X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหอมเกศา

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 5-7

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่ 5

หลังจากเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่เรือนหลังเก่าและบรรยากาศวันปีใหม่เพิ่งผ่านพ้นไป เหล่าเจ้านายสกุลซูก็เตรียมเดินทางกลับเมืองหลวงกันแล้ว

ซูหงเหมิงตั้งใจเลือกซื้อของฝากพื้นเมืองมากมาย ทั้งยังไหว้วานให้คนซื้อหาวัตถุโบราณกับภาพวาดไว้ล่วงหน้า รวมถึงสุกรก้นดำของดีประจำท้องถิ่นอีกหกตัว เตรียมนำกลับไปมอบให้สหายขุนนาง

เพราะว่ามีข้าวของมากเกินไปจึงต้องเช่าเรือเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งลำ ตอนที่ทุกคนมาถึงท่าเรือก็เห็นเรือจอดอยู่เนืองแน่นเตรียมตัวออกจากท่า

ท่าเรือหลังวันปีใหม่มักมีสภาพเช่นนี้เป็นนิจ พ่อค้าจากทั่วทุกสารทิศที่หยุดพักในช่วงวันปีใหม่ล้วนเริ่มออกเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้กันแล้ว

ทว่าซูหงเหมิงลงจากรถม้าได้ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากท่าเรือ

ซูไฉ่เจียนยื่นศีรษะออกมานอกรถม้าอีกคันหนึ่ง “เกิดอะไรขึ้น ข้างหน้ามีงิ้วหรือไร เหตุใดผู้คนถึงล้อมวงมุงดูกันมากมายเพียงนั้น”

บ่าวรับใช้คนหนึ่งวิ่งไปดูลาดเลาแล้วย้อนกลับมาบอกเสียงกระหืดกระหอบ “ทางการส่งทหารมาปิดล้อมท่าเรือไว้ บอกว่าจะจับกุมพวกโจรร้ายที่ให้ความช่วยเหลือกองทัพกบฏ ตอนนี้กำลังไล่ตรวจค้นเรือทีละลำอยู่ เรือของพวกเราก็ถูกกักไว้ ชั่วขณะนี้คงออกจากท่าไม่ได้ขอรับ”

ซูหงเหมิงรีบพาคนไปดู ไม่ผิดจริงๆ! มีทหารกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเดินขึ้นลงตามเรือสินค้าต่างๆ ไม่รู้ว่ากำลังตามจับผู้กระทำความผิดอะไรกันอยู่

ตอนนี้เองซูกุยเยี่ยนซึ่งนั่งรถม้าคันเดียวกับน้องชายสองคนก็หันไปมองข้างหลัง แต่กลับไม่เห็นรถม้าของพี่สาว

เขาสั่งบ่าวรับใช้ให้ขี่ม้ากลับไปตามหา ถึงได้รู้ว่ารถม้าของซูลั่วอวิ๋นล้อหลวมจากแรงสะเทือนกลางทาง สารถีจึงต้องหยุดซ่อมพักหนึ่งถึงจะตามมาได้

นายท่านใหญ่สกุลซูกลัวจะเสียเวลาเดินทาง ไม่มีแก่ใจคำนึงถึงบุตรสาวคนโตที่จะมาถึงล่าช้า เขาให้บ่าวรับใช้ไปสอบถามหัวหน้าทหารที่ค้นเรืออยู่ว่าจะเปิดทางสะดวกให้แก่ใต้เท้าซูเจ้าหน้าที่ดูแลห้องคลังของกองการค้าหลวงจากเมืองหลวง ช่วยตรวจค้นเรือของสกุลซูก่อนเพื่อจะได้ออกจากท่าเร็วขึ้นได้หรือไม่

แต่น่าเสียดายที่ในสายตาของหัวหน้าทหารเหล่านั้นตำแหน่งขุนนางประจำห้องคลังซึ่งได้มาไม่ง่ายดายนี้กลับเป็นเพียงขุนนางชั้นผู้น้อยที่แสนธรรมดาเท่านั้น พวกเขาไม่แยแสคำพูดของบ่าวรับใช้แต่อย่างใด

ใต้เท้าซูยังไม่ทันได้สำแดงบารมีเป็นครั้งแรกในวันปีใหม่ ติงซื่อก็สั่งให้บ่าวรับใช้เอาเงินสองสามถุงซุกไว้ในอกเสื้อแล้วไปสอบถามอีกคราอย่างมีไหวพริบ

การตรวจค้นก่อนหน้านี้มีปัญหาแค่ว่าจะเปิดทางสะดวกให้แทรกตัดหน้าได้หรือไม่ แต่พวกเขามาถึงช้าเกินไป มีคนรออยู่ข้างหน้าไม่น้อยแต่แรก ถ้าต่อแถวข้างหลังเรือสินค้าพวกนั้นตามลำดับ เห็นทีว่าต้องค้างแรมที่ท่าเรือแล้ว

เงินทองเป็นใบเบิกทางได้ทั่วหล้าจริงดังคาด พอส่งเงินให้สองสามถุง หัวหน้าทหารผู้นั้นมองดูป้ายผ่านทางกับหนังสือราชการที่บ่าวรับใช้ยื่นมาให้หลายคราก็เอ่ยปากขึ้น

“ในเมื่อใต้เท้าจากเมืองหลวงต้องกลับไปรับตำแหน่ง ย่อมล่าช้าไม่ได้เป็นธรรมดา ทหาร…ไปตรวจค้นเรือสองลำของสกุลซูก่อน”

เพราะเรือที่เช่ามาทีหลังยังมีวัตถุโบราณกับภาพวาดที่ซูหงเหมิงทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมา สิ่งของเหล่านี้ล้วนล้ำค่าราคาแพง ผู้ดูแลสองคนจึงตามลงเรือไปด้วย พอเห็นพวกทหารมือหนักไม่ปรานีก็หายใจไม่ทั่วท้อง รีบยื่นเงินให้พวกทหารอีกพร้อมกับขอร้องให้พวกเขาเบามือลงบ้างตามที่ติงซื่อกำชับไว้

เมื่อทหารพวกนั้นได้รับสินน้ำใจแล้วก็ตรวจค้นดูผ่านๆ พอเป็นพิธีด้วยความยินดี

ด้วยเหตุนี้สกุลซูที่อาศัยอำนาจเงินตราก็ลงเรือออกเดินทางไปก่อนล่วงหน้าท่ามกลางเสียงบ่นว่าด่าทอของฝูงชนที่เข้าแถวอยู่

หัวหน้าทหารผู้นั้นยังกระซิบบอกคนสกุลซูว่าถ้าจะไปก็ให้รีบสักหน่อย หาไม่แล้วอีกสักพักหาคนไม่พบเป็นไปได้มากว่าจะสั่งปิดล้อมแม่น้ำทั้งสาย ไม่ปล่อยให้เรือของใครผ่านไปได้ ซูหงเหมิงได้ยินแล้วจึงออกเดินทางทันทีอย่างทนรอไม่ไหว ไม่ยอมให้เรื่องนี้ถ่วงเวลาเขาไปรายงานตัวยังที่ว่าการได้

ทางด้านซูลั่วอวิ๋นต้องเปลี่ยนล้อรถม้ากลางทางเป็นเหตุให้ลงเรือล่าช้า ซูหงเหมิงเพียงให้เรือขนของลำที่สองรออยู่ก่อนครู่หนึ่ง หลังจากกำชับให้คุณหนูใหญ่นั่งเรือลำนี้แล้วก็สั่งให้คนถอนสมอออกเรือลำแรกไปก่อน

ดังนั้นตอนที่ซูลั่วอวิ๋นมาถึง เรือลำแรกก็แล่นห่างไปไกลลิบแล้ว นางได้แต่พาเถียนมามากับเซียงเฉ่าสาวใช้ของตนลงเรือลำที่สอง

เรือลำนี้แล่นตามเรือของสกุลซูไม่ทัน ทั้งยังมีรูโหว่ลมพัดเข้ามาได้ทั้งสี่ทิศ แม้แต่ใต้ท้องเรือก็วางของไว้จนเต็ม ท้ายเรือยังมีกรงใส่สุกรที่ร้องเสียงดังและส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์นัก

เซียงเฉ่าเก็บกวาดมุมหนึ่งจัดที่ทางให้คุณหนูของตนอย่างไม่ง่ายดายเสร็จแล้วก็พูดเสียงฮึดฮัด “เหตุใดต้องเร่งรีบถึงเพียงนี้ รอกันสักนิดก็ไม่ได้หรือเจ้าคะ…ที่เช่นนี้จะอยู่กันได้อย่างไร”

เพราะพื้นที่คับแคบเกินไป เถียนมามากับเซียงเฉ่าจึงต้องไปที่ห้องโดยสารที่อยู่ติดกันซึ่งหนาวกว่าเพื่อย้ายเตียงไม้กระดานออกมา มิฉะนั้นตลอดการเดินทางสี่วันคงไม่ได้หลับได้นอนกันแล้ว

เรือออกแล่นได้ครู่เดียว อาการเมาเรือง่ายของเถียนมามาก็กำเริบขึ้นมาอีก ทำให้นางอาเจียนอย่างหนัก ซูลั่วอวิ๋นสั่งให้เซียงเฉ่าพยุงเถียนมามากลับไปพักผ่อนที่ห้องโดยสารของนางแล้วค่อยต้มยาแก้อาเจียนให้

เซียงเฉ่าเป็นห่วงคุณหนูของตน แต่ซูลั่วอวิ๋นกลับบอกว่า “อยู่ห่างกันแค่ไม้กระดานไม่กี่แผ่น หากข้ามีเรื่องอะไรตะโกนเรียกเจ้าก็หมดเรื่อง รีบไปต้มยาให้เถียนมามาเถิด คราวก่อนนางดื่มยานั่นแล้วก็หลับไปทันที จะได้ไม่ต้องทรมานมากนัก”

หลังจากเซียงเฉ่าพยุงเถียนมามาออกไปแล้ว ซูลั่วอวิ๋นก็นั่งลงข้างโต๊ะเล็กเงียบๆ ใช้มือคลำเปิดหีบตำราที่ยกลงมาจากรถม้า จากนั้นก็เอาพู่กันจุ่มลงในกล่องหมึกแล้วเริ่มฝึกคัดอักษรบนกระดาษปึกหนึ่ง

ในอดีตซูลั่วอวิ๋นคัดอักษรอวี๋ ได้อ่อนช้อยแต่แฝงไว้ด้วยพลัง ถือได้ว่าเข้าขั้นมีฝีมือ ทว่าหลังจากอุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อนนางก็ละเลยการคัดอักษรไปด้วย

ต่อมานางก็คิดหาวิธีได้โดยเอาแผ่นไม้ไผ่มาเจาะเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ แล้ววางบนกระดาษเป็นกรอบบอกตำแหน่ง จากนั้นก็ฝึกคัดอักษรจนค่อยๆ คุ้นเคยชำนาญ ถึงไม่ใช้แผ่นไม้ไผ่ก็คัดอักษรได้ตรงบรรทัด

เมื่อเห็นตัวอักษรพลิ้วไหวลื่นไหลเป็นอิสระดุจสายน้ำและงามสละสลวยบรรทัดนั้นแล้ว ใครจะเชื่อว่านี่เป็นลายมือของหญิงตาบอดนางหนึ่ง

นางฝึกคัดไปเรื่อยๆ จนเริ่มรู้สึกหนาว นึกถึงที่เซียงเฉ่าบอกว่าหีบอาภรณ์ใบเล็กที่ยกลงมาจากรถม้าอยู่ทางซ้ายก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบ

ทว่าตอนนางเดินไปใกล้ก็พลันได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยมา ทำให้ลมหายใจสะดุดไปครู่หนึ่ง

ตั้งแต่ดวงตาพิการ ประสาทรับกลิ่นของซูลั่วอวิ๋นกลายเป็นฉับไวขึ้นเป็นพิเศษ นางมั่นใจได้ว่ากลิ่นคาวเลือดลอยเข้ามากะทันหัน…หรือไม่ก็อยู่ในนี้ตลอด เพียงแต่พอนางอยู่ในระยะใกล้ถึงเพิ่งได้กลิ่น

ซูลั่วอวิ๋นอดชะงักฝีเท้าไม่ได้ นางพูดอย่างลังเลว่า “มีคนอยู่ตรงนี้หรือไม่”

หลังนิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ นางก็รีบใช้ความคิด จากนั้นก็หันกายใช้มือคลำผนังห้องใต้ท้องเรือเดินออกไปข้างนอกด้วยสีหน้าเป็นปกติ ปากก็พูดพึมพำ

“เซียงเฉ่าสาวใช้ตัวดี ไม่รู้หรือว่าข้ามองไม่เห็น ไม่รู้จักเตรียมชาไว้ให้ข้าสักกาก่อนออกไป ช่างเถิด ข้าออกไปหยิบเองดีกว่า”

นางพูดพลางเอามือคลำผนังห้องเดินไปที่ข้างประตู

ระหว่างนี้ซูลั่วอวิ๋นยังสะดุดหีบที่วางอยู่ในห้องจนล้มลงไป แต่นางแค่ย่นหัวคิ้วเข้าหากัน พยุงกายลุกขึ้นอย่างเงอะงะแล้วเดินออกไปข้างนอก

นางจำได้แม่นยำว่าที่ท่าเรือเมื่อครู่นี้กำลังค้นหาตัวผู้กระทำความผิดอยู่ ได้ยินว่าผู้กระทำความผิดได้รับบาดเจ็บ หากนางคาดเดาไม่ผิด ตอนนั้นเจ้าโจรร้ายผู้นั้น…คงซ่อนตัวอยู่ในห้องของนางนั่นเอง!

ซูลั่วอวิ๋นไม่เห็นสภาพโดยรอบภายในห้อง ทั้งยังไม่กล้าตะโกนเรียกคนเข้ามา มิฉะนั้นหากโจรร้ายจะปลิดชีวิตนางก็ทำได้ในชั่วพริบตา

นางเหลือหนทางเดียวคือเดินสะดุดไปตลอดทาง เผยจุดอ่อนของตนให้โจรร้ายล่วงรู้ว่านางคือคนตาบอด ไม่รู้ว่าเขาหลบซ่อนอยู่ในห้องโดยสาร บางทีอาจทำให้เขาล้มเลิกความคิดมุ่งร้ายแล้วปล่อยนางไป

เพียงแต่นางหาได้ล่วงรู้ไม่ว่าชั่วขณะนี้แสงสุดท้ายของวันส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องตกกระทบใบหน้าของนางพอดี แสงสนธยาอาบไล้ดวงหน้าขาวนวลเนียนให้เป็นประกายดุจหยกขาว ท่อนแขนเล็กกลมกลึงโผล่พ้นจากแขนเสื้อหลวมกว้าง นิ้วมือเรียวดุจลำเทียนกำลังลูบคลำผนังไม้ไปทีละคืบ แลดูบอบบางอ่อนแอไปทั้งเนื้อทั้งตัว

ซูลั่วอวิ๋นรับรู้ได้ชัดเจนว่ากลิ่นคาวเลือดนั้นคล้ายเข้ามาใกล้ ถึงนางไม่ได้ยินเสียงใดๆ แม้แต่น้อยนิด แต่กลับรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาตามสันหลังอย่างไร้สาเหตุ

ยามที่ฝ่ามือหนาแข็งแรงข้างหนึ่งปิดปากนางไว้โดยพลัน ซูลั่วอวิ๋นก็ลอบอุทานในใจว่าแย่แล้ว!

เห็นทีโจรร้ายคงไม่เชื่อว่านางตาบอดและสงสัยว่านางไหวตัวทันแล้วจะออกไปเรียกคนถึงได้ลงมือ

ข้างหูนางได้ยินเสียงที่จงใจกดต่ำลงติดจะแหบพร่าอยู่บ้างดังขึ้น “ดูจากตัวอักษรของเจ้าไม่เหมือนคนที่ตาบอด แม่นางจะเล่นละครเป็นคนตาบอดโกหกผู้คน แต่สวมบทบาทไม่แนบเนียนเกินไปหรือไม่”

เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าผู้บุกรุกเห็นว่าสตรีนางนี้จับได้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ ดังนั้นจึงจงใจแสร้งทำเป็นตาบอดหลอกลวงเขา จากนั้นก็เตรียมจะออกไปเรียกคน

ขณะที่ถูกฝ่ามือใหญ่ปิดปากไว้ ซูลั่วอวิ๋นได้กลิ่นการบูรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจางๆ บนฝ่ามือข้างนั้น ผู้ที่คุ้นเคยกับไม้หอมเช่นนางแยกแยะได้ทันทีว่าราคาเครื่องหอมนี้น่าจะแพงลิบ

ดูเหมือนว่าเจ้าโจรร้ายคนนี้ลุ่มหลงในการเสพสุข นอกจากเป็นโจรปล้นสะดม ถึงกับใช้เครื่องหอมราคาแพงเช่นนี้โดยไม่เสียดายเงินทอง

แต่นางไม่มีเวลาคิดอีก ได้แต่กระเสือกกระสนเปล่งเสียงพูดอู้อี้จนดังเล็ดลอดจากฝ่ามือใหญ่ที่ทำให้นางหายใจไม่ออก

“ท่านผู้กล้าอย่าได้ขุ่นเคือง ข้ามองไม่เห็นจริงๆ ในเมื่อท่านลงเรือลำนี้มาได้ก็นับว่าปลอดภัยแล้ว ข้าย่อมไม่ปากพล่อยโดยไม่รู้กาลเทศะ ท่านเองก็จะหนีเอาตัวรอดไปได้ เช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อทุกคนหรือ”

ชั่วขณะนี้นางเอามือกุมท่อนแขนของคนผู้นี้อย่างตึงเครียด รับรู้จากสัมผัสที่ปลายนิ้วได้ว่าเขามีแขนยาวเรียวแข็งแรง กล้ามเนื้อแน่นตึง หากจะหักคอคนคงไม่เปลืองแรงสักน้อยนิด

