บทที่ 99 สำนึกผิด
เช้าวันต่อมาหวงหร่างทำอาหารเช้าแล้วหิ้วมาให้ตี้อีชิวตามเดิม
ใต้เท้าเจ้ากรมก็ทำเหมือนเช่นทุกวัน นั่งลงและช่วยจัดชามตะเกียบ ทว่าระหว่างสองคนมีความกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย
ตี้อีชิวคีบอาหาร กินอยู่นานก็ยังไม่รู้ว่าอาหารเช้าวันนี้คืออะไร
ทว่าหวงหร่างไม่พูดไม่จา ทั้งสองคนที่นั่งหันหน้าเข้าหากันกลายเป็นท่อนไม้สองท่อน
ตี้อีชิวลอบชำเลืองมองหวงหร่างคราหนึ่ง ถึงได้พบว่ามือของนางเรียวยาวขาวกระจ่างถึงเพียงนั้น เล็บทุกเล็บล้วนเป็นสีชมพูเปล่งประกาย
…นางคือตี้ซานเมิ่ง ข้าควรตระหนักได้นานแล้ว ถึงอย่างไรนางก็มีมือเช่นนี้
ตี้อีชิวคิด ก่อนหน้านี้เรื่องพวกนี้เขาไม่เคยสังเกตมาก่อน
ใต้เท้าเจ้ากรมคีบอาหารคำหนึ่ง ยังคงไม่รับรู้รสชาติ จนกระทั่งหวงหร่างเตือนสติเขา “เมื่อครู่ท่านกินอบเชยเข้าไป”
“ถุยๆ…” ใต้เท้าเจ้ากรมรีบคายออกมา
หวงหร่างปิดปาก เริ่มหัวเราะเบาๆ
ใต้เท้าเจ้ากรมแค่นเสียงเย็นชา ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ข้า…วันนี้จะไปกรมพิธีการสักหน่อย”
จู่ๆ เขาพูดเรื่องนี้ ทำให้หวงหร่างรู้สึกแปลกใจ “ไปทำอะไร”
ใต้เท้าเจ้ากรมตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แม้ข้าจะมิได้ใช้สกุลของราชวงศ์ แต่หากจะแต่งภรรยายังคงต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมพิธีของราชสำนัก”
เขาพูดว่าแต่งภรรยา…ในใจหวงหร่างพลันหวานล้ำ แต่ภายนอกกลับจุปากคราหนึ่ง “ใครสนใจท่านกัน”
สองคนก้มหน้ากินอาหาร ข้างนอกพลันมีคนเอ่ยว่า “เจ้ากรม ประมุขสำนักเซี่ยมาเยือนขอรับ”
เซี่ย…หวงหร่างชะงักไปเล็กน้อย หลายปีมานี้เขามาเยือนกรมซือเทียนบ่อยกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ใต้เท้าเจ้ากรมขมวดคิ้วเช่นกัน ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เชิญเข้ามาเถิด”
ถึงอย่างไรสำนักเซียนอวี้หูก็เป็นผู้นำของสำนักเซียน เซี่ยหงเฉินมีฐานะพิเศษ มิอาจเสียมารยาทได้
ไม่นานนักเซี่ยหงเฉินก็ก้าวเข้ามาข้างใน
ส่วนตี้อีชิวเพียงเอ่ยว่า “ประมุขสำนักเซี่ยมาเช้าเหลือเกิน ข้ากำลังกินอาหารอยู่พอดี เสียมารยาทแล้วจริงๆ”
ปากเขาพูดว่าเสียมารยาท แต่ยังคงกินอาหารต่ออย่างไม่รีบร้อน ไม่มีทีท่าขออภัยสักนิด
“ไม่เป็นไร” เซี่ยหงเฉินไม่สนใจอยู่แล้ว อันที่จริงเทียบกับนิสัยประชดเสียดสีของใต้เท้าเจ้ากรม เห็นได้ชัดว่าประมุขสำนักเซี่ยมีความเป็นวิญญูชนมากกว่า
เขากวาดสายตามองอาหารบนโต๊ะ จากนั้นก็มองหวงหร่างที่นั่งอยู่ด้านข้าง ถามว่า “อาหารเหล่านี้…ล้วนเป็นแม่นางอาหร่างเข้าครัวทำด้วยตนเองหรือ”
หวงหร่างได้แต่ตอบว่า “ฝีมือการทำอาหารไม่ล้ำเลิศ ทำให้ประมุขสำนักขบขันแล้ว” นางถามต่อด้วยความเกรงใจ “หากประมุขสำนักยังไม่ได้กินอะไรมา มิสู้ข้าตักข้าวให้ประมุขสำนักสักชามดีหรือไม่”
เดิมทีนี่เป็นเพียงคำพูดตามมารยาท นางไม่คิดโดยสิ้นเชิงว่าเซี่ยหงเฉินจะตอบรับ
อันที่จริงเซี่ยหงเฉินผู้นี้เป็นคนเสแสร้งมากทีเดียว
ดังนั้นเขาจึงนั่งลงตรงข้ามตี้อีชิวจริงๆ พลางตอบว่า “เช่นนั้นก็รบกวนแม่นางอาหร่างแล้ว”
หวงหร่างเกือบจะสงสัยว่าตนเองฟังผิดไปหรือไม่ แม้กระทั่งตี้อีชิวยังแปลกใจ เขาเงยหน้ามองเซี่ยหงเฉินคราหนึ่ง แต่เซี่ยหงเฉินยังคงมีท่าทางสุขุมเป็นธรรมชาติ
คำพูดพอเอ่ยออกไปแล้วก็ไม่สะดวกจะเรียกกลับคืนมา หวงหร่างได้แต่ถือชามไปตักโจ๊กให้เซี่ยหงเฉิน
เซี่ยหงเฉินกินไปคำหนึ่งแล้วชมว่า “โจ๊กใช้เนื้อปูเคี่ยวเป็นน้ำแกง รสชาติจึงยอดเยี่ยมกว่าเดิม แม่นางอาหร่างช่างมีความตั้งใจจริงๆ”
ใส่เนื้อปูลงไปด้วยหรือ
ใต้เท้าเจ้ากรมกวาดสายตามองโจ๊กคราหนึ่ง แต่มองไม่เห็นของสิ่งนี้
เขาย่อมมองไม่เห็นอยู่แล้ว เมื่อก่อนเซี่ยหงเฉินเป็นคนเลือกกิน หวงหร่างจึงได้แต่ใช้สิ่งเหล่านี้ปรุงน้ำแกงโดยไม่ทำให้ในโจ๊กมีสิ่งอื่นปะปน
นั่นทำให้ภายหลังแม้นางจะจากหอฉีลู่มานานแล้ว แต่ความเคยชินนี้ยังคงมีอยู่
เซี่ยหงเฉินกินโจ๊ก เห็นได้ชัดว่าแม้เวลาจะผันผ่าน แต่ความชื่นชอบของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ใต้เท้าเจ้ากรมวางตะเกียบ เอ่ยว่า “ประมุขสำนักเซี่ยมาวันนี้เป็นเพราะท้องหิวหรือ”
เซี่ยหงเฉินถือเสียว่าเขายังอายุน้อย นิสัยช่างประชดชัน จึงไม่ถือสาคำพูดของผู้เยาว์
เขากินโจ๊กอย่างไม่รีบร้อน บางครั้งยังกินเครื่องเคียงอีกสองคำด้วย
ฝีมือการทำอาหารของหวงหร่างถูกใจเขาอย่างคาดไม่ถึง
พอกินอาหารเสร็จ เขาก็วางชามตะเกียบแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือและปาก จากนั้นเขาก็ยิ้มน้อยๆ “ข้าผู้แซ่เซี่ยเดินทางมาครั้งนี้เป็นเพราะครั้งก่อนตี้ซานเมิ่งเซียนเซิงปรับปรุงเมล็ดบัวขมให้ผู้อาวุโสเหมียว สำนักเซียนอวี้หูมีหญ้าลึกลับชนิดหนึ่ง ผลเก็บเกี่ยวน้อยนิดมาโดยตลอด หลายปีมานี้ไม่อาจเพิ่มสรรพคุณยาได้ ข้าผู้แซ่เซี่ยจึงอยากขอให้แม่นางอาหร่างช่วยนำความไปแจ้งตี้ซานเมิ่งเซียนเซิงว่าหากสามารถปรับปรุงเมล็ดพันธุ์จำหน่ายของพืชชนิดนี้ได้จะตอบแทนอย่างงาม”
เขาบอกเล่าจุดประสงค์ที่เดินทางมา หวงหร่างจึงเข้าใจ
นางเอ่ยว่า “ประมุขสำนักเกรงใจแล้ว หญ้าวิเศษชนิดนี้ท่านได้นำมาด้วยหรือไม่ อีกทั้งหญ้าวิเศษไม่เหมือนเมล็ดพันธุ์จำหน่ายทั่วไป อย่างไรก็ต้องรู้ฤทธิ์ยาของมันก่อน เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่อาจทำได้ในชั่วเวลาสั้นๆ”
