ค่อยๆ เลือนหายไป หิมะบนถนนละลายแล้ว ฉางซิงโหวกับจ้าวซื่อจะนั่งรถม้าไปเยี่ยมเยียนจวนจวิ้นอ๋องด้วยตนเอง พร้อมทั้งพาฉู่จิ่นเหยากับฉู่จิ่นเมี่ยวไปด้วย
ครั้งนี้ฉู่จิ่นเหยาจะพักที่จวนจวิ้นอ๋องเป็นเวลาเดือนเศษ จากนั้นจะไปพักที่จวนตนเองสองสามวันแล้วกลับมาที่จวนจวิ้นอ๋องใหม่ ฉู่จิ่นเหยาไม่รู้เช่นกันว่าวันเวลาที่ต้องวิ่งกลับไปกลับมาเช่นนี้จะดำเนินไปถึงเมื่อใด แต่ก็พอจะสามารถคาดการณ์ได้ เนื่องจากทั้งสองที่ล้วนมีที่พักของนาง แต่บรรดาเสื้อผ้า เครื่องประดับ และสาวใช้ของนางมิอาจนำไปด้วยทั้งหมด อย่างไรก็ต้องทิ้งไว้เผื่อใช้จำนวนหนึ่ง และเนื่องด้วยหลายปัจจัยฉู่จิ่นเหยาออกไปข้างนอกครานี้ผู้ที่ติดตามข้างกายย่อมต้องมีความสามารถและคล่องแคล่ว ทว่าในเรือนจะไม่มีใครอยู่เฝ้าก็มิได้ หลังฉู่จิ่นเหยาไตร่ตรองแล้วจึงตัดสินใจพากงหมัวมัว หลิงหลง และเจี๋ยเกิ่งไปด้วย โดยทิ้งติงเซียงผู้ซื่อสัตย์ไว้เฝ้าเรือน
ก่อนเดินทางฉู่จิ่นเหยาตรวจดูคลังส่วนตัวในปีกเรือนทางทิศตะวันตกรอบแล้วรอบเล่า เมื่อแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดพลาดก็ลั่นกุญแจประตูโดยทิ้งลูกกุญแจปีกเรือนทางทิศตะวันตกไว้ให้ติงเซียงดอกหนึ่ง ส่วนที่เหลือนางนำติดตัวไปด้วยทั้งหมด แม้ติงเซียงจะมีลูกกุญแจปีกเรือน แต่หีบข้างในลั่นกุญแจไว้อีกชั้น ฉู่จิ่นเหยาจึงไม่กลัวว่าจะมีใครวางอุบาย ทิ้งลูกกุญแจให้ติงเซียงก็เพียงเผื่อไว้เท่านั้น
ฉู่จิ่นเหยา กงหมัวมัว และหลิงหลงรวบรวมเครื่องประดับเสื้อผ้าที่ใช้ประจำของตนเองลงสองหีบใหญ่ใส่รถม้าไปด้วยกัน ข้าวของที่ใช้ในชีวิตประจำวันที่จวนจวิ้นอ๋องมีครบ พวกนางนำของไปมากเกินไปจะไม่น่าดู วางตัวเช่นแขกจะดีที่สุด แต่แม้จะกล่าวว่าไปเป็นแขก ทว่าถึงอย่างไรฐานะของจวนจวิ้นอ๋องก็พิเศษ ย่อมต้องเตรียมทรัพย์สินติดตัวไปให้พอ หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกะทันหัน ฉู่จิ่นเหยามีเงินไม่พอ ทำขายหน้าขึ้นมาจะไม่ดี อีกทั้งก่อนเดินทางฮูหยินผู้เฒ่าฉู่ได้เรียกฉู่จิ่นเหยาไปหา มอบเงินสองร้อยตำลึงให้นางเป็นการส่วนตัว เมื่อรวมกับสองร้อยตำลึงที่มอบให้อย่างเปิดเผย ลำพังแค่เงินในมือฉู่จิ่นเหยาจึงมีถึงสี่ร้อยตำลึง เงินสี่ร้อยตำลึงสามารถซื้อเรือนหลังใหญ่ในเมืองไท่หยวนได้หลังหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าฉู่มีแผนการอยู่ในใจตนเอง กลัวว่าฉู่จิ่นเหยาจะถูกคนของจวนจวิ้นอ๋องดูถูกจึงจำต้องรักษาหน้าวงศ์ตระกูลเอาไว้ก่อนล่วงหน้า
อันที่จริงตัวฉู่จิ่นเหยาเองก็มิได้ขาดแคลนเงิน แต่ละเดือนนางได้เงินปันผลเป็นพันตำลึง แต่ฮูหยินผู้เฒ่าฉู่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ฉู่จิ่นเหยาจะปฏิเสธได้หรือ อย่างน้อยรายจ่ายอย่างเปิดเผยทั้งหมดหลังจากนี้ของนางล้วนต้องนับรวมอยู่ในสี่ร้อยตำลึงนี้
“คุณหนู ขนหีบไปวางเรียบร้อยแล้ว ในห้องก็เช็ดเสร็จแล้ว ท่านไปนั่งพักข้างในเถิดเจ้าค่ะ”
“อืม ก็ดี” ฉู่จิ่นเหยาลุกขึ้นอย่างอาลัยอาวรณ์ กำลังจะเดินเข้าไปในห้องที่จวนจวิ้นอ๋องจัดไว้ให้ เรือนของนางอยู่ในสวนบุปผา ขนาดไม่นับว่าใหญ่ เป็นเรือนหลักขนาดสามห้อง ใต้ชายคามีห้องมุมหนึ่งห้อง สองฝั่งทางทิศตะวันออกและตะวันตกมีเพียงกำแพง ไม่มีปีกเรือน ทางทิศใต้มีเรือนบริวารขนาดสองห้องสำหรับให้บ่าวไพร่พักอาศัย เรือนแห่งนี้สว่างและกว้างขวางสู้เรือนเจาอวิ๋นของนางไม่ได้ แต่ยังดีที่สถานที่งดงาม เดินออกไปไม่ไกลก็เป็นสระบัว ปลูกต้นไม้บุปผาไว้เต็มรอบเรือน อีกทั้งบุปผาก็ผลิบานตลอดสี่ฤดู
ฉู่จิ่นเหยาชอบต้นฉุยซือไห่ถังสองต้นที่อยู่ในลานเรือนเป็นพิเศษ หลังเรือนยังมีต้นหลันฮวาอิ๋งต้นสูงใหญ่อีกต้น คิดว่าเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิจะต้องงดงามเป็นแน่แท้
นางเพิ่งมาถึงก็ชมชอบต้นไม้ไม่กี่ต้นนี้แล้ว แม้แต่ห้องก็ยังไม่สนใจจะเข้าไปดู หลิงหลงกับเจี๋ยเกิ่งจึงอาศัยโอกาสนี้ใช้น้ำเช็ดถูภายในห้องอีกรอบ
ฉู่จิ่นเหยาถูกสาวใช้ลากออกมาจากใต้ต้นไม้ทั้งที่ยังอาลัยอาวรณ์ จากนั้นก็รุนร่างนางเข้าไปพักผ่อนในห้อง เรือนน้อยแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่ คล้ายว่าเตรียมไว้ให้สตรีตั้งแต่เริ่มสร้างจึงตั้งใจตกแต่งลานเรือนให้วิจิตรเป็นพิเศษ แม้กระทั่งตัวเรือนก็หรูหรางดงาม ประณีตบรรจง
เมื่อนางเข้ามาในเรือนก็มองเห็นห้องโถงกลางเป็นอย่างแรก กลางผนังห้องมีภาพสาวงามแขวนอยู่ภาพหนึ่ง ตรงหน้าเป็นเก้าอี้พนักกลมสองตัว ตรงกลางมีโต๊ะเล็กขาสูงตั้งอยู่หนึ่งตัว เห็นได้ชัดว่านี่เป็นที่สำหรับเจ้าของเรือนใช้นั่งรับแขก ถัดมาเป็นเก้าอี้ไม้เรียงกันสองแถว มีแจกันและถาดผลไม้วางประดับอยู่ระหว่างเก้าอี้ ไม่มีสิ่งใดน่าดู ฉู่จิ่นเหยาจึงเดินไปทางทิศตะวันตก ห้องโถงกับห้องทางทิศตะวันตกถูกกั้นด้วยฉากกั้นลมสี่ตอน บนฉากปักเป็นภาพดอกฉุยซือไห่ถัง ดอกโบตั๋น และหญิงงามชมบุปผา โอ่อ่างามสง่าเป็นที่สุด
ด้านในสุดของห้องทางทิศตะวันตกประดับด้วยเตียงปาปู้หนึ่งหลัง เครื่องนอนถูกเปลี่ยนเป็นของจากจวนฉางซิงโหวทั้งหมด เตียงปาปู้มีราคาไม่ใช่น้อยๆ ด้านนอกสุดเป็นเสาและรั้วกั้นเตียงไม้จันทน์แดงฉลุ ส่วนที่ด้านในพวกแท่นเหยียบและตู้ข้างเตียงที่ควรมีล้วนมีครบทั้งสิ้น เมื่อปล่อยม่านเตียงชั้นนอกสุดลงมา ในนี้ก็ราวกับเป็นห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง ห้องทางทิศตะวันตกวางเตียงปาปู้ไว้หลังหนึ่งแล้ว เมื่อวางโต๊ะเครื่องแป้งลงไปอีกตัวก็เหลือที่ว่างไม่เท่าไร ดังนั้นพวกตั่งหลัวฮั่นและโต๊ะน้ำชาสำหรับใช้รับแขกจึงวางไว้ในห้องทางทิศตะวันออก วันหน้าหากมีสหายสนิทมาเยี่ยมเยียนใช้โถงกลางต้อนรับจะดูห่างเหินเกินไป การตกแต่งจัดวางที่ให้ความรู้สึกสนิทชิดเชื้อแต่ไม่มักง่ายอย่างห้องทางทิศตะวันออกนี้ถือว่ากำลังพอดี
ฉู่จิ่นเหยาสำรวจดูจากข้างในแล้วออกมาดูข้างนอก รู้สึกว่าการเตรียมพร้อมนี้ของจวนจวิ้นอ๋องนับว่าตั้งใจอย่างยิ่ง ยังดีที่จวนจวิ้นอ๋องมิได้ประเมินไมตรีฉันพี่น้องระหว่างนางกับฉู่จิ่นเมี่ยวผิดไป หากจัดให้พวกนางสองคนอยู่ในเรือนเดียวกันคงจะครึกครื้นเป็นแน่
ที่พักของฉู่จิ่นเมี่ยวอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากนาง เดินผ่านสระบัวไป เรือนไม้น้อยริมน้ำหลังนั้นก็คือที่พักของอีกฝ่าย บัดนี้ยังเป็นฤดูหนาว บริเวณเรือนของฉู่จิ่นเมี่ยวมองไม่เห็นสิ่งใดเป็นพิเศษ แต่ถ้าหากรอจนถึงฤดูร้อนดอกบัวบานสะพรั่งเต็มสระ ฉู่จิ่นเมี่ยวอาศัยอยู่ใกล้สระบัวย่อมเห็นแต่ความงดงามเงียบสงบเปี่ยมสุนทรีย์ถึงขีดสุด
ยามค่ำ ขณะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เจี๋ยเกิ่งกลับมาจากการสืบข่าว นางกล่าวกับฉู่จิ่นเหยาว่า “คุณหนู บ่าวลอบไปดูที่เรือนของคุณหนูสี่มาแล้วเจ้าค่ะ การตกแต่งในเรือนนางอัตคัดอย่างยิ่ง ตรงกลางห้องมีภาพปักรูปดอกเหมย ดอกกล้วยไม้ ต้นไผ่ และดอกเบญจมาศ ทางทิศตะวันตกเป็นเตียงแบบมีหลังคาหนึ่งหลัง ส่วนทางทิศตะวันออกนอกจากโต๊ะกับตั่งอย่างละตัวก็ไม่มีสิ่งใดอีก เรือนนางมองไปทางใดก็ว่างเปล่า ลมพัดยังมีเสียงสะท้อนออกมาได้ ไฉนเลยจะสบายเท่าเรือนของคุณหนู”
ฉู่จิ่นเหยาหัวเราะ อะไรคือลมพัดยังมีเสียงสะท้อนออกมาได้ เจี๋ยเกิ่งทับถมคนจนติดเป็นนิสัย ฉู่จิ่นเหยาได้แต่ถลึงตาใส่นางผ่านคันฉ่อง
“เจ้าพูดเก่งเสียจริง ห้ามพูดจายุแยงผู้อื่นเวลาอยู่ข้างนอก”
“บ่าวทราบเจ้าค่ะ” เจี๋ยเกิ่งบุ้ยปากแล้วกล่าวว่า “ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้คุณหนูสี่ก็ยังดูเหมือนชอบใจอย่างยิ่ง นางยังพูดด้วยว่าฤดูหนาวพักอยู่ริมสระบัวนั้นดีที่สุด แค่เปิดหน้าต่างก็มองเห็นซากบัวเต็มไปหมด ยามค่ำยังสามารถได้ยินเสียงลมกระทบซากบัว งดงามเงียบสงบเป็นที่สุด”
ฉู่จิ่นเหยากลับเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าสระบัวยังเป็นน้ำแข็งอยู่ นางไม่หนาวหรือไร”
เจี๋ยเกิ่งส่ายหน้า เวลานี้ฉู่จิ่นเหยามองการตกแต่งในเรือนของตนเองอีกครั้ง รู้สึกในทันทีว่าจวนจวิ้นอ๋องมิเสียแรงที่เป็นจวนจวิ้นอ๋อง ไม่กล่าวถึงทรัพย์สินเงินทอง ลำพังเพียงวิธีการควบคุมความคิดจิตใจคนพรรค์นี้ ตระกูลชนชั้นสูงอย่างพวกนางก็ยังไม่อาจเทียบได้
ฉู่จิ่นเหยาพึมพำ “ไม่รู้ว่าน้ำแข็งในสระหนาพอหรือไม่ สระน้ำใหญ่เพียงนั้นทั้งเรียบและโล่ง เล่นเลื่อนน้ำแข็งจะต้องสนุกมากเป็นแน่”
หลิงหลงถูกทำเอาตกใจจนสะดุ้ง รีบร้องเรียกทันที “คุณหนู!”
ฉู่จิ่นเหยาได้สติกลับมา โบกมือพลางกล่าวว่า “ข้าพูดไปอย่างนั้นเอง ข้ารู้หนักเบาอยู่ วันนี้พวกเจ้าเหนื่อยมาทั้งวัน ไปพักผ่อนเร็วหน่อยเถิด เช้าตรู่วันพรุ่งนี้ต้องไปคารวะชายาเฒ่า จากนั้นก็ต้องไปเข้าเรียนเป็นเพื่อนเซี่ยนจู่ ยังมีงานต้องทำอีกมาก”
“เจ้าค่ะ”
หลิงหลงและเจี๋ยเกิ่งหวีผมให้ฉู่จิ่นเหยาจนลื่นสลวย ปรนนิบัตินางขึ้นเตียงนอนก่อนปิดรั้วกั้นเตียงชั้นนอกสุด ฉู่จิ่นเหยามองเห็นแสงมืดสลัวลงในทันที คล้ายว่านางตกอยู่ในพื้นที่เล็กๆ เพียงลำพัง จากนั้นตะเกียงด้านนอกเตียงก็ดับลง
ฉู่จิ่นเหยาหลับตาลง ตามหลักนางควรนอนได้แล้ว นางอยากจะบอกฝันดีตามความเคยชิน ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าบัดนี้นางอยู่คนเดียว บอกไปก็ไม่มีใครได้ยิน
นางเอื้อมมือไปคลำจี้หยกพกที่วางไว้ใต้หมอน จี้หยกพกให้ความรู้สึกทั้งอุ่นและเย็น มองไม่ออกแม้แต่น้อยว่ามันเคยส่งเสียงพูดและกลายร่างได้ในยามกลางวัน
ฝันดีฉีเจ๋อ ฉู่จิ่นเหยาพูดในใจ ก่อนหลับตาเข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน
ก่อนฉู่จิ่นเหยาจะเข้าสู่นิทรา ตรงหน้าพลันปรากฏเงาคนเงาหนึ่ง อีกฝ่ายถูกคนล้อมไว้แน่นหนา มองเห็นได้เพียงชายเสื้อสีน้ำตาลแดง รวมถึงดวงตาที่ใสกระจ่างแฝงรอยยิ้มคู่หนึ่ง
ฉู่จิ่นเหยาคิดด้วยอาการสะลึมสะลือว่านางคงเกิดภาพหลอนเข้าแล้วกระมัง นางคิดคำนึงเรื่องนี้ทุกวัน คิดบ่อยครั้งเกินไปทำให้มองเห็นใครก็เหมือนคนที่ตนเองรู้จักไปเสียหมด บุรุษผู้นั้นกับฉีเจ๋อน่าจะเพียงคล้ายคลึงกันเล็กน้อย แต่นางกลับเห็นเป็นอีกคนไปเสียได้
นางทบทวนตนเองเงียบๆ ก่อนหลับสนิทไป
บทที่ 48.2 สหายร่วมเรียนแห่งจวนจวิ้นอ๋อง
วันรุ่งขึ้น ฉู่จิ่นเหยาตื่นแต่เช้าตรู่ไปคารวะชายาเฒ่าแห่งจวนจวิ้นอ๋อง
เหมือนเช่นทุกครอบครัว ชายาเฒ่ามีฐานะสูงสุดในจวนจวิ้นอ๋อง เมื่อถึงเวลาคารวะยามเช้าในเรือนชายาเฒ่ามีคนอยู่มากมาย บุตรสาวสายตรงสายรองรุ่นหลาน ฉู่จู และชายาจวิ้นอ๋องผู้เป็นสะใภ้ ตลอดจนสาวใช้และบ่าวหญิงสูงวัยของเจ้านายแต่ละคนล้วนเบียดเสียดอยู่รวมกัน และบัดนี้ยังมีฉู่จิ่นเหยากับฉู่จิ่นเมี่ยวเพิ่มมาอีกสองคน
ฉู่จิ่นเหยามาถึงเร็วกว่าฉู่จิ่นเมี่ยว ฉู่จิ่นเมี่ยวกระวีกระวาดมาถึงเรือนชายาเฒ่า ครั้นเปิดม่านออกก็พบว่าฉู่จิ่นเหยามาถึงแล้ว ใบหน้าของนางบึ้งตึงทันควัน ส่วนฉู่จิ่นเหยาไม่แม้แต่จะแสดงออกทางแววตา ถือเสียว่าตนเองมองไม่เห็น
ถึงอย่างไรจากเรื่องที่เกิดเมื่อคราวก่อน เกรงว่าคนของจวนจวิ้นอ๋องคงจะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางสองคนดีอยู่แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ยังต้องมัวคำนึงถึงเรื่องความอัปยศในครอบครัวไม่ควรแพร่งพรายอะไรอีกเล่า
หาได้ยากที่ชายาเฒ่าจะได้เห็นเด็กรุ่นลูกรุ่นหลานมากมายเพียงนี้ในคราวเดียว นางดีใจจนยิ้มไม่หุบ หลินเป่าจูเป็นผู้ที่สบายใจที่สุดในห้อง นางซุกร่างออดอ้อนอยู่ในอ้อมแขนชายาเฒ่า
“ท่านย่า วันนี้ข้าจะต้องเข้าเรียนแล้วหรือเจ้าคะ”
“เจ้านี่นะ ซนอย่างกับลิง เหตุใดถึงไม่อยากใฝ่หาความก้าวหน้าเล่า!” ชายาเฒ่าสะกิดปลายจมูกเซี่ยนจู่พลางดุด้วยท่าทางสนิทชิดเชื้อ
เซี่ยนจู่กอดแขนชายาเฒ่าพลางทำท่าทางบิดพลิ้วไขสือทันที ฉู่จิ่นเหยาเห็นแล้วตกใจอยู่บ้าง ฮูหยินผู้เฒ่าฉู่เคร่งขรึมมาแต่ไหนแต่ไร บรรดาพวกนางพี่น้อง แม้กระทั่งฉู่จิ่นเสียนที่เป็นที่โปรดปรานที่สุดและคุณหนูเจ็ดที่อายุน้อยที่สุดก็ยังไม่กล้าออดอ้อนฮูหยินผู้เฒ่าฉู่ แต่คิดไม่ถึงว่าในจวนผู้อื่น หลานสาวกับผู้เป็นย่าจะอยู่ด้วยกันเช่นนี้
ชายาเฒ่าคล้ายว่าถูกรบเร้าจนหมดปัญญา ได้แต่กล่าวว่า “เอาเถิด ในเมื่อเจ้ายังไม่มีแก่ใจจะเรียน เช่นนั้นก็พักอีกหนึ่งวัน จำไว้ว่าวันพรุ่งนี้ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องไปเข้าเรียนแล้ว!”
เซี่ยนจู่ตอบรับเสียงอ่อนหวานทันที เดิมทีฉู่จิ่นเหยานึกว่าเซี่ยนจู่ถูกตามใจอย่างมาก ขอเพียงเซี่ยนจู่เรียกร้อง ชายาเฒ่ากับชายาจวิ้นอ๋องล้วนปฏิเสธไม่ลง แต่ครั้นยามเที่ยงเห็นผู้มาเยือนอีกคน นางก็รู้ว่าตนเองคิดง่ายเกินไป
ชายาจวิ้นอ๋องกล่าวแนะนำพลางยิ้มจนตาหยี “นี่คือหลานสาวทางบ้านเดิมของข้า นามว่าหยางฉี่สยา ต่อไปพวกเจ้าต้องเข้าเรียนด้วยกัน สนิทสนมกันเอาไว้”
เวลานี้ฉู่จิ่นเหยามองไปยังสตรีที่อยู่ข้างกายชายาจวิ้นอ๋อง สกุลหยางหรือ มิหนำซ้ำยังเป็นหลานสาวของชายาจวิ้นอ๋อง คงเป็นญาติผู้พี่ของเซี่ยนจู่ ญาติผู้น้องของซื่อจื่อ
ฉู่จิ่นเหยาเกิดความรู้สึกคุ้นเคยแปลกๆ ขึ้นมาในทันใด
หยางฉี่สยาสวมเสื้อไหมกันหนาวสีขาว ท่อนล่างสวมกระโปรงจีบสีแดงแก่ นางมีใบหน้ากลมและรูปร่างเล็กเหมือนชายาจวิ้นอ๋อง ดูเป็นมิตรยิ่ง หยางฉี่สยายิ้มพลางเดินมาจับมือฉู่จิ่นเหยา มองซ้ายมองขวาอยู่หลายอึดใจถึงได้ถอนหายใจแล้วกล่าวขึ้น
“ข้าเพิ่งเคยเห็นน้องหญิงที่น่ามองเพียงนี้เป็นครั้งแรก วันนี้ได้พบน้องหญิงถึงได้รู้ว่าที่แท้ข้ามีชีวิตอย่างเสียเปล่ามาตลอดหลายปี”
รอยยิ้มฉู่จิ่นเหยาดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย นางรีบพูดว่า “ไม่ถึงเพียงนั้น แม่นางหยางชมเกินไปแล้ว”
“พวกเรามีความสัมพันธ์กันเช่นนี้ ไยเจ้ายังเรียกข้าว่าแม่นางหยางอยู่อีกเล่า!” หยางฉี่สยากล่าวยิ้มๆ “ข้าอายุเทียม สิบห้าปี เจ้าเล่า”
“ข้าสิบสี่ปี”
“เช่นนั้นก็ดี ข้ามีน้องสาวเพิ่มอีกคนแล้ว” หยางฉี่สยาจับมือฉู่จิ่นเหยาไว้ด้วยท่าทางสนิทสนมอบอุ่น พูดจากันอย่างคุ้นเคยอีกสักพัก พอหยางฉี่สยามองเห็นฉู่จิ่นเมี่ยวที่ยืนอยู่อีกด้านก็ยิ้มพลางเอ่ยถาม “แล้วน้องหญิงผู้นี้เล่า”
ฉู่จิ่นเมี่ยวถูกเมินมาครึ่งค่อนวันทำให้เก้อกระดากอยู่บ้าง นางฝืนยิ้มตอบว่า “ข้าก็สิบสี่ปีแล้วเช่นกัน”
“ตายจริง บังเอิญปานนี้เชียว!” หยางฉี่สยายกมือปิดปากด้วยความตกใจ สีหน้าก็คาดไม่ถึงยิ่ง ถึงกระนั้นฉู่จิ่นเหยากลับรู้สึกว่าสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงของนางออกจะดูเกินจริงอยู่บ้าง
หยางฉี่สยาถาม “พวกเจ้าสองคนเป็นพี่น้องร่วมจวน ทั้งยังเกิดปีเดียวกันด้วย ถึงกับบังเอิญปานนี้เชียว!”
พูดอยู่ว่าเป็นพี่น้องร่วมจวน อายุเท่ากันมิใช่เรื่องปกติหรือไร ฉู่จิ่นเหยาได้แต่ยิ้มพลางเอ่ย “บังเอิญจริงๆ”
ไม่ผิดจากที่คาด เซี่ยนจู่พูดเรื่องนี้ขึ้นบ้างแล้ว “พวกนางสองคนไม่เพียงอายุเท่ากัน อันที่จริงวันเกิดก็ใกล้กันมากด้วย ขณะพวกนางสองคนลืมตาดูโลกบังเอิญประสบกับเหตุการณ์กองทัพศัตรูรุกรานพอดีจึงถูกสลับตัวกัน ฉู่จิ่นเมี่ยวถูกอุ้มกลับจวนฉางซิงโหว ฉู่จิ่นเหยาถูกทิ้งไว้ข้างนอก จวบจนเมื่อปีก่อนเพิ่งตามตัวกลับมาได้”
นี่เป็นเรื่องประหลาดหายากที่สุดเท่าที่เซี่ยนจู่เคยได้ยินมา นางแทบอยากจะเล่าให้ทุกคนที่พบฟัง ในขณะที่ฉู่จิ่นเหยากับฉู่จิ่นเมี่ยวซึ่งเป็นบุคคลในเรื่องกลับมีสีหน้าปั้นยากพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย หยางฉี่สยาอุทานด้วยความประหลาดใจ นางใช้มือปิดปากพลางมองฉู่จิ่นเหยากับฉู่จิ่นเมี่ยวสลับกันไปมาสองสามที ก่อนดึงมือพวกนางสองคนมาไว้บนฝ่ามือตนเองด้วยท่าทางสนิทสนมอบอุ่น
“ไม่เป็นไร ได้พบกันก็คือวาสนา พวกเจ้าสองคนมีวาสนาต่อกันเพียงนี้ เห็นทีสวรรค์คงจะส่งมาให้เป็นพี่น้องกันแล้ว”
ฉู่จิ่นเหยากับฉู่จิ่นเมี่ยวต่างยิ้มน้อยๆ โดยมิได้ตอบรับ
แต่ฉู่จิ่นเหยากลับถอนหายใจ นางพอจะรู้ความคิดของชายาจวิ้นอ๋องแล้ว
ที่ชายาเฒ่าบอกว่าวันนี้ไม่ต้องเข้าเรียน อันที่จริงเดิมทีมิได้เป็นเพราะเซี่ยนจู่ แต่เป็นเพราะหยางฉี่สยายังไม่มา ถึงเซี่ยนจู่จะไม่ขอ วันนี้ก็ไม่มีทางเริ่มเรียน
หลังชายาจวิ้นอ๋องแนะนำหยางฉี่สยาให้เหล่าคุณหนูรู้จักแล้วก็เดินออกไปก่อน ปล่อยให้แม่นางน้อยทั้งหลายอยู่กันไป บัดนี้ผู้ที่นั่งอยู่ในห้องอุ่นมีฉู่จิ่นเหยา ฉู่จิ่นเมี่ยว เซี่ยนจู่ หลินเป่าอิงบุตรสาวคนโตสายรองของฉู่จู หลินเป่าหวนบุตรสาวสายตรง รวมถึงหยางฉี่สยาหลานสาวของชายาจวิ้นอ๋อง
ผู้ที่จะไปเข้าเรียนด้วยกันในวันหน้าเกรงว่าคงเป็นคนเหล่านี้แล้ว
เซี่ยนจู่นั่งแล้วรู้สึกเบื่อ ต้องการลากคนทั้งหลายออกไปเล่นข้างนอกให้ได้ ฉู่จิ่นเหยาเพิ่งมาใหม่ย่อมไม่ยอมเอ่ยปากตอบรับง่ายๆ ขณะที่หยางฉี่สยาช่วยสาวใช้เกลี้ยกล่อมเซี่ยนจู่
“เป่าจู ยามนี้อากาศยังไม่ดีขึ้น พื้นเต็มไปด้วยน้ำแข็ง ออกไปจะมีอะไรสนุกกัน มิสู้อยู่คุยเป็นเพื่อนผู้อาวุโสในนี้จะดีกว่า”
เซี่ยนจู่ยังมีท่าทางไม่ยินยอม หยางฉี่สยาเกลี้ยกล่อมต่ออย่างอดทนและจริงจัง ขณะที่ฉู่จิ่นเหยาหันไปถามหลินเป่าหวนเบาๆ
“พี่หญิงหยางดูคล้ายว่าจะสนิทสนมกับเซี่ยนจู่มาก”
“ใช่แล้ว นางเป็นหลานสาวแท้ๆ ของท่านป้าสะใภ้ มาพักที่จวนจวิ้นอ๋องเป็นประจำ แม้แต่คนในเรือนท่านย่าก็คุ้นเคยกับพี่หญิงหยางไม่น้อย”
ฉู่จิ่นเหยากระจ่างแจ้งทันที เรื่องนี้อธิบายได้แล้ว จวนไหวหลิงจวิ้นอ๋องเลือกสหายร่วมเรียนให้เซี่ยนจู่จากตระกูลที่เกี่ยวดองกัน ในเมื่อหาจากตระกูลเดิมของฉู่จูที่เป็นสะใภ้รองแล้วก็ไม่มีเหตุผลจะข้ามสกุลหยางที่เป็นตระกูลเดิมของชายาจวิ้นอ๋องไป แม้จะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดสหายร่วมเรียนที่เดิมทีมีสองคนถึงกลายเป็นสามคน แต่นี่มิใช่เรื่องสำคัญอะไร ถึงอย่างไรการเพิ่มคนไม่กี่คนก็เป็นเรื่องง่าย แค่ชายาเฒ่าพูดเพียงคำเดียวเท่านั้น
เซี่ยนจู่ถูกหยางฉี่สยาเกลี้ยกล่อมจนหมดอารมณ์จึงกล่าวว่า “ก็ได้ เช่นนั้นข้าไม่ออกไปข้างนอกแล้ว แต่ในเรือนท่านย่าอบอ้าวเกินไป นั่งไม่สบาย มิสู้ไปเล่นหมากซวงลู่* ที่เรือนข้ากันดีกว่า”
หยางฉี่สยายังไม่อยากไป แต่คนอื่นๆ กลับรู้สึกว่าข้อเสนอนี้ไม่เลว หยางฉี่สยาจึงได้แต่กลืนคำพูดลงท้องไปทั้งหมด หลังคนทั้งหลายได้ข้อตกลงแล้วก็พากันลุกขึ้นเรียกสาวใช้ของตนเอง เพียงชั่วขณะในห้องอุ่นก็วุ่นวายอยู่กับการคลุมเสื้อคลุมและส่งเตาอุ่นมือ
เซี่ยนจู่อยู่นิ่งไม่ได้ เพิ่งจะผูกสายรัดเอวเสร็จก็วิ่งออกไปแล้ว สาวใช้ที่เหลือก็ตามออกไปทันที ฉู่จิ่นเหยาลูบรอยยับบนเสื้อคลุมให้เรียบแล้วตามไปเช่นกัน หยางฉี่สยาก้าวออกจากประตูเป็นคนสุดท้าย หลันเจ๋อมองเห็นหยางฉี่สยาก็กล่าวยิ้มๆ
“คุณหนูหยาง ไยท่านก็จะออกไปด้วยเล่าเจ้าคะ”
ข้างกายชายาเฒ่ามีสาวใช้ใหญ่อยู่สองคน หนึ่งคือหลันเจ๋อ สองคือซย่าปัว หลันเจ๋อพูดเก่ง ชายาเฒ่าจึงชอบนางอย่างมาก แม้หลันเจ๋อจะเป็นสาวใช้ แต่งานที่ทำล้วนเป็นงานเบาๆ อย่างการปรนนิบัติชายาเฒ่า ปกติที่ทำมากที่สุดก็คือการรินชาและคุยเล่นให้ชายาเฒ่าหัวเราะ งานหนักจำพวกเช็ดล้างทำความสะอาดล้วนมิได้แตะต้อง ดังนั้นหากกล่าวให้ชัดเจนก็คืออาหารการกินและเครื่องนุ่งห่มของหลันเจ๋อจึงมิได้ด้อยไปกว่าคุณหนูตระกูลมั่งคั่ง มือทั้งสองได้รับการบำรุงจนขาวเนียน แม้แต่คุณหนูตระกูลเล็กๆ ยังดีสู้หลันเจ๋อไม่ได้
เนื่องจากหลันเจ๋อเป็นคนโปรดของชายาเฒ่า คนทั้งนอกและในจวนจวิ้นอ๋องเห็นหลันเจ๋อแล้วล้วนต้องหยุดสนทนาด้วยความเกรงใจสองสามคำ หยางฉี่สยาได้ยินหลันเจ๋อถามจึงหยุดฝีเท้า ยิ้มพลางตอบกลับไป
“เซี่ยนจู่ร่ำร้องจะกลับไปเล่นหมากซวงลู่ ข้าไม่ไปเฝ้าก็ไม่วางใจ”
หลันเจ๋อยิ้มพลางขยิบตาอย่างซุกซน “คุณหนูหยางทุ่มเทกายใจให้เซี่ยนจู่ปานนี้ ไม่ต่างจากพี่สาวร่วมอุทรสักนิด! แม้แต่พี่สะใภ้ทั่วไปเกรงว่ายังใส่ใจน้องสาวสามีได้ไม่ถึงครึ่งของคุณหนูหยางเลยนะเจ้าคะ”
หยางฉี่สยายกยิ้มเล็กน้อย “หลันเจ๋อต่างหากที่เป็นคนเก่งข้างกายชายาเฒ่า ภายภาคหน้าไม่รู้ใครจะมีวาสนาได้แต่งภรรยาอย่างเจ้าไปช่วยดูแลเรือน”
“คุณหนูหยางพูดให้บ่าวอายุสั้นแล้วเจ้าค่ะ บ่าวเป็นแค่บ่าวรับใช้คนหนึ่ง เกิดมามีชะตาต้องปรนนิบัติผู้อื่น ไฉนเลยจะกล้าถือตัวไปเป็นภรรยาผู้อื่น” หลันเจ๋อพูดยิ้มๆ “มีเพียงคนมีหน้ามีตาอย่างคุณหนูหยางจึงจะเรียกได้ว่าเหมาะสมกับการเป็นภรรยา!”
หยางฉี่สยายิ้ม “เจ้าประชดข้าอีกแล้ว ช่างเถิด ข้าจะไม่พูดกับเจ้าให้มากความ เซี่ยนจู่น่าจะเดินไปไกลแล้ว ข้าต้องรีบตามนางออกไป”
หลันเจ๋อเปิดม่านให้หยางฉี่สยา จะส่งนางออกนอกเรือนด้วยตนเอง ก่อนจากมาหยางฉี่สยาก็เอ่ยปากพูดอีกครา คนทั้งสองพูดจาอย่างเกรงอกเกรงใจกันอยู่นาน
บทที่ 48.3 สหายร่วมเรียนแห่งจวนจวิ้นอ๋อง
อีกด้านหนึ่ง ฉู่จิ่นเหยาพบว่าหยางฉี่สยายังไม่ตามมาก็กล่าวขึ้นว่า “เดี๋ยวก่อน พี่หญิงหยางยังไม่มา”
พวกเซี่ยนจู่ได้แต่ยืนรออยู่ที่เดิม เซี่ยนจู่รอจนเบื่อจึงก้าวเข้ามาถามฉู่จิ่นเหยา “ข้าได้ยินว่าคราวก่อนดูเหมือนเจ้าจะทำบางอย่างตกไว้ที่จวนจวิ้นอ๋อง เจ้าหาพบแล้วหรือยัง”
คนอื่นๆ ได้ยินคำพูดของเซี่ยนจู่ สายตาต่างก็มองไปยังฉู่จิ่นเหยา ฉู่จิ่นเหยาใช้โอกาสนี้จงใจตอบว่า “หาพบแล้ว เป็นข้าสะเพร่าเอง ข้าลืมของไว้ที่จวน พอมาจวนจวิ้นอ๋องถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ มิหนำซ้ำยังหลงนึกว่าทำตกไว้ที่จวนจวิ้นอ๋อง รบกวนทุกคนมานานเพียงนี้ รู้สึกเกรงใจโดยแท้”
กระเป๋าเงินที่ฉู่จิ่นเหยาพกติดตัวเกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของนาง นางมิกล้าเสี่ยงแม้แต่น้อย กระเป๋าเงินใบนั้นนางให้คนเก็บไว้เรียบร้อยแล้วและจะไม่นำมาใช้อีก แต่เพื่อขจัดภัยในวันข้างหน้าให้สิ้นซาก ฉู่จิ่นเหยาได้หาข้ออ้างใหม่ว่าตนเองลืมทิ้งไว้ที่จวน พูดออกมาต่อหน้าคนทั้งหลายเพื่อไม่ให้คนอื่นหยิบเรื่องนี้มาพูดอย่างเสียๆ หายๆ ได้อีก
เซี่ยนจู่พยักหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ใส่ใจ แต่มุมปากฉู่จิ่นเมี่ยวกลับมีรอยยิ้มเย็นผุดขึ้นมา
แต่ตัวฉู่จิ่นเมี่ยวเองก็กลัวการเอ่ยถึงเรื่องในวันนั้นยิ่ง ดังนั้นต่อให้นางรู้ว่าฉู่จิ่นเหยาโกหกก็ไม่สามารถเปิดโปงออกมาได้ และเกรงว่าฉู่จิ่นเหยาคงจะใคร่ครวญถึงจุดนี้เช่นกัน
ฉู่จิ่นเหยาอธิบายเรื่องกระเป๋าเงินอย่างรวบรัดเสร็จก็ข้ามประเด็นนี้ไป ชักชวนเซี่ยนจู่ให้พูดคุยเรื่องใหม่ ขณะกำลังพูดก็รู้สึกเย็นวาบในอกขึ้นมา
ไม่ถูกต้อง วันนั้นฉู่จิ่นเมี่ยวกับคุณหนูสามบอกแล้วว่าพวกนางบังเอิญพบบ่าวชายผู้หนึ่งที่หน้าประตูห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า รู้สึกว่าอีกฝ่ายดูมีพิรุธจึงพยายามรั้งไว้ ในเมื่อฉู่จิ่นเมี่ยวพูดเช่นนี้ บ่าวชายผู้นั้นก็มิใช่คนที่ฉู่จิ่นเมี่ยวจัดวางไว้ ส่วนคุณหนูหกเพียงรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ หาได้แทรกแซงแผนการของฉู่จิ่นเมี่ยวไม่ ดังนั้นบ่าวชายผู้นั้นจึงมิใช่คนของคุณหนูหกเช่นกัน
สามารถปรากฏตัวที่หน้าประตูห้องสำหรับให้สตรีเปลี่ยนเสื้อผ้าได้อย่างเทพไม่รู้ผีไม่เห็น มิหนำซ้ำยังเป็นห้องที่เห็นได้ชัดว่ามีปัญหา สามารถสรุปได้ว่าบ่าวชายผู้นั้นมิใช่บังเอิญผ่านทางมาขณะทำงาน หากมิใช่ฉู่จิ่นเมี่ยวและคุณหนูหก เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ดูเหมือนจะร้ายแรงแล้ว บ่าวชายผู้นั้นเป็นคนของใคร
“ฉู่จิ่นเหยา เจ้าคิดอะไรอยู่”
เสียงของเซี่ยนจู่ทำให้ฉู่จิ่นเหยาได้สติกลับมา นางฝืนยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “ข้ามิได้เป็นอะไร เมื่อครู่คิดอะไรเพลินไปหน่อย”
“ยืนอยู่ก็ยังเหม่อลอยได้อีก” เซี่ยนจู่พยักพเยิดไปทางหยางฉี่สยา “เอาเถิด พี่หญิงหยางตามมาทันแล้ว พวกเราไปกันเถิด”
เมื่อมาถึงเรือนของเซี่ยนจู่ พวกนางก็เดินหมากกันอย่างครึกครื้น ทว่าฉู่จิ่นเหยาใจคอไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวนัก
นางเหมือนจะมองข้ามคนคนหนึ่งไป เป็นคนที่ซ่อนอยู่หลังม่านได้มิดชิดอย่างยิ่ง คุณหนูหกใช้แผนซ้อนแผน นึกว่าตนเองรอดตัวไปได้ แต่ผู้ที่รอดตัวอย่างแท้จริงเป็นอีกคนหนึ่ง
ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลังมิได้มีเพียงตัวเดียว
คนหลังม่านผู้นั้นสั่งให้บ่าวชายเข้าไปในห้อง พอเห็นว่าไม่มีคนถึงได้รีบร้อนเดินออกมา เช่นนั้นเดิมทีพวกเขาคิดจะทำอะไร
ฉู่จิ่นเหยาแค่คิดก็ยังรู้สึกว่าร่างสั่นสะท้านขึ้นมา
เซี่ยนจู่แพ้อีกหนึ่งตาแล้วจึงปัดหมากคว่ำด้วยความอับอายจนพาลโกรธ พูดด้วยท่าทางหงุดหงิด “ไม่สนุก ไม่เล่นแล้ว”
คนอื่นๆ รีบล้อมเข้ามาพูดปลอบโยน แต่คราวนี้เซี่ยนจู่ไม่เกลี้ยกล่อมได้ง่ายดายปานนั้น นางเห็นฉู่จิ่นเหยานั่งเหม่อลอยอยู่ตรงหน้าต่างคนเดียวจึงวิ่งไปกระโดดขึ้นบนตั่ง นั่งเอนตัวอยู่ตรงข้ามฉู่จิ่นเหยาพลางถาม
“เจ้ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียว”
“ข้าเล่นหมากซวงลู่ไม่เป็น ไม่อยากทำให้คนอื่นหมดสนุกจึงมานั่งชมการแข่งขันอยู่ตรงนี้” ฉู่จิ่นเหยาพยายามทำให้ตนเองยิ้มโดยปราศจากพิรุธเต็มที่
“แค่ชมหรือ น่าเบื่อยิ่งนัก หากเจ้าเล่นไม่เป็นข้าจะสอนเจ้าเอง!”
ฉู่จิ่นเหยารีบปฏิเสธ ถึงนางจะไม่เข้าใจก็ยังมองออกว่าเซี่ยนจู่เล่นได้ย่ำแย่ที่สุด นางจึงไม่กล้าให้เซี่ยนจู่สอนตนเอง
เซี่ยนจู่นั่งอยู่บนตั่ง แกว่งขาพลางเอ่ยว่า “ยามนี้เดือนสองแล้วกระมัง! ดีทีเดียว อีกไม่กี่วันจะมีงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดครบหกสิบปีของท่านย่าข้าแล้ว ถึงเวลานั้นจึงจะครึกครื้นอย่างแท้จริง!”
วันคล้ายวันเกิดครบหกสิบปีของชายาเฒ่า ฉู่จิ่นเหยาเคยได้ยินผ่านหูมาเช่นกัน นี่นับได้ว่าเป็นงานใหญ่ของทั่วทั้งเมืองไท่หยวนหรือถึงขั้นทั่วทั้งซานซี ฉู่จิ่นเหยานึกภาพบรรยากาศได้ว่าจะต้องมีแขกมากมาย บุคคลที่มีชื่อเสียงต่างพากันมาชุมนุมแน่นอน
ทว่า…วันนี้ยังไม่เริ่มเรียน เซี่ยนจู่ก็เริ่มคิดถึงวันคล้ายวันเกิดของชายาเฒ่าแล้ว นี่พวกนางมาเรียนหนังสือเป็นเพื่อนเซี่ยนจู่จริงๆ หรือ
ฉู่จิ่นเหยากังวลได้ไม่ผิด มาเรียนที่จวนไหวหลิงจวิ้นอ๋องได้ไม่กี่วันดี ทั่วทั้งจวนก็มีคนเข้าออกอย่างคึกคัก ในเวลาเช่นนี้จะให้เซี่ยนจู่ตั้งใจเรียนได้อย่างไร
เนื่องด้วยวันคล้ายวันเกิดของชายาเฒ่าเป็นงานใหญ่ไม่น้อยทั้งจวนจึงยุ่งอยู่กับเรื่องนี้ตลอดหนึ่งเดือน ในจวนทั้งมีงานก่อสร้างขนาดใหญ่และทำเพิงชั่วคราว จวบจนใกล้เดือนสี่เสียงในจวนถึงได้เงียบลงบ้าง
เวลานี้ต้นหลันฮวาอิ๋งหลังเรือนฉู่จิ่นเหยาออกดอกสีม่วงอมน้ำเงินราวกับอยู่ในความฝันแล้ว สระบัวไม่จับตัวเป็นน้ำแข็ง ปรากฏระลอกคลื่นวสันตฤดูบางเบาแผ่ออกมาแล้วเช่นกัน ขณะเดียวกันวันคล้ายวันเกิดครบหกสิบปีของชายาเฒ่าก็ใกล้เข้ามา
วันที่ห้าเดือนสี่ เรือนพักแขกของจวนไหวหลิงจวิ้นอ๋องก็มีคนเข้าพักเต็มแล้ว ทุกวันมีคนเดินไปมาครึกครื้นยิ่งกว่าอะไร ชายาเฒ่าเองก็กระปรี้กระเปร่าเช่นผู้ประสบกับเรื่องน่ายินดี เวลาคารวะยามเช้าทุกวันได้เห็นคนมากมายเช่นนี้นางก็ยิ้มจนหุบไม่ลง วันนี้ยังห่างจากวันคล้ายวันเกิดของนางอีกสามวัน แต่แขกเหรื่อมากันครบแล้ว ที่อยู่ไกลเกินไปหรือปลีกตัวมาไม่ได้ล้วนให้บ่าวไพร่นำของขวัญมาส่ง ส่วนแขกคนอื่นที่อยู่ใกล้ก็ส่งคนมาเยี่ยมเยียนล่วงหน้า
มีคนมามากมายเพียงนี้ ชายาเฒ่ากับชายาจวิ้นอ๋องต่างดีใจยิ่ง ชายาเฒ่าจึงตัดสินใจจัดโต๊ะเลี้ยงรับรองแขกที่เดินทางมาไกลในวันนี้สิบโต๊ะ พวกนางจะได้สนุกสนานกันล่วงหน้า ฮูหยินทั้งหลายย่อมปรบมือร้องว่าดี โรงครัวเตรียมสุราอาหารสำหรับงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดไว้เรียบร้อยนานแล้ว ชายาเฒ่าสั่งคำเดียว โรงครัวก็จัดสุราอาหารสิบโต๊ะออกมาได้ในวันเดียวกัน
เหล่าสตรีต่างมารวมตัวสนุกสนานกันในเรือนชายาเฒ่า ทั้งดื่มสุราและหัวเราะพูดคุยเสียงดังเซ็งแซ่ แม่นางน้อยอย่างพวกฉู่จิ่นเหยาก็มิได้ถูกละเลย พวกนางกับคุณหนูคนอื่นๆ นั่งรวมกันสามโต๊ะในห้องโถงด้านหน้า
ครั้นมีคนมากเซี่ยนจู่ก็อยากก่อความวุ่นวายขึ้นมา นางออกความเห็นบนโต๊ะว่า “นั่งอยู่ในนี้น่าเบื่อจริงๆ พวกเราไปพายเรือที่ทะเลสาบกันเถิด ถึงอย่างไรพวกนางก็ยังไม่เลิกงานเลี้ยงกันในชั่วครู่ชั่วยามนี้เป็นแน่”
ช่างขวัญกล้าโดยแท้! ฉู่จิ่นเหยาอ้าปากค้าง ขณะที่หยางฉี่สยาซึ่งถือตนเป็นพี่สาวที่ดีเอ่ยเตือนทันที “ไม่ได้ ไปทะเลสาบอันตรายมากเพียงไร พวกเรานั่งฟังผู้อาวุโสสนทนากันอยู่ในนี้ เรียนรู้หลักการจัดการงานต่างๆ ให้มากหน่อยจะดีกว่า นี่จึงจะเป็นสิ่งที่กุลสตรีพึงกระทำ”
เซี่ยนจู่ทำหน้าบึ้งตึงทันควัน “ท่านเอาแต่พูดสั่งสอนอยู่นั่น ในเมื่อท่านชอบฟังพวกนางพูดคุยเล่นกันหลังดื่ม ท่านก็อยู่ฟังเองแล้วกัน” เซี่ยนจู่ลุกขึ้นยืน ทำท่าจะเดินออกไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น “หลีกไปให้หมด ข้าจะไปพายเรือ พวกเจ้าไม่อยากไปก็ตามใจ”
เสียงความเคลื่อนไหวข้างในดังไปถึงหูชายาจวิ้นอ๋องอย่างรวดเร็ว นางปวดศีรษะอย่างยิ่ง “พวกเจ้าดูนางให้ดี อย่าให้นางตากแดด! จัดบ่าวหญิงสูงวัยที่ว่ายน้ำแข็งไปประจำที่หัวเรือหลายคนหน่อย และจัดนายท้ายฝีมือดีไปประจำเรือลำละหนึ่งคน ห้ามปล่อยให้เกิดเหตุไม่คาดฝันใดๆ ขึ้นกับพวกนางเด็ดขาด”
เหล่าบ่าวไพร่พากันตอบรับ ทางด้านเซี่ยนจู่ก็เดินไปถึงสวนบุปผาแล้ว เพื่อล่องเรือในทะเลสาบสมดังปรารถนา แต่เรือในทะเลสาบเพิ่งจะถูกลากขึ้นมา ข้างใต้มีวัชพืชน้ำพันอยู่จำนวนมาก ยังนำออกไปพายไม่ได้ เซี่ยนจู่รู้สึกว่าน่าเบื่อจึงทำปากยื่นพลางพูดขึ้น
“ข้าอยากพายเรือไยถึงยุ่งยากปานนี้เล่า นี่ก็ไม่ได้นั่นก็ไม่อนุญาต บัดนี้แม้แต่เรือก็ยังไม่เตรียมให้เรียบร้อยอีก!”
ฉู่จิ่นเหยารู้สึกว่าเซี่ยนจู่กำลังพาล เรือไม่ได้ใช้มาตลอดฤดูหนาว หากไม่ทำความสะอาดจะกล้านำลงน้ำได้อย่างไร หยางฉี่สยาโน้มน้าวอีกครั้ง พูดไปพูดมาก็มิพ้นกุลสตรีควรทำอย่างนั้นอย่างนี้ เซี่ยนจู่ฟังแล้วเบื่อหน่ายเหลือจะทน ฉู่จิ่นเหยาดึงแขนเสื้อเซี่ยนจู่เบาๆ ก่อนชี้หอเล็กแห่งหนึ่งริมทะเลสาบพลางกล่าวขึ้น
“เซี่ยนจู่ ท่านดูหอเล็กทางด้านนั้น ในเมื่อท่านทนรอไม่ไหวก็ไปนั่งบนหอสักครู่เถิด ทั้งรับลมได้และชมทิวทัศน์ในสวนบุปผาได้ด้วย”
เซี่ยนจู่ได้ฟังก็ตอบตกลงด้วยความยินดีแล้วลากฉู่จิ่นเหยาวิ่งไปทางหอทันที หยางฉี่สยาตามหลังไป ร้องเรียกพลางคิดในใจว่าเหตุใดนางนึกไม่ถึงว่าควรเชิญเซี่ยนจู่ไปนั่งรอที่หอ ครั้งนี้ถูกฉู่จิ่นเหยาชิงตัดหน้า ครั้งหน้านางจะต้องแก้มือให้ได้!
ฉู่จิ่นเหยากับพวกเซี่ยนจู่เดินขึ้นมาบนหอแล้ว เซี่ยนจู่ส่งเสียงร้องดีใจก่อนวิ่งไปที่หน้าต่างทันที สาวใช้วิ่งตามหลังพลางร้องเตือน
“เซี่ยนจู่ ท่านวิ่งช้าลงหน่อยเจ้าค่ะ ระวังจะลื่นนะเจ้าคะ!”
หลิงหลงเองก็กระซิบเตือนฉู่จิ่นเหยาเช่นกัน “คุณหนู ท่านระวังเท้าด้วยเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นชั้นสอง ระวังไว้หน่อยอย่างไรก็ไม่เสียหาย”
ฉู่จิ่นเหยาพยักหน้าเบาๆ เป็นความหมายว่าตนเองเข้าใจดี แม้ตรงนี้จะไม่นับว่าสูงจากพื้นมากนัก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นชั้นที่สองของหอ หากเผลอถูกใครผลักจากด้านหลัง นั่นคงเกินจะรับไหว
เนื่องจากในใจฉู่จิ่นเหยาตระหนักถึงเรื่องนี้อยู่เสมอจึงยืนอยู่ในจุดที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากหน้าต่างอยู่ตลอด ในขณะที่เซี่ยนจู่พิงราวกั้นชี้นั่นชี้นี่ที่ด้านนอกโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น
แม่นางน้อยที่มาเป็นแขกต่างรุมล้อมอยู่ข้างกายเซี่ยนจู่ ทั้งยังเอาใจเซี่ยนจู่อย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นพลันมีเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังมาจากนอกหอ คนลักษณะคล้ายบ่าวหญิงสูงวัยผู้หนึ่งวิ่งขึ้นมาด้วยอาการหอบ ยังไม่ทันยืนได้มั่นคงก็ส่งเสียงถามขึ้น
“เซี่ยนจู่อยู่ที่นี่หรือไม่เจ้าคะ”
ฉู่จิ่นเหยายืนอยู่วงนอก ได้ยินคำถามก็รีบตอบรับ “อยู่ หมัวมัวมาหาเซี่ยนจู่มีเรื่องอะไรหรือ”
เซี่ยนจู่ได้ยินว่ามีคนเรียกหานางก็เบ้ปากอย่างไม่พอใจ “ยังจะมีเรื่องอะไรได้ ต้องมาเรียกข้ากลับไปแน่”
“ตายจริง ทูนหัวของบ่าว!” บ่าวหญิงสูงวัยตบต้นขาพลางร้องเรียกเสียงลั่น “ท่านรีบกลับไปเถิดเจ้าค่ะ! เหล่าจู่จงกับพระชายาเพิ่งได้รับจดหมายจากซื่อจื่อ บอกว่ารัชทายาทจะเสด็จจวนจวิ้นอ๋อง บัดนี้อยู่ระหว่างทางแล้ว!”
“รัชทายาท?”
คนทั้งหมดล้วนตกใจจนสะดุ้ง สตรีหลายคนถึงขั้นลุกขึ้นยืน แม้แต่เซี่ยนจู่เองก็มิกล้านิ่งนอนใจแล้ว นางรีบร้อนถอยกลับมาจากหน้าต่าง วิ่งไปตรงหน้าบ่าวหญิงสูงวัย มือขยำกระโปรงตนเองอย่างสะเทิ้นอายอยู่บ้าง
“เจ้าพูดจริงหรือ เป็นรัชทายาทพระองค์นั้นหรือ”
“โธ่เอ๋ย เซี่ยนจู่เจ้าค่ะ รัชทายาทยังจะมีพระองค์ใดได้อีก ท่านผู้นี้ก็ไม่รู้ว่าทรงเป็นอะไร จู่ๆ ก็นึกสนพระทัยใคร่เสด็จมามอบของขวัญแก่เหล่าจู่จง จวิ้นอ๋องกับซื่อจื่อเองก็เพิ่งจะได้รับข่าว เซี่ยนจู่รีบตามบ่าวกลับไปแต่งตัวผลัดเสื้อผ้าใหม่ตอนนี้ยังทันรัชทายาทเสด็จเข้าจวนพอดีนะเจ้าคะ”
เซี่ยนจู่ลนลานอยู่บ้าง นางตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วครู่ถึงค่อยตื่นจากความฝัน รีบตอบตกลงทันที
อย่าว่าแต่เซี่ยนจู่ คนอื่นๆ ก็กระสับกระส่ายเช่นกัน รัชทายาทจะเสด็จมาแล้ว ในเวลาสำคัญเช่นนี้ใครยังมีแก่ใจจะล่องทะเลสาบได้อีกเล่า เหล่าสตรีใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก สายตาล่องลอย มิต้องสงสัยว่าคนทั้งหมดล้วนไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ว่าใครล้วนอยากรีบกลับไปจัดการตนเองทั้งสิ้น
หลิงหลงดึงแขนเสื้อฉู่จิ่นเหยาเงียบๆ “คุณหนู พวกเราก็กลับกันเถิดเจ้าค่ะ ท่านเปลี่ยนไปสวมชุดผ้ายกดอกชุดนั้น ผมก็เกล้าเสียใหม่ดีกว่า”
ฉู่จิ่นเหยาได้ยินแล้วก็อยากบอกหลิงหลงเหลือเกินว่าพวกนางกับรัชทายาทห่างชั้นกันมาก ในโอกาสเช่นนี้พวกนางจะมีสิทธิ์ได้เสนอหน้าหรือ หากเปลี่ยนชุดประทินโฉมทำผมใหม่มีแต่จะเสียแรงเปล่า แต่ฉู่จิ่นเหยากวาดตามองรอบๆ ถึงได้พบว่าเหล่าสตรีล้วนมีท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือแทบอดรนทนไม่ไหวอยากจะขอตัวไปก่อนเหมือนกับหลิงหลง
ฉู่จิ่นเมี่ยวยิ่งแสดงออกชัดเจนเป็นพิเศษ นางคอยมองไปทางบันไดบ่อยครั้ง มือบิดผ้าเช็ดหน้าไม่หยุด
พวกนางส่งเสียงเอะอะอยู่บนหอ มิได้สังเกตเห็นว่าคนกลุ่มหนึ่งค่อยๆ เดินมาใกล้โดยมีผู้ติดตามห้อมล้อม เนื่องจากเซี่ยนจู่ต้องการกลับไปเปลี่ยนชุด คุณหนูคนอื่นๆ ก็ไม่มีแก่ใจจะอยู่ชมทิวทัศน์ต่อ สาวใช้ในจวนอ๋องจึงลงมือเก็บกวาดหอ สาวใช้ในเสื้อนอกสีเหลืองผู้หนึ่งกำลังยื่นแขนไปปิดหน้าต่าง ฉู่จิ่นเหยาเห็นนางร่างโอนเอน ไม้ค้ำในมือสั่นไม่หยุดก็อดไม่ได้ที่จะก้าวไปเตือน
“เจ้าชะโงกตัวออกไปมากเพียงนี้ระวังจะตกลงไป”
เมื่อสาวใช้ได้ยินกลับไม่ค่อยพอใจนัก “บ่าวจับราวกั้นอยู่เจ้าค่ะ”
“ต่อให้เจ้าจับราวกั้นไว้ไม่มีทางเป็นอะไร แต่คนที่อยู่ข้างล่างเล่า หากเจ้าถือไม่ดีทำของหล่นจากหอไปถูกคนที่ผ่านทางมาจะทำอย่างไร”
พูดยังไม่ทันขาดคำ มือของสาวใช้ก็เกิดลื่น ฉู่จิ่นเหยาสะดุ้ง รีบยื่นมือไปรับไม้ค้ำในมืออีกฝ่ายมา ฉู่จิ่นเหยาจับไม้ไว้ได้ จากนั้นก็หันหน้ากลับไปพูดกับสาวใช้นางนั้น
“เจ้าดูเถิด เมื่อครู่เกือบจะตกลงไปแล้ว หากมีคนผ่านทางมาพอดีแล้วหล่นใส่เข้าจะไม่แย่หรือ”
แต่ดวงตาของสาวใช้พลันเบิกโพลง มือข้างหนึ่งปิดปาก อีกข้างชี้ไปด้านล่างอย่างไม่อยากจะเชื่อ ฉู่จิ่นเหยาสงสัยจึงหันหน้ากลับไปโดยพลัน
“ซื่อจื่อ?”
ฉู่จิ่นเหยากำลังประหลาดใจว่าเหตุใดหลินซีหย่วนถึงเดินมาที่นี่ ต่อมานางก็ตระหนักได้ว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง หลินซีหย่วนเป็นซื่อจื่อของจวนจวิ้นอ๋อง คนอายุราวสี่สิบปีท่าทางสูงศักดิ์น่าเกรงขามข้างกายเขาน่าจะเป็นบิดาของเขา…ไหวหลิงจวิ้นอ๋อง ไหวหลิงจวิ้นอ๋องมีฐานะสูงส่งในซานซี แม้ยามเผชิญหน้ากับเจ้าเมืองก็ไม่มีทางยืนเป็นตัวประกอบอยู่ด้านข้าง ผู้ที่ทำให้หลินซีหย่วนและไหวหลิงจวิ้นอ๋องติดตามอยู่ด้านข้างได้จะต้องมีฐานะเช่นไร
คนที่ผ่านทางมาเหล่านี้ได้ยินเสียงเอะอะบนหอที่พวกนางอยู่แล้วเช่นกัน ไหวหลิงจวิ้นอ๋องเงยหน้าขึ้น ในดวงตาเต็มไปด้วยแววกดดัน ผู้ที่ตามหลังไหวหลิงจวิ้นอ๋องก็โบกมือมาทางพวกนาง ฉู่จิ่นเหยายังไม่เข้าใจว่านี่เป็นเรื่องอะไร เมื่อคนในขบวนสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ คนที่เดินอยู่ตรงกลางก็เงยหน้าขึ้นตามเสียง มองขึ้นมาบนหอช้าๆ แสงแดดเดือนสี่สาดส่องลงมาเห็นเพียงบุรุษสวมชุดตัวยาวแขนแคบสีคราม รูปร่างสูง ดวงตาทั้งสองข้างใสกระจ่าง
ฉู่จิ่นเหยาสบตาอีกฝ่ายอย่างไม่ทันตั้งตัว นางพลันตกใจ มือคลายออกโดยไม่รู้ตัว
ฉินอี๋เลิกคิ้ว ถอยหลังไปครึ่งก้าวทันที ท่อนไม้ตกลงตรงชายชุดของเขา ฝุ่นตลบฟุ้งขึ้นมา
สีหน้าของไหวหลิงจวิ้นอ๋องดูไม่ได้แล้ว กงกงข้างกายฉินอี๋ตกใจ รีบก้าวออกมาตวาดเสียงแหลมแทบไม่ทัน “บังอาจ!”
