X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักห้วงฝันบันดาลรัก

ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 97-98

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่ 97 กรงเล็บมาร

หวงหร่างลูบชายกระโปรงของชุดกระโปรงตัวหนึ่ง ชายกระโปรงตัวนั้นประดับด้วยขนวิหค นุ่มนิ่มเป็นพิเศษ

ส่วนใต้เท้าเจ้ากรมกลับหันกายจะจากไป หวงหร่างนิ่งงันอยู่นาน ก่อนพบว่าเขาจะไปจริงๆ!

“ท่านจะไปที่ใด” หวงหร่างถามอย่างงุนงง

ใต้เท้าเจ้ากรมงุนงงเช่นกัน ตอบว่า “ยังมีเรื่องใดอีกหรือ”

หวงหร่างแทบไม่อยากเชื่อหูตนเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อครู่นี้ข้าคิดไปเองเช่นนั้นหรือ

นางลูบชุดกระโปรงตรงหน้า มองดูกล่องที่บรรจุโฉนดที่นาและโฉนดที่ดินไว้เต็ม ครู่ใหญ่จึงถาม “ท่าน…คิดจะกลับไปจริงๆ หรือ”

“แล้วอย่างไรเล่า” ใต้เท้าเจ้ากรมเลิกคิ้ว

หากมิใช่เห็นว่าเจ้าอายุน้อย ข้าจะหักเอวเจ้าเสีย!

หวงหร่างสะกดกลั้นโทสะในใจไว้แล้วบอกเป็นนัยว่า “หรือไม่…พวกเราออกไปกินอาหารกัน ดื่มสุราสักเล็กน้อย หลังจากนั้น…ข้าค่อยสวมชุดกระโปรงเหล่านี้ให้ใต้เท้าเจ้ากรมดูทีละตัวเป็นอย่างไร”

นางพูดพลางขยับเข้าไปใกล้ตี้อีชิว เป่าลมเบาๆ ไปที่หลังหูเขา

คนงามเปี่ยมด้วยเสน่ห์ล้นเหลือ ใต้เท้าเจ้ากรมขบคิดดูแล้วก็ตอบว่า “วันนี้งานยุ่ง ไว้วันหลังแล้วกัน”

หวงหร่างพินิจมองเขาอย่างจริงจัง อยากรู้ว่าคำพูดนี้ของเขาหมายความตามที่พูดหรือไม่

ทว่าใต้เท้าเจ้ากรมกลับจากไปอย่างเร่งรีบเสียแล้ว

ช่าง…ช่างไม่มีช่องให้จู่โจมจริงๆ!

เขายังเด็กเกินไป ต้องเป็นเพราะยังเด็กเกินไปแน่นอน ถึงอย่างไรปีนี้ก็เพิ่งอายุย่างสิบหกปีเท่านั้น

หวงหร่างเก็บชุดกระโปรงที่ทำขึ้นอย่างประณีตเหล่านี้พลางปลอบใจตนเอง

อย่าโกรธๆ

แต่จะว่าไปแล้วดูเหมือนนอกความฝันเขาก็เป็นเช่นนี้

คนผู้นี้คงมิใช่มีปัญหาอะไรจริงๆ กระมัง

 

ชานเมือง หมู่บ้านเกษตร

ซีอินทำอาหารเสร็จแล้ว นางผัดกับข้าวสองสามอย่าง ทั้งยังซื้อสุรามากาหนึ่ง

นางตั้งใจทำอาหารไว้มาก เพราะหลังจากเป้าอู่ทำงานเสร็จย่อมต้องกิน

จริงดังคาด พอเป้าอู่ตักน้ำ ผ่าฟืน และรดน้ำแปลงผักเหมือนที่เคยทำเสร็จ เขาก็เดินเข้ามานั่งลงหน้าโต๊ะ

บนโต๊ะมีบะหมี่เพิ่มมาหนึ่งชาม เขาเหลือบมองและถามว่า “วันนี้วันคล้ายวันเกิดเจ้าหรือ”

ซีอินยิ้มพลางส่ายหน้า ตอบว่า “เป็นวันคล้ายวันเกิดของอาหร่าง”

เป้าอู่ส่งเสียงตอบรับแล้วถามอีกว่า “เจ้าอุตส่าห์ทำบะหมี่อายุยืนแล้ว ไยถึงไม่เอาไปให้นางเล่า”

ซีอินแบ่งบะหมี่อายุยืนลงในชามเขา เนิ่นนานจึงตอบว่า “หากเป็นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนบางทีข้าอาจยังเอาไปให้นางได้ ทว่าตอนนี้สายเกินไปแล้ว”

นางถอนหายใจเบาๆ เป้าอู่เองก็มิได้ถามมาก เขามิใช่คนอารมณ์อ่อนไหวมาแต่ไหนแต่ไร

เขายกชามบะหมี่อายุยืนขึ้นมา กินจนหมดอย่างรวดเร็ว

ซีอินมองดูเขากินอาหาร มุมปากยกยิ้ม

นางไม่ได้จ้างบ่าวไพร่ หมู่บ้านเกษตรแห่งนี้มีแต่เป้าอู่ที่มาเป็นประจำ

นอกจากดูแลที่นาสิบหมู่นั้นแล้ว บางครั้งนางจะเขียนจดหมายถึงชวีม่านอิง ชวีม่านอิงตอบจดหมายรวดเร็วยิ่ง อีกฝ่ายมักจะเล่าว่าเพลงกระบี่ของหวงจวินก้าวหน้าไปไวมาก ซีอินอ่านอย่างตั้งใจ แต่นางไม่เคยเขียนจดหมายถึงหวงจวิน ดังเช่นที่นางไม่อยากรบกวนหวงหร่าง