เซี่ยหงเฉินย่อมรู้อยู่แล้ว เขาหยิบหญ้าวิเศษต้นหนึ่งออกมาจากวัตถุวิเศษเก็บของพลางพูดว่า “เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว สรรพคุณของหญ้าชนิดนี้ข้าผู้แซ่เซี่ยรู้ดี หากแม่นางอาหร่างมีเวลาสามารถพูดคุยรายละเอียดได้ทุกเมื่อ”
หวงหร่างรับหญ้าต้นนี้มา “เจตนาของประมุขสำนักข้าจะนำไปแจ้งตี้ซานเมิ่งเซียนเซิงแน่นอน”
เซี่ยหงเฉินจึงกล่าวว่า “มิขอปิดบัง ตั้งแต่ข้าผู้แซ่เซี่ยพบแม่นางอาหร่างเป็นครั้งแรกก็รู้สึกเหมือนรู้จักกันมานานปี หากแม่นางอาหร่างมีเวลา สำนักเซียนอวี้หูยินดีต้อนรับแม่นางมาเป็นแขกทุกเวลา”
รู้จักมานานปีหรือ แต่สถานที่แห่งนั้นข้าไม่อยากกลับไปอีกแล้วจริงๆ
หวงหร่างยิ้มน้อยๆ เช่นกัน นางยืดตัวตรง สง่างามมีมารยาท อากัปกิริยาเหมาะสม แตกต่างไปจากยามปกติโดยสิ้นเชิง
“ขอบคุณประมุขสำนักที่เชื้อเชิญด้วยไมตรี อาหร่างจดจำไว้แล้ว” หวงหร่างยิ้มน้อยๆ ตอบเขา บางทีระหว่างคนกับคนอาจมีความเคยชินอย่างหนึ่งจริงๆ
ดังเช่นยามที่นางอยู่ต่อหน้าเซี่ยหงเฉิน แม้จะผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่ยังคงรักษาหน้ากากจอมปลอมไว้โดยไม่รู้ตัว
เซี่ยหงเฉินผงกศีรษะแล้วหันกายจากไป
รอจนกระทั่งเขาออกจากประตู ใต้เท้าเจ้ากรมจึงแค่นเสียงเย็นชาคราหนึ่ง
หวงหร่างก้มหน้าเก็บชามตะเกียบลงในกล่องใส่อาหาร จากนั้นก็เช็ดโต๊ะให้สะอาด
ใต้เท้าเจ้ากรมมีโทสะแต่ไร้ที่ระบาย จึงพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ดูเหมือนว่าใจของประมุขสำนักเซี่ยมิได้อยู่ที่สุรา แต่อยู่ที่โจ๊กชามนี้”
หวงหร่างคร้านจะสนใจเขา พอเช็ดโต๊ะเสร็จแล้วนางก็หันหลังจะจากไป ใต้เท้าเจ้ากรมจึงพูดเสียงขุ่น
“ประมุขสำนักเซี่ยอาลัยอาวรณ์เช่นนี้ หรือว่าความมีเสน่ห์เย้ายวนของเจ้าเขาก็เคยเห็นมาก่อน”
เขาพูดเรื่องอื่นหวงหร่างล้วนไม่ถือสา แต่เขากลับพูดเรื่องนี้
หวงหร่างหันกลับมา วางกล่องใส่อาหารลงบนโต๊ะเงียบๆ
แม้ใต้เท้าเจ้ากรมจะโมโห แต่ยังคงถอยหลังไปหนึ่งก้าว เท้าถอยไปแล้ว แต่ปากยังแข็งอยู่ เขายิ้มหยัน “อะไร ข้าพูดถูกหรือไร”
เดิมทีเป็นเรื่องหึงหวงริษยา แต่หวงหร่างกลับพูดว่า “ตี้อีชิว ท่านถือสาเซี่ยหงเฉินมากเพียงนี้เชียวหรือ”
นางถามจริงจังเกินไป ใต้เท้าเจ้ากรมรู้สึกเหมือนจะเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี แต่เขายังคงยิ้มเย็นแล้วตอบว่า “ข้าไม่ควรถือสาหรือ”
หวงหร่างกล่าว “ย่อมสมควรอยู่แล้ว ข้าควรคิดได้ตั้งแต่แรก”
พูดไปแล้วข้าก็เป็นสตรีที่ผ่านการแต่งงานมาก่อน ไม่คู่ควรกับเจ้ากรมซือเทียน
นอกความฝันปากพูดไม่ได้ หลายอย่างล้วนมิอาจถามไถ่อย่างละเอียด ใครจะรู้ว่าใจเขาคิดเช่นไร
นางกล่าว “ในเมื่อใต้เท้าเจ้ากรมถือสาถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็ช่างเถิด”
กล่าวจบนางก็หันหลังจากไป
ใต้เท้าเจ้ากรมรู้ว่าแย่แล้วจึงรีบไล่ตามออกจากประตูไป เห็นเพียงนอกประตูศิษย์เดินไปมาขวักไขว่ ขุนนางแต่ละคนเข้ามาทำงานตามตำแหน่งหน้าที่แล้ว เขาย่อมไม่สะดวกจะตามนางไป
อีกทั้งไล่ตามไปแล้วจะให้พูดอะไรเล่า
ใต้เท้าเจ้ากรมเช่นเขายังคงรักหน้าตาของตนเองอยู่!
เขากลับเข้าไปนั่งในห้อง ใคร่ครวญไปมา รู้สึกว่าเซี่ยหงเฉินเป็นตัวการของเรื่องนี้อย่างแท้จริง
วันหลังต้องไม่อนุญาตให้เขาย่างกรายเข้ามาในประตูใหญ่กรมซือเทียนอีกจึงจะดี
จนกระทั่งยามบ่าย ข่าวที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็แพร่มา!
จงจื่อกุยจากสำนักปรับปรุงพันธุ์พืชรุดมาถึงอย่างเร่งรีบ เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้ากรม วันนี้จู่ๆ หวงหร่างก็บอกว่าจะลาออก”
“ลาออกหรือ” ใต้เท้าเจ้ากรมถึงกับสะดุ้ง
จงจื่อกุยก็ร้อนใจเช่นกัน เขาเอ่ยอีกว่า “อีกทั้งนางยังถือคำสั่งของท่านในอดีต ดูจากท่าทางคิดจะจากไปทันที”
ใต้เท้าเจ้ากรมลุกขึ้น ก่อนจะนั่งลงช้าๆ
นางจะไป…ทั้งยังลาออก นี่แสดงว่าตัดสินใจแล้ว
“เจ้ากรม ท่านตัดสินใจเถิด!” จงจื่อกุยเร่งรัด “ตอนนี้ไม่ง่ายเลยกว่าสำนักปรับปรุงพันธุ์พืชจะประสบความสำเร็จบ้าง หากนางจากไป…”
หัวหน้าสำนักสูงวัยบ่นยืดยาว ตี้อีชิวว้าวุ่นใจ สุดท้ายก็เอ่ยส่งเดช “หัวหน้าสำนักจงกลับไปก่อนเถิด เรื่องของนางข้าจะคิดหาทางเอง”
จงจื่อกุยแก่ชราแล้วย่อมมากด้วยประสบการณ์ เขารู้ว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา จึงไม่ลืมเอ่ยเตือน
“เจ้ากรม หากนางกลับไปสำนักกระบี่หรูอี้ อยู่ห่างจากเมืองหลวงเป็นพันหลี่ อยากจะพบหน้าอีกครั้งย่อมเป็นเรื่องยาก”
ตี้อีชิวมีหรือจะต้องให้เขาเอ่ยเตือน รีบพูดทันที “เซียนเซิงกลับไปเถิด!”
จงจื่อกุยจึงจากไป ตี้อีชิวย่ำเท้าไปมาในห้องหนังสือ เสียใจภายหลังนั้นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว แต่บุรุษอกสามศอกอย่างเขายังต้องไปก้มศีรษะขออภัยนางด้วยหรือ อีกทั้งเขาทำผิดตรงที่ใด
กับเซี่ยหงเฉินนางพูดเสียงอ่อนหวาน มิเพียงแย้มยิ้มต้อนรับ ยังตักโจ๊กให้เขา!
หึ เซี่ยหงเฉินช่างดีเลิศเลอ สง่าผ่าเผยดุจจันทราฟ้าหลังฝน แม้กระทั่งโจ๊กยังอุดปากเขาไม่ได้ ยังสามารถแจกแจงวัตถุดิบในนั้นได้อีก!
ใต้เท้าเจ้ากรมยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ข้าผิดตรงที่ใดเล่า!
