บทที่ 81.1
ฉิวเจิ้นเพ่งตามองดูแล้วก็พบว่าไม่เพียงกำแพงของค่ายเสบียงมีการต่อเติมให้สูงขึ้น ยังขุดคูลึกรอบตัวกำแพงทั้งด้านนอกด้านในเพิ่มอีกสองคู หากเดาไม่ผิดหนึ่งในนั้นน่าจะวางฟางข้าวกับน้ำมันไว้
ทันทีที่มีคนบุกโจมตีค่ายกะทันหัน คูลึกสองคูนี้จะช่วยถ่วงรั้งการโจมตีของพลทหารได้ ขณะเดียวกันยังสามารถทำเป็นแนวกำแพงไฟเผาทหารทัพหน้าทะลวงฟันให้เป็นสุกรหนังไหม้เกรียม
นอกจากนี้ทั้งสี่ทิศของกำแพงยังวางแท่นยิงหน้าไม้ที่สร้างขึ้นใหม่จำนวนมาก และที่ติดตั้งบนนั้นล้วนเป็นไกหน้าไม้ใหญ่สีดำมีน้ำหนักถึงหนึ่งชั่ง ดูจากรูปทรงใหญ่เทอะทะแล้ว แรงยิงและระยะยิงจะต้องน่าตกใจอย่างแน่นอน
แม้ว่าจะมองเห็นภายในตัวค่ายไม่ชัดถนัดตา แต่ฉิวเจิ้นจดจำได้แม่นยำว่าครั้งก่อนยังเห็นพวกพลทหารนั่งรับแดดคุยเล่นกันอย่างเกียจคร้านไร้ระเบียบวินัย
ทว่าขณะนี้มีทหารใหม่ยืนตั้งแถวฝึกฝนการสู้รบอยู่ในลานกว้างอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย พลทหารบางนายยังไม่มีชุดทหารใส่ด้วยซ้ำ น่าจะเพิ่งเกณฑ์เข้ามาในค่าย
พวกเขาแต่ละคนไม่ได้สวมชุดแบบเดียวกันหมด แต่ท่าทางเอาจริงเอาจังขณะฝึกซ้อมภายใต้แสงแดดแรงกล้าโดยไม่เช็ดเหงื่อสักครานั้น ถ้าบอกว่าเป็นค่ายทหารทัพหน้าที่แนวรบก็ไม่เกินจริงแต่ประการใด!
นี่เพิ่งผ่านไปไม่ถึงเดือนเศษ เหตุใดค่ายเสบียงกลับเปลี่ยนโฉมใหม่ไปโดยสิ้นเชิงเช่นนี้ นี่เป็นค่ายเสบียงยุทธปัจจัยที่ใดกัน แทบไม่ต่างจากค่ายทหารใหญ่ที่จัดกระบวนทัพหน้าออกรบทีเดียว
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงอย่างอื่น เพียงพินิจจากการจัดวางกำลังในค่ายก็ดูออกว่าเป็นฝีมือของแม่ทัพมือฉมัง
ตอนแรกฉิวเจิ้นแค่อยากมาดูสักครา ไม่นึกไม่ฝันว่าค่ายเสบียงที่ไม่อยู่ในสายตาเขาแห่งนี้ถึงกับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ
…หรือว่าการจัดกระบวนทัพนี้เป็นฝีไม้ลายมือของจ้าวกุยเป่ย?
โทษมิได้ที่ฉิวเจิ้นจะคิดเช่นนี้ ถึงอย่างไรเป่ยเจิ้นอ๋องซื่อจื่อก็มีชื่อเสียงย่ำแย่ทั้งในเมืองหลวงและเหลียงโจว อีกทั้งการดูแลค่ายก่อนหน้านี้ก็แสดงให้เห็นถึงนิสัยไม่ได้ความของเขาแล้ว
หากคนพรรค์นี้เก่งกาจขึ้นมาในชั่วข้ามคืน ไม่เพียงยกพลไปโจมตีศัตรูอย่างไม่ให้ตั้งตัวได้ ยังจัดกระบวนทัพออกรบเป็น เช่นนั้นมีเหตุผลเดียวคือถูกสลับวิญญาณ
ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าบุรุษเสเพลชื่อเสียงฉาวโฉ่ผู้หนึ่งจะมีความสามารถถึงขั้นนี้ได้
ถ้าเป็นความจริง หลายปีมานี้จะมิใช่ว่าเขาซ่อนคมงำประกาย แสร้งเป็นสุกรหลอกกินพยัคฆ์เรื่อยมาหรือไร เช่นนั้นออกจะเล่ห์เหลี่ยมลึกล้ำจนน่ากลัวเกินไปแล้ว!
และจากคำรายงานของสายลับในเมืองจยาหย่ง หานหลินเฟิงบอกกับหวังอวิ๋นเองว่าเขาได้รับความช่วยเหลือจากจ้าวกุยเป่ยถึงโชคดีลำเลียงเสบียงมาได้ไม่ใช่หรือ
ในขณะที่ฉิวเจิ้นหรี่ตามองไปไกลๆ สายลับซึ่งถูกส่งไปเฝ้าดูอารามกลางเขาอยู่ในทางลับก็รุดมาถึง “อาจเพราะพวกพี่น้องก่อนหน้านี้แหวกหญ้าให้งูตื่น เมื่อวานตอนดึกคนในอารามถูกพาตัวออกทางประตูหลังไปแล้ว แต่พี่น้องของเราสะกดรอยตามไปตลอด เพียงแต่ถ้ามุ่งหน้าลงใต้ไปอีกก็จะติดตามได้ยากแล้ว เพราะหลังจากนี้จะมีการตรวจค้นที่ประตูเมืองเข้มงวดมากขึ้น พวกพี่น้องกำลังรอคำสั่งต่อไปของท่านผู้บัญชาการขอรับ”
ฉิวเจิ้นหันกายไปช้าๆ มองค่ายตรงเชิงเขาอีกคราหนึ่ง จากนั้นก็ล้วงจดหมายกับยาห่อหนึ่งจากอกเสื้อพลางออกคำสั่ง
“พวกเขาจะพาคนย้ายไปอีกที่หนึ่ง ย่อมต้องแวะพักระหว่างทาง เฉาเพ่ยเอ๋อร์มีนิสัยรักสนุก ชมชอบอยู่กับเด็กน้อย เจ้าหาเด็กหัวไวสักสองคน กำชับพวกเขาให้เข้าใกล้เฉาเพ่ยเอ๋อร์ตอนที่คนสกุลเฉาหยุดพักแล้วหาโอกาสมอบจดหมายกับห่อยาให้นาง”
ในเมื่อพวกนั้นระวังป้องกันอย่างรัดกุมแน่นหนาก็คงได้แต่ลงมือจากข้างใน ยาห่อนั้นเป็นยาสลบฤทธิ์แรง เพียงห่อเล็กๆ ห่อเดียวก็ทำให้หมดสติได้หลายสิบคนแล้ว
ขอแค่เฉาเพ่ยเอ๋อร์ยอมร่วมมือ เอาเจ้าสิ่งนี้ใส่ในอาหารของคนที่เฝ้านางอยู่พวกนั้นก็จะพาตัวนางออกมาได้แน่นอน
หากนางไม่ยอมหรือว่าแผนล้มเหลวก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็ต้องลองดูสักคราถึงจะรู้ว่าวิธีนี้ใช้ได้ผลหรือไม่
สำหรับเรื่องโจมตีค่ายเสบียง ฉิวเจิ้นล้มเลิกความตั้งใจโดยสิ้นเชิงแล้ว
การโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัวนั้นต้องเลือกโจมตีพวกมะพลับนิ่ม แต่ค่ายเสบียงตรงเชิงเขาในเวลานี้เรียกได้ว่าเสริมเขี้ยวเล็บติดอาวุธไว้เต็มอัตราศึก
ตามหอสังเกตการณ์มีทหารเฝ้ายามอย่างแข็งขัน มองจากที่สูงลงมาจะเห็นทุกอย่างทางด้านล่างได้ทั้งหมด หากจะข้ามคูลึกไปวางดินประสิวอัดแท่งระเบิดค่ายโดยไม่ให้รู้ตัวนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้
กระนั้นฉิวเจิ้นหาได้คิดยอมแพ้ไม่ หากแผนนี้ใช้ไม่ได้ เขายังมีแผนสำรองอีก…ลักพาตัวหานหลินเฟิงของค่ายเสบียงเชียนซีมา จากนั้นก็เค้นถามเจ้าเศษสวะผู้นั้นให้ละเอียด!
เขาอยากรู้ว่ายอดฝีมือที่อยู่เบื้องหลังหานหลินเฟิงคือจ้าวกุยเป่ยใช่หรือไม่ แล้วจ้าวกุยเป่ยผู้นี้มีสายสัมพันธ์อันใดกับเฉาเซิ่ง
เมื่อได้ข้อพิสูจน์เป็นที่แน่ชัดแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องลงมือเองด้วยซ้ำ แค่ส่งหลักฐานมัดตัวจ้าวกุยเป่ยในการกระทำความผิดฐานสมคบคิดกับเฉาเซิ่งไปให้ราชสำนักแคว้นต้าเว่ย ยืมมือฮ่องเต้ปลิดชีพเจ้าลูกสุนัขนั่นก็ได้แล้ว
พอฉิวเจิ้นคิดทบทวนในตอนนี้ เขารู้สึกอยู่ไม่วายว่าเรื่องเหล่านี้เชื่อมโยงกันหมด ไม่แน่ว่ายังมีความลับอะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังอีกก็เป็นได้
ขอแค่จับตัวหานหลินเฟิงมาสอบปากคำก็จะรู้เอง
เขาคิดถึงตรงนี้แล้วก็เอ่ยปาก “หัวหน้าหานผู้นั้นมีเรือนในหมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยมิใช่หรือ พวกเราไปพบปะกับท่านหัวหน้า หยั่งตื้นลึกหนาบางของเขากันดูสักหน่อย!”
ดังคำกล่าวที่ว่าวีรบุรุษมักลุ่มหลงมัวเมาในเสน่ห์ของนารี ว่ากันว่าหานหลินเฟิงผู้นั้นไปหลับนอนกับภรรยาโฉมงามปานบุปผาของเขาแทบทุกวัน
ฉิวเจิ้นเคยเห็นหญิงตาบอดนางนั้นมาก่อน รูปโฉมงามพิสุทธิ์เหนือใครชั้นนั้นสามารถทำให้คนมองข้ามจุดบกพร่องที่นางเป็นคนตาบอดอย่างน่าเสียดายไปได้
ดังนั้นหานหลินเฟิงจะหลงใหลนางจนลืมเลือนภาระหน้าที่ ต่อให้มาอยู่ในค่ายทหารแล้วก็ต้องไปพลอดรักกับภรรยาบ่อยครั้ง นั่นก็มีเหตุผลพอเข้าใจกันได้
หมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยคงไม่ได้คุ้มกันอย่างแน่นหนาเท่าค่ายเสบียง จะไปที่นั่นจับเจ้าหัวหน้าคุมเสบียงเศษสวะตรึงร่างกับเตียงแล้วบั่นศีรษะน่าจะง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ…
เพียงแต่ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงต้องทำให้หญิงตาบอดที่อ่อนแอนางนั้นตกใจจนเสียขวัญแล้ว…หากเอาตัวเฉาเพ่ยเอ๋อร์กลับมาไม่ได้ เขาไม่ถือสาที่จะพาภรรยาของหานหลินเฟิงกลับไปด้วยกัน ถือว่าเป็นรางวัลที่เขารุดมาโจมตีไกลพันหลี่เที่ยวนี้
ฉิวเจิ้นคิดคำนึงเช่นนี้แล้วก็อดคึกคักกระฉับกระเฉงขึ้นมาไม่ได้ เขาเคยพาคนเข้าออกเหลียงโจวซื้อข้าวของเครื่องใช้บ่อยครั้ง จึงคุ้นเคยกับภูมิประเทศโดยรอบเป็นอย่างดี พอตัดผ่านป่าแห่งหนึ่งก็จะไปถึงปากทางเข้าหมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยแล้ว
แต่พวกเขายังไม่ทันเข้าใกล้ปากทางเข้าหมู่บ้านก็มีเงาคนพุ่งโฉบออกจากดงไม้ฉับพลัน จากนั้นพวกเขาก็ถูกสกัดไว้
“หยุดก่อน ผู้มาเยือนเป็นใคร”
ทหารสองสามนายโผล่ออกมาจากที่ใดก็สุดรู้ ทำหน้าถมึงทึงซักถามพวกเขา
ฉิวเจิ้นใช้ผ้าพันคอปิดบังใบหน้าขี่ม้าอยู่ข้างหลัง ส่วนคนสนิทของเขาตอบเสียงดัง “พวกข้ามีญาติอยู่ในหมู่บ้านเฟิ่งเหว่ย จึงคิดจะไปขอพึ่งพาอาศัยพวกเขา มีอะไรรึ หรือว่าไปหาญาติก็ผิดอาญาบ้านเมือง?”
ทหารนายนั้นมีท่าทีอ่อนลง เขาถามต่อ “พวกเจ้าจะไปขออาศัยญาติตระกูลใด ชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร”
คนสนิทของฉิวเจิ้นบอกชื่อหนึ่งออกมาอย่างส่งเดช คิดไม่ถึงว่าหัวหน้าทหารจะล้วงสมุดรายชื่อเล่มหนึ่งจากถุงหนังวัวที่พกติดกายไว้ ไล่สายตาขึ้นๆ ลงๆ รอบหนึ่งแล้วกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ในหมู่บ้านไม่มีคนที่เจ้าพูดถึง…พวกเจ้ามาหาใครและจะทำอะไรกันแน่”
คนสนิทของฉิวเจิ้นคิดไม่ถึงว่าทหารผู้นี้ถึงกับพกสมุดรายชื่อคนในหมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยไว้ตรวจสอบคน เขาก่นด่าในใจก่อนรีบพูดด้วยรอยยิ้มประจบ
“ข้าจำผิดเองขอรับ ญาติข้าไม่ได้อยู่หมู่บ้านเฟิ่งเหว่ย พวกข้าจะกลับเดี๋ยวนี้…”
พวกเขาหันหัวม้าเตรียมจะกลับไปตามทางเดิม แต่พวกทหารมั่นใจแล้วว่าคนกลุ่มนี้มีพิรุธจึงไม่คิดจะปล่อยตัวไป พากันชักอาวุธออกมาหมายจะบังคับให้พวกเขาลงจากหลังม้า
ฉิวเจิ้นส่งสายตาคราเดียว พรรคพวกคนอื่นๆ ก็ชักดาบฟันพวกทหารล้มลงอย่างรวดเร็วฉับไว
คนที่เขาพามาล้วนเป็นผู้ฝึกฝนวรยุทธ์ชั้นยอด เคลื่อนไหวได้รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ อีกทั้งอยู่ในระยะใกล้ เป็นการต่อสู้ประชิดตัวที่พวกเขาเชี่ยวชาญ ดังนั้นจึงฟันทหารสองสามนายนั้นตายอย่างคล่องแคล่วว่องไว
“ท่านผู้บัญชาการ พวกเรายังจะมุ่งหน้าต่อไปอีกหรือไม่ขอรับ” ผู้ใต้บังคับบัญชากระซิบถาม
ฉิวเจิ้นแค่นหัวเราะ “เจ้าลูกเต่าสกุลหานกลับรักชีวิตยิ่งนัก! ถึงกับเตรียมการป้องกันไว้เช่นนี้”
จุดนี้ยังอยู่ห่างจากหมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยอีกระยะหนึ่งก็ตั้งด่านรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดแล้ว หากเข้าไปใกล้ขึ้นไม่รู้จะยังมีทหารอีกหรือไม่
ฉิวเจิ้นตัดสินใจชะลอเวลา รอฟ้ามืดค่อยลักลอบเข้าไปอีกที
ขณะเขาหันกายตั้งท่าจะถอยห่างออกมา เสียงลูกธนูแหวกอากาศจากทางลับพลันดังขึ้นข้างหู
ผู้ที่รบราฆ่าฟันกลางสมรภูมิจะคุ้นเคยกับเสียงนี้มากที่สุด ฉิวเจิ้นไม่หยุดคิดใคร่ครวญก็ใช้โล่เล็กที่สะพายหลังมากำบังไว้ได้ทัน แต่กลับมีลูกธนูพุ่งตามมาอีก
ความรู้สึกราวกับเภทภัยคืบคลานมาใกล้เช่นนี้เหมือนตอนที่ถูกโจมตีในป่าปีศาจวันนั้น ทำให้ฉิวเจิ้นขนลุกไปทั้งกาย
เขาจับทิศทางได้อย่างฉับไว ทันใดนั้นก็เห็นม้าหลายสิบตัวห้อตะบึงจากหมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยมาหาพวกตน
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าคนกลุ่มนี้ออกจากหมู่บ้านพอดี เห็นเหตุการณ์ตอนที่พวกฉิวเจิ้นสังหารทหารอยู่ไกลๆ พอคิดว่าจะไล่กวดไม่ทันจึงได้แต่ยิงธนูหมายจะสกัดพวกเขาให้ล้มลงก่อน
ในชั่วพริบตาม้าพ่วงพีขนสีดำเป็นมันตัวหนึ่งก็มาถึง คนบนหลังม้าชักดาบประจำตัวฟันใส่พวกเขา
ฉิวเจิ้นรีบชักดาบกันไว้ แต่พละกำลังของอีกฝ่ายที่ฟันลงมาอย่างไม่ให้ตั้งตัวก่อแรงสะเทือนจนเขาแขนชา
ระหว่างที่ยกดาบสกัดอีกฝ่าย เขาอดเหลือบมองผู้จู่โจมไม่ได้ แต่สิ่งที่เห็นกลับทำให้เขานิ่งงันไปอึดใจหนึ่ง
คนผู้นี้มีคิ้วเข้มตาคม รูปงามผิดสามัญ ดูไปแล้ว…คล้ายจะมีสายเลือดของชนต่างเผ่าแฝงอยู่บ้าง…
ฉิวเจิ้นเคยเห็นหานหลินเฟิงจากที่ไกลๆ แต่จดจำได้เพียงเสื้อคลุมลายพร้อยปักเส้นทอง ส่วนรูปโฉมของอีกฝ่ายนั้นมองเห็นไม่ชัดเจนสักนิดเพราะอยู่ห่างเกินไป อีกทั้งเสื้อคลุมนั่นก็ลายตาเหลือเกิน
ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าคนผู้นี้คือหานหลินเฟิงนั่นเอง
ชั่วขณะที่ฉิวเจิ้นนิ่งงันอยู่ หานหลินเฟิงยังคงโจมตีโดยไม่ยั้งมือแม้แต่น้อย หลังจากถีบฉิวเจิ้นตกจากหลังม้า เขาก็กระโดดลงจากหลังม้าตามไปกวัดแกว่งดาบใส่อย่างรวดเร็วและดุดันหนักหน่วงขึ้น
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นเกรงว่าคงถูกฟันล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว ทว่าวรยุทธ์ของฉิวเจิ้นฝึกฝนเคี่ยวกรำมาจากการตีรันฟันแทงนองเลือดเช่นเดียวกัน
ฉายาเทพสงครามเหล็กแห่งกองทัพกบฏของเขาส่วนหนึ่งก็มาจากความสามารถที่แท้จริงของตนเอง เขารีบดึงสมาธิตั้งใจรับการจู่โจม แต่พอเห็นว่าเสียงปะทะกันตรงจุดนี้เริ่มดังอึกทึกอื้ออึงออกไป ทำให้มีทหารจากจุดอื่นมาเสริมทัพ ฉิวเจิ้นก็รู้แก่ใจดีว่าจะต่อสู้ติดพันไม่ได้
ขณะที่โรมรันกันอยู่ ผ้าพันคอที่ปิดบังใบหน้าฉิวเจิ้นก็หลุดออก ผู้จู่โจมได้เห็นรูปโฉมของเขาในที่สุด…
ในตอนนี้เองผู้จู่โจมก็หรี่ตาเรียกชื่อเขาโดยพลัน “ฉิวเจิ้น!”
ตอนที่ฉิวเจิ้นเบิกตามองผู้จู่โจมอย่างตื่นตระหนก หัวไหล่เขาก็ถูกฟันทีหนึ่งอย่างแรง
“…เป็นเจ้าจริงๆ หรือนี่ ช่างใจกล้ายิ่งนัก ถึงกับมาอาละวาดในอาณาเขตเหลียงโจว!”
พอเห็นผู้จู่โจมจำหน้าเขาได้ ฉิวเจิ้นก็ลอบอุทานในใจว่าแย่แล้ว!
เขาไม่นำพาความเจ็บปวด ส่งเสียงตะโกนออกมาทันที “ถอย!”
เมื่อเสียงตะโกนนี้ดังขึ้น ฉิวเจิ้นล้วงยาสลบจากอกเสื้อ จากนั้นก็สะบัดห่อเปิดออกให้ยาลอยไปตามลม
ยามผงยาฟุ้งกระจายเหมือนหมอกควัน องครักษ์ด้อยประสบการณ์บางคนสูดดมเข้าไปสองทีสมองก็มึนงง ร่างกายเริ่มโงนเงนไปมาทันใด
ทว่าบุรุษที่เป็นหัวหน้ากลับมีประสบการณ์โชกโชน ยกสาบเสื้อขึ้นปิดจมูกตนเองเป็นอย่างแรกพร้อมกับรีบหลบไปทางต้นลม
ในจังหวะที่อีกฝ่ายหยุดชะงัก ฉิวเจิ้นพลิกกายขึ้นหลังม้าพาคนห้อตะบึงหนีหัวซุกหัวซุนไปในที่สุด
หานหลินเฟิงรู้ว่ายานี้มีฤทธิ์รุนแรง แม้เขาจะไม่ได้พลาดท่าสูดเข้าไป แต่ก็ต้องถอยออกห่างทันทีทันใด
รอจนกระทั่งผงยาจางหายไปจนหมดสิ้น หานหลินเฟิงค่อยลดมือลง แต่บุรุษคนนั้นหนีไปไม่เห็นเงาแล้ว
ชิ่งหยางเผลอสูดเข้าไปเล็กน้อยเมื่อครู่จึงแค่อาเจียนทีหนึ่งอย่างคลื่นไส้ เขาดื่มน้ำหลายคำอาการก็ดีขึ้นแล้ว จากนั้นก็เช็ดปากก่อนเอ่ยถามเจ้านาย
“จะส่งคนไล่ตามไปหรือไม่ขอรับ”
หานหลินเฟิงมองไปยังทิศทางที่คนพวกนั้นจากไปพลางกล่าว “หนีได้เร็วนัก…พวกนั้นน่าจะไปทางสันเขาเหยี่ยจู ที่นั่นมีถนนบนเขามากมาย พื้นที่สูงชันอันตราย ถ้าไม่มีคนในพื้นที่ที่ขึ้นเขาบ่อยครั้งช่วยนำทางเกรงว่าจะหลงทางได้ อย่าไล่โจรร้ายให้จนตรอก จะได้ไม่ถูกลอบโจมตีกลางเขา!”
วันนี้ช่างประจวบเหมาะนัก หานหลินเฟิงว่างจากงานในค่ายจึงอยากกลับมาที่หมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยสักครา คิดไม่ถึงว่าจะพบเจอโจรร้ายกำลังสังหารพวกทหารซึ่งตั้งด่านสกัดอยู่ตรงปากทางพอดี
เดิมทีเขาไม่รู้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นใคร แต่ตอนประมือกับฉิวเจิ้นเขาก็รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย…คนผู้นี้ฝีมือไม่ธรรมดา อีกทั้งรูปโฉมหล่อเหลาเอาการ ใบหน้ายังมีเค้าของชนต่างเผ่าแฝงอยู่หลายส่วนอย่างเห็นได้ชัด…
ความคิดในหัวหานหลินเฟิงแล่นฉับไว เขาฉุกคิดถึงฉิวเจิ้นผู้นั้นจึงลองส่งเสียงเรียกชื่อออกมาดังๆ กะทันหันเพื่อหยั่งเชิงอีกฝ่ายดู แล้วก็เป็นไปตามที่คาดไว้จริงๆ
โจรกบฏผู้นี้ใจกล้าบ้าบิ่นเหลือหลาย ถึงกับกล้าบุกมาที่หมู่บ้านเฟิ่งเหว่ย…
บทที่ 81.2
ยามหานหลินเฟิงพาคนเจ็บที่ช่วยเหลือไว้กลับมายังเรือนเล็ก ซูลั่วอวิ๋นก็รู้ข่าวว่ามีโจรร้ายบุกมาแถวปากทางเข้าหมู่บ้านแล้ว
นางพาสาวใช้ออกมายืนรอฟังข่าวที่หน้าประตูลานเรือน จากนั้นก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าคุ้นหูดังแว่วมา
พอได้ยินหานหลินเฟิงเรียกนาง ซูลั่วอวิ๋นก็รีบเดินเข้าไปหาเขาด้วยความดีใจ
ทว่านางยังไม่ทันกล่าววาจา มีสายลมพัดมาทางหานหลินเฟิงระลอกหนึ่ง ตัวนางก็อ่อนระทวยล้มลงคุกเข่ากับพื้น ศีรษะกระแทกเข้ากับโกลนม้าเหล็ก
เขาใจหายวาบ รีบกระโดดลงจากหลังม้ามาประคองนางไว้
เพียงเห็นหน้าผากที่เรียบเนียนเกลี้ยงเกลาแต่เดิมของซูลั่วอวิ๋นเป็นรอยแดงจากแรงกระแทกแล้ว
เซียงเฉ่าเองก็ร้อนรนเป็นการใหญ่ “อาการปวดศีรษะดีขึ้นมากแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ เหตุใดวันนี้จู่ๆ ก็หน้ามืดหมดสติไปได้!”
ตอนหานหลินเฟิงอุ้มนางไว้ ก้มหน้ามองเห็นผงยาสีขาวที่ติดอยู่ตามร่างตนเองแล้วก็กระจ่างแจ้งทันควัน…เพราะซูลั่วอวิ๋นมีประสาทรับกลิ่นฉับไว แค่ได้สูดดมเศษผงยาสลบบนร่างเขาเพียงนิดเดียวนางก็ถูกฤทธิ์ยาแล้ว
เขาส่งนางให้พวกหญิงรับใช้ด้านข้างรับไว้โดยไม่รอช้า บอกให้พยุงซูลั่วอวิ๋นเข้าไปนอนในห้องแล้วเอาน้ำเย็นลูบใบหน้านางช้าๆ ส่วนตนเองออกไปถอดเสื้อผ้าที่นอกประตูเรือน รับน้ำเย็นอ่างหนึ่งมาราดรดกายอย่างว่องไว
จวบจนชะล้างผงยาบนร่างกายออกหมดจด เขาค่อยเร่งรีบกลับเข้าเรือน รับอาภรณ์จากสาวใช้มาสวม ก่อนนั่งลงตรงริมเตียงเตา ลูบรอยแดงบนหน้าผากนางเบาๆ พร้อมกับไต่ถาม
“อาอวิ๋น เป็นอย่างไรบ้าง วิงเวียนศีรษะหรือไม่”
ซูลั่วอวิ๋นลืมตาขึ้นช้าๆ เริ่มแรกนางกะพริบตาทีหนึ่ง จากนั้นก็กะพริบตาซ้ำอีกทีแล้วจ้องเขม็งไปทางหน้าต่างที่มีแสงลอดเข้ามา
“ฟ้า…สว่างแล้วหรือ”
หานหลินเฟิงอึ้งงันไปในทีแรก ตอนนี้เป็นยามกลางวันพอดี ฟ้าย่อมสว่างแล้วแน่นอน…แต่ชั่วอึดใจต่อมาความยินดีเจียนคลั่งก็พลุ่งขึ้นกลางอก
“เจ้า…มองเห็นแล้วหรือ”
นางกะพริบตาอีกครั้ง รอยยิ้มตื่นเต้นระคนยินดีค่อยๆ ผุดขึ้นตรงมุมปาก นางกวาดตามองไปโดยรอบช้าๆ อย่างเลื่อนลอยแล้วจึงมองไปทางหานหลินเฟิง
เบื้องหน้าสายตานางเป็นเหมือนม่านหมอกขมุกขมัวผืนหนึ่ง แม้ว่าจะเห็นแสงสว่างได้แล้ว แต่ภาพตรงหน้าก็ยังคงพร่าเลือนอยู่ดี
ดังเช่นตัวหานหลินเฟิงก็เห็นเป็นแค่เงาร่างสูงใหญ่เลือนราง ถึงกระนั้นแสงสว่างที่เลือนรางเช่นนี้ก็ดีกว่าความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุดไม่รู้กี่เท่า!
ชั่วขณะนี้นางรู้สึกเต็มตื้นในอกจนพูดไม่ออก
ทางด้านหานหลินเฟิงก็ตื่นเต้นยินดีอย่างสุดแสน รีบตามหมอที่ตรวจอาการให้ซูลั่วอวิ๋นมาโดยตลอดมาที่นี่ทันที
หมอจับชีพจรอย่างละเอียดแล้วตรวจดวงตาของนาง หลังซักถามเหตุการณ์ตอนศีรษะกระแทกเมื่อครู่แล้วก็พูดขึ้น
“ขอแสดงความยินดีกับชายาซื่อจื่อด้วย ที่ผ่านมาท่านดื่มยากระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและสลายเลือดคั่งเป็นประจำ เดิมทีเส้นลมปราณก็โปร่งโล่งขึ้นพอสมควรแล้ว อาจเป็นเพราะแรงกระแทกเมื่อครู่ช่วยให้ก้อนเลือดคั่งในสมองย้ายตำแหน่ง นี่เปรียบได้ดั่งหินก้อนใหญ่ที่บดบังไว้ถูกยกออกไป ดวงตาคู่นี้จึงกลับมามองเห็นแสงอีกครั้ง หากฝังเข็มต่อไปร่วมกับดื่มยาทะลวงเส้นลมปราณ บางทีอีกไม่นานนักก็จะค่อยๆ เห็นแสงสว่างได้เหมือนกับคนปกติ”
หากเป็นก่อนหน้านี้คำกล่าวนี้เป็นสิ่งที่ซูลั่วอวิ๋นไม่กล้าแม้แต่จะคิด ไม่นึกไม่ฝันว่าการหกล้มศีรษะกระแทกทีเดียวทำให้นางมีความหวังที่จะได้เห็นแสงสว่างดังเดิม
จะว่าไปแล้วนางควรขอบคุณโจรกบฏฉิวเจิ้นผู้นั้น ถ้าเขาไม่ได้โปรยผงยาสลบนี้ นางคงไม่ล้มศีรษะกระแทก ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานเพียงใดถึงจะมองเห็นแสงรำไรเช่นนี้ได้!
หลังจากหมอฝังเข็มให้ซูลั่วอวิ๋นแล้ว หานหลินเฟิงก็พานางไปนอนลงบนเตียงเตาอีกครั้ง จากนั้นก็จัดรองเท้านางให้เข้าที่ นางจะได้หาพบตอนลงจากเตียง ถ้วยน้ำที่ดื่มน้ำหมดแล้วก็วางไว้ตรงตำแหน่งประจำ ส่วนเก้าอี้ที่นางนั่งเมื่อครู่นี้เก็บไว้ใต้โต๊ะตามเดิม ทั้งยังหยิบเสื้อคลุมตัวนอกที่นางเพิ่งถอดออกไปแขวนที่ตะขอข้างเตียง และเอาผ้าเช็ดหน้าที่เพิ่งใช้มาวางไว้ข้างหมอน
หานหลินเฟิงทำกิจวัตรประจำวันเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้อย่างคล่องแคล่วชำนาญ เพียงแต่เมื่อก่อนนางไม่เคยเห็น ทว่าก็คุ้นชินกับสิ่งที่เขาทำให้เหล่านี้จนเป็นเรื่องปกติ
แต่ในเวลานี้ดวงตาของซูลั่วอวิ๋นมองเห็นเงาร่างพร่าเลือนเคลื่อนไหวไปมาอยู่ในห้องแล้ว
เมื่อพินิจจากแสงเงาที่มองเห็น กอปรกับชีวิตประจำวันของคนทั้งคู่ในยามปกติ เป็นธรรมดาที่นางจะเดาได้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
เขาเคลื่อนกายได้แผ่วเบามากมาแต่ไหนแต่ไร นางจึงไม่ได้ยินมาโดยตลอด ซูลั่วอวิ๋นเพิ่งตระหนักได้ในเวลานี้ว่ายามอยู่ข้างกายนางเขากระทำสิ่งที่เป็นหน้าที่ของสาวใช้มากมายอยู่เงียบๆ
ก็จริง ถึงอย่างไรการใช้ชีวิตอยู่กับคนตาบอดย่อมมีหลายเรื่องที่ต้องปรับตัวให้คุ้นชิน อย่างน้อยที่สุดข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างล้วนต้องวางให้เข้าที่เข้าทาง
ซูลั่วอวิ๋นพลันนึกถึงเมื่อแรกที่แต่งงานกัน นางเคยเดินสะดุดเก้าอี้ที่หานหลินเฟิงนั่งแล้วไม่ได้เก็บเข้าที่จนล้มลง และดูเหมือนว่าหลังจากครั้งนั้นนางก็ไม่พบเจอกับความไม่สะดวกสบายเช่นนั้นอีก
ตอนนั้นนางยังนึกว่าเป็นเพราะพวกสาวใช้จำได้ขึ้นใจแล้วถึงทำงานอย่างระมัดระวังขึ้น แต่เมื่อมองดูเงาร่างสูงใหญ่เลือนรางที่เดินไปเดินมาในขณะนี้ นางเพิ่งประจักษ์ว่าเพื่อปรับตัวให้คุ้นชินกับการใช้ชีวิตร่วมกันกับนาง เขาทำสิ่งละอันพันละน้อยพวกนี้วันแล้ววันเล่าอยู่เงียบๆ มาโดยตลอด
กระนั้นกิจวัตรประจำวันจุกจิกที่ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึงพวกนี้กลับชวนให้หัวใจหวั่นไหวยิ่งกว่าคำมั่นสัญญารักชั่วฟ้าดินสลายอันหวานซึ้งตรึงใจเสียอีก
ตรงกลางอกซูลั่วอวิ๋นท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกหวานล้ำระคนหม่นเศร้าจางๆ อย่างบอกไม่ถูก…ต้องทำซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้ เขาไม่เบื่อหน่ายบ้างหรือ
ทางด้านหานหลินเฟิงทำเรื่องพวกนี้เสร็จแล้วก็หันหน้ามาพอดี เห็นนัยน์ตาที่เคลือบประกายน้ำวาววับคู่นั้นของซูลั่วอวิ๋นกำลังจับจ้องเขานิ่งๆ
ตอนเขาสืบเท้าไปข้างหน้าช้าๆ นางก็มองตาม ดวงตาที่ขยับตามการเคลื่อนไหวของเขาแทบไม่ต่างจากดวงดาวซึ่งส่องประกายงดงามที่สุดเท่าที่เคยเห็น
เขาโอบกอดนางไว้อย่างอดใจไม่อยู่ ถามเสียงแผ่วเบา “เอาแต่มองข้าจนตาไม่กะพริบ ระวังอย่าให้เสียสายตาเล่า…”
ประโยคนี้ทำให้ซูลั่วอวิ๋นสะดุ้ง นางเห็นว่าเขาพูดมีเหตุผล รีบหลับตาลงอย่างตื่นตระหนกทันที
มิใช่เรื่องง่ายดายกว่าดวงตาของนางจะฟื้นฟูกลับคืนมาได้เล็กน้อยเช่นนี้ ต้องใช้อย่างทะนุถนอมสักหน่อย
หลังได้เห็นแสงสว่างอีกครั้งอย่างกะทันหัน ความมืดมิดไร้ขอบเขตนั้นก็กลายเป็นสิ่งที่นางทานทนไม่ได้แล้ว
ซูลั่วอวิ๋นเพิ่งหลับตาได้ครู่เดียวก็อดลืมตาขึ้นอีกไม่ได้ นางพยายามเบิกตากว้างๆ เพราะอยากพิศดูรูปโฉมของบุรุษที่กอดตนเองไว้ให้ชัดเจน
หานหลินเฟิงกลั้นใจรอนางมองดูอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งบนใบหน้านางฉายแววผิดหวังมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงกล่าวปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เส้นลมปราณของเจ้าอุดตันมาสองปีกว่า คิดว่าจะหายเป็นปกติในชั่วพริบตาได้หรือ ท่านหมอก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าขอแค่ดื่มยาเป็นประจำ อาการของเจ้าก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนั้นข้าจะขอลาหยุดนานๆ แล้วยืนนิ่งๆ อยู่ตรงหน้าให้เจ้าดูจนพอใจ!”
ซูลั่วอวิ๋นหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ นางพูดด้วยน้ำเสียงหึงหวงเล็กน้อย “ใครต่อใครล้วนพูดว่าท่านมีรูปโฉมโนมพรรณดีเลิศ เผอิญบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าเช่นนี้มีสตรีได้ยลโฉมมากมายปานนั้น แต่คนเป็นภรรยาเช่นข้ากลับไม่ได้เห็น นี่ก็เข้าตำราที่ว่าจูปาเจี้ย* กินโสมเข้าไปทั้งต้น แต่กลับไม่รู้รสชาติ…”
ตอนนี้พอมีความหวังว่าดวงตาจะหายดี นางก็กล่าววาจาล้อเล่นออกมาอย่างสบายอกสบายใจ
แต่หานหลินเฟิงไม่ชอบฟังคำพูดนี้เสียแล้ว หรือที่ได้เชยชมเขาในความมืดอยู่บ่อยครั้งนั้นกลับไม่รู้รสชาติ? นี่นางกำลังตัดพ้อว่าฝีมือเขาใช้ไม่ได้ ยังทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายไม่พอหรือ
พอซูลั่วอวิ๋นถูกกดร่างลงบนเตียงถึงรับรู้ได้โดยพลันว่าเขาไม่พอใจ นางได้แต่พูดอ้อนวอนยิ้มๆ “ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ตัวซื่อจื่อนั้นไม่จำเป็นต้องมองเห็น เพียงดมกลิ่นก็ได้รสอร่อยล้ำเลิศในปฐพีแล้ว”
หานหลินเฟิงถอดเสื้อคลุมร่างของตนเองออกแล้วโยนไปด้านข้างอย่างแรงโดยไม่เกรงใจสักนิด “แค่ดมดูจะรู้อะไร ลิ้มลองรสชาติของข้าให้ดี!”
ตอนท้ายภายในห้องจึงมีเสียงหัวเราะดังขึ้นอีกระลอกหนึ่งแล้วเงียบไป ประตูห้องที่ปิดสนิทกักเก็บกลิ่นอายวาบหวามรัญจวนใจที่อบอวลไปทั่วไว้อย่างมิดชิด
จริงอยู่ว่าดวงตาของซูลั่วอวิ๋นกลับมาเห็นแสงสว่างได้อีกครั้งอย่างกะทันหันเป็นเรื่องดี แต่อันตรายที่แอบแฝงอยู่ก็คืบคลานเข้ามาใกล้เต็มทีแล้ว
หานหลินเฟิงเกรงว่าโจรร้ายพวกนั้นจะมาลอบโจมตีอีก เขาจึงโยกย้ายกำลังคนมาที่หมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยเพิ่มขึ้น ทั้งยังนำงานบางส่วนกลับมาสะสางที่เรือน จะได้พักอยู่ที่นี่นานหลายวัน
จ้าวกุยเป่ยได้ข่าวเรื่องที่เกิดการปะทะกันตรงปากทางเข้าหมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยแล้วเช่นกัน เขาจึงตั้งใจพาคนของค่ายเชียนเป่ยมาลาดตระเวนบริเวณภูเขา
ทว่าภูมิประเทศภูเขารอบทิศสลับซับซ้อนจริงๆ มีพี่น้องหลายคนเกือบติดอยู่บนภูเขาลงมาไม่ได้
จ้าวกุยเป่ยมองดูแนวเขาที่เรียงต่อกันเป็นแถวไกลออกไปแล้วก็กลัดกลุ้มหนักอกเช่นเดียวกัน
“หวังอวิ๋นไม่ได้ความจริงๆ ทำให้ฝ่ายเราเสียเมืองจยาหย่งไปทั้งเมือง ถ้ายังมีเมืองจยาหย่งอยู่ โจรกบฏพวกนั้นจะข้ามภูเขาไปมาตามสบายได้อย่างไร พอฉิวเจิ้นผู้นั้นตั้งตัวติดแล้ว อาศัยความคุ้นเคยกับภูมิประเทศเป็นข้อได้เปรียบจะไม่ปิดล้อมเหลียงโจวกับเมืองอื่นๆ หมดหรือไร ท่านพ่อข้ามาถึงก็ต้องรับมือกับปัญหายุ่งยากเสียแล้ว”
หานหลินเฟิงฟังคำกล่าวของจ้าวกุยเป่ยแล้วก็ไม่ปริปาก เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเขาคาดการณ์ได้แต่แรกแล้ว
ตอนแรกเขานึกว่าตนเองพยายามรวบรวมธัญพืชแล้วลำเลียงไปส่งถึงมือหวังอวิ๋น จากนั้นค่อยปลุกปั่นให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ลดทอนความฮึกเหิมลำพองของฉิวเจิ้นลงก็จะช่วยให้หวังอวิ๋นรักษาเมืองจยาหย่งไว้ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าดินประสิวไม่กี่แท่งกลับถล่มกำแพงเมืองจนหวังอวิ๋นรักษาเมืองไว้ไม่ได้
ดูจากจุดนี้ก็รู้แล้วว่าเหตุที่หวังอวิ๋นคิดจะถอยทัพให้ได้ในตอนแรก เพราะเขารู้ดีว่าตนเองต้องพ่ายแพ้เป็นแน่
กองทัพเกียจคร้านเฉื่อยชาที่เขาชุบเลี้ยงไว้นั้นจะต้านทานกองทัพที่ดุดันเหี้ยมหาญได้อย่างไร
หลังจ้าวกุยเป่ยพร่ำบ่นยกหนึ่งจบก็เลียบเคียงถามว่าหานเหยามาที่นี่หรือไม่
หานหลินเฟิงเหลือบมองบุรุษทึ่มทื่อผู้นี้คราหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “คุณชายจ้าวมีธุระใดกับน้องสาวข้าหรือ”
แม่ทัพน้อยจ้าวผู้แสนซื่อตรงหัวช้าจับอารมณ์ไม่เป็นมิตรในน้ำเสียงของหานหลินเฟิงไม่ได้แม้แต่น้อย เพียงตอบอย่างตรงไปตรงมา
“คราวก่อนนางบอกว่าจะทำลูกอมมาให้ที่หมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยอีก ถ้าข้ามีเวลาว่างให้มารับด้วย”
หานหลินเฟิงนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพูดอย่างเต็มปากเต็มคำเช่นนี้ ไม่ได้ระวังสักนิดว่าชายหญิงแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงเหยียดยิ้มคราหนึ่งแล้วพูดแฝงนัยลึกล้ำ
“น้องสาวข้าหมั้นหมายแล้ว ท่านแม่สอนธรรมเนียมนางอยู่ในจวน เกรงว่าจะมาที่เรือนข้าบ่อยๆ ไม่ได้”
ไม่คิดว่าจ้าวกุยเป่ยจะไม่เข้าใจความหมายของเขาสักนิด พยักหน้าแล้วเกาท้ายทอยพลางถาม “แล้วข้าจะไปรับได้ที่ใดขอรับ”
คราวนี้หานหลินเฟิงต้องอาศัยแรงใจอย่างหนักถึงสะกดกลั้นอารมณ์ชั่ววูบอยากจะตีศีรษะอีกฝ่ายไว้ได้
จ้าวต้งได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษแห่งยุค เหตุใดถึงให้กำเนิดบุตรชายหัวทึบเป็นตอไม้เช่นนี้ พูดดีก็แล้วขู่ก็แล้วยังฟังไม่เข้าใจอีก!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 ธ.ค. 67
Comments
comments
No tags for this post.