X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหอมเกศา

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 8

เมื่อเซียงเฉ่าได้ยินคำกล่าวนี้แล้วมองดูซื่อจื่อที่ประทินโฉมจนเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อีกครา น้ำเสียงของนางพลันเปลี่ยนไป

“น่าเสียดายรูปโฉมเช่นนี้ บุรุษดีๆ กลับผัดหน้าจนขาวนวลเนียน คงเป็นบุรุษเสเพลมัวเมาในสุรานารี”

แต่มีรูปสมบัติ การเป็นขอทานก็ง่ายดายขึ้น บรรดาคุณหนูและฮูหยินไม่น้อยเห็นรูปโฉมหล่อเหลาของหานซื่อจื่อแล้วถูกตาต้องใจ จึงพากันโยนเหรียญอีแปะกับก้อนเงินลงในอ่างสำริดเบื้องหน้าเขา เกิดเสียงดังกังวานประหนึ่งไข่มุกกระทบถาด

ปรากฏว่ายังบรรเลงเพลงแทนความคิดถึงไม่จบ อ่างใบใหญ่ก็มีเหรียญอีแปะกับก้อนเงินเป็นกองพูนสูงขึ้นจนหล่นร่วงออกมาข้างนอกไม่หยุด ไม่นานนักก็สามารถม้วนเสื่อกลับไปได้แล้ว

พวกซูลั่วอวิ๋นรออยู่ในรถม้าเป็นนาน ได้ยินเสียงโห่ร้องหัวเราะดังลั่นของคุณชายเสเพลกลุ่มนั้นห่างไปไกลทีละน้อยก็ระบายลมหายใจ ในที่สุดรถม้าของพวกนางก็ไปต่อได้เสียที ไม่รู้ว่าท่านน้าจะรอจนร้อนใจหรือไม่

พอฝูงชนแยกย้ายกันแล้ว รถม้าของสกุลซูจึงแล่นไปตามถนนย่านการค้าจนถึงประตูทางเข้าจุดพักม้า

หูเสวี่ยซงสวมชุดทหารยืนอยู่หน้าจุดพักม้ารอหลานสาวลงจากรถม้า

เมื่อได้เห็นหน้าซูลั่วอวิ๋น บุรุษที่ไว้หนวดเคราเต็มใบหน้าก็รู้สึกลำคอตีบตันน้อยๆ เขาเอ่ยกับนางว่า “ไม่พบกันนาน เจ้าซูบผอมลงถึงเพียงนี้เชียวหรือ เงินทองของสกุลซูถูกบิดาเจ้าเก็บสะสมไว้ซื้อโลงศพหมดแล้วรึ เขาได้ดูแลเจ้าดีหรือไม่”

ซูลั่วอวิ๋นได้ยินเสียงทุ้มห้าวของท่านน้าแล้วน้ำตาก็เอ่อคลออย่างกลั้นไม่อยู่จนดวงตาแดงเรื่อทันใด นางสูดจมูกเบาๆ ก่อนเอ่ยขึ้น

“ฟังเสียงของท่านน้าเล็กทรงพลังเต็มเปี่ยม สองสามปีมานี้ต้องกำยำล่ำสันขึ้นอีกมากเป็นแน่ ยังคงเป็นค่ายทหารที่เลี้ยงดูผู้คนได้ดี ไม่รู้ว่าท่านน้าเล็กพาท่านน้าสะใภ้เล็กที่เหมาะสมกันกลับมาให้ข้าหรือไม่เจ้าคะ”

หูเสวี่ยซงกลับพูดเยาะหยันตนเอง “ข้าผลาญทรัพย์สมบัติจนหมดสิ้น ไม่มีสมบัติพัสถานใดๆ ติดตัว อย่าไปตอแยกับสตรีดีๆ ให้ต้องมาลำบากกับข้าเลย”

พอทั้งคู่เข้าห้องไปแล้วถามสารทุกข์สุกดิบกันจบ หูเสวี่ยซงก็พูดเข้าเรื่อง “ข้ามาคราวนี้ตั้งใจจะรับพวกเจ้าสองพี่น้องไปจากสกุลซู ตอนเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าเมื่อสองปีก่อน ข้าอยู่ที่เจียงเจ้อเข้าร่วมกองทัพไปปราบปรามโจรสลัด ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางคมหอกคมดาบ ไม่อาจดูแลพวกเจ้าได้ เวลานี้ข้านับว่ามีเบี้ยหวัดเลี้ยงดูครอบครัวได้แล้ว จึงอยากรับตัวพวกเจ้าไปอยู่ด้วยกัน จะได้ไม่ต้องถูกพวกสตรีโหดเหี้ยมอำมหิตพวกนั้นกลั่นแกล้งคิดร้าย”

ซูลั่วอวิ๋นใช้มือคลำขนมหลายอย่างในกล่องอาหารที่ตนนำมาออกมาวางบนโต๊ะพลางถามเสียงเบา “ตอนนี้ท่านน้าเล็กยังไม่แต่งงาน หากยังมีบุตรสองคนของพี่สาวที่ล่วงลับไปแล้วติดตามข้างกายเป็นเรือพ่วง วันหลังหากอยากแต่งภรรยาเป็นตัวเป็นตนจะไม่ลำบากหรือเจ้าคะ”

หูเสวี่ยซงโบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ เขาพูดด้วยสีหน้าละอายใจ “ไยลูกผู้ชายต้องกลัดกลุ้มว่าจะไร้ภรรยา แต่ก่อนข้าไม่รู้จักโต มั่วสุมอยู่กับสหายกินสหายเที่ยวดื่มสุราเล่นสนุกไปวันๆ ผลาญทรัพย์สมบัติไปจนสิ้น เป็นเหตุให้ในยามคับขันจนปัญญาจะช่วยเหลือพี่สาวแล้วก็ไม่ได้ดูแลพวกเจ้าให้ดี บัดนี้ข้าสร้างเนื้อสร้างตัวได้มั่นคงในที่สุด ขืนไม่ดูดำดูดีพวกเจ้าอีก ตายไปจะมีหน้าไปพบกับพี่สาวได้อย่างไร”

ซูลั่วอวิ๋นกลับส่ายหน้าแล้วพูดว่า “กุยเยี่ยนเป็นเด็กมีสติปัญญาพอดู ตอนเริ่มต้นเล่าเรียนเขียนอ่านท่านอาจารย์ก็ออกปากว่าเขามีแววดี สามารถสอบขุนนางได้ ถ้าท่านน้าเล็กพาบุตรชายบุตรสาวสกุลซูไปโดยปราศจากเหตุผล เขาจะต้องถูกสกุลซูลบชื่อออกจากผังวงศ์ตระกูลจนภูมิหลังด่างพร้อย ถึงตอนนั้นถ้าสอบถงซื่อไม่ผ่านจะไม่ทำให้สติปัญญาของกุยเยี่ยนต้องสูญเปล่าหรือเจ้าคะ”

หูเสวี่ยซงย่อมเข้าใจ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันให้ความสำคัญกับความประพฤติของขุนนางมากที่สุด ซูลั่วอวิ๋นหลานสาวผู้นี้คิดอ่านได้รอบคอบกว่าเขาเสียอีก

เขาคิดถึงตรงนี้แล้วก็กล่าวอย่างทอดถอนใจ “ส่งบุตรสาวที่ดวงตามองไม่เห็นไปอยู่ชนบทได้…ต้องใจดำถึงเพียงใด ข้าถึงขั้นต้องยืนกรานจะพบเจ้า เขาถึงรับเจ้ากลับมา พอข้าไปจากเมืองหลวง เขาจะไม่ส่งเจ้ากลับไปอีกหรือ”

ซูลั่วอวิ๋นกลับยิ้มน้อยๆ “ท่านน้าเล็กไม่ต้องเป็นห่วง ข้าย่อมมีวิธีรั้งอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ ท่านน้าเล็กต่างหากเล่า เข้าเมืองหลวงครั้งนี้จำเป็นต้องไปเยี่ยมเยียนใครต่อใครเพื่อแสดงน้ำใจ ไม่ทราบว่าได้ตระเตรียมของฝากพื้นเมืองไว้บ้างหรือไม่”

