บทที่ 84.1
ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องมองชุดรัดเอวแขนหลวมทำจากผ้าพลิ้วกรุยกรายลายปักซูซิ่ว บนร่างองค์หญิงอวี๋หยางอีกครา ดูคล้ายกับแบบที่ซูลั่วอวิ๋นสวมใส่ก่อนหน้านี้
จังหวะนี้เองหานเหยาก็ส่งสายตาให้มารดาราวกับบอกว่า ‘ข้าบอกแล้ว!’
ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องแสร้งมองไม่เห็น แม้บนใบหน้านางจะประดับรอยยิ้ม แต่ในใจเริ่มโกรธกรุ่น ครั้นจะระบายอารมณ์กับองค์หญิงอวี๋หยางก็ทำไม่ได้ เป็นเหตุให้นางคับอกคับใจอย่างมาก
ดีที่ซูลั่วอวิ๋นยังนับว่าเห็นแก่หน้ามารดาสามี ไม่ได้บอกว่าอีกฝ่ายเป็นคนจัดแจงแก้ชุดให้เป็นการประจานความล้าสมัยของชายาเป่ยเจิ้นอ๋องต่อหน้าทุกคน นางเพียงพูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“ที่นี่เทียบกับเมืองหลวงที่มีงานเลี้ยงน้อยใหญ่ต้องสวมอาภรณ์หรูหรางามตาบ่อยครั้งไม่ได้เพคะ ดูแลเพียงงานบ้านงานเรือน สวมชุดแขนสอบก็คล่องตัวกว่า”
องค์หญิงอวี๋หยางส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “ข้ามาถึงที่นี่แล้ว จะขาดงานเลี้ยงได้…”
นางพูดประโยคนี้ไปได้ครึ่งเดียว ทันใดนั้นจ้าวต้งก็มองมาด้วยสายตาแฝงนัยบางอย่าง
จ้าวต้งเป็นคนตาใหญ่ แค่เบิกตานิดเดียวก็โตเท่าไข่ห่านแล้ว องค์หญิงอวี๋หยางหยุดพูดทันควันตามความเคยชิน
นางนึกถึงถ้อยคำที่เคยเอ่ยรับรองกับสามีระหว่างทางแล้วก็พูดวกกลับเข้าเรื่องเดิมยิ้มๆ “…แน่นอนว่าบัดนี้เป็นช่วงสงคราม ไม่เหมาะจะจัดงานเลี้ยงใหญ่โต…ไม่รู้ว่าปกติพวกเจ้าทำอะไรคลายเหงากันบ้าง”
หัวข้อสนทนาตรงใจซูลั่วอวิ๋นพอดี นางกล่าวขึ้นว่า “ขณะนี้ใกล้เข้าฤดูใบไม้ผลิ แต่ชุดฤดูใบไม้ผลิของเหล่าทหารแนวหน้ายังทำไม่ครบถ้วน เดิมทีหม่อมฉันคิดอยู่ว่าหากมีใครสักคนเป็นตัวตั้งตัวตีเริ่มทำงานนี้ ระดมสตรีเรือนในจากทุกจวนมาช่วยตัดเย็บชุดให้เหล่าทหารกันคนละไม้คนละมือก็คงจะดี จนใจที่หม่อมฉันไม่มีบารมีพอจึงไม่ได้ลงมือทำ ตอนนี้องค์หญิงเสด็จมาถึงแล้ว จะต้องมีเสียงขานรับล้นหลามเป็นแน่ บรรดาฮูหยินในหลายๆ เมืองโดยรอบจะต้องยกให้องค์หญิงเป็นผู้นำเพคะ”
แต่ไหนแต่ไรมาจวนเป่ยเจิ้นอ๋องวางตัวสงบเสงี่ยมเสมอ จะลงมือทำเรื่องนี้ก็ไม่เป็นการดี แต่ถ้าองค์หญิงอวี๋หยางเป็นหัวเรือใหญ่ จะมีเสียงเล่าลือไปถึงที่ใดก็ไม่ต้องกลัวแล้ว
เหตุผลที่ซูลั่วอวิ๋นเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาก็มีจุดประสงค์ส่วนตัวแอบแฝงอยู่ด้วย
ค่ายทหารอื่นยังพอทำเนา แต่ค่ายเสบียงเชียนซีขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์มากเป็นพิเศษ เนื่องจากหานหลินเฟิงรับทหารใหม่เข้ามาไม่น้อย แต่กลับไม่มีชุดทหาร แต่ละคนจึงยังแต่งกายกันไปตามมีตามเกิดไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย
หานหลินเฟิงขยายกำลังทหารก็เป็นการละเมิดกฎอยู่แต่เดิม หากจวนเป่ยเจิ้นอ๋องมอบเงินทองสนับสนุนอย่างเปิดเผยอีกก็ไม่เหมาะสม
แต่ถ้าเร่งตัดชุดเพิ่มให้พลทหารใหม่พวกนั้นได้มีชุดสวมใส่ ขวัญกำลังใจทหารของค่ายเสบียงน่าจะฮึกเหิมมากขึ้น
องค์หญิงอวี๋หยางได้ยินคำกล่าวนี้ของซูลั่วอวิ๋นแล้วก็พยักหน้าทันที “เรื่องนี้ดี พวกบุรุษล้วนออกไปแนวหน้า สตรีเรือนหลังอย่างพวกเราก็ต้องทุ่มเทกายใจเต็มที่เป็นธรรมดา”
นางพูดพลางมองจ้าวต้ง พอเห็นเขาไม่มีสีหน้าไม่พึงใจก็รับคำอย่างวางใจ
องค์หญิงอวี๋หยางยังหันไปพูดกับชายาเป่ยเจิ้นอ๋องอย่างยิ้มแย้ม “ลำพังข้าคนเดียวคงเตรียมการไม่ไหว ยังต้องให้พระชายาคอยช่วยเหลือบ้างอย่างขาดเสียมิได้”
เดิมทีชายาเป่ยเจิ้นอ๋องถูกปล่อยให้ยืนเก้ออยู่ด้านข้างตลอด ได้แต่มองดูองค์หญิงอวี๋หยางกับซูลั่วอวิ๋นสนทนากันอย่างถูกคอจนหาโอกาสพูดแทรกไม่ได้
ขณะนี้องค์หญิงอวี๋หยางพลันเอ่ยขึ้นว่าจะเตรียมงานตัดเย็บชุดทหารกับนาง ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างชื่อเสียงได้อย่างเต็มที่ ทำให้ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องรู้สึกคึกคักกระฉับกระเฉงขึ้นมา นางแย้มยิ้มรับคำเช่นกัน
ส่วนซูลั่วอวิ๋นที่เป็นคนเสนอความคิดกลับอ้างว่าอาการตาบอดของตนยังไม่หายดี ขอปลีกตัวไม่เข้าร่วม
เมื่อพูดเรื่องงานฆ่าเวลาหลังมาอยู่ที่เหลียงโจวจบ องค์หญิงอวี๋หยางก็บอกเหตุผลที่ตนเองไล่ตามมาให้ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องกับซูลั่วอวิ๋นฟัง
โดยเฉพาะเมื่อเล่าถึงตอนที่จ้าวต้งประกาศลั่นว่าจะหย่ากับนางในวัง องค์หญิงอวี๋หยางก็ถอนหายใจยาวๆ คราหนึ่งแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงเบิกบาน
“จ้าวต้งของข้าเป็นคนเช่นนี้เอง ปกติโอนอ่อนคล้อยตามข้าไปเสียทุกอย่าง แต่พอเกี่ยวพันถึงงานบ้านงานเมืองก็จะดึงดันเหลือทน ข้าเองก็จนปัญญา ในเมื่อห้ามไม่ฟังจึงต้องตามมาด้วย”
ตอนที่องค์หญิงอวี๋หยางเล่าเหตุการณ์นี้ น้ำเสียงของนางแฝงการโอ้อวดอย่างบอกไม่ถูก ราวกับรู้สึกว่าการที่สามีจะหย่ากับนางแสดงถึงความเป็นบุรุษอกสามศอกอย่างมาก
ซูลั่วอวิ๋นฟังคำพูดโอ้อวดสรรเสริญสามีขององค์หญิงอวี๋หยางแล้วกลับเห็นเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด ทว่าชายาเป่ยเจิ้นอ๋องได้ยินแล้วต้องฝืนทนไว้ไม่ให้เบิกตากว้าง
ถึงอย่างไรนางก็มีปากมีเสียงกับเป่ยเจิ้นอ๋องบ่อยครั้ง เวลาที่โกรธจัดบางครั้งก็จะโวยวายขอหย่า ทว่านี่เป็นเรื่องน่าอับอายภายในครอบครัวที่พึงเก็บไว้ในเรือนอย่างมิดชิด มีใครเอามาพูดโอ้อวดผู้อื่นเช่นนี้ที่ใดกัน
ดูเหมือนว่านางคงไม่อาจไล่ตามทันความนิยมชมชอบของชาวเมืองหลวงได้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นแขนเสื้อหลวมกว้างหรือการเอ่ยคำพูดโอ้อวดที่ไร้หัวคิดโดยไม่ยั้งปากพรรค์นี้ ล้วนแล้วแต่ไม่ถูกตาถูกใจสักอย่าง!
สำหรับคำสรรเสริญเยินยอที่ว่า ‘เป็นบุรุษอกสามศอก’ นี้ขององค์หญิงอวี๋หยาง จ้าวต้งไม่ได้ยินแม้แต่น้อย
เขาไม่มีแก่ใจนั่งอยู่ด้านข้างฟังพวกสตรีพูดคุยเรื่อยเปื่อยไร้สาระ เวลานี้ในความคิดของเขามีแต่เรื่องของหานหลินเฟิง
หลังจากบุตรชายได้พบเขาก็เล่าถึงการกระทำที่น่าอัศจรรย์ใจต่างๆ นานาของหานหลินเฟิงให้ฟังอย่างอดใจรอไม่ไหว
บัดนี้คนที่จ้าวกุยเป่ยเลื่อมใสศรัทธาอย่างหมดจิตหมดใจ นอกจากบิดาของตนเองแล้วก็มีหานหลินเฟิงเพิ่มมาอีกคน
ซื่อจื่อผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่ปกติไม่เคยแสดงความสามารถใดๆ ให้ใครเห็นผู้นี้กลับเฉลียวฉลาดเจ้าแผนการ มีวรยุทธ์สูงส่งเหนือใคร เป็นคนเก่งมีฝีมืออย่างแท้จริง!
น่าเสียดายที่ตอนจ้าวกุยเป่ยคุยโวถึงวรยุทธ์และความสามารถของหานหลินเฟิงให้คนในค่ายเชียนเป่ยฟัง ทุกคนล้วนมองเขาด้วยสายตาราวกับจะบอกว่า ‘เจ้าเสียสติไปแล้วกระมัง’ บางคนยังพูดเยาะเย้ยว่า ‘หากเจ้าชอบคลุกคลีกินดื่มเที่ยวเล่นกับหานซื่อจื่อก็ไม่นับว่าน่าอาย ไม่ต้องมาพูดกลบเกลื่อนกับพวกข้า ถ้าเขาเป็นยอดยุทธ์ในปฐพี ข้าก็เหาะเหินเดินอากาศได้แล้ว ช่างเถิด!’
รวมความว่าสหายที่เป็นทหารในค่ายเดียวกันต่างเห็นว่านี่เป็นคำแก้ตัวของจ้าวกุยเป่ยที่ไปใกล้ชิดสนิทสนมกับคุณชายเสเพล
เรื่องนี้ทำให้จ้าวกุยเป่ยคับข้องใจอย่างมาก จนกระทั่งได้พบบิดาเขาก็ยังลังเลว่าถ้าตนเองพูดแล้วจะถูกบิดาเข้าใจผิดว่าไปเกลือกกลั้วกระทำเรื่องไม่ดีกับหานหลินเฟิงหรือไม่
แต่เมื่อลองพูดหยั่งเชิงดูแล้ว บิดามิได้กล่าววาจาตำหนิ เขาจึงเล่าออกมาหมดทุกเรื่องอย่างสบายใจ
เมื่อจ้าวต้งได้ยินแล้ว อันที่จริงในใจเขาก็ไม่ได้เชื่อถือโดยสิ้นเชิง จะอย่างไรภาพของหานหลินเฟิงในหัวเขายังคงเป็นคุณชายหยิบหย่งเจ้าสำราญที่ชอบประทินโฉมผู้นั้น
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อยากเชื่อคำพูดของบุตรชายเช่นกัน
เพราะจ้าวต้งเคยพบหานหลินเฟิงตอนที่อีกฝ่ายยังเป็นเด็กหนุ่มมาก่อน ตอนนั้นหานหลินเฟิงเป็นเด็กหนุ่มผู้สดใสมีชีวิตชีวาท่าทางอวดกล้าที่อาจหาญปราบม้าพยศคนหนึ่ง
ดังนั้นเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของจ้าวกุยเป่ย เขาก็ปล่อยให้บุตรชายพูดต่อจนจบโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ
ทว่าพอจ้าวต้งนำคำพูดเหล่านี้กลับมาตรึกตรองตามลำพังแล้วก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง…ตามที่บุตรชายเล่าให้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นการช่วยคุณชายกัวหรือว่าปราบศัตรูในป่าปีศาจ หานหลินเฟิงได้แสดงฝีมือการรบสุดพิสดารที่ห้าวหาญเฉียบขาดออกมาแล้ว
ความสามารถชั้นนี้มิใช่เรียนรู้กันได้ในชั่วข้ามคืน แต่จำเป็นต้องผ่านการบ่มเพาะฝึกฝนและคลุกคลีอยู่กับตำราพิชัยสงครามมาอย่างยาวนาน แน่นอนว่ายังเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะมีพรสวรรค์ในการบัญชาการรบมาแต่กำเนิด
แต่ถ้าเป็นคนเก่งกาจปราดเปรื่องเช่นนี้ เหตุใดหานหลินเฟิงต้องประพฤติตนเหลวไหลไร้ขอบเขตถึงเพียงนั้นในเมืองหลวงด้วย
ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่มาถึงฮุ่ยโจวแล้วได้พบหานหลินเฟิงคราวนี้ จ้าวต้งก็ลอบมองสำรวจอีกฝ่ายโดยไม่เผยพิรุธอยู่ตลอดเวลา
หานหลินเฟิงในเวลานี้ไม่ได้ประทินโฉมตามความนิยมในเมืองหลวงมานานแล้ว บางทีอาจเพราะกรำแดดฝึกทหารเป็นประจำ ผิวหน้าของเขาเริ่มเป็นสีน้ำผึ้งจางๆ รับกับดวงตาคมเข้มและคิ้วดกหนา เสริมส่งให้ดูสง่าองอาจยิ่งขึ้น กอปรกับท่วงท่าอกผายไหล่ผึ่งเช่นนั้น ไม่มีร่องรอยทรุดโทรมอิดโรยของคนที่มัวเมาในสุรานารีแม้แต่น้อย
บุรุษที่สุขุมลุ่มลึกสมเป็นชายชาตรีเช่นนี้ต่างจากซื่อจื่อผู้หลงระเริงในสังคมโลกีย์ของเมืองหลวงราวกับเป็นคนละคนทีเดียว!
ขณะนี้หานหลินเฟิงเดินเล่นเป็นเพื่อนจ้าวต้งอยู่ในสวนบุปผาของเรือนตนเอง จ้าวต้งจะตั้งค่ายอยู่ที่นี่ ทั้งยังต้องไปตรวจตราค่ายเชียนเป่ยอีก ย่อมต้องพำนักอยู่ด้วยสักสองสามวัน
หานหลินเฟิงก็สังเกตเห็นสายตาพินิจพิจารณาของจ้าวต้งเช่นกัน เขาไม่ได้หลบเลี่ยง ปล่อยให้อีกฝ่ายมองสำรวจตามสบาย
ถึงอย่างไรเขาก็สังหารจ้าวกุยเป่ยเพื่อปิดปากไม่ได้ ทั้งยังไม่อาจขัดขวางสองพ่อลูกพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว
หลังจากจ้าวต้งเอ่ยถึงคำบอกเล่าของบุตรชายแล้วเงยหน้าขึ้น หานหลินเฟิงก็เอ่ยว่า “แผ่นดินจะรุ่งเรืองหรือเสื่อมถอยเป็นความรับผิดชอบของราษฎรทุกผู้ทุกนาม ไฟสงครามใกล้ลุกลามมาถึงเหลียงโจวเต็มที หากข้ายังไม่รักดี ทำตัวเหลวไหลไปวันๆ เหมือนตอนอยู่เมืองหลวงดังเดิม จะไม่เป็นการปล่อยให้บิดามารดา น้องสาวน้องชาย และภรรยาต้องฝังร่างใต้เท้าทหารม้าเหล็กกลางสมรภูมิหรือไร ส่วนเรื่องที่แม่ทัพน้อยจ้าวเล่าให้ท่านฟังนั้น ไม่มีอะไรนอกจากข้าบังเอิญโชคดี อาศัยความช่วยเหลือของผู้ใต้บังคับบัญชาถึงสำแดงบารมีได้ หวังว่าแม่ทัพจ้าวจะไม่เอ่ยถึงอีก หากเล่าลือกันจนเลยเถิดเกินไป เชิดชูข้าเสียเลิศลอย เช่นนั้นข้าคงหาทางลงไม่ได้แล้ว”
จ้าวต้งฟังแล้วหรี่ตาเท่าไข่ห่านลง พูดเป็นนัยว่า “ศึกในป่าปีศาจนั่นเป็นการต่อสู้ที่ไม่เลวจริงๆ ถ้าแค่โชคดีแสดงว่าดวงชะตาของซื่อจื่อออกจะดีเกินไปแล้ว…”
หานหลินเฟิงไม่โต้กลับ เพียงพูดอย่างตื้นตัน “คงเป็นเช่นนั้นกระมัง สวรรค์เห็นข้ายังไร้ผู้สืบสกุล ถึงได้เมตตาข้าไม่น้อย!”
เมื่อจ้าวต้งเห็นว่าถามแล้วไม่ได้ความใดก็ไม่ถามต่ออีก
ปกติจ้าวต้งไม่ใช่คนพิรี้พิไรหรือช่างระแวง ดังคำกล่าวที่ว่าคนเสเพลกลับใจ แม้แต่ทองคำก็ไม่อาจแลกได้ ถ้าเป่ยเจิ้นอ๋องซื่อจื่อใฝ่ดีเพราะเหตุนี้ก็สามารถปลอบประโลมดวงวิญญาณของอดีตฮ่องเต้เซิ่งเต๋อไท่หวงบนสวรรค์ได้
ครั้นจ้าวต้งไต่ถามเขาว่าอยากมาอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของตนหรือไม่ หานหลินเฟิงก็ตอบปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม
“ข้าเป็นขุนนางค่ายเสบียงจนชินแล้ว ถ้าได้มีส่วนช่วยงานแม่ทัพจ้าวอีกแรง พยายามส่งเสบียงไปให้ถึงที่ก็ถือว่าได้ทำงานรับใช้ท่านแล้ว”
จ้าวต้งก็รู้ว่าหานหลินเฟิงยังไม่มีทายาท จึงไม่ฝืนใจเขาอีก เพียงยื่นมือไปตบไหล่เขาพลางกล่าวว่า “บุรุษเราเกิดมาทั้งทีต้องทิ้งร่องรอยอะไรไว้ในใต้หล้านี้บ้าง ในเมื่อท่านกลับตัวกลับใจเป็นคนใหม่ ตั้งใจสร้างความดีความชอบ รอวันหน้าได้หวนกลับไปราชสำนัก ถ้ามีโอกาสข้าจะต้องทูลฮ่องเต้แน่นอน ไม่ให้ท่านต้องกลบฝังความสามารถของตนเองไว้อีก”
หานหลินเฟิงได้ยินแล้วก็หัวเราะ หากวันหน้าจ้าวต้งแนะนำเขาต่อฮ่องเต้จริงๆ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะต้องกลบฝังความสามารถไว้อีกหรือไม่ แต่ฮ่องเต้ต้องเห็นเขาเป็นหอกข้างแคร่ อยากฝังเขาทั้งเป็นใจจะขาดแน่นอน
เรื่องการยกทัพออกศึกจ้าวต้งทำได้ไร้ที่ติ แต่อีกฝ่ายไม่ใคร่เป็นที่ต้อนรับในหมู่ขุนนางในราชสำนักเรื่อยมา
เพราะราชบุตรเขยจ้าวผู้นี้ขาดความสามารถในการอ่านสถานการณ์และหยั่งใจคนไปสักนิด หากมิใช่ว่าภายหลังเขาแต่งงานกับองค์หญิงอวี๋หยางซึ่งเปรียบได้ดั่งป้ายทองอาญาสิทธิ์ ไม่รู้ว่าจะถูกพวกขุนนางในราชสำนักเล่นงานลับหลังไปกี่ครั้งกี่หน!
ถึงกระนั้นเพราะนิสัยซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาของจ้าวต้งนี่เองที่ทำให้หานหลินเฟิงชื่นชม
อย่างไรคนเจ้าเล่ห์ก็มักรู้สึกว่าอยู่ร่วมกับคนซื่อได้ง่ายกว่า
บทที่ 84.2
ตอนย่ำค่ำซูลั่วอวิ๋นได้ยินหานหลินเฟิงเล่าเรื่องนี้แล้วก็หลุดหัวเราะออกมา “ถ้าท่านรู้สึกว่าอยู่ร่วมกับคนซื่อง่ายกว่า เหตุใดถึงเลือกข้า หรือเห็นว่าข้าเป็นคนซื่อรังแกได้ง่าย?”
หานหลินเฟิงพลิกฝ่ามือนางแล้วจับไว้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “หาสหายต้องหาคนซื่อ แต่หาภรรยาต้องหาคนเจ้าเล่ห์แสนกล จะได้ไม่มีบุตรโง่งมเป็นโขยง…”
เขาพูดไม่ทันจบก็เงียบเสียงไปทันควัน เพราะคิดไปถึงถุงผ้าปักใต้หมอนใบนั้น
หานหลินเฟิงอดเยาะหยันตนเองไม่ได้ ต่อให้หาภรรยาที่ฉลาดเฉลียวได้ก็ต้องดูว่าสามีมีความสามารถทำให้นางมีบุตรอย่างวางใจได้หรือไม่ หาไม่แล้วกระทั่งบุตรโง่งมก็ยังไม่มีสักคน
ซูลั่วอวิ๋นกำลังฝนหมึกให้เขาอยู่ ในใจนางครุ่นคิดถึงเรื่องที่บิดามารดาสามีขัดใจกันเมื่อยามกลางวัน หาได้ใส่ใจกับคำพูดครึ่งๆ กลางๆ ของหานหลินเฟิงไม่
พอนางฝนหมึกเสร็จแล้วก็เอ่ยปากขึ้น “จริงด้วย องค์หญิงอวี๋หยางอยู่เหลียงโจวมาหลายวันแล้วรู้สึกอึดอัดเบื่อหน่ายจนทนไม่ไหว พอได้ยินว่าวันมะรืนทางฮุ่ยโจวจะมีพิธีบวงสรวงเทพแห่งดิน เป็นงานครึกครื้นมาก นางจึงอยากจะไปเที่ยวที่นั่น ทว่าคงกลัวราชบุตรเขยจ้าวไม่ยินยอม องค์หญิงจึงอยากให้ท่านแม่เป็นฝ่ายชักชวนนางไปด้วยกัน ท่านแม่สนใจไม่น้อยจึงเอ่ยปากกับท่านพ่อ แต่ท่านพ่อกลับตำหนิว่าพวกสตรีมีความคิดอ่านคับแคบ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้จะไปฮุ่ยโจวเพื่ออันใด ทว่าท่านแม่ไม่ถอดใจ หาข้ออ้างว่ามีหมอชื่อดังเพิ่งมาถึงฮุ่ยโจว หมอท่านนั้นเชี่ยวชาญการรักษาดวงตา จะให้ข้าไปด้วยให้ได้ ส่วนท่านแม่กับองค์หญิงก็จะมีข้ออ้างไปหาหมอเป็นเพื่อนข้าได้พอดี ข้าตั้งใจจะปฏิเสธก็กลัวล่วงเกินท่านแม่ จึงอยากบอกท่านว่าช่วยปฏิเสธท่านแม่แทนข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
หานหลินเฟิงฟังแล้วอยากหัวเราะไม่หยุด นี่เข้าตำราที่ว่ายมบาลบงการผีใหญ่ ผีใหญ่ใช้งานผีน้อยโดยแท้ งานตึงมืองานนี้ถึงถูกโยนต่อกันเป็นทอดๆ จนมาถึงตรงหน้าเขา
ตอนอยู่เมืองหลวงองค์หญิงอวี๋หยางเป็นพวกที่จัดงานเลี้ยงแทบจะวันเว้นวัน จู่ๆ ต้องมาอยู่ในชนบทที่แร้นแค้นอย่างเหลียงโจวจะไม่อึดอัดทรมานไปทั้งเนื้อทั้งตัวหรือ
เขาคิดดูแล้วก็กล่าวว่า “ในเมื่ออยากไปกันก็ไม่จำเป็นต้องหักหน้าพวกนาง ข้าเองก็ต้องไปที่ฮุ่ยโจวอีกเช่นกัน จะได้คุ้มกันพวกเจ้าไปด้วยกันพอดี”
ซูลั่วอวิ๋นกะพริบตาปริบๆ ไต่ถามอย่างสนใจใคร่รู้ “ฮุ่ยโจว? ท่านจะไปที่นั่นเพื่ออันใดเจ้าคะ”
เขากล่าวเสียงเรียบ “ข้าไม่อาจไปรับใช้บ้านเมืองที่ค่ายแนวหน้าของแม่ทัพจ้าวได้ แต่ก็สามารถช่วยงานเขาได้เล็กๆ น้อยๆ อย่างน้อยที่สุดต้องเจาะขุมทรัพย์ของฉิวเจิ้นให้ได้ ข้าดูในสมุดบัญชีที่เฉาเซิ่งให้ข้าไว้แล้วเขียนจดหมายไปหาเขา ผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ในนั้นก็คือโหยวซานเยวี่ย เถ้าแก่ร้านแลกเงินเม่าเสียง”
โหยวซานเยวี่ย? กระทั่งซูลั่วอวิ๋นซึ่งไม่ใช่คนในยุทธภพก็เคยได้ยินชื่อคนผู้นี้
ว่ากันว่าเถ้าแก่โหยวก่อร่างสร้างตัวจากลู่ทางลัด เมื่อก่อนเขาเป็นผู้กว้างขวางในหมู่โจรป่า มีนิสัยชมชอบการพนันขันต่อเป็นชีวิตจิตใจ เคยเสียพนันหมดเนื้อหมดตัวในชั่วราตรีเดียวแล้วอาศัยเงินไม่กี่อีแปะชนะพนันได้เงินคืนกลับมาทั้งหมดในตอนท้ายจนกลายเป็นเรื่องเล่าขาน
ต่อมาพอเขาแต่งงานมีบุตรก็ล้างมือในอ่างทองคำ เปิดร้านแลกเงินตามที่ต่างๆ นอกจากร้านแลกเงินแล้วเขายังมีกิจการการค้ามากมายอยู่ทุกหนแห่ง เป็นคนที่มั่งคั่งร่ำรวยล้นฟ้าโดยแท้ แต่เขาเร้นกายอยู่อย่างสันโดษมาแต่ไหนแต่ไร ถึงขั้นที่มีเสียงเล่าลือหนาหูในหมู่ชาวบ้านว่าคนผู้นี้ตายไปแล้ว
คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นหนึ่งในคหบดีที่ให้การสนับสนุนเฉาเซิ่งอยู่ลับๆ
หานหลินเฟิงเล่าสิ่งที่เขาได้รู้จากเฉาเซิ่งออกมาอย่างละเอียด
ถึงแม้จะมีคหบดีที่ช่วยเหลือเกื้อหนุนเฉาเซิ่งมากมาย ทว่าในบรรดานั้นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดก็คือโหยวซานเยวี่ยคนนี้
ดังคำกล่าวที่ว่าไม้ใหญ่ปะทะลม ในอดีตเขามีศัตรูในยุทธภพไม่น้อย บัดนี้พอมีเงินทองเหลือกินเหลือใช้ก็ใช้ชีวิตอย่างสันโดษสมถะเป็นส่วนใหญ่ แม้แต่ผู้ดูแลร้านแลกเงินใหญ่ๆ ของเขายังบอกไม่ได้ว่านายใหญ่พำนักอยู่ที่ใด มิหนำซ้ำยังมีข่าวลือว่าคนผู้นี้เสียชีวิตไปแล้ว
แต่หานหลินเฟิงที่ได้รับคำชี้แนะจากเฉาเซิ่งกลับล่วงรู้ว่าโหยวซานเยวี่ยจะไปตรวจบัญชีและตกปลาตามสบายที่ฮุ่ยโจวช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิ ในกาลก่อนเฉาเซิ่งจะพบปะเขาในช่วงนี้เสมอ
ครั้งนี้หานหลินเฟิงจึงตัดสินใจไปเยี่ยมคารวะแทนเฉาเซิ่ง และถือโอกาสพูดโน้มน้าวใจผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ของฉิวเจิ้นสักหน่อย
ฮุ่ยโจวอยู่ห่างจากเหลียงโจวไม่นับว่าไกล ใช้เวลาเดินทางราวสองวัน แต่ที่นั่นเจริญรุ่งเรืองอย่างที่เหลียงโจวไม่อาจเทียบได้
ทว่าเป้าหมายของหานหลินเฟิงหาใช่ท้องถนนอันคึกคักเฟื่องฟูของที่นี่
เพราะหานหลินเฟิงมาด้วยกัน ซูลั่วอวิ๋นจึงมีข้ออ้างไม่ต้องร่วมเดินทางไปกับพวกองค์หญิงอวี๋หยาง
เมื่อไปถึงฮุ่ยโจว องค์หญิงอวี๋หยางกับชายาเป่ยเจิ้นอ๋องล้วนเป็นดั่งปลาได้น้ำ พวกนางตอบรับคำเชิญต่างๆ ของพวกสตรีเรือนใน ทั้งยังไปเที่ยวชมสวนบุปผาของพวกขุนนาง และเดินดูร้านรวงเลือกซื้อสิ่งของ
ซูลั่วอวิ๋นไม่คิดจะเข้าไปร่วมวงจนขัดความสำราญในการเที่ยวเล่นของมารดาสามี นางจึงไปเยี่ยมคารวะเถ้าแก่โหยวกับหานหลินเฟิง
หานหลินเฟิงพานางไปที่ร้านแลกเงินเม่าเสียงในเมืองก่อน เอาตั๋วเงินที่เฉาเซิ่งสอดเก็บไว้ในสมุดบัญชีไปขึ้นเงินและถือโอกาสบอกกับผู้ดูแลร้านว่าตนเองเป็นสหายเก่าของเถ้าแก่โหยว อยากจะพบเขาสักครา
ผู้ดูแลร้านคนนั้นก้มหน้ามองตั๋วเงินมูลค่าสูงซ้ำๆ ก็รู้แจ้งแก่ใจว่านี่คือลูกค้ารายใหญ่ของร้านแลกเงิน เขานำตั๋วเงินเข้าไปข้างในครู่หนึ่ง
ไม่ถึงครู่ใหญ่ผู้ดูแลร้านก็ออกมาบอกด้วยสีหน้าขอลุแก่โทษ “ต้องขออภัยจริงๆ ขอรับ นายใหญ่แทบจะไม่ได้มาที่ร้าน พวกข้าก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด แล้วตั๋วเงินนี้จะขึ้นเงินทั้งหมดเลยใช่หรือไม่ขอรับ”
หานหลินเฟิงไม่กล่าวอะไรต่อ เพียงรับตั๋วเงินคืนมาแล้วบอกว่ายังไม่ขึ้นเงินตอนนี้ หลังจากเก็บเข้าที่อย่างเรียบร้อยก็พาซูลั่วอวิ๋นเดินออกนอกประตูร้าน
เขาก้มหน้าถามนาง “เจ้าเห็นว่าผู้ดูแลร้านคนนั้นเป็นอย่างไร”
ซูลั่วอวิ๋นนิ่งคิดไปอึดใจหนึ่ง “ร้านแลกเงินเม่าเสียงฟุ่มเฟือยเสียจริง เครื่องหอมที่จุดในร้านล้วนมีกลิ่นหอมละเมียดละไมอย่างยิ่ง ตามความเห็นข้าต้องเป็นกำยานเหยาจู้ราคาสามสิบตำลึงไม่ผิดแน่”
หานหลินเฟิงบีบแก้มนางเบาๆ ทีหนึ่ง “ใครถามเจ้าเรื่องนี้กัน สมแล้วที่เป็นเจ้าของร้านเครื่องหอม ไปถึงที่ใดล้วนสนใจเครื่องหอมเป็นอย่างแรก”
ซูลั่วอวิ๋นจึงวกกลับเข้าเรื่อง “ผู้ดูแลร้านคนนั้นเข้าไปข้างในก่อนถึงค่อยออกมาบอกว่านายใหญ่ไม่อยู่ ต้องมีพิรุธแน่ แต่เถ้าแก่โหยวผู้นั้นไม่เต็มใจพบท่าน จะบุกเข้าไปก็ไม่ได้กระมัง!”
เขาพยักหน้าแล้วพานางไปซื้อหาพวกขนมของว่างฝากน้องสาว ทั้งยังซื้อแท่นฝนหมึกชั้นดีให้น้องชายอันหนึ่ง จากนั้นพานางนั่งรถม้าไปที่ทะเลสาบเงียบสงบแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับฮุ่ยโจว
หานหลินเฟิงยืนอยู่ฝั่งหนึ่งในศาลาริมน้ำ มองดูทะเลสาบที่ส่องประกายระยิบระยับพลางบอกว่า “ที่นี่เรียกว่าทะเลสาบจิ้งหู เป็นแหล่งที่ปลามีเกล็ดชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ชุกชุม มีก้างน้อย ต้มครู่เดียวก็เปื่อยนุ่ม น่าเสียดายที่จับได้ยาก ถ้าจะใช้แหจับ มันก็ว่ายน้ำหนีได้เร็วมาก ประเดี๋ยวเดียวก็ดำลงไปอยู่ในโคลนก้นทะเลสาบแล้ว ดังนั้นมีทางเดียวก็คือใช้วิธีตกเบ็ด แต่เบ็ดต้องทั้งเล็กและเรียว จังหวะยกคันเบ็ดก็ต้องแม่นยำด้วย”
แม้ว่านางจะมองเห็นไม่กระจ่างชัด แต่รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอบอุ่นของวสันตฤดูลอยอวลอยู่เหนือผิวน้ำที่เป็นประกายระยิบระยับ ถึงไม่เห็นชัดเจนก็รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเหลือหลาย
นางได้ยินคำกล่าวของเขาแล้วก็เอียงคอน้อยๆ “ตกได้ยากเพียงนี้ มิสู้ไม่กินดีกว่าเจ้าค่ะ…”
หานหลินเฟิงกล่าวยิ้มๆ “ข้าได้รู้มาจากเฉาเซิ่งว่าบุตรชายผู้เป็นดั่งดวงใจของโหยวซานเยวี่ยมีอาการแพ้ปลามาตั้งแต่เกิด ไม่สามารถกินปลาได้ แต่กลับกินปลาชนิดนี้ได้ หากมีเวลาว่างโหยวซานเยวี่ยจะมาตกปลาที่นี่ให้บุตรชายด้วยตนเอง”
ขณะกล่าววาจาเขากวาดตามองคนที่ตกปลาอยู่ริมทะเลสาบอย่างละเอียดถี่ถ้วนคราหนึ่ง
ตามคำบรรยายของเฉาเซิ่ง นิ้วก้อยขวาของโหยวซานเยวี่ยกุดด้วน อีกทั้งมีองครักษ์บ่าวไพร่รอบกายมากมาย แต่บรรดาผู้ที่ตกปลาอยู่ริมทะเลสาบขณะนี้มีลักษณะท่าทางเป็นชาวนา ไม่มีคหบดีนายท่านอะไรสักคน
ชิ่งหยางพาคนไปสำรวจดูรอบๆ ก็ไม่พบคนที่ละม้ายคล้ายคลึงกับโหยวซานเยวี่ย ดูท่าวันนี้เขาจะมาเสียเที่ยวเสียแล้ว
เดิมทีหานหลินเฟิงก็ไม่คิดว่าจะได้พบโหยวซานเยวี่ยทันทีทันใด เพียงพาซูลั่วอวิ๋นมาพักผ่อนหย่อนใจที่นี่เท่านั้นเอง
หลังกลับถึงเหลียงโจวเขาก็ยุ่งวุ่นวายกับงานของทางการมาโดยตลอด ไม่ได้ปลีกเวลาพานางไปท่องเที่ยวชมธรรมชาติตามสบายสักนิด
ต่อจากนี้ที่รออยู่เบื้องหน้ายังเป็นศึกหนัก ฉะนั้นเขาอยากฉวยเวลาที่สุขสงบอย่างหาได้ยากนี้อยู่เป็นเพื่อนนางอย่างเต็มที่
ยามนี้สายลมอ่อนเบาอุ่นสบายพัดโชยมาระลอกหนึ่ง เขาก้มหน้ามองภรรยาคนงามในชุดฤดูใบไม้ผลิ นางมีผิวพรรณขาวผ่อง เรือนผมสลวยถูกรวบขึ้นเป็นมวยหลวมๆ อวดเรียวคอขาวเกลี้ยงและไหปลาร้าที่โผล่พ้นอาภรณ์บางเบากับผ้าคลุมไหล่เนื้อโปร่งบาง หญิงงามร่างระหงอ้อนแอ้นเช่นนี้ยืนอยู่ริมผืนน้ำกลางวสันตฤดู แลดูสง่าแช่มช้อยโดยแท้
แม้ซูลั่วอวิ๋นในกาลก่อนจะมีนัยน์ตางดงาม แต่กลับไร้แววขาดชีวิตชีวาไปสักนิดเพราะอาการตาบอด
ทว่าบัดนี้ดวงตาของนางเริ่มฟื้นฟูขึ้นทีละน้อย ถึงจะยังเห็นภาพไม่ชัด แต่ยามดวงตาคู่นั้นกลอกไปมาจะเผยเสน่ห์มากขึ้นคล้ายกำลังชม้ายชายตาเย้ายวนใจ
สตรีรูปลักษณ์เช่นนี้มองนานเท่าไรก็ไม่สาแก่ใจจริงๆ ช่วงนี้หานหลินเฟิงมักคิดคำนึงอยู่บ่อยครั้งว่าถ้าหากวันหน้านางมีบุตรสาวให้ตนเอง ดวงหน้ากลมๆ เล็กๆ กับดวงตาโตๆ ที่ดูคล้ายอาอวิ๋นนั้นจะน่ารักน่าเอ็นดูปานใด…
เมื่อก่อนเขาไม่เคยคิดเรื่องทายาทมาก่อน ทว่าตั้งแต่รู้ว่าซูลั่วอวิ๋นไม่คิดจะมีบุตรให้เขา เขากลับเฝ้าคิดว่าบุตรของเขากับนางจะมีรูปโฉมเป็นเช่นไรอย่างห้ามไม่อยู่
…หลังจากสงครามยุติลง เขาจะจับเข่าพูดคุยเรื่องนี้กับนางอย่างเปิดอก…
เวลานี้ฝนเริ่มตกปรอยๆ แล้ว หานหลินเฟิงกลัวนางจะต้องลมเย็น จึงตั้งใจจะพานางไปขึ้นรถม้า
จังหวะนี้เองซูลั่วอวิ๋นกลับทำจมูกฟุดฟิดอย่างห้ามไม่อยู่ “ใครกันใช้อำพันทะเล ในที่ห่างไกลเช่นนี้ยังมีคนพิถีพิถันเพียงนี้เชียวหรือ”
อำพันทะเลแค่ชิ้นเล็กๆ ก็มีราคานับร้อยชั่ง อีกทั้งเป็นเครื่องราชบรรณาการของราชสำนัก สามัญชนไม่อาจมีไว้ในครอบครอง ตอนนั้นองค์หญิงอวี๋หยางก็มีชิ้นหนึ่ง ทว่าเก็บรักษาไม่ดีจนเสียหาย เพราะรู้สึกเสียดายจึงเรียกนางไปคิดหาวิธีแก้ไขโดยเฉพาะ
จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าแม้กระทั่งในสายตาขององค์หญิงผู้สูงศักดิ์ทรงเกียรติ วัตถุดิบในการปรุงเครื่องหอมชนิดนี้ก็นับเป็นของล้ำค่าอย่างมาก
แต่ ณ ริมทะเลสาบในเมืองชนบทแห่งนี้ ซูลั่วอวิ๋นกลับได้กลิ่นอำพันทะเลจางๆ แทรกอยู่ในกลิ่นดินลอยมาตามลม เป็นธรรมดาที่นางจะรู้สึกแปลกใจ
หานหลินเฟิงได้ยินคำกล่าวของนางแล้วก็หรี่ตาเล็กน้อย มองไปทางต้นลม ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นชายชราร่างผอมแห้งผู้หนึ่งนั่งอยู่คนเดียวใต้ร่มไม้มุมหนึ่ง
อีกฝ่ายน่าจะเพิ่งมาถึง เพราะเมื่อครู่เขาไม่เห็นมีคนอยู่ตรงนั้น
ชายชราที่ตกปลาตามลำพังคนนี้เห็นฝนตกลงมาจากฟ้าก็ไม่เร่งรีบหาที่หลบ แค่หยิบเสื้อฟางกับงอบกันฝนที่แขวนไว้บนกิ่งไม้ด้านข้างมาสวมแล้วตกปลาต่อไปอย่างสบายอารมณ์
หานหลินเฟิงเพ่งมองชายชราผู้นั้น ไม่นานนักก็สังเกตเห็นนิ้วก้อยขวาของอีกฝ่าย…ขาดไปครึ่งหนึ่ง
เขารับร่มกระดาษเคลือบน้ำมันที่สาวใช้ยื่นส่งให้มากางให้ซูลั่วอวิ๋น จูงมือนางเดินไปหาชายชราร่างผอมแห้งผู้นั้น
น่าเสียดายที่ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ จู่ๆ ก็มีบุรุษฉกรรจ์ร่างใหญ่กำยำห้าหกคนออกมาจากทางใดก็สุดรู้ ยืนขวางอยู่เบื้องหน้าชายชราผู้นั้น
ถึงตอนนี้ในใจหานหลินเฟิงก็คาดเดาได้รางๆ แล้ว เขาเพียงประสานมือคารวะพร้อมกล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโสแซ่โหยวใช่หรือไม่”
ชายชราเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองสำรวจบุรุษสตรีรูปโฉมโนมพรรณโดดเด่นคู่นี้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ดังคำกล่าวที่ว่าสง่าราศีนั้นต้องบ่มเพาะแต่วัยเยาว์ บุรุษผู้นั้นไม่เพียงรูปโฉมหล่อเหลา ยังแฝงไว้ด้วยสง่าราศีโดยเนื้อแท้ซึ่งแทบจะปิดบังไว้ไม่ได้ น่าจะมีชาติกำเนิดไม่สามัญ ไม่คล้ายเป็นบุตรหลานชาวยุทธภพที่มาล้างแค้น
ดังนั้นชายชราจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “พวกท่านมาหาคนแซ่โหยวมีธุระใดหรือ”
ถึงเขาไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
หานหลินเฟิงมองเห็นชายชราในระยะใกล้ก็พิศดูลักษณะท่าทางของอีกฝ่าย ซึ่งไม่ต่างจากคำบรรยายของเฉาเซิ่ง จากนั้นก็กล่าวอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา
“ข้าเป็นสหายสนิทของท่านเฉา ได้รับไหว้วานจากเขาให้มาหาท่านผู้อาวุโสโหยวที่นี่”
ชายชราหัวเราะ “ทั่วทั้งใต้หล้ามีท่านเฉาอยู่มากมาย ทว่าในช่วงเวลานี้ท่านเฉาที่มาหาท่านโหยวที่นี่ได้น่าจะมีอยู่คนเดียว…แต่ข้าได้ยินว่าเขาจากโลกนี้ไปแล้ว ท่านได้รับไหว้วานจากผีเร่ร่อนถึงได้มาที่นี่หรือ”
หานหลินเฟิงล้วงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ขอให้องครักษ์ด้านข้างยื่นส่งให้ชายชรา จดหมายนี้เฉาเซิ่งเป็นผู้เขียน ในนั้นบอกเล่าถึงสถานการณ์ของตนเอง ตลอดจนพฤติกรรมจอมปลอมแอบอ้างชื่อผู้อื่นของฉิวเจิ้น รวมถึงการหักหลังของบุตรสาวอกตัญญู เขาหวังว่าท่านผู้อาวุโสและคหบดีผู้มีน้ำใจกว้างขวางท่านอื่นๆ จะไม่ถูกฉิวเจิ้นปิดหูปิดตาต่อไป อีกทั้งอย่าสนับสนุนอีกฝ่ายอีก
ชายชราผู้นี้มิได้ยื่นมือไปรับจดหมาย แค่กวาดตาอ่านเนื้อความจดหมายในมือองครักษ์ผ่านๆ จากนั้นก็เบนสายตาออกอย่างไม่สนใจแล้วกล่าวอย่างสงบนิ่ง
“เห็นทีว่าท่านเฉาที่ท่านรู้จักหาใช่คนเดียวกับท่านเฉาที่ข้ารู้จักไม่ แล้วข้าก็ไม่รู้จักโหยวซานเยวี่ยอะไรนี่ เชิญคุณชายกลับไปเถิด”
เริ่มแรกเขายังไม่มีท่าทีไม่ยอมรับ ไม่รู้ด้วยว่าด้วยเหตุผลกลใดพออ่านจดหมายแล้วก็พลันเปลี่ยนคำพูด
ซูลั่วอวิ๋นกลับส่งเสียงเอ่ย “เมื่อครู่สามีข้าเพียงบอกว่ามาเยี่ยมท่านผู้อาวุโสโหยว มิได้บอกชื่อเสียงเรียงนาม หากท่านไม่ใช่เขา เหตุใดจึงสามารถเอ่ยชื่อ ‘โหยวซานเยวี่ย’ นี้ออกมาได้เจ้าคะ”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ธันวาคม 2567)
Comments
comments
No tags for this post.