บทที่ 431
เซ่าหมิงยวนฟังคำกล่าวของเฉียวเจาแล้วพยักหน้าคล้อยตาม “ใช่ โลกเราก็เป็นไปเช่นนี้เอง ไม่ว่าทิศเหนือทิศใต้ล้วนไม่ต่างกัน”
ในแดนเหนือชีวิตคนไร้ค่าดุจมดปลวก แต่คนที่เคราะห์ร้ายก่อนใครมักเป็นสตรีอยู่ดี เขาพบเห็นมามากเหลือเกิน
เจาเจาเป็นห่วงเรื่องนี้หรือ
แม่ทัพหนุ่มพิศดูสีหน้าสงบนิ่งของเด็กสาวแล้วความคิดนี้ก็สว่างวาบขึ้นในหัวอย่างถูกจังหวะ เขายื่นมือไปกุมมือนางอย่างอดใจไม่อยู่พลางกล่าวเสียงเบา “เจาเจาไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้นะ อย่าว่าแต่เจ้าไม่มีทางทำผิด ต่อให้ทำผิดจริงๆ ไม่ว่าเป็นความผิดร้ายแรงเพียงใด ผลที่ตามมาล้วนให้ข้าแบกรับไว้เองดีหรือไม่”
เฉียวเจาเบิกตากว้างขึ้นหลายส่วน
เจ้าคนไร้ยางอายน่าชังผู้นี้ เผลอตัวทีไรเป็นต้องโดนเขาจับมือทุกที ทั้งนับวันก็ยิ่งเชี่ยวชาญช่ำชองขึ้นทุกที
กระนั้นถ้อยคำนั้นของเขาก็น่าประทับใจจริงๆ ละม้ายขนนกสีขาวสะอาดเบาพลิ้วเส้นหนึ่งสะกิดตรงหัวใจแม่นางเฉียวซ้ำๆ ทำให้จิตใจที่นิ่งสนิทดั่งผิวบ่อน้ำโบราณเกิดรอยกระเพื่อมไหวเป็นระลอก
เซ่าหมิงยวนรู้จักหยอดคำหวานพร่ำเพรื่อได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องให้ใครสอนตั้งแต่เมื่อไร
เสียงฝีเท้าดังลอยมา เฉียวเจาดึงมือคืนทันที
ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงเดินเข้ามา
สายตาของฉือชั่นตวัดผ่านสองแก้มแดงระเรื่อของเด็กสาวปราดหนึ่ง เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “แผนการต่อจากนี้คืออะไร จะไปเสาะหาตัวยาก่อนหรือว่าไปที่อาณาเขตของสิงอู่หยางก่อน”
“ไปเสาะหาตัวยาก่อน”
เซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจาตอบเป็นเสียงเดียวกัน พอกล่าวจบทั้งสองประสานสายตากัน
เซ่าหมิงยวนยกมุมปากโค้งขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เขานึกในใจว่า เจาเจากับข้าใจตรงกันเช่นนี้ เห็นได้ว่าชะตาลิขิตให้เป็นภรรยาของข้า
ฝ่ายเฉียวเจากลับเก้อกระดากอยู่บ้าง นางเบนสายตาไปทางอื่นเงียบๆ
ฉือชั่นแค่นเสียงพูดอย่างเหลืออด “พวกเจ้าสองคน พอได้แล้วนะ”
แม้เขาจะวางมือแล้วแต่ยังคับอกคับใจอยู่ สองคนนี้โดยเฉพาะเจ้าคนบัดซบเซ่าหมิงยวน เห็นเขาเป็นคนตายหรือไร
ขอให้เจ้าคนแซ่เซ่าไร้คู่ไปตลอดชาติ!
เมื่ออยู่ต่อหน้าฉือชั่น เซ่าหมิงยวนย่อมสำรวมตนขึ้นบ้าง เขากล่าวอธิบายว่า “ภารกิจในการเดินทางลงใต้ครั้งนี้ของเจาเจาเดิมทีก็คือเสาะหาตัวยา พวกเราเสียเวลาอยู่ในจยาเฟิงตั้งนานถึงเพียงนี้ หากไปที่ถิ่นของสิงอู่หยางอีก จะทูลอธิบายต่อไทเฮาไม่ง่ายดาย…”
ฉือชั่นตัดบทเขา “ทางไทเฮานั่นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง มีข้ากับหยางเอ้อร์”
เขากับหยางเอ้อร์ไม่ว่าคนใดล้วนมีน้ำหนักในพระทัยของไทเฮามากกว่าองค์หญิงเก้า มีพวกเขาอยู่ ไทเฮาย่อมต้องไม่ตำหนิโทษเพราะเสียเวลาไปเล็กน้อย
เซ่าหมิงยวนยกยิ้ม “ถึงจะรับหน้าทางไทเฮาได้ แต่เกรงว่าองครักษ์จินอู๋พวกนั้นคงไม่ร่วมด้วยแล้ว”
หยางโฮ่วเฉิงได้ยินแล้วเตะราวรั้วเรือทีหนึ่งด้วยความหงุดหงิด “นั่นน่ะสิ เจ้าพวกนั้นมาคร่ำครวญกับข้าตั้งหลายครั้งแล้ว บอกว่าอันตรายเกินไป พวกเขาจะกลับบ้าน มารดามันเถอะ มีแต่พวกตาขาว!”
“นี่จะโทษพวกเขาก็ไม่ได้ เดิมทีพวกเขาไม่สมควรเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่จยาเฟิงคราวนี้ ว่าไปแล้วพวกเขาก็พลอยเดือดร้อนไปด้วยอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ จะถอดใจก็เป็นธรรมดาของปุถุชน”
หยางโฮ่วเฉิงกะพริบตาปริบๆ “ถิงเฉวียน ข้าเห็นองครักษ์ของเจ้าแต่ละคนล้วนไม่กลัวตาย ตอนเจ้านำทัพอยู่แดนเหนือ ก็เชื่อฟังคำสั่งเช่นนี้กันทุกคน ไม่มีทหารหนีทัพเลยหรือ”
เซ่าหมิงยวนอมยิ้มน้อยๆ “รักชีวิตเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ ไหนเลยจะไม่มีทหารหนีทัพเล่า”
“เช่นนั้นเจ้าอบรมสั่งสอนเช่นไรหรือ” หยางโฮ่วเฉิงขอคำชี้แนะอย่างถ่อมตน
เขาอยู่ในกององครักษ์จินอู๋อาจมีตำแหน่งไม่สูงไม่ต่ำ แต่ก็นับเป็นหัวหน้าหน่วยเล็กๆ ผู้หนึ่ง มีคนเหลือขออยู่ใต้อาณัติโขยงหนึ่ง จะด่าทอทุบตีก็ไม่ได้ พอได้รับพระบัญชาออกมาต่างเมืองยังต้องคอยเอาใจเจ้าลูกเต่าพวกนั้นอีก เป็นหัวหน้าหน่วยเช่นนี้ก็น่าคับอกคับใจนัก!
เซ่าหมิงยวนมองสหายแต่วัยเยาว์ที่มองตนตาเขม็งแล้วกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ไม่ต้องอบรมสั่งสอน มีคนหนีทัพกลางสมรภูมิก็ฆ่าทิ้งเซ่นธงรบเป็นอันสิ้นเรื่อง”
รอยยิ้มตรงมุมปากของหยางโฮ่วเฉิงนิ่งค้างไป วิธีนี้ทำไม่ได้จริงๆ ขืนฆ่าเจ้าผู้ใต้บังคับบัญชาบังเกิดเกล้าพวกนั้นทิ้งสักคน เขาก็ต้องหัวปั่นแล้ว
“ดังนั้นถึงบอกว่าไปสนามรบถึงจะสาแก่ใจ!”
“หยางเอ้อร์ เจ้าถอดใจเถอะ ถิงเฉวียนไม่มีทางพาเจ้าไปสนามรบ” ฉือชั่นกล่าวเสียงเย็นๆ
“เหตุใดจะไม่ได้”
“เพราะท่านพ่อท่านแม่ของเจ้ามีเจ้าเป็นบุตรชายคนเดียว หากถิงเฉวียนพาเจ้าไปสนามรบ พวกเขาต้องไปพังจวนกวนจวินโหวแน่”
หยางโฮ่วเฉิงถอนหายใจแรงๆ เฮือกหนึ่ง
“สือซี ฉงซาน พวกเราไปเสาะหาตัวยากันก่อน เมื่อสะสางเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วพวกเจ้าก็พากององครักษ์จินอู๋ออกจากเขตชายทะเลกลับมารอพวกข้าที่จยาเฟิงก่อน”
“รอพวกเจ้า?” ดวงตาของฉือชั่นทอแววเครียด
หยางโฮ่วเฉิงเกาท้ายทอย “นั่นน่ะสิ ถิงเฉวียน นี่เจ้าหมายความว่าอะไร”
เซ่าหมิงยวนมองเฉียวเจาแวบหนึ่งก่อนกล่าวอธิบาย “ข้ากับเจาเจาคาดคะเนว่าทางสิงอู่หยางไม่ใคร่ชอบมาพากล พวกเจ้าอย่าเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้จะดีกว่า สิงอู่หยางไม่เหมือนกับเจ้าเมืองหลี่ที่เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น จะสร้างความวุ่นวายปานใดก็ก่อคลื่นลมไม่ได้มากเท่าไร ทว่าสิงอู่หยางผิดแผกออกไป เขาเป็นแม่ทัพใหญ่ที่กุมกำลังทหารจำนวนมากไว้ในมือ เขาครองอำนาจในดินแดนชายทะเลมานานปี ปะทะกันซึ่งๆ หน้าไม่ต่างกับเอาไข่กระทบหิน”
“ถึงอย่างนั้นพวกข้าก็ปล่อยให้พวกเจ้าสองคนเสี่ยงอันตรายไม่ได้” หยางโฮ่วเฉิงส่ายหน้าเป็นพัลวัน “พวกข้าหลบอยู่ในที่ปลอดภัยมองดูพวกเจ้าบุกเข้าถ้ำเสือแดนมังกร พวกข้าจะกลายเป็นคนจำพวกใดกัน”
“พี่หยาง นี่มิใช่เวลาพูดถึงคุณธรรมน้ำใจระหว่างพี่น้อง เรื่องที่พวกเราก่อขึ้นในจยาเฟิงมิใช่เล็กๆ คงต้องแพร่ไปถึงเมืองหลวงแล้ว ทางเมืองหลวงคงส่งข่าวเตือนให้สิงอู่หยางระวังตัวมากขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราเสาะหาตัวยาเสร็จก็เข้าไปในอาณาเขตของเขากะทันหัน เกรงว่ายังไม่ทันได้ทำอะไรคงโดนเขาเล่นงานแล้ว แต่พวกข้าไปแค่สองคนเป้าหมายจะเล็กกว่ามาก กลับกระทำการได้สะดวกเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาพูดจนหยางโฮ่วเฉิงอับจนวาจา
ฉือชั่นถามโพล่งขึ้น “ในเมื่อทางสิงอู่หยางนั่นมีอันตรายมากมาย ถิงเฉวียน เจ้าจะรับรองความปลอดภัยของหลีซานได้หรือ”
เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วยิ้มๆ “ข้าย่อมจะปกป้องนางให้ปลอดภัยเป็นธรรมดา”
เข้าถ้ำเสือแดนมังกร มีคนมากเขาอาจจะดูแลไม่ทั่วถึง หากมีเจาเจาคนเดียว เขาไม่มีทางปล่อยให้ใครทำร้ายนางแม้แต่ปลายเส้นผม
“หวังว่าเจ้าจะทำได้อย่างที่เจ้าพูดในวันนี้” ฉือชั่นกล่าวเสียงเรียบ
เรือแล่นไปได้หลายวัน ผืนน้ำกว้างขวางขึ้นทีละน้อย
เมื่อเรือจอดเทียบท่าที่เมืองเล็กๆ ริมทะเล ทุกคนเริ่มตระเตรียมสิ่งของสำหรับออกทะเล ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจหยุดจัดขบวนเดินทางใหม่และพักผ่อนหย่อนใจวันหนึ่งที่นั่น
ตำบลนี้ไม่มีชื่อเพราะว่าเป็นจุดแวะพักของคนที่จะออกทะเลส่วนใหญ่ ผู้คนล้วนเรียกมันว่า ‘ท่าปากทะเล’
ยามกลุ่มของเฉียวเจาเข้าเมือง ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ ชอบกล ชาวบ้านที่นี่มองมาทางพวกนางด้วยสายตาผิดปกติอยู่บ้าง
ทุกคนอดชะลอฝีเท้าไม่ได้
หยางโฮ่วเฉิงพูดเสียงกระซิบกระซาบ “ที่นี่ไม่ค่อยปกติ แต่ว่าไม่ปกติตรงที่ใดก็บอกไม่ถูก ทำให้ใจคอไม่ดีจริงๆ”
เฉียวเจาลอบมองสำรวจทั้งสี่ทิศแล้วขมวดคิ้วมากขึ้นเรื่อยๆ
ตำบลนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่งจริงๆ ในเมืองมีคนเดินขวักไขว่ไปมา รูปลักษณ์และการแต่งกายล้วนมีเอกลักษณ์ของผู้คนแถบชายทะเลแดนใต้ตามที่เอ่ยถึงในบันทึกการเดินทางที่นางเคยอ่าน แล้วความรู้สึกชอบกลของทุกคนนั้นมาจากสิ่งใดกันแน่
นางลอบสังเกตคนบนถนนพวกนั้น ก็ประจักษ์ได้อย่างเฉียบไวว่าสายตาของพวกเขาล้วนจับจ้องมาที่นางทางนี้แล้วอดสะดุดใจไม่ได้
ปกติตำบลริมทะเลเช่นนี้เป็นที่ที่มีผู้คนหลายหลากประเภทปะปนกัน คนที่นี่ดูจะให้ความสนใจคนต่างถิ่นเช่นพวกนางอย่างจดจ่อเกินไป ซ้ำยังแฝงไว้ด้วยความสงสารและเห็นใจอยู่รางๆ ด้วย
สงสารและเห็นใจ?
เฉียวเจาชะงักฝีเท้า นางกระจ่างแจ้งในที่สุดว่าตรงที่ใดไม่ปกติ
บทที่ 432
เฉียวเจายื่นมือไปดึงเซ่าหมิงยวนไว้ นางลดสุ้มเสียงลงกล่าว “พี่เซ่า ข้ารู้แล้วว่าไม่ปกติตรงที่ใด”
แม่ทัพหนุ่มได้ยินคำเรียกขานว่า ‘พี่เซ่า’ ก็ใจสั่นหวิวๆ สีหน้าแววตาแต้มด้วยรอยยิ้ม “เอ๊ะ?”
มุมปากของเฉียวเจากระตุกริก นางอยากมองค้อนคนบางคน แต่ก็รู้สึกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่าท่าทางยิ้มซื่อๆ ของเขาละม้ายเจ้าสุนัขหางยาวที่ตนเคยเลี้ยงไว้ตอนอยู่ที่สวนซิ่งจื่อเมื่อหลายปีก่อนเป็นที่สุด ดูทึ่มๆ ทื่อๆ
ต่อมาเจ้าสุนัขหางยาวตัวนั้นหนีออกจากเรือนไปมิได้กลับมาอีกเลย ท่านปู่บอกว่านั่นเป็นเพราะมันถึงอายุขัยแล้วไม่อยากให้นางเห็นสภาพตอนมันจากโลกนี้ไปก็เลยแอบไปซ่อนตัว ตอนนั้นนางเสียใจมากอยู่พักหนึ่ง
เฉียวเจามองชายหนุ่มอย่างห้ามใจไม่อยู่พลางนึกในใจ หากวันหนึ่งเขาหายตัวไป นางจะเป็นอย่างไรนะ
บางทีอาจจะเศร้าใจอยู่บ้างกระมัง…
เมื่อคิดไปเช่นนี้แม่นางเฉียวก็ไม่มองค้อนเขาแล้ว นางดึงความคิดที่ลอยไปไกลคืนมาแล้วพูดเสียงค่อย “ตำบลนี้ไม่มีหญิงสาวเลย”
ไม่ต้องเอ่ยถึงที่ที่ธรรมเนียมประเพณีไม่เคร่งครัดเช่นเมืองเล็กๆ ริมทะเล ถึงเป็นบนถนนสายใหญ่ของเมืองหลวง สตรีวัยสาวที่พาสาวใช้หรือหญิงรับใช้วัยกลางคนออกมาเดินเที่ยวตลาดก็ยังมีไม่น้อย
ในตำบลนี้มีคนบนถนนไม่น้อยกลับไม่มีหญิงสาวสักคนเดียว ออกจะแปลกชอบกลเกินไปแล้วจริงๆ
เซ่าหมิงยวนกวาดตามองปราดหนึ่ง เป็นดังเช่นที่เฉียวเจากล่าวจริงๆ ผู้คนที่เดินสัญจรไปมาส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุรุษมากหน้าหลายตา นานๆ ถึงจะเห็นสตรีสักคน แต่ล้วนอยู่ในวัยสี่สิบเศษ
คนพวกนั้นก็มองพวกเขาอย่างสำรวจตรวจตราเช่นกัน ทว่าสายตาหยุดอยู่ที่ตัวเฉียวเจากับสาวใช้สองคน
อันที่จริงความผิดปกตินี้ชัดเจนพอดู เมื่อมีคนเอ่ยสะกิดเตือนก็มองเห็นได้ แต่ถ้าไม่มีใครเจาะกระดาษกรุหน้าต่างชั้นนี้ให้ขาดก็จะกลายเป็นเงามืดใต้แสงตะเกียงซึ่งยากจับสังเกตได้เสมอ
เซ่าหมิงยวนมั่นใจว่าตนเองมีความช่างสังเกตไม่เลว ทว่ายังเป็นเพราะได้ยินเฉียวเจาบอกคำนี้ถึงแจ่มแจ้งในบัดดล
แน่นอนว่านี่เกี่ยวข้องกับที่เขาไม่ให้ความสนใจไปที่ตัวสตรีอื่นเป็นอันมาก
ในใจแม่ทัพหนุ่มเริ่มตื่นตัวระวัง เขาลอบเตือนตนเองว่าวันหน้าจะให้เกิดข้อผิดพลาดเฉกนี้อีกไม่ได้ จะบุรุษหรือสตรีอะไรก็ช่าง สำหรับเขาคนในใต้หล้านี้แบ่งได้เพียงสามจำพวกคือ เจาเจา สหายรัก และคนอื่น
ทุกคนเดินไปถึงหน้าร้านสุราแห่งหนึ่ง
“เข้าไปก่อนค่อยคุยกัน” เซ่าหมิงยวนเดินนำหน้าเข้าร้าน
เมืองเล็กริมทะเลต่างจากเมืองหลวงอันเจริญรุ่งเรือง เสี่ยวเอ้อร์ในร้านสุราเล็กๆ เพียงมองดูพวกเซ่าหมิงยวนแวบหนึ่งอย่างเกียจคร้าน ปราศจากท่าทางกระวีกระวาดต้อนรับอย่างอบอุ่นดังเช่นเสี่ยวเอ้อร์ในหอสุราที่เมืองหลวง จนกระทั่งเห็นเฉียวเจากับสาวใช้สองคนถึงได้หน้าเปลี่ยนสีไปถนัดตา เขาลุกพรวดขึ้นกะทันหัน “รีบๆ ไปเสีย”
หยางโฮ่วเฉิงตบโต๊ะดังปัง แล้วแค่นเสียงกล่าว “ที่นี่เป็นร้านสุรามิใช่หรือ! มีอย่างที่ใดถึงไล่แขกตอนกลางวันเช่นนี้”
เสี่ยวเอ้อร์เพิ่งเห็นได้ถนัดตาว่ามีบุรุษเรือนกายสูงใหญ่ยืนอยู่จนเต็มร้านสุราเล็กๆ
เขาโอดครวญในใจ เรื่องยุ่งเสียแล้ว เมื่อครู่มองปราดไปเห็นเด็กสาวสามคน ไม่ทันสังเกตว่าอีกฝ่ายมีคนมากถึงเพียงนี้
ผู้ดูแลร้านได้ยินเสียงเอะอะก็วิ่งออกมา เขามองเสี่ยวเอ้อร์ตาขุ่นเขียว “ทำงานประสาอะไร”
เสี่ยวเอ้อร์ทำหน้าคับข้องหมองใจ
เขาก็ไม่อยากทำอย่างนี้ แต่เด็กสาวสามคนนี้แผ่ประกายจับตาเหมือนกับทองคำ ใครจะมองไม่เห็นตั้งแต่แวบแรกเล่า
“ลูกค้าทุกท่าน ร้านสุราของเราเล็กเกินไป พวกท่านคงนั่งกันไม่พอ มิสู้ย้ายไปร้านอื่น…”
หยางโฮ่วเฉิงขยุ้มคอเสื้อของเขา พูดเสียงกระด้าง “หยุดพล่าม พวกข้าหิวแล้ว จะกินข้าวตอนนี้เลย”
ผู้ดูแลร้านโดนเค้นคอจนตาเหลือก ยกเท้าเตะเสี่ยวเอ้อร์ที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกทีหนึ่งพร้อมกับพูดเอ็ด “ยังไม่รีบเชิญท่านลูกค้าทั้งหลายนั่งลงอีก”
ร้านสุราเล็กๆ ยังมีห้องส่วนตัวห้องหนึ่งอย่างหาได้ยาก พวกเฉียวเจาเข้าไปนั่งในนั้น ส่วนคนอื่นๆ อยู่ในโถงร้าน
เมื่อสั่งอาหารเสร็จ เสี่ยวเอ้อร์ก็ลนลานผลุบออกไป
“พวกมะพลับนิ่มพรรค์นี้พูดดีๆ ไม่ชอบ ชอบให้ใช้กำลังอย่างนี้ล่ะ”
ระหว่างที่รออาหารขึ้นโต๊ะ พวกเขาเริ่มพูดคุยถึงสิ่งที่พบเห็นเมื่อครู่นี้
“เพราะอะไรในตำบลนี้ถึงไม่มีหญิงสาวเลยนะ หรือว่าจะถือธรรมเนียมเคร่งครัดกว่าเมืองหลวง พวกหญิงสาวต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน” หยางโฮ่วเฉิงกรอกน้ำชาเข้าปากหลายคำแล้วเอ่ยขึ้นอย่างฉงนฉงาย
ฉือชั่นตวัดสายตามองเฉียวเจาก่อนกล่าวเอื่อยๆ “แทนที่จะเดาส่งเดช มิสู้ถามตรงๆ ไปเลย”
หยางโฮ่วเฉิงมองไปทางเซ่าหมิงยวน
เขาอมยิ้มกล่าวว่า “สือซีพูดถูก ถามตรงๆ ดีที่สุด ง่ายดาย ป่าเถื่อน แต่ได้ผล”
การล้วงถามคนแต่ละประเภทต้องใช้วิธีการไม่เหมือนกัน สำหรับพวกเสี่ยวเอ้อร์ในร้านสุรานี้ ถามเอาตรงๆ ดีที่สุด
ฉือชั่นตบแขนหยางโฮ่วเฉิง “หยางเอ้อร์ เรื่องนี้ต้องมอบให้เจ้าแล้ว”
“ไฉนเป็นข้าอีกแล้วเล่า เมื่อครู่ข้าก็แสร้งทำตัวเป็นอันธพาลแล้ว ตอนนี้เปลี่ยนคนอื่นบ้างไม่ได้หรือ”
“เพราะหน้าตาเจ้าเหมือนที่สุด ให้ข้าแสร้งทำต้องเปลืองแรงเพียงใดกัน”
หยางโฮ่วเฉิงหัวเราะแหะๆ “แต่ถ้าปลอมเป็นเด็กสาวล่ะก็ สือซี เจ้าเหมาะสมที่สุด”
ฉือชั่นหน้าบึ้ง อดนึกถึงเรื่องที่เคยปลอมตัวเป็นสตรีแฝงกายเข้าจวนสกุลหลีไม่ได้
ตอนนั้นไม่รู้สึกใส่ใจ แต่บัดนี้คิดๆ ดูแล้ว หรือว่าหลีซานเห็นเขาสวมอาภรณ์สตรียังดูงามกว่านางก็เลยมีปมด้อยกัน
เมื่อคิดไปอย่างนี้ฉือชั่นก็นึกเสียใจภายหลังไม่หยุด เป็นธรรมดาที่จะชักสีหน้าใส่สหายมากขึ้น
หยางโฮ่วเฉิงรู้ตัวว่าพลั้งปากก็ยิ้มเก้อๆ พอดีเสี่ยวเอ้อร์ยกสุราอาหารเข้ามา เขารอให้ทุกอย่างวางบนโต๊ะเรียบร้อยค่อยยื่นมือไปคว้าข้อมือของเสี่ยวเอ้อร์หมับ พูดอย่างดุร้ายว่า “ไปยืนชิดผนัง”
เขาเป็นคนมือหนัก เสี่ยวเอ้อร์รู้สึกเจ็บตรงข้อมือแทบขาดใจทันที ได้แต่ยืนชิดผนังอย่างว่าง่ายพลางถามเสียงละห้อย “ท่านยังมีสิ่งใดจะสั่งกำชับอีกหรือขอรับ”
“เพราะอะไรที่นี่ถึงไม่เห็นหญิงสาวเลย” หยางโฮ่วเฉิงถามตรงเข้าเรื่อง
เมื่อถ้อยคำนี้ดังขึ้นเสี่ยวเอ้อร์หน้าถอดสีกะทันหัน เขาสั่นศีรษะถี่ๆ พลางกล่าวว่า “ข้าไม่ทราบเรื่องนี้ ไม่ทราบ…”
“เกี่ยวข้องกับทางการหรือ” เซ่าหมิงยวนพลันปริปากถาม
ชาวบ้านปิดปากเงียบสนิทเฉกนี้ มีโอกาสแปดถึงเก้าในสิบส่วนว่าเรื่องราวเกี่ยวพันโยงใยไปถึงขุนนางท้องถิ่น
เสี่ยวเอ้อร์นิ่งขึงไปกับคำถามของชายหนุ่ม
เซ่าหมิงยวนวางมือลงบนโต๊ะ ตอนยกมือออกก็มีก้อนเงินเล็กๆ ก้อนหนึ่งอยู่บนนั้น เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “พวกข้าแค่ผ่านมาทางนี้ ที่สอบถามเรื่องนี้มิได้มีความหมายอื่นใด เพราะพบว่าที่นี่ไม่มีหญิงสาว ถึงได้เป็นห่วงความปลอดภัยของคู่หมั้นข้าแต่เพียงประการเดียวเท่านั้น หวังว่าพี่ชายจะไขความกระจ่างให้พวกข้าด้วย เจ้าพูดแล้วก็ผ่านไป พวกข้าฟังแล้วก็ผ่านไป มีเพียงเท่านี้”
คู่หมั้น?
มุมปากของฉือชั่นกระดกขึ้น หยางโฮ่วเฉิงรีบเตะเขาอยู่ใต้โต๊ะด้วยความตกใจ
คุณชายฉือขอรับ ถอนตัวแล้วก็อย่าสร้างปัญหาขึ้นอีก คู่หมั้นก็คู่หมั้นสิ คุณหนูหลียังไม่คัดค้านเลยนะ ถามให้รู้เรื่องรู้ราวก่อนเป็นสำคัญ
ฉือชั่นเม้มมุมปาก
ข้าแค่ประหลาดใจในความหน้าหนาของเซ่าหมิงยวน เรื่องอะไรหยางเอ้อร์ต้องเตะข้าด้วย เจ้าลูกเต่าบัดซบ!
แม่นางเฉียวซึ่งหยางโฮ่วเฉิงนึกว่าไม่คัดค้านสักนิดลอบกำมือเป็นหมัดแน่น
ช่างเถิด เรื่องงานสำคัญกว่า
ถ้อยคำของเซ่าหมิงยวนทำให้เสี่ยวเอ้อร์ลังเลใจครู่หนึ่ง เขาเหลียวซ้ายแลขวาก่อนลดสุ้มเสียงลงกล่าว “เช่นนั้นข้าน้อยขอบอกตามตรง ที่ในตำบลนี้ของพวกข้าไม่มีหญิงสาว ไม่ใช่เพราะพวกนางล้วนเก็บตัวอยู่ในเรือนไม่ออกมาข้างนอก แต่ถูกทางการส่งไปให้ชาววอโค่วน่ะสิ”
คำกล่าวนี้สร้างความตกอกตกใจให้ทุกคนยกใหญ่
ขุนนางท้องถิ่นส่งหญิงสาวไปให้ชาววอโค่วหรือ!
เสี่ยวเอ้อร์ยกมือปาดน้ำตา “สองปีก่อนยังดีๆ อยู่ ต่อมาชาววอโค่วนับวันยิ่งมาถี่ขึ้นทุกที เพื่อรักษาความสงบสุขไว้ชั่วคราว ทางการจะคัดเลือกหญิงสาวหลายคนในตำบลส่งไปให้ชาววอโค่วเป็นระยะๆ นานวันเข้า พวกหญิงสาวที่ตายก็ตายไปที่หนีก็หนีไป ไหนเลยจะมีให้เห็นเล่าขอรับ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.