บทที่ 82.1
ที่แท้จ้าวกุยเป่ยคิดว่าให้สัญญากับหานเหยาไว้ว่าจะมารับลูกอมก็จำเป็นต้องรักษาคำพูดหรือไร
หานหลินเฟิงคร้านจะแยแสบุรุษหัวทึบผู้นี้ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “อยากกินก็ไปซื้อเอง”
เขาไม่ได้ตั้งความหวังกับการหมั้นหมายของน้องสาวมากนัก แต่ต่อให้นางถูกถอนหมั้น ฝ่ายเขาก็ไม่กล้าอาจเอื้อมและไม่ได้อยากเป็นทองแผ่นเดียวกับจวนราชบุตรเขย
ถ้าเสียงโจษจันในหมู่ชาวบ้านเป็นความจริง ดูเหมือนฮองเฮาจะโกรธแค้นสองพ่อลูกสกุลจ้าวไม่น้อย เพราะหลังองค์หญิงอวี๋หยางออกเรือนให้จ้าวต้งแล้วก็ไม่มีทายาทมาโดยตลอด เรื่องนี้ทำให้ฮองเฮาไม่พอใจพวกเขาอย่างยิ่ง
ตอนออกจากเมืองหลวงเขาก็ได้ยินข่าวลือแว่วๆ มาบ้างแล้ว
ถ้าเกิดน้องสาวแต่งเข้าสกุลจ้าวจริงๆ กระทั่งมารดาสามีก็ไม่ใช่มารดาแท้ๆ ตระกูลที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายปานนั้นก็คือกองไฟดีๆ นี่เอง แล้วจะแต่งไปเพื่ออันใดเล่า
เมื่อจ้าวกุยเป่ยถูกหานหลินเฟิงปฏิเสธ สมองอันใสซื่อของเขาก็คิดได้ในที่สุด เริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงโมโห
เขากล่าวด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนระคนร้อนรน “ซื่อจื่อ ท่านอย่าเข้าใจผิดนะขอรับ ข้ามิใช่เด็กน้อยสักหน่อยถึงได้จะตะกละตะกลามอยากกินลูกอมให้ได้!…เป็นข้าสาบานกับน้องสาวท่านว่าจะต้องมารับให้ได้ มิฉะนั้นขอให้ตนเองเป็นสุนัขขี้เรื้อน…เช่นนั้นท่านไปบอกน้องสาวท่านสักคำว่าไม่ต้องให้ข้าทำตามคำสาบานได้หรือไม่!”
ช่างเถิด! สมองที่ใสซื่อนั่นคิดไปผิดทางแล้ว
หานหลินเฟิงหันกายสาวเท้าก้าวใหญ่เดินกลับเรือนไปทั้งอย่างนี้…
กลับไปกอดภรรยาตัวหอมกรุ่นดื่มน้ำแกงร้อนๆ ไม่ดีกว่าหรือ เขาต้องคิดสั้นเพียงใดกัน ถึงได้ยืนตากลมหนาวพูดเรื่องไร้สาระกับบุรุษหัวทึบเช่นนี้
ค่ำวันนี้หานหลินเฟิงดื่มน้ำแกงร้อนๆ แล้วนอนกอดภรรยาหลับไปอย่างเป็นสุข
จวบจนกลางดึกเป็นเวลาที่แม้แต่บ่าวไพร่ทั้งหลายก็เข้านอนกันหมดแล้ว ชิ่งหยางซึ่งรับผิดชอบพาพวกเฉาเซิ่งย้ายไปที่อื่นกลับพาคนรุดกลับมาอย่างเร่งร้อน
ตอนหานหลินเฟิงเอาเสื้อคลุมร่างเดินออกมาพบเขา ชิ่งหยางก็พูดด้วยสีหน้าละอายใจ “นายน้อย ท่านลงโทษข้าเถิด ข้าปฏิบัติหน้าที่ล้มเหลวแล้วขอรับ”
ในใจหานหลินเฟิงตึงเครียดขึ้นทันใด เขาไต่ถามน้ำเสียงเคร่งขรึม “มีอะไร เกิดเรื่องกับเฉาเซิ่งหรือ”
ชิ่งหยางรีบสั่นศีรษะ “ถึงร่างกายของท่านผู้บัญชาการเฉาจะอ่อนแอไปบ้าง แต่ย้ายเขาไปอีกที่หนึ่งได้อย่างปลอดภัยแล้ว…แต่ว่าคุณหนูเฉานาง…นางหนีไปจนได้ขอรับ!”
ที่แท้ขณะที่ชิ่งหยางคุ้มกันครอบครัวของเฉาเซิ่งโยกย้ายลงใต้ เพราะบนรถม้ามีคนป่วย จึงต้องไปๆ หยุดๆ ตลอดทาง
เฉาเพ่ยเอ๋อร์ผู้นั้นยังอดอาหารประท้วงและมีท่าทางหดหู่เซื่องซึมดังเดิม จนกระทั่งตอนหยุดพักที่ค่ายที่พักแห่งหนึ่งได้พบเด็กน้อยสองคนโดยบังเอิญ หลังทั้งคู่ชวนนางไปริมแม่น้ำดูพวกเขาขุดหาปลาหนีชิว คล้ายว่าเด็กสาวจะอารมณ์ดีขึ้นทันที
ขณะเดินทางผ่านหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง เฉาเพ่ยเอ๋อร์ก็เอ่ยปากว่าอยากกินโจ๊กลูกชิ้นปลาร้อนๆ จากแผงขายริมถนน
หลายวันที่ผ่านมาสตรีนางนี้ดื้อแพ่งไม่ยอมกินอาหารมาตลอดทาง ครั้นได้ยินนางบอกว่าจะกินโจ๊ก เฉาฮูหยินจึงถามว่าหยุดแวะกินได้หรือไม่
ชิ่งหยางกลัวจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน เขาจึงซื้อโจ๊กมาให้พวกนางกิน
ใครจะคาดคิดว่าตอนอยู่ในโรงเตี๊ยมเฉาเพ่ยเอ๋อร์ได้ยาสลบห่อหนึ่งมาจากที่ใดก็สุดรู้ นางเทยาใส่หม้อโจ๊กทั้งหมด จากนั้นก็ตักแบ่งให้หญิงรับใช้สองคนกิน
ชิ่งหยางเล่าถึงตรงนี้ ใบหน้าของเขาเดี๋ยวดำเดี๋ยวแดงด้วยความโมโหโทโส “ไม่รู้ว่านางใส่ยาลงไปเท่าไร ตอนเฉาฮูหยินไปหาบุตรสาว หญิงรับใช้สองคนนั้นก็สลบไสลไม่ได้สติ มีน้ำลายไหลฟูมปากเจียนจะหมดลมอยู่แล้ว แต่ได้สารถีเอาปัสสาวะม้ามากรอกปากให้อาเจียนถึงช่วยชีวิตสองคนนั้นไว้ได้ ส่วนคุณหนูเฉาสบโอกาสหนีออกไปทางหน้าต่างห้องพัก เคราะห์ดีที่ข้าจัดกำลังคนเฝ้าไว้ด้านหลังห้องจึงสกัดเอาไว้ได้”
หานหลินเฟิงขมวดคิ้ว “ในเมื่อสกัดไว้ได้แล้ว เหตุใดนางยังหนีไปได้อีก”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ชิ่งหยางก็แทบสะอื้นไห้ น้ำตาเกือบไหลริน เขารู้สึกว่าตนเองไม่ต่างจากพญาวานรซุนอู้คงในซีโหยวจี้ที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคร้อยแปดพันเก้า มีทั้งเทพเซียนบนสวรรค์และภูตผีปีศาจใต้พิภพแห่แหนกันมาก่อกวนไม่หยุด บัดซบจริงๆ!
เขาทำหน้าหดหู่พลางกล่าว “เฉาฮูหยินก็ตามใจบุตรสาวจนเคยตัว อาจเป็นเพราะเห็นคุณหนูเฉาแผลงฤทธิ์ก่อความวุ่นวายเช่นนี้จนนางทนไม่ไหว ถึงกับเปลี่ยนใจปล่อยบุตรสาวไปหาฉิวเจิ้นผู้นั้นแล้ว นางทำทีพูดว่าจะเกลี้ยกล่อมคุณหนูเฉาเอง ข้าก็หลงเชื่อ ใครจะไปคิดว่าขณะที่เฉาฮูหยินอยู่ในห้องกลับช่วยปิดบังให้บุตรสาวกระโดดออกทางหน้าต่างหนีไป และดูเหมือนจะมีคนรอรับนางอยู่ด้านนอกโรงเตี๊ยม ข้าคิดไม่ถึงว่าเฉาฮูหยินจะใช้อุบายนี้ ส่วนข้าก็ยังไม่ได้ส่งคนกลับไปเฝ้าด้านหลังห้อง…นายน้อย ข้าไร้ความสามารถ ท่านจะดุด่าทุบตีอย่างไรก็ได้ขอรับ”
พอหานหลินเฟิงรู้ว่าเฉาเพ่ยเอ๋อร์ไปตรงแม่น้ำแล้วจู่ๆ ก็กระจ่างแจ้งแก่ใจ น่าจะเกี่ยวข้องกับเด็กน้อยสองคนนั้นอย่างหนีไม่พ้น ต้องมีคนส่งข่าวถึงนาง มิหนำซ้ำยังมอบยาสลบห่อนั้นให้ด้วย
ส่วนคนที่ทำให้นางเชื่อฟังคำพูดได้เพียงนี้ นอกจากฉิวเจิ้นคู่หมั้นของนางแล้วก็นึกไม่ออกว่ายังมีใครอื่นอีก
เห็นทีว่าหลังฉิวเจิ้นเสียหน้าที่หมู่บ้านเฟิ่งเหว่ย เขาก็กู้หน้าคืนมาได้เพราะเฉาเพ่ยเอ๋อร์แล้ว
ทันทีที่นางกลับไปอยู่ข้างกายฉิวเจิ้น ข่าวลือเรื่องที่ฉิวเจิ้นกับเฉาเซิ่งบาดหมางกันย่อมถูกลบล้างไปเอง
ฉิวเจิ้นสามารถยืมปากของเฉาเพ่ยเอ๋อร์สร้างเรื่องโกหกว่าเฉาเซิ่งล่วงลับไปแล้ว และใช้ฐานะผู้สืบทอดของเฉาเซิ่งเป็นฉากบังหน้าต่อไปได้อย่างเต็มภาคภูมิ เพื่อหลอกลวงคนทั้งใต้หล้า…
หานหลินเฟิงไม่ได้ตำหนิชิ่งหยาง เพราะมิใช่ว่าพวกเขาทำงานบกพร่อง แต่เฉาฮูหยินจงใจปล่อยบุตรสาวหนีไปเอง เป็นเรื่องที่ยากจะป้องกันได้
“ผู้บัญชาการเฉารู้เรื่องนี้หรือไม่ เขาว่าอย่างไรบ้าง”
ชิ่งหยางกล่าว “ท่านผู้บัญชาการเฉาเกือบขาดใจตายเพราะโกรธภรรยากับบุตรสาวของตนขอรับ หากมิใช่ท่านหมอที่ติดตามไปด้วยฝังเข็มได้ทันท่วงที ถึงเป็นโสมพันปีก็ยื้อชีวิตไว้ไม่ได้ เขาเขียนหนังสือหย่าให้เฉาฮูหยิน ทั้งยังให้นางกลับบ้านเดิมไปเสีย เฉาฮูหยินผู้นั้นเป็นสตรีโง่เขลาเบาปัญญาโดยแท้ นางร้องไห้พลางพูดว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวของชายหญิง พวกเขาที่เป็นบิดามารดาต่างหากกีดกันคู่ครองดีๆ ของบุตรสาว”
ดูเหมือนว่าสองแม่ลูกอ่านบทละครมากเกินไป ถึงได้รู้สึกว่าฉิวเจิ้นเป็นดั่งนกอินทรีที่หมายสยายปีก แต่เฉาเซิ่งเป็นพวกคร่ำครึ ถึงขัดขวางไม่ให้นกอินทรีตัวนี้ได้สยายปีก
หากเป็นจริงตามที่ฉิวเจิ้นกล่าว เขาจะมิใช่เป็นว่าที่ฮ่องเต้ของราชวงศ์ในอนาคตหรือ ถ้าเช่นนั้นเฉาเพ่ยเอ๋อร์ก็คือฮองเฮาภรรยาที่ช่วยเขายึดครองแผ่นดิน แล้วคนเป็นมารดาจะขัดขวางความมั่งคั่งรุ่งเรืองของบุตรสาวได้อย่างไร
ชิ่งหยางล้วงจดหมายฉบับหนึ่งจากอกเสื้อส่งให้หานหลินเฟิง จดหมายเป็นลายมือของเฉาเซิ่ง มีเนื้อความไม่กี่ประโยค ต้องการบอกเพียงอย่างเดียวว่าภรรยามีความคิดอ่านตื้นเขิน บุตรสาวอกตัญญู กลายเป็นอาวุธในมือโจรร้าย ขอให้หานหลินเฟิงยึดถือแผนการใหญ่เป็นที่ตั้ง ตัดสินชี้ขาดเองโดยไม่ต้องเห็นแก่เขา
ซูลั่วอวิ๋นฟังแล้วก็ถอนใจยาวคราหนึ่ง ความลำบากใจของเฉาเซิ่งเผยออกมาในเนื้อความที่แสนสั้นนั่นแล้ว
ที่เขาบอกว่า ‘ตัดสินชี้ขาดเอง’ ก็หมายความว่าจะมอบความเป็นความตายของบุตรสาวไว้ในกำมือของหานหลินเฟิง ไม่ขอยุ่งเกี่ยวโดยสิ้นเชิง
พอหานหลินเฟิงเล่าที่มาที่ไปของเรื่องนี้ให้นางฟัง ซูลั่วอวิ๋นยังรู้สึกโกรธจนแน่นหน้าอกอยู่บ้าง
“เฉาฮูหยินมิได้ล่วงรู้เรื่องที่ฉิวเจิ้นวางยาเฉาเซิ่งหรือไร นางช่างไม่คิดเสียบ้างว่าบุตรสาวตนเองฝากชีวิตไว้กับบุรุษเช่นนี้จะมีจุดจบที่ดีอันใดได้”
หานหลินเฟิงกล่าวเสียงเรียบ “เรื่องที่ฉิวเจิ้นพิชิตเมืองจยาหย่งได้อย่างยิ่งใหญ่ถูกเล่าลือกันระเบ็งเซ็งแซ่ไปทั่ว พวกนางสองแม่ลูกก็ได้ยินได้ฟังบ้างระหว่างทาง ในจดหมายที่ฉิวเจิ้นส่งให้เฉาเพ่ยเอ๋อร์คงจะเป็นคำสัญญาลมๆ แล้งๆ ให้นางเกิดความหวัง”
ซูลั่วอวิ๋นไม่อาจมีความรู้สึกร่วมไปกับการบูชาความรักถึงขั้นสละได้ทุกสิ่งเช่นฟางจิ่นซูกับเฉาเพ่ยเอ๋อร์ และการที่เฉาเซิ่งให้หานหลินเฟิงเป็นคนตัดสินชะตากรรมของบุตรสาว เห็นได้ชัดว่าเขาปัดปัญหายุ่งยากมาให้หานหลินเฟิงด้วยพร้อมกัน
หากนิ่งดูดาย ฉิวเจิ้นซึ่งได้ชื่อว่าเป็นบุตรเขยของเฉาเซิ่งจะเปรียบเสมือนพยัคฆ์ติดปีก ผลลัพธ์ที่ตามมานั้นจะร้ายแรงเพียงใดก็ยากจะคาดเดา! แต่ถ้าจะผดุงความชอบธรรมโดยไม่เห็นแก่สายสัมพันธ์ฉันญาติมิตร หาโอกาสสังหารเฉาเพ่ยเอ๋อร์ก็จะผิดต่อมิตรภาพระหว่างพี่น้องร่วมสาบานของหานหลินเฟิงกับเฉาเซิ่ง
ซูลั่วอวิ๋นนึกโมโหแทนหานหลินเฟิง แต่นางก็คิดไม่ออกในชั่วครู่ชั่วยามว่าควรรับมือกับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้อย่างไรกันแน่
ทางด้านหานหลินเฟิงกลับสงบเยือกเย็น เมื่อนางเอ่ยถาม เขาก็ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ตอนนี้ทำได้เพียงดูสถานการณ์ไปทีละก้าว ทว่าจะให้ฉิวเจิ้นเอาชื่อของเฉาเซิ่งไปใช้เป็นเครื่องมือไม่ได้เด็ดขาด”
นางส่ายหน้า “จะทำตามคำบอกเป็นนัยของเฉาเซิ่งก็ไม่ได้เจ้าค่ะ ถ้าคุณหนูเฉาจบชีวิตลง ฉิวเจิ้นก็คงจะยกจุดนี้มาขยายให้เป็นเรื่องใหญ่ เดิมทีเขาก็เป็นคนบ้านแตกสาแหรกขาดอยู่แล้ว หากภรรยาผู้เป็นที่รักถูกคนสังหารอีกจะยิ่งเชิดชูความเป็นวีรบุรุษผู้มีชะตาอาภัพในใจผู้คนมากขึ้น ต่อให้เขาพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินก็ชอบด้วยเหตุผล!”
หานหลินเฟิงลูบเรือนผมสลวยที่ปล่อยสยายลงกลางแผ่นหลังของนาง “หากเฉาเซิ่งแต่งภรรยาที่เหมือนกับเจ้าก็คงดี…”
เฉาเพ่ยเอ๋อร์ดื้อรั้นเอาแต่ใจตนเช่นนี้เป็นผลมาจากการอบรมเลี้ยงดูบุตรสาวไม่ดีของเฉาฮูหยินอย่างปฏิเสธไม่ได้ หากเป็นครอบครัวธรรมดายังพอทำเนา แต่ในสภาพการณ์ยามนี้ของเฉาเซิ่งกลับเป็นจุดอ่อนถึงตายได้
ซูลั่วอวิ๋นทอดถอนใจ หากพินิจจากความเป็นมาของฉิวเจิ้น นางคิดว่าในใจบุรุษเช่นนี้คงไม่มีความรักหวานซึ้งของชายหญิงอยู่แม้เพียงสักเศษเสี้ยว เฉาเพ่ยเอ๋อร์ผู้นั้นคงเลือกคู่ชีวิตผิดแล้ว
เมื่อได้ยินคำกล่าวอย่างทอดถอนใจของหานหลินเฟิง นางก็แสร้งพูดว่า “ได้ ข้าตกลงจะแต่งงานใหม่ ท่านจัดเตรียมสินเดิมเจ้าสาวให้ข้าก็แล้วกัน!”
เขาหยิกแก้มนาง “พอพูดเรื่องนี้เจ้าก็รับคำทันที อย่าแม้แต่จะคิด! ยังจะให้เตรียมสินเดิมเจ้าสาวให้เจ้าอีก ดาบเล่มนั้นของข้าอยากได้หรือไม่”
ซูลั่วอวิ๋นใช้แขนโอบรอบคอเขา คลี่ยิ้มแล้วจุมพิตแก้มบุรุษที่ทำหน้าบึ้งตึง ปกติดูเป็นคนนุ่มนวลใจเย็น แต่พอได้ยินคำพูดเช่นนี้ทีไรเขาก็จะชักสีหน้าทันที
ทว่าสถานการณ์ในขณะนี้ตึงมือจริงๆ นางครุ่นคิดตรึกตรองไปมาแล้วพลันเอ่ยขึ้น “เอาเป็นว่าจะให้ฉิวเจิ้นมีเงินทองมากเกินไปไม่ได้ เฉาเซิ่งมอบสมุดบัญชีเงินเกื้อหนุนจากคหบดีทุกเมืองให้ท่านมาไม่ใช่หรือ ท่านหาชื่อผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ที่สุดออกมา คิดหาวิธีปิดบ่อเงินบ่อทองของฉิวเจิ้นก็พอ อีกอย่างเฉาเซิ่งจะต้องหายดีให้ได้ หากเขาล้มลงในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้จะควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ยาก”
ซูลั่วอวิ๋นเพียงคิดอ่านตามประสาคนทำการค้า ในเมื่อฉิวเจิ้นคิดจะทำการใหญ่ก็เพียงตัดแหล่งทุนรอนของเขาเป็นอันสิ้นเรื่อง
หานหลินเฟิงดวงตาเป็นประกาย ก้มหน้าลงจุมพิตนางคราหนึ่งอย่างห้ามใจไม่อยู่ “วิธีนี้ของเจ้าเข้าที ขอให้ข้าลองคิดดูก่อน”
บัดนี้ฉิวเจิ้นฉกฉวยผลสำเร็จของกองทัพกบฏไปใช้ประโยชน์ ถ้าไม่ขัดขวางก็ไม่กล้าคิดแล้วว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นเช่นไร
กระนั้นติดขัดที่ศักดิ์ฐานะของตน เขาจะบุ่มบ่ามไปขออยู่ภายใต้บังคับบัญชาจ้าวต้งโดยตรงไม่ได้ ยามนี้การแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทกำลังดุเดือด ส่วนทางชายแดนก็มีทั้งศึกภายนอกและศึกภายใน
สิ่งที่เขาพอทำได้ก็คือสะสางปัญหาจุกจิกที่สามารถช่วยให้จ้าวต้งรักษาความสงบของชายแดนไว้ได้ โดยตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ว่าจ้าวต้งต้องปกป้องคนทั้งจวนอ๋องให้ปลอดภัย
ยามนี้ล่วงเข้าฤดูใบไม้ผลิ เป็นเวลาที่อากาศอบอุ่น มวลพฤกษชาติแตกหน่อผลิใบเขียวขจี พวกชาวเถี่ยฝูก็คงจะเริ่มกระเหี้ยนกระหือรือแล้ว…
บทที่ 82.2
อีกด้านหนึ่งตอนแรกฉิวเจิ้นนึกว่าไปที่ค่ายเสบียงเชียนซีแล้วฉวยโอกาสระเบิดที่นั่นให้พังพินาศน่าจะเป็นเรื่องง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ
ใครจะคาดคิดว่าเขากลับต้องตกตะลึงกับการคุ้มกันอย่างรัดกุมแน่นหนาดุจปราการเหล็กของค่ายเชียนซีก่อน ต่อจากนั้นยังถูกคนฟันด้วยดาบทีหนึ่งที่หมู่บ้านเฟิ่งเหว่ย
คนที่ประมือกับเขาผู้นั้นไม่เพียงออกกระบวนท่าจู่โจมอย่างโหดเหี้ยม แต่ยังรู้ชื่อของเขาด้วย!
หลังจากเสียท่าที่ป่าปีศาจ ฉิวเจิ้นต้องหนีหัวซุกหัวซุนกลับมาเป็นครั้งที่สอง บาดแผลบนไหล่ยังลึกถึงกระดูก ต้องให้หมอใช้สายเอ็นตกปลาเย็บแผล
แต่เทียบกับความรู้สึกปวดระบมจากบาดแผลบนไหล่ ฉิวเจิ้นรู้สึกเจ็บใจมากกว่า…บุรุษใบหน้าคมคายที่เรียกชื่อเขาคนนั้นเป็นผู้ใดกันแน่ มีวรยุทธ์ยอดเยี่ยมเช่นนี้ไม่น่าจะเป็นพวกไร้ชื่อเสียงในกองทัพต้าเว่ย
เขาขบคิดจนศีรษะแทบแตกแล้วก็ยังนึกไม่ออกว่าลักษณะของคนคนนี้จะตรงกับใครได้ หรือว่าอีกฝ่ายคือแม่ทัพน้อยจ้าวกุยเป่ย?
ทว่าดูจากรูปโฉมโนมพรรณคล้ายว่าจะอายุมากกว่าจ้าวกุยเป่ย อีกทั้งใบหน้ายังดูจะแฝงเชื้อสายชนต่างเผ่าไว้…เขาไม่เคยได้ยินว่าบรรพบุรุษของจ้าวกุยเป่ยเป็นชาวแคว้นอื่น
เขาเรียกสายลับที่เข้านอกออกในเหลียงโจวมาพบแล้วบรรยายรูปร่างหน้าตาของคนผู้นั้นให้ฟังคร่าวๆ
สายลับก็ฉงนงงงัน บอกแค่ว่าฟังดูแล้วไม่เหมือนจะเป็นจ้าวกุยเป่ย
ที่นี่เป็นแดนเหนือ มีชาวพื้นเมืองที่แต่งงานข้ามแคว้นไม่น้อย ดังนั้นในกองทัพต้าเว่ยต้องมีคนที่มีเค้าหน้าของชนต่างเผ่าอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ทว่าส่วนใหญ่ล้วนใบหน้าคมคายตาลึกเท่านั้น ไม่ถึงขั้นหล่อเหลา…
แต่ไม่ว่าใครก็ตามดูเหมือนจะมองข้ามเจ้าเศษสวะของจวนเป่ยเจิ้นอ๋องผู้นั้นไปโดยไม่ทันคิด ถึงอย่างไรการสงสัยคนไร้ค่าพรรค์นี้สักชั่วอึดใจก็ยังเป็นเรื่องเปลืองสมอง
ทว่าที่หมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยเตรียมการป้องกันระวังภัยอย่างเข้มงวดกวดขันพอดู เห็นทีว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของหานหลินเฟิงจะมีคนเก่งไม่น้อย!
ขณะที่ฉิวเจิ้นครุ่นคิดหาคำตอบไม่ได้ พรรคพวกที่เขาส่งออกไปอีกกลุ่มหนึ่งปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จ พาเฉาเพ่ยเอ๋อร์กลับมาอย่างปลอดภัยโดยไม่บุบสลาย
เมื่อเห็นเด็กสาวที่ไปรับตัวมากลับมาได้ในที่สุด เขาก็ระบายลมหายใจยาวเหยียดคราหนึ่ง ยิ้มน้อยๆ เดินไปต้อนรับคู่หมั้นของตนเอง ทว่าตอนเข้าไปใกล้เฉาเพ่ยเอ๋อร์ก็เงื้อมือตบหน้าเขาสุดแรง
ฉิวเจิ้นไม่ทันตั้งตัวจึงถูกตบจนหน้าหัน เขาเบือนหน้ากลับมาช้าๆ หรี่ตามองดูนาง
เฉาเพ่ยเอ๋อร์ถลึงตากว้าง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านพ่อข้าบอกว่าถูกท่านวางยาสลบ เดิมทีข้ายังไม่เชื่อ…แต่เห็นยาที่ท่านให้ข้ามาก็เป็นยาสลบเช่นกัน! ท่านบอกมา เหตุใดต้องทำกับท่านพ่อข้าเช่นนี้”
ฉิวเจิ้นใช้ลิ้นดุนแก้มที่เจ็บแปลบจากแรงตบ เขายิ้มอย่างไม่แยแส มองนางพลางพูด “ในเมื่อเจ้าปักใจเชื่อคำพูดของเขาแล้ว เหตุใดยังกลับมาอีก”
นางมองดูสีหน้าท่าทางไม่ยี่หระเช่นพวกอันธพาลเกเรของบุรุษเบื้องหน้าด้วยอารมณ์หลากหลายปะปนกันไป เป็นความรู้สึกทั้งรักทั้งชังโดยแท้
เด็กสาวแจ่มแจ้งแก่ใจดีว่าคำพูดของบิดาคงเป็นความจริง แต่นางตัดใจจากบุรุษผู้นี้ไม่ได้สักที ในใจยังมีความหวังว่าเขาจะมีคำอธิบายที่มีน้ำหนักมาพูดหว่านล้อมตนเองได้
ไม่คิดว่านางกลับมาอย่างลำบากยากเย็นเพียงนี้ สิ่งที่ได้รับคือรอยยิ้มไม่แยแสบนใบหน้าเขา ชั่วขณะนี้เฉาเพ่ยเอ๋อร์ทั้งว้าวุ่นใจและโกรธเคือง ทำให้น้ำตาไหลรินออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
ฉิวเจิ้นเหยียดยิ้มมุมปากมองดูนางร่ำไห้ครู่หนึ่งแล้วเดินเข้าไปโอบไหล่นาง ทอดน้ำเสียงอ่อนลงกล่าวว่า “คนอื่นอาจไม่เข้าใจข้า แต่เจ้าจะไม่เข้าใจข้าเชียวหรือ ข้าเคารพนับถือผู้บัญชาการเฉาอย่างยิ่ง เพียงแต่ข้ากับเขามีความคิดเรื่องอนาคตของกองทัพกบฏแตกต่างกันอยู่มาก บิดาเจ้าคิดแต่จะไปตามเส้นทางสันติปรองดอง โดยหวังว่าราชสำนักจะเปลี่ยนท่าทีและอนุญาตให้เขาพิชิตดินแดนคืน ทว่าข้ามีความแค้นฝังลึกกับฮ่องเต้สุนัขนั่น แล้วจะเดินในเส้นทางสันติปรองดองได้อย่างไร เจ้าเป็นคนที่เข้าใจข้ามิใช่หรือ ถึงข้าจะให้บิดาเจ้าหลับไปหลายตื่น แต่ไม่ได้หมายปองชีวิตเขา เหตุใดเจ้าถึงระแวงสงสัยข้าตามบิดาเจ้าเล่า”
เฉาเพ่ยเอ๋อร์ได้ยินคำกล่าวนี้ของเขาก็รู้สึกผิดขึ้นมาหลายส่วน ใช่แล้ว…พี่ฉิวกับท่านพ่อมีความคิดเห็นต่อราชสำนักไม่ตรงกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
อีกประการหนึ่งครอบครัวของฉิวเจิ้นล้วนตายด้วยน้ำมือฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าเว่ย จะให้เขาสวามิภักดิ์ต่อราชสำนัก นี่จะมิใช่นับถือโจรเป็นบิดาหรือไร ท่านพ่อสร้างความลำบากใจให้เขาแล้วจริงๆ…
ฉิวเจิ้นเข้าใจสตรีนางนี้ดี แม้ท่าทางจะดูละม้ายคล้ายแมวป่าแสยะเขี้ยวกางเล็บ ทว่าแท้จริงแล้วเป็นคนหูเบา มิหนำซ้ำยังลุ่มหลงมีใจให้เขา กับสตรีเช่นนี้จะยอมเป็นเบี้ยล่างมากไปไม่ได้ แค่อ่อนข้อให้เล็กน้อยแล้วแสดงความอ่อนโยนต่อนางบ้างเท่านั้นเป็นพอ
เมื่อเอ่ยถึงญาติพี่น้องสกุลฉิวที่ถูกประหารทั้งตระกูล เฉาเพ่ยเอ๋อร์ก็ลดเสียงให้เบาลงดังคาด นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงละอายใจ
“ท่านพ่อข้าไม่เห็นอกเห็นใจท่านมากพอจริงๆ แต่ท่านก็ไม่อาจ…”
ฉิวเจิ้นเอ่ยอย่างนุ่มนวลตัดบทนาง “เจ้าเล่าเรียนหนังสือได้ไม่กี่วัน ยังมองการณ์ไกลไม่พอ ข้าจะไม่เรียกร้องอะไรจากเจ้า ดังคำกล่าวที่ว่าผู้ทำการใหญ่ต้องไม่สนใจเรื่องเล็กน้อย เวลานี้ข้าตีเมืองจยาหย่งได้แล้ว ขวัญทหารทั้งกองทัพกำลังฮึกเหิม รอเมื่อข้าได้ครองแผ่นดินจะพาเจ้าไปพบผู้บัญชาการเฉาโขกศีรษะรับผิดด้วยตนเอง จะลงโทษอย่างไรก็สุดแท้แต่เขา…ทว่าก่อนหน้านั้นข้าไม่มีเวลามารักษาความสัมพันธ์กับใครๆ อีกทั้งไม่ปรารถนาให้สตรีของข้าไม่เห็นแก่ส่วนรวม คอยแต่จะเป็นตัวถ่วงรั้งข้าไว้เช่นนี้ เพ่ยเอ๋อร์ เจ้าจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ข้าหรือไม่”
นางมองฉิวเจิ้น ยามเขากล่าวถ้อยคำทั้งหมดนี้แผ่บารมีน่าเกรงขามประหนึ่งเป็นผู้ปกครองแผ่นดินไปแล้ว หากนางมัวแต่ก่อกวนไม่หยุดอีกจะมิใช่หญิงชนบทที่หูตาคับแคบหรือ แล้วจะเป็นสตรีที่คู่ควรอยู่ข้างกายเขา เป็นมารดาของแผ่นดินในวันข้างหน้าได้อย่างไร
เฉาเพ่ยเอ๋อร์ซึ่งไร้รูปสมบัติมักรู้สึกต่ำต้อยยามอยู่กับฉิวเจิ้นบุรุษรูปงามเหนือใครเป็นธรรมดา ถ้ายังไม่มีคุณสมบัติใดๆ อีก นางจะมีสิทธิ์อะไรได้ยืนเคียงข้างบุรุษที่โดดเด่นเช่นนี้
เพราะเหตุนี้นางจึงตั้งมั่นที่จะเป็นภรรยาที่ดีของเขาให้จงได้
ดังนั้นพอฉิวเจิ้นเอ่ยถาม นางก็ลดความผยองลงโดยไม่รู้ตัว พยักหน้าอย่างเคารพเชื่อฟัง…ฉิวเจิ้นไม่มีคนในครอบครัวอยู่ในโลกนี้แม้เพียงสักคน หากนางเองก็ไม่สนับสนุนไม่เชื่อถือเขา เขาจะไม่โดดเดี่ยวเดียวดายไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่หรือ
ครั้นเห็นแววสงสารเห็นใจในดวงตานาง รอยยิ้มของฉิวเจิ้นก็ยิ่งขยายกว้างขึ้น เพราะเขารู้แล้วว่าอุบายจดหมายป่าวประกาศที่เฉาเซิ่งใช้เล่นงานเขานั้นสามารถคลี่คลายได้อย่างราบรื่นแล้ว!
เหตุการณ์ในเวลาต่อมาเป็นไปตามที่ซูลั่วอวิ๋นคาดเดาไว้ล่วงหน้า หลังเฉาเพ่ยเอ๋อร์กลับไปอยู่กับฉิวเจิ้นแล้วก็แต่งงานกับเขาทันที
นางยังบอกกล่าวต่อคนนอกไปทั่วว่าบิดาป่วยหนักไปพักรักษาตัวอยู่ในสถานที่เงียบสงบ ส่วนจดหมายป่าวประกาศที่แพร่กระจายไปทุกเมืองก่อนหน้านี้มีคนแอบอ้างชื่อบิดานางเขียนขึ้นเอง เชื่อถือมิได้!
ชั่วขณะนั้นเกิดเสียงโจษจันไปทั้งกองทัพกบฏว่าจดหมายป่าวประกาศลายมือเฉาเซิ่งนั่นเป็นของปลอม ในเมื่อคุณหนูเฉาเป็นฝ่ายหนีจากเงื้อมมือของโจรร้ายมาได้เองก็พิสูจน์ได้ว่าฉิวเจิ้นกับเฉาเซิ่งไม่ได้บาดหมางกัน ข่าวลือก่อนหน้านี้เป็นการสาดโคลนใส่ฉิวเจิ้นทั้งสิ้น
ฉิวเจิ้นยังอาศัยการแต่งงานกอบโกยเงินทองได้ก้อนโต บรรดาคหบดีที่สนิทสนมกับเฉาเซิ่งทั้งหลายพากันมอบซองแดงเป็นของขวัญอวยพร
ที่บอกว่าเป็นซองแดง ความจริงแล้วคือค่าคุ้มครองเพื่อให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันอย่างสุขสงบ ถึงอย่างไรตอนนี้ฉิวเจิ้นก็กำลังแข็งแกร่งไร้ผู้ต้านทาน มอบเงินให้เขาบ้างเป็นการเหลือทางหนีทีไล่ให้ตนเองสักทาง นี่ต่างหากคือวิถีแห่งการเอาตัวรอดในกลียุค
ในบรรดานั้นยังมีผู้อุปถัมภ์ลึกลับคนหนึ่งที่จะเกื้อหนุนด้วยเงินก้อนใหญ่ที่สุด เพียงรอผู้อุปถัมภ์ลึกลับรวบรวมเงินทองมามอบให้ หลังจากนี้ฉิวเจิ้นก็จะหมดกังวลได้โดยสิ้นเชิง!
รวมความว่าฉิวเจิ้นรักษาขวัญกำลังใจของทหารไว้ได้ รออีกสักพักยังจะมีเงินทองใช้สอยได้คล่องมือขึ้นอีก แม้ว่าจะเสียศูนย์ไปเพราะความขัดแย้งภายในก่อนหน้านี้ แต่ยังกลับมาชูธงลั่นกลองรบอีกครั้งได้อย่างไม่เป็นปัญหา
แค่ว่าเขาถูกบุรุษปริศนาใช้ดาบฟันทีหนึ่งที่หมู่บ้านเฟิ่งเหว่ย อาการค่อนข้างสาหัส ยังจำเป็นต้องพักฟื้น กอปรกับต้องรอเสบียงอาหารและอาวุธ หากหมายจะระดมพลบุกโจมตีอีกก็ต้องจัดเตรียมกระบวนทัพใหม่ระยะหนึ่ง
เนื่องจากเสียเมืองจยาหย่งให้กองทัพกบฏไปแล้ว แนวรบรุกคืบมาใกล้เหลียงโจวไม่ขาดสาย แม้ว่าไฟสงครามยังไม่ลุกลามมาถึง แต่ครอบครัวของคหบดีและขุนนางมากมายเริ่มเตรียมการล่าถอยกันไม่หยุด
ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องก็คิดอยากจะเอาอย่างสตรีเรือนในของหวังอวิ๋น ถอยไปอยู่ฮุ่ยโจวล่วงหน้าเป็นอันสิ้นเรื่อง
ที่นั่นเจริญรุ่งเรือง อากาศก็ดีกว่าเหลียงโจวซึ่งขณะนี้อยู่ในสภาวะระส่ำระสาย ต่อให้จวนอ๋องละทิ้งอาณาเขตพระราชทานไปหลบภัยชั่วคราวก็มีเหตุผลฟังขึ้น
นางได้ยินมาว่ากองทัพกบฏป่าเถื่อนยิ่ง ตอนบุกเมืองจยาหย่ง บุตรสาวตระกูลเศรษฐีไม่น้อยถูกพวกทหารม้าใจทรามฉุดคร่าไปเป็นรางวัลตอบแทนความดีความชอบให้สามทัพถึงขั้นมีคนถูกย่ำยีขืนใจจนเสียสติ
ตัวนางแก่ชราโรยราแล้วกลับไม่เป็นอะไร แต่บุตรสาวอยู่ในวัยสาวสะพรั่งพอดี จะปล่อยให้นางตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้ไม่ได้
ทว่าเป่ยเจิ้นอ๋องไม่เห็นด้วย บอกว่าเหลียงโจวเป็นอาณาเขตในความดูแลของเขา มีอย่างที่ใดที่ตนเองจะหลบหนีก่อนผู้อื่น
ในอดีตเซิ่งเต๋อไท่หวงทรงหาญกล้าปานใด เป็นผู้บัญชาการทัพอยู่ด้านหน้า ถึงต้องเสี่ยงภัยถูกจับเป็นเชลยศึกก็ไม่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน เขาในฐานะบุตรหลานสกุลหานสายเลือดเซิ่งเต๋อไท่หวงจะสร้างความอัปยศให้บรรพบุรุษของตนเองไม่ได้เป็นอันขาด
วันนี้หานหลินเฟิงพาซูลั่วอวิ๋นกลับมากินอาหารที่จวนอ๋อง เห็นชายาเป่ยเจิ้นอ๋องกับท่านอ๋องทะเลาะโต้เถียงกันด้วยเรื่องนี้อีกแล้ว
สุดท้ายท่านอ๋องคร้านจะพูดกับชายาเป่ยเจิ้นอ๋อง เขาเอ่ยถามบุตรชายโดยตรง “เจ้ามีความเห็นเช่นไร”
หานหลินเฟิงวางตะเกียบ กล่าวตอบอย่างอ่อนน้อม “พูดเรื่องถอยหนีตอนนี้ยังเร็วเกินไป จะอย่างไรกองทัพใหญ่ของราชบุตรเขยก็ยังมาไม่ถึง ข้าเชื่อมั่นในตัวแม่ทัพจ้าว รอต่อไปอีกสักนิดก็ไม่เสียหายขอรับ”
ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องเห็นบุตรชายไม่พูดเข้าข้างตนเอง นางก็แค่นเสียงกล่าว “เจ้าไม่สงสารน้องสาวก็ต้องสงสารภรรยาเจ้าบ้าง ได้ยินว่าหมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยก็ถูกพวกโจรร้ายบุกโจมตี ลั่วอวิ๋นรูปโฉมงดงาม ทั้งยังเป็นหญิงตาบอดไร้ทางสู้ เจ้าไม่เป็นห่วงว่านางจะตกอยู่ในกำมือโจรกบฏหรือ”
แม้ซูลั่วอวิ๋นเริ่มรับรู้ความมืดกับความสว่างได้อีกครั้ง แต่นางยังไม่ได้บอกกล่าวให้รู้กันทั่ว เพียงรอฟื้นฟูสายตาให้กลับมาเป็นปกติดังเดิมเสียก่อน
ครั้นได้ยินมารดาสามีพูดว่านางตาบอด ซูลั่วอวิ๋นก็ยิ้มบางๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “สำหรับข้าก็สุดแท้แต่ซื่อจื่อเจ้าค่ะ ในเมื่อเขาบอกว่ายังไม่เป็นไร ข้าก็คร้านจะเป็นกังวลกับเรื่องพวกนั้น…”
ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องพูดเยาะๆ “ใช่ ใครๆ ก็รู้ว่าเจ้าเป็นภรรยาที่แสนประเสริฐ ก่อนหน้านี้ยอมถูกติฉินนินทาเพื่อช่วยเฟิงเอ๋อร์ส่งเสบียง แต่กลับไม่บอกไม่กล่าวข้าสักคำ ตามความเห็นข้าไม่ใช่คร้านจะเป็นกังวลอย่างเดียว ยังคร้านจะพูดด้วย!”
เวลานี้สตรีเรือนในของทหารทั่วทั้งเหลียงโจวรู้เรื่องที่ซูลั่วอวิ๋นใช้ข้ออ้างซื้อเครื่องเรือนบังหน้าช่วยเหลือหานหลินเฟิงส่งเสบียงกันหมดแล้ว หานหลินเฟิงก็บอกกล่าวกับคนนอกว่ากลัวกองทัพกบฏแย่งชิงเสบียง ถึงได้ทำเช่นนี้เป็นการตบตาอำพราง
แต่ก่อนหน้านั้นซูลั่วอวิ๋นมิได้แพร่งพรายให้ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องรู้สักคำ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะส่งคนมาดุด่าตำหนินางกี่ครั้งกี่หน นางก็ปิดปากสนิทไม่โต้เถียงแม้เพียงสักครึ่งคำ
ตอนที่ความจริงเปิดเผย เป็นเหตุให้ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องซึ่งส่งคนไปด่าทอนางอย่างรุนแรงก่อนหน้านี้ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดอยู่บ้าง
ซูลั่วอวิ๋นรู้ว่ามารดาสามีเริ่มพาลตามเคย นางก็เผยยิ้มอย่างนุ่มนวล “ข้าไม่ทราบด้วยซ้ำว่าซื่อจื่อขนสิ่งของใดกันแน่ คนที่คร้านจะพูดที่สุดเป็นเขานั่นเองเจ้าค่ะ เป็นเหตุให้ข้าดีใจเก้อ นึกว่าเขาซื้อของมาให้ข้าจริงๆ โชคดีที่ภายหลังท่านแม่ส่งคนมาตำหนิ ทำให้ข้ารู้ว่าคนในจวนอ๋องใช้ชีวิตอย่างสมถะเรียบง่าย ถึงได้รู้สึกผิดในใจ คิดทบทวนตนเองว่าไม่ควรร้องขอสิ่งนั้นสิ่งนี้จากซื่อจื่อมากเกินไป จึงคิดจะคืนของ มิฉะนั้นปกติถ้าต้องดีใจเก้อเช่นนี้ข้าคงทะเลาะกับซื่อจื่อยกใหญ่ไปแล้ว”
นางกล่าววาจาได้ลื่นไหลอย่างจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เริ่มจากออกตัวปฏิเสธก่อนแล้วค่อยเอ่ยชมมารดาสามีที่ส่งคนมาตำหนิหลายครั้งว่าไม่เสียเปล่า สุดท้ายยังบอกว่าตนเองกับมารดาสามีต่างหลงลมปากของพวกบุรุษไม่ต่างกัน
นับตั้งแต่ถูกหานหลินเฟิงต่อว่ายกหนึ่งว่าอย่าเห็นตนเองเป็นขุนนางบริวารที่ปรึกษาของเขา คอยช่วยรับหน้าแทนไปเสียทุกเรื่อง ซูลั่วอวิ๋นก็ปฏิบัติตาม ทุกครั้งล้วนผลักสามีออกมาขวางน้ำเชี่ยวโดยไม่ใจอ่อนยั้งมือสักนิด
แล้วบนโต๊ะอาหารที่อยู่กันพร้อมหน้าทั้งครอบครัวในวันนี้ พอเห็นชายาเป่ยเจิ้นอ๋องจะหาเรื่องอีกแล้ว นางก็รีบใช้สามีเป็นเครื่องสังเวยเพื่อเอาตัวรอด ปัดความผิดที่หลอกลวงบิดามารดาไปให้เขา
ทางด้านหานหลินเฟิงก็ยอมรับผิดแทนภรรยาอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ “อาอวิ๋นพูดไม่ผิด ความลับทางทหารชั้นนี้ข้าย่อมบอกนางก่อนไม่ได้เป็นธรรมดา หากท่านแม่จะโทษก็โทษข้าเถิดขอรับ”
ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องหาได้หลงกลไม่ นางส่งเสียงฮึขึ้นจมูกอย่างเยาะๆ ทว่าสามีภรรยาคู่นี้โยนกันไปมาจนพากันออกนอกเรื่องที่ยกขึ้นมาพูดก่อนหน้านี้ไปแล้ว นางจะเอ่ยขึ้นมาสร้างความลำบากใจให้ลูกสะใภ้อีกก็ไม่เป็นการดี
ในเมื่อท่านอ๋องไม่ตอบตกลงเรื่องไปฮุ่ยโจว นางก็คร้านจะพูดคุยกับพวกเขาอีก เพียงคีบอาหารให้หานเซียวบุตรชายของตนเองอย่างเอาอกเอาใจ
สำนักศึกษาของหานเซียวหยุดพักเรียนระยะยาว ดังนั้นช่วงนี้เขาจึงกลับมาอยู่ที่จวนอ๋อง
หานเซียวไม่ใคร่สนใจเรื่องที่พวกพี่ชายสนทนากันนัก ทั้งยังไม่มีอาการตอบสนองใดๆ ต่อการรบพุ่งที่ใกล้เข้ามาทุกที เพียงเห็นว่าเป็นการตีตนไปก่อนไข้อยู่สักหน่อย
เขาชื่นชอบศิลปะชั้นสูง ครั้นตอนนี้มีเวลาว่างกลับมาก็รู้สึกว่าการมีพี่สะใภ้สามัญชนเพิ่มขึ้นหนึ่งคนได้ฉุดรั้งจวนอ๋องให้ตกต่ำลง
ด้วยเหตุนี้คุณชายน้อยจึงมีความคิดจะจัดตั้งชุมนุมแต่งบทกลอนวาดภาพในจวนของตนเอง ให้บรรดาคนเก่งในเหลียงโจวมารวมตัวกัน ส่วนเขาก็จะได้สำแดงฝีมือที่ฝึกฝนเคี่ยวกรำมาจากฮุ่ยโจวให้เป็นที่ประจักษ์
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 ธ.ค. 67
Comments
comments
No tags for this post.