หูเสวี่ยซงอาศัยความสามารถของตนจนได้ตำแหน่งนี้มา แต่กลับประจำการอยู่ในพื้นที่ทุรกันดารริมแม่น้ำ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาติดตามใต้เท้าเข้าเมืองหลวง ไม่ได้นึกถึงเรื่องการผูกสัมพันธ์กับผู้คนสักนิด

ทางด้านซูลั่วอวิ๋นคิดไว้เรียบร้อยแต่แรกแล้ว นางให้เซียงเฉ่ายื่นกระดาษรายชื่อแผ่นหนึ่งส่งให้เขา “นี่เป็นของขวัญที่ข้าซื้อเตรียมไว้แล้วฝากอยู่ที่ร้านขายของพื้นเมืองทางด้านทิศตะวันตกของเมือง กล่องของขวัญแต่ละกล่องเป็นของใต้เท้าท่านใดล้วนเขียนชื่อไว้แล้ว ท่านน้าเล็กอย่ามอบให้ผิดคนก็แล้วกัน เมื่อก่อนตอนข้าอยู่เมืองหลวงเคยตามคุณหนูลู่ไปร่วมงานเลี้ยงน้ำชามาบ้าง พอจะรู้เรื่องภายในครอบครัวของใต้เท้าหลายท่านที่ควบคุมดูแลกองเดินเรือ หลายวันก่อนยังได้ยินท่านพ่อพูดถึงเรื่องที่ไปเยี่ยมเยียนเจ้านายถึงเตรียมไว้ให้โดยพลการ คราวนี้ท่านน้าเล็กติดตามเจ้านายมา ถ้าลอบส่งของขวัญล้ำค่าลับหลังจะดูมีเล่ห์เหลี่ยมคิดไม่ซื่อ ทั้งยังผิดธรรมเนียม แต่จะไม่เตรียมอะไรก็เหมือนไม่รู้จักผูกสัมพันธ์ไมตรี ดังนั้นมิสู้เตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่เลือกเฟ้นให้ถูกใจผู้รับจะดีกว่า เพียงหวังว่าใต้เท้าเหล่านั้นจะจดจำได้ว่าในกองทัพเรือที่เขตเหลี่ยงเจียงมีทหารฝีมือดีเช่นท่านอยู่เท่านั้นก็พอ”

สิ่งที่นางเตรียมไว้ไม่ใช่ของล้ำค่ามีชื่อเสียงอะไร ทว่าแสดงถึงความตั้งใจอย่างมาก

เป็นต้นว่าใต้เท้าหลี่ของกองเดินเรือชมชอบการตกปลา เผอิญว่าทุกครั้งมักกลับมามือเปล่า ด้วยเหตุนี้นางจึงเลือกซื้อเบ็ดตกปลากวนตงจากแดนตงอิ๋ง* ที่เพิ่งแพร่เข้ามาเมื่อเร็วๆ นี้ เบ็ดตกปลานี้มีตะขอคมกริบสำหรับตกปลาตัวใหญ่ นับว่าเป็นของหายากในตลาด

ส่วนใต้เท้าไป๋ที่รักภรรยาเป็นชีวิตจิตใจ นางเลือกเป็นป้ายลำดับรอสั่งตัดอาภรณ์ที่นางขอมาจากลู่หลิงซิ่ว เสื้อปักลายของสกุลลู่นั้นต่อให้มีทองพันชั่งก็ซื้อหาไม่ได้ หากมิใช่บุตรสาวของเชื้อพระวงศ์ องค์หญิง หรือสนมชายาก็ต้องเข้าแถวรอกันไป

ไป๋ฮูหยินรักความงามมาแต่ไหนแต่ไร พิถีพิถันทั้งเรื่องอาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์ ย่อมไม่มีสิ่งใดที่ถูกใจนางมากไปกว่าป้ายลำดับสั่งตัดอาภรณ์ก่อนหน้าผู้อื่นอีกแล้ว

สิ่งต่างๆ ที่กล่าวมานี้ซูลั่วอวิ๋นล้วนขบคิดจัดเตรียมไว้ให้ท่านน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ

ท่านน้าของนางเดินทางมาครานี้มิได้มุ่งหวังอะไร ของขวัญที่มอบให้ก็ไม่ใช่ของล้ำค่าราคาแพง ผู้รับย่อมรับไว้โดยไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด ทั้งยังรู้สึกถึงความใส่ใจและอบอุ่น เป็นธรรมดาที่จะจดจำคนฉลาดมีไหวพริบเช่นท่านน้าได้

ยามขาดกำลังคนในมือ ผู้เป็นขุนนางล้วนวาดหวังว่าจะเสาะหาผู้ใต้บังคับบัญชาที่ฉลาดมีไหวพริบได้สักคน เมื่อถึงวันหน้ามีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง ท่านน้าก็จะมีโอกาสเหนือผู้ใด

ซูลั่วอวิ๋นเอ่ยกับหูเสวี่ยซงว่า “ท่านน้าเล็กไม่ต้องเป็นห่วงพวกข้าสองพี่น้อง ท่านคือที่พึ่งของพวกข้า ยิ่งท่านน้าเล็กปักหลักได้มั่นคง วันเวลาที่พวกข้าอยู่ในสกุลซูก็ยิ่งสบายขึ้นเจ้าค่ะ”

หูเสวี่ยซงประสบกับชีวิตที่ตกอับมาแล้ว บัดนี้เขาไม่ใช่คุณชายผู้เสเพลในครั้งนั้นอีกต่อไป ย่อมเข้าใจคำพูดของหลานสาวอย่างชัดเจน

น่าเสียดายที่เขามีอายุมากกว่าหลานสาวหลายสิบปี แต่กลับคิดอ่านเรื่องต่างๆ ไม่รอบคอบเท่านาง

น้าหลานกำชับกันและกันคราหนึ่งแล้วแยกจากกันเท่านี้

ระหว่างทางกลับเถียนมามาพูดขึ้นอย่างไม่วางใจว่า “คุณชายกล่าวมีเหตุผลนะเจ้าคะ ถ้านายท่านคิดจะส่งคุณหนูใหญ่กลับไปอีกจะทำอย่างไรดี”

ซูลั่วอวิ๋นกลับอมยิ้มพลางถูนิ้วมือของตนไปมาเบาๆ ตรงปลายนิ้วยังมีกลิ่นหอมจางๆ ติดอยู่ตั้งแต่ตอนที่นางให้คุณหนูลู่ลองดมกลิ่น

กลิ่นหอมนี้ติดทนนานถึงสองวัน ขณะที่นางให้ลู่หลิงซิ่วลองดมกลิ่น นางตั้งใจทาตรงเส้นชีพจรข้อมือของอีกฝ่าย เมื่อกลิ่นหอมสัมผัสกับไออุ่นของร่างกายก็จะฟุ้งกระจายไปไกลมากขึ้น…

แค่ไม่รู้ว่าองค์หญิงอวี๋หยางที่ชื่นชอบหลงใหลเครื่องหอมจะพึงใจกลิ่นนี้หรือไม่…

วันถัดมาคำถามนี้ก็มีคำตอบแล้ว

วันนั้นซูหงเหมิงตื่นแต่เช้าโกนหนวดเคราสางผม เตรียมตัวไปปฏิบัติหน้าที่ที่กองการค้าหลวงเป็นครั้งแรก

ติงเพ่ยยังให้สาวใช้ไปที่หอสุราสู่เซียงซื้ออาหารซื่อชวนกลับมาจัดวางไว้เต็มโต๊ะเป็นพิเศษ ตั้งใจจะฉลองแสดงความยินดีที่สามีได้เป็นขุนนางครั้งแรกอย่างเต็มที่

แต่ก่อนนายท่านใหญ่สกุลซูจะกลับถึงจวน ติงเพ่ยสั่งให้ไปเชิญคุณหนูใหญ่มาพบ อ้างเหตุผลว่าอยากวัดตัวตัดอาภรณ์ให้นางสองสามชุด แต่แท้จริงแล้วติงเพ่ยเตรียมจะบอกเรื่องที่อีกไม่กี่วันจะส่งนางกลับบ้านเดิม

ถึงแม้ซูหงเหมิงมีความคิดนี้ ทว่าจะเอ่ยปากกับบุตรสาวคนโตเองก็ไม่ค่อยดี จึงโยนเผือกร้อนลวกปากนี้ให้ติงเพ่ยที่มีชั้นเชิงแพรวพราวในการจัดการเรื่องต่างๆ

ติงเพ่ยยิ้มพริ้มพรายขณะให้สาวใช้วัดตัวซูลั่วอวิ๋น นางกล่าวอย่างอัศจรรย์ใจว่า “สองปีมานี้ดูเหมือนเจ้าจะตัวสูงขึ้นอีก ดูเหมือนว่าสภาพแวดล้อมที่บ้านเดิมดีต่อร่างกายเจ้า”

ซูลั่วอวิ๋นยิ้มน้อยๆ “ตอนไปถึงบ้านเดิมแรกๆ ไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมจนป่วยหนักครั้งหนึ่ง ซูบผอมจนหนังหุ้มกระดูก คิดไม่ถึงว่ากลับไม่ทำให้ร่างกายหยุดสูง ทำให้ฮูหยินใหญ่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองตัดเย็บอาภรณ์ชุดใหม่ให้ข้าอีก”

ติงเพ่ยยังคงยิ้ม “อยู่นานไปก็จะค่อยๆ เคยชินไปเอง ความจริงที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน เรือนหลังเก่านั้นเหมาะให้คนป่วยพักรักษาตัวมากกว่า ท่านพ่อของเจ้ายังบอกว่าในอนาคตตอนเขาเกษียณหวนคืนสู่บ้านเดิมก็จะกลับไปที่อิ้นโจวเช่นกัน เพียงแต่ไม่มีคนที่รู้จักดูแลรักษาสภาพเรือนหลังเก่าไว้ให้ดี จะมอบหน้าที่ให้พวกบ่าวไพร่ก็กลัวพวกนั้นเกียจคร้านละเลยไม่ใส่ใจ ไม่เหมือนตอนที่เจ้าอยู่ จัดการดูแลเรือนได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย”

แม้ว่าดวงตาของซูลั่วอวิ๋นจะไม่เห็นอะไร แต่นางยังมองไปทางติงเพ่ยอย่างเย็นชา “ดูเหมือนฮูหยินใหญ่มีเรื่องอยากพูด เอ่ยมาตามตรงเถิดเจ้าค่ะ”

ติงเพ่ยกล่าวต่อไปอย่างยิ้มแย้ม “เจ้ากลับมาเมืองหลวงครานี้เพื่อพบหน้าท่านน้า ตอนนี้ได้พบกันแล้ว ไม่ต้องเฝ้าห่วงใยกันและกันอีก อีกสักพักน้องสาวของเจ้าจะออกเรือน ในจวนมีงานยุ่งวุ่นวาย กลัวจะดูแลเจ้าไม่ทั่วถึง ข้ากับท่านพ่อเจ้าหารือกันแล้วก็เห็นว่าส่งเจ้ากลับไปอยู่ชนบทดีกว่า เจ้าจะได้อยู่อย่างสงบสุขไม่ต้องถูกเสียงดังเอะอะในจวนรบกวน”

พอได้ยินถ้อยคำนี้ เถียนมามาที่อยู่ด้วยก็กำมือแน่นด้วยความโมโห แต่ฝืนทนไว้ไม่ส่งเสียงพูด

ซูไฉ่เจียนด้านข้างได้ยินแล้วกลับมีสีหน้ายินดีปรีดา แต่พยายามสำรวมกิริยาไม่แสดงออกนอกหน้าจนเกินไป ครั้นนึกขึ้นได้ว่าพี่สาวมองไม่เห็นก็เผยรอยยิ้มกว้างอีกครั้งอย่างอดไม่อยู่ เพียงรู้สึกว่าชีวิตแต่งงานในอนาคตของตนจะราบรื่นไร้อุปสรรคใดๆ แล้ว

ทางด้านซูลั่วอวิ๋นกลับสงบนิ่งเป็นปกติ “นี่ฮูหยินใหญ่ถามไถ่ความเห็นของข้าหรือว่าตัดสินใจแล้วบอกกล่าวให้รับรู้เจ้าคะ”

ขณะนี้ไม่มีคนนอก ติงเพ่ยไม่ต้องกริ่งเกรงอะไร นางวางท่าเป็นประมุขหญิงของจวน กล่าวอย่างหวังดีจากใจจริง

“อันที่จริงเรื่องของบุตรล้วนต้องให้บิดามารดาตัดสินใจ ไม่เคยได้ยินว่าเรือนไหนจะทำอะไรต้องเชื่อฟังคำสั่งบุตร เจ้าจงจำไว้ว่าข้ากับท่านพ่อของเจ้าล้วนปรารถนาดีต่อเจ้าเท่านั้นเป็นพอ…งานมงคลของน้องสาวเจ้าก็ใกล้เข้ามาแล้ว ในจวนขาดบ่าวไพร่ที่มีประสบการณ์เชื่อใจได้ ข้าคิดว่าครั้งนี้จะให้เซียงเฉ่ากับเถียนมามารั้งอยู่ที่นี่แล้วหาสาวใช้คล่องแคล่วหัวไวให้เจ้าเพิ่มอีกสองคน เถียนมามาแก่ชราแล้ว กำลังวังชาคงสู้ไม่ไหว”

นางกล่าวจบ เถียนมามาก็ถลึงตากล่าวเสียงกระด้างทันใด “ฮูหยิน สัญญาขายตัวเป็นทาสของบ่าวไม่ได้อยู่กับสกุลซู ท่านทำเช่นนี้เกรงว่าจะไม่ค่อยดีกระมัง”

ติงเพ่ยหุบยิ้มแล้วพูดช้าๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นหญิงรับใช้ที่ติดตามพี่หูซื่อออกเรือนมาถึงได้ให้ความเคารพเจ้ามาโดยตลอด แต่ตอนนี้ลั่วอวิ๋นตาบอด ต้องการคนเรี่ยวแรงดีอยู่ข้างกาย ข้าถึงวางใจได้ เจ้าก็อายุปูนนี้แล้ว เดิมทีควรได้อยู่สบายๆ ในชีวิตบั้นปลาย ถ้าเห็นว่าข้าไม่คู่ควรขอตัวเจ้าไว้ที่นี่ก็ไม่จำเป็นต้องคอยตั้งแง่กับข้าทุกวัน ไปเบิกเงินเอาเองแล้วกลับสกุลหูไปเถิด”

ยายเฒ่าหนังเหนียวนึกว่าสัญญาขายตัวเป็นทาสไม่อยู่กับสกุลซูแล้ว ข้าก็ไม่มีปัญญาจะทำอะไรนางได้รึ ซูลั่วอวิ๋นเป็นลูกเลี้ยงของข้า กระทั่งจะให้ใครรับใช้ข้างกาย ซูลั่วอวิ๋นยังตัดสินใจเองไม่ได้ด้วยซ้ำ!

ก่อนหน้านี้ติดขัดที่คำสั่งเสียของหูซื่อ จะขับไล่เถียนมามาไปก็ไม่เหมาะ ทว่าซูลั่วอวิ๋นอายุสิบแปดปี ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ต้องฝากฝังไว้กับบ่าวเก่าแก่อีก นางส่งตัวยายเฒ่ากลับไปอย่าง ‘สุภาพ’ ก็ไม่มีใครกล้าครหา

เถียนมามาได้ฟังคำนี้แล้วก็เดือดดาลจนสุดระงับ นางไม่วางใจอะไรกัน นี่คงฉวยโอกาสที่คุณหนูใหญ่ตาบอดกำจัดคนสนิทรู้ใจออกไป จากนั้นทุกอย่างก็จะตกอยู่ในกำมือนางแล้ว

ซูลั่วอวิ๋นกลับพูดด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “นี่…เป็นความประสงค์ของท่านพ่อด้วยหรือเจ้าคะ”

ติงเพ่ยยกถ้วยชาขึ้นดื่มคำหนึ่งอย่างช้าๆ แล้วกล่าวตอบ “เรื่องของเรือนหลังไฉนเลยต้องให้พวกบุรุษวุ่นวายใจ เวลานี้ท่านพ่อของเจ้าต้องช่วยใต้เท้าของกองการค้าหลวงเลือกซื้อเครื่องหอม งานยุ่งไม่น้อย หากเจ้ารู้ความก็อย่าไปรบกวนท่านพ่อของเจ้า”

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 ต.ค. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: