X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหอมเกศา

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 9

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 9

ซูลั่วอวิ๋นเยาะเย้ยอยู่ในใจ สตรีผู้นี้พูดดักคอไว้ทุกทาง ถ้านางไปก่อกวนบิดาด้วยเรื่องกลับบ้านเดิมก็คือไม่รู้ความแล้ว

นางคาดเดาได้แต่แรกแล้วว่าติงเพ่ยคงไม่ปล่อยให้นางอยู่ในจวน หากเป็นเช่นนี้จริงๆ เกรงว่าต้องรบกวนท่านน้ามาพังประตูอีก แต่ก็คงแก้ปัญหาได้ชั่วคราว ไม่อาจรับรองได้ตลอดไป

ไม่รู้ว่าทางหนีทีไล่ที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้จะคืบหน้าไปตามที่นางคิดไว้หรือไม่…

ระหว่างที่ต่างฝ่ายต่างไม่ลดราวาศอกก็ได้ยินสาวใช้ของติงเพ่ยพรวดพราดเข้ามารายงานว่า “นายท่านกลับมาแล้ว กำลังเรียกหาคุณหนูใหญ่อยู่เจ้าค่ะ”

วันนี้นายท่านใหญ่สกุลซูไปปฏิบัติราชการวันแรก ตามวิสัยของเขาจะต้องหว่านเงินเป็นเบี้ยเลี้ยงดูปูเสื่อสหายขุนนางเป็นแน่ ติงเพ่ยเองก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะกลับมาเร็วเพียงนี้

นางรีบลุกออกไปต้อนรับสามีโดยไม่แยแสซูลั่วอวิ๋น

ไฉนเลยจะรู้ว่าสามีจะมีท่าทางเร่งรีบจนเหงื่อท่วมศีรษะ เขาคลายสายรัดเสื้อคลุมขุนนางพลางเดินผ่านข้างกายติงเพ่ยที่ออกมาต้อนรับ ส่งเสียงตะโกนเข้าไปในเรือน

“ลั่วอวิ๋น เจ้าอยู่ข้างในหรือไม่”

ตอนเซียงเฉ่าประคองซูลั่วอวิ๋นออกมา นายท่านใหญ่สกุลซูถึงขั้นทนรอบุตรสาวยอบกายคารวะไม่ไหว เอ่ยถามอย่างร้อนใจ

“ข้าถามเจ้าสักครา ขี้ผึ้งหอมที่เจ้าให้คุณหนูลู่ได้มาจากที่ใด”

ซูลั่วอวิ๋นไม่ตอบ แต่กลับย้อนถาม “มีอะไรหรือเจ้าคะ เครื่องหอมนั่นมีอะไรผิดปกติ”

ซูหงเหมิงโกรธจนควันออกหู มีอะไรผิดปกติรึ ผิดปกติมากทีเดียว!

เดิมทีวันนี้เขาต้องปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเป็นครั้งแรก ควรทำตัวให้กลมกลืนกับคนรอบข้างเพื่อเป็นการสานสัมพันธ์ไมตรีให้ดีก่อน ใครจะรู้ว่านั่งบนเก้าอี้ในที่ว่าการก้นยังไม่ทันร้อนก็ถูกคนของจวนราชบุตรเขยเรียกตัวไป

ที่แท้ตอนคุณหนูลู่ติดตามมารดาไปวัดตัวตัดอาภรณ์ให้องค์หญิงอวี๋หยาง องค์หญิงอวี๋หยางได้กลิ่นเครื่องหอมบนร่างนางโดยไม่ได้ตั้งใจ

องค์หญิงอวี๋หยางหลงใหลเครื่องหอมเป็นชีวิตจิตใจและชื่นชอบเก็บสะสมเครื่องหอมทุกชนิด แต่กลับไม่เคยได้กลิ่นหอมเย็นระรื่นชื่นใจที่เป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ พอซักถามดูคุณหนูลู่ก็บอกว่าได้มาจากจวนของซูหงเหมิงผู้ดูแลห้องคลังเครื่องหอมสมุนไพร ร้านโส่วเว่ยที่โด่งดังของเมืองหลวงก็เป็นกิจการของตระกูลเขา

ความตั้งใจเดิมของคุณหนูลู่นั้นเป็นความปรารถนาดี เห็นว่าเป็นการส่งเสริมชื่อเสียงเกียรติยศให้แก่ร้านค้าสกุลซู

เมื่อองค์หญิงได้ฟังก็เชื่อว่านี่เป็นเครื่องหอมใหม่ของสกุลซู มิน่าเล่านางถึงไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน

บรรดาเครื่องหอมของจวนราชบุตรเขยมีอยู่ไม่น้อยที่ซื้อมาจากร้านโส่วเว่ย ตามธรรมเนียมเครื่องหอมใหม่เช่นนี้ล้วนต้องส่งมาที่จวนราชบุตรเขยให้นางลองใช้ก่อน

ไม่คิดว่าครั้งนี้ร้านโส่วเว่ยจะไม่รู้จักกาลเทศะ ทำให้องค์หญิงขุ่นเคืองใจ จึงพร่ำบ่นกับผู้ดูแลข้างกายสองสามคำ

บรรดาผู้ดูแลที่มีหน้าที่จัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พรรค์นี้เห็นเจ้านายต่อว่าร้านโส่วเว่ยว่าไม่รู้ธรรมเนียม พวกเขาจึงส่งคนไปตำหนินายท่านใหญ่สกุลซูโดยไม่รอช้า ทั้งยังบอกให้อีกฝ่ายรีบส่งเครื่องหอมชุดหนึ่งมาชดเชย เผื่อว่าองค์หญิงนึกขึ้นได้ บ่าวไพร่เช่นพวกเขาจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนวุ่นวายกันอีก!

นายท่านใหญ่สกุลซูถูกตำหนิก็งุนงงยิ่ง เพราะร้านโส่วเว่ยไม่ได้ออกเครื่องหอมใหม่มานานหลายปีแล้ว!

ตอนนั้นเขาออกไปส่งคนของจวนราชบุตรเขยแล้วนั่งรถม้าไปถามคุณหนูลู่ที่จวนสกุลลู่ว่าองค์หญิงต้องการเครื่องหอมชนิดใดกันแน่ ปรากฏว่าคุณหนูลู่ยื่นขี้ผึ้งหอมให้เขาอย่างฉงนฉงาย บอกว่าเป็นของที่ซูลั่วอวิ๋นมอบให้นาง

นายท่านใหญ่สกุลซูลองดมกลิ่นดูแล้วก็รู้สึกแค่ว่ากลิ่นหอมหวานสดชื่น ได้กลิ่นผลไม้อบอวลกำจาย การปรุงกลิ่นทำได้กลมกลืนเป็นธรรมชาติ แต่กลับแยกแยะไม่ออกไปชั่วขณะว่ามีส่วนผสมกี่ชนิด แต่ก็โทษมิได้ที่องค์หญิงได้ดมกลิ่นแล้วไม่ลืมเลือน

ทว่า…นี่มิใช่เครื่องหอมจากร้านโส่วเว่ยของพวกเขา!

ด้วยเหตุนี้นายท่านใหญ่สกุลซูจึงเร่งรุดกลับจวนโดยไม่หยุดพัก ไต่ถามบุตรสาวคนโตว่าได้ขี้ผึ้งหอมที่สร้างความวุ่นวายอลหม่านไปทั่วนี้มาจากที่ใด

ซูลั่วอวิ๋นฟังบิดาพูดจบแล้วถึงกล่าวช้าๆ “เป็นเครื่องหอมที่ข้าปรุงขึ้นเองเจ้าค่ะ เป็นที่โปรดปรานขององค์หญิงได้ ทำให้ข้าตกใจและปลาบปลื้มจริงๆ…”

ครึ่งวันมานี้ซูหงเหมิงรู้สึก ‘ตกใจ’ เพียงอย่างเดียว จวบจนได้ยินซูลั่วอวิ๋นบอกว่าเป็นคนปรุงขึ้นเอง จิตใจที่หวาดหวั่นว้าวุ่นจึงสงบลงได้โดยสิ้นเชิง

ตอนแรกเขายังเป็นห่วงว่าบุตรสาวจะซื้อขี้ผึ้งหอมนี้มาจากที่อื่น หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ จะมิใช่มีคลื่นลูกใหม่มาแทนที่ร้านโส่วเว่ยของพวกเขาหรือไร

ในเมื่อซูลั่วอวิ๋นปรุงขึ้นมา เช่นนั้นก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว

เขาพูดทันที “ในเมื่อองค์หญิงทรงโปรดปราน เจ้าก็เอาตำรับให้เหล่าเฝิงของร้านโส่วเว่ยปรุงขึ้นมาแล้วนำไปถวายองค์หญิง”

นางได้ยินคำกล่าวของบิดาแล้วก็ลุกขึ้นยืนอย่างเยือกเย็น ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ลูกอกตัญญู โปรดอภัยที่ยากจะทำตามคำสั่งได้เจ้าค่ะ”

หูหงเหมิงวิ่งวุ่นไปมาครึ่งวันจนเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก เดิมทีคิดว่าสั่งการเสร็จแล้วจะได้ถอดเสื้อเอนกายลงนอนพักผ่อน คิดไม่ถึงว่าบุตรสาวคนโตจะเอ่ยวาจาที่เนรคุณต่อบุพการีเช่นนี้ออกมากะทันหัน เขานั่งตัวตรงอย่างโมโหโทโสทันใด

“เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน ข้าจะเอาสินเดิมเจ้าสาวของมารดาเจ้ารึ เจ้าถึงยากจะทำตามคำสั่งได้”

เถียนมามาที่อยู่ด้านข้างรีบพูดปกป้องนางทันที “นายท่านโปรดระงับโทสะด้วยเจ้าค่ะ เมื่อครู่คุณหนูใหญ่ได้ยินว่าฮูหยินจะส่งนางกลับชนบท ทั้งยังไม่อนุญาตให้ยายเฒ่าอย่างบ่าวกับเซียงเฉ่าตามไป ในใจนางเป็นทุกข์ถึงได้พูดด้วยอารมณ์”

ซูหงเหมิงฟังแล้วก็นิ่งไป เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ติงเพ่ยหารือกับตนเรียบร้อยแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่านางจะเอ่ยกับบุตรสาวคนโตเร็วเพียงนี้ และคิดไม่ถึงว่าติงเพ่ยยังจะเปลี่ยนคนที่รับใช้ข้างกายซูลั่วอวิ๋นด้วย…

พวกสตรีมีความคิดตื้นเขินนัก! รู้สึกว่าชีวิตสงบสุขเกินไปหรือ จะรีบพูดเรื่องนี้กับนางไปเพื่ออันใด

“เจ้า…พูดกับลั่วอวิ๋นเช่นนี้หรือ” ซูหงเหมิงกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้างไปชั่วขณะ เขาได้แต่หันไปขึงตาใส่ติงเพ่ย หวังว่านางจะช่วยแก้สถานการณ์อย่างมีปฏิภาณไหวพริบ

ติงเพ่ยประจักษ์แจ้งแก่ใจ ทว่านางเป็นประมุขหญิงของจวน จะถอนคำพูดง่ายๆ ได้อย่างไร

ดังนั้นนางจึงแสร้งมองไม่เห็นว่าซูหงเหมิงขยิบตาให้ตน พูดด้วยสีหน้าอ่อนโยนเป็นกันเอง “เด็กคนนี้พูดไปถึงไหนกัน เมื่อครู่ก็แค่ลิ้นกับฟันกระทบกระทั่งกันเท่านั้นมิใช่หรือ องค์หญิงอวี๋หยางเป็นพระธิดาที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานมากที่สุด นางอยากได้เครื่องหอมกลิ่นนั้น เจ้าไม่มอบให้บิดาเช่นนี้ ตั้งใจจะนำเภทภัยมาสู่คนทั้งตระกูลหรือ”

ซูลั่วอวิ๋นเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ความตั้งใจแรกที่ข้าปรุงเครื่องหอมนี้ขึ้นก็เป็นความต้องการฝ่ายเดียว เดิมทีข้าคิดว่าหลายปีมานี้ร้านโส่วเว่ยขายเครื่องหอมกลิ่นที่ท่านแม่ข้าปรุงขึ้นก่อนเสียชีวิตอยู่ไม่กี่กลิ่นนั่นมาโดยตลอด บรรดาผู้สูงศักดิ์น่าจะเบื่อหน่ายแล้ว ถ้าข้าช่วยเหลือท่านพ่อได้ก็ถือว่าเป็นการแสดงความกตัญญูของบุตรสาว แต่พวกท่านไม่เคยคิดว่าข้าเป็นคนสกุลซู ทั้งยังมีคนรังเกียจว่าข้าตาบอด อยู่ที่จวนขวางหูขวางตา หากเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่จำเป็นต้องหยิบยื่นไมตรีให้คนที่ไม่เห็นค่า หาอารามชีสักแห่งออกบวชเสียก็สิ้นเรื่อง จะได้ไม่ต้องเอาเรือมารับส่งให้เหนื่อยหน่ายใจ! ส่วนเรื่องทางโลกไม่ใช่กงการอะไรของผู้ออกบวช!”

คำพูดนี้ของนางคล้ายกับเด็กที่รู้สึกน้อยใจ แต่ซูหงเหมิงรู้ฤทธิ์เดชของบุตรสาวบังเกิดเกล้าดี หากนางน้อยใจจนออกบวชจริงๆ ถึงเวลาองค์หญิงลงโทษสกุลซูก็ไม่ใช่กงการอะไรของซือไท่น้อยผู้นี้

อีกทั้งซูลั่วอวิ๋นก็พูดมีเหตุผล การค้าในช่วงสองปีนี้ของร้านโส่วเว่ยเริ่มซบเซาลงจริงๆ หูซื่อผู้นั้นเป็นยอดฝีมือปรุงเครื่องหอม แต่เมื่อก่อนไม่เคยเห็นว่าบุตรสาวจะมีความสามารถนี้เช่นกัน ทำให้เขาผู้เป็นบิดาต้องเปลี่ยนความคิดที่มีต่อนางจริงๆ

ถ้าซูลั่วซูอวิ๋นมีฝีมือเช่นเดียวกับมารดาที่ด่วนจากไปจริงๆ นางก็จะเป็นผีซิว เรียกทรัพย์ของสกุลซูทีเดียว! อยากอัญเชิญมาไว้ในจวนแทบไม่ทันต่างหากเล่า!

“เหลวไหล! ไข่มุกกลางฝ่ามือของข้าซูหงเหมิงจะปลงผมออกบวชได้หรือไร มารดาเจ้าคงกลัวว่าเจ้าจะคิดถึงบ้านเดิมถึงได้เอ่ยขึ้น เจ้ายังอยู่ในจวนสกุลซูมิใช่หรือ หากข้าไม่ตกลง ใครหน้าไหนก็ส่งเจ้ากลับไปไม่ได้”

ติงเพ่ยได้ยินคำพูดนี้แล้วก็ทำหน้าเจื่อนอย่างเห็นได้ชัด นางลูบฝาถ้วยชาโดยไม่พูดไม่จา

นางรู้ว่าซูหงเหมิงเกลียดชังคนที่ขัดลาภเป็นที่สุด ขณะนี้ให้ซูลั่วอวิ๋นมอบตำรับเครื่องหอมให้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ต่อให้ถูกสามีฉีกหน้าก็ต้องฝืนทนไว้

ซูลั่วอวิ๋นกล่าวช้าๆ ว่า “ถ้อยคำที่ฮูหยินใหญ่กล่าวเมื่อครู่นี้แม้ว่าจะไม่เจตนา แต่กลับเตือนสติข้าว่าตอนนี้หากคนตาบอดเช่นข้าไม่มีบิดาก็จะเป็นดั่งหญ้าป่าที่ไร้รากถูกลมพัดพาไปที่ใดก็สุดรู้…ถ้ามีเงินทองอยู่ในมือบ้าง ข้าจะได้อุ่นใจขึ้น เอาอย่างนี้แล้วกัน ท่านพ่ออยากได้ขี้ผึ้งหอมตั้นหลีนี้ก็ย่อมได้ ข้าจะปรุงให้ท่านพ่อนำไปมอบให้จวนราชบุตรเขย แต่ว่า…ท่านพ่อต้องตกลงยกหุ้นร้านโส่วเว่ยให้ข้าสามส่วน”

เดิมทีซูหงเหมิงฟังคำพูดของบุตรสาวแล้วยังรู้สึกว่านางเริ่มสำนึกตนได้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่านางจะถอนฟืนใต้กระทะจู่ๆ ก็เอ่ยปากขอหุ้นลมของร้าน เขาจึงพูดอย่างเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟทันควัน

“เหลวไหล! ข้ายังมีชีวิตอยู่ ไม่ต้องให้เจ้ามาแบ่งทรัพย์สมบัติแทนข้า! พวกน้องชายของเจ้ายังไม่มีหุ้นด้วยซ้ำ สตรีเช่นเจ้ากล้าขอโดยไม่ละอายปากได้อย่างไร”

ซูลั่วอวิ๋นล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกเสื้อ “ท่านพ่ออาศัยตำรับของท่านแม่สะสมทรัพย์สมบัติได้มหาศาล ตอนนั้นท่านแม่ไม่ได้ขอหุ้นก็ไม่เห็นว่าท่านแม่จะหลงเหลืออะไรติดตัว แล้วตอนที่กิจการของตระกูลท่านยายเกิดปัญหาเงินขาดมือ ต้องการเงินก้อนใหญ่ ท่านพ่อก็นิ่งดูดาย จากจุดนี้เห็นได้ชัดว่าเรื่องเงินทองไม่เข้าใครออกใครแม้จะเป็นญาติพี่น้องกัน ส่วนบิดากับบุตรสาวก็ต้องแบ่งแยกบัญชีกันให้ชัดเจน ในเมื่อมีความสามารถทำมาหากินได้ก็ต้องเปลี่ยนเป็นทองแท้เงินจริงมาถือไว้ในมือจะดีกว่า”

ซูหงเหมิงถูกขุดคุ้ยเรื่องในอดีตก็โกรธจนใบหน้าแดงก่ำ พูดอย่างฉุนเฉียวว่า “เจ้าคิดว่าข้าควบคุมเจ้าไม่ได้รึ อย่านึกว่าเจ้าปรุงขี้ผึ้งหอมสวะๆ ออกมาก็จะชี้นิ้วสั่งบิดาเจ้าได้”

ซูลั่วอวิ๋นกล่าวเสียงเรียบดังเดิม “ข้าเป็นสตรี อีกทั้งตั้งใจว่าจะไม่ออกเรือนชั่วชีวิต เก็บสะสมเงินทองติดตัวไว้มีอันใดไม่ถูกต้อง สำหรับน้องชายทั้งสามก็คงไม่ต่อว่าลูกเช่นกัน ได้ยินว่าสองปีมานี้ในเมืองหลวงมีร้านเครื่องหอมตั้งขึ้นใหม่หลายร้าน เช่นนั้น…ให้ข้าเอาตำรับไปลองถามพวกเขาดีหรือไม่ ในเมื่อเป็นเครื่องหอมที่ต้องพระทัยองค์หญิง ไม่นานนักก็คงแพร่สะพัดไปทั้งเมืองหลวง อย่างไรก็ต้องมีคนสายตาเฉียบคมยินยอมจ่ายเงิน”

ติงเพ่ยส่งเสียงพูดขึ้นมาในที่สุด “นี่เจ้ามิใช่กินในโกยนอก หรือไร เจ้าคิดว่าสภาพเจ้าในตอนนี้จะเอาตำรับเครื่องหอมออกไปตระเวนขายตามที่ต่างๆ ได้หรือ”

วาจาของนางมีนัยข่มขู่อย่างเห็นได้ชัด แต่ก็เตือนสติซูหงเหมิงด้วยว่าถ้าเกิดแตกหักกันจะกักขังบุตรสาวตาบอดไว้ย่อมเป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกิน เหตุใดจะต้องปล่อยให้ซูลั่วอวิ๋นกำเริบเสิบสานเอาตำรับเครื่องหอมไปขายด้วยเล่า

ซูหงเหมิงได้ติงเพ่ยเอ่ยเตือนอย่างถูกจังหวะ เขาก็ได้สติทันที อ้าปากจะตะโกนเรียกให้คนหยิบไม้เรียวมาตีมือซูลั่วอวิ๋นเป็นการลงโทษ

เถียนมามาร้อนใจอย่างยิ่ง รู้สึกว่าคุณหนูใหญ่ใจร้อนเกินไป นางอาศัยใต้ชายคาจวนสกุลซูอยู่ จะแสดงความก้าวร้าวล่วงเกินคนเช่นนี้ได้ที่ไหน

แต่ซูลั่วอวิ๋นกลับหลุบตาลงพลางกล่าวว่า “ข้าเป็นคนตาบอด จะออกไปขายของข้างนอกคงไม่ถนัด โชคดีที่ไหว้วานท่านน้าเล็กให้ทำแทนได้ เขามีลู่ทางกว้างขวาง ย่อมช่วยข้าจัดการให้เรียบร้อยได้”

ซูหงเหมิงถลึงตาใส่บุตรสาวอย่างดุดัน ความคิดในหัวแล่นเร็วรี่หลายตลบ เขารู้จักบุตรสาวหัวรั้นคนนี้ดี ยามปกติยังพอทำเนา แต่เวลาแผลงฤทธิ์ขึ้นมาไม่เกรงฟ้าดิน ก่อกวนผู้อื่นไม่ให้อยู่เป็นสุข ไม่มีความเป็นกุลสตรีเช่นมารดาของนางแม้สักเศษเสี้ยว นางมอบตำรับเครื่องหอมให้หูเสวี่ยซงไปแล้ว เห็นทีว่าคิดจะแตกหักกับเขา

หากเป็นแค่ตำรับเครื่องหอมตำรับหนึ่งก็ช่างปะไร สกุลซูที่ใหญ่โตของเขาหาได้อยากได้ใคร่มีไม่! แต่เผอิญว่าองค์หญิงอวี๋หยางส่งคนมาถาม…

นางลูกเนรคุณคนนี้! ถ้านางดื้อดึงไม่ยอมมอบตำรับให้จนเขาต้องล่วงเกินองค์หญิง เช่นนั้นขาที่เพิ่งก้าวข้ามประตูสู่เส้นทางขุนนางได้ไม่ทันไรคงต้องหักด้วนเป็นแน่แท้

นางลูกไม่รักดี! คงมิใช่ว่าท่านน้าของนางออกความคิดให้ลับหลังกระมัง!

จังหวะนี้เองซูลั่วอวิ๋นก็กล่าวต่อไปอีกคำด้วยน้ำเสียงไม่หนักไม่เบา “ท่านพ่อใจแคบถึงเพียงนี้เชียวหรือเจ้าคะ ถ้าท่านมีชีวิตอยู่ยังพอทำเนา ถึงอย่างไรก็ไม่ละเลยข้า แต่ถ้าหากวันใดท่านไม่อยู่แล้ว ข้าไม่มีเงินทองในมือ เช่นนั้นคงต้องกลายเป็นหญิงตาบอดกำพร้าบิดามารดาจริงๆ สกุลซูที่ใหญ่โตจะมีที่ให้ข้าพึ่งพาที่ไหน…”

พอพูดถึงตรงนี้ ดวงตาไร้แววของซูลั่วอวิ๋นก็มีน้ำตาเอ่อคลอฉับพลัน นางถอนสะอื้นก่อนร่ำไห้ออกมา ผ้าเช็ดหน้าที่หยิบออกมาเมื่อครู่นี้ก็ได้ใช้ประโยชน์แล้ว

แต่ไหนแต่ไรมาซูหงเหมิงเป็นคนชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง ในกาลก่อนเขาไม่เคยเห็นบุตรสาวคนโตร้องไห้ต่อหน้าตนเองโดยไม่สะกดกลั้นเช่นนี้เลย

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: