บทที่ 3
คนที่เพิ่งเดินเข้ามาผู้นี้คือซูลั่วอวิ๋น บุตรสาวคนโตที่ถูกขับไล่ไสส่งกลับบ้านเดิมนั่นเอง
นิ้วชี้ของซูหงเหมิงยื่นมาเกือบจะชิดหน้านางแล้ว ทว่านางยังคงมองตรงไปข้างหน้าดังเดิมพลางยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“ท่านพ่อกล่าวล้อเล่นแล้ว ตอนนั้นท่านเคยเชิญหมอฝีมือดีมาตรวจอาการให้ข้า เส้นลมปราณของข้าอุดตันเพราะสมองได้รับความกระทบกระเทือน คงมองไม่เห็นไปตลอดชีวิต”
“พี่ลั่วอวิ๋น เมื่อครู่ตอนท่านเข้ามาราวกับเดินบนพื้นราบเรียบอย่างไรอย่างนั้น เหมือนคนตาบอดที่ใดกัน…” ซูจิ่นเฉิงน้องคนเล็กอ้าปากโพล่งขึ้นอย่างอดไม่ได้
เขาพูดไม่ทันจบก็ถูกซูกุยเยี่ยนที่อยู่ด้านข้างผลักเต็มแรงคราหนึ่ง “ห้ามเรียกพี่สาวข้าว่าคนตาบอด!”
ซูลั่วอวิ๋นไม่ปล่อยให้น้องชายโวยวายต่อ นางเดินอ้อมเก้าอี้มาหา ยกมือคลำใบหน้าเขาแล้วคลี่ยิ้มพลางพูด “น้องสามกล่าวไม่ผิด ดวงตามองไม่เห็นไม่ใช่คนตาบอดแล้วจะเป็นอะไร กุยเยี่ยน เจ้าตัวสูงถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดยังพูดเอะอะเสียงดังกับน้องสามเหมือนเด็กน้อยอีกเล่า มาให้ข้าจับตัวเจ้าดูสักคราว่าอ้วนพีขึ้นหรือไม่”
ท่าทางที่ยอมรับความจริงว่าตนตาบอดอย่างสงบเยือกเย็นเช่นนี้ไม่คล้ายบุตรสาวคนโตของสกุลซูที่กลายเป็นคนอารมณ์ร้ายหลังดวงตามองไม่เห็นคนนั้นในความทรงจำของคนสกุลซูเลยสักนิด
ประหนึ่งว่าเวลาสองปีนี้ช่วยเคี่ยวกรำเด็กสาวผู้โชคร้ายนางนี้ให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา
ตอนนี้เองติงซื่อก็เริ่มสั่งสอนซูจิ่นเฉิงอย่างไม่หนักไม่เบา ห้ามไม่ให้เขาไร้มารยาทต่อพี่สาวคนโต
ซูลั่วอวิ๋นลูบแก้มตอบๆ ของน้องชายอย่างไม่ใคร่พึงใจเสร็จแล้วก็หันกายไปยืนด้านข้างซูหงเหมิง ดวงตามองไปในความว่างเปล่า จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างอ่อนน้อม
“ท่านพ่อเดินทางมาถึงที่นี่รู้สึกเหนื่อยล้าหรือไม่เจ้าคะ ข้านำชาขมบนเขามาด้วยพอดี หากชงกับโก่วฉี่ และพุทราเชื่อมจะได้รสชาติอีกแบบหนึ่ง ดื่มแล้วชื่นใจเจ้าค่ะ”
ขณะที่เริ่มชงชา ทุกคนนั่งลงล้อมวงรอบโต๊ะมองไปทางซูลั่วอวิ๋นซึ่งรินน้ำชงชาด้วยตนเองอย่างคล่องแคล่วลื่นไหล ไม่เห็นอาการเก้ๆ กังๆ แม้สักนิดเดียว
ซูหงเหมิงถามขึ้น “ดวงตาเจ้ายังไม่หายดีหรือ แต่ข้าดูเจ้าแล้ว…ตอนนี้เป็นปกติดีเหลือเกิน” ถ้าซูลั่วอวิ๋นยังตาบอดอยู่ เหตุใดถึงเดินเหินและทำอะไรได้ตามสบายเช่นนี้ จะไม่ฉงนสงสัยก็คงไม่ได้
ซูลั่วอวิ๋นยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวตอบ “ข้าพำนักในเรือนหลังเก่านี้มานานสองปีย่อมคุ้นเคยเป็นธรรมดา ปกติเดินไปไหนมาไหนก็ไม่เป็นปัญหา แต่หากเป็นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยยังต้องใช้มือคลำทางอยู่ สำหรับเรื่องชงชานี้ยิ่งง่ายดาย บนถาดน้ำชามีลวดลายและทุกครั้งสาวใช้จะวางถ้วยชาในตำแหน่งเดิมเสมอ เพื่อให้ข้าหยิบจับได้สะดวกเจ้าค่ะ”
ซูหงเหมิงฟังแล้วต้องพยักหน้าคล้อยตามอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรบุตรสาวคนโตก็ดูเหมือนจะยอมรับความจริงว่าตนเองตาบอดได้แล้วและเปลี่ยนเป็นคนมีเหตุผลขึ้นมาก เรื่องนี้ทำให้ผู้เป็นบิดาปลาบปลื้มใจอยู่บ้างในที่สุด
ยามมองดูบุตรสาวคนโตในเวลานี้ ซูหงเหมิงก็ทอดถอนใจ…หากซูลั่วอวิ๋นไม่ได้ตาบอด รูปโฉมที่โดดเด่นเหนือใครปานนี้จะแต่งเข้าจวนอ๋องก็ยังได้!
ด้วยเหตุนี้การพบหน้าระหว่างบิดากับบุตรสาวที่นึกภาพกันไว้ว่าต้องเชือดเฉือนฟาดฟันกันจึงกลับกลายเป็นอบอุ่นชื่นมื่น บรรยากาศเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่เมตตาและกลมเกลียวปรองดอง
ซูลั่วอวิ๋นไม่เพียงปฏิบัติต่อบิดาเช่นนี้ นางยังวางตัวสมเป็นพี่สาวคนโตที่ดีกับมารดาเลี้ยงและพวกน้องชายน้องสาว ไม่หลงเหลือความก้าวร้าวเจ้าอารมณ์ตอนแยกจากกันเมื่อสองปีก่อนให้เห็นสักเศษเสี้ยว
ตอนแรกซูหงเหมิงเตรียมตัวเตรียมใจไว้ว่าต้องทะเลาะกับบุตรสาวสักยกหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าในช่วงสองปีมานี้บุตรสาวคนโตจะขัดเกลาตนเองจนกลายเป็นคนสุขุมหนักแน่นและมีมารยาทมากกว่าตอนก่อนตาบอดเสียอีก เขาลูบเคราอย่างพึงพอใจ รู้สึกว่าเส้นทางขุนนางสะดวกไร้อุปสรรค กระทั่งเรื่องในครอบครัวก็ราบรื่นไม่น้อย
ติงเพ่ยก็มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า ทว่านางนึกแปลกใจอยู่ครามครัน…ถ้าบอกว่าอยู่เรือนหลังเก่าจนคุ้นเคยแล้ว ซูลั่วอวิ๋นจะจดจำตำแหน่งการจัดวางสิ่งของได้ก็มีเหตุผลพอเข้าใจกันอยู่
แต่เพราะเมื่อครู่เอาพรมผืนหนามาปูพื้น หินกรวดที่ใช้เป็นเครื่องหมายก็หมดประโยชน์ใดๆ เครื่องเรือนทุกจุดก็ย้ายตำแหน่ง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่ายังมีอ่างน้ำตรงข้างประตูด้วย หากไม่ระวังเพียงนิดเดียวอาจเหยียบอ่างจนล้มคว่ำได้ ซูลั่วอวิ๋นคนนี้ตาบอดจริงหรือ เหตุใดถึงเคลื่อนกายไปมาอย่างเยือกเย็นตามสบายราวกับเดินอยู่บนพื้นโล่งเตียนได้เล่า
ความจริงไม่ใช่แค่นางเท่านั้นที่มีข้อกังขานี้ แม้แต่ซูกุยเยี่ยนน้องชายแท้ๆ ก็บังเกิดความงุนงงในใจ
โดยเฉพาะหลังจากกินอาหารเสร็จแล้วเดินเล่นอยู่ในลานเรือน ซูลั่วอวิ๋นเดินด้วยฝีเท้าคล่องแคล่วว่องไวอย่างมั่นใจ ตอนเดินผ่านบ่อปลากับแปลงบุปผายังแย้มยิ้มยกมือชี้บอกบิดาว่ามีการปรับปรุงซ่อมแซมเล็กๆ น้อยๆ ตรงจุดใดของเรือนหลังเก่าบ้าง
หากมิใช่ล่วงรู้มาก่อน ใครจะนึกว่าสตรีที่พูดจาฉาดฉานนางนี้เป็นคนตาบอดเล่า
รอจนกระทั่งคนอื่นๆ พากันกลับห้องพักผ่อน ซูกุยเยี่ยนถึงมีเวลาอยู่กับพี่สาวตามลำพัง เขาถามนางอย่างอดใจรอไม่ไหวทันทีว่าดวงตาของนางอาการดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่
ซูลั่วอวิ๋นยิ้มขื่นๆ “คนตาบอดจำเป็นต้องใช้มือคลำทางเงอะๆ งะๆ ถึงจะเหมือนคนตาบอดเช่นนั้นหรือ ถึงแม้เครื่องเรือนในห้องโถงใหญ่จะเปลี่ยนที่วาง แต่เถียนมามาพาสาวใช้ไปสำรวจดูความเปลี่ยนแปลงในห้องโถงใหญ่ล่วงหน้าแล้วกลับมารายงานให้ข้ารู้ และเจ้าคงไม่สังเกตว่าเซียงเฉ่าสาวใช้ด้านหลังข้าจะกระแอมกระไอเป็นระยะ ถ้าตรงหน้ามีสิ่งกีดขวาง นางจะคอยเตือนข้าด้วยวิธีนี้ จะถือว่านางเป็นดวงตาอีกคู่หนึ่งของข้าก็ว่าได้”
ซูกุยเยี่ยนได้ฟังคำอธิบายของพี่สาวแล้วก็อดผิดหวังไม่ได้ เขามองดูนางด้วยจิตใจที่ระคนไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
แต่ซูลั่วอวิ๋นกลับพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ตอนท่านแม่ตั้งชื่อให้ข้าคงจะมองเห็นชะตากรรมของข้าในอนาคตล่วงหน้า ถึงได้ตั้งชื่อว่าลั่วอวิ๋น* จริงอยู่ว่ารสชาติของการตกสวรรค์จะทำใจยอมรับได้ยาก แต่การล้มลงคลุกฝุ่นดินนับเป็นความโชคดีในอีกทางหนึ่ง ถึงข้าจะตาบอด ทว่าสองปีที่อยู่อย่างสงบในชนบทกลับขบคิดเรื่องต่างๆ ได้กระจ่างแจ้ง…”
ซูกุยเยี่ยนมุ่นคิ้วพลางไต่ถาม “ท่านคิดอะไรได้กระจ่างแจ้งหรือ เกี่ยวกับ…ไฉ่เจียนใช่หรือไม่ขอรับ”
พี่สาวของเขาเกิดอุบัติเหตุขึ้นที่เรือนของซูไฉ่เจียนนั่นเอง ตอนนั้นสกุลลู่จะมาพูดคุยทาบทามเรื่องการแต่งงาน เมื่อสิบปีที่แล้วนายท่านทั้งสองตระกูลเพียงตกลงเกี่ยวดองกัน แต่ยังไม่เจาะจงว่าจะสู่ขอบุตรสาวคนใดของสกุลซูไปเป็นลูกสะใภ้ของสกุลลู่
คุณชายลู่ถูกตาต้องใจคนพี่ แต่ลู่ฮูหยินพึงใจคนน้องมากกว่าเพราะมีสายสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีกับติงซื่อ
กระนั้นผู้เป็นมารดาไม่อาจขัดใจบุตรชายได้ สุดท้ายจึงตกลงใจเลือกพี่สาว ซูไฉ่เจียนมีใจเสน่หาต่อคุณชายลู่ หลังจากนางรู้เรื่องนี้แล้วก็มาร้องไห้ก่อกวนพี่สาว จากนั้นก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น
เนื่องจากขณะนั้นอยู่ที่เรือนของคุณหนูรอง นอกจากคนในเรือนนางแล้วก็ไม่มีใครเห็นว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร
ภายหลังทุกคนเพียงฟังจากคำบอกเล่าของสี่เชวี่ยสาวใช้ประจำตัวของคุณหนูรองว่าคุณหนูใหญ่เดินทรงตัวไม่ดีเองจึงล้มศีรษะกระแทกกับม้านั่งหินด้านข้างจนเลือดไหลหมดสติไปสองวัน เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งดวงตาก็มองไม่เห็นแล้ว
แม้ว่าหลังซูลั่วอวิ๋นฟื้นคืนสติแล้วยืนยันว่าซูไฉ่เจียนเป็นคนผลักนาง ทว่าน้องสาวไม่พูดโต้แย้งสักคำ เอาแต่ร่ำไห้น้ำตานองหน้าดุจบุปผาต้องฝน ท่าทางดูอ่อนแอบอบบางน่าทะนุถนอมละม้ายคล้ายมารดาติงซื่อ
ส่วนบิดาก็มักลำเอียงเข้าข้างบุตรของติงซื่อเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กอปรกับมีคนรอบข้างเป็นประจักษ์พยานพร้อมมูล ต่างพูดว่าหลังซูลั่วอวิ๋นล้มหมดสติไปคงสับสนจำผิดจำถูก ซูหงเหมิงจึงทำตัวเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยด้วยความยินดี แค่ลงโทษซูไฉ่เจียนให้คุกเข่าในหอพระหนึ่งวันแล้วไม่อนุญาตให้ใครเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก
ไม่ว่าอย่างไรทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นบุตรสาวของเขา คนหนึ่งตาบอดไปแล้วเป็นสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ จะให้อีกคนถูกตราหน้าว่าทำร้ายพี่สาวจนเสื่อมเสียชื่อเสียงก็คงไม่ได้กระมัง
ปกติซูไฉ่เจียนเป็นเด็กสาวที่แม้แต่แมลงก็ไม่กล้าเหยียบย่ำด้วยซ้ำ แล้วจะจงใจทำร้ายพี่สาวได้อย่างไร นี่เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น ในเมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่ว่าใครก็จนปัญญา
ทว่าคุณชายลู่กลับดึงดันไม่ยอมเปลี่ยนตัวคู่หมั้นจนแล้วจนรอด สุดท้ายเมื่อหนึ่งปีก่อนลู่ฮูหยินคิดหาวิธีประนีประนอมได้ นางให้บุตรชายแต่งซูไฉ่เจียนคนน้องเป็นภรรยาก่อน รออีกสักระยะหนึ่งค่อยรับซูลั่วอวิ๋นเข้าจวน เช่นนี้ถือเป็นการช่วยให้หญิงพิการที่ออกเรือนไม่ได้คนนี้ได้มีที่พึ่งพิงแล้ว
เอาเป็นว่าระหว่างนั้นก็เกิดเหตุพลิกผันไปมาไม่น้อยกว่าที่สกุลลู่กับสกุลซูจะตกลงให้บุตรชายบุตรสาวหมั้นหมายเป็นทองแผ่นเดียวกันได้
ไฉนเลยจะรู้ว่าซูลั่วอวิ๋นซึ่งอยู่ที่เรือนหลังเก่าจะไม่ยอมทำตามความประสงค์ของผู้อาวุโส นางเผาจดหมายที่ได้รับจากคุณชายลู่ก่อนหน้านี้จนเป็นเศษขี้เถ้าแล้วโกยใส่ลงในกล่องไม้ จากนั้นก็ไหว้วานคนส่งคืนไปให้ถึงมืออีกฝ่าย
นางพูดอย่างชัดเจนว่าตนเองไม่เกี่ยวข้องกับคุณชายลู่อีกต่อไป วันหน้าถ้าทั้งคู่พบเจอกันก็คงเหลือแต่คำเรียกขานว่า ‘น้องเขย’ หากเขาเอ่ยถึงเรื่องให้พี่สาวน้องสาวแต่งสามีคนเดียวกันกับสกุลซูอีก นางจะเข้าอารามชีปลงผมออกบวชทันที
ต่อมาภายหลังจึงไม่มีคนเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก มีเพียงคุณหนูรองซูไฉ่เจียนที่เตรียมสินเดิมเจ้าสาวเย็บผ้าห่มมงคลรอออกเรือนไปที่สกุลลู่อย่างสุดแสนยินดีปรีดา
ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร ซูกุยเยี่ยนยังคงปักใจเชื่อว่าน้องสาวต่างมารดาเป็นคนทำร้ายพี่สาว พอได้ยินซูลั่วอวิ๋นบอกว่า ‘คิดเรื่องต่างๆ ได้กระจ่างแจ้ง’ เขาก็นึกถึงอุบัติเหตุนั่นทันควัน
แต่ซูลั่วอวิ๋นกลับมีสีหน้าปกติ “อย่าเอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก ทุกคนล้วนพูดว่าข้าล้มลงไปเอง หากยังติดใจเอาความอย่างไม่ลดละก็ดูเหมือนข้าใส่ความน้องสาว…จริงสิ สองปีนี้เจ้าทำตามที่ข้าบอกหรือไม่”
ซูกุยเยี่ยนพยักหน้าทันที “ตอนนั้นท่านให้ข้าซ่อนคมไว้บ้าง ทุกครั้งที่ท่านอาจารย์ตรวจดูแบบฝึกหัด ข้าจะจงใจทำผิดบางจุดไว้เสมอ ส่วนการท่องจำบทกลอนกับบทเรียนก็ช้ากว่าพวกจิ่นกวนกับจิ่นเฉิงสองวัน…จนท่านอาจารย์คิดว่าข้าห่วงเล่นเกียจคร้านแล้ว ท่านพ่อไม่ชมชอบที่ข้าเป็นเช่นนี้ มักดุด่าข้าบ่อยๆ บางครั้งข้าก็ไม่อยากเป็นเช่นนี้จริงๆ แต่พอนึกถึงที่ท่านกำชับตอนนั้นจึงอดทนไว้ขอรับ”
ซูลั่วอวิ๋นได้ยินแล้วก็ลูบหน้าน้องชายอย่างสงสารเห็นใจ “เจ้าเก่งกว่าข้า ตอนข้าอายุเท่าเจ้าหากข่มอารมณ์ไว้ได้ก็คงดี จำไว้ว่าหลังจากนี้อย่าไปประชันขันแข่งกับสองพี่น้องนั่น เวลานี้ข้ายังไม่มีกำลังความสามารถอะไร ไม่อาจปกป้องเจ้าให้ปลอดภัยได้ หากเจ้าทำตัวโง่เขลาสักหน่อย ตอนอยู่ในจวนถึงจะมีอิสระ…”
ความจริงแล้วซูกุยเยี่ยนท่องจำบทเรียนได้เร็วกว่าสองพี่น้องคู่นั้นมาก บางคราเห็นน้องชายสองคนจงใจอวดฉลาดก็เป็นเรื่องสนุกขบขันสำหรับเขาเช่นกัน
กระนั้นในใจเด็กหนุ่มก็มีข้อกังขาอยู่ เขายังคงไม่เข้าใจที่พี่สาวให้ทำเช่นนี้ “พี่ลั่วอวิ๋น ท่านจะบอกว่าท่านแม่เล็กไม่อยากให้ข้าเก่งกว่าน้องชายสองคนหรือ”
ซูลั่วอวิ๋นยื่นมือไปลูบแก้มน้องชายพลางกล่าวเสียงนุ่ม “ยามนี้สกุลซูเจริญก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ลำพังแค่ร้านเครื่องหอมก็ขายดิบขายดีจนมีเงินทองไหลมาเทมา วันหน้าใครจะได้สืบทอดร้านนี้ต้องเป็นเรื่องที่สั่นคลอนจิตใจคนเป็นแน่แท้ ข้าถูกท่านพ่อไล่กลับมาที่เรือนหลังเก่าแล้ว ส่วนเจ้ามีฐานะเป็นบุตรชายคนโต แต่กลับไม่มีญาติสนิทคอยช่วยเหลือเกื้อกูล หากดูฉลาดหลักแหลมเกินไป ข้ากลัวเจ้าจะอับโชคไร้วาสนา”
คนนอกอาจไม่ล่วงรู้ แม้จะบอกว่าซูไฉ่เจียนอายุน้อยกว่าซูกุยเยี่ยนหนึ่งปี แต่ความจริงนางเกิดก่อนเขาหนึ่งปี ปีนี้จึงมีอายุสิบเจ็ดปีเต็มแล้ว
ติงซื่อรู้จักกับซูหงเหมิงซึ่งเป็นพ่อค้าที่เมืองเฉิงตูและตั้งครรภ์ซูไฉ่เจียนตั้งแต่หูซื่อยังมีชีวิตอยู่
บิดาไม่อยากให้บุตรสาวลับๆ ที่มีกับติงซื่อถูกตราหน้าว่าเป็นสายเลือดอนุ จึงแข็งใจปกปิดไว้ จวบจนมารดาล่วงลับไปหนึ่งปีถึงบันทึกชื่อซูไฉ่เจียนลงในผังวงศ์ตระกูล
สุดท้ายซูไฉ่เจียนในนามบุตรที่เกิดกับภรรยาใหม่ตามธรรมเนียมจึงกลายเป็นบุตรสาวภรรยาเอกอย่างถูกต้องชอบธรรม
เมื่อก่อนซูลั่วอวิ๋นมิได้คิดอะไรมาก แค่รู้สึกว่าน้องสาวคนนี้โตไว พูดจาคล่องแคล่วชัดถ้อยชัดคำกว่าเด็กวัยเดียวกัน จนกระทั่งปีที่ตนเองอายุสิบสองถึงรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องนี้
เวลานั้นนางจึงเข้าใจที่มารดาโศกเศร้าตรอมตรมก่อนสิ้นลมในที่สุด ส่วนมารดาเลี้ยงที่ปกติอ่อนหวานยิ้มแย้มอัธยาศัยดีผู้นี้ไม่ได้ธรรมดาสามัญอย่างที่เห็นภายนอก!
นับแต่นั้นเป็นต้นมานางเริ่มตั้งตนเป็นปรปักษ์กับมารดาเลี้ยง ขณะที่ติงซื่อก็เห็นนางเป็นหอกข้างแคร่
นางไม่อยากบอกเรื่องพวกนี้กับน้องชายมากเกินไป เขาอายุยังน้อย ถ้าเกิดหมางใจกับติงซื่อเหมือนนางในครั้งนั้น ฝ่ายที่ถูกเล่นงานจะต้องเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่สามารถแยกเรือนตั้งตระกูลใหม่เองได้คนนี้แน่นอน
บทที่ 4
แม้ว่าซูกุยเยี่ยนยังเป็นเด็กหนุ่ม แต่มารดาด่วนจากไปทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่กว่าคนวัยเดียวกันมาก เขาเข้าใจความนัยที่แฝงอยู่ในถ้อยคำของพี่สาว ครั้นนึกถึงความลำเอียงของบิดาก็อดขมขื่นใจอยู่ชั่วขณะไม่ได้
ซูลั่วอวิ๋นคล้ายรับรู้ได้ถึงความหดหู่ใจของน้องชาย นางโอบกอดเขาไว้กับอกเหมือนสมัยเด็กๆ อย่างห้ามใจไม่อยู่ ลูบศีรษะเขาพลางกล่าว
“ตอนข้ากลับมาแรกๆ รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก รู้สึกเหมือนตกลงไปอยู่ในหุบเหวมืดสนิทไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปากชั่วชีวิต โชคดีที่ได้พบกับหย่งจิ้งซือไท่* ที่อาราม ท่านเกิดมาก็ตาบอด แต่กลับใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทุกประการ ข้าถามท่านว่าอดทนกับวันเวลาที่ไร้แสงสว่างนี้ได้อย่างไร ท่านกล่าวว่ามีแสงสว่างในใจจะพรั่นพรึงความมืดเบื้องหน้าไปไย”
แม้ว่าซูกุยเยี่ยนจะฉลาดหลักแหลม แต่พอได้ยินถ้อยคำนี้ของพี่สาวกลับไม่ค่อยเข้าใจนัก
ซูลั่วอวิ๋นกล่าวต่อไปว่า “เจ้าคือแสงสว่างในใจข้า ท่านแม่ด่วนจากไป พี่สาวคนโตเปรียบดั่งมารดา หากข้าไม่ลุกขึ้นสู้ วันหลังไปสู่ปรโลกคงสู้หน้าท่านแม่ไม่ได้ อีกอย่างก็เหมือนกับที่หย่งจิ้งซือไท่กล่าวไว้ ถึงข้าจะมองไม่เห็น แต่หูกับจมูกกลับฉับไวกว่าแต่ก่อน สวรรค์เปิดประตูอีกบานให้ข้า หากข้ามัวแต่สงสารเวทนาตนเอง นั่นต่างหากคือคนพิการตาบอดอย่างแท้จริง”
พอหวนนึกถึงตอนได้ข่าวว่าน้องชายป่วยหนักเมื่อหนึ่งปีก่อน นางอยู่ที่ชนบทร้อนใจจนแทบอยากติดปีกบินกลับไป แต่จนปัญญาจะทำอะไรได้ เวลานั้นซูลั่วอวิ๋นจึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่านางจะใช้ชีวิตจมอยู่กับความทุกข์ในชนบทต่อไปอีกไม่ได้ นางต้องกลับเมืองหลวงไปปกป้องน้องชายแท้ๆ เพียงคนเดียวของตนเองให้ดี
ทว่าผู้ดูแลเรือนหลังเก่าไม่ยอมปล่อยนางกลับไป เอาแต่บอกว่านายท่านกำชับไว้ หากไม่มีคำสั่งของนายท่าน คุณหนูใหญ่จะกลับเมืองหลวงตามลำพังไม่ได้
ในครั้งนั้นเพราะนางโกรธแค้นบิดาที่ลำเอียงเข้าข้างซูไฉ่เจียน จึงทะเลาะเบาะแว้งจนเข้าหน้ากันไม่ติด ซูหงเหมิงไม่อยากให้บุตรสาวคนโตกลับจวนสกุลซู ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าให้นางออกจากเรือนหลังเก่า
ครานี้ได้ยินว่าบิดาจะกลับมาเซ่นไหว้บรรพบุรุษและฉลองวันปีใหม่ ซูลั่วอวิ๋นจึงเตรียมการไว้หลายอย่าง นางรู้นิสัยใจคอของบิดาดี บิดาเป็นคนกลัวเสียหน้า หากนางไม่แสดงท่าทีของบุตรสาวที่ดี บิดาต้องไม่ใจอ่อนอย่างแน่นอน
สิ่งที่นางต้องทำในขณะนี้คือกลับไปยังเมืองหลวงที่นางเคยพ่ายแพ้ราบคาบอีกครั้ง ช่วยให้น้องชายผ่านพ้นช่วงเวลาในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไปให้ได้ ภายภาคหน้าเมื่อเขาสอบขุนนางผ่านแล้วได้ไปเป็นขุนนางในเมืองอื่นที่อยู่ห่างไกล ย่อมตั้งตระกูลใหม่เองได้อย่างถูกต้องชอบธรรม
ถ้าน้องชายไม่อยากก้าวเข้าสู่เส้นทางขุนนาง ด้วยความเจ้าเล่ห์เจนจัดของติงซื่อ ต้องไม่มีทางให้เขาสืบทอดทรัพย์สมบัติของสกุลซูเป็นอันขาด ส่วนสินเดิมเจ้าสาวที่มารดาทิ้งไว้ให้พวกนางก็มีน้อยนิดเท่านั้น มิหนำซ้ำช่วงหลายปีหลังจากมารดาล่วงลับไปก็ไม่มีคนคอยดูแล แม้แต่ขอบเขตที่นาก็ถูกคนรุกล้ำเปลี่ยนสลับตำแหน่งจนหดหายไปไม่น้อย นางจึงต้องคิดหาวิธีดูแลให้งอกเงยออกดอกออกผล เพื่อนำมาเป็นเงินสร้างเนื้อสร้างตัวให้น้องชายสักก้อนหนึ่ง
อันที่จริงตาบอดก็มีข้อดีอยู่เช่นกัน เพราะเป็นการปิดประตูสู่การแต่งงานของนาง ตราบใดที่นางไม่ตอบตกลงและมีข้ออ้างว่าจะครองตัวเป็นสตรีไร้คู่จนแก่ตายคาเรือน นางก็สามารถทุ่มเทใจดูแลน้องชายได้
และเวลาสองปีที่ผ่านมานางลองผิดลองถูกจนหาทางรับมือกับการใช้ชีวิตได้แล้ว
หินกรวดที่ปูบนพื้นลานเรือนกับห้องโถงก็เป็นวิธีหนึ่งที่นางคิดขึ้นมา เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าติงซื่อเพิ่งมาถึงก็วางท่าข่มกันเสียแล้ว ไม่เพียงให้บ่าวไพร่ปูพรมผืนหนาบนพื้นเท่านั้น ยังจงใจวางเครื่องเรือนไม่เป็นที่เป็นทางและวางอ่างน้ำขวางทางตรงข้างประตูด้วย
ดูเหมือนว่าจะมีคนรายงานกิจวัตรประจำวันในเรือนหลังเก่าของนางให้ติงซื่อรู้ พออีกฝ่ายรู้ว่านางมีนิสัยถือดี ตอนมาพบบิดาต้องไม่ให้คนประคองเด็ดขาด จึงตั้งใจให้คนเอาอ่างน้ำมาวางไว้ที่ข้างประตู
หากมิใช่ว่าตอนนางกลับมาบังเอิญได้ยินคนเฝ้าประตูพูดว่าบิดาให้คนเปิดห้องเก็บของเพื่อเข้าไปหยิบพรมตามที่ติงซื่อบอก เกรงว่าตอนเข้าไปในห้องโถงใหญ่คงต้องอับอายขายหน้าแน่แล้ว
ถึงซูลั่วอวิ๋นจะให้น้องชายซ่อนคม แต่นางไม่มีความคิดจะแสร้งทำตัวเป็นคนไร้ค่า ประการแรกคุณหนูที่ไร้ค่าไม่มีทางทำให้บิดาเปลี่ยนใจได้เป็นอันขาด ประการที่สองหากนางแสดงความอ่อนแอให้เห็นจะไม่ทำให้ติงซื่อทำอะไรอย่างย่ามใจไม่กริ่งเกรงผู้ใดยิ่งขึ้นหรือ
นางในเวลานี้ไม่ใช่เด็กสาวหยิ่งทะนงไม่สุงสิงกับใครเมื่อสองปีก่อนคนนั้น ความยากลำบากจากการมองไม่เห็นทำให้นางขบคิดทบทวนด้วยจิตใจที่สงบนิ่งและทำการใดอย่างสุขุมลุ่มลึกมีชั้นเชิงยิ่งขึ้น
ถึงกระนั้นทุกอย่างมักไม่เป็นไปตามที่นึกภาพไว้ แม้ว่าซูลั่วอวิ๋นจะวางตัวสุภาพนุ่มนวลเหมาะสม แต่พอนางเอ่ยว่าอยากกลับไปพร้อมกับบิดาเพื่อจะได้ปรนนิบัติอยู่ใกล้ๆ ซูหงเหมิงกลับไม่ยอมรับปากเสียที
ไม่ใช่ว่าเขาไม่พอใจซูลั่วอวิ๋น แต่ในจวนมีคุณหนูตาบอดคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องเชิดหน้าชูตาอันใด จริงอยู่ว่าซูลั่วอวิ๋นเปลี่ยนไปแล้ว ทั้งยังรู้ความมากขึ้น แต่ถ้าอาศัยอยู่ที่ชนบทอย่างสงบเรียบง่ายตลอดไปได้ก็จะดีกว่า
เขาเพิ่งก้าวเข้าสู่เส้นทางขุนนาง ไม่อยากกลายเป็นตัวตลกที่สหายขุนนางพูดถึงกันอย่างสนุกปาก หากซูลั่วอวิ๋นเข้าใจเหตุผลก็อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องกลับเมืองหลวงอีก
แน่นอนว่าที่เขาคิดเช่นนี้เป็นเพราะติงซื่อเอ่ยขึ้นว่าใกล้ถึงวันงานมงคลของซูไฉ่เจียนแล้ว หากตอนนั้นซูลั่วอวิ๋นกลับจวนไป ไม่รู้ว่าจะมีคนนึกถึงเรื่องอดีตของนางกับคุณชายลู่หรือไม่
นายท่านใหญ่สกุลซูรู้สึกว่าวาจาของติงซื่อมีเหตุผล แม้เรื่องระหว่างเด็กหนุ่มเด็กสาวไม่ถือเป็นจริงเป็นจัง แต่หากมีผู้ไม่ประสงค์ดีเอาไปนินทาว่าร้ายก็จะไม่งาม
ซูหงเหมิงจึงเห็นว่าบุตรสาวคนโตควรอยู่ที่เรือนหลังเก่าตามเดิมจะดีกว่าด้วยประการฉะนี้
เขากังวลใจว่าบุตรสาวบังเกิดเกล้าจะแผลงฤทธิ์ จึงอุตส่าห์ประดิดประดอยคำพูดเล็กน้อยตอนบอกเรื่องนี้กับนาง
ทว่าซูลั่วอวิ๋นฟังแล้วยิ้มบางๆ “ท่านพ่อกล่าวได้ถูกต้องเจ้าค่ะ เพียงแต่ก่อนหน้านี้ท่านน้าเล็กเขียนจดหมายถึงข้า บอกว่าหลังวันปีใหม่จะไปสะสางธุระที่เมืองหลวง ท่านน้าเล็กอยากพบข้า จึงขอให้ข้าไปพบกันที่เมืองหลวง…หรือไม่อย่างนั้นให้ข้าเขียนจดหมายอีกฉบับ บอกท่านน้าเล็กว่าท่านพ่อไม่สะดวกให้ข้ากลับไป รอวันหลังค่อยพบกันอีกครา…”
พอนางกล่าวเช่นนี้ ซูหงเหมิงก็นั่งหลังตรงทันควัน แม้ว่าสกุลหูจะค้าขายเครื่องหอม ทว่าภายหลังกิจการตกต่ำลง การค้าส่วนใหญ่จึงถูกผนึกรวมและรับช่วงต่อโดยสกุลซูไปแล้ว
ครั้นถึงรุ่นของหูเสวี่ยซงน้องชายคนเล็กของหูซื่อ เขาก็ผันตัวไปทำอาชีพอื่น
ท่านน้าของซูลั่วอวิ๋นผู้นี้ไม่เชี่ยวชาญด้านบุ๋น กลับชมชอบรำดาบรำทวน เริ่มแรกเขาเป็นแค่ทหารปลายแถวนายหนึ่ง ความเป็นอยู่ค่อนข้างลำบากฝืดเคือง ต่อมาได้ยินว่าหนึ่งปีก่อนเขาช่วยผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่งเอาไว้ ชีวิตก็เริ่มดีขึ้น เมื่อเร็วๆ นี้เขาได้เข้าสู่กองเดินเรือ ช่วยใต้เท้าของกองนี้ดูแลการสัญจรเรือในเขตเหลี่ยงเจียง
แม้เขาจะเป็นเพียงทหารเรือตำแหน่งเล็กๆ แต่ทำหน้าที่ควบคุมการเข้าออกของเรือสินค้าในเหลี่ยงเจียงพอดี จึงมีอำนาจไม่น้อย
ในครั้งนั้นเพราะเรื่องที่หูซื่อจากไปก่อนวัยอันควรทำให้น้องชายอดีตภรรยาไม่เกรงใจซูหงเหมิงเท่าไรนัก หากได้ยินว่าเขาส่งหลานสาวตาบอดไปอยู่ที่ชนบทไม่ยอมให้กลับมา เกรงว่าเจ้าคนป่าเถื่อนผู้นั้นคงจะมายืนกวัดแกว่งอาวุธที่หน้าจวนสกุลซูอีก ดีไม่ดีวันหลังหากพบเรือขนส่งเครื่องหอมของสกุลซูยังอาจหาเรื่องกลั่นแกล้งด้วยก็เป็นได้
ตอนนั้นหูซื่อเสียชีวิตในวัยสาว ซูหงเหมิงถามใจตนเองแล้วก็ไม่อาจทำเป็นไม่รู้สึกละอายแก่ใจได้ เมื่อเขาบังเกิดความลังเลเช่นนี้ขึ้นมาก็เปลี่ยนความคิดอีกครา
“…ในเมื่อท่านน้าของเจ้าจะกลับเมืองหลวง หากไม่ได้พบเจ้าคงต้องเป็นกังวลแน่ วันงานมงคลของน้องสาวเจ้าก็ใกล้เข้ามาแล้ว เจ้าไม่อยู่จะทำให้คนนอกคลางแคลงใจ รอฉลองวันปีใหม่แล้วก็กลับไปพร้อมกันเถิด”
ซูลั่วอวิ๋นยิ้มน้อยๆ ไม่ประหลาดใจที่บิดาเปลี่ยนใจกะทันหัน ถึงอย่างไรท่านน้าของนางก็เคยฟันประตูใหญ่ของจวนสกุลซูหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาแล้ว หากบิดาไม่อยากเปลี่ยนประตูบานใหม่ย่อมต้องใคร่ครวญให้ดี
ติงซื่อนั่งอยู่ด้านข้าง หลังได้ยินคำกล่าวของสามีก็ก้มหน้าโอนอ่อนผ่อนตามอย่างรู้กาลเทศะ แต่ซูไฉ่เจียนที่นั่งติดกันกลับร้อนใจขึ้นมาแล้ว
ถึงแม้นางจะหมั้นหมายกับลู่ซื่อ แต่ว่าที่สามียังมีพี่สาวของนางอยู่ในหัวใจ หากพี่สาวออกเรือนไปแล้วยังพอทำเนา ทว่าอีกฝ่ายยังไม่มีคู่หมั้น เกิดสกุลลู่เอ่ยถึงเรื่องพี่สาวน้องสาวแต่งสามีคนเดียวกันอีก นางจะทำอย่างไรดี
ซูไฉ่เจียนไม่อยากแบ่งปันสามีของตนกับใครแม้แต่น้อย ต่อให้เป็นพี่สาวต่างมารดาของตนก็ไม่ได้!
จังหวะนี้เองติงซื่อก็ขึงตาปรามบุตรสาวที่ตั้งท่าจะเอ่ยปากพูดขึ้น รอจนทุกคนดื่มชาเสร็จแล้วต่างคนต่างกลับห้อง นางถึงบอกให้สาวใช้ไปเรียกซูไฉ่เจียนมาหา
ซูไฉ่เจียนมาถึงก็นั่งลงบนตั่งนุ่ม ซบหน้ากับฟูกรอง พูดพลางสะอื้น “ท่านแม่ เดิมทีท่านพ่อพูดกับท่านเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่ให้พี่ลั่วอวิ๋นกลับไปมิใช่หรือเจ้าคะ”
ติงซื่อใช้นิ้วมือเสยปอยผมข้างจอนของบุตรสาวให้เข้าที่พลางกล่าวอย่างอดทน “เจ้าก็ได้ยินแล้ว นายท่านเล็กสกุลหูกลับมาแล้วอยากพบหลานสาว ท่านพ่อของเจ้ากลัวว่าคนป่าเถื่อนผู้นั้นจะมาอาละวาด ไว้ผ่านไปสักพักก็คงส่งพี่สาวของเจ้ากลับเรือนหลังเก่าเอง”
ซูไฉ่เจียนขยี้ตาก่อนลุกขึ้นนั่ง “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เต็มใจให้พี่ลั่วอวิ๋นกลับจวน แต่…คุณชายลู่เขา…”
ติงซื่อบอกให้สาวใช้ออกไปนอกห้องจนหมดแล้วค่อยพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข่มใจไม่อยู่ถึงเพียงนี้ ไม่เหมือนข้าสักนิด! ในอดีตสกุลซูเรามีบุญคุณต่อสกุลลู่ ทั้งสองฝ่ายยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เรื่องการหมั้นหมายบุตรชายบุตรสาวไว้ตั้งแต่เด็กที่นายท่านทั้งสองตระกูลตกลงกันไว้บอกชัดว่าให้ลู่ซื่อแต่งบุตรสาวสกุลซูเป็นภรรยา สกุลลู่ไม่มีวันยอมให้คนตาบอดเป็นประมุขหญิงของจวนเด็ดขาด ลู่ซื่อเองก็รู้แจ้งแก่ใจดี แต่พวกบุรุษล้วนเห็นว่าสิ่งที่ไม่ได้ครอบครองเป็นของดีที่สุด ถ้าแค่พะวงถึงอยู่ในใจก็ช่างปะไร ส่วนซูลั่วอวิ๋นมีนิสัยใจคอเป็นเช่นไรเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ เย่อหยิ่งถือตัวถึงเพียงนั้น เกรงว่าคงเกลียดชังลู่ซื่อแทบตายเพราะเรื่องแต่งงาน ขอเพียงเจ้าหัวไวและรู้จักเอาใจใส่สักนิด มัดใจสามีเอาไว้ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าคนตาบอดคนหนึ่งจะสร้างความวุ่นวายในเรือนของเจ้าได้”
เมื่อได้ฟังคำพูดของมารดา ซูไฉ่เจียนจึงสงบใจลงได้เล็กน้อย นางดึงผ้าห่มมาคลุมกาย พูดเสียงเบาว่า “ดูท่าทางพี่ลั่วอวิ๋นคล้ายจะไม่โกรธแล้ว ความจริงหากนางปลงตกได้ จะกลับไปก็ไม่เป็นไร…”
นางพูดไปก็อ้าปากหาวคราหนึ่ง พลิกกายนอนหลับตามสบาย
ติงซื่อมองดูบุตรสาวที่นอนหลับไปก็ขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่ รู้สึกว่าบุตรสาวช่างใสซื่อดีแท้
ทว่าขมวดคิ้วได้ครู่เดียวนางก็รีบหันไปส่องคันฉ่อง ด้วยเกรงว่าหน้าผากจะเกิดริ้วรอยลึกขึ้น นางทาขี้ผึ้งบำรุงผิวที่ทำจากไขมันห่านกับคางคกหิมะบนใบหน้าพลางมองไปทางเรือนของซูลั่วอวิ๋นด้วยท่าทางครุ่นคิด
“ตอนนี้นางอารมณ์เย็นเช่นนี้ เพราะคิดตกแล้วจริงๆ หรือ”
วันถัดมาติงซื่อหาโอกาสตอนที่ติดตามซูหงเหมิงออกไปร่วมงานเลี้ยงพูดขึ้นว่าก่อนหน้านี้ลู่ซื่อเอ่ยรบเร้าอีกว่ารอหลังจากซูไฉ่เจียนออกเรือนเรียบร้อยก็ให้ซูลั่วอวิ๋นนั่งเกี้ยวเข้าสกุลลู่ไปด้วยเป็นอันสิ้นเรื่อง
ซูหงเหมิงฟังแล้วก็ถลึงตา “วันนี้ไม่เหมือนกับวันวานแล้ว เมื่อก่อนข้าต่ำต้อยกว่าสกุลลู่ขั้นหนึ่ง แต่บัดนี้ข้ามีตำแหน่งเป็นขุนนางในกองการค้าหลวง วันหน้าก็มีศักดิ์ฐานะเกือบเทียมบ่าเทียมไหล่นายท่านสกุลลู่ ไยข้าต้องประจบประแจงเขา กระทั่งบุตรสาวสองคนก็ยกให้สกุลลู่หมดเล่า”
บุตรสาวสองคนแต่งสามีคนเดียวกันหาใช่เรื่องดีไม่! เกิดพวกสหายขุนนางรู้เข้าจะไม่หัวเราะเยาะเขาลับหลังหรือ
แม้ว่าซูหงเหมิงจะอาศัยลู่ทางของสกุลลู่ถึงได้ตำแหน่งนี้มา แต่เขาถือว่าตนมีความสามารถโดดเด่นเหนือใคร เรื่องการสานสัมพันธ์กับผู้คนก็มีชั้นเชิงพลิกแพลงกว่านายท่านสกุลลู่เป็นอันมาก ในอนาคตหน้าที่การงานจะรุ่งโรจน์ไปไกลเพียงใดย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง
ขุนนางแคว้นต้าเว่ยที่ยิ่งใหญ่เช่นเขายัดเยียดบุตรสาวสองคนให้สกุลลู่หมดจะถือเป็นเรื่องดีอันใด
ติงเพ่ยไม่แปลกใจที่สามีเอ่ยเช่นนี้ นางเพียงกล่าวต่อไปด้วยสีหน้าลำบากใจ “แต่เมืองหลวงกว้างใหญ่ปานนั้น ข้าจะกักตัวลั่วอวิ๋นไม่ให้ออกจากเรือนคงทำไม่ได้ นางกับเขาเดิมทีก็เคยมีความหลังกันอยู่บ้าง หากวันหน้าเกิดลักลอบมีความสัมพันธ์กันขึ้นมา ชื่อเสียงของสกุลซูเรา…”
ซูหงเหมิงฟังแล้วใจหาย รู้สึกว่าภรรยาของตนคิดได้รอบคอบเช่นเคย เขาเอ่ยขึ้นทันที “พอลั่วอวิ๋นพบกับเจ้าสุนัขบ้าหูเสวี่ยซงแล้ว ข้าจะให้นางกลับไปอยู่เรือนหลังเก่าดังเดิม”
ติงเพ่ยพูดถึงลูกเลี้ยงอย่างสงสารเห็นใจอีกเล็กน้อย จากนั้นก็อมยิ้มไม่กล่าววาจาต่อ
ซูลั่วอวิ๋นใช้อุบายตื้นๆ พรรค์นี้จะหลอกลวงนางได้อย่างไร ถ้าอีกฝ่ายสงบเสงี่ยมเจียมตนจริงๆ ก็แล้วไปเถิด มิฉะนั้นคนตาบอดคนเดียวนางจะกำราบไว้ไม่อยู่หรือ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 ก.ย. 67
Comments
comments
No tags for this post.