บัดนี้นางถูกเขาจับตัวไว้ จึงต้องรู้จักมีปฏิภาณไหวพริบ รีบแสดงท่าทีไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องโลกภายนอกออกมาก่อน หวังจะหว่านล้อมคนผู้นี้ให้ละเว้นตนสักครั้ง

ครั้นเห็นเขาไม่ส่งเสียงพูด นางก็ดิ้นรนพูดต่อไปอีก “สองปีก่อนข้าประสบอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บจนดวงตาพิการ แม้จะคัดอักษรได้ดี แต่ข้ามองไม่เห็นจริงๆ ท่านผู้กล้าไม่ต้องห่วงว่าข้าจะจำหน้าท่านได้ ดังคำกล่าวที่ว่าคนลงเรือลำเดียวกันล้วนมีวาสนาต่อกัน ข้าเองก็ยินดีจะแสดงน้ำใจไมตรีและไม่คิดจะเอ่ยปากบอกใครให้ตนเองต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ท่านสามารถโดยสารเรือลำนี้ได้อย่างวางใจ อีกสักพักหากต้องการขึ้นฝั่ง ข้าจะสั่งคนเรือให้นำเรือไปส่งท่านก็หมดเรื่อง ข้าได้กลิ่นเลือด ท่านน่าจะได้รับบาดเจ็บ ต้องรีบหาหมอจึงจะถูก…”

นางกล่าววาจาได้อย่างเหมาะสม กอปรกับน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน ฟังดูแล้วคล้อยตามได้ง่ายอย่างยิ่ง

คนผู้นี้เห็นสตรีนางนี้มิได้ตะโกนอย่างตื่นกลัว เขาก็คิดว่านางคงรู้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ในนี้แต่แรกแล้ว

กระนั้นเขาก็ยังไม่เชื่อว่านางเป็นคนตาบอดอยู่ดี หลังจากนิ่งเงียบไปพักหนึ่งเขาก็ล้วงกริชงามประณีตเล่มหนึ่งออกจากข้อมือ เอาปลายแหลมคมส่องประกายเย็นเยียบแทงตรงไปที่ดวงตาของนาง

ขณะที่ปลายกริชอยู่ห่างจากขนตายาวของซูลั่วอวิ๋นเพียงคืบเดียวก็หยุดนิ่งฉับพลัน

ฝ่ายซูลั่วอวิ๋นถูกจู่โจมกะทันหันกลับไม่รู้เรื่องรู้ราว นัยน์ตากระจ่างใสคู่นั้นยังคงมองไปในความว่างเปล่าโดยไม่กะพริบตา

ถ้าเป็นคนปกติถูกจู่โจมโดยไม่ทันระวังตนต้องกะพริบตาอย่างห้ามไม่อยู่เป็นแน่

คนผู้นี้เชื่อแล้วว่านางเป็นคนตาบอดจริงๆ ทว่าฝ่ามือยังไม่คลายออก เขาพูดด้วยเสียงกดต่ำลงดังเดิม “ดูท่าเจ้าจะเป็นคุณหนูของตระกูลมั่งคั่งสูงศักดิ์ ชื่อเสียงย่อมเป็นสิ่งล้ำค่า อีกสักครู่จะมีคนเอาเรือมารับข้า ขอแค่เจ้าไม่ปากพล่อยก็ไม่มีใครรู้ว่าข้าอยู่บนเรือลำนี้ ข้ายังต้องอยู่รบกวนต่ออีกสักสองสามชั่วยาม แม่นางโปรดให้ความร่วมมือด้วย…”

กล่าวจบเขาก็ปล่อยแขนข้างที่พันธนาการซูลั่วอวิ๋นไว้และให้นางกลับไปนั่งข้างโต๊ะ

ถึงซูลั่วอวิ๋นจะมองไม่เห็นการหยั่งเชิงของโจรร้ายเมื่อครู่ แต่นางได้กลิ่นคาวโลหิตปนกับกระแสอันเย็นเยียบของโลหะ จึงรู้ว่าในมือของเขามีอาวุธ

เดิมทีสกุลซูใช้เรือลำนี้ขนของ นอกจากเถียนมามากับเซียงเฉ่าแล้วก็มีตาเฒ่าคนเรือทำหน้าที่กางใบแล่นเรืออีกแค่สองคน ต่อให้ตะโกนเรียกคนมาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโจรร้ายวัยฉกรรจ์ผู้นี้

นางเห็นว่าเขายังพอเจรจากันได้ก็ไม่อยากก่อปัญหา เพียงบอกเขาว่า “อีกสักพักสาวใช้ของข้าอาจเข้ามา ท่านผู้กล้ากรุณาหาที่ซ่อนตัวด้วย จะได้ไม่ต้องหาคำอธิบาย”

อีกฝ่ายมิได้กล่าวตอบ ทว่ากลิ่นคาวโลหิตเหมือนลอยห่างไปไกลขึ้น เขาน่าจะกลับไปหลบอยู่ด้านหลังกองหีบใส่ของแล้ว

บทที่ 6

ซูลั่วอวิ๋นสงบสติอารมณ์แล้วหยิบพู่กันขึ้นมาคัดอักษรต่อช้าๆ

นางทำได้เพียงอดทนให้ช่วงเวลานี้ผ่านพ้นไป รอให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของโจรร้ายมารับตัวหายนะไปเสีย ทั้งยังภาวนาให้คนผู้นี้ไม่ใช่โจรปล้นสะดม มิฉะนั้นข้าวของทั้งเรือลำนี้ก็เปรียบดั่งแพะอ้วนพีทีเดียว

ความจริงในใจนางรู้สึกหวาดกลัวมาก ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วหวาดกลัวไปก็ไม่มีประโยชน์ หลังจากมองไม่เห็นนางเคยสิ้นหวังจนอยากตายมาหลายครั้งหลายครา แต่นางเพิ่งมีเป้าหมายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป กลับต้องมาพบเจอกับเคราะห์ภัยที่คาดไม่ถึง ถูกคนจับตัวไว้บนเรือโกโรโกโสเช่นนี้…

กระนั้นพอได้ประสบกับความไม่แน่นอนของชีวิตมาแล้ว นางกลับสงบจิตใจลงได้เร็วขึ้น

นอกจากตัวอักษรสองสามแผ่นแรกที่คัดผิดพลาดเล็กน้อยเพราะกำลังว้าวุ่นใจ หลายแผ่นที่เหลือนางค่อยๆ สำแดงฝีมือในระดับยอดเยี่ยมออกมา

ผ่านไปได้เพียงชั่วขณะเซียงเฉ่าก็ยกชาร้อนมาหาคุณหนูของตน ตอนเข้าห้องมาไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติ เพียงเอ่ยบอกซูลั่วอวิ๋น

“คุณหนูใหญ่ พักสักครู่เถิดเจ้าค่ะ ความจริงลายมือของท่านตอนนี้ไม่ต่างจากก่อนมองไม่เห็นแล้ว คัดนานไปจะปวดมืออีกนะเจ้าคะ”

เมื่อได้ยินเซียงเฉ่าเข้ามา ซูลั่วอวิ๋นหาได้โล่งใจไม่ นางกลัวว่าสาวใช้จะจับพิรุธอะไรได้แล้วยั่วโทสะโจรร้ายอีกครา จึงเอ่ยบอกเสียงราบเรียบ

“อีกสักครู่ข้าจะเข้านอนแล้ว เจ้าอย่าเข้ามารบกวน…”

เซียงเฉ่าได้ยินแล้วก็ประคองคุณหนูของตนลงนอนโดยไม่รอช้าถึงได้ออกไป

ซูลั่วอวิ๋นไม่ได้นอนหลับ ขณะนี้นางอยู่ในห้องกับบุรุษผู้หนึ่งตามลำพังจะหลับลงได้อย่างไร นางได้แต่ลุกขึ้นเดินคลำทางไปตรงริมหน้าต่างช่องลมใหญ่เท่าฝ่ามือ ยืนเงียบๆ เงี่ยหูฟังเสียงคลื่นทะเลรอบกาย

หากยามนี้มีคนมองไปจะเห็นเงาร่างอรชรของสตรีอ่อนเยาว์ สายลมเย็นเฉียบพัดปอยผมข้างจอนของนางปลิวคลอเคลียพวงแก้มนวลเนียน

นางไม่ล่วงรู้ว่าคนผู้นี้มีวิชาตัวเบาล้ำเลิศ เขาออกจากที่ซ่อนอีกครั้งอย่างไร้สุ้มเสียงแล้วมายืนอยู่ข้างโต๊ะเล็กที่นางใช้คัดอักษร

กระดาษแผ่นบนสุดคัดลอกบทกลอนของเกาจู้ที่ว่า

 

ยามอยู่มีสุราจงดื่มให้สาแก่ใจ ยามลาสู่ปรโลกฤๅได้ร่ำสักหยด…’

 

เขาเลิกคิ้วขึ้น หรือว่าแม่นางผู้นี้เห็นว่าตนจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แต่ยังมิได้ลิ้มลองสัมผัสสิ่งดีงามทั่วหล้า จึงบังเกิดความเสียดายในใจ?

เวลานี้เองซูลั่วอวิ๋นซึ่งเงี่ยหูฟังเสียงอยู่ริมหน้าต่างจู่ๆ ก็เพ่งสมาธิจดจ่อพลางเอ่ยปากกล่าว “ฟังเสียงน้ำ…ดูเหมือนมีเรือแล่นเข้ามาใกล้ ท่านผู้กล้าลองดูว่าเป็นคนที่มารับท่านใช่หรือไม่”

ไม่มีเสียงตอบ แต่ไม่นานนักนางได้ยินคล้ายมีอะไรบางอย่างตกลงไปในน้ำ น่าจะเป็นเขากระโดดลงไปแล้วว่ายน้ำไปหาเรือที่มารับกระมัง

ซูลั่วอวิ๋นไม่มั่นใจ จึงลองส่งเสียงถามอีกครา ทว่าไม่มีคนกล่าวตอบดังเดิม

จวบจนนางเดินไปรอบๆ จนทั่วเรือก็ไม่ได้กลิ่นคาวเลือดอีก ถึงได้มั่นใจว่าบุรุษที่เป็นดั่งภูตผีวิญญาณผู้นั้นลงจากเรือไปแล้ว

ซูลั่วอวิ๋นยังคงไม่วางใจ นางเรียกเซียงเฉ่ามาสอบถามว่าเมื่อครู่มีเรือเข้ามาใกล้หรือไม่ เซียงเฉ่าตอบว่ามีเรือแล่นตามเรือของพวกนางจริงๆ แต่จากไปแล้ว

นางถึงวางใจลงได้อย่างแท้จริง คนผู้นี้กับผู้ใต้บังคับบัญชาส่งข่าวถึงกันได้อย่างไรเป็นปริศนาที่ไร้คำตอบ ทว่าเรื่องนี้นางจะบอกกล่าวคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องดี เขาน่าจะคิดว่านางหวงแหนชื่อเสียงตามประสาสตรีจึงไม่ได้สังหารนางปิดปากกระมัง

แต่เมื่อคิดว่าตนเองต้องพบอันตรายเช่นนี้เพราะบิดารีบร้อนลงเรือทอดทิ้งนางไว้อย่างไม่ดูดำดูดี ลึกเข้าไปในดวงตาที่ไร้แววของซูลั่วอวิ๋นคล้ายฉาบไว้ด้วยน้ำแข็งชั้นหนึ่ง

แต่ไหนแต่ไรมานางไม่หวังว่าบิดาจะให้ความรักความเอ็นดูตนสักเท่าไร ทว่าซูหงเหมิงมักกระทำเหนือความคาดหมายของนางครั้งแล้วครั้งเล่า ฉีกหน้านางหลายครา ดึงขีดความอดทนของนางให้ต่ำลงไม่หยุด

สายน้ำในเวลานี้ไหลเชี่ยวเช่นเดียวกับจิตใจของนางที่ยากจะควบคุมให้สงบลงได้…

อีกด้านหนึ่งเรือที่ตามหลังเรือสกุลซูลำนั้นแล่นจากไปแล้วจริงๆ

ยามนี้เรือลำนั้นเข้าสู่ทะเลสาบป๋อเยียนในอำเภอไหวซีใกล้กับเมืองหลวง

ภายในห้องโดยสารชายฉกรรจ์ร่างกำยำล่ำสันไว้หนวดสั้นกำลังยืนประสานมืออยู่ข้างม่านกั้น ขณะที่บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งกำลังผลัดอาภรณ์อยู่หลังม่าน

ชายหนวดสั้นผู้นั้นมีนามว่าชิ่งหยาง ท่าทางราวกับมีคำพูดสุมแน่นเต็มอก เขาข่มใจอยู่นานก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างทนไม่ไหว

“นายน้อยขอรับ วันนี้ท่านทำอะไรหุนหันพลันแล่นจริงๆ แม้ว่าท่านจะชื่นชมโจรกบฏเฉาเซิ่งผู้นั้น ทั้งยังมีสายสัมพันธ์ส่วนตัวกันอย่างแน่นแฟ้น แต่ถึงอย่างไรเรื่องที่เขากระทำอยู่คือต่อต้านราชสำนัก หากท่านพัวพันกับเขามากเกินไป เกรงว่า…”

ครั้งนี้นายน้อยออกจากเมืองหลวงมาท่องเที่ยวที่อำเภอไหวซีพร้อมกับเหล่าเชื้อพระวงศ์และผู้สูงศักดิ์หลายคน แต่ใครจะรู้ว่าพอนายน้อยบังเอิญเห็นสหายเก่าเฉาเซิ่งถูกคุมตัวอยู่ในรถคุมนักโทษก็ถึงกับวางแผนส่งคนไปส่งเสียงตะวันออกโจมตีตะวันตก ส่วนตนเองเสี่ยงอันตรายลักลอบเข้าไปช่วยเฉาเซิ่งออกมาในยามวิกาล

แม้ว่านายน้อยทำเช่นนี้จะเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมน้ำมิตร แต่ก็อันตรายเกินไปแล้ว! พอคิดว่าอีกฝ่ายพลัดจากกลุ่มไปคนเดียวในช่วงคับขันชุลมุน ชิ่งหยางก็ยังหวาดผวาไม่หาย

บุรุษผู้นั้นพันแผลตรงหัวไหล่อยู่ เขากล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ภารกิจครานี้มีคนจะแพร่งพรายความลับออกไป เคราะห์ดีที่พวกเจ้าเร่งรุดมาทันท่วงที สังหารสายลับที่คิดจะไปแจ้งข่าวที่เมืองหลวง…”

ชิ่งหยางพูดอย่างวิตกกังวล “นายน้อย หากเป็นเช่นนี้ท่านจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์น่าเป็นห่วงหรือขอรับ ไยไม่ฉวยโอกาสนี้รีบไปจากเมืองหลวงแคว้นต้าเว่ย จะได้ไม่ต้องถูกใครบังคับ…”

บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นั้นหันกายมาเล็กน้อย รูปโฉมของเขาคมเข้ม เพราะมีมารดาเป็นชนต่างเผ่า จึงคล้ายมีส่วนผสมของสายเลือดชนต่างเผ่าอยู่เล็กน้อย แสงไฟทอดเงามืดทาบทับใบหน้าด้านข้างของเขารำไร เห็นเส้นสายเค้าโครงงดงามสมส่วนราวกับแกะสลัก จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาสีดำใต้คิ้วดกหนาคมกริบดุจตาเหยี่ยว เรือนผมยาวเปียกหมาดๆ แนบติดใบหน้า ดูแฝงไว้ด้วยความดิบเถื่อนของชนเผ่าแดนไกล ขณะที่เรียวปากบางมีรอยยิ้มจางๆ อย่างเยาะหยันผุดขึ้นมา

“ท่านพ่อส่งข้ามายังเมืองหลวงเพื่อเป็นตัวประกัน หากข้าจากไป เหลียงโจวจะตกอยู่ท่ามกลางไฟสงคราม…จากไปหรือ ใต้หล้ากว้างใหญ่เพียงนี้ ข้าควรไปที่ใดเล่า” หานหลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ในการสู้รบกับชนเผ่าทางแดนเหนือเมื่อสามสิบปีก่อนอดีตฮ่องเต้เว่ยจงเป็นผู้นำทัพเข้าสู่สมรภูมิหมายสำแดงความเก่งกล้าสร้างผลงานยิ่งใหญ่ แต่กลับถูกปิดล้อมบนเขาชิวไถนานถึงยี่สิบวันจนมีการบันทึกลงในพงศาวดารกลายเป็นความอัปยศของแว่นแคว้น

ตอนที่ถูกปิดล้อมไว้อดีตฮ่องเต้เว่ยจงถูกบังคับให้เขียนพระราชโองการสละบัลลังก์เพื่อแลกกับการส่งกองทัพหนุนมาช่วยเหลือ

เมื่ออดีตฮ่องเต้เว่ยจงกลับมาอย่างสิ้นท่าก็ถูกหานซวี่เสด็จอาของเขาซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอำนาจใหม่ของแคว้นต้าเว่ยเข้าแทนที่เสียแล้ว หลังหานซวี่ขึ้นครองราชย์ก็มีพระนามว่าฮ่องเต้เว่ยเซวียน ยอมสละแดนเหนือยี่สิบเมืองถึงยุติสงครามได้ทันการณ์

นับแต่นั้นมาสายตระกูลของหานซวี่ก็กลายเป็นผู้ครองราชสมบัติตามกฎมณเฑียรบาล

แม้ว่าฮ่องเต้เว่ยเซวียนจะฉวยโอกาสที่แผ่นดินกำลังวุ่นวายยึดอำนาจ แต่เพราะมีพระราชโองการสละบัลลังก์ของอดีตฮ่องเต้เว่ยจงผู้เป็นหลานชาย จึงได้ครองตำแหน่งอย่างถูกต้องชอบธรรม เขามอบพระนามให้อดีตฮ่องเต้เว่ยจงที่กลับมาอย่างไร้ศักดิ์ศรีว่าเซิ่งเต๋อไท่หวงโดยไม่รอช้า

หลังจากนั้นฮ่องเต้องค์ใหม่ยังเนรเทศรัชทายาทซึ่งเดิมทีควรได้สืบทอดบัลลังก์ไปอยู่อย่างสันโดษในถิ่นทุรกันดารเช่นเหลียงโจว มีตำแหน่งที่ไร้อำนาจเป็นเป่ยเจิ้นอ๋อง

เมื่อเป็นเช่นนี้เท่ากับว่าหลานชายยินดีสละราชสมบัติให้ผู้เป็นอา ทุกคนสามัคคีปรองดองกัน สิ่งที่บันทึกลงในพงศาวดารล้วนน่าชื่นชม

เพียงแต่เหลียงโจวรายรอบด้วยภูเขาสูงชันและมีเมืองสำคัญทางทหารล้อมไว้ทั้งสี่ทิศ ตกอยู่ในสภาพประหนึ่งตะพาบในไหอีกทั้งอดีตฮ่องเต้เว่ยจงถูกบีบให้ลงจากตำแหน่ง ในอกสุมแน่นไปด้วยความขุ่นข้องโกรธเคือง หลังสละราชสมบัติปีที่สองก็ประชวรหนักแล้วสวรรคตในเมืองหลวง ไม่มีบุตรชายบุตรสาวอยู่ดูใจในวาระสุดท้ายก่อนสิ้นลม

ด้วยเหตุนี้พอมาถึงรุ่นของหานอี้บิดาของหานหลินเฟิง เหล่าบุตรหลานของอดีตฮ่องเต้เว่ยจงอยู่ในอาณาเขตเหลียงโจวโดยไม่ได้รับการอบรมบ่มเพาะ ส่วนใหญ่มักเสียคนมีนิสัยเสเพลไม่เอาการเอางาน

ตามธรรมเนียมอ๋ององค์ใหม่ทุกรุ่นทางเหลียงโจวต้องส่งบุตรชายที่จะสืบทอดตำแหน่งอ๋องในอนาคตเข้าเมืองหลวง โดยมีเหตุผลน่าฟังว่าเพื่อฝึกฝนร่ำเรียนวิชาความรู้และสัมผัสวิถีชีวิตของชาวเมืองหลวง แต่แท้จริงแล้วคือการควบคุมไว้เป็นตัวประกัน คอยเฝ้าดูพฤติกรรม ทันทีที่เหลียงโจวมีความเคลื่อนไหวเพียงน้อยนิด บุตรชายผู้นี้ก็จะถูกใช้เป็นเครื่องสังเวย

สองปีที่แล้วหานอี้ส่งตัวหานหลินเฟิงบุตรชายคนโตของตนเข้าเมืองหลวงเพื่อเริ่มต้นการแสวงหาความรู้เป็นเวลาห้าปี

เพราะว่าหานหลินเฟิงอยู่ในสภาพเช่นนี้นี่เอง ชิ่งหยางซึ่งเป็นบ่าวรับใช้ประจำตัวถึงใจหายใจคว่ำกับความกล้าบ้าบิ่นของนายน้อย

เคราะห์ดีที่ได้ลงเรือของสกุลซูถึงรอดพ้นอันตรายมาได้ แต่ว่านายน้อยต้องเร่งรีบกลับไปหาพวกพ้องที่มาจากเมืองหลวงด้วยกันและกลบเกลื่อนร่องรอยที่ทิ้งไว้ให้หมดจดถึงจะเรียบร้อย

ชิ่งหยางถามขึ้นอีกอย่างไม่ค่อยวางใจ “ไว้ชีวิตคนบนเรือลำนั้นจะเป็นเภทภัยในวันหน้าหรือไม่ขอรับ”

เขาหมายถึงเรือของสกุลซู หากให้ใครรู้ว่านายน้อยช่วยเหลือโจรกบฏเฉาเซิ่งจะส่งผลเป็นวงกว้างเกินไป อีกทั้งคนในจวนอ๋องที่เหลียงโจวทั้งหมดจะตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม จึงต้องจัดการด้วยวิธีเฉียบขาดและฉับไวอย่างช่วยไม่ได้

ครั้นนายน้อยซึ่งเป็นคนเด็ดขาดเอาจริงเอาจังเสมอของเขาได้ยินก็ชะงักไปเล็กน้อยถึงเอ่ยตอบ “ไม่เป็นไร นางไม่ล่วงรู้ว่าข้าเป็นใคร”

เมื่อเห็นนายน้อยกล่าวเช่นนี้ ชิ่งหยางก็มิได้ยืนกรานต่อ เพียงรับใช้อยู่ด้านข้างคอยหยิบอาภรณ์ส่งให้

เสื้อคลุมยาวหรูหราตัวนี้ปักลายดอกโบตั๋นจนทั่วดูประณีตวิจิตรสะดุดตา ปกคลุมเรือนกายแข็งแรงกำยำของหานหลินเฟิงไว้อย่างเหมาะเจาะ เส้นผมยาวดำสนิทซึ่งถักเป็นเปียเส้นเล็กๆ ซ้อนทับกันรวบขึ้นแล้วสวมเกี้ยวครอบผมทองคำ ดวงหน้าหล่อเหลาผัดแป้งเนื้อเนียนที่ไม่เข้ากับตัวไว้ชั้นหนึ่ง ริมฝีปากยังแต้มด้วยชาดแดง

เขามีเค้าโครงใบหน้าคมสันหล่อเหลาอยู่แต่เดิม ทว่าหลังจากอำพรางลักษณะของบุรุษอกสามศอกไว้จนมิดชิดก็แลดูงดงามละมุนละไมเช่นคุณชายตระกูลสูงศักดิ์

นี่คือรูปลักษณ์ที่เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในหมู่คุณชายสูงศักดิ์ในเมืองหลวงตอนนี้ ในช่วงเวลาที่บ้านเมืองสงบสุขบรรดาคุณชายวัยหนุ่มที่ไม่รู้ถึงรสชาติของความทุกข์ยากทั้งหลายก็ประทินโฉมราวกับสตรีเช่นนี้

หานหลินเฟิงไม่แสดงสีหน้าใดๆ เพียงมองดูเงาสะท้อนใบหน้าขาวซีดแฝงความอ่อนเพลียของคุณชายเสเพลในคันฉ่อง จู่ๆ ก็เหยียดมุมปากออกเป็นรอยยิ้มเยาะหยัน…ชั่วขณะนี้ความงดงามละมุนละไมอันตรธานหายไปราวกับว่ามีสัตว์ร้ายกระหายเลือดหลับใหลอยู่ภายใน เตรียมพร้อมรอเวลาพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า…

น่าเสียดายที่รอยยิ้มนี้ปรากฏเพียงชั่วพริบตาเดียวก็หายวับไปไม่เห็นวี่แวว

 

หลังจากแต่งกายเสร็จหานหลินเฟิงใช้ทางเดินเชื่อมระหว่างสะพานลอบลงเรือสำราญลำใหญ่ที่จอดอยู่ในทะเลสาบอีกลำหนึ่งเงียบๆ มุมปากประดับรอยยิ้มที่ดูเสเพลไม่จริงจัง เขาแกว่งจอกสุราในมือไปมาพลางเขี่ยพวงแก้มนุ่มของหญิงงามที่โผมาซบอกด้วยท่วงท่าสง่างาม ทำตัวกลมกลืนไปกับบรรยากาศรื่นเริงด้วยเสียงร้องรำทำเพลงบนเรือ

ยามนี้เหล่าผู้สูงศักดิ์ที่ร่ำสุรามาตลอดทั้งราตรีต่างเมามายกันแล้ว ถึงขั้นมีคนกระโดดลงทะเลสาบเล่นน้ำกับหญิงงาม

ไม่มีใครสังเกตว่าหานซื่อจื่อ ลอบออกไปทั้งคืน นึกแต่เพียงว่าเขาไปหาความสำราญกับนางขับร้องที่ถูกตาต้องใจบนเรือด้านข้าง

ถึงอย่างไรหานซื่อจื่อก็เป็นบุรุษเจ้าสำราญ…ในหมู่ผู้รักสนุกในเมืองหลวง ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าเป่ยเจิ้นอ๋องซื่อจื่อเป็นคนไร้ค่าที่กินดื่มเที่ยวเล่นไปวันๆ ไม่มีความรู้ความสามารถผู้หนึ่ง

ท่ามกลางเสียงชนจอกสุราสรวลเสเฮฮา หานหลินเฟิงหันหน้ามองไปทางผิวทะเลสาบที่ปกคลุมด้วยม่านหมอกยามรุ่งสาง สิ่งที่ผุดขึ้นในห้วงความคิดมิใช่ทั้งเสียงดนตรีอ่อนหวานยวนใจหรือประกายดาบเงากระบี่ยามตกอยู่ในสถานการณ์ก่อนหน้านี้ แต่เป็นภาพสตรีโฉมงามบอบบางดุจรูปปั้นหยกที่นั่งอยู่เพียงลำพังตรงข้างโต๊ะ ตวัดพู่กันไม้ไผ่ในมือขาวเกลี้ยงคัดอักษรอย่างสงบเยือกเย็น

บาดแผลที่หัวไหล่ยังคงเจ็บแปลบ ทว่าเขาดื่มสุราหมดจอกโดยปราศจากความลังเล เอื้อนเอ่ยบทกลอนที่แม่นางผู้นั้นคัดลอกด้วยสุ้มเสียงแผ่วเบา…

“ยามอยู่มีสุราจงดื่มให้สาแก่ใจ ยามลาสู่ปรโลกฤๅได้ร่ำสักหยด…”

ภาพความสงบเยือกเย็นเป็นสุขถึงขั้นเห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดาของโลกในหัวสมองภาพนั้นไม่เข้ากับเขาแม้แต่น้อยนิด พอกลืนสุราชั้นเลิศรสเข้มแรงในจอกลงไป หานหลินเฟิงก็สลัดเงาร่างอ้อนแอ้นออกไปจากความคิด

 

ขณะที่เรือสำราญทางนี้กำลังชนจอกดื่มสุราร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง อีกด้านหนึ่งเรือของสกุลซูทั้งสองลำก็แล่นมาถึงท่าเรือเมืองหลวงไม่พร้อมกัน ซูหงเหมิงนึกถึงซูลั่วอวิ๋นที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังได้ในที่สุด เขาจึงหยุดรอนางอยู่ครู่หนึ่ง

ซูกุยเยี่ยนเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา หากรู้แต่แรกว่าบิดาจะสั่งให้ออกเรือก่อนโดยไม่รอพี่สาว เขาไม่มีทางลงเรือเด็ดขาด

พอเห็นซูลั่วอวิ๋นก้าวขึ้นฝั่ง ซูกุยเยี่ยนก็รีบวิ่งไปหา ตั้งใจจะประคองพี่สาวขึ้นรถม้า แต่พอแตะมือของนางเขาก็ร้องอุทานขึ้นมาทันที

“เหตุใดมือถึงเย็นเพียงนี้ขอรับ เซียงเฉ่า เจ้าไม่ได้เตรียมเตาพกให้พี่ลั่วอวิ๋นหรือ”

เซียงเฉ่าพูดอย่างละอายใจ “ข้าวของในเรือนเราล้วนยกไปไว้ในเรือลำแรกล่วงหน้าเจ้าค่ะ ในรถม้ามีแค่หีบใส่เสื้อผ้าไม่กี่ชุดกับเตาพกให้คุณหนูใหญ่ถืออุ่นมืออีกใบ แต่เรือแล่นถึงกลางทางถ่านไฟก็มอดแล้ว เหลือแต่เตาหุงข้าวต้มน้ำ เรือลำนั้นยังเป็นเรือขนของ มีรูโหว่ ลมจึงพัดเข้ามาได้…”

บทที่ 7

ซูกุยเยี่ยนฟังถึงตรงนี้ก็รีบกุมมือพี่สาวไว้แล้วเป่าลมออกจากปากถ่ายทอดไออุ่นให้นาง เขายังมองบิดาด้วยสายตาขุ่นเคืองคับแค้นอย่างห้ามไม่อยู่

เวลานี้ซูหงเหมิงสงบอกสงบใจลงได้แล้วก็รู้สึกผิดต่อบุตรสาวคนโตอยู่บ้างเช่นกัน แต่ด้วยศักดิ์ศรีของผู้เป็นบิดาค้ำคอทำให้เขายอมอ่อนข้อให้ไม่ได้ เพียงกระแอมกระไอก่อนเอ่ยขึ้น

“พวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสถานการณ์จะฉุกละหุกถึงเพียงนี้ มีไส้ศึกจากกองทัพกบฏบุกเข้าคุกในอิ้นโจวช่วยโจรกบฏออกไป นี่เป็นเรื่องสำคัญใหญ่หลวงทางการทหาร แม่น้ำทั้งสายจะถูกปิดล้อมในชั่วเวลาสั้นๆ หากข้าไม่คิดหาวิธีออกเรือโดยเร็ว เช่นนั้นก็ต้องเสียเวลาอยู่ที่บ้านเดิม ตามกฎหมายของแคว้นต้าเว่ยถ้าขุนนางไม่ไปรายงานตัวตามเวลาจะเท่ากับว่าสละตำแหน่ง…สารถีคนนั้นก็เกียจคร้าน เหตุใดถึงไม่ตรวจตรารถม้าให้เรียบร้อยก่อนล่วงหน้า ถึงเป็นเหตุให้ลั่วอวิ๋นลงเรือไม่ทัน”

พอซูหงเหมิงโยนความผิดไปให้สารถีแล้ว ในใจก็รู้สึกเบาสบายโดยพลัน…ถ้ามิใช่เพราะรถม้าของบุตรสาวขัดข้อง เขาไม่มีทางทอดทิ้งนาง

ซูลั่วอวิ๋นได้ฟังคำกล่าวของบิดาถึงได้เข้าใจว่าที่แท้คนที่อยู่บนเรือผู้นั้นเป็นพรรคพวกของกบฏ…

ในเมื่อเรื่องนี้พัวพันถึงวงกว้าง นางยิ่งไม่อยากถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง ย่อมไม่เอ่ยถึงกับคนรอบข้างแม้แต่คำเดียว ถือว่าเหตุการณ์ที่ประสบพบเจอบนเรือเป็นเพียงฝันร้าย รีบลืมไปเสียย่อมเป็นการดี

 

หลังจากขึ้นรถลงเรือเดินทางตรากตรำ ในที่สุดซูลั่วอวิ๋นก็กลับถึงจวนสกุลซูที่จากไปเนิ่นนาน

เมื่อก่อนนางมีสหายรักตั้งแต่วัยเยาว์ในเมืองหลวงอยู่บ้าง ในวันที่สองที่คุณหนูใหญ่สกุลซูกลับมา สวีเฉี่ยวจือคุณหนูของสกุลสวีที่สนิทสนมกันก็ตั้งใจมาเยี่ยมเยียนนางโดยเฉพาะ

คนที่มาพร้อมกับสวีเฉี่ยวจือยังมีลู่หลิงซิ่วคุณหนูของสกุลลู่

ครอบครัวของพวกนางล้วนค้าขาย มีฐานะทัดเทียมกัน แต่แน่นอนว่าจวนสกุลลู่เหนือกว่าอีกสองจวน เพราะมีบุตรหลานในตระกูลได้เป็นขุนนางแล้วสองคน มิหนำซ้ำยังเข้านอกออกในตามจวนผู้มีอำนาจสูงศักดิ์บ่อยครั้ง มีเส้นสายกว้างขวางอย่างมาก

กระนั้นพวกนางสามคนก็คบหากันอย่างถูกคอมาโดยตลอด ถึงขั้นร่วมกันก่อตั้งชุมนุมกวีขึ้นและไปมาหาสู่กันเป็นประจำ

ทว่าหลังจากดวงตามองไม่เห็น ซูลั่วอวิ๋นก็ไม่อยากพบใคร จึงไม่ได้พบหน้าสหายทั้งสองคนมานานแล้ว

ตอนที่สาวใช้นำทางคุณหนูทั้งสองมาถึงสวนบุปผา ซูลั่วอวิ๋นได้สั่งให้คนจัดโต๊ะน้ำชาไว้รอท่าแล้ว ทั้งยังชงชาให้สหายด้วยตนเอง

สวีเฉี่ยวจือประหลาดใจเมื่อพบว่าแม้ซูลั่วอวิ๋นจะมองไปข้างหน้าด้วยดวงตาที่เลื่อนลอย แต่กลับใช้น้ำร้อนลวกเครื่องมือชงชาและใบชาได้โดยไร้อุปสรรค ทั้งยังสง่างามไปทุกอิริยาบถมากกว่าก่อนตาบอดเสียอีก

ลู่หลิงซิ่วก็กล่าวอย่างแปลกใจ “ลั่วอวิ๋น ดวงตาของเจ้ากลับมามองเห็นแล้วหรือ”

ซูลั่วอวิ๋นยิ้มน้อยๆ “ตอนอยู่บ้านเดิมข้าไม่ได้พบปะสังสรรค์กับใครมากนัก เวลาอยู่ว่างๆ จะศึกษาแต่ศาสตร์ชงชา ส่วนถ้วยชาพวกนี้ล้วนตั้งอยู่ในตำแหน่งประจำ ฝึกฝนหลายๆ ครั้งก็จดจำได้แล้ว เป็นอย่างไร ไม่มีอะไรผิดพลาดกระมัง”

อันที่จริงลู่หลิงซิ่วมาครั้งนี้พร้อมความรู้สึกละอายแก่ใจ ถึงอย่างไรพี่ชายของนางกับซูลั่วอวิ๋นต่างฝ่ายต่างก็ชอบพอกันมานานแล้ว แต่ตอนนี้พี่ชายกลับจะแต่งงานกับน้องสาวของซูลั่วอวิ๋น ทำให้นางทอดถอนใจนักว่าชะตาชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนโดยแท้

นางเตรียมตัวเตรียมใจถูกสหายรักพูดจาเหน็บแนมเสียดสี เพราะได้ยินซูไฉ่เจียนเคยบอกว่าหลังจากซูลั่วอวิ๋นตาบอดก็กลายเป็นคนโมโหร้าย พออ้าปากก็ด่าทอคน

แต่ขณะนี้ดูไปแล้วเด็กสาวผู้ร่าเริงเปิดเผยในวันวานคนนั้นดูมีความสุขุมหนักแน่นและสง่างามเกินวัยมากขึ้น ใบหน้านั้น…ก็ยิ่งงามพริ้มเพราจับตา หากพี่ชายเห็นซูลั่วอวิ๋นที่เป็นเช่นนี้ เกรงว่าจะต้องกลับมาคะนึงหาอีกฝ่ายและทนทุกข์ทรมานอีกเป็นแน่…

นอกจากนี้ยังตรงข้ามกับที่ลู่หลิงซิ่วนึกภาพไว้ ซูลั่วอวิ๋นดูเหมือนไม่มีความคิดจะตัดมิตร เพียงทำหน้าที่เจ้าของเรือนต้อนรับแขก พอชงชาเสร็จยังจับมือพวกนางสองคนพลางบอกเล่าสิ่งที่พบเห็นที่บ้านเดิม ทำให้บรรยากาศดูกลมเกลียวปรองดองอย่างยิ่ง

ลู่หลิงซิ่วหาโอกาสตอนที่ได้อยู่กันตามลำพังหมายจะถ่ายทอดคำพูดของพี่ชาย อธิบายว่าเขาไม่อาจทำตามใจตนเองได้ แต่นางยังพูดไม่จบ ซูลั่วอวิ๋นก็เอ่ยปากตัดบท

“ทั้งหมดนั่นล้วนเป็นเรื่องสมัยวัยเยาว์แล้ว อย่าเก็บไปใส่ใจอีกเลย…มา ลองดมกลิ่นเครื่องหอมใหม่ที่ข้าปรุงขึ้น ดูว่าถูกใจหรือไม่”

หูซื่อมารดาของซูลั่วอวิ๋นเป็นยอดฝีมือปรุงเครื่องหอมผู้หนึ่ง เมื่อครั้งที่การค้าของสกุลซูจวนเจียนจะล่มจมล้วนอาศัยตำรับเครื่องหอมของหูซื่อถึงพลิกฟื้นขึ้นมาได้

ในอดีตซูลั่วอวิ๋นไม่ชอบปรุงเครื่องหอมอย่างมาก เพราะนางเห็นว่าการที่มารดาช่วยแบ่งเบาภาระให้บิดาถึงทำให้บิดามีเวลาว่างไปเกี้ยวสตรีอย่างสบายอกสบายใจจนมารดาต้องโศกเศร้าตรอมใจ

ทว่านางได้เห็นมารดาปรุงเครื่องหอมมาตั้งแต่เด็กจนติดหูติดตา ต่อให้ไม่ชอบก็จับเคล็ดได้หลายส่วน หลังจากตาบอดต้องอยู่ท่ามกลางความมืดมิดที่ไม่มีวันจางหายไป จมูกที่สามารถรับกลิ่นหอมรวยรินจึงกลายเป็นหนทางในการรับรู้ความงดงามของโลกใบนี้แม้ว่าจะมีข้อจำกัดก็ตาม

บัดนี้เรื่องฝีมือและการเข้าถึงแก่นแท้ของศาสตร์ปรุงเครื่องหอมนั้นนางมีทีท่าว่าจะล้ำหน้ามารดาแล้ว

ลู่หลิงซิ่วถูกซูลั่วอวิ๋นตัดบทก็พูดไม่ถนัด จึงได้แต่ใช้ปลายนิ้วหยิบเครื่องหอมมาดมดู

พอลู่หลิงซิ่วได้ดมกลิ่น คิ้วที่ย่นเข้าหากันก็คลายออกทันใด “กลิ่นนี้คล้ายกลิ่นผลตั้นหลี* แต่เจือความหอมหวานเช่นเดียวกับผลท้อไว้หลายส่วน หอมเหลือเกิน…นี่เป็นเครื่องหอมที่เพิ่งออกใหม่ของร้านโส่วเว่ยของพวกเจ้าหรือ ชื่อว่าอะไร พอกลับไปข้าจะสั่งให้สาวใช้ไปซื้อกลับมามากๆ”

ซูลั่วอวิ๋นอมยิ้ม “ข้าปรุงขึ้นฆ่าเวลาเท่านั้น ตั้งชื่อให้ชั่วคราวว่ากลิ่นตั้นหลี ข้าผสมกลิ่นนี้ลงในขี้ผึ้งหอมทาผิว ประเดี๋ยวจะมอบให้เจ้ากับเฉี่ยวจือคนละหนึ่งตลับ”

ลู่หลิงซิ่วแย้มยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ นางมองซูลั่วอวิ๋นซ้ำอีกคราแล้วทอดถอนใจน้อยๆ ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้น อีกฝ่ายยังเป็นปกติดีและกลายเป็นพี่สะใภ้ของนางจะดีสักปานใด

ขณะที่คิดคำนึงอยู่เช่นนี้ คุณหนูรองสกุลซูก็มาเป็นแขกโดยไม่ได้รับเชิญ

เพราะพี่สาวมองไม่เห็น ซูไฉ่เจียนก็คร้านที่จะคารวะทักทาย นางตรงเข้าไปพูดกับลู่หลิงซิ่วยิ้มๆ “หลิงซิ่ว มาถึงแล้วก็ไม่มาหาข้า เจ้ากลับมาที่เรือนของพี่ลั่วอวิ๋นก่อน ไม่กลัวข้าจะต่อว่าเจ้าหรือ”

ลู่หลิงซิ่วเห็นว่าที่พี่สะใภ้กล่าวเช่นนี้ก็รีบเอ่ยตอบ “เราสองคนพบกันอยู่บ่อยครั้ง ข้าคิดว่าพบเจ้าน้อยลงครั้งหนึ่งเจ้าคงไม่ต่อว่าข้า อย่างมากงานเลี้ยงน้ำชาคราวหน้าข้าก็ออกเงินเป็นเจ้าภาพแล้วกัน”

จริงๆ แล้วซูไฉ่เจียนกังวลมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางรู้สึกว่าน้องสาวของว่าที่สามีตนชอบพี่สาวคนโตมากกว่า แต่จะแสดงออกมาอย่างชัดเจนเกินไปก็ไม่ดี นางจึงเอ่ยทีเล่นทีจริง

“เจ้ากับพี่ลั่วอวิ๋นสนิทสนมกันมาแต่ไหนแต่ไร โทษมิได้ที่พอนางกลับมาเจ้าก็คิดถึงแต่นาง ไม่รู้ว่าพี่ชายเจ้าจะเป็นเหมือน…”

ซูลั่วอวิ๋นไม่รอให้น้องสาวกล่าววาจาที่จะสร้างความกระอักกระอ่วนให้ทุกคน นางพลันเปลี่ยนเรื่องพูด “ได้ยินว่าองค์หญิงอวี๋หยางจะจัดงานฉลองวันคล้ายวันเกิด ไม่รู้ว่าสกุลลู่ยังรับหน้าที่จัดเตรียมฉลองพระองค์ขององค์หญิงเหมือนปีที่ผ่านมาหรือไม่”

ในอดีตสกุลลู่เป็นตระกูลพ่อค้าเช่นเดียวกับสกุลซู ผ้าปักของโรงปักผ้าสกุลลู่มีลวดลายสีสันงดงาม ฝีมือประณีตบรรจง หลังจากสกุลลู่สร้างฐานะได้จากโรงปักผ้า นายท่านสกุลลู่ก็กลายเป็นขุนนางในกองการค้าหลวง ช่วยกองการค้าหลวงคัดสรรแพรพรรณและผ้าปัก นับเป็นผู้เชี่ยวชาญมือหนึ่งด้านกิจการโรงปักผ้า ซูหงเหมิงก็อาศัยเส้นสายของนายท่านสกุลลู่จึงไปได้ถึงฝั่งฝัน

หากบรรดาผู้สูงศักดิ์ในวังหลวงเบื่อหน่ายรูปแบบลวดลายเสื้อผ้าของกองงานฝ่ายใน ส่วนใหญ่ก็จะไปสั่งทำพิเศษที่โรงปักผ้าสกุลลู่

ฮูหยินกับคุณหนูลู่อาศัยฝีมืออันยอดเยี่ยมในการวาดแบบบนกระดาษจนกลายเป็นแขกประจำของจวนผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย องค์หญิงอวี๋หยางที่ชื่นชอบเครื่องแต่งกายงดงามก็มักเรียกสองแม่ลูกมาพบเพื่อสั่งตัดเย็บอาภรณ์พิเศษอยู่บ่อยครั้ง

เมื่อได้ยินซูลั่วอวิ๋นไต่ถาม ลู่หลิงซิ่วก็กล่าวยิ้มๆ “เจ้าเดาไม่ผิด โรงปักผ้าของตระกูลข้าเป็นที่โปรดปรานขององค์หญิงเสมอมา ครั้งนี้พระองค์ทรงเลือกของตระกูลข้าเช่นกัน”

ซูลั่วอวิ๋นทาขี้ผึ้งหอมที่ตนปรุงขึ้นบริเวณข้อมือของลู่หลิงซิ่วให้ลองดมกลิ่นพลางเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ “เช่นนั้นจะไม่เหมือนกับที่ผ่านมาหรือ เจ้าคงได้ติดตามมารดาไปที่จวนราชบุตรเขยเพื่อวัดพระวรกายให้องค์หญิงด้วยกันใช่หรือไม่”

ลู่หลิงซิ่วยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าช่างเดาเก่งเสียจริง ข้ากับท่านแม่รอองค์หญิงบรรทมกลางวันแล้วจะไปเข้าเฝ้ายามบ่าย ครานี้องค์หญิงทรงสั่งปักลายมากมาย ท่านแม่ไม่วางใจพวกหญิงปักผ้า อยากไปจดบันทึกจุดสำคัญด้วยตนเองเพื่อป้องกันความผิดพลาด ส่วนข้าวาดแบบอาภรณ์ได้ดีจึงจะไปพร้อมกับท่านแม่ แล้วก็จะไปเข้าเฝ้าถวายพระพรองค์หญิงด้วย”

ในเมื่อลู่หลิงซิ่วยังมีงานสำคัญต้องทำ ทุกคนดื่มชาสองสามถ้วยแล้วจึงแยกย้ายกัน

 

ซูลั่วอวิ๋นกลับถึงเรือนก็ผลัดชุดสำหรับออกไปข้างนอก เตรียมตัวไปจุดพักม้าเพื่อพบท่านน้าที่มาถึงเมืองหลวง

เมื่อครั้งที่หูเสวี่ยซงทะเลาะกับพี่เขยซูหงเหมิงเพราะพี่สาวเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เขาได้พังประตูใหญ่จวนสกุลซูเป็นชิ้นๆ และตัดญาติขาดมิตรกัน

ซูลั่วอวิ๋นไม่อยากให้ท่านน้าต้องลำบากใจ ดังนั้นจึงส่งจดหมายนัดพบเขาที่จุดพักม้า

จุดพักม้าแห่งนั้นเป็นสถานที่ที่ขุนนางซึ่งเข้าเมืองหลวงมารายงานตัวเข้าพักแรมกันบ่อยครั้ง บริเวณโดยรอบมีโรงน้ำชากับหอสุราชั้นดีตั้งเรียงรายเป็นแถว มิหนำซ้ำยังมีร้านที่อยู่ลึกเข้าไปในตรอกมากมายแขวนโคมแดงเอาไว้ มีสตรีแต่งกายอวดเนื้อหนังมังสายืนอยู่ประจำตามตรอก

ด้วยเหตุนั้นละแวกนี้จึงพลุกพล่านขวักไขว่ ทั้งยังคึกคักจอแจเป็นพิเศษ

ซูลั่วอวิ๋นอยู่อย่างเงียบเหงาในชนบทมานานสองปี ไม่ค่อยคุ้นชินกับความรุ่งเรืองเฟื่องฟูเช่นนี้ กระนั้นเมื่อได้ยินเสียงดังอึกทึกเหล่านี้ในความมืดมิดก็ให้ความรู้สึกคล้ายกับว่าตนเองยังมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้

ในตอนนี้พลันมีเสียงหัวเราะครืนใหญ่ดังขึ้นที่ข้างรถม้า

เซียงเฉ่ายื่นหน้าออกไปดูก็รีบหันมาบอกกล่าว “เป็นพวกบุรุษเมามายไร้ศีลธรรมกลุ่มหนึ่งเจ้าค่ะ คงจะแพ้เดิมพันสุราจึงส่งคนผู้หนึ่งออกมาดีดพิณแลกเงินข้างถนน ถึงดึงความสนใจของผู้คนให้มามุงดูกัน”

เพราะมีคนมุงดูเนืองแน่นจนขวางทางบนถนน รถม้าของสกุลซูจำต้องรอให้ฝูงชนแยกย้ายกันก่อนถึงจะเคลื่อนไปข้างหน้าต่อได้

ท่ามกลางเสียงเอะอะอื้ออึง เสียงพิณเสนาะหูลอยแว่วมากระทบโสตประสาท

คนดีดพิณกำลังบรรเลงเพลง ‘หงส์เกี้ยวหงส์’ ของซือหม่าเซียงหรู ท่วงทำนองสูงต่ำสอดประสานกลมกลืน ทว่าเสียงเพลงที่ควรสื่ออารมณ์หลงใหลใฝ่ฝันดั่งคำร้องว่า ‘พบหญิงหนึ่งงามจับตา ติดตรึงตรายากลืมเลือน เพียงวันเดียวมิเห็นหน้า คะนึงหาจวนเจียนคลั่ง’ อย่างที่ควรจะเป็นแต่เดิมกลับแตกต่างออกไป

พอซูลั่วอวิ๋นเอียงหูตั้งใจฟังกลับรู้สึกว่าเสียงเพลงนี้หนักแน่นทรงพลัง ขาดความเว้าวอนอ่อนช้อย แทนที่จะพูดว่าเป็นบุรุษที่ตกอยู่ในห้วงรักกำลังถวิลหาสตรีในดวงใจ มิสู้บอกว่าเป็นทหารนักรบที่เปิดเผยโผงผางกำลังถือดาบบังคับสตรีให้แต่งงานด้วยแล้วค่อยกลับเข้าค่ายทหารจะเหมาะกว่า

ด้วยเหตุนี้นางจึงหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เซียงเฉ่าถามคุณหนูใหญ่อย่างสนใจใคร่รู้ว่าหัวเราะอะไร นางจึงบอกสิ่งที่ตนคาดเดาในใจแล้วถามขึ้น

“คนดีดพิณอายุเท่าไร รูปโฉมเป็นอย่างไรหรือ”

เซียงเฉ่าชะโงกดูอีกครั้งถึงมองได้ถนัดตา พอนางเห็นอย่างชัดเจนแล้วก็ยกมือทาบอกพลางกระซิบทันที “โอ้ ใต้หล้าถึงกับมีบุรุษหล่อเหลาปานนี้…บ่าวคิดว่าคุณชายลู่เป็นบุรุษรูปงามหาตัวจับยากแล้ว บัดนี้ดูไปแล้วคุณชายลู่ก็แค่นั้นเอง…”

สาวใช้ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเถียนมามาหยิกต้นขา นางร้องโอดโอยด้วยความเจ็บ จากนั้นถึงรู้ตัวว่าพลั้งปากเอ่ยถึงคุณชายลู่ต่อหน้าคุณหนู

รอยยิ้มบนหน้าซูลั่วอวิ๋นจางลง นางเพียงพูดตัดบทขึ้นว่า “หือ? ข้ายังนึกว่าเป็นพวกทหารนักรบวัยกลางคนเสียอีก ดูไปแล้วข้าคงไม่มีความสามารถในการอ่านคนจากเสียงเสียแล้ว”

จังหวะนี้เองในกลุ่มคนที่มุงดูความครึกครื้นอยู่ข้างรถม้ามีคนจำหน้าคุณชายรูปงามที่ดีดพิณผู้นี้ได้ “นี่คือหานหลินเฟิง เป่ยเจิ้นอ๋องซื่อจื่อมิใช่หรือ เขาวนเวียนดื่มตามหอสุราบนถนนสายนี้จนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว วันนี้มาก่อเรื่องชวนหัวอะไรที่นี่อีกเล่า”

อีกคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ได้ยินว่าเขาเดิมพันกับหย่งอันอ๋องซื่อจื่อว่าผู้แพ้ต้องดีดพิณแลกเงินตรงบริเวณที่ผู้คนพลุกพล่าน เมื่อได้เงินพอจ่ายค่าสุราถึงจะไปได้”

ทุกคนฟังแล้วก็มองไป ด้านหน้าเสื่อที่คุณชายสูงศักดิ์ผู้นั้นนั่งคุกเข่าอยู่วางอ่างสำริดงามวิจิตรใบหนึ่งไว้จริงๆ คงจะใช้แทนขันขอทาน

อ่างใบใหญ่เพียงนี้เห็นได้ชัดว่าค่าสุราที่พวกเขาดื่มกันเป็นเงินไม่น้อย

“น่าเศร้าที่บัดนี้สายเลือดของอดีตฮ่องเต้เว่ยจงกลับมีบุตรหลานรุ่นหลังเช่นนี้ เคราะห์ดีที่ในตอนนั้นฮ่องเต้เว่ยเซวียนได้สืบทอดบัลลังก์ มิฉะนั้นแคว้นต้าเว่ยของพวกเราคงย่อยยับด้วยน้ำมือคุณชายเสเพลพรรค์นี้ไปแล้ว”

คนรอบด้านเห็นพ้องกับวาจานี้ทันที เสียงจุปากอย่างเยาะหยันดังมาเข้าหูไม่ขาดสาย

ดูท่าว่าเป่ยเจิ้นอ๋องซื่อจื่อที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงได้สองปีผู้นี้คงสร้างชื่อเสียงฉาวโฉ่จนเป็นที่เอือมระอาของผู้คนไปแล้ว

 

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ตุลาคม 2567)

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: