บทที่ 172
เพราะเฉียวเจาได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ งานสังสรรค์ของชุมนุมฟู่ซานย่อมดำเนินต่อไปไม่ได้ พวกคุณหนูต่างแยกย้ายกันกลับด้วยความรู้สึกต่างๆ กัน รถม้าที่จอดอยู่หน้าจวนกู้ชางป๋อทยอยแล่นจากไป
เจียงซือหร่านยังหวนคิดถึงการยิงธนูดอกสุดท้าย นางเดินค่อนข้างช้า จู่ๆ ก็มีคนปรี่เข้ามาหา “คุณหนูเจียง…”
ผู้ที่พรวดพราดเข้ามาถูกเงาร่างอีกสายหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นทันใดสกัดเอาไว้
เจียงเฮ่อกล่าวเตือนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ห้ามเข้ามาใกล้”
สตรีสูงศักดิ์หลายคนที่ยังไม่กลับไปอดตะลึงงันไม่ได้ว่าบุรุษผู้นี้โผล่มาจากที่ใดกัน
พวกนางมองไปรอบๆ โดยไม่รู้ตัว ถึงเพิ่งประจักษ์ได้ภายหลังว่าขณะนี้ยังไม่ได้ก้าวออกนอกประตูใหญ่ของจวนกู้ชางป๋อ เช่นนั้นหรือว่าเขาแอบซ่อนอยู่ข้างกายเจียงซือหร่านตลอดเวลา
พวกคุณหนูหน้าเปลี่ยนสีไปโดยพลัน
นี่มิใช่หมายความว่าตอนที่พวกนางเล่นกันอย่างสนุกสนาน ด้านข้างยังมีชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งมองดูอยู่อย่างไม่ละสายตาหรือไร
เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ คุณหนูหลายคนชักสีหน้าทันใด
สวี่จิงหงไต่ถามเจียงซือหร่านอย่างปึ่งชา “คุณหนูเจียง ท่านจะอธิบายได้หรือไม่ว่าคนผู้นี้เป็นใคร”
เจียงซือหร่านถูกถามก็กระอักกระอ่วนอยู่บ้าง นางทำหน้าบึ้งถามเจียงเฮ่อ “เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เจียงเฮ่อลอบกลอกตาขึ้น
คุณหนูผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ช่างน่าขันจริงๆ เขารับคำสั่งมาอารักขานาง ไม่อยู่ที่นี่แล้วจะอยู่ที่ใด หรือเขากินอิ่มไม่มีอะไรทำ ชอบซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้าดูเด็กสาวกลุ่มหนึ่งเล่นสนุกกันหรือ
ล้วนเป็นเพราะใต้เท้าที่ใจร้ายส่งเขามาอารักขาคุณหนูเจียง รู้เช่นนี้แต่แรก เขาจับตาดูคุณหนูหลีต่อยังดีเสียกว่า
คุณหนูหลีน่าสงสารจริงๆ ถูกคุณหนูเจียงยิงธนูใส่จนเป็นแผลบนใบหน้า…ยิงธนูโดนใบหน้าของเด็กสาว กระทั่งองครักษ์ยังไม่ลงมือโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้
คิดต่อไปไม่ได้แล้ว ขืนเขาคิดต่อไปอีกคงไม่มีแรงใจอารักขาคุณหนูเจียงอีก
“พูดมา เจ้าโผล่มาจากที่ใด” เห็นเจียงเฮ่อไม่กล่าววาจา เจียงซือหร่านยกเท้าเตะเขาทีหนึ่งด้วยความโกรธระคนอับอาย
“ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้มาอารักขาคุณหนูขอรับ” เจียงเฮ่อลอบสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง
เขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชามือหนึ่งของใต้เท้า ทุกๆ เรื่องถือคำสั่งของใต้เท้าเป็นสำคัญ ไม่มีทางทำอะไรด้วยอารมณ์ชั่ววูบเป็นอันขาด
“ไสหัวไปเสีย วันหน้าห้ามติดตามข้า” เจียงซือหร่านบันดาลโทสะ นางเห็นเจียงเฮ่อหลุบตาไม่ขยับกายก็เตะเขาอีกที กล่าวว่า “เจ้าหูหนวกใช่หรือไม่ ไสหัวไป เมื่อก่อนไม่มีคนอารักขาข้า ข้าก็ปลอดภัยดีมาโดยตลอดมิใช่หรือ”
ทนไว้! เจียงเฮ่อสูดลมหายใจลึกๆ ช่างเถิด เหลืออดแล้วก็ไม่จำเป็นต้องทนต่อไป บอกตามสัตย์จริงดีกว่า!
“คุณหนูเจียง ที่ผ่านมามิใช่ไม่มีคนอารักขาท่าน แต่องครักษ์จินหลินซึ่งรับหน้าที่อารักขาคนก่อนหน้าเพิ่งพลีชีพในหน้าที่ แค่ว่าท่านไม่ทราบเท่านั้นเองขอรับ”
หาไม่แล้วเขาต้องเคราะห์ร้ายรับช่วงต่อได้อย่างไร นิสัยอย่างคุณหนูเจียง ไม่มีคนอารักขาคงโดนตีจนใบหน้าบวมปูดเหมือนหัวสุกรไปนานแล้วหรือไม่
“เจ้า…เจ้ายังกล้าแก้ตัวอีกหรือ” เจียงซือหร่านไม่เคยพบเคยเจอองครักษ์จินหลินที่กำแหงกับนางอย่างนี้จริงๆ อีกทั้งเป็นต้นเหตุให้นางต้องกระอักกระอ่วนใจต่อหน้าคนอื่น นางจึงคว้าแส้อ่อนตรงข้างเอวตั้งท่าจะฟาดเขา
“คุณหนูเจียง” โอวหยางเวยอวี่สบช่องเปล่งเสียงพูด “เชิญท่านไปทางนั้นพูดคุยกันได้หรือไม่”
ในเวลานี้เจียงซือหร่านถึงหันเหความสนใจเล็กน้อยไปทางโอวหยางเวยอวี่ นางเชิดหน้ากล่าวเสียงเยาะๆ “เจ้าเป็นใคร ถือดีอะไรให้ข้าไปทางนั้นพูดคุยกับเจ้า”
กล่าวจบนางก็หวดแส้ใส่เจียงเฮ่อทีหนึ่งแล้วก้าวขาเดินไปข้างนอก
วันนี้มาที่จวนกู้ชางป๋อพบเจอแต่เรื่องชวนให้หงุดหงิดใจจริงๆ วันหน้านางไม่มาสถานที่อัปมงคลเช่นนี้อีกแล้ว
โอวหยางเวยอวี่เห็นดังนั้นก็ไล่ตามไปจนถึงนอกประตูใหญ่ เจียงเฮ่อขวางหน้านางไว้แล้วกล่าว “คุณหนูท่านนี้ โปรดอย่าตามตอแยคุณหนูเจียงอีก”
สวรรค์…เขาซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้ามองเห็นอะไรๆ ได้หมด เด็กสาวที่บอบบางน่ารักผู้นี้ถึงกับใส่บางสิ่งบางอย่างลงในน้ำชาตามใจชอบ แม้ว่าเขามิได้ตามไปดูให้กระจ่างชัดเพราะต้องอารักขาคุณหนูเจียง แต่จะปล่อยให้คนอันตรายพรรค์นี้เข้าใกล้คุณหนูเจียงมิได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนูเจียง เขาก็อย่าคิดว่าจะรอดชีวิตแล้ว
เฮ้อ…ตัวเขาจะเป็นหรือตายหาได้สำคัญไม่ แต่หากใต้เท้าต้องสูญเสียผู้ใต้บังคับบัญชามือหนึ่งเช่นเขาไปจะเสียใจปานใดหนอ เขาจะทำให้ใต้เท้าเป็นทุกข์มิได้
“คุณหนูเจียงๆ” โอวหยางเวยอวี่ยื้อยุดสุดกำลัง แต่ไม่อาจหลุดพ้นจากการสกัดกั้นของเจียงเฮ่อได้ นางเห็นเจียงซือหร่านเจียนจะก้าวขึ้นรถม้ารอมร่อ จึงพลันเกิดปฏิภาณวูบหนึ่งและกล่าวโพล่งขึ้น “คุณหนูเจียงยังจำคำโคลงวรรคหลังของคุณหนูหลีซานได้หรือไม่”
ร่างของเจียงซือหร่านชะงักนิ่ง นางหันศีรษะกลับมามองโอวหยางเวยอวี่ด้วยสีหน้าหงุดหงิด “อะไรนะ”
เมื่อเห็นว่าอาจพลิกสถานการณ์ได้ โอวหยางเวยอวี่มีน้ำตารื้นขึ้น กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “วอนคนยาก ยากวิงวอนคน…”
เด็กสาวพูดถึงตรงนี้แล้วเกือบถอนสะอื้นออกมา ต้องฝืนบังคับตนเองไว้ไม่ให้เสียกิริยาแล้วเอื้อนเอ่ยคำโคลงวรรคหลังต่อจนจบ “คนทุกคนเดือดร้อนยากวิงวอนใคร”
นางเบิกตากว้างมองเจียงซือหร่านนิ่งๆ ในแววตาที่สิ้นหวังยังแฝงความหวังไว้รำไร
ประกายความหวังนั้นแสนริบหรี่ หากแต่ละม้ายแสงลำหนึ่งที่ส่องกระทบดวงตาให้สว่างสุกใส
“คุณหนูเจียง คนเรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ผู้ใดบ้างจะไม่มีเวลาที่ตกที่นั่งลำบาก ท่านเพียงพลิกฝ่ามือก็ส่งผลต่อความเป็นความตายของข้าได้ ท่านโปรดฟังข้าพูดสักสองสามคำ ไม่ว่าท่านจะยินยอมช่วยหรือไม่ ข้าล้วนซาบซึ้งใจไปชั่วชีวิต” ว่าแล้วนางก็ปิดหน้าตัวสั่นระริก น้ำตาไหลรินลงมาในที่สุด
คุณหนูหลีซานคิดคำโคลงคู่บทนี้ขึ้น คนอื่นเพียงคิดว่าเพื่อโต้กลับตู้เฟยเสวี่ยที่นิ่งเฉยดูดาย ไหนเลยจะมิใช่คำตักเตือนสำหรับทุกคนและเป็นการเตือนสตินางด้วยเล่า
คำโคลงนี้อาจเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่ช่วยให้นางโน้มน้าวใจคุณหนูเจียงได้
เท้าข้างหนึ่งของเจียงซือหร่านยกขึ้นไปเหยียบบนพื้นรถม้า ส่วนอีกข้างยังอยู่บนพื้นดินดังเดิม นางนิ่งอยู่ในอิริยาบถนี้มองดูโอวหยางเวยอวี่ที่ร่ำไห้อยู่ สีหน้าฉายอารมณ์แปรปรวนเกินหยั่ง
สุดท้ายนางพ่นลมหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยปากขึ้นอย่างรำคาญ “เอาล่ะ เลิกร้องไห้ได้แล้ว ตกลงมาหาข้ามีเรื่องอะไรกันแน่ ขึ้นมาพูดกันบนรถม้าเถอะ”
โอวหยางเวยอวี่ปีติยินดียกใหญ่
ทว่าเจียงเฮ่อกลับขัดขวางเต็มที่ “ไม่ได้ ใครจะรู้ว่าท่านพกอาวุธทำร้ายคนติดตัวไว้หรือไม่…”
“ข้าเปล่านะ ข้าเปล่าจริงๆ” อาภรณ์ฤดูร้อนเดิมเป็นชั้นเดียวบางเบาอยู่แล้ว โอวหยางเวยอวี่สะบัดเสื้อและกระตุกถุงผ้าปักออกอย่างหวาดหวั่นสุดใจว่าโอกาสจะหลุดลอยไปในพริบตา ทั้งยังดึงของประดับกายที่แหลมคมเช่นปิ่นปักผมออกทุกชิ้นโดยไม่หยุดคิดใคร่ครวญ ปล่อยเรือนผมยาวเฟื้อยสยายรุ่ยร่ายแล้วเอ่ยถามเจียงซือหร่าน “คุณหนูเจียง ท่านเห็นว่าอย่างนี้ได้แล้วใช่หรือไม่”
“แต่ว่า…” แต่ว่าท่านยังวางยาได้ด้วยนะ เจียงเฮ่อรำพึงในใจ
เจียงซือหร่านถลึงตาใส่เจียงเฮ่อ “พอแล้ว อ่อนปวกเปียกเป็นลูกไก่อย่างนางจะทำร้ายข้าได้หรือ”
ไม่ว่าใครก็ไม่พึงยั่วโทสะคุณหนูผู้ยิ่งใหญ่ เจียงเฮ่อเปิดทางให้โอวหยางเวยอวี่ขึ้นรถม้าในที่สุด
ด้านในรถม้าที่กว้างขวางอย่างยิ่งปูลาดด้วยพรมทอจากใยไหมน้ำแข็ง ในเดือนหกก้าวเข้าไปไม่เพียงไม่รู้สึกร้อนอบอ้าวสักนิด กลับทำให้รู้สึกเย็นสบายกายอีกด้วย
เจียงซือหร่านนั่งพิงหมอนนุ่มนิ่ม พลางพูดเสียงเอื่อยๆ “พูดสิ มีเรื่องใดหรือ”
โอวหยางเวยอวี่คุกเข่าลงดังตุบ “ช่วงก่อนเพราะท่านพ่อข้าถวายฎีกาฟ้องร้องสมุหราชเลขาธิการหลันซาน ส่งผลให้โดนองค์ฮ่องเต้ทรงติเตียนลงโทษ องครักษ์จินหลินจับกุมท่านไปแล้วจนบัดนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดี…”
“ประเดี๋ยวก่อน…” เจียงซือหร่านตัดบทนาง “เจ้าอยากให้ข้าช่วยท่านพ่อของเจ้า?”
โอวหยางเวยอวี่ลุกลนอธิบาย “ข้าไม่กล้าฝันเฟื่องเช่นนั้น เรื่องในราชสำนักสตรีในห้องหอเช่นพวกเราล้วนยื่นมือยุ่งไม่ได้ ข้าเพียงอยากขอให้คุณหนูเจียงช่วยสอบถามให้ข้าสักหน่อยว่าตอนนี้ท่านพ่อข้าเป็นอย่างไร คนในครอบครัวข้าจะได้เตรียมใจไว้บ้าง”
เจียงซือหร่านได้ยินคำกล่าวของนางแล้วขมวดคิ้ว
สตรีในห้องหอเป็นอย่างไรรึ ทำได้แค่แต่งโคลงฉันท์กาพย์กลอนกับผัดแป้งประทินโฉมเท่านั้นหรือ
คนผู้นี้ปรามาสกันเกินไป
บทที่ 173
พอเห็นเจียงซือหร่านย่นหัวคิ้วเข้าหากัน โอวหยางเวยอวี่ใจหล่นวูบ
หรือว่านางไม่ยินยอมรับปาก?
เจียงซือหร่านพิงผนังตัวรถม้าอย่างเฉื่อยชา ปรายตามองนาง “เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว กลับไปรอฟังข่าวเถอะ”
โอวหยางเวยอวี่ตาเป็นประกายทันใด น้ำตาไหลพรากๆ อย่างกลั้นไม่อยู่ นางร้องไห้ไปกล่าวขอบคุณไป “ขอบคุณคุณหนูเจียงๆ…”
เจียงซือหร่านแค่นเสียงฮึ “เลิกพูดมากได้แล้ว รีบจัดการตัวเองให้เรียบร้อยเถอะ ผมเผ้าสยายรุงรัง คนอื่นจะนึกว่าข้าทำอะไรใครอีก”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ เจียงซือหร่านก็ขัดเคืองใจนัก
นางคร้านจะเสแสร้งทำตัวเป็นกุลสตรีอ่อนหวานเฉกคนพวกนั้น แต่ไม่ได้โหดร้ายถึงขั้นจงใจทำให้ใครเสียโฉม ด้วยระดับฝีมือยิงธนูของนางไม่เป็นปัญหาใดชัดๆ ไฉนถึงยิงโดนใบหน้าของหลีซานได้นะ
ต้องเป็นหลีซานที่กลัวจนขยับตัวไปมา รอไว้พบกันอีกทีคราวหน้า นางต้องถามให้รู้ดำรู้แดง จะได้ไม่ต้องแบกรับเสียงครหาเช่นนี้เปล่าๆ ปลี้ๆ
เจียงซือหร่านยิ่งคิดยิ่งหัวเสีย นางไล่โอวหยางเวยอวี่ลงจากรถม้าแล้วตรงดิ่งกลับเรือนไป
โค่วจื่อโม่ซึ่งหลบอยู่ด้านข้างเดินมาหาโอวหยางเวยอวี่ พลางถามด้วยสีหน้าห่วงใย “เวยอวี่ เป็นอย่างไรบ้าง คุณหนูเจียงตกปากรับคำหรือไม่”
โอวหยางเวยอวี่มุ่นผมใหม่เรียบร้อย นางกุมมือโค่วจื่อโม่พร้อมกับยิ้มทั้งน้ำตา “รับปากแล้ว นางรับปากแล้วจริงๆ”
โค่วจื่อโม่เผยรอยยิ้มจากใจจริงตามไปด้วย “รับปากแล้วก็ดี นางเป็นบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน ต้องถามข่าวของท่านลุงได้แน่”
“ใช่แล้วๆ” โอวหยางเวยอวี่ปาดน้ำตาออกลวกๆ ด้วยความรู้สึกเต็มตื้น “พวกท่านปู่ข้าวิ่งวุ่นขอความช่วยเหลือไปทั่วก็ไร้หนทาง ท่านแม่ข้าร้อนใจจนล้มป่วย คิดไม่ถึงว่าข้าจะได้ข่าวของท่านพ่อผ่านทางคุณหนูเจียง ประเดี๋ยวกลับไปบอกกับพวกท่านแม่ พวกท่านต้องดีใจแทบแย่เลยทีเดียว”
พอพูดถึงตรงนี้ โอวหยางเวยอวี่ก็ผวากลัวขึ้นมาภายหลังเสียแล้ว
ถ้าหากนางวางยาพิษสังหารหลันซีหนงจริงๆ เกรงว่าเวลานี้คงกลายเป็นศพเย็นชืดถูกหามออกมา พวกท่านแม่รู้ข่าวจะตกอยู่ในสภาพใดเล่า นางไม่กล้าคิดต่อ เอ่ยพึมพำขึ้นว่า “เคราะห์ดีมีคุณหนูหลีซาน…”
โอวหยางเวยอวี่ทำหน้าเสียเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “พี่จื่อโม่ ท่านว่าบาดแผลบนหน้าคุณหนูหลีซานจะรักษาหายได้หรือไม่ จะเป็นแผลเป็นหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ นางจะไม่น่าสงสารเกินไปหรือ”
“นั่นสิ ข้าก็รู้สึกเสียดายแทนคุณหนูหลีซานเหลือเกิน” โค่วจื่อโม่ยกมือลูบหน้าโดยไม่รู้ตัว เงาร่างคนผู้หนึ่งผุดขึ้นในห้วงความคิด
คนผู้นั้นสง่าผ่าเผยไม่เป็นสองรองใคร เคยเป็นที่ใฝ่ฝันถึงของเด็กสาวตั้งมากเท่าไร บัดนี้กลับเสียโฉมไปแล้ว สายตาชื่นชมหลงใหลในวันวานเหล่านั้นแปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวรังเกียจจนหมด ในใจเขาน่าจะทุกข์ทรมานเพียงใดเล่า
คุณหนูหลีซานเป็นสตรี รูปโฉมย่อมมีความสำคัญมากกว่าพวกบุรุษ ถ้าเหลือรอยแผลเป็นบนหน้า เกรงว่า..
โค่วจื่อโม่ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเสียดาย
“พี่จื่อโม่ ระยะนี้ข้ามีปัญหารุมเร้าอยู่คงไปที่ใดมาที่ใดตามสบายไม่ได้ หากท่านไม่ติดขัดอะไร ก็ส่งคนไปถามข่าวของคุณหนูหลีซานด้วยนะ ได้รู้ว่านางเป็นอย่างไร พวกเราก็คลายใจลงได้บ้าง”
โค่วจื่อโม่พยักหน้า “จริงของเจ้า กลับไปแล้วข้าจะหาคนไปเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของสกุลหลี หากมีข่าวคราวของคุณหนูหลีซาน ข้าจะส่งคนไปบอกให้เจ้ารู้”
“อื้อ”
จากนั้นพวกนางถึงได้กล่าวล่ำลากันในเวลานี้
อีกด้านหนึ่ง เจียงซือหร่านนั่งอยู่บนรถม้า แหวกม่านหน้าต่างออกส่งเสียงถามเจียงเฮ่อ “เจ้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ ‘ราชองครักษ์’ คนใดรึ”
“ข้าน้อยติดตามท่านสิบสามขอรับ” เจียงเฮ่อเงยหน้ายืดอกกล่าว
“พี่สือซาน?” นางได้ยินแล้วสีหน้าท่าทางก็คลายความจองหองวางอำนาจลงทันใด มุมปากยกโค้งขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ “ที่แท้เป็นพี่สือซานสั่งให้เจ้าอารักขาข้าเองหรือนี่”
เจียงเฮ่อรู้สึกว่าท่าทีของคุณหนูเจียงผู้นี้เปลี่ยนไปแปลกๆ ในชั่วอึดใจ มุมปากเขากระตุกริกขณะกล่าวตอบ “ขอรับ”
เจียงซือหร่านม้วนปลายผมเล่น ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลางไต่ถาม “เจ้าชื่อว่าอะไร”
“ข้าใช้แซ่เจียงตามท่านสิบสาม มีนามว่าเจียงเฮ่อขอรับ”
“เจียงเฮ่อหรือ เป็นชื่อที่ดีจริงๆ พี่สือซานของข้าตั้งชื่อนี้ให้เจ้ากระมัง”
“ขอรับ”
เจียงซือหร่านขมวดคิ้ว คนผู้นี้ทื่อมะลื่อน่าเบื่อจริงๆ ห่างชั้นกับพี่สือซานของนางไกลคนละขุม พี่สือซานมีผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้ได้อย่างไร
“เจียงเฮ่อ ข้าขอถามสักหน่อยสิ พี่สือซานบอกกับเจ้าเช่นไรหรือ”
“เอ๊ะ?” เจียงเฮ่องงงันไป เขาไม่เข้าใจความหมายของเด็กสาวผู้นี้โดยสิ้นเชิง
“ก็คือ…เขาบอกกับเจ้าว่าอะไรตอนให้เจ้าอารักขาข้าน่ะ”
“ท่านสิบสามบอกว่าถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านให้ข้าหิ้วศีรษะตัวเองไปพบขอรับ”
เจียงซือหร่านฟังแล้วหวานล้ำไปทั้งใจทันที นางถามต่อ “ตอนนี้พี่สือซานอยู่ที่ที่ว่าการใช่หรือไม่”
“น่าจะอยู่กระมังขอรับ” เจียงเฮ่อตอบอย่างไม่มั่นใจ
“สารถี ตรงไปที่ที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน” เจียงซือหร่านตะโกนสั่งจบแล้วปล่อยม่านหน้าต่างลงไม่กล่าววาจาต่ออีก
เจียงเฮ่อทำสีหน้าฉงนฉงาย แต่พอคิดอีกทีว่าตนกำลังจะไปพูดรายงานใต้เท้าพอดีก็เลยกระวีกระวาดตามไป
เจียงหย่วนเฉาสะสางงานในมือเสร็จแล้ว จึงผลักหน้าต่างเปิดออกแลมองทิวทัศน์ในลานกว้าง พลันได้ยินเสียงเรียกอย่างร่าเริงดังลอยมา “พี่สือซาน…”
เด็กสาวชุดสีแดงผู้หนึ่งเข้ามาอย่างว่องไว รอยยิ้มสดใสดุจบุปผา โฉมงามเฉิดฉายชวนพิศ
เจียงหย่วนเฉาจึงยิ้มบางๆ “หร่านราน ไฉนวันนี้มีเวลาว่างมาที่นี่”
“มาเยี่ยมท่านน่ะสิ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ข้ายังไม่รู้ว่าพี่สือซานส่งคนไปอารักขาข้า” เจียงซือหร่านยกมือชี้ไปที่เจียงเฮ่อ
“อย่างนั้นหรือ” มุมปากของชายหนุ่มอมยิ้มยามมองไปทางเจียงเฮ่อ
เจียงเฮ่อรู้สึกหนังศีรษะชาวาบในพริบตาจนต้องย่นคอห่อไหล่ มาตรว่าใต้เท้าจะยิ้มอยู่ แต่เขากลับสังหรณ์ใจไม่ดีว่าประเดี๋ยวจะโดนถลกหนังอยู่ไม่วาย
เจียงเฮ่อฉวยจังหวะคนทั้งสองสนทนากันลอบเล็ดลอดออกไป
“พี่สือซาน พักนี้ท่านงานยุ่งหรือไม่เจ้าคะ”
“พอประมาณ แล้วหร่านรานล่ะ วันนี้มีงานสังสรรค์ของชุมนุมฟู่ซาน สนุกสนานหรือไม่”
เมื่อเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา เจียงซือหร่านมุ่นหัวคิ้วทันควัน นางเบะปากกล่าว “ไม่สนุกเจ้าค่ะ น่าเบื่อจะตายไป มีคนทำให้ข้าขายหน้าครั้งใหญ่ด้วย”
“หือ?” เจียงหย่วนเฉามองนางพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ทำท่าทางรับฟังอย่างมีน้ำอดน้ำทน
ตรงกลางอกของเด็กสาวหวานชื่นขึ้นหลายส่วน นางเอ่ยเล่าว่า “ชุมนุมฟู่ซานมีผู้เข้าร่วมคนใหม่ สุ่มไม้ติ้วตามกฎได้ข้าเป็นคนตั้งหัวข้อทดสอบนางพอดี พี่สือซานไม่รู้หรอกว่าคนผู้นั้นถือว่าตนมีมารดารักใคร่ คอยรังแกพี่สาวที่กำพร้ามารดาแต่เด็กเสมอ ท่านว่าคนอย่างนี้น่ารังเกียจใช่หรือไม่”
“น่ารังเกียจมาก” เจียงหย่วนเฉาพูดเออออตามพลางกลั้วเสียงหัวร่อเบาๆ
“นั่นน่ะสิเจ้าคะ ดังนั้นข้าขบคิดว่าจะให้นางได้เจอดีบ้าง ก็เลยใช้นางเป็นเป้ายิงลูกท้อ ดูว่านางจะกลัวจนหัวหดหรือไม่ ตอนเริ่มต้นยังเป็นไปด้วยดี ใครจะรู้ว่าตอนยิงธนูดอกที่สามนางจะขยับไปมา ผลปรากฏว่าข้าเลยยิงถูกใบหน้านางเข้า” เจียงซือหร่านยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด นางทำปากยื่นกล่าวต่อ “พี่สือซาน ท่านรู้ฝีมือยิงธนูของข้าดี ยิงลูกท้อระยะใกล้ๆ เท่านั้น เป็นไปได้อย่างไรที่จะพลาดเป้า นี่มิใช่นางเป็นตัวการทำให้ข้าขายหน้าหรือ ซ้ำยังโดนคนอื่นว่ากล่าวลับหลังว่าข้าโหดเหี้ยม”
เจียงซือหร่านจับชายแขนเสื้อของชายหนุ่มแกว่งไปแกว่งมา พลางเอ่ยถามอย่างออดอ้อน “พี่สือซาน ท่านว่าไม่ยุติธรรมกับข้าเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ดวงตาที่เรียวยาวเล็กน้อยของเจียงหย่วนเฉาหรี่ลงครึ่งหนึ่งไม่ให้ใครอ่านความรู้สึกใดๆ ได้ หากมุมปากยังคงประดับรอยยิ้มอ่อนโยนไว้ น้ำเสียงแฝงรอยพะเน้าพะนอตามใจ
“ไม่ยุติธรรมมาก แต่เห็นทีว่าคุณหนูท่านนั้นคงตกใจแทบแย่ ยังเป็นแผลที่ใบหน้าก็ถือว่าได้รับบทลงโทษแล้ว หร่านรานก็อย่าโมโหนางอีกเลยนะ”
“ไม่ได้ พี่สือซาน ท่านส่งคนไปสืบถามให้ข้าทีว่านางเป็นอย่างไรบ้าง ถ้ากล้าเอาข้าไปนินทาเสียๆ หายๆ ส่งเดชล่ะก็ ข้าไม่ปล่อยนางไว้แน่”
“เป็นคุณหนูตระกูลใดหรือ”
“ดูเหมือนบิดาของนางจะเป็นอาลักษณ์เล็กๆ คนหนึ่งแซ่หลี นางเป็นคุณหนูสามของจวนสกุลหลีเจ้าค่ะ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 ก.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.