X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหอมเกศา

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 83.1-83.2

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 83.1

หานเหยาได้ยินน้องชายพูดขึ้นมา นางก็เอ่ยอย่างลิงโลด “ดี! พี่สะใภ้ ท่านไม่ต้องกลับไปที่หมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยแล้ว ที่นั่นวุ่นวายเหลือเกิน ท่านคัดอักษรได้ดี เข้ามาร่วมวงด้วยกันได้พอดี…”

แต่หานเซียวได้ยินคำกล่าวของพี่สาวแล้วกลับถลึงตาใส่ พูดอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “ข้าจัดตั้งชุมนุมไม่ใช่ทำขึ้นเล่นๆ เพื่อให้สตรีว่างงานมาฆ่าเวลา หากคนในชุมนุมมีความสามารถไม่ทัดเทียมกัน คนเก่งที่แท้จริงจะคอยถ่อมตนออมมือเพื่อรักษาน้ำใจ ขณะที่พวกไร้วิชาความรู้เกรงตนเองจะอับอายขายหน้าก็ต้องเค้นสมองอย่างหนัก เช่นนั้นจะมีอะไรน่าสนุกเล่า ท่านอาจารย์ของข้าเคยสอนไว้ว่าบินคู่กับหงส์ได้ล้วนเป็นยอดวิหค แล้วจะรวมฝูงกับพวกนกกระจิบนกกระจอกไปไย”

ซูลั่วอวิ๋นฟังออกแล้วว่าถ้านกกระจอกบ้านเช่นนางไปเข้าร่วมชุมนุมโดยไม่รู้กาลเทศะจะฉุดรั้งชุมนุมแต่งบทกลอนวาดภาพของน้องชายสามีให้ตกต่ำลง ทำให้เหล่าผู้มากความสามารถของเหลียงโจวไม่มีที่แสดงฝีมือ!

ทางด้านหานหลินเฟิงวันนี้ดูท่าทางอารมณ์ไม่ดีด้วยเหตุใดก็สุดรู้ เขาหน้าบึ้งตึงอยู่ตลอดเวลา พอได้ยินคำกล่าวปรามาสภรรยาของตนเองเช่นนี้ก็ทนฟังไม่ได้

แต่เขาเพิ่งทำตาขุ่นจะพูดโต้กลับ ซูลั่วอวิ๋นกลับเตะขาเขาใต้โต๊ะ จากนั้นก็กล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ข้าไม่ไปร่วมวงด้วยจะดีกว่า พักนี้พี่ชายของพวกเจ้ามีอาการปวดเอวเจ็บขา ข้าต้องรมยาให้เขาทุกวัน เด็กหนุ่มเด็กสาวอย่างพวกเจ้าเล่นสนุกกันเองก็แล้วกัน”

คุณชายน้อยหานเซียวส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย เขาเริ่มจับผิดคำพูดของพี่สะใภ้สามัญชน “คนคอเดียวกันรวมตัวกันจะใช้คำว่า ‘เล่น’ ได้หรือ พวกข้าแลกเปลี่ยนฝีมือทักษะกัน เป็นการบ่มเพาะขัดเกลาตนเองต่างหาก”

ได้ยินน้องชายสามีให้เกียรติแก้ไขคำพูดให้ ซูลั่วอวิ๋นก็พยักหน้าอย่างขึงขัง พูดเสริมขึ้นว่า “อืม พวกเจ้าบ่มเพาะขัดเกลาตนเองตามสบาย พยายามเป็นหงส์ให้ได้ในเร็ววันเถิด!”

 

หลังมื้ออาหารที่จวนอ๋องจบลง บนรถม้าขากลับซูลั่วอวิ๋นเอ่ยถามสามีที่นิ่งเงียบไม่พูดจาอยู่ตลอด “น้องชายท่านเล่าเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาใดหรือเจ้าคะ”

หานหลินเฟิงบอกแล้วถามต่อ “มีอะไรหรือ”

ซูลั่วอวิ๋นคลี่ยิ้มไม่ตอบ ยังจะมีอะไรได้ ย่อมต้องจดจำชื่อสำนักศึกษานี้ไว้ให้แม่นยำ วันหน้าจะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้บุตรชายบุตรสาวถลำตัวเข้าไปติดกับ!

คุณชายน้อยในวัยสดใสร่าเริงกลับถูกเลี้ยงดูมาเหมือนนกยูงรำแพนหาง ถ้าเขาเป็นบุตรชายของนาง นางจะต้องดึงหูอบรมสั่งสอนให้เข็ดหลาบสักยกในตอนนั้นให้จงได้

แม้นางจะเห็นแก่หน้าเขา ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่หานหลินเฟิงไม่ได้โง่งม เป็นธรรมดาที่จะเข้าใจคำพูดครึ่งๆ กลางๆ ของนาง เขาเพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ในเรื่องอบรมสั่งสอนน้องชาย ข้าสู้เจ้ามิได้”

ซูกุยเยี่ยนน้องชายที่ซูลั่วอวิ๋นอบรมบ่มเพาะเองนั้นเป็นถึงราชบัณฑิตหนุ่มน้อยผู้เพียบพร้อมทั้งวิชาความรู้และความประพฤติ เทียบกับน้องชายผู้สูงส่งของเขาผู้นั้นแล้วเหนือกว่าหลายเท่านัก

นางได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ก็เอ่ยยิ้มๆ “เอาเถิด จะเปรียบเทียบกันไปเพื่ออันใด ไม่ไปซุกซนเกเรข้างนอกก็เป็นน้องชายที่ดีทั้งนั้น ตอนนี้ฉิวเจิ้นเริ่มเป็นต่อมากขึ้นทุกวัน ราชบุตรเขยจ้าวมาถึงแล้วจะพลิกสถานการณ์กลับมาได้หรือไม่เจ้าคะ”

หานหลินเฟิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้นในที่สุด “ฉิวเจิ้นเป็นคนที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ หากปล่อยให้เขาครองความเป็นใหญ่ไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดความระส่ำระสายไปทั้งแผ่นดิน เพียงแต่ชายแดนแห่งนี้สุนัขป่าที่กินเนื้อสัตว์ไม่ได้มีเขาผู้เดียว อีกไม่นานอากาศจะอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง ทันทีที่บุปผาผลิบาน มีน้ำและหญ้าอุดมสมบูรณ์สำหรับวัวแพะ ชาวเถี่ยฝูก็จะอยู่ไม่สุข เฉาเซิ่งลำบากเหนื่อยยากมานานหลายปีกว่าจะลืมตาอ้าปากได้บ้าง แต่กลับถูกฉิวเจิ้นคว้าไป เกรงว่าถ้าแคว้นต้าเว่ยเกิดศึกสงคราม ชาวเถี่ยฝูจะต้องหาโอกาสฉกฉวยประโยชน์เป็นแน่”

ซูลั่วอวิ๋นพยักหน้า “อีกนัยหนึ่งคือราชบุตรเขยจ้าวต้องชนะเท่านั้น จะพ่ายแพ้ไม่ได้ มิฉะนั้นจะไม่เหลือทางถอยแล้ว…”

หานหลินเฟิงไม่กล่าววาจา หลับตาลงจมอยู่ในภวังค์ หลายวันมานี้ค่ายเสบียงของเขารับคนหนุ่มเข้ามาเป็นพลทหารไม่น้อย

ฮ่องเต้มีความหวาดระแวงต่อเหลียงโจว ดังนั้นถึงจวนเป่ยเจิ้นอ๋องจะมีเรือกสวนไร่นาพระราชทานอยู่ แต่ไม่สามารถเลี้ยงดูกองทัพได้

ทันทีที่ไฟสงครามลุกลามมาถึงเหลียงโจว หากบิดาไม่อาจพาคนในตระกูลหนีไปได้ทันเวลา คงได้แต่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองกระโดดลงมาพลีชีพเพื่อแว่นแคว้นแล้ว

ถึงอย่างไรเรื่องที่เซิ่งเต๋อไท่หวงตกอยู่ในมือข้าศึกก็เป็นความอัปยศของแผ่นดิน ถ้าบุตรหลานชนรุ่นหลังยังซ้ำรอยเดิมอีกคงไม่อาจสู้หน้าบรรพชนในปรโลกได้

แต่หานหลินเฟิงสามารถใช้ประโยชน์จากตำแหน่งของตนเองชุบเลี้ยงกำลังคนได้อย่างถูกต้องชอบธรรม เมื่อสงครามดำเนินไปในทิศทางที่คาดเดาไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดเขาต้องคุ้มครองสตรีเรือนในกับญาติพี่น้องทั้งจวนอ๋องของตนเองให้ปลอดภัย

เขาคิดคำนึงถึงตรงนี้แล้วก็จับมือนุ่มนิ่มของซูลั่วอวิ๋นไว้พลางถามเสียงเบา “หากแนวหน้าคับขัน ไม่แน่ว่าข้าก็ต้องนำทัพเข้าสู่สนามรบด้วย ถึงตอนนั้นเหลือเจ้าอยู่เพียงคนเดียว เจ้าหวาดกลัวหรือไม่”

อันที่จริงความคิดของมารดาเขาก็ไม่ไร้เหตุผลเสียทีเดียว แค่ว่าตอนนั้นซูลั่วอวิ๋นน่าจะอ่านความคิดของบิดาเขาออก ถึงยืนอยู่ข้างเดียวกับบิดาเขา

กระนั้นนางเป็นคนระวังรอบคอบเสมอ ถ้านางไม่เต็มใจอยู่ท่ามกลางอันตราย เขาสามารถส่งนางไปอยู่กับซูกุยเยี่ยนก่อนได้

ซูลั่วอวิ๋นเงยหน้ามองเงาร่างพร่าเลือนที่เห็นดวงหน้าไม่ชัดเจนเบื้องหน้า พูดเสียงเบาทว่าหนักแน่น “ท่านอยู่ที่ใดข้าก็อยู่ที่นั่น มีท่าน…ข้าก็ไม่หวาดกลัวอะไรทั้งสิ้น!”

หากเป็นในยามปกติได้ยินถ้อยคำนี้หานหลินเฟิงคงยิ้มอย่างเบิกบาน กอดนางไว้และจุมพิตซ้ำๆ นานแล้ว แต่วันนี้เขาเพียงมองนางเงียบๆ ด้วยสีหน้าสับสน จากนั้นก็ยื่นมือดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน…

หานหลินเฟิงออกแรงมากเกินไปบ้าง ทั้งคล้ายมีอารมณ์ความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกผสมปนเปอยู่ด้วย เขารัดร่างนางไว้แน่นจนแทบหายใจไม่ออก

ครั้นคิดถึงสภาพการณ์ตอนนี้ ซูลั่วอวิ๋นกลับเข้าใจเหตุผลของเขาผิดไปจากเดิม

ช่วงเวลาที่ผ่านมาหานหลินเฟิงนอนไม่ค่อยหลับ มีหลายครั้งที่ซูลั่วอวิ๋นตื่นขึ้นมาในเวลากลางคืนแล้วพบว่าเขาไม่ได้นอนอยู่บนเตียง ตอนหลังถามไถ่สาวใช้ถึงรู้ว่าเขาออกไปฝึกวิชาหมัดมวยในป่านอกลานเรือนตอนกลางดึก บางครั้งเช้ามืดถึงกลับมา

เขาเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์เลือดลมพลุ่งพล่าน ทั้งยังมิใช่ผู้ถือสันโดษไร้กิเลสตัณหา เรื่องร่วมหอของคนทั้งคู่ก็ไม่ถือว่าน้อยมาแต่ไหนแต่ไร ขอแค่ไม่แยกกันก็แทบจะทุกคืนไม่เคยขาด

ตอนนี้เขากลับเรือนมาเกือบทุกวัน แต่นางกลับจำไม่ได้ว่าเขากับนางไม่ได้เริงรักกันมากี่วันแล้ว

แต่นางหาได้รู้ไม่ว่าชั่วขณะนี้หานหลินเฟิงกำลังเพ่งมองใบหน้านางด้วยท่าทางอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูด

นางไม่รู้ว่าเขาค้นพบความลับใต้หมอนของนางมานานแล้ว

พักนี้เขานอนหลับไม่สนิทเพราะสถานการณ์แนวหน้าพลิกผันเกินคาดเดา มีหลายครั้งหลายหนถึงขั้นข่มตานอนไม่หลับยันฟ้าสว่าง

ปรากฏว่าตอนห่มผ้าให้ซูลั่วอวิ๋น เขาเห็นถุงผ้าปักใส่สมุนไพรเครื่องหอมที่นางวางบนหน้าท้องโดยไม่ตั้งใจ

แม้ว่าเริ่มแรกจะไม่เข้าใจเรื่องนี้ แต่เขาลองไปถามหมอที่มีประสบการณ์สูงก็กระจ่างแจ้งทุกอย่าง

หลังจากมั่นใจว่าถุงผ้าปักใบนี้ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายสตรีมากเกินไป เขาก็ขยำมันสุดแรงก่อนนำกลับไปวางไว้ที่ใต้หมอนของนางตามเดิมเงียบๆ

แต่ตอนกลับถึงค่ายทหารเขาเอาแต่ดื่มสุราคนเดียวจนเมามาย กระทั่งชิ่งหยางองครักษ์ประจำตัวยังตกใจ เพราะว่าไม่เคยเห็นเจ้านายควบคุมตนเองไม่ได้เช่นนี้มาก่อน

หลังหานหลินเฟิงเมามายครั้งหนึ่งก็คิดตก มิใช่ว่าเขาโกรธเคืองนาง แต่รู้สึกว่าตนเองไม่ได้ความเกินไป ไม่อาจทำให้สตรีที่เป็นภรรยามีบุตรให้ตนเองอย่างสบายใจได้

เขาเชี่ยวชาญในการคาดเดาจิตใจคนเพียงใดกัน ย่อมเข้าใจถึงความวิตกกังวลของซูลั่วอวิ๋นเป็นธรรมดา

วิหคกลางเขายังต้องสร้างรังอย่างมั่นคงถึงจะฟักไข่ได้อย่างอุ่นใจ ส่วนเขายังสู้วิหคที่อิสรเสรีพวกนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ!

ต่อให้ชายแดนไม่มีสงคราม บุตรที่เกิดมาของทั้งคู่ก็ต้องเดินไปตามเส้นทางของคนไร้ความสามารถไม่ได้เรื่องได้ราวเช่นเดียวกับเขา

ซูลั่วอวิ๋นอบรมบ่มเพาะน้องชายออกมาได้ดีปานนั้น มีหรือจะทนเห็นบุตรของตนเองไม่เอาการเอางาน ต้องเลี้ยงดูให้เติบใหญ่เป็นคนไม่ได้ความได้

ด้วยเหตุนี้ถึงเขาจะพบถุงผ้าปักป้องกันการตั้งครรภ์ใบนั้น หลังจากต่อสู้ดิ้นรนทุรนทุรายอยู่ภายในใจยกหนึ่ง เขาก็เลือกที่จะมองข้ามมันไป

เพราะว่าในชั่วเวลานี้เขาไม่ควรที่จะมีบุตร!

หานหลินเฟิงถึงขั้นไม่ได้เอาถุงผ้าปักใบนั้นไปซักถามซูลั่วอวิ๋น เขาก็เป็นบุรุษที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตนเองเช่นกัน ในเมื่อเขาทำให้ซูลั่วอวิ๋นมีทายาทสืบสกุลให้เขาอย่างสบายใจไม่ได้ เขาจะมีสิทธิ์อันใดไปถามนาง

ทางด้านซูลั่วอวิ๋นย่อมรับรู้ได้เช่นกันว่าสองสามวันนี้หานหลินเฟิงเงียบขรึมผิดปกติ แต่นางนึกว่าเขาพะวักพะวนกับสถานการณ์ชายแดนที่เลวร้ายลง ถึงได้จิตใจไม่สงบ

ถ้าเหลียงโจวตกอยู่ในวงล้อมศัตรู ด้วยนิสัยใจคอของเขาคงไม่นิ่งเฉยดูดายพาแต่คนในครอบครัวหนีไปให้ไกลอย่างเด็ดขาด

สมัยเป็นเด็กหนุ่มเขาเคยปิดบังชื่อสกุลนำพาเหล่าองครักษ์สังหารข้าศึกอย่างคึกคะนองห้าวหาญในแดนเหนือ ชื่อเสียงอันเกรียงไกรของกองทัพหน้ากากเหล็กยังคงอยู่ตราบจนทุกวันนี้

ภายใต้เปลือกนอกคุณชายเสเพล ในกายเขามีสายเลือดทะนงตนของสกุลหานไหลเวียนอยู่ ล้วนเต็มไปด้วยทิฐิมานะที่ขอสู้รบจนตัวตาย ไม่มีทางยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว

คืนนี้หานหลินเฟิงดูเหมือนจะมีความในใจหนักอึ้ง เขาช่วยนางผลัดเปลี่ยนเสื้อตัวในแล้วก็เหน็บชายผ้าห่มให้อย่างเรียบร้อย

สามวันนี้เขากับนางนอนห่มผ้าคนละผืนตลอด ราวกับย้อนกลับไปช่วงเมื่อแรกแต่งงานตอนที่ทั้งคู่ยังสำรวมระวังตัวกันอยู่

เมื่อซูลั่วอวิ๋นเอ่ยถาม เขาก็ตอบว่า “หลายวันนี้ข้าร้อนรุ่มใจ ตกดึกมักถีบผ้าห่มบ่อยๆ เจ้าห่มผ้าคนละผืนกับข้าจะได้ไม่ถูกความเย็น”

ถ้อยคำนี้สมเหตุสมผลไร้ที่ติ ทว่าคนสองคนนอนกอดก่ายแนบชิดกันจนเคยชินแล้วต้องนอนห่มผ้ากันคนละผืนกะทันหันเป็นความรู้สึกที่กระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ

ซูลั่วอวิ๋นข่มใจแล้วข่มใจอีก ในที่สุดนางก็รับรู้ได้ว่าเขาผิดปกติ ไม่รู้ว่าเขาตั้งแง่อะไรกับนางอยู่ นางปัดผ้าห่มออกอย่างอดรนทนไม่ไหว พูดกับเขาอย่างกะบึงกะบอน

“ตกดึกท่านล้วนไม่หลับไม่นอนแล้วจะถีบผ้าห่มได้อย่างไร ถ้ารังเกียจข้านัก ข้าไปนอนห้องอื่นก็ได้!” ว่าแล้วก็ดึงผ้าห่มคลำทางลงจากเตียง

เรือนผมยาวของนางแผ่สยาย คอเสื้อตัวในแบะออกหลวมๆ สองแก้มแดงปลั่งเพราะโกรธเคืองในใจ เอวเล็กคอดกิ่วนั่นยังบิดไปบิดมาเพราะดึงผ้าห่มมาไม่ได้…

ในสายตาของบุรุษที่ถือศีลละกิเลสประหนึ่งเป็นนักบวชมาหลายวันแล้ว นี่แสนจะยั่วยวนใจโดยแท้…

หานหลินเฟิงพลันรู้สึกว่าที่เขาทำปั้นปึ่งเย็นชามาหลายวันนี้ช่างไร้ความหมาย นางปีศาจน้อยไม่เพียงไม่คิดจะมีบุตรให้เขา ทว่ายังไม่ยอมให้เขานอนกอดอีก!

นี่จะต่างอันใดกับการที่เขาถูกหย่ากันเล่า

เขาคิดถึงตรงนี้แล้วก็จับร่างซูลั่วอวิ๋นที่กำลังดึงผ้าห่มนอนลงบนเตียงทันใด

ทั้งที่ตนเองเป็นฝ่ายผิด แต่นางปีศาจน้อยยังทำแง่งอน หลบจุมพิตของเขาเป็นพัลวันพลางพูดโวยวาย “อย่ามาใกล้ข้า ระวังไฟในใจท่านจะลามมาติดข้าด้วย!”

หานหลินเฟิงทั้งฉิวและขันเพราะนาง “เช่นนั้นเจ้าอดทนสักหน่อย ในใจข้ามีไฟสะสมอยู่มากเกินไป ต้องระบายออกมาให้ดีๆ…”

พอเป็นเช่นนี้ อารมณ์ขุ่นข้องที่เก็บอยู่ในใจก็ระเบิดออกมา เปลวไฟลุกท่วมเตียงเผาทุกสิ่งวอดวาย…

คืนนี้หลังคนทั้งสองบรรเลงเพลงรักจบลง หานหลินเฟิงซึ่งโรมรันมาหลายยกก็รู้สึกถึงความง่วงงุนที่ห่างหายไปนานในที่สุด เขากอดซูลั่วอวิ๋นที่เหงื่อยังไม่แห้งเข้าสู่ห้วงนิทราลึก

เมื่อได้ยินเสียงคนที่นอนอยู่ด้านข้างหลับสนิทไปแล้ว ซูลั่วอวิ๋นก็ปรับลมหายใจให้เป็นปกติ ล้วงมือเข้าไปใต้หมอนเหมือนที่ผ่านมา

ตอนนางจับถุงผ้าปักใบนั้นพลันนึกถึงตอนที่หานหลินเฟิงกอดนางไว้สุดแรงโดยไม่พูดจาบนรถม้าเมื่อยามกลางวัน

หากเขาต้องไปแนวหน้าจริงๆ แต่กลับไม่มีทายาทของตนเอง แล้วถ้าเกิดเขาไม่กลับมาอีก ต่อให้นางกลับมามองเห็นได้ดังเดิมแล้วจะมีประโยชน์อันใด ท้ายที่สุดนางคงไม่ได้เห็นใบหน้าของบุรุษผู้นี้อีกชั่วชีวิต

เมื่อนางคิดเช่นนี้แล้วก็เกือบถอนสะอื้นน้ำตาไหลรินออกมา

เรื่องน่าเศร้าสลดใจเพียงนี้ แม้แต่จะคิดก็ทำไม่ได้ มิฉะนั้นความเจ็บปวดรวดร้าวก็จะเป็นดั่งกระแสน้ำเชี่ยวที่ไหลบ่ามาท่วมทับจนมิดศีรษะ

มือของซูลั่วอวิ๋นล้วงเข้าไปใต้หมอนเป็นนาน สุดท้ายนางก็ดึงมือออกมาช้าๆ ใช้สองมือที่ว่างเปล่าคลำไปที่หน้าท้องของตนเอง

