บทที่ 757
พระราชวังซึ่งถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาวลดทอนความขรึมขลังในยามปกติไม่น้อย ทำให้แลดูงดงามบรรเจิดเพิ่มขึ้นหลายส่วน
เฉียวเจาเดินอยู่ข้างๆ ไหลสี่โดยไม่เหลียวซ้ายแลขวา ตอนก้าวเข้าประตูวังหนาหนักนางได้พบกับคนผู้หนึ่งที่กำลังเดินมาจากอีกทาง
“ถวายพระพรองค์หญิงเนื่องในโอกาสวันตรุษเพคะ” เฉียวเจาส่งเสียงทักทายองค์หญิงแปด
องค์หญิงแปดในชุดราชสำนักสีแดงอ่อนพบกับเฉียวเจาในเวลานี้แล้วก็ไม่กล้าวางอำนาจ นางสะกดความไม่พึงใจไว้ ทักทายกลับตามตามมารยาท “สุขสันต์วันตรุษฮูหยินท่านโหว”
นางมองไหลสี่ปราดหนึ่งแล้วไต่ถาม “เสด็จย่าทรงเรียกฮูหยินท่านโหวเข้าเฝ้าหรือ”
ไหลสี่เอ่ยตอบ “พ่ะย่ะค่ะ องค์ไทเฮาทรงรอคอยอยู่”
องค์หญิงแปดถอยไปด้านข้าง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “เดิมทีตั้งใจจะไปถวายพระพรเสด็จย่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ประเดี๋ยวข้าค่อยไปภายหลังจะดีกว่า”
นางยืนนิ่งอยู่ที่เดิมมองเฉียวเจาเดินห่างไปแล้วหุบยิ้ม สายตาแปรเปลี่ยนเย็นชา
ฮูหยินของกวนจวินโหว ฟังแล้วน่าเกรงขามเสียจริงเชียวนะ
ทั้งที่เสด็จพ่อทรงมีพระประสงค์จะรับกวนจวินโหวเป็นราชบุตรเขยแท้ๆ…
องค์หญิงแปดคิดถึงตรงนี้ก็โกรธแค้นเจียนกระอัก
ปีนี้ผ่านไปนางก็ย่างวัยสิบเก้าแล้ว จนบัดนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้อภิเษกสมรสแต่อย่างใด
นางไม่เหมือนกับน้องเก้าที่มีพระมารดาคอยเป็นห่วง ซ้ำยังเป็นที่โปรดปรานของเสด็จย่า ขณะที่องค์หญิงอย่างนางนี้ถ้ามิใช่เสด็จพ่อยังนึกถึงเป็นบางครั้งบางครา ไม่รู้ว่าจะต้องจมปลักอยู่ในวังหลวงแห่งนี้ไปอีกนานเพียงใด
องค์หญิงแปดยิ่งคิดยิ่งชิงชัง นางทอดสายตาไกลๆ ไปทางตำหนักฉือหนิงก่อนจะหมุนกายจากไป
“ไทเฮา ฮูหยินของกวนจวินโหวมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ไหลสี่ยืนรายงานอยู่ด้านนอก
สุ้มเสียงทุ้มต่ำดังลอดม่านโปร่งออกมา “เชิญฮูหยินท่านโหวเข้ามา”
“เชิญขอรับ ฮูหยินท่านโหว”
เฉียวเจาย่างเท้าเข้าไป ท่ามกลางกลิ่นเครื่องหอมอบอวลนางเหลือบเห็นหยางไทเฮามองมาด้วยสายตาลึกล้ำ นางยอบกายแสดงคารวะพลางเอ่ย “ถวายพระพรไทเฮาเพคะ”
“หลีฮูหยินนั่งสิ”
ไหลสี่ยกม้านั่งมาวางข้างๆ เฉียวเจา
นางนั่งลงตามคำบอกอย่างว่าง่าย
หยางไทเฮาพิศดูอีกฝ่าย
ใบหน้าของสตรีตรงหน้ายังไม่สลัดเค้าวัยเยาว์ นางมุ่นผมเป็นมวยโหนอาชา สวมต่างหูไข่มุกสีชมพูขนาดเท่าเม็ดบัวทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ทว่าถึงที่สุดแล้วนางก็ยังอายุน้อยเหลือเกิน
ชั่วอึดใจหนึ่งหยางไทเฮาชักไม่มั่นใจกับความคิดนั้น แต่นางหว่านล้อมตนเองอย่างรวดเร็ว เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หรือว่ายังมีหนทางที่ดีกว่านี้อีกอย่างนั้นหรือ
“หลีฮูหยิน ฉางหรงตั้งครรภ์ เจ้ารู้แล้วกระมัง”
เฉียวเจาประหลาดใจน้อยๆ นางคาดไม่ถึงว่าไทเฮาจะถามอย่างเปิดอกเพียงนี้ แต่เมื่อคิดอีกทีก็กระจ่างแจ้งแล้ว
หากไทเฮาถามอ้อมๆ นางก็ทำบ่ายเบี่ยงเฉไฉได้เป็นธรรมดา แต่พอถามตรงๆ เช่นนี้นางแกล้งไขสืออีกก็ไม่เป็นการดีแล้ว
“หลีฮูหยินได้ร่ำเรียนวิชาจากหมอเทวดาหลี่ ข้าก็รู้ว่าต้องไม่ผิดเป็นแน่ มิน่าตอนนั้นหมอตั้งมากมายหลายคนล้วนตรวจไม่ออกว่านายหญิงรองของจวนสกุลหลีตั้งครรภ์ หลีฮูหยินกลับมีสายตาแหลมคมนัก”
“ไทเฮาตรัสชมเกินไปแล้วเพคะ”
ก่อนเรียกตัวนางเข้าวังไทเฮาสืบถามมาอย่างแจ่มแจ้งแล้ว หากเมื่อครู่นางปฏิเสธว่าไม่รู้ ตอนนี้คงต้องอับอายแล้ว
“ข้าจะไม่พูดให้มากความ วันนี้ที่เรียกหลีฮูหยินมาที่นี่ก็อยากขอให้เจ้าไปวังองค์หญิงใหญ่สักครา”
เฉียวเจารับฟังด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“หลีฮูหยินควรรู้ว่าจะเก็บเด็กในครรภ์ของฉางหรงไว้ไม่ได้ แต่ข้าส่งแพทย์หลวงไปตรวจดูแล้วกลับพบว่าครรภ์ของนางไม่ปกติ ถ้าขับออกเกรงจะเป็นเหตุให้ตกเลือดเป็นอันตรายต่อชีวิต…” หยางไทเฮากล่าวไปสังเกตสีหน้าของเฉียวเจาไป เห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าเรียบเฉยไม่เผยอารมณ์ใดถึงเอ่ยต่อไปว่า “ฉะนั้นข้าได้แต่ต้องขอร้องหลีฮูหยินแล้ว”
เฉียวเจารีบกล่าวขึ้น “ไทเฮาทรงทำให้หม่อมฉันอายุสั้นแล้ว ได้แบ่งเบาความกังวลพระทัยเป็นเกียรติของหม่อมฉัน ไหนเลยจะอาจเอื้อมให้พระองค์ ‘ขอร้อง’ เพคะ”
ไทเฮาอึ้งงันไป การสนทนาดำเนินไปทิศทางนี้ออกจะผิดจากที่คาดไว้บ้างใช่หรือไม่ จากเรื่องราวที่นางสืบถามมาได้พวกนั้นฮูหยินของกวนจวินโหวผู้นี้ไม่ใช่พวกอ่อนแอไม่สู้คนอันใด
เฉียวเจานั่งอยู่อย่างสุภาพเรียบร้อย ทว่ามุมปากยกโค้งขึ้นเล็กน้อย
ท่านปู่เป็นคนอบรมสั่งสอนนางตั้งแต่เล็กจนโต แต่ขณะเดียวกันก็ได้ท่านย่าซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์บ่มเพาะขัดเกลา มาตรว่านางไม่แยแสธรรมเนียมพวกนั้น แต่ไม่มีทางให้ใครอ้างคำว่าไม่รู้ธรรมเนียมมาบีบเค้นนางได้
“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนหลีฮูหยินไปที่นั่นสักครั้ง”
“ไทเฮาทรงมีพระประสงค์ให้หม่อมฉัน…”
สีหน้าของหยางไทเฮาฉายแววปึ่งชากะทันหัน “จะเก็บเด็กผู้นั้นไว้ไม่ได้เด็ดขาด แต่จะให้กระทบกระเทือนร่างกายของฉางหรงไม่ได้ด้วยเช่นกัน”
เฉียวเจาลอบขบขัน เรียกร้องมากถึงเพียงนี้ เห็นข้าเป็นเทพเซียนบนสวรรค์หรืออย่างไร
“หม่อมฉันขอไปตรวจพระอาการก่อนเพคะ”
“ไหลสี่ ไปที่วังองค์หญิงใหญ่เป็นเพื่อนฮูหยินท่านโหว”
เฉียวเจากล่าวอำลาหยางไทเฮาแล้วไปที่วังองค์หญิงใหญ่ฉางหรงพร้อมกับไหลสี่ทันที
สิงโตหินหน้าประตูวังผ่านการชำระล้างด้วยฝนกับหิมะมาติดๆ กันหลายวันจนดูเปล่งประกายสดใสเป็นพิเศษ แผ่นหลังผอมบางของคนผู้หนึ่งกำลังเกาะตัวสิงโตอาเจียนไม่หยุด
เถาเซิงที่อยู่ด้านข้างลนลานทำอะไรไม่ถูก “คุณชาย เราเข้าไปอาเจียนด้านในเถอะ ท่านอาเจียนรดใส่หน้าสิงโตแล้วขอรับ”
“ชิ้วๆ ไปไกลๆ ข้ามิได้อาเจียนใส่หน้าเจ้าสักหน่อย” ฉือชั่นไล่เด็กรับใช้เหมือนเป็นแมลงวัน จากนั้นอ้าปากอาเจียนลมต่อแต่ไม่มีแม้แต่น้ำย่อยในท้องออกมาแล้ว
“คุณชาย ฮูหยินของท่านโหวมาขอรับ”
“ฮูหยินท่านโหวอะไรกัน เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
“โธ่ คุณชาย ก็ฮูหยินของกวนจวินโหว คุณหนูหลีซานขอรับ” เถาเซิงเน้นเสียงหนักอย่างห้ามไม่อยู่
แม้ว่าคุณชายของเขาจะตัดใจได้อย่างเด็ดขาดหลังคุณหนูหลีซานกับกวนจวินโหวเป็นคู่รักกัน แต่ในฐานะบุรุษเหมือนกันเขารู้ดีว่ายามอยู่ต่อหน้าหญิงสาวที่เคยชมชอบ ยังต้องรักษาภาพของตนเองในสายตาอีกฝ่ายไว้เล็กๆ น้อยๆ
“หลีซาน…” ฉือชั่นได้ยินสองพยางค์นี้แล้วยืดตัวตรง หันหน้าไปก็ประสานสายตากับเฉียวเจาที่เพิ่งลงจากรถม้า
นางผงกศีรษะกับเขาแต่ไกลเป็นเชิงทักทาย
“ฮูหยินท่านโหว ไทเฮาร้อนพระทัยเรื่องขององค์หญิงใหญ่อยู่ตลอด ยังทรงรอข้ากลับไปรายงานอยู่ ท่านโปรดเข้าไปดูองค์หญิงใหญ่โดยไวเถอะขอรับ” ไหลสี่กล่าวเร่ง
เฉียวเจาดึงสายตาคืนมาแล้วเดินตามไหลสี่ไปที่ประตูข้าง
ฉือชั่นกลอกตาไปหยุดอยู่ที่ตัวไหลสี่ แววเลื่อนลอยในดวงตาที่ฉ่ำปรือแต่เดิมหายวับไป เริ่มมีประกายมากขึ้นหลายส่วน
ชายหนุ่มสาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้าไปหาพวกเฉียวเจา
“คุณชาย อย่างน้อยก็เช็ดปากสักหน่อยสิขอรับ” เถาเซิงกลัวเขาจะหกล้ม รีบไล่กวดตามไปยื่นผ้าเช็ดหน้าอยู่เบื้องหน้าฉือชั่น
เขารับมาเช็ดลวกๆ แล้วโยนทิ้งลงพื้นไปเลย จากนั้นเร่งฝีเท้าเดินไปขวางหน้าเฉียวเจากับไหลสี่
“คุณชายฉือ…”
ฉือชั่นดันตัวไหลสี่ออกไปอีกทาง “ข้าไม่มีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
ไหลสี่โดนผลักจนเซถลา เขายังไม่ทันได้อ้าปากพูดก็เห็นฉือชั่นฉุดเฉียวเจาออกเดินไปแล้ว
“นี่มันอะไรกัน” ไหลสี่ก้าวขาจะตามไป แต่ถูกเถาเซิงขัดขวางไว้
“ไหลสี่กงกง ให้คุณชายข้าสนทนากับฮูหยินของกวนจวินโหวสองสามคำ จิตใจของคุณชายเป็นทุกข์อยู่ขอรับ”
“แต่ว่า…” ไหลสี่ฉุกใจได้ทันควัน “คุณชายฉือรู้แล้วหรือ”
“เอ่อ…ทราบแล้วขอรับ”
“เจ้าก็รู้เช่นกันหรือ”
เถาเซิงหัวเราะแห้ง “แหะๆ” คุณชายของข้าโมโหเจียนตายอยู่แล้ว ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร
ไหลสี่ถอนใจเฮือก ช่างเถิด แค่สนทนาสองสามคำก็สองสามคำ อย่างไรคุณชายฉือคงลงไม้ลงมือกับฮูหยินของกวนจวินโหวไม่ได้กระมัง
บทที่ 758
ฉือชั่นจูงเฉียวเจาไปที่มุมหนึ่งถึงปล่อยมือออก ดวงตาทั้งคู่ที่จ้องมองนางแดงก่ำดุจเปลวไฟแทบแผดเผาคนให้มอดไหม้ได้
“เจ้ามาทำอะไร” ฉือชั่นเน้นเสียงพูดทีละคำ
เขาไม่รอเฉียวเจาเอ่ยตอบก็แค่นเสียงเยาะ “ไทเฮาบอกให้เจ้ามาใช่หรือไม่”
เฉียวเจามองเขานิ่งๆ แล้วทอดถอนใจ “ใช่ ข้า…”
ฉือชั่นตัดบทนางทันใด “ดังนั้นเจ้าจะมาขับเด็กในครรภ์ของท่านแม่ข้าออกหรือ หลีซาน เจ้าช่างเก่งกาจเสียจริงนะ”
เฉียวเจายืนอยู่ข้างต้นกุ้ย มีกลิ่นสุราบนตัวชายหนุ่มโอบล้อมรอบกาย นางถอยหลัง เรียวคิ้วโก่งมุ่นน้อยๆ “พี่ฉือ”
“อย่าเรียกข้าเช่นนี้ ข้าไม่อาจเอื้อม” ฉือชั่นกล่าววาจานี้แล้วหางตาแดงมากขึ้นในพริบตา เขาเบนสายตาออกทันใด
“พี่ฉือ…”
ฉือชั่นแค่นเสียงฮึ มุมปากแฝงรอยยิ้มเยาะหยัน “ใช่หรือไม่ว่าใครก็ตามที่ก้าวเข้ามาในแวดวงนี้ จากเดิมที่เป็นไข่มุกก็ต้องกลายเป็นลูกปัดกระเบื้องกันหมด”
เฉียวเจาขยับมุมปากทว่าสุดท้ายไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ฉือชั่นตัวเซเล็กน้อยก่อนหมุนกายจากไป
ถ้าฉือชั่นคิดอย่างนี้ ใช่ว่าจะมิใช่เรื่องดี
นางหวังว่าในใจเขาจะไม่เหลือเงาของนางแม้สักเศษเสี้ยว วันหน้าตบแต่งสตรีที่ดีผู้หนึ่งเป็นภรรยา มีชีวิตที่สดใสรื่นเริง
ทันใดนั้นพละกำลังระลอกหนึ่งพุ่งโถมมา ข้อมือของนางก็ถูกยึดไว้แน่น
เฉียวเจาจำต้องหยุดเดิน ช้อนตาขึ้นมองบุรุษที่เมาสุราไม่น้อย
ไม่พึงพูดจาวิสาสะกับพวกคนเมาสุราเป็นความจริง
“หลีซาน ห้ามเจ้าไป…” ฉือชั่นที่เมามายอยู่ลืมเลือนไปว่าสตรีตรงหน้าออกเรือนแล้ว น้ำเสียงของเขาแฝงรอยน้อยใจแกมขุ่นเคืองอยู่ในที “ไทเฮาให้เจ้าขับเด็กในครรภ์คนอื่น เจ้าก็มา เช่นนั้นวันหน้าให้เจ้าสังหารคน เจ้าก็ไปเหมือนกันใช่หรือไม่”
หลีซานที่เขารู้จักไม่ใช่คนพรรค์นี้
ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่มีคนที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนมากมายพอแล้ว ถึงผักกาดขาวสดใหม่ที่เขาเก็บกลับมากับมือจะไปโตในสวนของผู้อื่นก็ช่างเถอะ แต่กลายเป็นดอกกะหล่ำโดนหนอนไชเช่นนี้เขาทนไม่ได้
“ขับเด็กในครรภ์ออกเป็นการสังหารคนเช่นกัน” เฉียวเจากล่าวเสียงเรียบ
รอยยิ้มของฉือชั่นกระด้างขึ้น “แต่เจ้ายังคงมาอยู่ดี”
“ใช่ ก็ไทเฮาทรงให้ข้ามา” เฉียวเจาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ฉือชั่นนิ่งขึงไป เขายกมือขึ้นนวดๆ ขมับ
หัวสมองเขาสับสนยุ่งเหยิงอยู่บ้าง ทั้งที่ได้ยินถ้อยคำของคนตรงหน้าได้ชัดถนัดหูแต่ราวกับฟังไม่เข้าใจเลย
“ไหลสี่กงกงยังรออยู่ ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ” เฉียวเจาหมุนกายผละไป
ฉือชั่นทำตาปริบๆ มองดูนางเดินห่างออกไป เขาก้าวขาตามไปแต่ถูกสกัดไว้นอกประตูเรือนองค์หญิงใหญ่
“คุณชายฉือ ท่านไปทำให้ตนเองสร่างเมาดีกว่านะ” ไหลสี่เอ่ยเตือนคำหนึ่งก่อนรีบเร่งเดินเข้าไป
ฉือชั่นยื่นมือไปยันประตูลานเรือน
นางข้าหลวงตงอวี๋พูดกล่อมเสียงเบาๆ “คุณชาย ท่านต้องคำนึงถึงองค์หญิงใหญ่บ้าง จะก่อความวุ่นวายจนคนรู้กันไปทั่วไม่ได้นะเจ้าคะ”
“ท่านแม่จะคลอดบุตรไม่ใช่หรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะไม่รู้กันไปทั่วในไม่ช้าก็เร็วหรือไร” ถึงแม้ฉือชั่นเมาสุราอยู่ แต่เขากลับจดจำคำพูดนี้ของมารดาได้แม่นยำ
“องค์หญิงตรัสไปด้วยอารมณ์เพคะ”
“พูดด้วยอารมณ์หรือ” ฉือชั่นขบคิดความหมายของคำนี้แล้วไม่รู้สึกโกรธแต่กลับยิ้ม “ไทเฮาทรงไม่ยอมรับเด็กผู้นี้ ท่านแม่ข้าก็ไม่คิดจะเก็บไว้ ส่วนหลีซานช่วยส่งเสริมให้ทุกคนสมหวัง เช่นนี้ข้าก็เป็นสุนัขหัวเน่าสินะ”
ตงอวี๋ไม่อาจพูดตอบเขาได้
ฉือชั่นแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง “เถาเซิง พยุงข้ากลับห้อง”
“ขอรับ” เถาเซิงขานรับทันควัน ได้กลับห้องเสียที คุณชายเมาสุราหนนี้ทำให้ข้าอกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอด
พอตัวของฉือชั่นโงนเงนไปมา เถาเซิงรีบประคองเขาไว้ “คุณชาย ระวังสะดุดขอรับ”
ตงอวี๋มองนายบ่าวสองคนห่างไปไกลแล้วถึงเข้าไปในเรือนอย่างวางใจ
“คิดไม่ถึงว่าเสด็จแม่จะส่งเจ้ามา” องค์หญิงใหญ่ฉางหรงเอนกายนอนอยู่บนตั่งคนงาม ทั้งที่อากาศหนาวจนน้ำไหลหยดเป็นน้ำแข็ง แต่ในห้องกลับอบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิ นางสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีแดงอ่อนตัวเดียวอวดเรือนร่างอวบอิ่มเย้ายวนใจ
ชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ตรงข้างกายบีบนวดน่องให้นาง
“ไทเฮาให้ข้ามาตรวจพระอาการเพคะ”
“ตรวจสิ” องค์หญิงใหญ่ฉางหรงเหยียดแขนออกไปอย่างเกียจคร้าน ข้อมือขาวเนียนละเอียดไม่คล้ายสตรีออกเรือนแล้วในวัยนี้ สายตาที่มองไปทางเฉียวเจาของนางฉายรอยเย้ยหยันอย่างชัดเจน
เฉียวเจาเห็นอยู่กับตา นางอดนึกขันไม่ได้
อิทธิพลของบิดามารดามักจะถ่ายทอดซึมซาบสู่บุตรโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ต่อให้ฉือชั่นตัดพ้อต่อว่าองค์หญิงใหญ่ฉางหรงอย่างไร ทว่าในบางเสี้ยวขณะสีหน้าแววตาของสองแม่ลูกคู่นี้กลับเหมือนกันไม่มีผิด
เฉียวเจายื่นมือจับชีพจรของนางเป็นเวลาราวครึ่งถ้วยชาแล้วดึงมือคืน
“เป็นอย่างไรหรือ” น้ำเสียงขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงแฝงรอยล้อเลียนมากขึ้นทุกที
สายตาของเฉียวเจามองไปที่บุรุษซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงทำเสียงฮึเบาๆ “เขาไม่กล้าเอาไปพูดข้างนอกหรอก”
คนที่กล้าขัดใจนางโดนฆ่าตายไปนานแล้ว
ชายหนุ่มก้มหน้าต่ำลงอีก
“ปกติสตรีที่อายุมากกว่าสามสิบห้าปีตั้งครรภ์ก็เป็นอันตรายอยู่แล้ว อีกทั้งพระวรกายเคยได้รับความกระทบกระเทือนมาก่อน พระครรภ์นี้จึงมีอันตรายยิ่งขึ้น หากเสี่ยงขับเด็กออกเกรงว่าจะเป็นภัยถึงชีวิตเพคะ”
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงหัวร่อเบาๆ “คำพูดของเจ้าแตกต่างอันใดกับแพทย์หลวงเล่า”
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “เพคะ เพราะนี่คือลักษณะชีพจรขององค์หญิง ผู้ใดตรวจล้วนต้องกล่าวเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้หม่อมฉันไม่กล้าสั่งยาสุ่มสี่สุ่มห้าเหมือนกับแพทย์หลวงเพคะ”
ไทเฮาให้นางมาตรวจอาการนางย่อมปฏิเสธไม่ได้แน่นอน แต่ไม่มีผู้ใดกำหนดไว้ว่านางต้องรักษาให้หายดีได้ทุกโรคนี่
มิใช่ว่าไม่ยอมทำ แต่ทำไม่ได้ ถึงเป็นไทเฮาผู้ทรงอำนาจราชศักดิ์ของราชวงศ์นี้จะว่าอะไรนางได้เล่า
อีกอย่างบัดนี้นางไม่ใช่บุตรสาวของอาลักษณ์เล็กๆ ที่ต่ำต้อยเฉกมดปลวก แต่เป็นภรรยาของกวนจวินโหว ตราบเท่าที่นางแสดงท่าทีให้เกียรติไทเฮาอย่างเต็มที่ ในเมื่อนางสุดปัญญาแล้ว หรือไทเฮาจะบีบบังคับนางอย่างนั้นหรือ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้ากลับไปเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว”
เฉียวเจามององค์หญิงใหญ่ฉางหรงอย่างพินิจปราดหนึ่งถึงลุกขึ้นกล่าวอำลา ระหว่างที่เดินกลับไปนางกลับอดตรึกตรองอยู่ในใจไม่ได้
ตอนนางบอกกับองค์หญิงใหญ่ฉางหรงว่าสุดปัญญาจะทำอะไรได้ ถึงกับรู้สึกว่าองค์หญิงดูโล่งอกในพริบตา นี่หมายความว่าจริงๆ แล้วองค์หญิงอยากเก็บบุตรผู้นี้ไว้หรือ
เมื่อคิดได้เช่นนี้เฉียวเจารู้สึกปลอดโปร่งใจขึ้นมากด้วยเหตุผลกลใดก็สุดรู้
“ท่านโหว…” จู่ๆ ไหลสี่ก็ส่งเสียงเรียกขึ้นส่งผลให้ความคิดของเฉียวเจาสะดุดลง
“ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” พอเห็นเซ่าหมิงยวน เฉียวเจาทำหน้าชื่นตาบานอย่างสุดระงับ
เขาจับมือนางต่อหน้าต่อตาไหลสี่ด้วยสีหน้าเป็นปกติ “รับเจ้ากลับเรือน”
“ข้ายังต้องกลับไปทูลรายงานไทเฮา”
เซ่าหมิงยวนยิ้มน้อยๆ ชำเลืองมองไหลสี่แวบหนึ่ง “เช่นนั้นข้ารอเจ้า”
ไหลสี่คิดในใจ กวนจวินโหวผู้ยิ่งใหญ่มีเวลาว่างถึงเพียงนี้เชียวหรือ เดือนหนึ่งไม่ออกไปพบปะสังสรรค์กับผู้คน กลับรออยู่หน้าประตูวังรับภรรยากลับเรือน
เมื่อถึงตำหนักฉือหนิงไหลสี่ชิงบอกเรื่องนี้เอง หยางไทเฮาหันไปมองเฉียวเจาด้วยสีหน้าแววตาเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน
กวนจวินโหวให้ความสำคัญต่อภรรยาของตนมากกว่าที่นางคิดไว้
ครั้นได้ฟังผลการตรวจอาการขององค์หญิงใหญ่ ดวงตาของหยางไทเฮาทอแววผิดหวังระคนไม่ยอมจำนนอย่างเห็นได้ชัด นางเพ่งมองเฉียวเจาพลางกล่าว “หลีฮูหยินเป็นถึงลูกศิษย์ของหมอเทวดาหลี่…”
เฉียวเจายิ้มอย่างถ่อมตน “แม้นหม่อมฉันโชคดีได้รับการชี้แนะจากหมอเทวดา แต่เมื่อเทียบกับท่านผู้อาวุโสแล้ว หม่อมฉันเปรียบดั่งหิ่งห้อย มีหรือจะแข่งกับแสงจันทร์ได้เพคะ”
ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่านางมิใช่หมอเทวดา แต่เป็นเพียง ‘ลูกศิษย์’ ของหมอเทวดา
วาจารัดกุมไร้ช่องโหว่ กิริยาท่าทางไม่โอหังไม่เจียมตนแต่ไม่ขาดความเคารพนอบน้อม ทั้งยังมีกวนจวินโหวนามกระเดื่องทั่วหล้ารอคอยอยู่ด้านนอก เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าไทเฮาจนใจอยู่มากเหมือนกัน ต่อให้นางทำใจยอมรับไม่ได้สักนิดก็จำต้องปล่อยเฉียวเจากลับไป
เมื่อเห็นเฉียวเจาออกจากประตูวัง เซ่าหมิงยวนเดินเข้าไปหา ทั้งสองสบตากันยิ้มๆ แล้วจูงมือกันขึ้นรถม้า
“ข้าดื่มสุรากับสือซีแล้วกลับไปก็ได้ยินว่าไทเฮาเรียกตัวเจ้าเข้าวัง พระองค์มิได้สร้างความลำบากใจให้เจ้ากระมัง”
ชายหนุ่มไม่เสียเวลาผลัดอาภรณ์ด้วยซ้ำ ภายในตัวรถม้าจึงมีกลิ่นสุราจางๆ ลอยอวลอยู่
“วางใจเถอะ ด้านวาจาคารม คนอื่นสร้างความลำบากใจให้ข้าไม่ได้ สำหรับเรื่องอื่นๆ ก็คงไม่มาสร้างความลำบากใจให้ข้าเช่นกัน”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 ธ.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.