X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหอมเกศา

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 10

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 10

ทันใดนั้นเขาฉุกคิดขึ้นได้ว่าบุตรสาวตาบอดมองไม่เห็น ทั้งยังอยู่อย่างโดดเดี่ยวในชนบทสองปี ในใจคงขาดที่พึ่งพาเช่นกัน

หญิงตาบอดที่เริ่มอายุมากล้วนหมดหวังกับตนเองจนต้องฝากชีวิตไว้กับเงินทอง คงไม่ต่างกับขันทีในวังหลวงที่ละโมบเงินทองหลังจากหมดบารมี

ต้องโทษติงเพ่ยที่ใจร้อนเกินไป จะส่งนางกลับชนบทเร็วเพียงนี้ มิหนำซ้ำยังคิดจะปลดคนสนิทข้างกายของนางอีก เป็นใครก็ต้องวิ่งพล่านเหมือนสุนัขถูกน้ำร้อนลวก

เมื่อชั่งน้ำหนักดีแล้ว ซูหงเหมิงก็เอ่ยปากขึ้นในที่สุด “พอเสียทีเถิด ข้ายังมีลมหายใจอยู่ เจ้าทำเหมือนร้องไห้หน้าศพเช่นนี้ไปเพื่ออันใด ถ้าเจ้าคิดตำรับขี้ผึ้งหอมที่เข้าท่าออกมาได้จริงๆ จะตกรางวัลให้เจ้าก็เป็นเรื่องสมควร…แต่เจ้าขอหุ้นสามส่วนก็ไม่รู้จักหนักเบาเกินไป อย่างมากวันข้างหน้าในร้านขายขี้ผึ้งหอมใหม่ได้เท่าไรก็แบ่งกำไรให้เจ้าสองส่วน นี่เพียงพอให้เจ้าใช้สอยแล้ว สตรีนางหนึ่งจะเอาเงินมากมายเช่นนั้นไปทำอะไร พวกบุรุษที่ดื่มสุราเคล้านารีทุกวันยังไม่สิ้นเปลืองถึงเพียงนั้น”

ซูลั่วอวิ๋นเห็นบิดายอมตกปากรับคำแล้วนางก็ค่อยๆ หยุดสะอื้นไห้

ไม่เสียแรงที่นางหยดน้ำมันสมุนไพรหลายหยดบนผ้าเช็ดหน้าไว้ล่วงหน้า พอแตะที่หางตาก็ขอบตาแดงเรื่อด้วยความแสบทันใด มิฉะนั้นมารยาบีบน้ำตาพรรค์นี้ ชั่วชีวิตนี้นางฝึกอย่างไรก็ไม่มีวันทำได้

นางรู้จักบิดาดี บิดาละเอียดถี่ถ้วนเรื่องเงินทองมาก ไม่เคยยอมเสียเปรียบแม้สักเศษเสี้ยว!

ฉะนั้นพอซูหงเหมิงรับคำแล้วนางก็ไม่ดึงดันขอเงินมากขึ้นอีก ยอมรับกำไรสองส่วนจากขี้ผึ้งหอมกลิ่นใหม่แต่โดยดี ทว่านางยังมีคำขออีกเรื่องหนึ่ง…ฮูหยินใหญ่พูดมีเหตุผล ในช่วงหลายวันที่น้องสาวของนางจะออกเรือนนั่น นอกเรือนในเรือนจะต้องมีคนพลุกพล่านเป็นแน่ นางคงไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุข

นางอยากให้บิดาซื้อเรือนให้หลังหนึ่ง ไม่ต้องมีพื้นที่กว้างใหญ่และไม่จำเป็นต้องอยู่ในย่านคึกคักรุ่งเรือง แค่อยู่ได้อย่างสบายกายใจก็พอ

นางชมชอบความเงียบสงบ เมื่อบิดาซื้อเรือนให้ก็จะย้ายออกไปอยู่ตามลำพัง แน่นอนว่าโฉนดเรือนต้องเป็นชื่อของนาง

ซูหงเหมิงเคยชินกับความเจ้าปัญหาของบุตรสาวคนโตแล้ว แต่วันนี้นางก่อความวุ่นวายไม่หยุดหย่อน ชวนให้เขาเหลืออดจริงๆ

พอได้ยินซูลั่วอวิ๋นเรียกร้องอย่างได้คืบจะเอาศอกเช่นนี้ เขาก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมลง “สตรียังไม่ออกเรือนผู้หนึ่งจะแยกไปอยู่ตามลำพังหรือ เจ้าคิดได้อย่างไร เจ้าไม่อายแต่ข้ายังมียางอายอยู่”

ซูลั่วอวิ๋นกล่าว “อยู่ตามลำพังที่ไหนกันเจ้าคะ ข้าคิดอยู่ว่าปีหน้ากุยเยี่ยนต้องเข้าร่วมการสอบถงซื่อแล้ว เช่นนั้นก็ย้ายออกไปพร้อมกันเสีย ข้าจะได้ดูแลกวดขันให้เขาท่องตำราได้พอดี เมื่อครู่ฮูหยินใหญ่บอกว่าไฉ่เจียนจะออกเรือน นางมีงานล้นมืออยู่แล้ว กลัวว่าจะต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ข้ากับน้องชายย้ายออกไป ฮูหยินใหญ่จะได้เบาแรงขึ้น แน่นอนว่าวันหลังเรื่องการเปลี่ยนบ่าวไพร่ในเรือนก็ไม่จำเป็นต้องให้ฮูหยินใหญ่วุ่นวายใจเช่นกันเจ้าค่ะ”

ติงเพ่ยคิดจะขับไล่ไสส่งเถียนมามากับเซียงเฉ่าเป็นการตัดแขนตัดขาของนางรึ ไม่มีทาง!

ครั้งนี้ซูลั่วอวิ๋นตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะฉวยโอกาสนี้ย้ายออกไปให้ได้

ซูหงเหมิงนึกถึงท่าทางหัวช้าเวลาที่ซูกุยเยี่ยนท่องหนังสือแล้วก็รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าเช่นกัน ถ้าซูลั่วอวิ๋นอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ คอยควบคุมซูกุยเยี่ยนให้ตั้งใจเรียนก็ดีไม่น้อย…แต่ว่าซื้อเรือนต้องเปลืองเงินเปลืองทองอีกเท่าไรกัน

เหตุใดบุตรชายบุตรสาวที่เขาเลี้ยงดูมาแต่ละคนดุจดั่งผีซิว วันๆ กินเงินกันเก่งนัก

เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็คร้านจะปะทะคารมกับบุตรสาว เพียงพูดอย่างขอไปทีว่า “ข้าต้องลองคิดดูก่อน เจ้ากลับไปก่อนเถิด ไว้ข้าค่อยไปหาเจ้าอีกที”

ซูลั่วอวิ๋นถึงลุกขึ้นแล้วคารวะบิดา จากนั้นก็ให้เซียงเฉ่าประคองกลับไปยังเรือนของตนเอง

นางจากเรือนสกุลซูไปนานสองปี ยังไม่คุ้นเคยกับทางเดินของที่นี่ พอไม่มีหินกรวดที่ปูบนพื้นคอยบอกทาง นางก็จำต้องพยุงคนอื่นแล้วเดินช้าๆ

พอกลับถึงเรือน เถียนมามาก็กล่าวเสียงเบา “คุณหนูใหญ่ เพื่อพวกบ่าวแล้วท่านทำเช่นนี้เท่ากับฉีกหน้าแตกหักกับนายท่านแล้วนะเจ้าคะ”

ซูลั่วอวิ๋นแย้มยิ้มตรงไปหยิบพู่กันกับกระดาษมาเตรียมคัดอักษร นางรู้ว่าเถียนมามากำลังตำหนิตนเองอยู่ จึงเอ่ยเสียงอ่อนโยน

“ข้าไม่ได้ทำเพื่อรั้งตัวพวกเจ้าไว้เสียทีเดียว ปีหน้ากุยเยี่ยนต้องสอบถงซื่อแล้ว ฮูหยินใหญ่อ้างว่าเขาปัญญาทึบ กลัวจะถ่วงเวลาเรียนของสองพี่น้องคู่นั้น ไม่อยากให้เขาเรียนหนังสือพร้อมกับจิ่นกวนและจิ่นเฉิงต่อ เมื่อวานข้าได้ยินจิ่นเฉิงหลุดปากว่ามารดาของเขาจะจ้างบัณฑิตซิ่วไฉสอบตกคนหนึ่งมาสอนกุยเยี่ยนคนเดียว แต่นางจะเชิญอาจารย์ดีๆ ที่ไหนมาสอนกุยเยี่ยนเล่า ถ้าพวกเราออกไปอยู่กันเองจะได้จ้างอาจารย์ดีๆ สักคนมาสอนพิเศษให้กุยเยี่ยนได้”

เซียงเฉ่าพูดอย่างไม่วางใจ “แต่ท่านเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน แต่กลับจะซื้อเรือนแยกไปอยู่ตามลำพัง…แล้วเรื่องชื่อเสียงจะทำอย่างไร นายท่านกับฮูหยินจะตอบตกลงหรือไม่เจ้าคะ”

ซูลั่วอวิ๋นหลับตาลงพลางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “พี่สาวเล่าเรียนเป็นเพื่อนน้องชายก็มีมาแต่โบราณ ไม่นับว่าออกนอกลู่นอกทาง อีกอย่างมารดาเลี้ยงของข้าคนนั้นน่าจะพูดเกลี้ยกล่อมท่านพ่อแทนข้าแล้วกระมัง…”

วันนี้ติงเพ่ยขับไล่นาง ถึงจะใจร้อนเกินไปบ้างแต่ก็มีเหตุผลอยู่ วันมงคลของซูไฉ่เจียนใกล้เข้ามา คนสกุลลู่ต้องมาที่จวนบ่อยๆ หากซูลั่วอวิ๋นกับลู่ซื่อได้พบหน้ากันหลายครั้ง ซูไฉ่เจียนคงได้ปีนขึ้นไปบนหลังคาตีอกชกหัวร้องไห้ฟูมฟายเป็นแน่

ติงเพ่ยไม่อยากให้ซูลั่วอวิ๋นพบคนสกุลลู่บ่อยๆ จึงคิดจะส่งนางกลับบ้านเดิมอย่างอดรนทนไม่ไหว

อีกประการหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ติงเพ่ยเพิ่งทุ่มเงินก้อนใหญ่จ้างปราชญ์ชื่อดังผู้หนึ่งมาสอนหนังสือให้สองพี่น้องซูจิ่นกวนกับซูจิ่นเฉิง ถ้าต้องสอนศิษย์สามคนก็จะเสียสมาธิเป็นแน่ ติงเพ่ยถึงคิดจะจ้างบัณฑิตซิ่วไฉสอบตกอีกคนแล้วเขี่ยซูกุยเยี่ยนออกไป

ดังนั้นถ้าซูกุยเยี่ยนออกจากจวนไปเรียนหนังสือที่อื่นอย่างรู้กาลเทศะ เกรงว่าติงเพ่ยอยากให้เป็นเช่นนี้ใจจะขาด นางถึงพูดเกริ่นขึ้นเล็กน้อย ส่วนที่เหลือก็ยกให้เป็นหน้าที่ของมารดาเลี้ยง

ว่ากันว่าหลังจากกลับถึงห้องวันนั้นติงเพ่ยกับบิดามีปากเสียงกันยกหนึ่ง บิดาน่าจะกล่าวโทษที่ติงเพ่ยไล่ตะเพิดนางเร็วเพียงนี้ เป็นการล่วงเกินบุตรสาวคนโตเสียแล้ว

แต่ติงเพ่ยเป็นสตรีวัยกลางคนที่ยังทรงเสน่ห์ไม่สร่างซา เนื้อกายนวลเนียนเต่งตึง ยามร่ำไห้หลั่งน้ำตาอาบหน้าดุจน้ำค้างเกาะผิวหยก นางพร่ำพรรณนาถึงความเจ็บช้ำน้ำใจนานับประการของผู้เป็นมารดาเลี้ยงไม่หยุด

ท้ายที่สุดซูหงเหมิงต้องเป็นฝ่ายใจอ่อนพูดพะเน้าพะนอเอาใจนางอย่างช่วยไม่ได้

ส่วนสองสามีภรรยาพูดคุยส่วนตัวกันว่าอย่างไรบ้างนั้น คนนอกไม่อาจล่วงรู้ได้ แต่สุดท้ายซูหงเหมิงก็ตกลงตามคำขอของซูลั่วอวิ๋น สำหรับเรือนที่ซื้อให้ก็เป็นเรือนหลังเล็กที่เก่ามากในตรอกเถียนสุ่ย

