บทที่ 767
หวังซื่ออายุปูนนี้และมีหลานแล้วกลับต้องหย่าร้างกับสามีกลับไปอยู่สกุลเดิม สร้างความอัปยศอดสูให้นางถึงขีดสุด อีกทั้งเพราะนางวางแผนเล่นงานฮูหยินของกวนจวินโหวจนส่งผลให้หลานชายถูกผู้คนหัวเราะเยาะยกใหญ่เช่นนี้ เป็นธรรมดาที่พี่สะใภ้จะชักสีหน้าใส่น้องสาวสามีที่กลับมาเพราะถูกสามีตัดขาด
แม้หวังซื่อทั้งอับอายทั้งโกรธเคืองก็ได้แต่ทนคับอกคับใจ ไม่นานนักก็ตรอมใจจนล้มป่วย ไม่ถึงสิบวันก็ลาจากโลกนี้ไปแล้ว
ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด คำกล่าวที่ว่า ‘ใครล่วงเกินฮูหยินของกวนจวินโหวเป็นต้องเคราะห์ร้ายครั้งใหญ่’ เริ่มโจษจันกันในหมู่ฮูหยินของเมืองหลวงอย่างเงียบๆ วันแล้ววันเล่าก็แพร่กระจายออกไปทั่วจนแทบไม่มีคนไม่ล่วงรู้
หลังเจียงซื่อท่านเซียงจวินผู้เฒ่าแห่งจวนตะวันออกของสกุลหลีได้รับรู้ก็อดหัวเราะดังๆ สามเสียงมิได้ นางกล่าวกับสาวใช้คนสนิท “ถึงหลานเจาของจวนตะวันตกจะชวนให้ชังน้ำหน้า แต่ดวงแรงถึงขั้นพิฆาตนางหญิงต่ำช้าหวังซื่อผู้นั้นได้ก็นับเป็นการทำความดีเรื่องหนึ่ง”
สาวใช้คนสนิทพูดผสมโรง “ใช่เจ้าค่ะ ยามนี้ผู้คนล้วนพูดว่าจะล่วงเกินนายหญิงสามไม่ได้ ถ้าใครล่วงเกินไม่ตายก็พิการเจ้าค่ะ”
เจียงซื่ออึ้งงันไป นางนึกถึงเรื่องที่ให้หลานสาวสวมรอยเป็นเฉียวเจาที่วัดต้าฝูในครั้งนั้นแล้วก็พลันหนาวยะเยือกในอก
จะอย่างไรท่านเซียงจวินผู้เฒ่าก็สูงวัยมากแล้ว นางครุ่นคิดอยู่ตลอดคืน วันรุ่งขึ้นก็ล้มป่วยเพราะเสียขวัญไป
เฉียวเจาย่อมไม่รู้ว่าท่านเซียงจวินแห่งจวนตะวันออกล้มป่วยครานี้มีสาเหตุมาจากตนเอง นางเริ่มสั่งให้คนปัดกวาดเช็ดถูจวนโหวทุกซอกทุกมุม เตรียมการต้อนรับเซ่าหมิงยวนกลับมา
คู่สามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันหมาดๆ ต้องแยกจากกัน เป็นธรรมดาที่จะคิดถึงคะนึงหากันจับจิตจับใจ
ระหว่างที่กวนจวินโหวปราบปรามข้าศึกแดนเหนือได้แล้วยกทัพกลับเมืองหลวงก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งเข้าเมืองมาเงียบๆ
พวกเขามีเรือนกายสูงใหญ่แข็งแรง ท่าทางทะมัดทะแมงปราดเปรียว หากสังเกตให้ดีจะรู้ว่าไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาๆ อย่างแน่นอน
คนกลุ่มนี้มองหาโรงเตี๊ยมแล้วเข้าไปพัก ชายฉกรรจ์หน้าดำผู้หนึ่งขมวดคิ้วกล่าวขึ้น “พี่ใหญ่ ตอนพวกเราไปเก็บเงินงวดสุดท้ายกับขุนนางแซ่หลัน ถ้าพวกเขาอ้างเหตุผลว่าไม่เห็นศพเลยไม่จ่ายเงินจะทำฉันใด”
ชายฉกรรจ์ที่ถูกเรียกขานว่า ‘พี่ใหญ่’ มีรูปหน้าเหลี่ยมเป็นสัน ตรงหว่างคิ้วมีแผลเป็นรอยหนึ่งแลดูดุร้ายเหี้ยมเกรียม เขาได้ยินชายฉกรรจ์หน้าดำกล่าวเช่นนี้แววอำมหิตก็จุดวาบขึ้นในดวงตา “พวกเขากล้ารึ! ท่านอ๋องอายุสั้นผู้นั้นถูกดาบฟันตกลงไปในแม่น้ำยังจะรอดชีวิตอีกหรือ ไม่เห็นศพไม่จ่ายเงิน? นึกว่าพวกเราเป็นชาวบ้านตาสีตาสาที่ขุนนางพวกนี้จะกดขี่ข่มเหงได้ตามอำเภอใจหรือไร”
“จริงของท่าน ไม่จ่ายเงิน พวกเราก็ไม่ให้พวกเขาได้อยู่อย่างเป็นสุข” เห็นลูกพี่ใหญ่แสดงท่าทีแข็งกร้าว ชายฉกรรจ์หน้าดำถอนหายใจโล่งอก
“เอาล่ะ พวกเจ้านอนพักเอาแรงให้เต็มที่ คืนนี้ไปเก็บเงินกัน!”
ในห้องหนังสือของหลันซงเฉวียน เขากำลังสั่งกำชับบริวารคนสนิทอยู่ “คนเหล่านี้ล้วนเป็นพวกอันธพาลท่องยุทธภพทั้งสิ้น ถึงเวลาอย่าพูดพล่ามมากความ รีบจ่ายเงินแล้วให้พวกเขากลับไปโดยไว”
“ใต้เท้าวางใจได้เลยขอรับ เตรียมตั๋วเงินไว้พร้อมแล้วตามที่ตกลงกันตั้งแต่แรก มูลค่าตั๋วสูงสุดไม่เกินสองร้อยตำลึง สามารถขึ้นเงินที่ร้านแลกเงินได้ทั่วแผ่นดิน”
“ไปเถอะ จำไว้ว่าอย่าออกหน้าเอง หาคนที่ไม่มีใครรู้จักสักสองสามคนไปแทน เสร็จเรื่องแล้วจะฆ่าปิดปากหรือส่งตัวไปไกลๆ เจ้าจัดการไปตามที่เห็นสมควร” หลันซงเฉวียนบอกให้คนสนิทออกไปแล้วปลอดโปร่งโล่งใจไม่น้อย เขากลับเรือนพำนักและเรียกอนุสองนางมาปรนนิบัติเขากินลิ้นจี่
ลิ้นจี่ลูกอวบๆ ปอกเปลือกแล้วเห็นเนื้อสีขาวใสกระจ่าง นิ้วเรียวกลมกลึงของหญิงงามหยิบลูกหนึ่งป้อนใส่ปากหลันซงเฉวียน
เขาเคี้ยวสองสามทีแล้วพ่นเมล็ดลิ้นจี่ใส่หน้าหญิงงามแล้วพูดเสียงเยาะๆ “ปรนนิบัติไม่ได้เรื่อง ไสหัวออกไป เปลี่ยนคน”
อนุที่โดนดุด่าทำหน้าเสีย พร่ำพูดขอขมาแล้วขอตัวออกไป
หญิงงามอีกคนหนึ่งกระวีกระวาดปอกเปลือกลิ้นจี่ จากนั้นใช้ปากเล็กๆ สีแดงปานผลอิงเถาป้อนมันไปที่ปากของหลันซงเฉวียน เขาถึงกินอย่างพออกพอใจ
เดือนมืดลมแรง ด้านนอกจวนของหลันซานมีคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงต่ำเบา “หัวหน้า มีคนออกมาแล้ว”
เซ่าจือที่แปลงโฉมแล้วส่งสายตาบอก คนหลายคนก็ตามเขาไปเงียบๆ รอจนกระทั่งสามคนนั้นเดินลับๆ ล่อๆ ไปถึงที่เปลี่ยวค่อยลงมือจับกุมตัวไว้แล้วลากเข้าไปในเรือนชาวบ้านที่เช่าไว้ล่วงหน้าอย่างรวดเร็ว
ถึงอย่างไรคนของหลันซงเฉวียนก็เทียบชั้นคนที่ฝึกฝนเคี่ยวกรำมาจากกองทัพไม่ได้ ใช้ฝีไม้ลายมือเพียงเล็กน้อยก็เค้นถามว่านัดพบที่ใดและข้อความลับที่นัดแนะไว้คืออะไรได้ทั้งหมดแล้ว
เซ่าจือกับผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนช่วยกันปิดปากมัดตัวสามคนนั้นอย่างแน่นหนา ก่อนจะหยิบกล่องตั๋วเงินแล้วรุดไปยังจุดนัดหมาย
สถานที่ที่ทั้งสองฝ่ายนัดมอบตั๋วเงินกันคือเรือนร้างที่ถูกทิ้งว่างไว้เพราะลือกันว่าผีดุหลังหนึ่ง อย่าว่าแต่ในยามค่ำคืน ต่อให้เป็นเวลากลางวันแสกๆ คนทั่วไปล้วนเดินอ้อมไปอีกทาง จึงไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะมีคนผ่านมาพบเห็นเข้าโดยบังเอิญ
พอเล็ดลอดเข้าไปเรือนร้างแล้ว องครักษ์ผู้หนึ่งกล่าวอย่างขันๆ “นับถือเจ้าพวกนั้นจริงๆ ที่เสาะหาที่เช่นนี้ได้”
“เอาล่ะ อย่าพูดมาก จัดการเรื่องที่ท่านแม่ทัพมอบหมายให้ดีถึงเป็นสิ่งสำคัญ” เซ่าจือเอ็ดเสียงเบาๆ
ผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนไม่กล้าพูดเล่นอีก ต่างติดตามเซ่าจือไปยังเรือนหลังใหญ่ที่เก่าผุพัง
ห้องหนึ่งในนั้นมีแสงไฟสลัวๆ ทั้งสามเดินไปทางนั้น จู่ๆ ก็มีกระแสพลังรุนแรงสายหนึ่งพุ่งมาโจมตี
ทั้งสามฝืนควบคุมตนเองไว้ไม่ให้เบี่ยงหลบ
“หยุดนะ!” มีดสั้นเย็นเฉียบจ่อตรงกลางอกพวกเขาพร้อมเสียงตวาดห้วนจัดดังลอยมา
เซ่าจือชูสองมือขึ้นแสดงให้เห็นว่าไม่มีอาวุธ
อีกฝ่ายกระแอมให้คอโล่งแล้วเอ่ยถามทันที “ผู้มาเยือนคือเทพเอ้อร์หลางหรือไม่”
เซ่าจือกล่าวตอบอย่างจริงจัง “มิใช่ ข้าคือจ้าวกงหมิง”
“เข้าไปเถอะ” เมื่อตอบข้อความลับถูกต้อง อีกฝ่ายก็เก็บมีดสั้นลงไป
เซ่าจือลอบยิ้มย่องในใจที่ตนมิได้เผลอตัวหัวเราะออกมาเมื่อครู่นี้ เขาพาผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนเดินเข้าไป
ด้านในห้องจุดตะเกียงน้ำมันไว้ดวงเดียว มีชายฉกรรจ์เจ็ดแปดคนบ้างนั่งบ้างยืนเบียดเสียดกันจนเต็มห้อง
เมื่อทั้งสามคนเข้าไป ในห้องเงียบกริบทันควัน ชายฉกรรจ์หน้าเหลี่ยมที่นั่งอยู่ตรงกลางไต่ถามขึ้น “นำเงินมาแล้วใช่หรือไม่”
เซ่าจือยิ้มทักทายก่อนกล่าว “ตั๋วเงินย่อมเตรียมไว้พร้อมแต่แรกแล้ว แต่หนนี้มิได้นำติดตัวมา”
ชายฉกรรจ์หน้าดำตบโต๊ะสุดแรง “ไม่นำเงินมาแล้วพวกเจ้ามาทำอะไร เป็นกับแกล้มสุราให้พวกข้ารึ”
เซ่าจือเผยสีหน้าตื่นกลัวอยู่หลายส่วน แต่แสร้งทำเยือกเย็นกล่าวว่า “ใต้เท้าของพวกข้าบอกว่าอยู่ต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ แค่พวกท่านบอกว่างานสำเร็จแล้วพวกข้าก็มอบเงินให้คงมิได้หรอก”
“นี่คือไม่เชื่อใจพวกข้าหรืออย่างไร”
“มิใช่ไม่เชื่อใจ มือหนึ่งจ่ายเงินมือหนึ่งรับสินค้า นี่เป็นธรรมเนียมปกติของทุกที่”
“สินค้าของพวกเจ้าตกแม่น้ำไปแล้วจะให้พวกข้ามอบให้ได้อย่างไร”
“นั่นไม่ใช่ปัญหาของใต้เท้าของพวกข้า” เซ่าจือราดน้ำมันลงกองไฟ
เช้ง!
เสียงชักดาบดังขึ้น ชายฉกรรจ์หน้าดำชี้หน้าเซ่าจือพลางด่าทอ “เจ้าตัวเหม็น ข้าว่าวันนี้เจ้าไม่อยากเดินออกจากประตูนี้แล้ว!”
“หรือว่าพวกท่านคิดสังหารคน ใต้เท้ายังรอพวกข้ากลับไปรายงานตัว หากไม่เห็นพวกข้า เกรงว่าท่านทั้งหลายก็อย่าหมายจะได้ออกจากเมืองเลย”
“เจ้า…” ชายฉกรรจ์หน้าดำเงื้อดาบจะฟันใส่
ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าห้ามชายฉกรรจ์หน้าดำไว้ เขาเพ่งมองเซ่าจือก่อนเอ่ยถามเสียงเย็นๆ “กล่าวเช่นนี้พวกท่านไม่คิดจะให้เงินส่วนที่เหลือใช่หรือไม่”
เซ่าจือหยักยิ้ม “ขอย้ำคำเดิม พวกท่านมอบสินค้า พวกข้าจ่ายเงิน”
“ข้าจะฆ่าพวกเจ้าเสีย!”
“ปล่อยพวกเขาไป” หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์กล่าวเสียงกระด้าง
“พวกเรากลับ” เซ่าจือแสดงท่าทางโล่งใจ พาผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนจากไปอย่างว่องไว
ชายฉกรรจ์หน้าดำโกรธจนสีหน้าบึ้งตึงมากขึ้น “พี่ใหญ่ พวกนั้นคิดจะโกงเงินชัดๆ!”
หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์แค่นหัวเราะ “ปลิ้นปล้อนตลบตะแลงเป็นลูกไม้ถนัดของพวกขุนนางลิ้นสองแฉกอยู่แล้ว ดีที่พวกเราก็มิใช่มะพลับนิ่ม คิดจะให้ข้าจำยอมเสียเปรียบอย่างนี้ ฝันไปเถอะ!
บทที่ 768
เรือนร้างเป็นเงาตะคุ่มอยู่กลางดงไม้รกชัฏ ดวงไฟดวงเล็กๆ ดุจเมล็ดถั่วพอให้แสงสว่างรำไรแก่เรือนเก่าโทรม
ด้านในมีคนเจ็ดแปดคน หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์กวักมือเรียกคนที่นั่งอยู่ในมุมลึกสุด “เหล่าจิ่ว มานี่”
ชายฉกรรจ์ที่ถูกเรียกว่า ‘เหล่าจิ่ว’ เดินมาหา “พี่ใหญ่มีอะไรจะสั่งข้า”
“ข้าจำได้ว่าลูกน้องของเจ้าคนหนึ่งมีฝีพิษขึ้นใต้รักแร้ หมอบอกว่ามีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงสามเดือน เขาชื่อว่าอะไรนะ”
“ชื่อเถี่ยหนิว เขาอยากใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายอันน้อยนิดนี้อยู่เป็นเพื่อนมารดาและภรรยากับลูกเลยไม่ได้ทำงานกับพวกเราหนนี้”
“เจ้าไปตามเขามา”
“ได้เลย พี่ใหญ่รอสักครู่”
รอจนถึงหลังเที่ยงคืนเหล่าจิ่วพาชายฉกรรจ์ผอมสูงผู้หนึ่งเดินเข้ามา
เขาเห็นลูกพี่ใหญ่ก็รีบคารวะทักทาย
“เถี่ยหนิว พักนี้เจ้าสบายดีหรือไม่”
“ข้าสบายดี” เถี่ยหนิวก้มหน้าลง
“พวกเราเป็นพี่น้องกันทั้งนั้น เจ้ายังจะพูดเท็จอีก” เหล่าจิ่วชกเถี่ยหนิวเบาๆ จากนั้นเปิดเผยความจริงทั้งหมด “ข้าเห็นหมดแล้ว ในเรือนเจ้าแทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้ออยู่แล้ว ลูกเล็กเด็กแดงสี่ห้าคนต้องนอนเบียดกัน ดึกๆ ดื่นๆ เจ้าคนสุดท้องยังหิวจนร้องไห้กระจองอแง”
ขอบตาของเถี่ยหนิวแดงเรื่อขึ้นทีละน้อย เขาจะมีปัญญาทำอะไรได้เล่า มาตรว่าจะผาดโผนอยู่ในยุทธภพ กลับเป็นเพียงลูกสมุนปลายแถว เงินทองที่หามาได้ก็หมดไปกับการรักษาโรคนี้ของเขาแล้ว แต่ในเรือนนอกจากมารดาเฒ่าแล้วยังมีภรรยากับบุตรอีกห้าคนต้องเลี้ยงดู
เขาไม่กล้านึกภาพว่าพอเขาหมดลมในอีกสองสามเดือนให้หลัง ครอบครัวที่มีแต่เด็กเล็กคนชราจะอยู่กันต่อไปอย่างไร
“เหล่าลิ่ว” หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ส่งสายตาบอกชายฉกรรจ์หน้าดำข้างกาย
เขาผลักกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งไปตรงหน้าเถี่ยหนิวแล้วเปิดออกทันที
ในนั้นมีตั๋วเงินอัดแน่นเต็มกล่องปึกหนึ่ง
เถี่ยหนิวเบิกตาค้างทันใด เงินตั้งเยอะแยะถึงเพียงนี้ น่าจะมีเป็นพันตำลึงเลยมิใช่หรือ!
ตอนนี้เองหัวหน้ากลุ่มเอ่ยเข้าเรื่องแล้ว “เถี่ยหนิว เจ้าเคยติดตามข้ามาก่อน ข้าจะพูดตรงๆ เลยก็แล้วกัน เงินก้อนนี้ขอซื้อชีวิตเจ้า เอาหรือไม่”
เถี่ยหนิวนิ่งขึงไป เขาเงยหน้าขึ้นมองลูกพี่ใหญ่ เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายไม่คล้ายล้อเล่น เขาพยักหน้าโดยแทบจะไม่ลังเลใจสักนิด “เอา!”
อีกไม่นานชีวิตที่ไร้ค่าของเขาก็จะจบลงแล้ว ตายช้าตายเร็วจะมีอันใดต่างกัน ตายตอนนี้แล้วหาเงินได้ก้อนใหญ่ถึงเพียงนี้เหลือทิ้งไว้ให้ครอบครัว เขาไม่เอาก็เบาปัญญาแล้ว
“เจ้าวางใจได้ วันหน้าพวกข้าจะช่วยดูแลครอบครัวเจ้าเอง”
“พี่ใหญ่ ท่านสั่งมาได้เลย” เถี่ยหนิวคุกเข่าลงดังตุบ
หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์กวักมือเรียกเขามาใกล้ๆ แล้วกระซิบสั่งบางอย่าง
พวกเซ่าจือออกจากเรือนร้างแล้วเร่งรุดกลับไปที่เรือนชาวบ้าน
คนสามคนที่ถูกมัดไว้กำลังดิ้นขลุกขลักพลางส่งเสียงร้องอู้อี้ พอเห็นพวกเซ่าจือเข้ามาก็เงียบเสียงลงทันที
เซ่าจือทำมือบอกผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดึงผ้าขี้ริ้วที่ยัดปากสามคนนั้นออกแล้วบอกกับพวกเขาว่า “ข้าจะปล่อยพวกเจ้ากลับไป”
ทั้งสามทำหน้าไม่เชื่อ
เซ่าจือหัวร่อเบาๆ “เอาตัวพวกเจ้าไว้ก็เปลืองข้าวสุกเปล่าๆ แต่พวกเจ้าคงรู้ว่าทำเงินหายแล้วยังทำงานไม่สำเร็จ ใต้เท้าหลันของพวกเจ้าจะลงโทษพวกเจ้าเช่นไรกระมัง”
ใบหน้าของทั้งสามซีดเผือดไปทันใด
“แล้วก็อย่าคิดจะทำคุณไถ่โทษด้วย พวกเจ้าไม่รู้แม้แต่ว่าพวกข้าเป็นใครมาจากที่ใด จะสร้างความชอบอะไรได้” ถ้อยคำนี้ของเซ่าจือทำให้ทั้งสามแทบน้ำตาไหลรินลงมา
เซ่าจือให้เวลาพวกเขาขบคิดตามครู่หนึ่งค่อยพูดต่อ “ถึงพวกข้าไม่ได้ยื่นมือเข้ามาและพวกเจ้าทำงานสำเร็จลุล่วง แล้วนึกหรือว่าจะได้รับรางวัล ด้วยวิสัยของใต้เท้าหลันของพวกเจ้า เกรงว่าถ้าไม่ฆ่าปิดปากก็คงขับไล่พวกเจ้าไปไกลสุดขอบฟ้าต่างหาก”
ครั้นฟังถึงตรงนี้ทั้งสามคนยืนทรงตัวไม่อยู่แล้วจริงๆ แต่ละคนหน้าซีดตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า
หนึ่งในนั้นแข็งใจกล่าวขึ้นว่า “หัวหน้าของพวกข้าบอกแล้วว่าพองานสำเร็จจะมอบเงินให้พวกข้าคนละก้อนหนึ่งและเตรียมการให้พวกข้าออกจากเมืองหลวงในราตรีนี้”
“อย่างนั้นก็ดีเลย” เซ่าจือยกยิ้มก่อนหยิบตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมาวางตรงหน้าคนทั้งสาม “ตั๋วเงินพวกนี้พวกเจ้าเอาไปแบ่งกันแล้วกลับไปรายงานว่าทำงานสำเร็จได้ตามเดิม จากนั้นก็จากไปไกลสุดขอบฟ้าพร้อมกับเงินสองก้อนมิใช่หรือ กว่าใต้เท้าหลันของพวกเจ้าจะเฉลียวใจ พวกเจ้าก็ออกจากเมืองหลวงไปตั้งไกลแล้ว แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล ยังต้องกลัดกลุ้มใจว่าจะไม่มีที่ไปหรือ”
ทั้งสามอดสบตากันไม่ได้
เซ่าจือยังเอามีดสั้นเล่มหนึ่งวางเบื้องหน้าพวกเขา ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงกระด้างขึ้น “พวกข้าล้วนเป็นคนจิตใจดี ไม่อยากฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่แน่นอนว่าถ้าพวกเจ้าดึงดันจะรนหาที่ตาย ข้าก็พร้อมจะส่งเสริมให้สมหวัง”
“พวกข้าจะกลับไป!” หนึ่งในนั้นคว้าตั๋วเงินมายัดใส่อกเสื้อทันที
รอเมื่อทั้งสามเดินคอตกอย่างสิ้นท่าเข้าสู่ม่านราตรีไป เซ่าจือก็เปล่งเสียงหัวร่อ “ไป นำตั๋วเงินกลับไปให้ฮูหยินกัน”
แสงโคมในห้องหนังสือของหลันซงเฉวียนยังสว่างไสวจวบจนคนสนิทมารายงานตัว เขาถึงนอนกอดอนุเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์อย่างแสนสุข
เฉียวเจาได้ยินปิงลวี่มาบอกความแต่เช้าตรู่ว่าเฉินกวงขอพบ นางทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยถึงไปพบเขาที่โถงหน้า
“มีข่าวของท่านแม่ทัพแล้วหรือ”
“อ้อ ท่านแม่ทัพกำลังจะมาถึงเมืองหลวงในเร็ววันนี้แล้วขอรับ”
หญิงสาวฟังแล้วเผยรอยยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “พวกรถม้าเตรียมไว้พร้อมแล้ว ไว้ตอนท่านแม่ทัพใกล้จะถึงชานเมืองหลวงข้าค่อยไปรับ”
“ฮูหยินวางใจได้ เตรียมการไว้พร้อมสรรพแล้ว ที่ข้ามาตอนนี้มีบางสิ่งจะมอบให้ท่านขอรับ”
“จะให้อะไรข้าหรือ”
เฉินกวงยื่นตั๋วเงินกล่องหนึ่งส่งให้แล้วเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนอย่างออกรสออกชาติ
เฉียวเจาเลื่อนกล่องใบนั้นกลับไปแล้วกล่าวยิ้มๆ “พวกเจ้าเอาไปแบ่งกันเถอะ หลายวันมานี้คงเหน็ดเหนื่อยกันทุกคน”
เฉินกวงนิ่งงันไป “ให้…ให้พวกข้าหมดเลยหรือขอรับ”
“ใช่สิ ไหนบอกว่าถึงวัยสมควรตบแต่งภรรยาแล้วไม่ใช่หรือ เอาไปใช้เป็นเงินสินสอดได้พอดี”
ในกล่องมีตั๋วเงินราวสองหมื่นตำลึงเป็นอย่างน้อย แต่เฉียวเจาไม่สนใจเรื่องเงินทองมาแต่ไหนแต่ไร ในเมื่อพวกองครักษ์ฉกชิงเงินก้อนนี้มาได้ก็ให้พวกเขาแบ่งกัน นางย่อมไม่นึกเสียดายอยู่แล้ว
“ขอบคุณฮูหยินขอรับ” ตอนเฉินกวงถือกล่องด้วยสองมือเดินออกไป สองเท้าของเขาเบาหวิวจนตัวเซเอาหน้าผากไปชนกระแทกกรอบประตูดังปึง
เสียงหัวเราะในลำคอของปิงลวี่ดังมาจากทางด้านหลัง
เฉินกวงคลำหน้าผากป้อยๆ แล้วออกจากห้องไปด้วยท่าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มีเงินสินสอดแล้ว ภรรยายังจะไกลเกินเอื้อมอีกหรือ
ติดตามฮูหยินถึงมีกินมีใช้จริงๆ
ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของรัชศกหมิงคังปีที่ยี่สิบเจ็ดถูกลิขิตให้เป็นปีที่มีข่าวลือซุบซิบแพร่สะพัดไม่ขาดสาย ทำให้ผู้รอชมเรื่องสนุกพากันโห่ร้องด้วยความสาแก่ใจ กระทั่งราคาเมล็ดแตงในเมืองหลวงยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างเงียบๆ
บุตรชายของหลันซานสมุหราชเลขาธิการของราชวงศ์นี้ถึงกับถูกเหล่าวีรบุรุษแห่งขุนเขา* ฟ้องร้องแล้ว!
เหตุผลของเรื่องนี้ยังสร้างความฮือฮาในหมู่ผู้คนมากขึ้น เพราะคนกลุ่มนี้เป็นหัวหอกพาคนเร่ร่อนบุกโจมตีรุ่ยอ๋องระหว่างทางกลับเมืองหลวงนั่นเอง
“ข้าไม่รู้ว่าใครเป็นผู้บงการกันแน่ แต่คนที่ว่าจ้างให้พวกข้าทำงานคือคนของจวนสกุลหลัน แต่สุดท้ายพองานสำเร็จแล้วพวกเขากลับไม่จ่ายเงิน ทั่วทั้งใต้หล้านี้หามีผู้ไร้ศีลธรรมจรรยาเยี่ยงนี้ไม่”
“อะไรนะ! นี่คือพวกเจ้ามามอบตนเองหรือ”
“ใช่แล้วจะมีอันใด ถึงอย่างไรไม่ได้เงิน ลูกพี่ของพวกข้าก็ไม่ละเว้นข้าอยู่ดี ในเมื่อต้องตายทั้งขึ้นทั้งล่อง ข้าไม่ยอมให้คนที่โกงเงินพวกข้าลอยนวลอยู่หรอก”
หยางอวิ้นจือรองเสนาบดีกรมอาญาควบตำแหน่งผู้ว่าการที่ว่าการซุ่นเทียนเจอกับคดีแปลกพิสดารเฉกนี้แทบผมร่วงหมดทั้งศีรษะ แต่เพราะเกี่ยวพันถึงบุตรชายของสมุหราชเลขาธิการหลัน เขาจึงเร่งรีบนำเรื่องรายงานต่อเบื้องบนขึ้นไปเป็นชั้นๆ
และเพราะเรื่องนี้แปลกพิสดารเหลือเกิน เพิ่งผ่านไปครึ่งวันก็แพร่กระจายไปทุกตรอกซอกซอยในเมืองหลวงแล้ว
ยามนี้หลันซงเฉวียนนอนอยู่บนตั่งด้วยสีหน้าสำราญใจ มีอนุสวมแต่เสื้อเอี๊ยมบังทรงกับกางเกงผ้าไหมหลายคนบ้างนวดขาทุบไหล่ บ้างป้อนน้ำกับของกิน รุมล้อมปรนนิบัติพัดวีเขาอย่างถึงอกถึงใจ
ทันใดนั้นประตูถูกถีบเปิดออก เหล่าอนุตกใจร้องอุทานพลางวิ่งไปซ่อนตัวกันจ้าละหวั่น
หลันซานเดินกระย่องกระแย่งเข้ามา สะบัดฝ่ามือตบหน้าบุตรชายฉาดหนึ่ง “เจ้าลูกบัดซบ! ด้านนอกเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว เจ้ายังอยู่ที่นี่มัวเมาไม่ลืมหูลืมตาอีก!”
บทที่ 769
หลันซงเฉวียนถูกบิดาตบหน้าก็งุนงงไปหมด
หลันซานชี้หน้าด่าเขาเสียงดังลั่น “เจ้าไปพัวพันกับคนจำพวกใดกัน มีแต่พวกอันธพาลไร้สติปัญญา! ส่วนเจ้าก็เลอะเลือนนัก รู้ทั้งรู้ว่าเจ้าพวกนั้นทำงานเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายก็รีบๆ จ่ายเงินไล่กลับไปเสีย แต่นี่เจ้ากลับโกงเงินพวกเขา ทีนี้เป็นอย่างไรเล่า รองเสนาบดีกรมโยธาโดนโจรป่าฟ้องร้อง ช่างเชิดหน้าชูตาเสียนี่กระไร!”
“โกงเงินอะไร แล้วโดนโจรป่าฟ้องร้องคืออะไรขอรับ” หลันซงเฉวียนงุนงงมากขึ้น พอไต่ถามได้ความกระจ่างเขาก็เต้นผางๆ “ท่านพ่อ เรื่องนี้มีคนวางอุบายเล่นงานข้า!”
เขารีบเรียกคนสนิทมาถามให้รู้เรื่อง หลังกระจ่างแจ้งก็ตามหาสามคนนั้น แต่พวกเขาออกจากเมืองหลวงไปนานแล้ว
หลันซงเฉวียนวางอำนาจบาตรใหญ่ทั้งในและนอกราชสำนักมานานหลายปี เคยต้องทนยอมเสียเปรียบอย่างนี้ที่ใดกัน เขาย่ำเท้าวนไปวนมาด้วยความหัวเสีย
“นี่ก็ไม่มีอะไร คำพูดของโจรป่าผู้หนึ่งใครจะถือเป็นจริงเป็นจัง พวกเขาไม่มีหลักฐานสักหน่อย” พอสงบสติอารมณ์ลงได้เล็กน้อยหลันซงเฉวียนก็ทุบเท้าแขนเก้าอี้
หลันซานกลับไม่มองในแง่ดีเช่นบุตรชาย เขากล่าวทอดถอนใจ “เกรงแต่ว่าคนอื่นจะอ้างจุดนี้มาทำเป็นเรื่องใหญ่น่ะสิ”
ในช่วงเวลานานหลายปีมานี้ที่กุมอำนาจในราชสำนัก โดยเฉพาะเวลาประชุมขุนนาง เคยมีคนที่เรียกกันว่าเป็นขุนนางสุจริตกับแม่ทัพที่จงรักภักดีถวายฎีการ้องเรียนสองพ่อลูกเป็นจำนวนไม่น้อย แต่พวกเขาก็อยู่รอดปลอดภัยมาโดยตลอด
อาศัยสิ่งใดเล่า แน่นอนว่าคือความโปรดปรานของฮ่องเต้
แม้นไม่กี่ปีมานี้คนที่กล้าหาเรื่องพวกเขาพ่อลูกนับวันยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ ทว่าในใจของหลันซานกลับหนักอึ้งอยู่บ้าง เพราะเขารับรู้ได้อย่างเฉียบไวว่าในช่วงปีสองปีมานี้ความโปรดปรานที่ฮ่องเต้มีต่อพวกเขาเทียบกับในกาลก่อนไม่ได้แล้ว
สำหรับท่านผู้นั้นถูกผิดมักไม่สำคัญ ถูกใจต่างหากถึงสำคัญ
การดุด่าตำหนิและตัดเบี้ยหวัดหลายครั้งติดๆ กันทำให้หลันซานรู้สึกรางๆ ว่าชักไม่ได้การ
และแล้วลางสังหรณ์ของหลันซานก็กลายเป็นความจริงอย่างรวดเร็ว หลันซงเฉวียนถูกโจรป่าฟ้องร้องเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ถึงแม้โจรผู้นั้นโดนจับเข้าคุกหลวงรอรับโทษประหาร แต่ไม่นานนักก็มีคนถวายฎีการ้องเรียนหลันซงเฉวียนอีก
คนที่ถวายฎีการ้องเรียนหลันซงเฉวียนคือฉือชั่นบุตรชายขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงนั่นเอง
ฉือชั่นปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งข้าหลวงตรวจสอบกรมโยธานี้เรียกได้ว่าเสมือนปลาได้น้ำ ในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งปีเขาก็ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘จอมจับผิด’ จนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาแล้ว
ในราชสำนักมีขุนนางทัดทานที่ตั้งข้อกล่าวหาทุกสองวันถวายฎีการ้องเรียนทุกสามวันผู้หนึ่งเช่นนี้ พวกเขาจะรู้สึกกดดันมากก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้
ข้อกล่าวหาที่ฉือชั่นฟ้องร้องหลันซงเฉวียนในครั้งนี้คือให้ร้ายอดีตผู้ตรวจการโอวหยางไห่ลับหลัง และเอาตัวโอวหยางเวยอวี่บุตรสาวของเขาไปขายให้หอคณิกา
โอวหยางไห่เคยเป็นผู้ตรวจการของสำนักตรวจการนครหลวง สองปีก่อนเขาโดนเนรเทศไปที่เมืองเป่ยติ้งเพราะถวายฎีการ้องเรียนหลันซานกับบุตรชาย ครึ่งปีก่อนกลับสิ้นชีพอย่างกะทันหัน จากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวของคนทั้งครอบครัวเขาอีกเลย
ระยะนี้อารมณ์ของฮ่องเต้หมิงคังขุ่นมัวอยู่ตลอดเพราะยังไม่รู้ชะตากรรมของรุ่ยอ๋อง คิดไม่ถึงว่าหลันซงเฉวียนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ส่วนว่ามันเป็นความจริงหรือไม่เขาหาได้สนใจไม่ ตอนนี้พอเขาเห็นหลันซงเฉวียนแล้วก็ต้องขัดหูขัดตาเป็นแน่
เหตุไฉนโจรป่าพวกนั้นไม่พาดพิงถึงคนอื่น จำเพาะต้องพาดพิงถึงหลันซงเฉวียนด้วยเล่า
พูดได้ว่าฉือชั่นถวายฎีกาในจังหวะที่เหมาะเจาะยิ่งนัก ฮ่องเต้หมิงคังฟังแล้วเหลือบเปลือกตาขึ้น โบกมือสั่งให้สามตุลาการสืบสวนเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด
ในโถงศาลโอวหยางเวยอวี่บุตรสาวของโอวหยางไห่สวมอาภรณ์สีขาวทั้งชุด กล่าวฟ้องร้องความผิดของหลันซงเฉวียนด้วยสุ้มเสียงแกมสะอื้น
“คุณหนูโอวหยาง ท่านบอกว่าบิดาของท่านตายเพราะรองเสนาบดีหลัน มีหลักฐานหรือไม่”
โอวหยางเวยอวี่ฟังแล้วในดวงตาฉายแววเคียดแค้นเข้ากระดูกดำวูบขึ้น
นางย่อมไม่มีหลักฐานมัดตัวอีกฝ่าย แต่เพียงตรองดูก็ต้องรู้ว่าคนที่เป็นต้นเหตุให้บิดาของนางจบชีวิตพวกนั้นจะทิ้งหลักฐานไว้ได้อย่างไร แต่นางมั่นใจว่าเป็นฝีมือของเจ้าเดรัจฉานแซ่หลัน
โอวหยางเวยอวี่มองไปทางหลันซงเฉวียนที่นั่งอยู่ด้านข้าง
เขาเหยียดยิ้มอย่างดูแคลนนาง
ไม่ผิด เขาเป็นคนสั่งให้สังหารโอวหยางไห่จริงๆ เขาเพียงอยากให้คนที่ยกตนว่ากระดูกแข็งพวกนั้นได้รู้ว่าก่อนจะตอแยกับพวกเขาพ่อลูกต้องคิดให้แจ่มแจ้งว่าต้องแลกกับอะไรบ้าง ถ้าทนเห็นบ้านแตกสาแหรกขาดได้ไหวค่อยว่ากัน
สังหารโอวหยางไห่เป็นเพียงการเชือดไก่ให้ลิงดู สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องแสนง่ายดายธรรมดาเหมือนการกินข้าวสักมื้อ ไหนเลยจะทิ้งหลักฐานเอาไว้เล่า
ยามนี้เขากลับอยากดูนักว่านางหญิงชั้นต่ำผู้นี้จะกล่าวหาเขาอย่างไร
“วันนั้นบิดาของข้ากลับจากสำนักศึกษายังปกติดีอยู่ชัดๆ แต่ตกดึกจู่ๆ ก็เริ่มกระอักเลือดทีละคำใหญ่ๆ ก่อนสิ้นลมท่านกล่าวทิ้งไว้คำหนึ่งว่าขนมโก๋ที่ลูกศิษย์ชื่อว่าชุยจยามอบให้ท่านมีปัญหา…”
โอวหยางเวยอวี่เช็ดน้ำตาก่อนกล่าวต่อ “บิดาข้าเพียงทันได้กล่าวคำนั้นจบก็จากไป ส่วนมารดาข้าเป็นลมล้มพับไปทันที วันต่อมาพี่ชายข้าไปถามหาลูกศิษย์ชื่อว่าชุยจยาผู้นั้นถึงรู้ว่าเขามาที่สำนักศึกษาได้ไม่กี่วัน ตอนนี้จะตามหาคนผู้นั้นกลับไม่พบตัวแล้ว”
เล่าถึงตรงนี้นางกัดริมฝีปากสุดแรง ตัวสั่นสะท้านน้อยๆ “ชุยจยาอ้างว่าตนฐานะยากจน คุกเข่าอยู่นอกสำนักศึกษานานสองชั่วยามจนบิดาข้าบังเกิดความสงสารถึงรับเขาเอาไว้ มิหนำซ้ำยังไม่เก็บเงินเขาสักแดงเดียว แม้แต่พู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกล้วนเป็นบิดาข้าจัดเตรียมให้เขาทั้งหมด น่าเศร้าที่บิดาข้ากลับชักศึกเข้าเรือน…”
โอวหยางเวยอวี่มีน้ำตาคลอเบ้า นางเงยหน้าขึ้นสบตาหยางอวิ้นจือรองเสนาบดีกรมอาญาซึ่งทำหน้าที่เป็นตุลาการ “ใต้เท้า ชุยจยามาถึงอย่างกะทันหันแล้วก็หายตัวไปอย่างมีพิรุธ อีกทั้งก่อนบิดาข้าตายยังบอกชัดว่าขนมโก๋ที่เขามอบให้มีปัญหา หรือว่านี่ยังบ่งบอกไม่ได้ว่าบิดาข้าถูกคนสังหารเจ้าคะ”
หลันซงเฉวียนฟังถึงตรงนี้แล้วแค่นหัวร่อเสียงหนึ่ง เขากวาดตามองหยางอวิ้นจือด้วยสายตาเรียบเฉย
หยางอวิ้นจือนึกสงสารเห็นใจสตรีที่คุกเข่ากับพื้นอยู่บ้าง
แม่นางน้อยผู้นี้ยังอายุน้อยกว่าหลานสาวของเขากลับต้องพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ เรียกได้ว่าตกอยู่ในสภาพน่าอนาถใจเหลือหลาย แต่อย่างไรนางยังไร้เดียงสานัก ไม่มีพยานหลักฐานจะฟ้องร้องเอาผิดหลันซงเฉวียนได้อย่างไร สุดท้ายเกรงว่ายังต้องโดนลงโทษเพราะใส่ร้ายผู้อื่นด้วยซ้ำ
“คุณหนูโอวหยาง จากที่ท่านกล่าว ลูกศิษย์ชื่อชุยจยาผู้นั้นอาจมีปัญหา แต่นี่เกี่ยวอันใดกับรองเสนาบดีหลันหรือ”
โอวหยางเวยอวี่หัวเราะเศร้าๆ “จะไม่เกี่ยวข้องกับเขาได้เช่นไร ภายหลังข้ากับพี่ชายจัดพิธีศพของบิดาพร้อมกับแจ้งทางการตามหาชุยจยาไปด้วย ใครจะรู้ว่ามีวันหนึ่งข้าถูกคนตีศีรษะสลบ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็อยู่ในหอคณิกาใหญ่ที่สุดในเมืองเป่ยติ้งไปแล้ว”
สายตาของคนในศาลที่มองไปทางโอวหยางเวยอวี่แฝงรอยแปลกๆ ระคนสงสารเวทนา
เคยเป็นบุตรสาวของผู้ตรวจการ บัดนี้กลับตกต่ำไปอยู่ในหอคณิกา เป็นชะตากรรมที่น่าสะเทือนใจยิ่ง
โอวหยางเวยอวี่ราวกับไม่แยแสสายตาเป็นนัยๆ ของทุกคน เหยียดแผ่นหลังตรงจ้องหน้าหลันซงเฉวียนเขม็ง “ข้าอยู่เหมือนตายทั้งเป็นในหอคณิกาสามวัน ในที่สุดก็ได้รับแขกคนแรก คนผู้นั้นคือเขา หลันซงเฉวียน บุตรชายของสมุหราชเลขาธิการหลันซาน!”
ถ้อยคำนี้ดังขึ้นในโถงศาลเกิดเสียงเซ็งแซ่ดังขรม ทุกคนพากันมองไปทางหลันซงเฉวียน
เขาพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย แม้แต่หางคิ้วก็ไม่กระดิกสักนิด “ถ้าพูดแต่ปากก็กล่าวโทษผู้อื่นได้ เช่นนั้นในคุกหลวงจะคุมขังผู้บริสุทธิ์ที่ถูกใส่ความไว้มากมายเท่าไรก็สุดรู้ ใต้เท้าหยาง ท่านปล่อยให้แม่เด็กน้อยผู้หนึ่งกล่าววาจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อน ดูหมิ่นขุนนางคนสำคัญของราชสำนักในศาลตามใจชอบหรือ”
เขาเสพสุขกับบุตรสาวของโอวหยางไห่แล้วมีอันใด ก็เขาตั้งใจจะเอาชีวิตคนที่เป็นปฏิปักษ์กับเขาแล้วยังเสพสุขกับบุตรสาวของคนผู้นั้น ให้คนที่งัดข้อกับเขากลายเป็นผีแล้วต้องหวาดกลัวและนึกเสียใจภายหลัง แต่กลับทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว!
ขณะเดียวกันก็ให้คนที่มีชีวิตอยู่ชั่งน้ำหนักให้ดีๆ ถึงจุดจบของการล่วงเกินเขา
“นั่นสิ คุณหนูโอวหยาง ท่านกล่าวทั้งหมดนี้โดยไร้หลักฐาน นั่นคือการใส่ร้ายขุนนางของราชสำนัก ต้องได้รับโทษนะ” หยางอวิ้นจือกล่าวเสียงขรึม
โอวหยางเวยอวี่สั่นเทิ้มไปทั้งร่างไม่หยุด ดวงตาที่จับจ้องหลันซงเฉวียนวาวโรจน์แทบจะเหมือนมีเปลวไฟลุกโชนอยู่
ท่ามกลางสายตาที่มองมาของทุกคน นางเหยียดยิ้มฉับพลัน “ใครบอกว่าข้าไม่มีหลักฐาน ข้ามี!”
* วีรบุรุษแห่งขุนเขา หมายถึงกลุ่มคนที่หนีขึ้นไปอยู่บนป่าแล้วดักปล้นคนรวยช่วยเหลือคนจน บางครั้งยังหมายถึงโจรป่า
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนธันวาคม 65)
Comments
comments
No tags for this post.