นางตกลงปลงใจแล้วว่านับแต่วันนี้เป็นต้นไปทุกอย่างขึ้นอยู่กับสวรรค์ลิขิต

ลูกแม่…ถ้าเจ้ามาเกิดได้ โปรดอภัยที่แม่เห็นแก่ตัว เพราะตอนนี้หาใช่ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การตั้งครรภ์ แต่เจ้าจะเป็นบุตรที่บิดามารดาตั้งตารอคอยอย่างใจจดใจจ่อแน่นอน แม่จะพยายามอย่างสุดความสามารถให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างปลอดภัยมั่นคง…

ซูลั่วอวิ๋นเห็นว่าตนเองไม่ควรตัดสินใจฝ่ายเดียวจนทำให้บุรุษร่วมเรียงเคียงหมอนต้องไร้ผู้สืบสกุล

ในเมื่อเขาไม่ยอมรับอนุก็ไม่มีทางจะมีบุตรกับคนอื่นอีกเป็นแน่

นางตกลงปลงใจปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ แล้วแต่ฟ้าลิขิตเถิด…

เช้าวันถัดมาตอนตื่นนอนซูลั่วอวิ๋นฉวยจังหวะที่หานหลินเฟิงกลับค่ายเอาถุงผ้าปักใบนั้นเก็บลงในหีบอาภรณ์ของตนเอง ขณะเดียวกันยังตะโกนบอกเถียนมามา

“เถียนมามา ทำน้ำแกงกระเพาะหมูตุ๋นเม็ดบัวให้ข้าที”

เมื่อตกลงปลงใจไม่ป้องกันการตั้งครรภ์แล้ว นางย่อมต้องบำรุงร่างกายให้ดีๆ แล้วก็ต้องดื่มน้ำหวานขับไล่ไอเย็นบ้าง

อันที่จริงหลังจากเมื่อคืนตัดสินใจเช่นนี้แล้วนางก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจอย่างยิ่ง!

บุตรของนางในวันหน้าจะมีประพิมพ์ประพายคล้ายบิดามากกว่าหรือไม่

บทที่ 83.2

อีกด้านหนึ่งจ้าวต้งมาถึงเร็วกว่าที่ทุกคนคาดเอาไว้

เมืองจยาหย่งแตกสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั้งราชสำนัก

องค์ชายเก้าใช้จุดนี้เป็นเหตุผล ก้าวออกมาฟ้องร้องสกุลหวังแห่งฉางซีอย่างออกนอกหน้า ในขณะเดียวกันเขายังรวบรวมหลักฐานการกระทำความผิดของหวังอวิ๋นที่ไม่กระตือรือร้นในการเตรียมการรบ และมีกระทั่งข้อกล่าวหาว่าอีกฝ่ายซุกซ่อนเสบียงของกองทัพบางส่วนไว้ที่อื่น ตั้งใจจะเอาไปขายหาเงินทองเข้าตัว

ถึงแม้ฮ่องเต้จะไม่โปรดปรานฮองเฮา แต่ก็จำต้องพึ่งพาตระกูลใหญ่เหล่านี้อย่างไม่มีทางเลือก ดังนั้นไม่ว่าสกุลหวังก็ดี สกุลฟางก็ดี ล้วนต้องใช้ทั้งพระเดชพระคุณอย่างมีชั้นเชิง

กระนั้นไม่มีโอกาสใดจะดีไปกว่าฉวยโอกาสลดทอนอำนาจทางทหารส่วนหนึ่งของสกุลหวังเสียตั้งแต่ตอนนี้

แล้วคนที่รับหน้าที่นี้ได้ก็มีแค่จ้าวต้งเพียงผู้เดียว

เขามีความดีความชอบในการรบที่โดดเด่น เป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง แม้จะเป็นราชบุตรเขย แต่มีเทือกเถาเหล่ากอเป็นสามัญชน ไม่ใช่บุตรหลานตระกูลสูงศักดิ์ การเลือกใช้เขาจะยิ่งแสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้ปฏิบัติต่อตระกูลขุนนางอย่างเท่าเทียม

ทว่าพอองค์หญิงอวี๋หยางได้ยินว่าฮ่องเต้จะส่งสามีของตนไปสะสางปัญหายุ่งยากของเมืองจยาหย่ง นิสัยบ้าคลั่งดีเดือดในอดีตก็กำเริบทันควัน

นางบุกเข้าวังหลวง ซักไซ้ไล่เลียงฮ่องเต้ที่เสวยพระกระยาหารอยู่เสียงดังลั่นว่าส่งสามีกับบุตรชายของนางไปแนวหน้ามีความหมายใด

หากอยากให้นางเป็นม่าย นางก็จะนำโลงศพสามใบติดตัวเดินทางไปพร้อมกับสามีและบุตรชายเป็นอันสิ้นเรื่อง! ดีชั่วพ่อแม่ลูกสามคนจะได้ตายพร้อมกันที่ชายแดน ช่วยขลิบทองเปื้อนคาวเลือดบนป้ายเกียรติยศของสกุลหาน

ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ฮ่องเต้คงต้องล้มโต๊ะสั่งตัดศีรษะทันที เผอิญว่าคนที่มาเป็นบุตรสาวที่ไม่กลัวฟ้ากลัวดินผู้นี้ ถึงเขาจะถลึงตากว้างเพียงใดก็กำราบนางไม่อยู่

ครั้นฮ่องเต้โกรธจัดจนอยากจะใช้ดาบสังหารมังกร แต่จะก่อเรื่องอื้อฉาวในราชวงศ์ด้วยการสังหารบุตรสาวก็ไม่เป็นการดี หรือว่าจะสั่งประหารภรรยาของแม่ทัพที่ไปรับตำแหน่งใหม่ก็ยิ่งไม่เหมาะ

หลังองค์หญิงอวี๋หยางขว้างปาจานไปสามใบในตำหนัก นางก็จะเอาชีวิตเข้าแลก ร้องไห้ตัดพ้อว่าบิดาไม่รักนางแล้ว ดึงปิ่นปักผมออกปล่อยผมสยายรุงรังตั้งท่าจะวิ่งเอาศีรษะพุ่งชนเสา

เคราะห์ดีที่นางกำนัลขันทีรอบด้านขยับกายอย่างว่องไวเหลือเชื่อ ขัดขวางองค์หญิงอวี๋หยางไว้ได้ทันการณ์

ฮ่องเต้โมโหจนหนวดกระดิก สั่งให้คนไปตามฮองเฮามาดูบุตรสาวที่คลุ้มคลั่งของนางให้เต็มตา

ในกาลก่อนเวลาองค์หญิงอวี๋หยางคลุ้มคลั่งล้วนได้ฮ่องเต้กับฮองเฮาร่วมมือกัน คนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ เป็นบิดาใจดีมารดาเข้มงวด ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งถึงสยบองค์หญิงอวี๋หยางลงได้

แต่คราวนี้ฮองเฮาไม่มา เพียงส่งคนมาบอกความว่าหมู่นี้สุขภาพไม่ดี เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะ ลุกจากเตียงก็วิงเวียนตาลาย

นางรู้ตัวว่าอบรมสั่งสอนบุตรสาวไม่ดีจึงละอายแก่ใจ ขอให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยลงโทษบุตรสาวอกตัญญูอย่างเข้มงวดได้ตามใจชอบ

เนื่องจากเมื่อครู่ฮ่องเต้เพิ่งฉีกหน้าสกุลหวังแห่งฉางซีกลางท้องพระโรงด้วยการลงทัณฑ์หวังอวิ๋นสถานหนัก

ฮองเฮารู้สึกเสียหน้าจึง ‘ล้มป่วย’ กะทันหัน แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่ใช่ธุระของนาง ให้ฮ่องเต้สะสางปัญหายุ่งยากเองคนเดียว

เผอิญว่าฮ่องเต้เว่ยฮุ่ยได้ชื่อว่าเป็นบิดาใจดี โดยเฉพาะกับบุตรสาว ไม่เคยพูดจาทำร้ายจิตใจสักคำตั้งแต่เล็กจนโต ตอนนี้จำเป็นต้องอบรมสั่งสอนบุตรสาวตามลำพัง จึงรู้สึกกดดันไม่น้อยไปกว่ากำราบพวกขุนนางเขี้ยวลากดิน

สุดท้ายคนที่จัดการปัญหายุ่งยากนี้ให้ยังคงเป็นราชบุตรเขยของเขาเช่นเคย

เมื่อจ้าวต้งล่วงรู้ว่าองค์หญิงอวี๋หยางเข้าวังเพื่อไปขัดขวางหน้าที่การงานของตน เขาก็เข้าวังมาด้วยใบหน้าบึ้งตึงตลอดทาง ถลึงตามองภรรยาที่ผมเผ้าหลุดลุ่ย ถามคำเดียวว่าในเมื่อนางไม่กลัวเป็นม่ายสามีตาย แล้วกลัวเป็นม่ายสามีหย่าหรือไม่

องค์หญิงอวี๋หยางเบิกตากว้าง กล่าวว่า “ทะ…ท่านกล้าหย่ากับข้าหรือ”

จ้าวต้งประสานมือคารวะฮ่องเต้ “ฝ่าบาท หากนางยังก่อกวนอีก กระหม่อมก็จะหย่ากับนาง พระองค์จะเห็นพระทัยที่กระหม่อมหย่าภรรยาเพื่อแผ่นดินหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้มองดูราชบุตรเขยคิ้วหนาตาคมผู้นี้แล้วก็รู้สึกปลื้มปีติอย่างยิ่ง เห็นว่าในบรรดาราชบุตรเขยทั้งหกคนของเขา คนนี้นี่เองที่มีความเป็นบุรุษอกสามศอกมากที่สุด เป็นหน้าเป็นตาให้เหล่าบุรุษของแว่นแคว้นเหลือเกิน!

ด้วยเหตุนี้เขาจึงกล่าวด้วยสีหน้าอบอุ่นเป็นกันเอง “ข้าย่อมเห็นอกเห็นใจเจ้าอยู่แล้ว นี่ถือว่าเป็นวาจาที่จารึกลงในประวัติศาสตร์ได้ทีเดียว…เจ้าวางใจได้ ข้าไม่กล่าวโทษแม่ทัพจ้าวเด็ดขาด มิหนำซ้ำยังจะสั่งให้อาลักษณ์บันทึกไว้ในพงศาวดารของราชวงศ์ให้ชนรุ่นหลังได้ยกย่องสดุดี”

คราวนี้องค์หญิงอวี๋หยางนิ่งงันไป นางรู้จักสามีของตนเองดี เวลาที่เอาจริงขึ้นมาไม่มีอะไรเปลี่ยนใจเขาได้!

นางกลั้นน้ำตาไว้ทันควันแล้วรวบผมขึ้นให้เรียบร้อย เพียงพูดว่าตนเองสงสารสามีเท่านั้น พอได้ร้องไห้ระบายทุกข์กับบิดาคราหนึ่งก็รู้สึกสบายใจขึ้นบ้างแล้ว ไฉนเลยจะนับเป็นเหตุผลให้หย่าภรรยาได้

จ้าวต้งคว้ามือขององค์หญิงอวี๋หยางแล้วพาออกจากวังไปโดยไม่รอช้า

 

จ้าวต้งรู้นิสัยใจคอขององค์หญิงอวี๋หยางเป็นอย่างดี เกรงว่านางจะสร้างปัญหาขึ้นมาอีก เขาไม่รอให้ระดมพลกองทัพใหญ่เสร็จสิ้นก็นำองครักษ์ประจำตัวออกเดินทางแต่เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น มุ่งหน้าสู่ฮุ่ยโจวไปรับตำแหน่งแทนที่หวังอวิ๋น

จ้าวกุยเป่ยรู้ว่าบิดามาถึงก่อนล่วงหน้าก็ดีใจมาก ออกจากค่ายเชียนเป่ยไปเยี่ยมเยียนบิดาที่ฮุ่ยโจว

ส่วนหานหลินเฟิงในฐานะหัวหน้าคุมเสบียงค่ายเชียนซีก็ต้องไปพบผู้บังคับบัญชาคนใหม่เช่นกัน เขาจึงเดินทางไปยังฮุ่ยโจวพร้อมกับจ้าวกุยเป่ย

ก่อนหานหลินเฟิงออกเดินทาง ซูลั่วอวิ๋นก็ออกจากหมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยกลับไปพำนักที่จวนอ๋องชั่วคราว

ถึงอย่างไรหานหลินเฟิงก็ไม่อยู่ด้วย และไม่วางใจให้นางอาศัยในเรือนเล็กตามลำพัง นางจึงกลับไปอยู่ที่จวนอ๋องสองสามวันระหว่างรอเขากลับมา

เพราะใกล้เกิดสงคราม เป็นเหตุให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวน ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องก็คร้านจะสนใจลูกสะใภ้ ต่างคนต่างอยู่ไม่ยุ่งเกี่ยวกันดังเดิม

กระนั้นมิใช่ว่าชายาเป่ยเจิ้นอ๋องเห็นซูลั่วอวิ๋นแล้วไม่ขัดตา แต่เพราะก่อนหน้านี้นางส่งคนไปด่าทออีกฝ่ายที่หมู่บ้านเฟิ่งเหว่ย สุดท้ายกลับกลายเป็นการฉีกหน้าตนเอง ที่แท้ลูกสะใภ้ผู้นี้ไม่ได้ยึดติดกับความโอ่อ่าหรูหรา ทว่าช่วยปิดบังอำพรางการส่งเสบียงของสามีมาโดยตลอด ตอนที่ความจริงเปิดเผยสตรีเรือนในของพวกขุนนางพากันชื่นชมว่านางมีลูกสะใภ้ที่แสนประเสริฐ ถ้าขืนยังซักไซ้ไล่เลียงซูลั่วอวิ๋นอีกจะไม่เป็นที่ประจักษ์ชัดว่านางเป็นฝ่ายไร้เหตุผล ใจจืดใจดำกับลูกสะใภ้หรือไร

วันนั้นเรียกได้ว่านางกับบุตรชายทะเลาะกันค่อนข้างรุนแรง ถึงแม้หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปจะไม่มีใครมาเอาความกับนาง แต่ท่าทีที่หานหลินเฟิงมีต่อมารดาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา ส่วนการส่งรอยยิ้มน้อยๆ ตามมารยาทของลูกสะใภ้ยามพบกันก็ทำให้ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องรู้สึกอัดอั้นตันใจเหลือหลาย แต่จะระบายความคับแค้นในใจออกมาก็ทำไม่ได้อีก

เมื่อเป็นเช่นนี้นางไม่อยากจะเห็นหน้าซูลั่วอวิ๋นอีกด้วยซ้ำ อีกทั้งหานหลินเฟิงก็ไม่ใช่สายเลือดของนาง แทนที่จะเสียเวลาไปหาเรื่องซูลั่วอวิ๋น มิสู้มองหาคู่ครองที่เหมาะสมให้หานเซียวบุตรชายของนางโดยเร็วจะดีกว่า

โชคดีที่มารดาสามีกับลูกสะใภ้คู่นี้ต่างฝ่ายต่างยุ่งอยู่กับเรื่องของตนเองประหนึ่งน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง ทำให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ

ขณะนี้ชุมนุมแต่งบทกลอนวาดภาพของหานเซียวก็ตั้งขึ้นแล้ว ในสวนบุปผามีงานพบปะสังสรรค์ของพวกคุณชายคุณหนูสูงศักดิ์อย่างครึกครื้นอยู่บ่อยครั้ง

ซูลั่วอวิ๋นรู้ตัวว่าตนเองเป็นสามัญชน ย่อมต้องไม่ไปร่วมวงด้วยแน่นอน

แต่น้องชายสามีจัดงานรื่นเริงเสพความสุนทรีย์ได้ไม่กี่ครั้งก็ถูกท่านอ๋องสั่งห้าม

ยกถ้อยคำของท่านอ๋องมากล่าวก็คือบ้านเมืองในยามนี้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร บุรุษในวัยเหมาะสมตามเมืองต่างๆ โดยรอบล้วนถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารหมดแล้ว

ว่ากันตามอายุของหานเซียว เขาก็สมควรเข้าสู่กองทัพเช่นกัน ตอนนี้เขาเพียงอาศัยฐานะบุตรหลานเชื้อพระวงศ์ได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร เป็นธรรมดาที่จะต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยมบ้าง

ทว่าเขายังชักชวนมิตรสหายมาก่อตั้งชุมนุมแต่งบทกลอนวาดภาพ หากเล่าลือออกไปจะไม่สร้างความโกรธแค้นให้ราษฎรหรือ

หลังถูกท่านอ๋องดุด่า ชุมนุมแต่งบทกลอนวาดภาพที่ดึงดูดเหล่าหงส์ให้มาอยู่รวมกันเป็นอันต้องเลิกราไปด้วยประการฉะนี้

แต่สวนบุปผาของจวนอ๋องกลับมิได้ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้ เพราะการมาถึงของจ้าวต้งหลังจากนั้นทำให้ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องต้องยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับแม่ทัพใหญ่นายใหม่อีก

ในอดีตจ้าวต้งเคยมาประจำการที่เหลียงโจว นอกจากเคยเห็นหานหลินเฟิงสมัยเป็นเด็กหนุ่ม ยังเคยพบกับท่านอ๋องและชายาเป่ยเจิ้นอ๋องด้วย แค่ว่าตอนนั้นเขายังไม่ใช่ราชบุตรเขย ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องถึงไม่ใคร่ให้ความสำคัญกับทหารชั้นผู้น้อยนายหนึ่ง

บัดนี้จ้าวต้งไม่เพียงเป็นราชบุตรเขย ทว่ายังเป็นแม่ทัพใหญ่ที่ดูแลความปลอดภัยของเหลียงโจว ทำให้ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องต้องตั้งอกตั้งใจเตรียมการต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติจากเมืองหลวงเป็นพิเศษอีกคราหนึ่ง

ส่วนบุปผาหยกขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือที่ไม่ได้มอบให้หวังอวิ๋นกับภรรยา ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องสั่งให้คนหยิบออกมาเตรียมมอบให้จ้าวต้งเป็นของขวัญแรกพบในคราวนี้

ครั้นหานหลินเฟิงไปต้อนรับจ้าวต้งที่ฮุ่ยโจวและติดตามเขามาถึงหน้าประตูจวนอ๋องที่เหลียงโจวด้วยกัน ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องถึงพบว่ายังมีสตรีลงมาจากรถม้าด้วย

ถึงตอนนั้นจ้าวต้งจะจากมาโดยไม่บอกไม่กล่าว องค์หญิงอวี๋หยางก็ไล่ตามมาตลอดทางแล้วเดินทางมาที่เหลียงโจวพร้อมกับเขา

ตามคำกล่าวขององค์หญิงอวี๋หยางคือ ‘ในราชสำนักแคว้นต้าเว่ยมีขุนนางพาภรรยามาสนามรบด้วยกันอยู่ถมเถไป ข้าหาใช่คนแรกไม่! ถึงไม่อาจอยู่เคียงข้างกันที่แนวหน้าได้ตลอดเวลา แต่ได้อยู่ใกล้ๆ เขาข้าก็อุ่นใจแล้ว’

องค์หญิงอวี๋หยางมาถึงอย่างกะทันหัน ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องจึงไม่ทันได้เตรียมการใหญ่โตอย่างสมเกียรติ เป็นเหตุให้นางตื่นตระหนกยกใหญ่ กุลีกุจอสั่งพวกบ่าวไพร่สาวใช้ให้นำถ้วยชาลายบุปผาสีชาดกลางทิวทัศน์ธรรมชาติที่ไม่ได้ใช้บ่อยชุดนั้นออกมารับรององค์หญิง

องค์หญิงอวี๋หยางไม่ได้พบสหายเก่ามานาน นางไต่ถามทุกข์สุขกับชายาเป่ยเจิ้นอ๋องตามมารยาทสองสามคำแล้วก็หันไปจับมือซูลั่วอวิ๋นมองสำรวจขึ้นๆ ลงๆ คราหนึ่งอย่างสนิทสนม

“ไม่ได้พบเจ้านานแล้ว รู้สึกคิดถึงยิ่งนัก…สายลมหนาวเหน็บทารุณของเหลียงโจวกลับไม่ทำให้ผิวพรรณของเจ้าแห้งกร้าน มิหนำซ้ำยังผ่องใสเปล่งปลั่งกว่าแต่ก่อน…”

ซูลั่วอวิ๋นย่อมอมยิ้มพูดโต้ตอบกับองค์หญิง ทำให้ประมุขหญิงของจวนอ๋องตัวจริงอย่างชายาเป่ยเจิ้นอ๋องตีหน้าเก้อไปชั่วขณะ

นางเคยได้ยินบุตรสาวบอกว่าซูลั่วอวิ๋นเป็นที่ต้อนรับของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงอย่างมาก

ตอนแรกชายาเป่ยเจิ้นอ๋องยังไม่เชื่อ ตอนนี้นางได้เห็นแล้ว องค์หญิงอวี๋หยางที่เย่อหยิ่งถือตัวจนเป็นที่เล่าลือมาแต่ไหนแต่ไรมีไมตรีกับซูลั่วอวิ๋นไม่เลวจริงๆ นางคิดจะพูดแทรกก็หาจังหวะไม่ได้สักนิด

ทว่าพูดคุยสัพเพเหระกันไปครู่หนึ่ง องค์หญิงอวี๋หยางก็พูดติเรื่องเครื่องแต่งกายของซูลั่วอวิ๋นเล็กน้อย “ไฉนเจ้าถึงแก้อาภรณ์เป็นแขนสอบเช่นนี้เล่า ประเดี๋ยวข้าจะเอาผ้าจากเมืองหลวงให้เจ้า เจ้าตัดชุดใหม่อีกสองสามชุด จริงด้วย อย่าใช้ช่างตัดเย็บอาภรณ์ที่นี่ ใช้คนที่ข้าพามาเถิด มิฉะนั้นแพรพรรณดีเพียงใดก็ตัดออกมาล้าสมัยหมด”

คำพูดโดยไม่ตั้งใจขององค์หญิงอวี๋หยางทำให้ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องมีสีหน้าจืดเจื่อนอีกครั้ง เพราะว่าชุดที่ลูกสะใภ้สวมใส่วันนี้นางเป็นคนเอาไปให้ช่างตัดเย็บอาภรณ์แก้แบบเอง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: