บทที่ 176
“เจ้าค่ะ ข้าไปประเดี๋ยวนี้เลย” เหอซื่อออกไปด้วยสีหน้าดุดันเอาเรื่อง
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเหยียดยิ้มมุมปาก นางให้ลูกสะใภ้หัวทื่อขวานผ่าซากไปไล่คุณหนูจวนกู้ชางป๋อกลับไป เป็นการใช้คนตามความสามารถได้เหมาะสมเต็มที่แล้ว
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หลานเจาได้รับบาดเจ็บที่นั่น ซ้ำร้ายยังเป็นแผลบนใบหน้าที่เป็นส่วนสำคัญยิ่งชีพ ถึงแม้จะมียาของหมอเทวดา ใครจะรับรองได้ว่าจะไม่เป็นแผลเป็นแน่
ในฐานะเจ้าภาพที่จัดงานสังสรรค์ครั้งนี้ พอทำให้แขกได้รับบาดเจ็บ นางหิ้วของขวัญสับปะรังเคสองกล่องมาเยี่ยมเยือนขอขมาคำหนึ่งก็เป็นอันสิ้นเรื่องแล้วหรือไร
ถุย! จวนสกุลหลีไม่ต้องการ
หญิงชรายกมือลูบอก พลันรู้สึกว่ามีลูกสะใภ้เช่นนี้ผู้หนึ่งก็ไม่เลว อย่างน้อยพบเจอเรื่องพรรค์นี้ก็ไม่ต้องระวังตัวรักษามารยาทไว้ ซ้ำยังไม่ต้องเป็นห่วงสายตาของคนภายนอก
ก็ใครเล่าจะถือเป็นจริงเป็นจังกับพวกหัวทื่อเป็นตอไม้ผู้หนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งดึงความคิดคืนมาแล้วมองเฉียวเจา
บาดแผลบนแก้มขวาของหลานสาวทายาขี้ผึ้งเนื้อกึ่งโปร่งใสไว้ชั้นหนึ่ง ใบหน้าขาวกระจ่างมีรอยบากเปื้อนเลือดน่ากลัวยาวเป็นทางทำลายรูปโฉมไปซีกหนึ่งโดยไม่ปรานีปราศรัย
ทว่าเด็กสาวยังคงสงบนิ่งดุจเดิม ถึงขั้นปราดแรกที่เห็นยังรู้สึกว่านางไม่เจ็บ มีเพียงเส้นเลือดปูดโปนบนหลังมือที่ลอบกำหมัดแน่น ไม่อาจเก็บซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงไว้ได้
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพลันปวดใจสุดจะกล่าว “เจ้าเด็กคนนี้ เจ็บก็ร้องออกมาเถอะ”
ใบหน้าของเฉียวเจาทายาไว้ นางไม่กล้าอ้าปากพูดตามใจชอบ ได้แต่กะพริบตาปริบๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเบือนหน้าไปอีกทางกลั้นน้ำตาที่ปริ่มซึมขอบตาไว้ ถึงหันกลับมาพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าวางใจได้ แม้ครอบครัวเรามิใช่ตระกูลใหญ่โตสูงศักดิ์ แต่จะยอมเลิกแล้วต่อกันเท่านี้ แล้วปล่อยให้เจ้ากล้ำกลืนฝืนทนเช่นนี้ไม่ได้”
“ท่านย่า…” เฉียวเจาเปล่งเสียงพูดคำหนึ่งอย่างอดไม่อยู่
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งลูบผมนางเบาๆ ห้ามมิให้นางกล่าวต่อ “หลานเจา ท่านย่ารู้ว่าเจ้าอยากพูดอะไร แต่มิใช่ว่าเจอปัญหาใดก็ต้องอดทนข่มกลั้นไว้ตลอด อย่างตำแหน่งอาลักษณ์สำนักราชบัณฑิตนั่นของท่านพ่อเจ้า จะเป็นหรือไม่เป็นหาได้มีความหมายอันใดไม่ ถ้าเขาอยากรักษาตำแหน่งขุนนางเล็กๆ ต่ำเตี้ยเรี่ยดินนั่นไว้จนปกป้องบุตรสาวของตนไม่ได้ ท่านย่าจะเป็นคนแรกที่ไม่ปล่อยเขาเอาไว้”
นัยน์ตาของแม่นางเฉียวโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว
ดูทีว่ายังคงเป็นท่านพ่อที่ลงแรงไปมาก เป็นอาลักษณ์สำนักราชบัณฑิตอย่างทรหดอดทนมานานสิบกว่าปีจนไม่กริ่งเกรงสิ่งใดแล้ว ดังคำกล่าวว่าคนเท้าเปล่าไม่กลัวคนสวมรองเท้า* ก็ยังมิเคยได้ยินว่าองครักษ์จินหลินลงโทษอาลักษณ์ต่ำต้อยผู้หนึ่ง
ปิงลวี่ตัดผ้าโปร่งบางจะปิดแผลให้เฉียวเจา แต่นางหลบออก
“คุณหนู?” ปิงลวี่ทำหน้างุนงง
อาจูรู้ว่าเฉียวเจาเปล่งเสียงพูดลำบาก จึงเอ่ยอธิบาย “อากาศร้อนเกินไป ใช้ผ้าปิดแผลไว้จะเป็นหนองได้ง่าย”
ปิงลวี่วางผ้าโปร่งบางลงอย่างห่อเหี่ยวใจ แต่พอคิดๆ แล้วก็ไม่ยอมแพ้ นางกลอกตาขึ้นพลางพูดว่า “เจ้าเก่งนักนะ เก่งถึงเพียงนี้เหตุใดไม่คุ้มครองคุณหนูให้ดีๆ เล่า ถ้าเป็นข้าละก็ ใครกล้ายิงธนูใส่คุณหนูเป็นต้องโดนข้าถีบสักทีหนึ่งก่อนค่อยว่ากัน”
เฉียวเจาสะกิดอาจูเบาๆ
อาจูเข้าใจความหมาย เอ่ยถามขึ้น “คุณหนู ท่านเหนื่อยแล้วใช่หรือไม่”
เฉียวเจาพยักหน้า
“เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนเถอะ ท่านย่าไปดูที่เรือนหน้าสักหน่อย”
เหอซื่อไปถึงโถงรับแขกของเรือนหน้า ก้าวเข้าประตูเห็นหลีเจี่ยวดื่มน้ำชาอยู่เป็นเพื่อนตู้เฟยเสวี่ยพอดี ไฟโทสะก็ลุกโชนประเดี๋ยวนั้น นางเดินฉับๆ เข้าไปตรงหน้าเด็กสาวสองคน
“ท่านแม่…” หลีเจี่ยวรีบวางถ้วยน้ำชาแล้วลุกขึ้นยืน
ตู้เฟยเสวี่ยลุกขึ้นยอบกายเล็กน้อยให้เหอซื่ออย่างไว้ท่า “เหอฮูหยิน วันนี้คุณหนูสามได้รับบาดเจ็บในจวนข้า ต้องขออภัยจริงๆ ข้ามาดูว่าอาการของนางเป็นอย่างไรกันแน่ นี่คือสมุนไพรบำรุงร่างกายที่ทางจวนข้าจัดเตรียมมาให้ หวังว่าคุณหนูสามจะได้ใช้ประโยชน์…”
เหอซื่อได้ยินแล้วเดือดดาลยกใหญ่ หยิบกล่องของขวัญสองกล่องที่ตู้เฟยเสวี่ยเอามาให้โยนทิ้งไป
“เหอฮูหยิน นี่ท่านหมายความว่าอะไร” ตู้เฟยเสวี่ยหน้าแดงก่ำทันใด
มารดาของหลีเจี่ยวจากไปนานแล้ว ตู้เฟยเสวี่ยเป็นญาติผู้น้องทางฝ่ายมารดา จะมาเที่ยวเล่นที่จวนสกุลหลีบ้างเป็นบางครา ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอยากให้ทางจวนกู้ชางป๋อรู้ชัดว่าสกุลหลีมิได้ทอดทิ้งละเลยหลีเจี่ยว จึงถือตู้เฟยเสวี่ยเป็นแขกคนสำคัญเรื่อยมา นางไหนเลยจะเคยได้รับความอัปยศอดสูเพียงนี้
“พวกข้าไม่ต้องการของพวกนี้ ข้าแค่อยากถามว่าบุตรสาวข้าบาดเจ็บได้อย่างไร”
“เหอฮูหยิน ท่านทำเช่นนี้ไม่รู้สึกว่าเสียมารยาทเกินไปหรือ”
“ข้าเสียมารยาท? คุณหนูตู้ ท่านมาที่จวนข้ามิใช่ครั้งสองครั้ง ข้าจะเสียมารยาทปานใดก็มิเคยทำให้ท่านเสียโฉมกลับไปกระมัง”
ตู้เฟยเสวี่ยได้ยินแล้วไม่ยอมแพ้ นางข่มความโกรธพูดแก้ต่าง “เป็นคุณหนูสามโชคไม่ดี บังเอิญสุ่มไม้ติ้วได้ของคุณหนูเจียงเอง”
“เจ้าผายลม!” เหอซื่อผรุสวาทเสียงดัง มือหนึ่งเท้าเอว มือหนึ่งชี้หน้าตู้เฟยเสวี่ยจนปลายนิ้วแทบจิ้มโดนหน้าผาก “ถ้าเป็นเช่นที่เจ้าพูดยังต้องสมน้ำหน้าที่เจาเจาของข้าเคราะห์ร้ายหรือ คนอื่นข้าไม่สนใจ ข้าแค่ถามเจ้าว่าเจ้าเป็นเจ้าภาพงานสังสรรค์ในวันนี้ใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วจะมีอันใด” ตู้เฟยเสวี่ยถอยหลังหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว
มารดาของหลีซานช่างหยาบคายและพาลพาโลเหลือเกินจริงๆ เป็นคราครั้งแรกที่นางได้ยินคนด่าทอเยี่ยงนี้!
“เจ้ายังรู้ตัวว่าเป็นเจ้าภาพงานสังสรรค์ครั้งนี้ เช่นนั้นมีคนเสนอให้เล่นท้าดวลอันตรายอย่างนี้ เหตุใดเจ้าไม่ห้ามปรามตามหน้าที่ของเจ้าภาพที่ดี หรือว่ามีคนสังหารใครในจวนเจ้า เจ้าก็จะไชโยโห่ร้องอยู่ด้านข้างใช่หรือไม่”
“นะ…นั่นเป็นคุณหนูเจียง บุตรสาวของท่านผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน ข้าจะห้ามได้อย่างไรกัน” ตู้เฟยเสวี่ยพูดแก้ตัวอย่างโมโหฉุนเฉียว
เหอซื่อยิ้มเยาะ “ฉะนั้นเพราะบิดาของคุณหนูเจียงเป็นผู้มีอำนาจราชศักดิ์สินะ เจ้าถึงนิ่งเฉยดูดาย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนนี้เจ้าจะแสร้งเป็นคนดีมามอบของขวัญอะไรอีก เพื่อจะฟังพวกข้าพูดว่ายกโทษให้ อีกทั้งได้ชื่อว่าเป็นคนมีความคิดความอ่านกระนั้นหรือ ถุย! เมินเสียเถอะ เจ้าไสหัวออกไปประเดี๋ยวนี้เลย วันหน้ากล้าเหยียบเข้าประตูจวนสกุลหลีล่ะก็ ข้าจะปิดประตูปล่อยสุนัขไล่กัด”
“จะ…เจ้า…เจ้าหยาบคายเกินไปแล้ว” ตู้เฟยเสวี่ยเอาแต่ใจตนเพียงใดก็เป็นคุณหนูในตระกูลสูงศักดิ์ จะเคยเห็นคนเช่นเหอซื่อที่ใดกัน นางโกรธจนปากสั่น “ข้าจะมาจวนสกุลหลีหรือไม่ เจ้าไม่มีสิทธิ์ห้าม…”
เหอซื่อคว้าไม้ขนไก่ที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กด้านข้างมาได้ก็ฟาดใส่ นางฟาดไปด่าไป “ข้าไม่มีสิทธิ์ห้ามอย่างนั้นหรือ นางเด็กน้อยน่าชัง วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้เห็นว่าอย่างน้อยมือเป็นของข้า ข้าอยากทำอะไรก็ได้”
ตู้เฟยเสวี่ยหลบเป็นพัลวัน หลีเจี่ยวถลันเข้ามาเอาตัวบังตู้เฟยเสวี่ยไว้พลางพูด “น้องเฟยเสวี่ย เจ้ากลับไปก่อนเถอะ กลับไปก่อนสิ”
เด็กสาวที่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนออกจากจวนสกุลหลีเพียงรู้สึกว่าอับอายขายหน้าไปทั้งชาติ
หลีเจี่ยวคุกเข่าลงเผชิญกับสายตาวาวโรจน์ด้วยไฟโทสะของเหอซื่อ “ท่านแม่ เป็นความผิดของข้าคนเดียว ข้าไม่ได้ดูแลน้องเจาให้ดี…”
เหอซื่อไม่แม้แต่จะมองนางสักแวบหนึ่ง โยนไม้ขนไก่ทิ้งแล้วสาวเท้าออกไป ยังกล่าวถ้อยคำหนึ่งเสียงห้วนตอนเดินผ่านข้างกายหลีเจี่ยว “โทษเจ้าไม่ได้ เดิมทีข้าก็ไม่เคยฝากความหวังไว้ที่เจ้ามาก่อน”
หลีเจี่ยวมองตามแผ่นหลังของเหอซื่อที่เดินจากไปแล้วกัดริมฝีปาก
เหอซื่อก้าวขาข้างหนึ่งออกจากประตูก็พบกับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง นางถามไถ่อย่างร้อนรน “ท่านว่าสมควรทำฉันใดดีเจ้าคะ ขอแค่ให้คนที่ทำร้ายเจาเจาได้รับผลกรรม จะให้ข้าทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!”
“เรื่องแรกไปบอกกล่าวเจ้าใหญ่กับฮุยเอ๋อร์ก่อน ให้พวกเขากลับมาให้หมด คุณหนูในจวนโดนดูหมิ่นเหยียดหยาม พวกบุรุษจะไม่รู้เรื่องรู้ราวสักนิดไม่ได้ เรื่องที่สอง พรุ่งนี้เป็นวันที่เจาเจาต้องไปอารามซูอิ่งพอดี ส่งปิงลวี่ไปแจ้งที่นั่นว่าเจาเจาถูกคนทำร้ายเสียโฉม พรุ่งนี้ไปไม่ได้แล้ว เรื่องที่สาม…” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งหยุดพักหายใจ “เจ้ากลับไปดูแลเจาเจาให้ดี ข้าจะนั่งขอความเป็นธรรมตรงหน้าประตูที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน รอพวกเจ้าใหญ่กลับมาแล้ว อย่าลืมบอกให้พวกเขาผลัดกันไปส่งน้ำส่งข้าวให้ข้าด้วย”
บทที่ 177
เหอซื่อฟังแล้วตะลึงงันไปนานครู่ใหญ่ถึงอ้าปากพูด “ฮูหยินผู้เฒ่า…ให้ข้าไปดีกว่าเจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่ได้ เรื่องในวันนี้ข้ามอบหมายให้ทำอย่างไร เจ้าก็ทำไปตามนั้น” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแสดงความดุดันออกมาทั้งสีหน้าและน้ำเสียงอย่างหาได้ยาก
“เจ้าค่ะ ข้าทราบแล้ว” ในยามคับขัน เหอซื่อเห็นว่าน่าจะเชื่อถือมารดาสามีได้มากกว่าตนเอง จึงรีบไปเตรียมการต่างๆ โดยไม่โต้แย้งต่อ
หลีเจี่ยวซึ่งซ่อนตัวอยู่หน้าประตูได้ยินบทสนทนาของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกับเหอซื่ออย่างชัดเจน นางหน้าถอดสีทันใด
ท่านย่าจะไปที่หน้าประตูที่ว่าการกององครักษ์จินหลินได้อย่างไร
ตำแหน่งของท่านพ่อจะทำอย่างไร แล้วตำแหน่งของท่านอารองอีกเล่า ถ้าเกิดล่วงเกินองครักษ์จินหลินเข้า หลุดจากตำแหน่งอาจจะเป็นสถานเบา ดีไม่ดีต้องบ้านแตกสาแหรกขาดก็เป็นได้
ไฉนท่านย่าต้องทำถึงเพียงนี้เพื่อหลีซาน หรือว่าจะให้คนทั้งตระกูลต้องย่อยยับไปด้วยกันเพราะนางเสียโฉม
หลีเจี่ยวร้อนใจประหนึ่งมดบนกระทะร้อน อยากปรี่เข้าไปพูดกล่อมฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไว้ แต่นางรู้ว่าถึงแม้ปกติท่านย่าจะใจดีไม่เข้มงวด แต่เรื่องที่ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะทำแล้ว ถึงเป็นนางก็ห้ามไม่อยู่ ซ้ำมีแต่จะโดนตำหนิดุด่าเปล่าๆ ปลี้ๆ เท่านั้นเอง
นางกลอกตาไปมาแล้วก้าวขาวิ่งตะบึงไปเรือนจินหรง
ในเรือนจินหรง ผลดิบดกดื่นบนต้นไห่ถังถ่วงจนปลายกิ่งโน้มห้อยลง หลิวซื่ออยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำกำลังสอนบุตรสาวสองคนปักผ้า
ยามนี้แสงแดดแจ่มจ้างามตา คุณหนูสี่หลีเยียนกับคุณหนูหกหลีฉานแยกกันนั่งบนม้านั่งหินหุ้มเบาะแพรอยู่ใต้ต้นไห่ถัง ต่างคนต่างถือสะดึงปักผ้าไว้ในมือ คนพี่รับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ขณะที่คนน้องทำท่าเบื่อหน่ายเหลือแสน
หลิวซื่อเอื้อมมือไปเขกศีรษะหลีฉานแล้วพูดดุ “เอาแต่เหม่ออยู่ได้ เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว เรียนอะไรยังคงไม่ใฝ่ใจ วันหน้าจะทำอย่างไร ข้าจะบอกพวกเจ้านะ เท่าที่ข้าเฝ้ามองอยู่ด้านข้างในช่วงที่ผ่านมา ถ้าพวกเจ้าอยากเหนือกว่าคุณหนูสาม เกรงว่ามีแค่เรื่องเดียวก็คือเย็บปักถักร้อย…”
สิ้นเสียงหลิวซื่อไม่ทันไร มีสาวใช้ส่งเสียงรายงาน “นายหญิง คุณหนูใหญ่มาเจ้าค่ะ”
นางมองปราดเดียวก็เห็นหลีเจี่ยวยืนอยู่ตรงหน้าประตูเรือน จึงลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ย “คุณหนูใหญ่มาแล้วหรือ มีเรื่องอะไรใช่หรือไม่”
หลีเจี่ยวย่อกายคำนับนาง “ท่านอาสะใภ้รอง ท่านรู้หรือยังว่าเกิดเรื่องขึ้นกับน้องเจาแล้ว”
หลิวซื่อใจหล่นดังตุบ
แย่แล้ว เกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนูสามอีกแล้ว หนนี้ถึงคราวเคราะห์ร้ายของใครล่ะนี่
หลิวซื่อไม่มีแก่ใจถามซักไซ้ หันขวับไปตะโกนบอก “เยียนเอ๋อร์ ฉานเอ๋อร์ พวกเจ้ากลับไปอยู่ในห้องก่อน”
หลีเจี่ยวอึ้งงันไป นี่ท่านอาสะใภ้รองทำอะไร นางยังไม่ได้บอกว่าเรื่องใดเลยก็ให้พวกน้องสี่ไปหลบแล้ว
หลิวซื่อหันหน้ามา “เอาล่ะ ตอนนี้คุณหนูใหญ่เล่าให้ข้าฟังทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณหนูสาม”
“วันนี้น้องเจาไปร่วมงานสังสรรค์ของชุมนุมฟู่ซาน…”
หลีเยียนเพิ่งเดินไปถึงหน้าห้องก็วิ่งกลับมา “พี่เจาเข้าร่วมชุมนุมฟู่ซานแล้วหรือเจ้าคะ”
หลีเจี่ยวคับอกคับใจระลอกหนึ่ง
หลิวซื่อถลึงตาใส่บุตรสาว
หลีเยียนพูดอ้อนวอน “ท่านแม่ ให้ข้าฟังด้วยเถอะนะ ข้ารับรองว่าจะไม่ก้าวออกนอกประตูเรือนเจ้าค่ะ”
หลิวซื่อถึงพยักหน้าแล้วมองไปทางหลีเจี่ยว
หลีเจี่ยวไม่เข้าใจสักนิดว่าพวกนางเป็นอะไรไป นางเม้มปากแล้วพูดเสียงรัวเร็วว่า “ตามธรรมเนียมจะให้รองหัวหน้าทดสอบชาวชุมนุมคนใหม่ น้องเจาสุ่มเลือกได้เจียงซือหร่านบุตรสาวของผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน นางเสนอให้ยิงธนู ผลปรากฏว่ายิงโดนใบหน้าน้องเจา น้องเจาเสียโฉมแล้ว ท่านย่าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตอนนี้จะไปนั่งขอความเป็นธรรมที่หน้าประตูที่ว่าการกององครักษ์จินหลินแล้วเจ้าค่ะ”
หลิวซื่อได้ยินแล้วพิศวงงงงวย นางกะพริบตาปริบๆ “หลังจากนั้นเล่า”
“หลังจากนั้น…” หลีเจี่ยวแทบหน้ามืดเป็นลม นางอุตส่าห์วิ่งมาบอกเรื่องนี้ อาสะใภ้รองกลับนึกว่าฟังเรื่องเล่าอยู่ หรือว่าในเวลานี้ไม่สมควรหน้าซีดด้วยความตกใจแล้วไปเกลี้ยกล่อมท่านย่ากับนาง
“เช่นนี้แสดงว่าคุณหนูเจียงท่านนั้นหาเรื่องคุณหนูสามแล้ว?”
“ใช่…” หลีเจี่ยวพยักหน้าโดยไม่ทันคิดแล้วรีบเปลี่ยนคำพูด “ไม่ใช่ ท่านอาสะใภ้รอง ท่านฟังที่ข้าพูดไม่ชัดเจนหรือเจ้าคะ ท่านย่าจะไปนั่งขอความเป็นธรรมที่หน้าประตูที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน”
“ได้ยินแล้ว ดังนั้นก็เป็นคุณหนูเจียงท่านนั้นหาเรื่องคุณหนูสามสินะ” หลิวซื่อรู้สึกเฉกเดียวกันว่าหลีเจี่ยวพูดจาสับสนไม่รู้เรื่อง นางลอบถอนหายใจโล่งอก ดูท่าทางหนนี้น่าจะไม่มีใครในจวนเคราะห์ร้าย
หลีเจี่ยวอ้าปากค้าง “ท่านอาสะใภ้รอง ไฉนท่านยังไม่เข้าใจอีก ที่นั่นคือหน้าประตูที่ว่าการกององครักษ์จินหลินนะเจ้าคะ ท่านย่ายั่วโทสะพวกเขาแล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันดี”
“คุณหนูใหญ่ไม่ต้องกลัว ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งคิดอ่านรอบคอบกว่าพวกเรามาแต่ไหนแต่ไร” หลิวซื่อเอ่ยอย่างไม่เอาใจใส่
คุณหนูใหญ่สกุลหลีแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าอาสะใภ้รองที่ปกติเป็นปฏิปักษ์กับมารดาเลี้ยงของตนจะเป็นคนปล่อยวางได้ถึงเพียงนี้ นางกระทืบเท้าพลางกล่าว “ท่านอาสะใภ้รอง ท่านทราบเรื่องนี้แล้วก็ดี ข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
พอเห็นหลีเจี่ยวผลุนผลันกลับไป หลิวซื่อตะเบ็งเสียงพูด “ฉานเอ๋อร์ เจ้าก็ออกมาด้วย ข้าจะพาพวกเจ้าไปเยี่ยมคุณหนูสาม”
หลีเจี่ยวออกจากเรือนจินหรงแล้วนิ่งตรึกตรอง จากนั้นวิ่งตรงไปที่ห้องของเฉียวเจา
เฉียวเจาเปล่งเสียงพูดไม่ได้แล้ว นางกำลังใช้พู่กันแทนปากสั่งงานอาจูอยู่
หลีเจี่ยวพรวดพราดเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบ “น้องเจา…”
เฉียวเจาวางพู่กันลง มองนางด้วยสีหน้าแววตาสงบนิ่ง
ชั่วขณะนั้น หลีเจี่ยวบังเกิดความรู้สึกละอายใจที่เทียบนางมิได้อย่างปราศจากเหตุผล
ทั้งที่คนที่เสียโฉมคือหลีซาน เหตุใดนางถึงดูจนตรอกมากกว่า
ความคิดนี้ผุดวาบขึ้นในหัวแล้วเลือนหายไป หลีเจี่ยวหยุดพักหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “น้องเจา ในจวนกำลังจะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว ตอนนี้มีแต่เจ้าที่เกลี้ยกล่อมท่านย่าได้”
เฉียวเจากะพริบตาปริบๆ บอกว่าสงสัย
“เพื่อระบายความแค้นให้เจ้า ท่านย่าจะไปนั่งขอความเป็นธรรมที่ที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน ยังจะให้ท่านพ่อกับน้องสามส่งข้าวส่งน้ำให้ท่านอีกด้วยนะ!”
ดวงตาของเฉียวเจาทอประกายวูบหนึ่ง ตรงกลางอกอุ่นผะผ่าว
ที่แท้ครอบครัวของนางในตอนนี้สามารถทำถึงขั้นนี้เพื่อลูกหลานได้ นางช่างโชคดีปานใดที่ได้มีชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้
“เจ้าสมควรรู้ว่ากององครักษ์จินหลินเป็นสถานที่อะไร หากท่านย่าทำอย่างนั้นจริงๆ จะนำพาเภทภัยใหญ่หลวงมาสู่ครอบครัวเราได้! น้องเจา เจ้าคงหักใจปล่อยให้ครอบครัวเราประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้เพราะเจ้าไม่ได้กระมัง”
เฉียวเจาเม้มปาก
“โธ่เอ๊ย น้องเจา เจ้ารีบตามข้าไปห้ามท่านกันเถอะ ชักช้าจะไม่ทันกาล” หลีเจี่ยวฉุดเฉียวเจาลุกขึ้นแล้วจะออกเดินไปข้างนอก
เฉียวเจาดึงมือออกจากมือนาง มองอาจูพลางชี้ที่พู่กันกับกระดาษ
อาจูเข้าใจความหมาย ถือพวกกระดาษกับพู่กันตามเฉียวเจาไปที่เรือนชิงซง
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเพิ่งเตรียมตัวพร้อมพรัก เห็นสองพี่น้องมาพร้อมกันก็เอ่ยถาม “พวกเจ้ามาด้วยกันได้อย่างไร หลานเจา ไยเจ้าไม่พักรักษาตัวให้ดีๆ”
หลีเจี่ยวอ้าปากกล่าวอยู่ด้านข้าง “ท่านย่า น้องเจาได้ยินว่าท่านจะไปนั่งขอความเป็นธรรมที่ที่ว่าการกององครักษ์จินหลินแล้วร้อนใจมาก ถึงได้รุดมาที่นี่เจ้าค่ะ”
สีหน้าของหญิงชราขรึมลงเล็กน้อย “หลานเจา ข้าบอกแล้วว่าตอนนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เจ้าอย่าคิดมาก รีบกลับห้องไปพักรักษาตัวถึงจะถูกต้อง”
เฉียวเจาชี้ปากตนเองเป็นเชิงบอกว่าเปล่งเสียงพูดไม่ได้ จากนั้นล้วงขวดรูปทรงน้ำเต้าขนาดเล็กกะทัดรัดสีเขียวมรกตในถุงผ้าปักส่งให้
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งรับไว้แล้วทำสีหน้าฉงนใจ
เฉียวเจารับกระดาษกับพู่กันจากมืออาจูมาวางบนโต๊ะด้านข้าง เขียนปราดๆ อย่างคล่องแคล่วว่องไวเป็นถ้อยความบรรทัดหนึ่งแล้วหยิบขึ้นให้หญิงชราอ่าน
หลีเจี่ยวกวาดตาดูแวบหนึ่งแล้วโมโหแทบอกแตกตาย นางเห็นบนกระดาษเขียนว่า
‘ท่านย่าพกน้ำมันยาหอมขวดนี้ติดตัวไปด้วยจะได้ไม่เป็นลม’
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วหัวร่อเสียงดัง “หลานที่น่ารัก ท่านย่ารู้แล้ว”
หญิงชราพาสาวใช้กับหญิงคนงานเดินอาดๆ ออกไป ทิ้งหลีเจี่ยวที่แทบอยากเอาศีรษะโขกกำแพงไว้ที่เดิม นางยื่นมือไปจับข้อมือเฉียวเจาไว้แน่นสุดแรงพลางถามไล่เลียง “น้องเจา นี่เจ้าหมายความว่าอะไร เจ้าเห็นแก่ตัวเยี่ยงนี้ได้เช่นไร เพื่อที่ตัวเองจะได้ระบายความแค้น ก็ไม่แยแสว่าคนทั้งครอบครัวต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ”
* คนเท้าเปล่าไม่กลัวคนสวมรองเท้า เป็นสำนวน หมายถึงคนที่ไม่มีอะไรจะเสีย ย่อมไม่กลัวคนที่มีอำนาจทรัพย์สิน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 ก.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.