ขุนนางที่ตามเสด็จก็ทั้งตกใจและโมโห “เจ้ากล้าโยนของใส่รัชทายาทรึ!”
ฉู่จิ่นเหยาสูญเสียความสามารถด้านการพูดไปแล้ว “ข้า…เขา…เรื่องนี้…”
คนของจวนไหวหลิงจวิ้นอ๋องถลึงตาใส่ฉู่จิ่นเหยาหลายทีด้วยความเดือดดาล จากนั้นก็รีบรุมล้อมฉินอี๋พลางพูดหว่านล้อม
“รัชทายาท สตรีผู้นี้คือสหายร่วมเรียนของเซี่ยนจู่แห่งจวนไหวหลิงจวิ้นอ๋องเรา นางไม่รู้จักรัชทายาทจึงพลั้งมือล่วงเกินพระองค์”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ รัชทายาทโปรดอย่าทรงถือโทษ…”
ทว่าฉินอี๋กลับมองบนหอด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ไม่ได้พบกันไม่กี่เดือน ขวัญกล้าขึ้นมากทีเดียว ทั้งๆ ที่เห็นข้าแล้วยังกล้าโยนของใส่ข้า
อันที่จริงฉินอี๋มองเห็นฉู่จิ่นเหยามาแต่ไกลแล้ว นางยืนอยู่บนหอ เอนกายพูดบางอย่างกับสาวใช้ ที่ด้านหลังเป็นราวกั้นดูน่าหวาดเสียวไม่น้อย ต่อมานางก็มองเขาอย่างตกตะลึง จากนั้นก็โยนของในมือลงมา
ชั่วพริบตานั้นอยู่เหนือความคาดหมายจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นฉินอี๋ก็รู้สึกว่าไม่ผิดจากที่เขาคาดไว้
คนรอบข้างยังคงขอร้องไม่หยุด กลัวว่าฉินอี๋จะพาลโกรธจวนไหวหลิงจวิ้นอ๋อง แต่ความจริงแล้วฉินอี๋จะโมโหฉู่จิ่นเหยาได้อย่างไร เขาเพียงพูดอย่างสงบนิ่ง
“ไม่เป็นไร แค่พลั้งมือเท่านั้นเอง”
เดิมทีกงกงข้างกายฉินอี๋โมโหมาก แต่ครั้นได้ยินวาจาของเจ้านาย โทสะเต็มอกของเขาก็คล้ายว่าถูกอุดไว้ ขึ้นก็ไม่ได้ลงก็ไม่ได้ในทันที แม้แต่ไหวหลิงจวิ้นอ๋องก็ตกใจยิ่ง เขาเอ่ยถามหยั่งเชิง
“รัชทายาท ไม่ทรงถือสาหาความจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอี๋ตวัดสายตามองไหวหลิงจวิ้นอ๋องอย่างเยียบเย็นคราหนึ่ง ก่อนจะก้าวเท้าเดินนำออกไป
กงกงตกตะลึงได้ชั่วครู่ก็รีบก้าวเท้าตามไป เขาเดินไปพลางรู้สึกว่ายากจะเข้าใจไปพลาง รัชทายาทของพวกเขาอารมณ์เย็นเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด
ไหวหลิงจวิ้นอ๋องรีบเดินหน้าตามรัชทายาทไปเช่นกัน หลังเดินผ่านหอไปแล้วไหวหลิงจวิ้นอ๋องก็หันหน้ากลับไปส่งสายตาตักเตือนคุณหนูเหล่านั้นอย่างดุดัน
ขณะที่รัชทายาทกับไหวหลิงจวิ้นอ๋องเดินผ่านเมื่อครู่นี้ เหล่าคุณหนูบนหอก็ได้ยินเสียงแล้ว พวกนางไม่มีความกล้าจะโผล่หน้าออกมา ได้แต่ลอบดูอยู่หลังผนังไม้ บัดนี้คนไปแล้วพวกนางจึงรีบวิ่งออกมาสะกิดถามฉู่จิ่นเหยา
“ท่านผู้นั้นคือรัชทายาทจริงๆ หรือ”
แต่สีหน้าของฉู่จิ่นเหยากลับดูงุนงงยิ่ง คนอื่นถามอะไรก็ไม่มีอาการตอบสนองโดยสิ้นเชิง อยู่ใกล้เพียงเท่านี้นางจึงมั่นใจมากว่าคนคนนั้นคือฉีเจ๋อ หรืออาจต้องบอกว่ารูปโฉมเหมือนกับฉีเจ๋อทุกประการ
ทว่าพวกเขาเรียกคนคนนั้นว่ารัชทายาท
รัชทายาทหรือ
ประหนึ่งสายฟ้าฟาดลงกลางกระหม่อมฉู่จิ่นเหยากลางวันแสกๆ ทำเอานางมึนงงไปหมด คุณหนูคนอื่นเห็นฉู่จิ่นเหยาไม่สนใจก็อดถามขึ้นอีกไม่ได้
“เจ้าคิดอะไรอยู่ เมื่อครู่เจ้าเกือบทำของตกใส่รัชทายาทจริงๆ หรือ”
ฉู่จิ่นเหยาได้สติกลับมาในที่สุด ยิ้มอย่างยากลำบาก “น่าจะ…ใช่”
“หา!?” เหล่าคุณหนูยกมือปิดปากโดยพร้อมเพรียงกัน พูดอย่างตื่นตระหนก “ไยเจ้าถึงซุ่มซ่ามปานนี้ กระทำการล่วงเกินรัชทายาทได้อย่างไรกัน”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่อันที่จริงพวกนางล้วนกำลังคิดว่าคนที่อยู่ข้างนอกเมื่อครู่นี้เหตุใดถึงมิใช่พวกนาง
เซี่ยนจู่เองก็บ่นพึมพำใส่ฉู่จิ่นเหยาด้วยความไม่พอใจเช่นกัน นางยืดคอมองไปทางด้านหลังคราหนึ่ง ก่อนรีบดึงเสื้อสาวใช้ประจำตัว
“ทำอย่างไรดี รัชทายาทจะเดินไปไกลแล้ว ข้ายังไม่ทันได้เปลี่ยนชุดด้วยซ้ำ”
ฉู่จิ่นเมี่ยวเองก็กำเสื้อตนเองด้วยความประหม่า ทำให้สาบเสื้อยับย่น นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่ารัชทายาทองค์ปัจจุบันจะหนุ่มแน่นเพียงนี้…รูปงามเพียงนี้ มีคนเดินมาพร้อมกันมากมายปานนั้น แต่ละคนล้วนเป็นชนชั้นสูงขุนนางใหญ่ แต่เมื่อยืนอยู่ข้างกายรัชทายาทกลับถูกรัศมีบดบังจนกลายเป็นพื้นหลัง คล้ายว่านอกจากรัชทายาทแล้วคนอื่นๆ ล้วนจืดจางลงทันที กลายเป็นฉากหลังสีเทา
เซี่ยนจู่รีบกลับไปเปลี่ยนเป็นชุดสีสันสดใส คุณหนูคนอื่นๆ ต่างก็คิดหาวิธีแต่งตัวให้ตนเองเพิ่ม มีเพียงฉู่จิ่นเหยาที่เดินรั้งท้ายด้วยท่าทางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางยันผนังแล้วค่อยๆ เดินลงบันไดหอ ในใจกำลังคิดว่าคนลึกลับที่นางเห็นในจวนไหวหลิงจวิ้นอ๋องเมื่อเดือนสิบสองเป็นเขาจริงๆ! คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเป็นถึงรัชทายาทองค์ปัจจุบัน
คิดแล้วก็ใช่ ตอนแรกรัชทายาทก็มาปรากฏตัวที่จวนไหวหลิงจวิ้นอ๋องโดยเทพไม่รู้ผีไม่เห็น การที่บัดนี้มาร่วมงานเลี้ยงก่อนวันคล้ายวันเกิดครบหกสิบปีของชายาเฒ่าก็สามารถเข้าใจได้ แต่รัชทายาทต้องการทำอะไร ฉู่จิ่นเหยาหาใส่ใจไม่ นางสงสัยเพียงว่าเหตุใดฉีเจ๋อถึงมีรูปโฉมเหมือนกับรัชทายาททุกกระเบียดนิ้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 ก.พ. 68
Comments
comments
No tags for this post.