เวลานี้รองเจ้ากรมหลี่ลู่ส่งคนมาแจ้งเขาว่าสำนักปรับปรุงพันธุ์พืชทำเรื่องลาออกให้หวงหร่างแล้ว
ไม่นานนักก็มีคนมารายงานว่าหวงหร่างกำลังเก็บสัมภาระในหอพักศิษย์
ผ่านไปอีกพักหนึ่งก็มีคนมารายงานอีกว่าหวงหร่างได้ยกข้าวของจำนวนหนึ่งให้ศิษย์ในสำนักปรับปรุงพันธุ์พืชแล้ว
ใต้เท้าเจ้ากรมยืนนั่งไม่เป็นสุข ในที่สุดเขาก็หากระดาษกับพู่กันมา ตวัดเพียงไม่กี่ที เขียนจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นอย่างเร่งรีบ
“เป้าอู่!” ใต้เท้าเจ้ากรมทำหน้าเคร่งขรึม เอ่ยว่า “นำจดหมายฉบับนี้ไปส่งที่หอพักศิษย์ มอบให้…หวงหร่าง!” ท่ามกลางสายตาของทุกคน ใต้เท้าเจ้ากรมยืนอยู่บนขั้นบันไดสูง มิอาจก้าวเดินลงมาได้โดยสิ้นเชิง เขาทำหน้าขึงขัง เอ่ยขึ้นอีก “บอกนางว่าอ่านดูแล้วจะไปหรือจะอยู่ก็ใคร่ครวญเอาเอง!”
“ขุนนางผู้น้อยน้อมรับคำสั่ง!” เป้าอู่รับจดหมายมาแล้วก้าวไปยังหอพักศิษย์
เวลานี้หอพักศิษย์มีศิษย์ล้อมวงมากมาย หลังจากอยู่ร่วมกันมาสองปี ทุกคนมีหรือจะตัดใจให้หวงหร่างจากไปได้
จงฉีกวงกับซารั่วเอินพูดโน้มน้าวนางไม่รู้กี่ครั้ง ยามนี้อารมณ์ของทุกคนหดหู่ยิ่ง
จังหวะนี้เองเป้าอู่ก็เข้ามาแล้วเอ่ยว่า “แม่นางอาหร่าง เจ้ากรมมีจดหมาย สั่งให้ข้านำมามอบให้!”
เขาเป็นคนเสียงดังอยู่แล้ว หวงหร่างไม่ได้ยินยังดี ครั้นฟังแล้วเพลิงโทสะก็เหมือนถูกราดด้วยน้ำมัน! นางยิ้มเย็นชา
“อะไรกัน เจ้ากรมของพวกท่านมีจดหมายด้วยหรือ!”
เขายังอยากพูดทำร้ายจิตใจคนอื่นอีกหรือ จะต้องตัดสัมพันธ์ให้เด็ดขาดเลยใช่หรือไม่!
หวงหร่างยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห นางตวาดเสียงเฉียบขาด “อ่านให้ข้าฟัง! ข้าอยากฟังว่าเขามีอะไรจะพูดอีก!”
ท่ามกลางสายตาของศิษย์ทั้งหลาย เป้าอู่ได้แต่เปิดจดหมาย เขาดึงจดหมายออกมาแล้วอ่านเสียงดัง “หนังสือสำนึกผิด! วันนี้ข้ากระทำความผิด ขอหันหน้าเข้าหากำแพงสำนึกผิด เอ่ยวาจาไร้มารยาท ทำให้ฮูหยินขุ่นเคืองเป็นความผิดข้อแรก เป็นผู้น้อยล่วงเกินผู้ใหญ่ ไม่เคารพฮูหยินเป็นความผิดข้อสอง ระแวงสงสัย…”
เป้าอู่ยังจะอ่านต่อไป แต่หวงหร่างกลับพุ่งเข้ามา ดึงจดหมายไปทันที
…เขามีหน้าตาอยู่เพียงเล็กน้อยแค่นั้น ยังจะต้องทำลายไม่ให้เหลือด้วยหรือ!
ปากของศิษย์รอบด้านที่อ้ากว้างหุบลงช้าๆ เนิ่นนานจึงมีคนลอบหัวเราะออกมา
“หัวเราะอะไรกัน! ออกไป ออกไปให้หมด!” หวงหร่างไล่ทุกคนออกไปก่อนจะปิดประตู
นางใช้หลังพิงประตู เปิดกระดาษจดหมายที่ถูกขยำจนยับแผ่นนั้นออกช้าๆ บนกระดาษจดหมายมีลายมือที่งดงามสง่าผ่าเผย ปลายพู่กันของเด็กหนุ่มแข็งแรงทรงพลังยิ่ง
แค่ฝืนรักษาหน้าตนเองไว้ก็ถึงกับต้องเขียนถ้อยคำขออภัยมาเต็มหน้ากระดาษ
หวงหร่างพับกระดาษจดหมายอย่างระมัดระวัง เก็บไว้กับตัว
นอกความฝันนางกับเซี่ยหงเฉินไม่เคยทะเลาะกันเช่นนี้มาก่อน นางย่อมไม่รู้ว่าต้องง้องอนอย่างไร
เพราะไม่ว่าเวลาใดเขาก็มักจะทอดทิ้งนางไว้ในหอฉีลู่ ไม่ถามไถ่ห่วงใย จนกระทั่งตัวนางสงบลงเอง
ทว่าครั้งนี้หวงหร่างได้รับจดหมายขออภัยฉบับหนึ่ง
จากนั้นเพียงแค่สองวันเหตุการณ์จดหมายขออภัยฉบับนี้ก็แพร่ไปทั่วทั้งในและนอกราชสำนัก
เรื่องราวแพร่ไปถึงหูของชวีม่านอิง เฝิงเจิงเอ๋อร์ และไต้อู๋ซวง ทั้งสามต่างรู้สึกว่าใต้เท้าเจ้ากรม ‘เป็นวีรบุรุษผู้หนึ่ง’ เรียกร้องให้สามีของตนคบหากับเขาให้มากๆ
ในที่สุดในกลุ่มสามเซียนผู้กลัวภรรยาก็มีคนใหม่เพิ่มเข้ามาแล้ว
บทที่ 100 ผลประโยชน์
เหตุการณ์จดหมายขออภัยทำเอาใต้เท้าเจ้ากรมขายหน้าไม่เหลือชิ้นดี แต่โชคดีที่สามารถเหนี่ยวรั้งฮูหยินเอาไว้ได้
หวงหร่างแก้ห่อสัมภาระที่ผูกแล้วออกอีกครั้ง เตรียมตัวเอาข้าวของข้างในวางกลับที่เดิม
ขณะที่กำลังลงมือจัดการ ข้างกายพลันมีคนหยิบชุดกระโปรงของนางออกมาจากห่อสัมภาระ ลูบให้เรียบและแขวนอย่างเรียบร้อย
หวงหร่างหันไปมองก็เห็นตี้อีชิวลงมือเงียบๆ ด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์
ทั้งสองคนต่างไม่พูดอะไร จัดแจงข้าวของในหอพักศิษย์อย่างเงียบงัน
ข้าวของทั้งหมดกลับคืนสู่ที่เดิม ในที่สุดใต้เท้าเจ้ากรมก็ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมายื่นให้ที่ข้างมือหวงหร่าง หวงหร่างกระบิดกระบวนอยู่ครู่หนึ่งก็รับมาและถาม
“อะไร”
นางก้มหน้าดู นี่เหมือนเป็นรายการทรัพย์สินในบ้าน แจกแจงไว้ละเอียดยิ่ง
ใต้เท้าเจ้ากรมพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “รายการสินสอด มอบให้เจ้าดูก่อน หากไม่มีความเห็นอะไร อีกสองวันข้าจะไปเจรจาสู่ขอ”
“นี่คือรายการสินสอดหรือ” หวงหร่างตกตะลึง
“เหตุใดต้องมิใช่เล่า” ตี้อีชิวย้อนถาม
ถึงอย่างไรหวงหร่างก็เคยแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่ง กับของสิ่งนี้ใช่ว่าไม่เคยเห็นมาก่อน นางโมโหจนกลายเป็นขบขัน
“คนไม่รู้คงคิดว่านี่คือสมุดลงบันทึกทรัพย์สินหลังถูกริบทรัพย์! สินสอดไม่จำเป็นต้องมากถึงเพียงนี้”
ใต้เท้าเจ้ากรมเอ่ยว่า “ช้าเร็วก็ต้องมอบให้เจ้าอยู่ดี มีอะไรแตกต่างกัน”
“หึ!” หวงหร่างดูรายการซ้ำไปมาหลายรอบ จากนั้นก็ถามว่า “หอพักขุนนางของท่านไม่ต้องเสียเงินกระมัง”
“ไม่ต้อง” ตี้อีชิวขมวดคิ้ว “ราชสำนักจัดหาให้พร้อมบ่าวชายอีกสี่คน”
หวงหร่างดีอกดีใจ “เช่นนั้นพอพวกเราแต่งงานกันแล้วข้าจะย้ายไปอยู่หอพักขุนนางของท่าน หอพักศิษย์ชำรุดทรุดโทรมเพียงนี้ แต่ละเดือนยังต้องจ่ายเงินถึงห้าตำลึง!”
ใต้เท้าเจ้ากรมเตือนนาง “หอพักขุนนางคับแคบ”
“คับแคบอะไรกัน ถึงอย่างไรก็เป็นผลประโยชน์ที่ได้จากราชสำนัก ไม่กอบโกยก็เสียเปล่า” หวงหร่างคิดคำนวณอย่างลิงโลด
ใต้เท้าเจ้ากรมแก้คำพูดนาง “ผลประโยชน์ที่ได้จากราชสำนักอะไรกัน ทุกตำลึงทุกอีแปะล้วนเป็นหยาดเหงื่อแรงกายของราษฎร”
“ใช่ๆ” หวงหร่างพูด “แต่ถ้าพวกเราสองคนออกไปอยู่ข้างนอกยังต้องหาเรือนและบ่าวไพร่ ทั้งหมดล้วนเป็นเงินทั้งนั้น พวกเราสองคนก็ยุ่งไม่น้อย จะมีเวลาดูแลบ่าวไพร่ได้อย่างไร”
นางกล่าวคำพูดนี้พลางนั่งขัดสมาธิลงบนเตียง ใต้เท้าเจ้ากรมนั่งลงบนเตียงเช่นกัน เอ่ยอย่างเห็นด้วย “ก็ใช่”
หวงหร่างถือโอกาสวางเท้าลงบนหน้าตักเขา “เสื้อผ้าอาหารที่พักและค่าเดินทางของท่าน ราชสำนักล้วนจ่ายเงินให้ใช่หรือไม่”
ใต้เท้าเจ้ากรมขมวดคิ้วพลางตอบว่า “มิได้คำนวณให้ละเอียด แต่ข้าอยู่กรมซือเทียนยังไม่เคยใช้เงินเลยจริงๆ”
“ยังคงเป็นราชสำนักที่ให้ผลประโยชน์ที่ดี” หวงหร่างถอนใจ “ตอนนี้ข้าสอนพวกศิษย์ในสำนักปรับปรุงพันธุ์พืชก็นับว่าเหนื่อยยากและสร้างความดีความชอบมากมาย หากข้าจะขอตำแหน่งขุนนางสักเล็กน้อยคงไม่เกินไปกระมัง”
มือของใต้เท้าเจ้ากรมกดลงบนข้อเท้านาง ช่วยคลายกระดูกให้นางเบาๆ พลางตอบว่า “แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ราชสำนักคัดเลือกขุนนางด้วยวิธีที่เข้มงวด หากเจ้าอยากรับตำแหน่งในกรมซือเทียน อย่างไรก็ต้องเข้ารับการคัดเลือกตามระเบียบ”
หวงหร่างไม่พอใจ “เรื่องนี้มิใช่ขึ้นอยู่กับคำพูดเดียวของท่านหรือ”
ใต้เท้าเจ้ากรมเป็นคนมีหลักการ เขาเอ่ยว่า “กฎก็คือกฎ”
หวงหร่างได้แต่เอ่ย “หากข้าเข้าทำงานในสำนักปรับปรุงพันธุ์พืชจะได้รับตำแหน่งขุนนางใด ได้รับเบี้ยหวัดเท่าใด”
พอพูดถึงเรื่องงาน ใต้เท้าเจ้ากรมก็มีท่าทีเคร่งขรึมทีเดียว เขาตรึกตรองครู่หนึ่งก่อนตอบ “หากเจ้ารับตำแหน่งอย่างมากก็เป็นแค่อาจารย์ภายใต้อาณัติของหัวหน้าสำนักจง ทว่า…หากเป็นตี้ซานเมิ่งย่อมไม่เหมือนกัน”
พอเขาเอ่ยถึงตี้ซานเมิ่ง ทั้งสองคนก็สบตากันครู่หนึ่ง สีหน้าพลันตื่นเต้น
ตี้อีชิวเอ่ยว่า “ชื่อเสียงของตี้ซานเมิ่งตอนนี้ได้รับการยกย่องเป็นเทพในหมู่ราษฎรแล้ว บารมีใกล้จะเหนือกว่านายท่านผู้เฒ่าซี หากเขาเข้าสู่กรมซือเทียน ชื่อเสียงของราชสำนักย่อมเป็นดั่งเรือที่สูงขึ้นตามน้ำ”
หวงหร่างไม่สนใจเรื่องนี้ นางถามว่า “บอกมาว่าราชสำนักจ่ายเบี้ยหวัดเท่าใดดีกว่า!”
ใต้เท้าเจ้ากรมมิได้แจกแจงอย่างชัดเจน เพียงตอบว่า “ฝ่าบาททรงเชิญเป้าอู่เข้ากรมซือเทียน แต่ละเดือนจ่ายให้ห้าหมื่นตำลึง นอกจากนี้ยังพระราชทานบรรดาศักดิ์และที่ดินศักดินา ส่วนเสื้อผ้าอาหารที่พักและค่าเดินทางของเขา กรมซือเทียนล้วนเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ชื่อเสียงบารมีของตี้ซานเมิ่งในตอนนี้มีแต่จะมากกว่าเขาแล้ว”
หวงหร่างคิดคำนวณครู่หนึ่งก็ทำหน้าตกใจระคนโมโห “นั่นก็หมายความว่าในแต่ละปีข้าสูญเงินไปอย่างน้อยก็หกสิบหมื่นตำลึง! อีกทั้งยังสูญเงินไปสิบแปดปีแล้ว”
ตี้อีชิวหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็นวดคลึงข้อเท้าให้นางซ้ำแล้วซ้ำเล่า
วันนี้นางสวมถุงเท้าผ้าไหมสีขาว ใต้เท้าเจ้ากรมเหมือนถูกภูตผีดลใจ รู้สึกอยากถอดมันออกมาอยู่บ้าง
เขาพยายามบังคับสองมือของตนเองพลางพูดว่า “ยามนี้ตระกูลนักปรับปรุงพันธุ์พืชใหญ่ๆ เดินหน้าและถอยหลังพร้อมกัน หากตี้ซานเมิ่งยอมเข้ากรมซือเทียน สำหรับใต้หล้าและราษฎรย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี หากเจ้าเต็มใจ ข้าจะไปเสนอกับทางราชสำนัก”
“เรื่องนี้ยังมีอะไรต้องลังเลอีกเล่า” หวงหร่างไม่ต้องเสียเวลาใคร่ครวญ จากนั้นนางก็พึมพำ “นึกไม่ถึงว่าข้าจะมีวันที่ได้กินเงินเบี้ยหวัดจากราชสำนักด้วย”
ใต้เท้าเจ้ากรมนวดเท้าให้นางอย่างไม่เร็วไม่ช้า เนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “แต่ถ้าไม่ซื้อเรือน ไม่ซื้อบ่าวไพร่ เกรงว่าจะดูอัตคัดไปสักหน่อย…”
หวงหร่างโบกมือเล็กของตน พูดอย่างไม่ใส่ใจสักนิด “จะสนใจเรื่องพวกนี้ไปเพื่ออันใดกันเล่า เมื่อก่อนข้าต้องอยู่เพียงลำพัง สถานที่ทั้งกว้างใหญ่และเงียบเหงา พอพวกเราสองคนแต่งงานกัน ข้าก็อยากเบียดอยู่กับท่านในห้องเล็กๆ พวกเราแค่เงยหน้าก็เห็นอีกฝ่าย”
“เมื่อก่อน? ทั้งกว้างใหญ่และเงียบเหงา?” ใต้เท้าเจ้ากรมขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของนาง
หวงหร่างขยับเข้าไปใกล้เขาแล้วเอ่ยว่า “แขกที่พวกเราสามารถเชิญได้ก็เชิญมาให้หมดดีหรือไม่ เก็บซองแดงให้มากสักหน่อย วันข้างหน้ากรมซือเทียนยังมีเรื่องให้ต้องใช้เงินอีกมาก!”
ครั้นคิดถึงหุ่นกลที่ใต้เท้าเจ้ากรมหลอมสร้างขึ้นเองกับมือในอนาคต หุ่นกลระดับสุดยอดตัวหนึ่งมีมูลค่าเท่าหินวิเศษสี่หมื่นหมื่นก้อน หวงหร่างก็ปวดใจจนอยากจะไปกระโดดน้ำทะเล
ใต้เท้าเจ้ากรมรับคำ ทั้งสองคนอิงแอบอยู่ด้วยกัน ไม่ได้เอ่ยอะไรอยู่เนิ่นนาน
ผ่านไปพักหนึ่งหวงหร่างก็ใช้ไหล่สะกิดตี้อีชิวพลางถามว่า “ท่านคิดอะไรอยู่หรือ”
ใต้เท้าเจ้ากรมตอบ “ข้ากำลังคิดว่าควรแจกเทียบเชิญเท่าไรดี” กล่าวจบเขาก็หันมาถามนาง “เจ้าเล่า”
หวงหร่างตอบ “ข้ากำลังคิดว่าต่อไปตื่นนอนยามเช้าทุกวันได้เห็นท่านเป็นคนแรกจะต้องมีความสุขมากเป็นแน่”
ใต้เท้าเจ้ากรมนิ่งงันไป จากนั้นเขาก็หันหน้ามาช้าๆ หวงหร่างดวงตาเปล่งประกาย เจิดจรัสดุจดารา เขาประคองใบหน้านางขึ้นมาเบาๆ เห็นเพียงผิวพรรณของนางกระจ่างผุดผ่อง สองแก้มไร้มลทิน ริมฝีปากคู่นั้นเป็นสีชมพูดุจดอกท้อ
ตี้อีชิวไม่รู้ว่าตนเองขยับเข้าไปตั้งแต่เมื่อไร ริมฝีปากเขาประกบกับริมฝีปากนางเล็กน้อย ขณะนั้นราวกับมีไฟแล่นพล่านไปทั่วทันใด รู้สึกชาไปทั้งร่าง
เขาปล่อยตัวหวงหร่างแล้วเบือนหน้าไปทางอื่นทันที
ใต้เท้าเจ้ากรมลุกขึ้น สะบัดอาภรณ์เล็กน้อย น้ำเสียงเคร่งขรึมจนฟังดูเหมือนผู้คงแก่เรียน เขากล่าวว่า “ข้าจะไปกรมพิธีการเดี๋ยวนี้ เร่งรัดเรื่องการเจรจาสู่ขอ”
กล่าวจบเขาก็ก้าวยาวๆ ออกจากหอพักศิษย์ รุดไปยังกรมพิธีการอย่างร้อนใจ
หวงหร่างกระโดดลงจากเตียง เดินไปที่หน้าประตู พิงประตูมองดูเขาเดินจากไปด้วยฝีเท้าเร่งร้อน
คนผู้นี้ช่าง…ตรงไปตรงมาจริงๆ
นางขบคิดอยู่นาน ก่อนจะใช้คำพูดนี้บรรยายสามีในอนาคตของตน
กรมพิธีการ
ใต้เท้าจั๋วเสนาบดีกรมพิธีการถูกก่อกวนจนทนไม่ไหว
เจ้ากรมซือเทียนมาที่นี่เป็นครั้งที่สี่แล้ว
ใต้เท้าจั๋วยังคงต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่รอให้ใต้เท้าเจ้ากรมเอ่ยปาก เขาก็พูดว่า “เจ้ากรมวางใจได้ การแต่งงานของท่านข้าได้แจ้งไปยังวังหลวงแล้ว ตอนนี้แค่รอให้ฝ่าบาททรงตอบฎีกากลับมา พวกข้าก็จะลงมือจัดการเรื่องการสู่ขอให้ท่านได้”
“ฝ่าบาทยังไม่ทรงตอบฎีกาหรือ” เห็นได้ชัดว่าใต้เท้าเจ้ากรมรอจนร้อนใจแล้ว
ใต้เท้าจั๋วได้แต่เตือนสติเขาอย่างอ้อมค้อม “เจ้ากรม พวกเราเพิ่งจะยื่นฎีกาไปเมื่อวานนี้เอง…”
แต่ท่านมาถามเป็นรอบที่สี่แล้ว!
ใต้เท้าเจ้ากรมไม่สนใจโดยสิ้นเชิง เอ่ยเพียงว่า “เช่นนั้นหรือ เช่นนั้นยามบ่ายข้าค่อยมาดูใหม่”
“เอ่อ…” ใต้เท้าจั๋วแทบจะรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้ไม่อยู่
อันที่จริงเรื่องนี้…ไม่มีความจำเป็นสักนิด
เฮ้อ คนหนุ่มก็ใจร้อนเช่นนี้เอง อดทนรอไม่ได้แม้แต่นิดเดียว…
ยามบ่าย กรมซือเทียนมีข่าวแพร่ออกมาว่าใต้เท้าเจ้ากรมจะว่าจ้างตี้ซานเมิ่งมาเป็นซือเสวีย ในสำนักปรับปรุงพันธุ์พืช
ตอนนี้ชื่อเสียงบารมีของตี้ซานเมิ่งในหมู่ราษฎรเหนือกว่านักปรับปรุงพันธุ์พืชตระกูลใหญ่ๆ ทั้งหมดไปแล้ว ทั้งยังรวมถึงสกุลซีด้วย หากคนผู้นี้เข้าทำงานในราชสำนัก มิต้องสงสัยเลยว่ากรมซือเทียนย่อมเป็นดั่งพยัคฆ์ติดปีก
และเห็นได้ชัดว่าราชสำนักเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก
ขุนนางในกรมกองอื่นๆ ไม่เห็นด้วยกับกรมซือเทียนมาโดยตลอด เว้นเพียงเรื่องนี้ที่ทุกคนสนับสนุนเป็นพิเศษ
เมล็ดพันธุ์จำหน่ายที่ตี้ซานเมิ่งเป็นผู้ปรับปรุงไม่ได้เป็นพันธุ์พืชที่มีแปลกใหม่เหมือนของตระกูลนักปรับปรุงพันธุ์พืชอื่นๆ
สิบแปดปีที่ผ่านมาเขาทุ่มเทความตั้งใจไปกับการปรับปรุงธัญพืชหลักมาโดยตลอด อีกทั้งพื้นฐานยังแข็งแกร่งเกินเปรียบปาน เมล็ดพันธุ์จำหน่ายที่ปรับปรุงขึ้นมาในแต่ละครั้งสามารถสร้างประโยชน์แก่ราษฎรได้อย่างแท้จริง
ยามนี้เมล็ดพันธุ์จำหน่ายของตี้ซานเมิ่งไม่ต้องให้ราชสำนักช่วยซื้อก็มีราษฎรนับไม่ถ้วนแย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่ง
ไม่ว่าเวลาใดมีเพียงยามที่เมล็ดพันธุ์จำหน่ายของตี้ซานเมิ่งขายหมดเท่านั้น ตระกูลนักปรับปรุงพันธุ์พืชอื่นๆ จึงจะขายเมล็ดพันธุ์จำหน่ายของตนเองได้
เช่นนี้จะไม่ให้คนโกรธแค้นได้อย่างไร
และบัดนี้คนที่ต่อกรด้วยยากผู้นี้จะฝากตัวอยู่กับราชสำนักแล้ว
นายท่านผู้เฒ่าซีทราบข่าวนี้แล้วก็กินอะไรไม่ลงไปหนึ่งวัน ตระกูลนักปรับปรุงพันธุ์พืชอื่นๆ ก็มิได้ดีไปกว่ากันนัก
ส่วนราชสำนักมีเรื่องน่ากระหยิ่มยิ้มย่องเช่นนี้ย่อมต้องจัดพิธีสำคัญอย่างเอิกเกริก
ฮ่องเต้ซือเวิ่นอวี๋ที่เร้นกายอยู่ในเจดีย์หยวนหรงฝึกบำเพ็ญเงียบๆ มาโดยตลอดถึงกับมีรับสั่งว่าจะมอบป้ายทองพระราชทานที่เขียนคำว่า ‘ชี้แนะใต้หล้า’ ให้ตี้ซานเมิ่งด้วยพระองค์เอง
เพื่อให้ราษฎรได้เป็นสักขีพยานในพิธีสำคัญครั้งนี้ ราชสำนักจึงสร้างหอสักการะห้าธัญพืชไว้ที่ชานเมืองทางทิศใต้ของเมืองหลวง สามวันให้หลังฮ่องเต้จะพระราชทานป้ายให้ตี้ซานเมิ่งด้วยพระองค์เอง อีกทั้งประกาศว่าราษฎรทุกคนล้วนมาชมพิธีได้
ชั่วเวลานั้นหลังอาหารและระหว่างมื้อน้ำชาของชาวบ้านทุกคนล้วนพูดคุยกันแต่เรื่องนี้
สำนักเซียนอวี้หู
เดิมทีเซี่ยหลิงปี้มุมานะฝึกบำเพ็ญอยู่ตลอด แต่วันนี้ตำหนักหลัวฝูได้ต้อนรับแขกที่ไม่ค่อยได้มาเยือนคนหนึ่ง
“ไหวอี้เป็นคนที่หากไร้เรื่องร้อนใจไม่ถ่อไปวัด” ใบหน้าของเซี่ยหลิงปี้เผยรอยยิ้มคลุมเครือ นั่งลงตรงข้ามผู้ที่มาแล้วเอ่ยว่า “วันนี้มาที่นี่คงมิใช่เพื่อพูดคุยความหลังกับข้ากระมัง”
นายท่านผู้เฒ่าซีที่อยู่ตรงข้ามเขาถอนหายใจคราหนึ่ง กล่าวว่า “หากมิใช่เพราะลำบากใจจริงๆ ข้ามีหรือจะมารบกวนปรมาจารย์หลิงปี้”
“ปรมาจารย์อะไรกัน” เซี่ยหลิงปี้แค่นเสียงเยาะหยันตนเอง “ก็แค่ตาเฒ่าที่ไม่มีประโยชน์อันใดผู้หนึ่งเท่านั้น”
นายท่านผู้เฒ่าซีเอ่ยว่า “ข้าไม่อ้อมค้อมกับท่านแล้วกัน เรื่องที่ตี้ซานเมิ่งจะรับใช้ราชสำนักคิดว่าท่านคงได้ยินมาแล้ว”
“ย่อมได้ยินมาแล้ว” เซี่ยหลิงปี้รินชาถ้วยหนึ่งให้เขาพลางพูด “สำนักเซียนก็มิได้อยู่อย่างสงบ หูได้ยินแต่เรื่องราวในโลกสามัญ”
นายท่านผู้เฒ่าซีเอ่ยว่า “ตี้ซานเมิ่งจะรับใช้ราชสำนักไม่ได้ พวกเราเผ่าภูตดินไม่ง่ายเลยกว่าจะก่อตั้งพันธมิตร ร่วมรุกร่วมถอย หลายปีมานี้เป็นเพราะตระกูลนักปรับปรุงพันธุ์พืชใหญ่ๆ แข็งแกร่งดุจป้อมปราการ ราชสำนักจึงทำอะไรพวกเราไม่ได้”
เซี่ยหลิงปี้หาได้สนใจบุญคุณความแค้นระหว่างตระกูลนักปรับปรุงพันธุ์พืชกับราชสำนักไม่ จะว่าไปแล้วเรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับเขาเล่า
ก็แค่สุนัขกัดสุนัข ขนเต็มปาก* เท่านั้น
เขาเอ่ยเสียงเรียบและเนิบช้า “ตระกูลนักปรับปรุงพันธุ์พืชกับราชสำนักมิพ้นทำเพื่อราษฎรและใต้หล้า พูดคุยกันดีๆ ก็ได้แล้ว”
นายท่านผู้เฒ่าซีร้องด่าในใจ แต่ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้ม เอ่ยว่า “หลิงปี้ล้อเล่นแล้ว มีความขัดแย้งกันอยู่ การเจรจาไฉนเลยจะแก้ปัญหาได้ วันนี้ข้ามาก็เพราะมีเรื่องจะหารือจริงๆ หลายปีมานี้เมื่อสำนักเซียนอวี้หูต้องการหญ้าเซียนหรือสมุนไพรที่ผ่านการปรับปรุงพันธุ์มาเป็นพิเศษ สกุลซีก็มิเคยละเลย”
“มิเคยละเลยจริงๆ” เซี่ยหลิงปี้ไม่ยอมถอยสักนิด “แต่ค่าตอบแทนที่สำนักเซียนอวี้หูมอบให้ตระกูลนักปรับปรุงพันธุ์พืชก็มิเคยละเลยเช่นเดียวกัน”
นายท่านผู้เฒ่าซีรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเช่นไร จึงเอ่ยทันที “หากหลิงปี้ช่วยเหลือข้าครั้งนี้ เช่นนั้นต่อไปค่าตอบแทนที่สำนักเซียนอวี้หูต้องมอบให้ตระกูลนักปรับปรุงพันธุ์พืชย่อมสามารถละเลยได้แล้ว”
เซี่ยหลิงปี้อึ้งงันไปเล็กน้อย เขาเพิ่งลงจากตำแหน่งประมุขสำนักได้ไม่กี่ปีเท่านั้น เขารู้ว่าคำมั่นสัญญาที่นายท่านผู้เฒ่าซีมอบให้หมายถึงอะไร
นายท่านผู้เฒ่าซีเห็นอาการตอบสนองของเซี่ยหลิงปี้ทั้งหมด รู้ว่าเขาหวั่นไหวแล้วจึงยิ้มพลางเอ่ยว่า “จะว่าไปแล้วหากราชสำนักมีตี้ซานเมิ่งเกรงว่าคงแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น หลิงปี้ไม่รู้กระมัง ตี้ซานเมิ่งผู้นี้มีศาลบูชาอยู่ทั่วทุกแห่งหนในโลกสามัญ มีผู้ไปคารวะไม่ขาดสาย ควันธูปมากล้นทีเดียว”
เซี่ยหลิงปี้ตรึกตรองอยู่เนิ่นนาน จากนั้นก็ถามว่า “ท่านจะทำเช่นไร”
นายท่านผู้เฒ่าซีตอบ “กำจัดตี้ซานเมิ่ง ขอเพียงเรื่องนี้สำเร็จ นับแต่นี้ไปสกุลซีจะปรับปรุงพันธุ์หญ้าเซียนให้สำนักเซียนอวี้หู…ไม่ ให้หลิงปี้โดยมิกล้ารับค่าตอบแทนใดๆ อีก”
ค่าตอบแทนที่นายท่านผู้เฒ่าซีเสนอมาครั้งนี้ช่างใจกว้างจริงๆ ทำให้เซี่ยหลิงปี้เริ่มจะสั่นคลอน เขาตรึกตรองพักหนึ่ง นายท่านผู้เฒ่าซีก็พูดต่อ
“เพียงแต่เรื่องนี้เกรงว่าจะต้องปิดบังประมุขสำนักเซี่ย ครั้งก่อนเดิมทีข้าคิดจะกำจัดเด็กหวงหร่างผู้นั้น แต่ประมุขสำนักเซี่ยเข้ามาช่วยเหลืออย่างมีคุณธรรม”
วาจาเขาแฝงความนัย เซี่ยหลิงปี้ย่อมเข้าใจ เซี่ยหงเฉินไม่มีทางเห็นด้วยกับเรื่องนี้แน่นอน
เซี่ยหลิงปี้ถอนหายใจคราหนึ่ง “หงเฉิน เด็กคนนี้ใจกว้างเกินไป”
นายท่านผู้เฒ่าซีตอบ “มิผิด เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้แล้วกัน”
เซี่ยหลิงปี้ยกถ้วยชาขึ้น ร่วมดื่มกับอีกฝ่าย
สามวันต่อมาชานเมืองทางทิศใต้ของเมืองหลวง หอสักการะห้าธัญพืช
เดิมทีที่นี่เป็นสถานที่ที่เชื้อพระวงศ์อธิษฐานขอให้ห้าธัญพืชอุดมสมบูรณ์ บัดนี้สร้างหอสูงหลังหนึ่งขึ้นเรียบร้อยแล้ว
ราษฎรจากทั่วทุกแห่งหนต่างพากันมาชมความครึกครื้น ผู้คนนับไม่ถ้วนมาเฝ้าอยู่ที่นี่ตั้งแต่ข่าวนี้แพร่ออกมาเพียงเพื่อจะได้ยลโฉมหน้าที่แท้จริงของตี้ซานเมิ่ง
ในสำนักเซียนก็มีคนสงสัยใคร่รู้ ต่างพากันมาดูเช่นกัน
เหมียวอวิ๋นจือ เหอซีจิน จางซูจิ่ว และอู่จื่อโฉ่วย่อมต้องมาร่วมพิธีอยู่แล้ว
จะว่าไปแล้วตี้ซานเมิ่งเป็นผู้ช่วยเหลือราษฎรนับหมื่นจากความทุกข์ยาก เมื่อทุกคนมาถึงก็นับว่าได้เพิ่มความครึกครื้น
จากนั้นขบวนเกียรติยศของซือเวิ่นอวี๋ก็มุ่งหน้ามาทางนี้ รอบด้านมีผู้คนล้อมอยู่เนืองแน่น
เป้าอู่นำยอดฝีมือกองพยัคฆ์ขาวคอยตรวจตรารอบด้าน
“ตี้ซานเมิ่งเซียนเซิงอยู่ที่ใด” ในฝูงชนมีแต่คำถามนี้
ทว่าไม่มีผู้ใดสามารถตอบได้
รอบด้านศีรษะของฝูงชนเบียดเสียดกัน เห็นแล้วชวนให้ดวงตาพร่าลายอย่างแท้จริง
รอจนถึงฤกษ์มงคล ใต้เท้าจั๋วเสนาบดีกรมพิธีการก็อ่านถ้อยคำบวงสรวงด้วยตนเอง เริ่มจากสรรเสริญโอรสสวรรค์ว่ามีวาสนา ประสบเภทภัยแต่กลับกลายเป็นความโชคดี ผ่านภัยแล้งมาได้อย่างปลอดภัย จากนั้นก็ไล่เรียงผลงานของกรมซือเทียนตลอดเวลาสี่ปีที่ก่อตั้งมา ต่อจากนั้นค่อยเอ่ยถึงความเป็นมาของตี้ซานเมิ่ง
ชาวบ้านยังคงเหลียวมองไปรอบด้าน หวังจะได้ยลโฉมหน้าของตี้ซานเมิ่งสักครั้ง หาได้สนใจธรรมเนียมพิธีเล็กน้อยเหล่านี้ไม่
หวงหร่างเปลี่ยนมาสวมชุดคลุมสีดำนานแล้ว นางสวมหมวกพรางหน้าติดผ้าโปร่งสีดำ อันที่จริงเข้าเฝ้าฮ่องเต้เช่นนี้นับเป็นการเสียมารยาท แต่ซือเวิ่นอวี๋ไม่ถือสา คนอื่นๆ ย่อมไม่พูดมากอีก
…ตำแหน่งและฐานะของตี้ซานเมิ่งในตอนนี้ทำให้สามารถทำตามใจตนเองได้
คำยกย่องสรรเสริญในถ้อยคำบวงสรวงข้างนอกยาวเหยียด หวงหร่างรอจนอยากหาวออกมา
ในที่สุดตี้อีชิวก็เข้ามาแล้วเอ่ยว่า “ตามข้ามา!”
หวงหร่างจึงเดินตามเขาไปตลอดทาง ออกจากม่านที่ราชสำนักกั้นไว้
“มาแล้วๆ!” ชาวบ้านข้างนอกพากันตะโกน!
หวงหร่างก้าวเท้าทีละก้าว ตามตี้อีชิวขึ้นไปบนหอสูง
“นี่คือตี้ซานเมิ่งเซียนเซิงหรือ เหตุใดถึงปกปิดใบหน้าเล่า” มีคนพูดเสียงค่อย
อีกคนอธิบายว่า “หลายปีมานี้ไม่รู้ว่าเซียนเซิงพบเจออันตรายมามากเท่าไร ไม่เผยโฉมหน้าก็ดี”
ทว่ามีคนเข้าใจย่อมมีคนเคลือบแคลง “เขาปิดเสียมิดชิดเพียงนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าใช่ตี้ซานเมิ่งจริงๆ หรือไม่ คงมิใช่ว่าราชสำนักแอบอ้างชื่อเขา หาใครก็ไม่รู้มาสวมรอยเป็นตี้ซานเมิ่งกระมัง”
ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ส่วนหวงหร่างเดินตามตี้อีชิว ในที่สุดก็ขึ้นไปบนหอสูง
บนหอสูงมีคนผู้หนึ่งสวมชุดฮ่องเต้ ศีรษะสวมหมวกเหมี่ยนกวน คิ้วตาฉายความน่าเกรงขามของโอรสสวรรค์ เป็นฮ่องเต้ซือเวิ่นอวี๋นั่นเอง
เมื่อหวงหร่างเห็นเขาแล้วก็เกือบจะสะดุดชายเสื้อของตนเอง
…บุรุษผู้นี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก!
เวลานี้เองซือเวิ่นอวี๋ก็เอ่ยปาก แต่ละถ้อยคำดั่งอสนีบาตที่ฟาดอยู่ข้างหูหวงหร่าง “ตี้ซานเมิ่งเซียนเซิง ได้ยินชื่อเสียงมานาน”
เสียงที่คุ้นเคยนี้ทำให้มือขวาของหวงหร่างกำแน่น นางล้วงเข้าไปในแขนเสื้อโดยไร้เหตุผล กำเข็มใบชาโปร่งใสเล่มนั้นไว้!
ก่อนหน้านี้นางเข้าสู่ความฝันสองครั้ง บุรุษที่พบบนยอดเจดีย์คือฮ่องเต้ซือเวิ่นอวี๋!
หวงหร่างมีข้อสงสัยมากมายเหลือเกิน แต่ยามนี้ในที่แห่งนี้หาใช่ที่ที่จะไขความสงสัยของนางได้
นางคารวะซือเวิ่นอวี๋เพียงเล็กน้อยเป็นการแสดงความเคารพอย่างพอเป็นพิธี
ซือเวิ่นอวี๋ไม่ถือสา อมยิ้มพลางเอ่ยชม “เซียนเซิงปรับปรุงข้าวเหลียงหมี่และเมล็ดบัวขม ทำเพื่อบ้านเมืองและราษฎรมาสิบกว่าปี ทำให้ภัยแล้งที่ไม่พานพบในรอบร้อยปีมิอาจคร่าชีวิตราษฎรของเราไปได้ คู่ควรกับป้ายทองนี้ของเรา”
กล่าวจบเขาก็โบกมือ มีคนแบกป้ายทองแผ่นหนึ่งขึ้นมา บนนั้นมีตัวอักษร ‘ชี้แนะใต้หล้า’ สี่ตัวเปล่งประกายสีทองเจิดจรัส
หวงหร่างค้อมกายคารวะเขาอีกครั้ง จิตใจยุ่งเหยิงดั่งกองป่าน
ฮ่องเต้ผู้นี้มีความแปลกพิสดารตรงที่ใดกันแน่ เหตุใดถึงสามารถดึงนางเข้าสู่ความฝันที่แปลกประหลาดเช่นนี้ได้
ขณะที่กำลังใจลอย ทันใดนั้นข้างหลังก็มีกระบี่เล่มหนึ่งแหวกอากาศมา!
เป้าอู่ตวาดเสียงโกรธเกรี้ยวทันใด รีบพุ่งมาทางนี้โดยพลัน หวงหร่างหันกลับไปพร้อมกระบี่ สกัดกั้นการโจมตีของอีกฝ่าย หลังจากนั้นนางกับคนร้ายผู้นี้ต่างตกตะลึง
กระบี่แห่งจิต!
สิ่งที่อยู่ในมือหวงหร่างคือมรรคากระบี่ขั้นสูงสุดของสำนักเซียนอวี้หู แต่กระบี่ของคนร้ายผู้นี้กลับธรรมดาอย่างยิ่ง
หลังจากอึ้งงันไป เขาก็ประมือกับหวงหร่างอย่างฉับไว หวงหร่างแยกแยะกระบวนท่าของคนผู้นี้ได้อย่างรวดเร็ว…เซี่ยหลิงปี้!
นางรู้จักคนผู้นี้ดีเกินไปจริงๆ
เซี่ยหลิงปี้ประมือกับนางสามสิบกว่ากระบวนท่า ในใจตื่นตระหนกไม่น้อย
ตี้ซานเมิ่งผู้นี้มิเพียงใช้ทักษะวิชาขั้นสุดยอดของสำนักเซียนอวี้หู ทว่ายังกระจ่างแจ้งในเพลงกระบี่ของเขาเป็นอย่างดีเหมือนรู้จักนิ้วมือในฝ่ามือตนเอง
เซี่ยหลิงปี้ถึงขั้นสงสัยว่าคนผู้นี้ล่วงรู้ฐานะของเขาแล้ว!
ฝูงชนใต้หอส่งเสียงฮือฮา ส่วนองครักษ์ของราชสำนักก็ล้อมคนร้ายไว้อย่างแน่นหนาแล้ว
ซือเวิ่นอวี๋ถอยไปด้านข้าง จ้องมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างผ่อนคลาย
เซี่ยหลิงปี้ต่อสู้อยู่นานก็มิอาจเอาชนะได้ เหงื่อเย็นจึงผุดขึ้นมาชั้นหนึ่ง
หากเขาไม่นำกระบี่แห่งจิตออกมา ของวิเศษทั่วไปมิอาจต่อกรกับกระบี่แห่งจิตของหวงหร่างได้โดยสิ้นเชิง แต่ถ้าหากเขาเสกกระบี่แห่งจิตออกมา ฐานะย่อมถูกเปิดเผยอย่างมิต้องสงสัย
แน่นอน เขายังมีอีกทางเลือกหนึ่ง
เขาตวาดเสียงโกรธเกรี้ยว ร่างกายพลันแปรเป็นหมอกดำกลุ่มหนึ่ง ท่ามกลางหมอกดำ โครงกระดูกนับไม่ถ้วนเผยคมเขี้ยวออกมา ดุดันน่าสยดสยอง!
คัมภีร์ปีศาจมารวิญญาณ!
เขาใช้วิชามารนี่จนได้!
หวงหร่างรู้สึกสั่นสะเทือนเพราะพลังปราณของเขา คนถอยไปข้างหลัง โครงกระดูกโผเข้าใส่นาง ฝ่าทะลวงพลังลมจากกระบี่ของนาง ระหว่างกัดทึ้ง หมวกพรางหน้าติดผ้าโปร่งสีดำของหวงหร่างก็ฉีกขาด!
เรือนผมยาวของนางแผ่สยาย เผยให้เห็นใบหน้าหมดจดเกลี้ยงเกลา
พวกชาวบ้านต่างพากันอุทาน ส่วนหวงหร่างก็ไม่ทันได้ปิดบังใบหน้า!
นางตวัดกระบี่ต้านทานไว้ แต่โครงกระดูกหมอกดำมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้เป็นเช่นนี้ แต่นางก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าวิชามารของเซี่ยหลิงปี้ในตอนนี้ยังมิได้ทรงอานุภาพเหมือนนอกความฝัน!
เหตุใดถึงแตกต่างกันมากเพียงนี้
หรือเพียงเพราะว่านอกความฝันเขาชิงร่างของเซี่ยหงเฉิน
หวงหร่างคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ แต่นางไม่มีเวลาคิดมากมายนัก
ความเข้าใจที่นางมีต่อคัมภีร์ปีศาจมารวิญญาณน้อยเกินไปจริงๆ
นางรับมืออย่างกินแรง จนกระทั่งเป้าอู่เข้ามาช่วย
สองคนร่วมกันรับมือกับศัตรู แรงกดดันจึงลดลง
เวลานี้ใต้เท้าเจ้ากรมหยิบคันธนูกับลูกธนูสีทองดอกหนึ่งออกมาจากวัตถุวิเศษเก็บของ
เขาพาดลูกธนูแล้วน้าวคันธนู เล็งไปที่เซี่ยหลิงปี้อย่างแม่นยำ ลูกธนูทะลวงกลุ่มหมอกเข้าไป!
จากนั้นก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาเหมือนแจกันเงินแตก ลูกธนูสีทองพุ่งเข้าไปในหมอก รัศมีแผ่กระจาย
โครงกระดูกสีดำดั่งถูกของร้อนลวก แผดเสียงร้องแหลม
จริงดังคาด ตอนนี้วิชามารของเซี่ยหลิงปี้อานุภาพต่ำกว่านอกความฝันมาก
อย่างน้อยนอกความฝันตี้อีชิวก็ไม่มีของวิเศษใดที่สามารถจัดการเขาได้
หวงหร่างรู้สึกฉงนสงสัย ส่วนเซี่ยหลิงปี้ตรงหน้าเมื่อเป็นฝ่ายเสียเปรียบก็ไม่ต่อสู้ยืดเยื้ออีก เขาหันหลังหมายจะหลบหนี แต่เวลานี้เองเหอซีจิน จางซูจิ่ว อู่จื่อโฉ่ว และคนอื่นๆ ล้อมเข้ามาแล้ว
เขาตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมที่แน่นหนาไปชั่วขณะ
เซี่ยหลิงปี้มองไปยังซือเวิ่นอวี๋ที่อยู่ไม่ไกล จากนั้นก็แผดเสียงคำราม โครงกระดูกสีดำสลายตัวทันใด แปรเป็นลูกไฟเรืองแสงลูกแล้วลูกเล่า!
ลูกไฟเรืองแสงกระจายออกไปทั่วทุกทิศ พุ่งเข้าใส่คนที่มุงดู
ทุกคนจึงได้แต่ตั้งข่ายอาคมเพื่อปกป้องฝูงชน
เซี่ยหลิงปี้ฝ่าวงล้อมออกไปได้ ก่อนจะหลบหนีไป
เวลานี้เองในกลุ่มคนมีคนตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว “หวงหร่าง! เจ้าถึงกับกล้าสวมรอยเป็นตี้ซานเมิ่งเซียนเซิง หลอกลวงราชสำนัก!”
พวกชาวบ้านยังตกใจไม่หาย พอได้ยินเสียงตะโกนนี้ก็ได้สติกลับมา พากันหันไปมองโฉมหน้าที่แท้จริงของตี้ซานเมิ่ง
หวงหร่างยืนอยู่ริมหอสูง สวมอาภรณ์สีดำทั่วร่าง เรือนผมยาวแผ่สยายถึงเอว
แม้แต่พวกเหอซีจินก็ตกตะลึง เนิ่นนานผ่านไปเหมียวอวิ๋นจือจึงเอ่ยด้วยความโมโห “เด็กนิสัยไม่ดี เจ้าช่างขวัญกล้านัก ถึงกับกล้าสวมรอยเป็นผู้ทรงคุณธรรม”
เฮ้อ
หวงหร่างก่นด่าเซี่ยหลิงปี้ในใจไปแล้วไม่รู้กี่รอบ
…หากยังมีความฝันครั้งที่สี่ ข้าจะขุดสุสานบรรพบุรุษของเจ้าขึ้นมาให้ได้เลยคอยดู!
นางมองไปยังเหอซีจิน เนิ่นนานจึงฝืนเค้นรอยยิ้มออกมา “ท่านลุง ความจริงแล้วข้าคือตี้ซานเมิ่ง”
เหอซีจินยังไม่ได้สติกลับมาจากความตื่นตระหนก ท่ามกลางฝูงชนนายท่านผู้เฒ่าซีเดินนำประมุขตระกูลและบรรดาผู้อาวุโสในตระกูลใหญ่ของเผ่าดินทั้งหลายมุ่งหน้ามาทางนี้
“เจ้าบอกว่าเจ้าคือตี้ซานเมิ่งหรือ” นายท่านผู้เฒ่าซีสีหน้าเยียบเย็น ยิ้มพลางเอ่ย “ช่างเป็นเรื่องขบขันครั้งใหญ่ในใต้หล้า!”
ประมุขตระกูลและผู้อาวุโสในตระกูลคนอื่นๆ ต่างหัวเราะเยาะหยันตาม
หวงสืออี้กล่าวว่า “ข้าว่าเป็นเพราะกรมซือเทียนหาตัวตี้ซานเมิ่งไม่พบต่างหาก จึงได้แต่เอาเด็กคนหนึ่งมาสวมรอย ใช้สิ่งนี้ทวงความดีความชอบจากฮ่องเต้กระมัง”
ซาหยวนหันไปกล่าวกับชาวบ้านทั้งหลาย “ทุกคนอย่าให้เด็กคนนี้หลอกลวงเอาได้ ตี้ซานเมิ่งปรากฏตัวตั้งแต่สิบแปดปีก่อน ตอนนี้เด็กคนนี้เพิ่งจะอายุเท่าไรเอง หรือว่าในปีนั้นเด็กหญิงอายุไม่กี่ขวบคนหนึ่งจะสามารถปรับปรุงเมล็ดพันธุ์จำหน่ายเลื่องชื่อให้พวกเจ้าได้แล้ว”
ฝูงชนที่มุงดูมิได้ตอบ เพราะทุกคนไม่แน่ใจจริงๆ
นายท่านผู้เฒ่าซีชี้คมกระบี่มาทางหวงหร่าง เอ่ยว่า “ละครถูกเปิดโปงแล้ว เจ้ายังไม่ขออภัยฝ่าบาทอีก”
หวงหร่างมองดูคนเหล่านี้…พวกเจ้าทำลายความอดทนของข้าไปจนหมดสิ้นแล้วจริงๆ
นางยืนตัวตรง กวาดสายตามองดูฝูงชน เอ่ยเสียงก้องกังวาน “ทุกท่าน ข้าคือตี้ซานเมิ่ง สิบแปดปีก่อนข้าเดินทางมาเมืองหลวง เข้าศึกษาในสำนักปรับปรุงพันธุ์พืชของกรมซือเทียน เนื่องจากเห็นชาวบ้านทุกข์ยากลำเค็ญ ตระกูลนักปรับปรุงพันธุ์พืชใหญ่ๆ ก็ไม่ยอมกระจายเมล็ดพันธุ์จำหน่ายให้ชาวนารายย่อย จึงบังเกิดความคิดชั่วแล่น ปลอมตัวเป็นตี้ซานเมิ่ง ปรับปรุงเมล็ดพันธุุ์จำหน่าย”
น้ำเสียงนางราบเรียบเนิบช้า ข้างล่างมีคนถามว่า “เจ้ามีหลักฐานอะไร”
เขาถามในสิ่งที่ทุกคนสนใจมากที่สุด ชั่วขณะนั้นสายตานับหมื่นพุ่งตรงมายังหวงหร่าง
หวงหร่างเดินไปตรงหน้าตี้อีชิว ยื่นมือไปหยิบแท่งถ่านจากเอวเขา นางก้าวยาวๆ ไปบนหอสูง ตวัดมือไปบนผืนผ้าม่านสีขาว
จงจื่อกุยก้าวเร็วๆ เข้าไป มองดูอยู่นานก่อนเอ่ยว่า “นี่…นี่เป็นฉลากผนึกของตี้ซานเมิ่งเซียนเซิงจริงๆ!”
ฉลากผนึกมักใช้เป็นสัญลักษณ์ของนักปรับปรุงพันธุ์พืช
พวกชาวบ้านยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พวกที่อยู่ใกล้เดินเข้าไปดูอย่างละเอียด เนิ่นนานจึงมีคนพูดขึ้น “ข้าเคยใช้เมล็ดพันธุ์จำหน่ายของตี้ซานเมิ่งเซียนเซิง นี่เป็นฉลากผนึกของท่านผู้เฒ่าจริงๆ!”
เสียงตะโกนเช่นนี้ดังขึ้นทุกขณะ ทุกคนมองดูคนงามบนหอสูงอีกครั้ง แววตาพลันซับซ้อน
หวงหร่างหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากวัตถุวิเศษเก็บของ คลี่ออกพลางพูดว่า “นี่คือโฉนดเรือนเก่าในเมืองหลวง สัญญาลงนามไว้เมื่อสิบแปดปีก่อน”
ฝูงชนเห็นโฉนดเรือนนี้แล้วก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้นอีกระลอกหนึ่ง
หวงหร่างกวาดสายตามองดูฝูงชนพลางกล่าวว่า “ทุกท่าน ตี้ซานเมิ่งคือข้า ทั้งยังมิใช่ข้า เขามาจากคำสอนของผู้อาวุโส มาจากคุณธรรมในสำนักเซียน มาจากความลำเค็ญของราษฎร มาจากแผ่นดินของฮ่องเต้ หลายปีที่ผ่านมาตระกูลใหญ่ของเผ่าดินภาคภูมิใจกับการที่เมล็ดพันธุ์จำหน่ายของตนไม่ตกไปอยู่ในมือชาวนารายย่อย ทว่าวันนี้ข้าจะเข้าสู่กรมซือเทียน ทำลายธรรมเนียมเก่าเสีย”
ทุกคนตกตะลึง แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร
เพียงชั่วพริบตาเสียงโห่ร้องยินดีก็ดังก้องดุจภูผาคำรามมหาสมุทรแผดเสียง
หวงหร่างมองดูฝูงชนที่ตื่นเต้นยินดี หัวใจกลับเต้นรัวเร็ว…
มีความสุขกับการยกย่องของราษฎรให้เต็มที่เถิด กลับไปเกรงว่ามิพ้นต้องถูกตีอย่างหนักยกหนึ่งเป็นแน่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 ก.ย. 68
Comments
comments
No tags for this post.