ว่ากันว่าเป็นเรือนราคาถูกเหลือหลาย ตอนนายหน้าค้าเรือนเสนอให้ ซูหงเหมิงไม่แม้แต่จะไปดูก็จับจองทันที เขาบอกกับบุตรสาวว่าอย่าเลือกมากนัก ไว้นางไปอยู่แล้วค่อยเบิกเงินกองกลางไปซ่อมแซมก็พอ

แน่นอนว่าบุตรชายบุตรสาวของภรรยาผู้ล่วงลับแยกออกไปอยู่ข้างนอกก็ต้องมีเหตุผลที่เหมาะสม เขาเพียงบอกว่าบุตรชายของอดีตภรรยาเอกซูกุยเยี่ยนไม่สะดวกใจที่จะอยู่ในจวนอึกทึก ถึงได้ซื้อเรือนให้เขาเรียนหนังสือโดยเฉพาะ ส่วนซูลั่วอวิ๋นเป็นห่วงน้องชายจึงย้ายตามออกไปดูแลกวดขันการเรียนของเขา

เมื่อเป็นเช่นนี้จะได้ดูเหมือนว่านายท่านใหญ่สกุลซูเอ็นดูตามใจบุตรของภรรยาผู้ล่วงลับ เป็นบิดาที่มีความรักล้นเหลือต่อบุตรทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน

ถึงซูลั่วอวิ๋นจะมองไม่เห็น แต่วันที่ไปดูเรือนได้ยินเสียงประตูเอี๊ยดอ๊าดกับเสียงถอนหายใจไม่หยุดของเถียนมามากับเซียงเฉ่า นางก็รู้ว่าเรือนหลังนี้คงจะทรุดโทรมเป็นอันมาก ไม่ได้กว้างขวางน่าอยู่อย่างจวนสกุลซู

แต่บิดาผู้ตระหนี่ถี่เหนียวยอมกัดฟันควักถุงเงินก็ควรค่าแก่การฉลองแล้ว ซูลั่วอวิ๋นได้กลิ่นอับชื้นจางๆ ภายในเรือนก็คลายยิ้มแล้วเอ่ยปลอบเถียนมามา

โชคดีที่หลังจากช่างไม้ที่จ้างมาสำรวจตรวจตราจนทั่วไปรอบหนึ่งบอกว่าโครงเสาใหญ่ของเรือนยังดีอยู่ ส่วนจุดที่ชำรุดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นแค่ซ่อมแซมสักหน่อยก็ได้แล้ว

ขณะมองดูลานเรือนที่เก่าทรุดโทรมไปบ้าง ซูกุยเยี่ยนกลับรู้สึกเบิกบานใจอย่างยิ่ง เขาพูดว่าขอแค่ตอนฝนตกไม่มีน้ำรั่วก็คือเรือนที่ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องจู้จี้มากความ

ซูกุยเยี่ยนอยู่ในจวนสกุลซูถูกบุตรชายสองคนของมารดาเลี้ยงรังแกมานาน ในใจเขาไม่มีความสุขนัก พอคิดว่าจะได้ย้ายออกมาอยู่กับพี่สาวแล้ว มีหรือจะสนใจอีกว่าเรือนจะเก่าทรุดโทรมอย่างไร

ซูลั่วอวิ๋นยิ้มน้อยๆ ฟังเสียงน้องชายพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด ความร่าเริงสดใสประหนึ่งนกน้อยเช่นนี้ถึงจะคล้ายเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ทำให้นางหาได้นึกเสียใจไม่ที่ย้ายออกมา

อันที่จริงนางก็คิดเหมือนกับน้องชาย ไม่อยากอยู่ในจวนสกุลซูแม้แต่วันเดียว ด้วยเหตุนี้ยังไม่ทันซ่อมเรือนเสร็จ เพียงปัดกวาดเช็ดถูเล็กน้อยก็ย้ายเข้ามาอยู่แล้ว ตั้งใจว่าจะอยู่ไปซ่อมแซมไป

แต่เพราะทางติงเพ่ยใจจดใจจ่ออยู่กับการเตรียมสินเดิมเจ้าสาว พักนี้ดูเหมือนว่าเงินทองจะติดขัด เงินใช้สอยรายเดือนของซูลั่วอวิ๋นมักจะจ่ายให้ไม่ค่อยตรงเวลา

ตอนเถียนมามาเบิกเงินได้แล้ว ติงเพ่ยก็บอกอย่างตรงไปตรงมาว่าเงินค่าซ่อมแซมเรือนต้องรอไปก่อน

ซูลั่วอวิ๋นคร้านจะถือสาหาความกับมารดาเลี้ยงด้วยเรื่องเงินเล็กน้อย วันที่ย้ายมานางจึงเอาเงินส่วนตัวให้เถียนมามาไปซื้อสุราอาหาร

ตกเย็นทุกคนจึงกินอาหารพลางพูดคุยยิ้มหัวกันอย่างสำราญใจ จากนั้นต่างคนต่างก็ไปเข้านอน

คนโบราณกล่าวไว้ว่าเรือนจะเป็นเรือนที่ดีหรือไม่นั้นต้องอาศัยอยู่เองจึงจะรู้ได้ คำกล่าวนี้ไม่ผิดจริงๆ!

ตอนซูลั่วอวิ๋นนอนลงบนเตียงที่ไม่คุ้นเคย นางต้องพลิกกายไปมาครู่หนึ่งถึงหลับลงได้ แต่ไม่ทันไรก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงบรรเลงดนตรีดังขึ้นมา

นางแหวกม่านหน้าเตียงส่งเสียงถามเซียงเฉ่าที่นอนอยู่ห้องเล็กด้านข้าง “ดึกดื่นเพียงนี้เสียงเพลงดังมาจากที่ใด”

เซียงเฉ่ารีบเอาเสื้อคลุมกายให้มิดชิดก่อนจะเดินไปทางต้นเสียงแล้วมองหาจนทั่ว สุดท้ายก็พบว่าเสียงดนตรีดังมาจากกำแพงทางลานเรือนทิศตะวันตก

ที่แท้เพื่อนบ้านทางทิศตะวันตกของเรือนหลังนี้เป็นจวนหลังใหญ่ในตรอกชิงอวี๋ ภายในมีแสงไฟสว่างไสวคล้ายว่ามีคนกำลังร่ำสุราสรวลเสเฮฮาอยู่ในสวน

เซียงเฉ่ายืนบนขั้นบันไดก็มองเห็นไม่ชัด เห็นเพียงสตรีสวมเสื้อคลุมบางเบาอวดลำคอและท่อนแขนขาวผ่องกลุ่มหนึ่ง ต่างดื่มสุราเมามายจนนัยน์ตาฉ่ำปรือ หัวเราะเสียงดังอิงแอบคลอเคลียอยู่กับเหล่าบุรุษ บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของการลุ่มหลงมึนเมา

เซียงเฉ่ากระดากอายจนไม่กล้ามองต่อ เร่งรีบลงบันไดไปบอกกล่าวคุณหนูใหญ่

ซูลั่วอวิ๋นขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนหน้านี้นางมาดูเรือนยามกลางวันเสมอ ไม่รู้จริงๆ ว่าตรอกที่ดูเหมือนสงบเงียบแห่งนี้ในยามราตรีกลับกลายเป็นที่มั่วสุมเสื่อมศีลธรรมประหนึ่งถ้ำนางปีศาจแมงมุม

เพียงแต่ว่าเจ้าของเรือนเป็นใครกันถึงได้ดื่มฉลองสังสรรค์กันทั้งคืน ประพฤติตนฟุ้งเฟ้อเช่นนี้

 

วันรุ่งขึ้น ซูลั่วอวิ๋นให้เถียนมามาไปคุยสัพเพเหระกับพวกหญิงชาวบ้านวัยกลางคนที่จ่ายตลาดอยู่ตรงปากตรอก ถึงได้รู้ว่าเพื่อนบ้านเจ้าปัญหาที่อยู่ในจวนติดกับลานเรือนทิศตะวันตกของเรือนนางเป็นบุตรหลานชนรุ่นหลังของอดีตฮ่องเต้เว่ยจง

“เป็นเป่ยเจิ้นอ๋องซื่อจื่อผู้นั้นเจ้าค่ะ เข้าเมืองหลวงมาศึกษาเล่าเรียน ฮ่องเต้จึงพระราชทานจวนในตรอกชิงอวี๋ที่ติดกับเรือนเราให้พำนักชั่วคราว นับตั้งแต่ท่านผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ผู้นั้นมาอยู่ ในตรอกนี้แทบจะจัดงานเลี้ยงร้องรำทำเพลงทุกค่ำคืน ส่งเสียงดังรบกวนผู้คนจนนอนหลับไม่เป็นสุข แต่นั่นเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ชาวบ้านทั่วไปเช่นพวกเราจะสู้รบปรบมือกับเขาก็คงไม่ไหว คนที่ทนไม่ไหวล้วนย้ายเรือนหนีไปกันหมดแล้ว”

ได้ฟังคำรายงานของเถียนมามา ซูลั่วอวิ๋นก็สูดลมหายใจลึกๆ คราหนึ่ง มิน่าเล่าเจ้าของเรือนคนเดิมถึงตัดใจขายให้ในราคาถูกเช่นนี้ ที่แท้เรือนหลังนี้อยู่ติดกับพญาวานรขนทองจอมอันธพาลนี่เอง

นางนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นตอนเห็นหานซื่อจื่อดีดพิณ ‘ขอทาน’ ข้างถนนขึ้นมาได้โดยพลัน ดูท่าว่าบุรุษเสเพลผู้นี้ช่างสรรหาวิธีสร้างความบันเทิงเริงใจได้นานาสารพัดไม่สิ้นสุดดีแท้!

เรื่องอื่นยังพอทำเนา แต่ถ้าหากน้องชายของนางไม่ได้นอนหลับพักผ่อนจะเตรียมตัวสอบดีๆ ได้อย่างไร

ซูลั่วอวิ๋นออกจากเมืองหลวงสองปี ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของซื่อจื่อที่มาอยู่เมืองหลวงหลังนางจากไปเพียงไม่นานผู้นี้ แต่ก็เป็นดังเช่นคำกล่าวของเพื่อนบ้านใกล้เคียง สามัญชนจะไปตอแยกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงได้อย่างไร ถึงร้องรำทำเพลงกันทุกราตรีก็ต้องอดทนไว้

 

หลายวันต่อมา ขอบตาของซูลั่วอวิ๋นเริ่มมีรอยคล้ำ ทว่าทางด้านซูกุยเยี่ยนนั้นอย่างไรก็อายุยังน้อย กลับนอนหลับได้สนิท ทุกคืนล้วนอยู่ในห้วงนิทราอย่างแสนสุข

โชคดีที่เพื่อนบ้านผู้นั้นใช้ชีวิตกลางวันกลางคืนสลับกัน ช่วงกลางวันจึงค่อนข้างเงียบสงบ ซูลั่วอวิ๋นเห็นว่าไม่ถ่วงการเรียนของน้องชายก็พอ ส่วนนางที่มีประสาทหูฉับไวได้แต่นอนหลับชดเชยในยามกลางวันไปก่อนที่จะมีปัญญาซื้อเรือนหลังใหม่ได้

น่าเสียดายที่นางไม่มีเวลาพักผ่อนสักเท่าไร เพราะต้องลงมือปรุงขี้ผึ้งหอมถวายองค์หญิงอวี๋หยางด้วยตนเอง

ยามรุ่งสางของทุกวันต่อให้ศีรษะวิงเวียน นางก็ต้องตื่นไปที่ร้านเพื่อปรุงเครื่องหอม

ซูลั่วอวิ๋นคิดว่าในอดีตมารดายอมเปิดเผยตำรับเครื่องหอมที่คิดค้นขึ้นเอง ทว่าในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตแม้แต่บ้านเดิมของตนเองก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ นางจึงยึดถือเป็นข้อต้องห้ามอย่างเคร่งครัดด้วยเหตุนี้

แม้ว่านางจะตอบตกลงคิดตำรับปรุงเครื่องหอม แต่ไม่ได้มอบให้ร้านโส่วเว่ย นางพาเถียนมามากับเซียงเฉ่าเข้าไปในห้องคลังเก็บเครื่องหอมแล้วหยิบส่วนผสมมาปรุงเอง

นอนหลับไม่เต็มอิ่มแต่ยังต้องฝืนลุกจากเตียงนั้นช่างเป็นความรู้สึกที่ทรมานเสียจริง วันหนึ่งเซียงเฉ่าตักน้ำเตรียมตัวปรนนิบัติคุณหนูยามตื่นนอน ทว่ากลับเห็นนางยังนอนซมอยู่ในผ้าห่ม

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: