บทที่ 419
ซานหนีหลานสาวคนที่สามของผู้ใหญ่บ้านเสียสติไปแล้ว นางพร่ำพูดถึงเรื่องเจอผีซ้ำๆ
จากนั้นก็มีพวกสอดรู้สอดเห็นที่ใจกล้าวิ่งไปตรงซากเรือนสกุลเฉียว ก็เห็นโคมไฟที่ซานหนีกับบุตรชายคนเล็กของสกุลหวังทิ้งเอาไว้ตอนแอบนัดพบกันเมื่อคืน
คนสองคนซึ่งไปที่ซากเรือนสกุลเฉียวมา คนหนึ่งตายคนหนึ่งเป็นบ้า ไม่ต้องสงสัยว่านี่เป็นข้อยืนยันเรื่องวิญญาณอาฆาตสกุลเฉียวกลายเป็นผีร้ายคร่าชีวิตคนเพราะการเปิดโลงพลิกศพนั้นเป็นเรื่องจริง
ชั่วอึดใจเดียวในหมู่บ้านเกิดเสียงโจษจันระเบ็งเซ็งแซ่ ยามเห็นพวกเฉียวเจาก็พากันเบือนหน้าหนีซ่อนแววตาที่แฝงรอยต่อว่าต่อขานไว้โดยไม่รู้ตัว
ชาวบ้านสามัญชนอย่างพวกเขาจะไปตอแยกับผู้มีอำนาจราชศักดิ์ก็คงไม่ไหว แต่คนพวกนี้หาเรื่องกันเช่นนี้ไม่ได้
ภายในเรือนของหญิงขายเต้าหู้ นักชันสูตรเฉียนกล่าวเสียงเยาะๆ “ผีร้ายคร่าชีวิตคนบ้าบออะไรกัน ข้ามองปราดเดียวก็รู้ว่าบุตรชายคนเล็กของสกุลหวังโดนคนบีบคอหัก แล้วดูจากมุมของรอยนิ้ว บอกได้เลยว่าคนผู้นั้นตัวสูงไล่เลี่ยกับท่านโหว”
ตัวสูงไล่เลี่ยกับเซ่าหมิงยวน?
เฉียวเจาฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ นางมองเขาแวบหนึ่ง
ประกายตาของชายหนุ่มเข้มขึ้น เห็นได้ว่าเขาคิดออกแล้วเหมือนกัน
หยางโฮ่วเฉิงทิ้งตัวลงนั่ง ยกมือขยุ้มๆ ผมพลางกล่าว “ไม่สำคัญว่าเขาตายเช่นไรกระมัง ข้าเห็นคนในหมู่บ้านไป๋อวิ๋นอยากให้พวกเรารีบๆ ไสหัวไปใจจะขาดแล้ว ถิงเฉวียน หลังจากนี้พวกเราคิดจะสืบถามเบาะแสเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวจากปากชาวบ้าน เกรงว่าคงยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าเห็นด้วย
คนในหมู่บ้านงมงายมากเสียจนหลงเชื่อเรื่องผีสาง ในใจย่อมกล่าวโทษและหวาดระแวงพวกเขา ถึงเวลาพอถามอะไรก็ตอบว่าไม่รู้สักอย่าง พวกเขาคงเอาตัวชาวบ้านพวกนี้มาใช้ทัณฑ์ทรมานเค้นถามไม่ได้
“ถิงเฉวียน จะมีคนพยายามยับยั้งไม่ให้เจ้าสืบต่อหรือไม่ ถึงได้จงใจสังหารคนเพื่อเบี่ยงเบนไปเป็นเรื่องผีสาง” ฉือชั่นเอ่ยปากถาม
“ก็มีความเป็นไปได้นี้อยู่”
“แล้วเจ้าตั้งใจจะทำอย่างไร ยังอยู่ที่หมู่บ้านไป๋อวิ๋นต่อหรือไม่”
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม “ฝ่ายตรงข้ามไม่รู้ว่าพวกเราหาเบาะแสที่พึงหาได้จากหมู่บ้านไป๋อวิ๋นพบแล้ว แต่ถ้าพวกเขาจะใช้วิธีฆ่าคนหันเหความสนใจไปที่เรื่องผีสางจริงๆ ก็ไม่มีผลกระทบต่อพวกเราแต่อย่างใด ข้าตั้งใจว่าเยี่ยมคารวะสหายเก่าของสกุลเฉียวเรียบร้อยแล้วก็จะไปจากที่นี่”
“ไปทะเลแดนใต้?”
“ใช่ ไปทะเลแดนใต้”
รอกระทั่งเหลือเพียงนางกับเซ่าหมิงยวนสองคน เฉียวเจาถึงถามขึ้น “ท่านคิดจริงๆ หรือว่าการตายของบุตรชายสกุลหวังเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามต้องการขัดขวางการสืบคดีของพวกเรา”
“เจาเจาเห็นว่าอย่างไรเล่า”
นางเดินไปที่ข้างโต๊ะ “นี่คือความเป็นไปได้ทางหนึ่ง ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างคือฆ่าคนปิดปาก”
หญิงสาวหยิบพู่กันวาดผังของหมู่บ้านไป๋อวิ๋นอย่างว่องไว จากนั้นชี้ตรงฝั่งขวาสุด “ท่านดูนะ ที่นี่คือเรือนสกุลหวัง อยู่ทางด้านหน้าหมู่บ้าน เรือนของผู้ใหญ่บ้านตั้งอยู่ตรงกลาง ส่วนเรือนที่เราอยู่ต้องเดินจากท้ายหมู่บ้านไปทางตะวันตกตัดผ่านสวนซิ่งจื่อจึงจะถึง เมื่อคืนบุตรชายสกุลหวังกับซานหนีวิ่งหนีไปอย่างรีบร้อน พอถึงจุดนี้ซานหนีกลับไปที่เรือนผู้ใหญ่บ้าน ตลอดระยะทางนี้พวกเขายังปลอดภัยอยู่”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าพลางเอ่ย “ไม่ผิด นี่พิสูจน์ได้ว่าเมื่อคืนตอนพวกเราไปทางนั้นไม่มีคนสะกดรอยตาม ดังนั้นพวกเขายังไม่พบกับฆาตกร”
“ใช่ แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นกับบุตรชายสกุลหวังตรงจุดนี้ซึ่งใกล้กับเรือนของเขามาก แม่ทัพเซ่า ท่านว่าเหตุผลที่เขาพบกับฆาตกรตรงนี้เป็นเพราะอะไร”
ความคิดอ่านของทั้งคู่สอดคล้องตรงกันอย่างยิ่ง เซ่าหมิงยวนกล่าวขึ้นทันที “เหตุผลที่เป็นไปได้ที่สุดคือตอนนั้นมีคนกำลังเล็ดลอดเข้ามาในหมู่บ้านไป๋อวิ๋นพอดี คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับบุตรชายสกุลหวัง ด้วยเหตุนี้จึงฆ่าคนปิดปาก”
เฉียวเจายิ้มตาโค้ง “ข้าก็คิดเช่นนี้เช่นเดียวกัน”
ดวงตาของชายหนุ่มทอประกายกร้าววูบหนึ่ง “ตัวสูงไล่เลี่ยกับข้า เป็นไปได้มากว่าคนผู้นั้นคือฆาตกรที่เถี่ยจู้เคยเห็น พอพวกเราไปเยี่ยมคารวะสกุลเซี่ยที่ตำบลไป๋อวิ๋น ทางเจ้าเมืองหลี่ถึงกับนั่งไม่ติด ส่งยอดฝีมือคนนี้มาสังเกตการณ์พวกเรา”
เฉียวเจาเม้มมุมปาก สีหน้านางปึ่งชา “เจ้านั่นเป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง หลังฆ่าคนปิดปากแล้วคิดหาหนทางเบี่ยงเบนความสนใจได้ทันที เช้าวันนี้ข่าวลือที่บุตรชายคนเล็กของสกุลหวังโดนผีร้ายสังหารก็แพร่สะพัดไปทั่ว จะต้องเป็นพวกนั้นช่วยโหมกระพือเป็นแน่แท้ หมายจะยิงทีเดียวได้นกสองตัว”
คำพูดพล่อยๆ ของคนในหมู่บ้านวันนี้ทำให้เฉียวเจาหัวเสียไม่น้อย เซ่าหมิงยวนสงสารเห็นใจนางมาก จึงยื่นมือไปจับมือนางพลางกล่าว “พวกชาวบ้านงมงาย ไม่ต้องไปถือสาหาความกับพวกเขา ฝ่ายตรงข้ามควบคุมอารมณ์ไม่อยู่เป็นเรื่องดี เมื่อพวกเขาอดทนไม่ไหวจนต้องลงมือ พวกเราถึงจับหางของพวกเขาได้ เจาเจา ถ้าพวกเราจับยอดฝีมือข้างกายเจ้าเมืองหลี่ผู้นี้ไว้ในกำมือได้ เจ้าว่าเขาจะมีท่าทีอย่างไร”
นางตรึกตรองเล็กน้อยก่อนหัวเราะเบาๆ “คงจะเป็นสุนัขจนตรอกกระมัง”
“ที่ต้องการก็คือสุนัขจนตรอกนี่ล่ะ! เสี่ยวเจา ติดตามท่านโหวของเจ้าไปเยี่ยมคารวะสหายเก่าของสกุลเฉียวต่อเถอะ” เขามีเจตนาพูดสัพยอกเฉียวเจา ด้วยรู้ว่านางอารมณ์ไม่ดี
“ท่านโหว?” นางเลิกคิ้วขึ้น คำเรียกขานนี้กลับแปลกใหม่นัก
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ “หรือท่านพี่”
เฉียวเจาอดหน้าแดงไม่ได้ นางมองค้อนเขา “พูดจาเหลวไหล ยังไม่รีบเตรียมออกไปข้างนอกอีก”
บุรุษตรงหน้าทำตาลอยมองนางอย่างหวานซึ้ง
เฉียวเจาเม้มปาก เจ้าคนทึ่มผู้นี้มัวฝันกลางวันอะไรอีกแล้ว
“เจาเจา เมื่อคืนข้าฝันถึงคืนเข้าหอของพวกเรา…”
“หุบปากนะ!” เฉียวเจาสะบัดแขนเสื้อจากไปด้วยสีหน้าง้ำงอ
แม่ทัพหนุ่มที่ถูกทิ้งไว้ลูบๆ จมูก
เขาเพียงอยากบอกเจาเจาว่าเมื่อคืนฝันว่าเขากับนางเพิ่งกราบไหว้ฟ้าดินก็มีพระราชโองการมาถึง เขาไม่ทันได้เห็นหน้านางก็ต้องออกศึกอีกแล้ว หลังเขาตื่นขึ้นในใจยังคงหมองเศร้าเต็มทีเพราะความฝันนี้
เหตุใดเจาเจาไม่ฟังเขาพูดให้จบก็เดินหนีไปอย่างฉุนเฉียว
จวบจนทั้งสองออกจากเรือน แม่ทัพหนุ่มยังขบคิดปัญหานี้อย่างจริงจัง
ช่วงหลายวันต่อมาคนในหมู่บ้านไป๋อวิ๋นหมางเมินพวกเฉียวเจามากขึ้น มาตรว่าจะติดขัดที่ฐานะของพวกเขาจึงไม่กล้าเอ่ยปากขับไล่ไสส่ง แต่กลับไม่เป็นมิตรดังเช่นที่ผ่านมา เพียงเห็นไกลๆ ก็อยากเดินหนีใจจะขาด
เพราะก่อนหน้านี้ได้หารือแบ่งงานกันแล้ว ทุกคนต่างไม่เก็บมาใส่ใจ ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงทำหน้าที่อยู่รับหน้าพวกนายอำเภอหวัง ส่วนเฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนไปเยี่ยมคารวะสหายเก่าของสกุลเฉียวทุกวัน
ฝ่ายเจ้าเมืองหลี่นับวันก็ยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูกกับการกระทำของคนทั้งคู่
“สองสามวันมานี้กวนจวินโหวไปเยี่ยมคารวะสหายเก่าของสกุลเฉียว ดูท่าทางไม่ค่อยใส่ใจกับคดีไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวสักเท่าไร”
“ใต้เท้าอย่าได้ชะล่าใจ กวนจวินโหวแสดงท่าทีออกมาเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจงใจตบตาพวกเราก็เป็นได้”
“เรื่องนี้แน่นอน ดังนั้นข้าถึงเรียกหลิวหู่กลับมาจับตาดูเขาไว้”
ที่ปรึกษามุ่นคิ้ว “ใต้เท้า ข้าเห็นว่าท่านเรียกหลิวหู่กลับมาจะเสี่ยงอันตรายไปบ้าง จะอย่างไรเขาเป็นคนที่กำจัดสกุลเฉียวในตอนนั้น…”
เจ้าเมืองหลี่เหยียดยิ้มอย่างไม่เห็นพ้องด้วย “กวนจวินโหวมีวรยุทธ์สูงส่งเหนือผู้ใดจนเป็นที่กล่าวขวัญถึง ไม่เรียกหลิวหู่กลับมาข้าไม่สบายใจอยู่บ้างจริงๆ อาจารย์หานวางใจได้ วันนั้นที่หลิวหู่ลงมือมีเพียงหญิงม่ายที่อยู่ท้ายหมู่บ้านไป๋อวิ๋นทางทิศตะวันตกที่เคยเห็นหน้าเขาคนเดียว แล้วนางก็โดนหลิวหู่ฆ่าปิดปากไปแล้ว ดังนั้นใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เรื่องนี้อีกยกเว้นพวกเรา หลิวหู่อยู่ข้างกายข้ามาหลายปี จู่ๆ ทิ้งเขาไว้เฉยๆ ไม่ใช้งาน ข้าไม่คุ้นชินเอาเสียเลยจริงๆ”
ยามกล่าวถึงตรงนี้ดวงตาของเจ้าเมืองหลี่ทอประกายเย็นเยียบ “อีกอย่างกำลังหนุนของพวกเขาใกล้จะมาถึงแล้ว ต่อให้มีเรื่องคาดไม่ถึงอะไร ถึงพวกกวนจวินโหวจะติดปีกบินก็หนีไม่รอด!”
ตอนพวกเฉียวเจาออกจากเรือนสกุลจูในเมืองจยาเฟิง นางทำสีหน้าหนักอึ้ง “แม่ทัพเซ่า ข้าครุ่นคิดอยู่ว่าท่านอาจูตกม้าเป็นเหตุไม่คาดฝันจริงๆ หรือไม่ วันนี้เห็นท่าทางหม่นหมองของพี่จูแล้วข้าเศร้าใจอยู่บ้าง”
พี่จู?
ได้ยินคำเรียกขานนี้ แม่ทัพหนุ่มย่นหัวคิ้วเข้าหากัน
บทที่ 420
กับสือซีและฉงซานล้วนเรียกขานว่า ‘พี่’ ตอนนี้ยังมีพี่จูโผล่มาอีกคน ทีเขากลับเอาแต่เรียก ‘แม่ทัพเซ่า’
แม่ทัพหนุ่มชักไม่พึงใจ
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็จับเจ้าสองคนที่เป็นหางตามหลังข้ากับนางมาหลายวันออกมาจัดการเถอะ
“เจาเจา อย่าเสียใจเลย หากเรื่องท่านอาจูไม่ใช่อุบัติเหตุ เช่นนั้นการตายของท่านต้องเกี่ยวข้องกับพวกเจ้าเมืองหลี่อย่างหนีไม่พ้น ช้าเร็วพวกเราก็ต้องจัดการคนพวกนี้มิใช่หรือ”
เฉียวเจาพยักหน้า
เซ่าหมิงยวนลอบพิศดูเสี้ยวหน้าด้านข้างของนาง ในใจคิดคำนึงอย่างขัดเคืองพอดู พี่จูผู้นั้นเป็นสหายสมัยวัยเยาว์กับเจาเจาใช่หรือไม่
ส่วนสหายของเขาไม่มีเด็กหญิง มีแต่เด็กชาย ซ้ำยังมีถึงสามคน…
หญิงสาวรับรู้ได้ถึงสายตาพินิจของบุรุษข้างกาย นางเบนหน้ามองเขาด้วยสายตาแกมฉงน
เซ่าหมิงยวนกระแอมกระไอเบาๆ “วันนี้จับหางที่ตามหลังออกมาเถอะ ถึงเวลาทำให้ฝ่ายนั้นร้อนใจสักหน่อยแล้ว”
สหายเก่าของสกุลเฉียวก็เยี่ยมคารวะจนครบหมดแล้ว นอกจากสมุดบัญชีจากเบาะแสที่ได้จากสกุลเซี่ยเล่มนั้นก็ไม่พบอะไรที่เป็นประโยชน์จากสกุลอื่นๆ เลย ฉะนั้นถึงเวลาที่พวกเขาต้องพลิกจากฝ่ายรับเป็นฝ่ายรุกแล้ว
ถนนในชนบทมีคนผ่านไปผ่านมาบางตา ต้นไม้สองข้างทางสูงใหญ่แน่นขนัด แม้นล่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วยังร่มรื่นชุ่มชื้น พฤกษชาติในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวของแดนใต้คงความเขียวชอุ่มไว้ดุจเดิม
เซ่าหมิงยวนก้มตัวลงเก็บก้อนหินสองสามก้อนขึ้นมาหมุนคลึงในมือเล่นๆ
“หางแรกอยู่หลังต้นอิ๋นซิ่ง* ซ้ายมือด้านหลังเรา” เขายื่นหน้าไปกระซิบบอกข้างหูเฉียวเจา “ส่วนหางที่สองเจ้าเล่ห์กว่า เจาเจาเดาได้หรือไม่ว่าตอนนี้เขาซ่อนตัวอยู่ที่ใด”
ริมใบหูมีเสียงแผ่วเบาของบุรุษคละเคล้าเสียงซู่ซ่าของใบไม้ต้องลม เฉียวเจาหลับตาลงอึดใจหนึ่งก็บังเกิดปฏิภาณโดยพลัน “บนต้นไม้?”
เซ่าหมิงยวนอมยิ้มพลางพยักหน้า เจาเจาของเขาฉลาดน่ารักดังคาด
นางชะงักฝีเท้า “เจ้าหางนั่นอยู่บนต้นไม้ นี่มิแสดงว่าเขาดักซุ่มอยู่ตรงนั้นแต่แรกหรือไร หรือว่าเขาตั้งใจจะจัดการพวกเราวันนี้”
เซ่าหมิงยวนยกยิ้มอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ “วันนี้พวกเราอยู่ในเรือนสกุลจูเป็นเวลานานไปบ้าง นานกว่าไปที่เรือนสกุลอื่นๆ อยู่มาก สงสัยว่าคนบางคนจะเป็นวัวสันหลังหวะ คิดจะชิงลงมือก่อน”
เขากล่าวถึงตรงนี้แล้วสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นปึ่งชา ดวงตาทอแววเย็นเยียบราวกับฉาบด้วยน้ำค้างแข็ง เขาพูดกลั้วเสียงหัวร่อในลำคอ “คงรู้สึกว่าข้ากวนจวินโหวผู้นี้ไม่สมคำเล่าลือกระมัง เจาเจา คอยดูนะ ข้าจะจับหางสองตัวนั่นออกมาให้เจ้าเอง”
เฉียวเจาฟังแล้วอมยิ้มน้อยๆ “แม่ทัพเซ่าช่างพูดได้อย่างง่ายดายนัก ทำให้ข้านึกถึงเรื่องสมัยเด็กๆ”
“หือ?”
“ตอนนั้นท่านอาจูจะพาพี่จูมาเล่นที่สวนซิ่งจื่อบ่อยๆ พี่จูชอบที่ใช้ไม้ง่ามยิงนกกระจอกก็มักพูดอย่างนี้เสมอ”
แม่ทัพหนุ่มทำหน้าตึง “อือ อย่างนั้นหรือ”
ยิงนกกระจอก?
นี่มีอันใดน่าโอ้อวดต่อหน้าดรุณีน้อย ยิงนกกระจอกได้แล้วยังเอามาย่างกินเพื่อประจบเอาใจนางด้วยใช่หรือไม่
เซ่าหมิงยวนแน่ใจเป็นคำรบที่สองว่าเขาไม่ชอบพี่จูผู้นั้นแม้แต่น้อยนิด!
แม่ทัพหนุ่มนึกอิจฉาริษยาอยู่ในใจ เขายกมือดีดหินก้อนหนึ่งไปทางซ้ายมือด้านหลังเต็มแรง
พอเสียงร้องโอดโอยดังขึ้น เขาซัดก้อนหินในมือทั้งหมดไปบนต้นไม้เบื้องหน้าไม่ไกลด้วยสีหน้านิ่งสนิท
หินหลายก้อนนั้นลอยพุ่งไปไม่พร้อมกันดูเหมือนขว้างออกมาตามใจชอบ ทว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้กลับตื่นตกใจเมื่อพบว่าพวกมันล้วนเล็งตามจุดอ่อนร้ายแรงบนตัวเขา เขาคิดจะหลบหลีกก็ต้องกระโดดลงจากต้นไม้เผยตัวออกมา
ท่าทีโต้ตอบของยอดฝีมือเกิดขึ้นในชั่วลัดนิ้วมือ คนผู้นั้นตัดสินใจอย่างฉับไว กระโดดลงจากเหนือยอดไม้ทิ้งตัวลงตรงหน้าเฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนพอดี
“เจาเจา อยู่เฉยๆ” เซ่าหมิงยวนกล่าวคำนี้ทิ้งท้ายไว้ก่อนชักดาบยาวตรงเอวออกมา ประกายดาบคมกริบโอบล้อมอีกฝ่ายไว้ในพริบตา
ทั้งคู่เริ่มต่อสู้กันพัลวัน
ผู้คนประปรายตามถนนเห็นแล้วรีบหลบไปอยู่ไกลๆ หวาดหวั่นสุดใจว่าเภทภัยจะมาเยือนตนเอง
ส่วนเรื่องแจ้งทางการ? อย่าล้อเล่น ดูจากฝีมือของคนพวกนี้ ต่อให้เจ้าหน้าที่ในที่ว่าการพวกนั้นมาแล้วก็เปล่าประโยชน์ ดีไม่ดียังจะกล่าวโทษว่าคนที่แจ้งทางการยุ่งไม่เข้าเรื่องอีกด้วย
คนบนถนนหนีไปกันหมดแล้ว เหลือเฉียวเจายืนมองคนสองคนที่สู้กันอย่างดุเดือดอยู่ไม่ไกล มือที่ห้อยลงข้างลำตัวของนางกำแน่นโดยไม่รู้ตัว
เป็นคนในภาพวาด!
นี่ก็คือฆาตกรที่สังหารคนในครอบครัวนาง
ร่างกายที่แข็งเกร็งของเฉียวเจาสั่นระริกละม้ายใบไม้ร่วงปลิวใบหนึ่ง
คนผู้นี้ปรากฏตัวในที่สุด เขาประมือกับเซ่าหมิงยวนแล้วดูท่าทางไม่ตกเป็นรองเลยทีเดียว
เป็นคราครั้งแรกที่นางเห็นคนที่มีฝีมือเชิงยุทธ์ทัดเทียมเซ่าหมิงยวนได้
วรยุทธ์ของคนผู้นี้สูงส่งกว่าที่นางคิดไว้ทีแรก เจ้าเมืองผู้หนึ่งมียอดฝีมือชั้นนี้อยู่ข้างกายเป็นเรื่องน่าประหลาดใจดีแท้
สายตาที่มองไปทางชายหนุ่มของเฉียวเจาฉายแววห่วงใยโดยไม่เก็บงำ
ถึงแม้นางเชื่อว่าบุรุษผู้นั้นต้องไม่เป็นอะไร แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้
สติอาจควบคุมอารมณ์ได้ แต่ทำให้ความเป็นห่วงหายไปไม่ได้
แม่นางเฉียวคิดคำนึงว่านี่ก็คือพะวักพะวนจนเสียการกระมัง
เสียงความเคลื่อนไหวแผ่วเบาดังลอยมา นางหันไปมองต้นเสียง เห็นสายสืบที่โดนเซ่าหมิงยวนดีดหินใส่จนหมอบอยู่บนพื้นก่อนหน้านี้ค่อยๆ คืบคลานห่างไปอีกทางทีละนิดๆ ทิ้งรอยเลือดไว้เป็นทางอยู่ด้านหลัง
เฉียวเจาหรี่ตาลง บาดเจ็บถึงเพียงนี้แล้วยังคิดจะหลบหนีอีกหรือ
นางหันไปมองชายหนุ่มแวบหนึ่ง เวลานี้อย่าทำให้เขาว่อกแว่กจะดีกว่า นางยังจัดการกับบุรุษเจ็บหนักผู้หนึ่งได้ไหว
แม่นางเฉียวเหลียวมองรอบด้านก่อนจะหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมา จากนั้นยกชายกระโปรงเดินหลบรอยเลือดบนพื้นแล้วสาวเท้าเร็วรี่ไปหาสายสืบที่กำลังหนีเอาชีวิตรอด
“โปรดรอสักครู่เจ้าค่ะ” แม่นางเฉียวร้องเรียก
สุ้มเสียงของเด็กสาวอ่อนหวานนุ่มนวลคลับคล้ายลมวสันต์เจือกลิ่นดอกไม้ในเดือนสาม
สายสืบที่บาดเจ็บสาหัสเหลียวหลังโดยไม่ทันคิด
แม่นางเฉียวเงื้อมือเอาก้อนหินทุบศีรษะคนผู้นั้นอย่างใจเย็น
พอเห็นเขาล้มฟุบแน่นิ่งไปอยู่ตรงปลายเท้า เฉียวเจาระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง หมุนกายไปด้วยสีหน้าเฉยเมย
เซ่าหมิงยวนซึ่งต่อสู้กับหลิวหู่อยู่ดูเหมือนจดจ่อเต็มที่ แท้จริงแล้วเขาแบ่งสมาธิหลายส่วนคอยจับสังเกตเฉียวเจาอยู่ตลอด
เขามั่นใจว่าหางแรกที่โดนเขาเล่นงานไปถ้าไม่ตายก็อาการร่อแร่ ไม่มีทางทำอันตรายเฉียวเจาได้ แต่คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวที่สงบเสงี่ยมผู้นั้นจู่ๆ จะเดินเข้าไปเอาหินทุบศีรษะสายสืบที่คิดหลบหนีจนสลบเหมือด
นึกถึงท่าทางที่นางใช้ก้อนหินทุบศีรษะคนแล้วค่อยมองดูสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ของนางในขณะนี้ เซ่าหมิงยวนยกมุมปากโค้งขึ้น เขาพลันเอี้ยวกายทำทีเปิดช่องโหว่แล้วจู่โจมจับตัวหลิวหู่ไว้ได้ในกระบวนท่าเดียว
เขาเงื้อดาบฟันเส้นเอ็นข้อมือของอีกฝ่ายจนขาดสะบั้นเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยดึงกรามให้หลุดออกทันที
เฉียวเจาเดินด้วยฝีเท้าเป็นจังหวะไปตรงหน้าเซ่าหมิงยวน สายตาที่จ้องมองหลิวหู่เย็นชาดุจน้ำแข็ง
เมื่อครั้งที่คนผู้นี้ติดตามเจ้าเมืองหลี่ไปเยี่ยมคารวะท่านปู่ของนาง เขาเงียบขรึมไม่ช่างพูดเหมือนไม่มีตัวตนอยู่สักนิดเฉกเช่นองครักษ์ผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์
ในสกุลเฉียวมีจำนวนคนไม่มาก ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันตามสบาย ตอนนั้นอาหารที่ท่านย่าตระเตรียมให้คนผู้นี้ไม่ด้อยไปกว่าโต๊ะใหญ่ สาวใช้อาวุโสข้างกายของท่านย่าเห็นเขากินอย่างเอร็ดอร่อยยังยกข้าวมาให้อีกหลายชามเป็นพิเศษ
ยามที่คนผู้นี้ลงมือสังหารบิดามารดาและญาติพี่น้องของนางเคยคิดถึงสิ่งเหล่านี้หรือไม่
ย่อมไม่ได้คิดเป็นธรรมดา เดรัจฉานที่สูญสิ้นความเป็นมนุษย์ไปแล้วจะมีเวลาจดจำว่าตนเองเป็นคนได้อย่างไรเล่า
เมื่อเห็นสีหน้าของเฉียวเจาผิดปกติไป เซ่าหมิงยวนตบแขนนางเบาๆ “เจาเจา มีเรื่องอะไรกลับไปค่อยว่ากัน”
นางดึงความคิดคืนมาแล้วพยักหน้าแรงๆ
ในเมื่ออดทนมาได้ตั้งนานปานนี้ นางย่อมรอต่อไปไหวแน่นอน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.