เป้าอู่ไม่เข้าใจเรื่องซับซ้อนเช่นนี้ เขาพุ้ยข้าวหมดไปหนึ่งชามแล้วเอ่ยว่า “หากเจ้าไม่อยากสร้างความยุ่งยากให้แม่นางอาหร่างก็อย่าทำให้ตนเองลำบาก”

“ข้ารู้” ซีอินยิ้มพูด นางลุกขึ้นเติมข้าวให้เป้าอู่ “ข้าจะใช้ชีวิตให้ดี”

 

ทางด้านหวงหร่างกำลังตั้งใจตรวจนับที่นาของตี้อีชิว

ไม่ใช่ ตอนนี้เป็นของนางแล้ว

ในฐานะภูตดินที่มีความสามารถ นางแบ่งสันที่นาเหล่านี้อย่างรวดเร็ว แต่ชาวนายังไม่เพียงพอ

หวงหร่างบังเกิดความคิด…ศิษย์ในสำนักปรับปรุงพันธุ์พืชเหล่านั้นไม่มีแปลงปลูกทดลองมิใช่หรือ!

ดังนั้นนางจึงไปหาจงจื่อกุย บอกว่าตนจะมอบที่ดินให้และสอนศิษย์เหล่านั้นปรับปรุงพันธุ์พืช!

จงจื่อกุยดีใจจนหุบปากไม่ลง ตอบตกลงโดยไม่คิดทันที

ศิษย์เหล่านั้นเดิมทีมีความกังวลมากทีเดียว…จะให้เรียนรู้การปรับปรุงพันธุ์พืชกับปลาเค็มอย่างหวงหร่างหรือ

ทว่าความกังวลนี้สลายหายไปทั้งหมดหลังจากที่พวกเขาได้เห็น ‘แปลงปลูกทดลอง’ ในอนาคตของตนเอง

ดังนั้นหวงหร่างจึงได้แรงงานมาจำนวนหนึ่ง จงจื่อกุยได้ผู้ชี้แนะโดยไม่ต้องเสียเงิน บรรดาศิษย์ก็ได้รับแปลงปลูกทดลองชั้นดีและมีพื้นที่กว้างใหญ่

หวงหร่างวางแผนปรับปรุงเมล็ดพันธุ์อย่างรวดเร็ว บรรดาศิษย์เห็นเมล็ดพันธุ์จำหน่ายที่นางต้องการให้ปรับปรุงแล้วก็ไม่พอใจทันที

ภูตดินตนหนึ่งที่มีชื่อว่าซารั่วเอินเอ่ยว่า “ปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ข้าวฟ่างหรือ เช่นนี้จะคิดค้นเมล็ดพันธุ์เลื่องชื่ออะไรออกมาได้”

เดิมทีซารั่วเอินก็มีเชื้อสายภูตดิน จะว่าไปแล้วก็เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ แต่น่าเสียดายที่บิดามารดาเขาจากไปเร็ว ตระกูลจึงตกต่ำ เพื่อยึดครองกิจการ คนในตระกูลจึงไล่เขาออกมา

เขาไม่มีที่ให้ไป สำนักปรับปรุงพันธุ์พืชงดเว้นค่าเล่าเรียนให้เขา ทำให้เขารั้งอยู่ในกรมซือเทียน

แม้จะเป็นภูตดินเช่นนี้ แต่ในสำนักปรับปรุงพันธุ์พืชก็นับเป็นสมบัติล้ำค่า

ส่วนภูตดินอีกตนก็ไม่ต่างกันนัก บิดามารดาเคราะห์ร้าย เกิดมาก็ถูกทอดทิ้ง ราชสำนักเก็บกลับมาและถูกวางไว้เป็นสมบัติล้ำค่าในสำนักปรับปรุงพันธุ์พืช จงจื่อกุยตั้งชื่อให้เขาด้วยตนเองว่าจงฉีกวง

ทั้งสองเป็นศิษย์ที่จงจื่อกุยตั้งใจบ่มเพาะ

เนื่องจากหวงหร่างทำตัวเป็นปลาเค็มมาโดยตลอด ให้มาเล่าเรียนกับนาง ทั้งสองย่อมไม่ยอมรับนับถือ

“ข้าวฟ่างเป็นธัญพืชหลัก ชาวบ้านที่เพาะปลูกไม่มีหนึ่งหมื่นก็มีแปดพัน ตระกูลนักปรับปรุงพันธุ์พืชใหญ่ๆ ทำความเข้าใจการปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ของมันจนปรุโปร่งหมดแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องปรับปรุงอีก” ซารั่วเอินกล่าว “ต่อให้พวกเราปรับปรุงเมล็ดพันธุ์จำหน่ายที่ดีเพียงใดออกมา สุดท้ายก็เป็นดั่งแสงดาวที่ถูกตะวันจันทราบดบัง มิสู้คิดค้นเมล็ดพันธุ์แปลกๆ จึงจะทำให้คนหันมาสนใจได้!”

ซารั่วเอินปรับปรุงพันธุ์พืชมานานปี จึงมีความคิดเป็นของตนเอง

ศิษย์คนอื่นๆ ไม่แสดงความเห็น ทางหนึ่งพวกเขาไม่กล้าล่วงเกินหวงหร่าง เพราะเกรงว่าจะเสียแปลงปลูกทดลองที่ดีถึงเพียงนี้ไป อีกทางหนึ่งพวกเขาก็ไม่สนับสนุนหวงหร่างเช่นกัน ถึงอย่างไรเมื่อก่อนนางก็เป็นปลาเค็มตัวหนึ่ง ปราศจากความน่าเชื่อถือ

ทุกคนต่างเฝ้ารอว่าหวงหร่างจะโต้แย้งซารั่วเอินอย่างไร

ละครสนุกเช่นนี้ใครบ้างไม่ชอบดูเล่า หากทั้งสองถกเถียงกันขึ้นมา ทุกคนย่อมได้ชมความครึกครื้น

หวงหร่างมองดูซารั่วเอินพลางเอ่ยว่า “สมัยข้าเป็นเด็กก็คิดเช่นนี้”

ซารั่วเอินยิ้มหยัน “สมัยท่านเป็นเด็ก? สมัยท่านเป็นเด็กมิใช่อยู่ในสำนักปรับปรุงพันธุ์พืชแต่ไม่เคยปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ใดออกมาสักอย่างหรือ”

รอบด้านมีคนหัวเราะออกมา หวงหร่างกระดิกนิ้วเรียกเขา ซารั่วเอินย่อมไม่กลัวอยู่แล้ว เขาเดินไปตรงหน้าหวงหร่าง หวงหร่างบอกให้เขาแบมือออก จากนั้นก็วางเมล็ดพันธุ์เมล็ดหนึ่งลงบนมือเขา

ซารั่วเอินก้มหน้าก็พบว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ข้าวฟ่าง

เมื่อมอบเมล็ดพันธุ์ให้แล้ว หวงหร่างก็ไอเสียงดังกลบเสียงอื่นๆ ไป

ทุกคนต่างคิดว่านางจะพูดเรื่องสำคัญ จึงอดหันมามองมิได้

หวงหร่างกวาดสายตามองทุกคนอย่างน่าเกรงขาม โบกมือและใช้คำพูดแค่ประโยคเดียวซื้อใจคน

นางเอ่ยว่า “หากไม่เชื่อฟังก็จะไม่ได้แปลงปลูกทดลอง!”

 

ทุกคนเริ่มปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ข้าวฟ่างตามคำชี้แนะของหวงหร่าง ส่วนซารั่วเอินยังคงไม่ยอมรับ แต่แปลงปลูกทดลองของสำนักปรับปรุงพันธุ์พืชก็เล็กเกินไปจริงๆ…

หวงหร่างมองดูศิษย์กลุ่มนี้ก้มหน้าหว่านเมล็ดพันธุ์ ลอบสาแก่ใจ…คนเรายังคงต้องมีที่ดินที่นา เช่นนี้ข้าก็ไม่ต้องมีเหตุผลด้วยซ้ำ…

และข่าวที่สร้างความตื่นเต้นมากยิ่งกว่าก็แพร่ออกมาไม่นานหลังจากนั้น

เมล็ดพันธุ์จำหน่ายที่ใต้เท้าเจ้ากรมซื้อจากตระกูลนักปรับปรุงพันธุ์พืชใหญ่ๆ ในปีนี้เป็นสองในสามส่วนของปีที่ผ่านมาเท่านั้น เขาเหลือหนึ่งในสามส่วนไว้เพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์จำหน่ายจากหวงหร่างโดยเฉพาะ

เงื่อนไขคือเมื่อขายเมล็ดพันธุ์จำหน่ายเหล่านี้จะไม่มีการกำหนดจำนวนที่นาของชาวนาที่ซื้อเมล็ดพันธุ์ไปเพาะปลูก

เรื่องนี้ตระกูลนักปรับปรุงพันธุ์พืชใหญ่ๆ ยังคิดจะคัดค้าน แต่กลับไม่สำเร็จ

เมื่อเมล็ดพันธุ์จำหน่ายชุดนี้เก็บเกี่ยวได้ก็ใช้ฉลากผนึกของตี้ซานเมิ่ง พอศิษย์ทั้งหลายเห็นชื่อของตนเองปรากฏอยู่บนฉลากผนึกของตี้ซานเมิ่ง ทุกคนล้วนมีน้ำตาร้อนเอ่อคลอ ซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง

และความเชื่อมั่นที่ราษฎรมีต่อตี้ซานเมิ่งก็ทำให้เมล็ดพันธุ์จำหน่ายเหล่านี้ถูกขายออกไปจนหมดก่อนเวลาอย่างไร้อุปสรรค

สำนักปรับปรุงพันธุ์พืชก่อตั้งมาหลายสิบปียังไม่เคยขายเมล็ดพันธุ์จำหน่ายได้มากเท่านี้มาก่อน

ในหอพักศิษย์ ซารั่วเอินประคองกระถางต้นไม้ใบหนึ่ง เหม่อลอยอยู่นาน

จงฉีกวงเดินเข้าไปถามว่า “เป็นอะไรไป”

ซารั่วเอินหันกลับมาแล้วยื่นกระถางไปให้

จงฉีกวงมองดูพันธุ์พืชในกระถาง เป็นข้าวฟ่างต้นหนึ่ง นั่นคือเมล็ดพันธุ์ที่หวงหร่างวางลงกลางฝ่ามือซารั่วเอินก่อนหน้านี้ บัดนี้ได้เวลาเก็บเกี่ยวแล้ว มันทิ้งรวงด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง เมล็ดใหญ่อวบอิ่มยิ่งกว่าเมล็ดพันธุ์ข้าวฟ่างใดๆ ในท้องตลาด

จงฉีกวงพินิจมองอยู่นาน ยิ้มพลางเอ่ยว่า “นางสามารถเป็นอาจารย์ของพวกเราได้ใช่หรือไม่”

ซารั่วเอินพูดเสียงอู้อี้ “ข้าอยากไปหานาง”

จงฉีกวงถาม “ไยถึงไม่ไปเล่า”

ซารั่วเอินใบหน้าแดงก่ำ “ครั้งก่อนข้าล่วงเกินนาง”

จงฉีกวงยิ้ม “ไปเถิด ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

พอซารั่วเอินหันมา จงฉีกวงก็กล่าวขึ้นอีก

“ข้าเองก็อยากไปเยี่ยมคารวะนางนานแล้ว”

 

ซารั่วเอินกับจงฉีกวงมาที่หอพักศิษย์ของหวงหร่างด้วยกัน

หวงหร่างเห็นพวกเขาสองคนก็พูดทันที “พวกเจ้ามาได้จังหวะพอดี รีบมาช่วยข้าที!”

สองคนก้าวเข้าไปก็พบว่าในหอพักศิษย์ของหวงหร่างเต็มไปด้วยกระถางและขวดมากมาย

เรื่องนี้ไม่แปลก เป็นนักปรับปรุงพันธุ์พืชไม่มีของพวกนี้ย่อมแปลก

หวงหร่างพูดว่า “แปลงปลูกทดลองของสำนักปรับปรุงพันธุ์พืชว่างลงแล้วใช่หรือไม่ ไปๆ พวกเราไปปลูกอะไรสนุกๆ กัน”

ซารั่วเอินเหลือบมองในกระถาง กล้าพันธุ์ต้นนั้นแปลกประหลาดจริงๆ เขาจึงถาม “นี่คือสิ่งใด”

หวงหร่างทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง “ข้าอยากเรียกมันว่า…ฉางเซียงอี*!”

“ฉางเซียงอี?” จงฉีกวงกับซารั่วเอินงุนงง

หวงหร่างอธิบาย “ต้นไม้นี้เจริญเติบโตเป็นชื่อคนผู้หนึ่งได้ นี่อย่างไร แค่ตอนเพาะปลูกเขียนชื่อลงไปในวงกลมนี้ เวลามันเจริญเติบโตขึ้นมาก็จะเป็นเช่นนี้”

นางชี้แม่พิมพ์ใต้กระถางพลางพูด

ซารั่วเอินถาม “ต้นไม้นี้…มีประโยชน์อันใด”

“ไม่มีประโยชน์อันใด” หวงหร่างทำท่าทางลึกลับ “เจ้าอยากปรับปรุงพันธุ์พืชที่แปลกใหม่ไม่ใช่หรือ”

ซารั่วเอินเกาศีรษะพลางเอ่ยว่า “แต่…ท่านบอกให้พวกเราปรับปรุงธัญพืชหลักไม่ใช่หรือ”

หวงหร่างโบกมือ “ธัญพืชหลักเป็นวิชาพื้นฐาน ตอนนั้นพวกเจ้ายังเดินไม่เป็นก็คิดจะบินเสียแล้ว มาๆ วันนี้พี่หร่างจะพาพวกเจ้าบินสักครั้ง!”

นางเขียนคำว่า ‘ซารั่วเอิน’ ลงบนแม่พิมพ์เมล็ดพันธุ์เมล็ดหนึ่งด้วยท่าทางกระตือรือร้น

จงฉีกวงเห็นแล้วนึกสนุก จึงหยิบเมล็ดพันธุ์มาหนึ่งเมล็ดแล้วเอาอย่างบ้าง

 

เมื่อต้นไม้สามต้นเจริญเติบโตขึ้นพร้อมกันและมีขนฟูฟ่องเป็นตัวอักษร ‘หวงหร่าง’ ‘จงฉีกวง’ และ ‘ซารั่วเอิน’ อย่างราบรื่น ผู้คนในกรมซือเทียนต่างตกใจ คิดว่าเกิดเรื่องน่าอัศจรรย์ขึ้นแล้ว!

ทุกคนพากันไปดูต้นไม้ทีละต้น

พวกหวงหร่างกระหยิ่มยิ้มย่อง หัวหน้าสำนักจงจื่อกุยมองดูอยู่พักหนึ่งก่อนถามว่า “ต้นไม้นี้มีประโยชน์อันใด”

“ไม่มีประโยชน์อันใด” หวงหร่างส่ายหน้า “แค่…จะเจริญเติบโตเป็นชื่อที่ต้องการเท่านั้น”

“หวงหร่าง!!” จงจื่อกุยคว้าไม้กวาดขึ้นมา หวงหร่างเฉลียวฉลาดเพียงใด พอเห็นว่าไม่ได้การก็หันหลังวิ่งหนี จงจื่อกุยโมโหจนวิ่งไล่ตีนางไปทั่วลานเรือน “เจ้าคนไม่เอาการเอางาน! ข้างนอกมีเรื่องสำคัญมากมายเพียงใดรอให้เจ้าไปทำ หา? เจ้ากลับมาวุ่นวายกับของไร้ประโยชน์พวกนี้ที่นี่…”

หวงหร่างวิ่งหนีเขาอย่างสนุกสนาน นางหัวเราะเสียงดัง “หัวหน้าสำนักจง ชีวิตมนุษย์เราเป็นเพียงความฝันครั้งหนึ่งเท่านั้น มากน้อยก็ต้องทำเรื่องที่ไม่มีประโยชน์บ้าง…”

 

สุดท้ายจงจื่อกุยก็นำความไปฟ้องใต้เท้าเจ้ากรม

หัวหน้าสำนักผู้นี้มิได้โง่ ตอนไปฟ้องเขาไม่ได้บอกว่าหวงหร่างไม่เอาการเอางาน แต่บอกว่าหวงหร่าง ซารั่วเอิน และจงฉีกวงปลูกต้นไม้ร่วมใจขึ้นมาสามต้น

คืนวันนั้นหวงหร่างถูกใต้เท้าเจ้ากรมบิดหู บอกให้ย้ายต้นไม้ที่นางปลูกต้นนั้นกลับไปยังกองเสวียนอู่

ต้นไม้มีขนาดไม่เล็ก นางต้องออกแรงขุดและแซะคนเดียว ใต้เท้าเจ้ากรมนั่งอยู่ด้านข้างโดยไม่ทำอะไร ไม่ยอมยื่นมือเข้าช่วย

ยากเย็นทีเดียวกว่าหวงหร่างจะลากต้นไม้กลับไปที่กองเสวียนอู่ได้ นางมองดูอยู่นานก่อนจะปลูกไว้ตรงหัวมุม

ทว่าใต้เท้าเจ้ากรมยังคงไม่ยอมเลิกรา บังคับให้หวงหร่างปลูกอีกต้นไว้ด้านข้างโดยเขียนชื่อตนลงไป

รอจน ‘ตี้อีชิว’ เติบโตขึ้นมาก็เคียงคู่อยู่กับ ‘หวงหร่าง’ พอดี

คนที่เดินผ่านมาตรงนี้ต่างอดมิได้ที่จะเผยรอยยิ้มน้อยๆ อย่างเข้าใจ

มีเพียงหวงหร่างที่เหม่อลอยเป็นครั้งคราว

นอกความฝันในรัชศกเฉิงหยวนปีที่หนึ่งร้อยสิบห้า ที่ตรงนี้ก็เคยปลูกต้นไม้ต้นหนึ่ง

เป็นเนี่ยนจวินอันที่ผลิบานเมื่อต้องหิมะ

วิถีแห่งกาลเวลากำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ โดยไม่รู้ตัว ทำให้คนยากจะแยกแยะจริงเท็จ

ผู้คนในกรมซือเทียนเองก็เคยชินกับต้นไม้สองต้นที่อิงแอบอยู่ด้วยกันแล้ว หวงหร่างจึงตัดสินใจใช้สิ่งนี้เป็นที่มา ตั้งชื่อให้ต้นไม้นี้ว่า ‘ฉางเซียงอี’

เมื่อนำฉางเซียงอีออกจำหน่ายก็เกิดเป็นกระแสนิยมทันที

คู่รักแทบทั้งหมดในโลกสามัญล้วนต้องปลูกไว้สักสองต้น ใช้มันเป็นสัญญาใจ

รอจน ‘ตี้อีชิว’ เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ สูงกว่า ‘หวงหร่าง’ รัชศกเฉิงหยวนปีที่สี่ก็มาเยือนอย่างเงียบๆ

วันคล้ายวันเกิดอายุครบสิบแปดปีของใต้เท้าเจ้ากรมกำลังจะมาถึง

หวงหร่างถูกรงเล็บมารของตน น้ำลายหกจากมุมปาก

บทที่ 98 กระดูกคนงาม

วันที่หนึ่งเดือนสิบ

วันคล้ายวันเกิดของใต้เท้าเจ้ากรม วังหลวงส่งคนมาเรียกเขาเข้าวังตั้งแต่เช้าตรู่

เขากินอาหารกับซือเวิ่นอวี๋ หลังจากนั้นไปเซ่นไหว้อดีตฮองเฮา กว่าจะกลับมายังกรมซือเทียนอีกทีท้องฟ้าก็มืดแล้ว

ใต้เท้าเจ้ากรมรออาหารค่ำของหวงหร่าง แต่นางมิได้มา พอไปหาที่หอพักศิษย์รอบหนึ่งก็ไม่พบคน ดูเหมือนนางจะออกไปข้างนอก

เขาไม่ถือสา…หวงหร่างเองก็คงยุ่งมาก

จวบจนถึงยามกลางคืน มีคนเข้ามารายงานว่า “เจ้ากรม แม่นางอาหร่างให้คนส่งจดหมายฉบับหนึ่งมา”

“จดหมายหรือ” ตี้อีชิวขมวดคิ้ว เขารับจดหมายมาเปิดออกดู ในนั้นเขียนว่า

 

มาที่หอเป้าฉิน

 

หอเป้าฉินหรือ

แม้ตี้อีชิวจะไม่เสาะหาบุปผาถามหาต้นหลิว แต่ก็รู้ว่าหอเป้าฉินเป็นสถานที่เช่นไร

…สถานที่เช่นนี้จ่ายภาษีในแต่ละปีสูงมาก เขาย่อมจดจำได้

หวงหร่างนัดเขาไปที่นั่นเพื่ออันใด

แต่พอมองดูลายมือบนจดหมายอีกครั้ง…หวงหร่างใช้ลายมือแบบที่เขียนลงบนฉลากผนึกของตี้ซานเมิ่ง

ปกติลายมือนี้นางไม่ค่อยใช้

ใต้เท้าเจ้ากรมไม่ลังเลอีก ตรงออกจากกรมซือเทียน มุ่งหน้าไปยังหอเป้าฉินทันที

 

ตี้อีชิวไม่ชื่นชอบเรื่องราวสายลมจันทรา ยามนี้เมื่อมาถึงสถานที่แห่งนี้ ได้กลิ่นเข้มข้นของแป้งชาดน้ำมันหอมแล้วก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

หน้าประตูมีสตรีมากมายกำลังต้อนรับแขก บ้างแต่งกายฉูดฉาด บ้างสง่างามเรียบร้อย เมื่อเห็นเขาทุกคนกลับเม้มปาก มิได้ก้าวเข้ามา แต่เป็นบ่าวชายแต่งตัวสะอาดสะอ้านคนหนึ่งเข้ามาถามแทน

“มิทราบว่าผู้ที่มาใช่ใต้เท้าชิวหรือไม่”

ตี้อีชิวตอบรับ บ่าวชายผู้นั้นจึงรีบนำทางเข้าไปข้างใน

“ในที่สุดใต้เท้าชิวก็มาจนได้ เชิญตามข้าน้อยมาเถิดขอรับ”

ทั้งสองคนเดินไปตามระเบียงวน สรรพเสียงรอบด้านค่อยๆ เงียบลง ทางข้างหน้ายิ่งเดินยิ่งมืดสลัว บ่าวชายผู้นั้นจึงถือโคมแดงดวงหนึ่งนำทางให้เขา

จู่ๆ ตี้อีชิวก็หลุดพ้นจากเสียงจอแจของผู้คนเมื่อครู่เข้าสู่ความเงียบงัน ข้างหูได้ยินเสียงน้ำไหลจากภูเขาจำลองเป็นครั้งคราว คล้ายเหยียบย่างเข้าไปในโลกอีกใบ

บ่าวชายเดินไปด้วยพูดไปด้วยว่า “ได้ยินว่าคุณชายเป็นใต้เท้าท่านหนึ่งในกรมซือเทียน ช่วงนี้ละแวกนี้เกิดเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่งขอรับ”

เขาพูดอย่างลึกลับ ตี้อีชิวฟังแล้วก็เอ่ยว่า “อ้อ? เรื่องใดหรือ”

“ห้องพิเศษห้องหนึ่งของพวกเรามีผีหลอก” บ่าวชายผู้นั้นทำท่าทางลึกลับพลางพูดเสียงค่อย

ตี้อีชิวฟังเขาเล่าจนบังเกิดความสนใจ จึงถามว่า “หลอกอย่างไร”

เสียงของบ่าวชายคนนั้นแผ่วเบา ยามสะท้อนอยู่กลางระเบียงวนมืดสลัวฟังดูเยียบเย็นน่าสะพรึงอยู่หลายส่วน

“ที่นี่มีสถานที่แห่งหนึ่งชื่อว่าสระเฟิงเยวี่ย ในสระมีกระดูกคนงาม ทุกครั้งเวลามีบุรุษรูปงามผ่านมาริมสระ กระดูกคนงามจะจำแลงกายเป็นหญิงงาม ล่อลวงบุรุษจนลุ่มหลงเคลิบเคลิ้ม หลอกล่อให้พวกเขาลงไปในสระน้ำทีละก้าว…”

“อ้อ?” ตี้อีชิวดูแคลนเรื่องราวสายลมจันทราเช่นนี้เสมอมา คนผู้หนึ่งต้องไร้สติปัญญามากเพียงใดถึงได้ถูกผีสตรีล่อลวงเช่นนี้ เขาจึงตอบส่งเดช “เช่นนั้นสตรีในสระที่จำแลงกายมาจากกระดูกคนงามคงจะงามสะคราญมากเป็นแน่”

เวลานี้บ่าวชายพาเขาเข้าไปในห้องโถงใหญ่ที่มืดสนิทแห่งหนึ่ง กลางอากาศยื่นมือออกไปมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า

เขาชูโคมแดงขึ้นสูงช้าๆ แสงสีแดงสลัวส่องใบหน้าเขา เผยให้เห็นใบหน้าที่ดูน่าสะพรึง “เช่นนั้น…ก็ได้แต่ให้ใต้เท้าสัมผัสด้วยตาตนเองแล้ว”

กล่าวจบเขาก็ถอยหลังไปช้าๆ

หลังจากนั้นประตูใหญ่สองบานก็ส่งเสียงดังปัง ปิดเข้าด้วยกันทันใด

ตี้อีชิวย่อมไม่กลัวอยู่แล้ว เวลานี้เองแสงอ่อนสลัวจุดหนึ่งตกกระจายอยู่เบื้องหน้า ตี้อีชิวได้ยินเสียงน้ำก็เพ่งสายตามองไป เห็นเพียงข้างหน้าเป็นสระน้ำ มีเสียงสังคีตแผ่วเบาลอยออกมาจากหลังฉากบังลม

ริ้วคลื่นในสระไหวกระเพื่อมน้อยๆ สตรีนางหนึ่งใช้มือเปล่าประคองดอกบัวขาว ก้าวขึ้นมาจากน้ำช้าๆ

เรือนผมดำของนางดั่งสาหร่าย สายน้ำไหลหยดดั่งน้ำตกดั่งไข่มุก ผ้าโปร่งบนร่างบางเบาแนบติดกับเรือนกาย ขับเน้นทรวดทรงอรชร ยากจะวาดหรือบรรยายออกมาได้

เทียนไขรอบด้านสว่างขึ้นเองเล่มแล้วเล่มเล่า โดยรอบปราศจากลม

ส่วนคนงามเอวบางร่ายรำเท้าเปล่าอยู่ในน้ำ ผิวพรรณดั่งก้อนไขมัน ท่วงท่าดั่งนกห่านป่าที่โผบิน

ตี้อีชิวลมหายใจขาดห้วงทันใด

ท่ามกลางแสงเทียนสลัวราง คนงามค่อยๆ ร่ายรำและขึ้นจากน้ำ ดอกบัวขาวที่นางประคองอยู่ดอกนั้นเห็นได้ชัดว่าซ่อนวัตถุเวทที่ทำให้เสื้อผ้าแห้งเอาไว้ ดังนั้นเมื่อนางพ้นจากผิวน้ำ ผ้าโปร่งของนางก็แห้งแล้ว เรือนผมยาวดั่งเส้นไหมดั่งหมู่เมฆ

เท้าเปล่าของคนงามย่างเหยียบลงบนขั้นบันไดหยก ราวกับในที่สุดก็สังเกตเห็นแขกแปลกหน้า

คิ้วตาของนางทรงเสน่ห์ มือหยกแบบบาง ข้างหนึ่งประคองบุปผา อีกข้างหนึ่งกระดิกนิ้วให้เด็กหนุ่ม

ใต้เท้าเจ้ากรมเหมือนถูกเกี่ยววิญญาณไป

เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองได้ก้าวไปข้างหน้าหรือไม่ แต่พอได้สติกลับมาก็มาอยู่ริมสระน้ำแล้ว

คนงามอมยิ้ม ระลอกคลื่นในดวงตาดั่งน้ำตาลน้ำผึ้ง เผยประกายวาววับออกมา

นางกึ่งเอนกายอยู่ริมสระที่ปูด้วยหินสีดำ สวมอาภรณ์ผ้าโปร่งทั่วร่าง ครึ่งหนึ่งปกปิดท่อนขาขาวราวหยกไว้ อีกครึ่งหนึ่งทิ้งตัวลงในน้ำ แสงสลัวตกกระจายลงมา แขนเสื้อของนางทอประกาย ปราศจากมลทินดั่งหยกและน้ำแข็งแกะสลัก

ข้างกายนางมีป้านสุราดอกบัวขาวหนึ่งป้านกับถ้วยหยกหนึ่งใบตั้งอยู่

คนงามรินน้ำทิพย์เบาๆ ดื่มไปครึ่งถ้วย ใต้เท้าเจ้ากรมนั่งลงตรงข้ามนางอย่างอดมิได้ คนงามใช้มือประคองถ้วยแล้วยื่นไปที่ริมฝีปากเขา ใต้เท้าเจ้ากรมได้กลิ่นหอมอ่อนจาง กลิ่นนั้นดั่งมธุรสดั่งบุปผา ขจัดความไม่ชื่นชอบที่เขามีต่อแป้งชาดน้ำมันหอมไป

ถ้วยหยกถูกยกมาที่ริมฝีปาก เขาอ้าปากดื่มเล็กน้อย ในถ้วยหยกมิใช่เมรัย แต่ดื่มเข้าไปกลับสดชื่นดั่งปั้วเหอ คนงามรอเขาลิ้มรสเสร็จก็เก็บมือกลับมา ปลายนิ้วนางเย็นเล็กน้อย ลูบกลางหน้าผากเขาเบาๆ แล้วเลื่อนลง ไล้ผ่านสันจมูก กลีบปาก สุดท้ายหยุดตรงลูกกระเดือกเขาครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็วางถ้วยและลงไปในสระ

ตี้อีชิวได้ลิ้มรสหวานสดชื่นเพียงน้อยนิดจากริมฝีปาก ทั้งยังได้กลิ่นหอมอ่อนจางของบุปผา

เขายื่นมือออกไปหมายจะคว้าท่อนแขนหยกของคนงาม แต่ผิวพรรณของคนงามนุ่มลื่น นางถอยหลังไปช้าๆ ดังนั้นแม้กระทั่งปลายนิ้วจึงหลุดจากมือเขาไปด้วย มือของใต้เท้าเจ้ากรมคว้าได้เพียงแขนเสื้อผ้าโปร่งครึ่งหนึ่งเท่านั้น

แขนเสื้อผ้าโปร่งบางเบา เขาไม่อาจหักใจออกแรง ได้แต่ปล่อยให้มันลื่นผ่านฝ่ามือไปประดุจเม็ดทราย

แขนเสื้อผ้าโปร่งของคนงามทิ้งตัวลง บดบังสายตาของเขา เท้าเปล่าของนางก้าวถอยหลังลงไปในน้ำอีกครั้ง น้ำในสระที่ดูลึกท่วมเท้าเล็กของนาง ทำให้ผ้าโปร่งบางพลิ้วเปียกชุ่ม สุดท้ายนางก็จมลงไปอย่างช้าๆ

ตี้อีชิวยื่นมือออกไป กุมมือหยกที่ประคองดอกบัวเอาไว้ นิ้วมือทั้งห้าของนางคลายออก ดอกบัวลอยล่องบนผิวน้ำ

ภาพตรงหน้าช่างงดงาม เห็นแล้วน่าตกใจยิ่ง

ตี้อีชิวไม่สนใจอะไรอีก ตามนางลงไปในน้ำ

น้ำในสระเย็นเล็กน้อย ท่ามกลางผืนน้ำใสกระจ่างนี้ ผ้าโปร่งสีขาวของนางแผ่พลิ้วดั่งหยกงามที่กำลังหลอมละลาย

น้ำในสระค่อยๆ โอบกอดนาง นางจมลงไปอีกครั้ง

เขาไล่ตามไป วงแขนดั่งงูน้ำของนางจึงเลื้อยพันเขาอย่างช้าๆ ริมฝีปากนางยื่นเข้ามา ลมหายใจของคนงามหอมดุจกล้วยไม้ ในน้ำที่เย็นเล็กน้อยมีเพียงริมฝีปากอวบอิ่มของนางที่อุ่นร้อน

ใต้เท้าเจ้ากรมมิได้ดื่มสุรา แต่โลหิตของเขากลับเดือดพล่านปั่นป่วน

เขาตอบกลับด้วยจุมพิตล้ำลึกที่เร่าร้อนยิ่งกว่า ผ้าโปร่งของคนงามถูกปลดเปลื้องไปในสายน้ำ พลิ้วไหวดุจก้อนเมฆ นั่นเป็นความงามที่เย้ายวนวิญญาณปานใด

ทว่าเขาที่มิได้ฝึกบำเพ็ญเป็นเซียนมิอาจอยู่ใต้น้ำได้นานนัก โดยเฉพาะเมื่อลมหายใจสับสนยิ่งมิอาจกลั้นหายใจได้นาน

คนงามดึงเขาลงไปที่ก้นสระ รั้งอยู่ในอ้อมแขนเขาชั่วครู่ จากนั้นมือขาวเนียนของนางก็ออกแรงผลักเขาออก

ท่ามกลางประกายแสงสีฟ้า ใต้เท้าเจ้ากรมมองดูนางจมลงไปที่ก้นสระ ส่วนตนเองถูกนางดันกลับขึ้นไปบนผิวน้ำ เขาสูดหายใจเข้าคราหนึ่งและดำดิ่งลงไปอีกครั้งทันที แต่ใต้น้ำกลับไม่มีคนงามดั่งหยกแล้ว

ใต้เท้าเจ้ากรมเสาะหาจนทั่ว พบเพียงกระดูกคนงามที่ทำจากผลึกแก้วสีชมพูท่อนหนึ่ง

“อาหร่าง…” เขาเสาะหาไปทั่ว ทว่าใต้น้ำไร้เสียง ทั้งยังว่างเปล่าปราศจากคน เขาจึงได้แต่นำกระดูกคนงามท่อนนี้ว่ายกลับเข้าฝั่ง เสียงสังคีตหลังฉากบังลมค่อยๆ หยุดลง ประตูห้องเปิดออก บ่าวชายนำเสื้อผ้าเข้ามาให้

“คุณชายชิว เชิญเปลี่ยนเสื้อผ้าขอรับ” บ่าวชายยิ้มพลางพูด

ครั้งนี้เทียนไขสว่างขึ้นกว่าเดิม ภายใต้แสงสว่างจ้า ในที่สุดใต้เท้าเจ้ากรมก็มองเห็นชัดเจนว่าในห้องนี้มีเพียงสระน้ำกับฉากบังลมเท่านั้น หลังฉากบังลมมีนักดนตรีแค่สองสามคน

เขามองไปยังสระน้ำอีกครั้ง ในน้ำไม่พบร่องรอยของคนงาม มีเพียงดอกบัวสีขาวดอกหนึ่งลอยกระเพื่อมตามคลื่นน้ำอยู่

ใต้เท้าเจ้ากรมย้อนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ รู้สึกเหมือนจมลงสู่เมฆหมอกและห้วงฝัน

บ่าวชายยิ้ม “ข้าน้อยบอกแล้วว่าที่นี่…มีผีหลอก คุณชายเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็รีบจากไปเถิด” กล่าวจบเขาก็ชำเลืองมองกระดูกแก้วผลึกสีชมพูในมือใต้เท้าเจ้ากรม จากนั้นก็ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “เป็นโครงกระดูกสีชมพูแท้ๆ”

ตี้อีชิวกำกระดูกคนงามท่อนนั้น เข้าใจกิเลสและความปรารถนาในโลกมนุษย์นับแต่นี้ไป

 

ทางด้านหวงหร่างกำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า

เจ้าหอช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยตนเองพลางพูดเบาๆ “ความชื่นชอบเล็กน้อยของบุรุษนี้นับว่าถูกเจ้าเอามาเล่นสนุกอย่างช่ำชอง!”

หวงหร่างหัวเราะคิกคัก “มิใช่เพราะพบคนที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้หรือ จึงเปิดหูเปิดตาให้เขาสักหน่อย”

เจ้าหอเอ่ยว่า “ด้วยความสามารถนี้ของเจ้า บุรุษเช่นไรบ้างที่จะคว้ามาครองไม่ได้ ไยจำเพาะต้องเลือกแตงที่ยังไม่สุก ด้วยเล่า!”

“หึ” หวงหร่างไม่ชอบฟังเสียแล้ว “แตงนี้นอกจากอ่อนไปบ้าง อย่างอื่นล้วนดีมาก”

เจ้าหอเข้าใจ “ดูจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของเขาคงเป็นผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง ทั้งยังหล่อเหลาอ่อนเยาว์ เฮ้อ ไม่แปลกที่เจ้าจะทุ่มเทถึงเพียงนี้ แต่อุตส่าห์มาถึงขั้นนี้แล้ว ไยเจ้าถึงไม่ปล่อยให้เรื่องราวเป็นไปตามครรลอง ค้างแรมกับเขาเสียเลยเล่า”

หวงหร่างสวมเสื้อผ้าเสร็จก็ตอบว่า “ทำเช่นนั้นไม่ได้ นั่นจะเป็นการทำลายหน้าตาของผู้อาวุโสบ้านข้า”

ยามที่เอ่ยคำว่า ‘หน้าตา’ คำนี้ ตัวนางเองก็ยังตกใจ

เมื่อก่อนนอกความฝันนางหาใช่คนที่สนใจเรื่องหน้าตาไม่

…บิดาอย่างหวงซู่จะมีหน้าตาอะไรให้กล่าวถึง

แต่บัดนี้นางเป็นหลานสาวของเหอซีจินกับชวีม่านอิง

เหอซีจินเป็นเจ้าสำนักกระบี่หรูอี้ มีชื่อเสียงด้านคุณธรรมอย่างกว้างขวางในสำนักเซียนมาโดยตลอด ชวีม่านอิงยิ่งเป็นสตรีที่ไม่ด้อยไปกว่าบุรุษ

ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจทำให้พวกเขาสามีภรรยามัวหมอง

หวงหร่างส่ายหน้า แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็เตรียมตัวจากไป

เจ้าหอยังคงเสียดาย เอ่ยว่า “น่าเสียดายจริงๆ หากเจ้าตั้งใจกว่านี้สักหน่อย ไม่แน่ว่าแม้กระทั่งเซี่ยหงเฉินก็ยากจะหนีพ้น”

หวงหร่างหัวเราะ “อย่าเลยๆ มามาโปรดเมตตา ถือเสียว่าข้าไม่เคยมาที่นี่แล้วกัน”

นางจ่ายเงินเสร็จก็ออกจากหอเป้าฉินอย่างเร่งรีบ

 

ตกกลางคืน เจ้ากรมพลิกตัวไปมา นอนไม่หลับทั้งคืน

ไม่ง่ายเลยกว่าจะเข้าสู่ห้วงฝัน ในห้วงฝันยังคงเป็นผืนน้ำสีฟ้า ริมฝีปากแดงของคนงามดุจอัคคี เขาประชิดเข้าไป ในโพรงปากล้วนเป็นกลิ่นบุปผาอ่อนจาง

แขนหยกของคนงามที่เกี่ยวรอบลำคอ เสียงครางหวานแว่วออกมาจากริมฝีปาก ห้วงฝันยุ่งเหยิงคลุ้มคลั่ง แต่ละฉากกระจัดกระจาย

ไม่ง่ายเลยกว่าท้องฟ้าจะมีแสงสลัว ใต้เท้าเจ้ากรมตื่นนอน พบว่าฟูกที่นอนเปรอะเปื้อนเป็นวง

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: