X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักห้วงฝันบันดาลรัก

ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 1-3

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่ 1 แค้นเก่า

หวงหร่างกลายเป็นเผือกร้อนหัวหนึ่ง

ผู้เก่งกล้าจากสำนักเซียนหลายคนฝ่าฟันอันตรายลักพาตัวนางออกมาด้วยความยากลำบากเหลือแสน เดิมทีคิดว่านางจะต้องรู้แผนการชั่วร้ายของตาเฒ่าเซี่ยหลิงปี้นั่นเป็นแน่ แต่คิดไม่ถึงว่านางจะกลายเป็นเช่นนี้

ศีรษะของนางมีเข็มทองปักอยู่สองเล่ม นี่คือเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูก…เครื่องมือลงทัณฑ์ขั้นสูงสุดของสำนักเซียนอวี้หู

ผู้ที่เคยถูกลงทัณฑ์ด้วยสิ่งนี้ ไม่ว่าพลังวัตรจะสูงล้ำเพียงใดก็เป็นได้แค่คนตายที่ยังหายใจเท่านั้น นับแต่นั้นมามิอาจพูดจาและเคลื่อนไหว ไม่แตกต่างอันใดจากวัตถุไร้ชีวิต

ผู้อาวุโสสามคนจากสำนักเซียนเห็นดังนั้นแล้วก็รู้สึกยากจะรับมือ

เพราะฐานะของหวงหร่างผู้นี้พิเศษนัก…นางเป็นภรรยาประมุขสำนักเซียนอวี้หูเซี่ยหงเฉิน

การแฝงตัวเข้าสำนักเซียนอวี้หู ลักพาตัวฮูหยินประมุขสำนักมา ความผิดนี้หากต้องรับไว้ ชื่อเสียงหน้าตาของทุกคนย่อมป่นปี้

อย่างไรเสียทุกคนล้วนเป็นผู้ที่มีหน้ามีตาในสำนักเซียน หากมีข่าวลือว่า ‘ก่อเหตุเพราะคนงาม’ แพร่ออกไปย่อมมิใช่เรื่องเล่นๆ อีกทั้งในบ้านของทั้งสามล้วนมีภรรยาที่น่าเกรงขามดุจพยัคฆ์ หากพาสตรีที่งามสะคราญปานนี้กลับบ้าน พวกตนยังจะมีทางรอดหรือ!

ผู้เก่งกล้าทั้งสามกระอึกกระอักและเริ่มบ่ายเบี่ยงกันไปมา เรื่องที่ใครจะเป็นคนซ่อนตัวหวงหร่างกลายเป็นปัญหาใหม่

หลังการหารือกันหลายครั้ง ทุกคนตัดสินใจให้หวงหร่างไปอยู่กับเจ้าสำนักจาง จางซูจิ่ว เหตุผลคือในสำนักของเขามีหมออยู่มากมาย สามารถรักษานางได้สะดวก

เจ้าสำนักจางไฉนเลยจะกล้ารับตัวคน เคราะห์ดีที่เขาตั้งสติได้ท่ามกลางวิกฤต พลันนึกถึงเรื่องราวเก่าก่อนเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

เจ้าสำนักจางสะบัดแขนเสื้อเอ่ยว่า “จะว่าไปแล้วสมัยที่เซี่ยฮูหยินผู้นี้ยังไม่แต่งงาน เจ้ากรมซือเทียนชมชอบนางทีเดียว ยังเคยขนสินสอดมากมายไปสู่ขอถึงที่บ้าน!”

หืม?

สายตาของผู้เก่งกล้าทั้งสามเลื่อนไปยังบริเวณหลบลมใต้ภูเขาศิลาทันที ตรงนั้นมีใต้เท้าเจ้ากรมซือเทียนแห่งราชสำนัก…ตี้อีชิวยืนอยู่

เพื่อปกปิดฐานะ เจ้ากรมผู้นี้จึงสวมชุดสีดำเข้ารูป ใบหน้าสวมหน้ากาก กอดอกยืนพิงภูเขาศิลาอยู่

“เซี่ยฮูหยินแต่งงานไปได้ร้อยกว่าปีแล้ว เจ้ากรมยังคงไม่แต่งภรรยา เห็นได้ชัดว่ารักปักใจทีเดียว!” อู่จื่อโฉ่วผู้เก่งกล้าอีกคนร้อนใจอยากถอนตัวออกจากเรื่องนี้ อย่าว่าแต่พาเซี่ยฮูหยินผู้นี้กลับไป แค่เข้าใกล้เขายังไม่กล้า เกรงว่าจะติดกลิ่นอายของนางมา ทำให้ภรรยาที่บ้านค้นพบเงื่อนงำ

เจ้าสำนักเหอ เหอซีจินเนื่องจากลิ้นเคยได้รับบาดเจ็บ ทำให้เป็นคนพูดติดอ่าง เขาเอ่ยเสียงดังทันใด “กะ…กะ…กล่าวได้ถูกต้อง!”

จางซูจิ่วจึงตัดสินอย่างเฉียบขาด “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ให้เจ้ากรมซือเทียนเป็นคนดูแลเซี่ยฮูหยินชั่วคราว ใต้เท้าเจ้ากรมไม่ต้องกังวล พวกข้าจะต้องเสาะหาหมอทั่วหล้ามาช่วยรักษาเซี่ยฮูหยินให้หายดีในเร็ววันแน่”

อีกสองคนพยักหน้ารัวเร็ว อู่จื่อโฉ่วเห็นด้วย “พี่รองกล่าวถูกต้อง! รอให้พวกข้าสืบหาความจริงให้ชัดเจนเสียก่อน ตาเฒ่าเซี่ยหลิงปี้ผู้นี้ย่อมอยู่ไม่ไกลจากความตายแล้ว!”

เหอซีจินรีบพูดเสริม “ชะ…ใช่!”

สามคนพูดพลางเดินจากไปไกลราวกับตี้อีชิวตกปากรับคำเป็นที่เรียบร้อย

รอจนกระทั่งทั้งสามคนจากไป ตี้อีชิวจึงเคลื่อนไหวในที่สุด

เขาเดินไปตรงหน้าหวงหร่างช้าๆ ถอดหน้ากากออก พินิจพิจารณานางเงียบๆ หวงหร่างก็มองดูเขาเช่นกัน ใต้ภูเขาศิลาที่นูนขึ้นมาลูกนี้ ความสะทกสะท้อนมากมายในใจหวงหร่างแปรเปลี่ยนเป็นคำสบถ

เมื่อร้อยกว่าปีก่อนตี้อีชิวผู้นี้เคยเป็นคนที่รักใคร่ชอบพอข้า

ตอนนั้นเพื่อรักษาชื่อเสียงสตรีผู้อ่อนโยนรู้มารยาทของตนไว้ หวงหร่างจึงรับมือกับเขาอย่างสุภาพและเอาใจใส่มาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้เองตี้อีชิวจึงตัดสินใจมาสู่ขอนางที่บ้าน แต่ยามนั้นหวงหร่างได้เกาะเกี่ยวกิ่งไม้สูงอย่างเซี่ยหงเฉินแล้ว ใจคิดแต่จะแต่งเข้าสำนักเซียน แล้วจะปล่อยให้เขาทำชื่อเสียงของตนมัวหมองได้อย่างไร

ดังนั้นหวงหร่างจึง…ปฏิเสธเขาอย่างเด็ดขาด!

ตอนนั้นนางยังเยาว์วัยเกินไปจริงๆ ไฉนเลยจะรู้ว่าร้อยกว่าปีให้หลังตนอายุปูนนี้แล้วกลับยังต้องตกอยู่ในเงื้อมมือเขา

หวงหร่างนึกเสียใจภายหลังอย่างยิ่ง

ตี้อีชิวอุ้มหวงหร่างขึ้นมา ภาพตรงหน้าของหวงหร่างก็เปลี่ยนไป มองเห็นคราบเลือดบนหัวไหล่เขา

เขาได้รับบาดเจ็บ

ไม่แปลก สำนักเซียนอวี้หูได้ชื่อว่าเป็นสำนักเซียนอันดับหนึ่ง ไม่พูดถึงผู้อาวุโสที่เร้นกายเหล่านั้น แค่ปรมาจารย์เซี่ยหลิงปี้กับประมุขสำนักเซี่ยหงเฉินก็ล้วนเป็นคนที่รับมือได้ยากยิ่ง สี่คนนี้แย่งคนออกมาจากปากเสือ แค่คิดดูก็รู้ว่าอันตรายและยากเย็นเพียงใด

เซี่ยหงเฉิน…เมื่อคิดถึงชื่อนี้แล้ว กระทั่งห้วงความคิดของหวงหร่างยังจมสู่ความเงียบงัน

ไอเย็นบนภูเขาจู่โจมเข้ามา ตี้อีชิวอุ้มหวงหร่างลงจากภูเขา

หวงหร่างมองเห็นเพียงเสื้อผ้าตรงอกเขา ข้างหูได้ยินเสียงหัวใจเต้นของเขา อาจเป็นเพราะได้รับบาดเจ็บ หัวใจของเขาจึงเต้นเร็ว แต่ละจังหวะหนักแน่นดุจรัวกลอง

เขาเดินลงไปตามเส้นทางภูเขา ไม่นานนักก็ถึงถนนใหญ่บนพื้นราบ ตี้อีชิวใช้มือขวาทำมุทรา ไม่รู้ว่าอย่างไร แต่บนพื้นพลันปรากฏรถม้าคันหนึ่ง บนรถม้ายังมีคนขับรถม้าด้วยหนึ่งคน

หวงหร่างรู้สึกว่าตี้อีชิวเหมือนจะเตรียมพร้อมรับตัวนางไว้อยู่แล้ว หาไม่แล้วด้วยพลังวัตรของเขาคงไม่จำเป็นต้องใช้รถม้าเช่นนี้ในการเดินทาง ทว่าน่าเสียดายที่นางไม่อาจถามได้

ตี้อีชิวอุ้มนางขึ้นรถม้า วางลงบนเบาะผ้าดิ้นให้นางนั่งดีๆ และปล่อยม่านลง จากนั้นรถม้าก็เริ่มแล่นไปข้างหน้า

ภายในรถม้ามืดสลัวเงียบสงบ หวงหร่างรู้สึกประหม่า อย่างไรเสียนางกับคนผู้นี้ก็ไม่มีเรื่องใดให้พูดคุยกันได้จริงๆ โชคดีที่ตอนนี้นางเสมือนหุ่นไม้ตัวหนึ่ง จึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไร

ตี้อีชิวเลิกม่านข้างหน้าต่างขึ้นมา รินสุราถ้วยหนึ่ง เขาจิบสุราในถ้วยพลางมองออกไปนอกหน้าต่างตลอดทาง จะชายตาแลหวงหร่างสักนิดก็หามีไม่

หวงหร่างนั่งอยู่ตรงข้ามเขา จึงได้แต่มองดูเขาเท่านั้น เวลาร้อยกว่าปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว นางถึงขั้นลืมรูปโฉมของตี้อีชิวในวันวานไปแล้ว บัดนี้ได้พบอีกครั้งจึงรู้สึกดั่งคนแปลกหน้า

บุรุษผู้นี้คงมิใช่คิดจะแก้แค้นข้ากระมัง นางรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

 

หนทางยาวไกล รถม้าแล่นไปตลอดทางไม่หยุด

หวงหร่างรู้สึกว่าในรถม้าค่อยๆ มืดลง จึงตระหนักว่าล่วงเข้ายามราตรีแล้ว กระนั้นคนบังคับรถม้าก็ไม่พูดจา ม้าสองตัวก็วิ่งไปเงียบๆ ข้างหูนางจึงได้ยินเพียงเสียงกีบเท้าม้าดังกุบกับ เสียงล้อรถม้าหมุนกึงกัง ดูเหมือนทุกคนไม่มีใครคิดจะหยุดพัก

ในกาสุราของตี้อีชิวเหมือนจะมีสุราที่ดื่มไม่มีวันหมด ภายในรถม้าอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสุรา

หวงหร่างรู้ว่านี่คือของวิเศษชิ้นหนึ่ง อาคมเมรัยไม่สิ้นสุดเช่นนี้หาใช่ของแปลกใหม่ในสำนักเซียนไม่

ทว่านางก็จำได้คลับคล้ายคลับคลาเช่นกันว่าเมื่อร้อยกว่าปีก่อนตี้อีชิวไม่ดื่มสุรา

ถูกกักขังลงทัณฑ์เป็นเวลาสิบปี ความทรงจำของนางถูกทำลายจนเหลือไม่มากแล้ว กับคนผู้นี้ยิ่งเลือนรางจนเหลือแค่เงาเท่านั้น ดังเช่นนางจำได้ว่าตนเองปฏิเสธการสู่ขอของตี้อีชิวอย่างเฉียบขาด ทว่า ‘เฉียบขาด’ อย่างไรนางกลับลืมไปเสียแล้ว

อันที่จริงนางไม่อยากให้ตี้อีชิวดื่มเช่นนี้ไปเรื่อยๆ อย่างไรเสียสุราก็ทำให้คนขาดสติและทำตัววุ่นวายได้ง่าย

ทว่าพอคิดเช่นนี้นางก็ปล่อยวางลงได้…บัดนี้ชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพังในรถม้า หากเขาคิดจะล่วงเกินข้า เกี่ยวข้องอันใดกับสุราเล่า

ช่างเถิด…ช่างเถิด

รอจนภายในรถม้ามืดสนิท ตี้อีชิวก็จุดเทียนไขเล่มหนึ่ง

ลมหนาวพัดเข้ามา เปลวไฟจากเทียนไขเล่มนั้นกลับไม่วูบไหวสักนิด ดูเหมือนว่ากรมซือเทียนอะไรนี่จะมีของวิเศษมากมายทีเดียว

หวงหร่างรู้สึกหนาวเล็กน้อย นางถูกลงทัณฑ์ด้วยเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูก แม้มิอาจพูดจาหรือเคลื่อนไหวได้ แต่กลับสามารถรับรู้ความหนาวและความเจ็บปวดได้

เวลานี้เองตี้อีชิวพลันนั่งตัวตรงและกุมมือนางไว้ หวงหร่างตกใจ…เอาแล้ว ในที่สุดก็มาถึงวันนี้จนได้ ทว่าบัดนี้ตนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ยังจะต้องรักษาความบริสุทธิ์ไว้เพื่อเซี่ยหงเฉินอีกหรือ

ไม่เป็นไร

นางปลอบประโลมตนเองให้สงบลง ส่วนตี้อีชิวที่กุมมือนางไว้หันไปหยิบชุดคลุมกันลมตัวหนึ่งออกมาจากในหีบแล้วห่อร่างนางไว้อย่างแน่นหนา

เอ่อ…แค่ก

หวงหร่างถูกห่อร่างด้วยชุดคลุมกันลมตัวหนา ในที่สุดไอหนาวก็สลายหายไปอย่างช้าๆ ตี้อีชิวทำมุทราเบาๆ รถม้าแล่นเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เสียงลมข้างหูดังหวีดหวิว ดั่งขี่เมฆควบหมอกปานนั้น ตี้อีชิวปล่อยม่านลง จวบจนล่วงเข้ายามดึกของครึ่งคืนหลัง ในที่สุดก็มาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง

ม้าสองตัวพ่นลมออกทางจมูกพร้อมกัน นี่เป็นครั้งแรกที่หวงหร่างได้ยินพวกมันส่งเสียงอื่นที่มิใช่เสียงกีบเท้าม้า

ตี้อีชิวลงจากรถม้าก่อน จากนั้นค่อยอุ้มหวงหร่างลงมา

ขณะที่สายตาเลื่อนขึ้นลง หวงหร่างก็มองเห็นป้ายชื่อจวนหลังนี้…กองเสวียนอู่ดีร้ายนางก็เป็นฮูหยินประมุขสำนักมาร้อยกว่าปี จึงพอจะรู้จักกองเสวียนอู่แห่งนี้อยู่บ้าง เมื่อร้อยกว่าปีก่อนสำนักเซียนอำนาจมากล้น ผู้เลื่อมใสศรัทธาค่อยๆ ขยายวงกว้าง ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยไม่ยอมรับการปกครองของราชสำนัก แต่กลับยินดีจ่ายภาษีให้สำนักเซียน

ด้วยความกริ้ว ซือเวิ่นอวี๋ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันคิดจะดึงสำนักเซียนเข้ามาอยู่ภายใต้อาณัติ ทว่าสำนักเซียนอำนาจแข็งแกร่ง ในขณะที่ราชสำนักอ่อนแอ สำนักเซียนเหล่านี้จึงไม่เห็นราชสำนักอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง

ด้วยความจนใจ ซือเวิ่นอวี๋จึงได้แต่ก่อตั้งกรมซือเทียนขึ้นมาเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับสำนักเซียนทั้งหลาย ด้วยกำลังของราชสำนัก เดิมทีกรมซือเทียนควรเป็นเพียงเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง ผู้ที่มุ่งหมายจะฝึกบำเพ็ญเป็นเซียนแสวงหามรรคาจริงๆ ไฉนเลยจะยอมขายตนเองให้ราชวงศ์ ยอมรับใช้ราชสำนัก

ถึงกระนั้นตี้อีชิวกลับฝึกบำเพ็ญจนก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เขาแบ่งกรมซือเทียนออกเป็นสี่กอง ได้แก่ มังกรเขียว กองพยัคฆ์ขาว กองวิหคเพลิง และกองเสวียนอู่ กองมังกรเขียวรับผิดชอบงานเอกสาร ตรวจสอบบัญชีรายรับรายจ่าย รวมทั้งต้องติดต่อประสานงานกับขุนนาง กองพยัคฆ์ขาวมีคุก ศิษย์ในกองส่วนใหญ่ทำงานอยู่ข้างนอก ปราบปีศาจขจัดมารร้าย ผดุงความถูกต้องแทนสวรรค์ ทั้งยังช่วยราษฎรจัดการปัญหาทั่วไป กองวิหคเพลิงทำหน้าที่หลอมยาลูกกลอนและหลอมวัตถุ ทั้งยังดูแลการเช่าที่นาเพาะปลูกหญ้าวิเศษ ปรับปรุงเมล็ดพันธุ์จำหน่ายส่วนกองเสวียนอู่เป็นสถานที่ศึกษาเล่าเรียนของศิษย์กรมซือเทียน มีเสียงท่องตำราดังตลอดทั้งวัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ พอผ่านมาร้อยกว่าปีกรมซือเทียนจึงค่อยๆ มีที่หยัดยืนท่ามกลางสำนักเซียนทั้งหลาย แม้ชื่อเสียงบารมีจะมิเท่าสำนักเซียนดั้งเดิมอย่างสำนักเซียนอวี้หู แต่ก็มีชาวบ้านไม่น้อยให้การสนับสนุน

หวงหร่างกำลังคิดถึงการประชันขันแข่งระหว่างราชสำนักกับสำนักเซียนตลอดหลายปีมานี้ จู่ๆ นิ้วมือทั้งห้าของตี้อีชิวก็รวบเข้าด้วยกัน รถม้าหน้าประตูรวมถึงคนขับรถม้าพลันลุกไหม้ดุจกระดาษ เพียงชั่วพริบตาก็สลายกลายเป็นควันบางเบา

เขาอุ้มหวงหร่างเดินเข้าไป องครักษ์สองคนหน้าประตูจำเขาได้จึงค้อมกายคารวะทันที แต่เมื่อเห็นในอ้อมแขนเขาเหมือนกำลังอุ้มบางสิ่งสีดำๆ ก็อดเหลือบมองอีกคราไม่ได้ ครั้นเห็นว่าในชุดคลุมกันลมสีดำเป็นเรือนผมยาวสลวย ดวงตาของทั้งสองก็เบิกถลนจนแทบจะเป็นไก่ดำทันที

ตี้อีชิวกลับมิได้ใส่ใจ เขาเพียงอุ้มหวงหร่างเข้าไปในจวน

ในสายตาหวงหร่างแลเห็นเพียงผืนฟ้าสีดำ บางครั้งมีกิ่งไม้วาดผ่านสายตาของนางไป แต่เนื่องจากแสงสว่างเลือนราง จึงมองเห็นได้ไม่ชัด

ข้างหูได้ยินเสียงดังเอี๊ยดอาด ตี้อีชิวผลักประตูบานหนึ่งและอุ้มนางเข้าไป

ภายในห้องมิได้จุดโคมไฟ มีเพียงความมืดมิด แต่เขากลับสามารถวางหวงหร่างลงบนเตียงได้โดยไร้อุปสรรค จังหวะที่เขาปล่อยมือ หวงหร่างเหมือนขาดที่พึ่งพิง นางรู้สึกประหนึ่งตนเองจมลงสู่ความมืดมนอนธการ

สิ่งที่วนเวียนอยู่รอบกายล้วนเป็นภูตผีปีศาจน่าสะพรึง

ศีรษะเริ่มเจ็บแปลบอย่างรุนแรง นางรู้สึกว่าตนเองหายใจลำบาก ทว่านางขยับตัวไม่ได้ แม้กระทั่งหายใจก็ยังหายใจไม่ออก

เคราะห์ดีที่จังหวะนี้เองแสงเทียนก็สว่างขึ้น ลามเลียความมืดมนจนกลายเป็นโพรงขนาดใหญ่ หวงหร่างโล่งอก เงาภูตผีปีศาจที่เริงระบำอยู่ข้างกายค่อยๆ เลือนหายไป ความเจ็บแปลบในศีรษะก็บรรเทาลงช้าๆ

หลังจากไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์มาเป็นเวลาสิบปี นางก็เริ่มหวาดกลัวความมืด

ตี้อีชิวมิได้สนใจนางอีก เดินเข้าไปในห้องด้านข้าง ครู่หนึ่งก็ออกมาอีกครั้ง เขาถอดชุดเข้ารูปสีดำตัวนั้นออกแล้วสวมเพียงเสื้อตัวในสีขาวราวหิมะ เขาเดินมายังหน้าเตียง มองดูหวงหร่าง คิ้วขมวดเข้าด้วยกัน

หวงหร่างพิศมองเขาอย่างละเอียด จึงพบว่าอันที่จริงเขามีรูปโฉมหล่อเหลาเอาการ คิ้วกระบี่เฉียงชี้ไปยังจอนผม สันจมูกสูงโด่ง แค่แววตาเฉียบคมเกินไป ริมฝีปากคู่นั้นก็บางเกินไป คนเช่นนี้ดูไปแล้วมิน่าเข้าใกล้นัก ชวนให้คนเกิดความหวั่นเกรงได้ง่าย

หวงหร่างนอนหงายอยู่บนเตียง ได้แต่ปล่อยให้เขาพินิจพิจารณาเช่นนั้น

ตี้อีชิวมองดูอยู่นานสองนาน จู่ๆ ก็อุ้มนางขึ้นมาแล้วพาไปยังห้องด้านข้าง หวงหร่างถึงได้พบว่าในห้องด้านข้างมีถังอาบน้ำอยู่ ที่แท้เป็นสถานที่อาบน้ำ

สถานที่อาบน้ำ! เช่นนั้นเขาพาข้ามาที่นี่เพื่ออันใด หวงหร่างตื่นตระหนก

ตี้อีชิวตอบข้อกังขาของนางอย่างรวดเร็ว เขาวางหวงหร่างลงในถังอาบน้ำ ลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายยังคงยื่นมือมาเปลื้องอาภรณ์ของนาง

เอาเถิด

หวงหร่างไม่แม้แต่จะกะพริบตาสักครั้งด้วยซ้ำ ความจริงแล้วเรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะมีอะไรน่ากลัว เพราะเรื่องที่น่ากลัวจริงๆ กำลังจะเกิดขึ้นกับนางอยู่แล้ว เทียบกับการมีสภาพเหมือนคนตายที่ยังหายใจอยู่ แค่ถูกบุรุษผู้หนึ่งล่วงเกินในระยะประชิดนับเป็นอะไรเล่า

ตี้อีชิวเป็นบุรุษ ยามเผชิญหน้ากับสตรีที่เคยปฏิเสธตนอย่างตรงไปตรงมาเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ไม่ว่าเขาจะทำอะไรล้วนไม่น่าประหลาดใจทั้งสิ้น ส่วนหวงหร่างเองก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ตี้อีชิวเปลื้องอาภรณ์ของนางออก ผิวพรรณของนางเผยออกมาทีละชุ่นเนื่องจากสายตาของนางจำกัดอยู่แค่ระยะแคบ นางจึงไม่เห็นสีหน้าของเขา ได้แต่ยอมรับทั้งอย่างนี้ จากนั้นตี้อีชิวก็เริ่มอาบน้ำให้นาง

ถังอาบน้ำใบนี้ก็น่าจะเป็นของวิเศษอีกชิ้นเช่นกัน ตี้อีชิวแค่ใช้มือทำมุทรา น้ำร้อนก็ไหลออกมาเอง ท่วมไหล่ทั้งสองข้างของนาง ความร้อนกำลังพอเหมาะ

เฮ้อ หากโปรยกลีบบุปผาลงไปสักหน่อย ผสมน้ำมันหอมลงไปสักนิดจะวิเศษสักเพียงใด สมัยก่อนนางมักจะผสมน้ำมันหอมลงในน้ำสำหรับอาบจนหอมฟุ้งไปทั้งสระ จากนั้นก็สวมเสื้อผ้าโปร่งบาง ยื่นปลายเท้าออกมาจนพ้นน้ำเพื่อยั่วยวนเซี่ยหงเฉิน

เซี่ยหงเฉิน ฮ่าๆ เซี่ยหงเฉิน

หวงหร่างไม่อยากจะคิดถึงชื่อนี้อีกแล้ว แต่มันยังคงผุดขึ้นมาในใจเป็นครั้งคราว

ตลอดสิบปีนี้นางตะโกนเรียกชื่อนี้ในใจนับครั้งไม่ถ้วน ทุกครั้งที่ร่ำร้องขอความช่วยเหลือล้วนต้องผิดหวัง

ถังอาบน้ำของตี้อีชิวไม่มีกลีบบุปผา ทั้งยังไม่มีน้ำมันหอม

แต่น้ำนั่นกลับอบอุ่นเหลือเกิน เพื่อความอบอุ่นอันเล็กน้อยนี้ หวงหร่างคิดว่าตนเองยอมแลกกับทุกสิ่ง มือของตี้อีชิวถูลาดไหล่นาง ท้องนิ้วของเขาหยาบกร้าน บาดผิวจนนางรู้สึกเจ็บ

สายตาของหวงหร่างหลุบลงมองดูน้ำ

ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็เห็นน้ำค่อยๆ…เปลี่ยนเป็นสีดำ

ใช่แล้ว น้ำที่เดิมทีใสกระจ่างได้แปรเปลี่ยนเป็นสีดำขุ่นสกปรกทั้งถัง

ไม่ ไม่ใช่น้ำที่สกปรก

ห้วงสมองของหวงหร่างเกิดเสียงดังอึงอล ทุกสิ่งสับสนปั่นป่วนไปหมด…นางถูกขังอยู่ในห้องลับกลางเขาลึกของสำนักเซียนอวี้หูมาเป็นเวลาสิบปีเต็ม กลางเขาลึกแห่งนั้นมีฝุ่นดินและหยากไย่ทับถมอยู่ไม่รู้กี่ชุ่น อีกทั้งนางไม่ได้อาบน้ำมาสิบปีแล้ว

ข้านี่มัน…

น้ำถังแรกถูกเททิ้งไปอย่างรวดเร็ว

น้ำถังที่สองก็เริ่มดำขุ่น ตี้อีชิวใช้มือถูคราบดินชั้นแล้วชั้นเล่าออกจากร่างกายนาง…

หวงหร่างไม่อยากมองอีกแล้วจริงๆ

นางปีนป่ายจากการเป็นภูตดินตัวน้อยที่ชาติกำเนิดต่ำต้อยจนถึงตำแหน่งฮูหยินประมุขสำนักเซียนอันดับหนึ่ง มีหน้ามีตามาร้อยกว่าปี

แต่ร้อยกว่าปีให้หลังนางตกอยู่ในเงื้อมมือของบุรุษที่เคยรักใคร่ชอบพอนาง ทว่าถูกนางปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย และเขากำลังถูตัวให้นางจนน้ำในถังดำไปแล้วห้าถัง

ตลอดเวลาสิบปีความคิดจิตใจของหวงหร่างมีแต่ความโกรธแค้น เว้นเพียงชั่วขณะนี้ที่นางอับอายและโมโหแทบตาย

บทที่ 2 เกล้ามวย

หลังอาบน้ำไปห้าถัง ในที่สุดตี้อีชิวก็อุ้มหวงหร่างออกมา ต่อจากนั้นเขาก็มีท่าทางลำบากใจเหลือหลาย ค้นหาในห้องอยู่นาน เห็นได้ชัดว่าไม่มีเสื้อผ้าที่หวงหร่างสามารถสวมใส่ได้

สุดท้ายเขาก็ค้นเสื้อตัวในของตนเองออกมาชุดหนึ่งและสวมให้นาง

หวงหร่างไม่ถือสาแล้วจริงๆ ตอนนี้ต่อให้ตี้อีชิวหยอกเย้านาง ข่มเหงนางอย่างไรล้วนไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะตอนนี้ศักดิ์ศรีของนางถูกน้ำห้าถังนั้นชะล้างไปจนไม่เหลือแล้ว

ตี้อีชิวอุ้มนางไปวางบนเตียงอีกครั้งและเริ่มเช็ดผมให้นาง

เส้นผมของหวงหร่างทั้งดำขลับและเงางาม นุ่มลื่นดุจเส้นไหม แต่ก่อนนางมักออดอ้อนให้เซี่ยหงเฉินเช็ดผมให้นางบ่อยครั้ง ปล่อยให้เรือนผมยาวสีดำของตนพัวพันอยู่ระหว่างนิ้วมือเขา

เซี่ยหงเฉิน…หวงหร่างจมสู่ห้วงความทรงจำ เรื่องในวันวานช่างฉีกทึ้งหัวใจ

ในที่สุดตี้อีชิวก็เช็ดผมให้นางจนเกือบเสร็จแล้ว เขาพาดเรือนผมยาวของนางไว้กับหัวเตียง ลากอ่างไฟเข้ามาอบผมนางให้แห้ง จากนั้นเขาก็นั่งลงตรงขอบเตียง ถอดเสื้อออกครึ่งหนึ่ง สำรวจดูบาดแผลที่หัวไหล่

ตรงกระดูกกุญแจของเขายังมีปลิงพิษตัวหนึ่งเกาะอยู่! นี่คือหนึ่งในกู่เวทพิทักษ์เขาของสำนักเซียนอวี้หู เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะวางไข่ทันที มิเพียงดูดกินเลือดคน ทว่ายังมีพิษร้ายแรง หากไม่ได้รับยาถอนพิษ คนทั่วไปจะสลายกลายเป็นน้ำเลือดภายในสิบสองชั่วยาม

หวงหร่างตกใจ ทว่าตอนที่ตี้อีชิวดึงปลิงดูดเลือดตัวนี้ออกมามันกลับตายเสียแล้ว

เจ้าสิ่งนี้มีพลังชีวิตแข็งแกร่งยิ่ง วิธีการทั่วไปยากจะฆ่ามันให้ตายได้ หวงหร่างเหลือบมองหัวไหล่ของตี้อีชิวอย่างอดไม่ได้ หัวไหล่เขาเป็นสีดำคล้ำ ลักษณะเหมือนถูกพิษ ทว่าเขาเพียงกดเบาๆ ลงบนบาดแผล สีดำคล้ำเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายหายไปอย่างช้าๆ ราวกับพิษถูกดูดซับไป จากนั้นเขาก็กลับไปเป็นปกติทุกอย่าง

ร่างกายของคนผู้นี้ประหลาดยิ่งนัก

หวงหร่างบังเกิดความฉงนในใจ แต่ก็แค่ฉงนเท่านั้น ด้วยสภาพของนางในตอนนี้ยังจะมีปัญญาไปสนใจร่างกายของผู้อื่นได้อย่างไร

รอจนผมของนางถูกความร้อนอบจนแห้ง ตี้อีชิวก็ประคองนางให้นอนลง หวงหร่างรู้สึกโล่งสบายไปทั้งร่าง พอขบคิดดูแล้วน่าจะเป็นเพราะเพิ่งอาบน้ำร้อนมาห้าถังนั่นเอง

ช่างเถิด อย่าคิดถึงการอาบน้ำนั่นอีกเลย

นางเพิ่งจะเอนกายลง ตี้อีชิวพลันยันกายขึ้น ก่อนจะโน้มลงมา

นี่…เอาเถิด ตามสบาย ท่านพอใจก็พอ หวงหร่างจ้องลายปักบนเพดานเตียง ไม่คิดถึงชะตากรรมอันเลวร้ายที่กำลังจะมาเยือน มีอะไรน่ากลัวกันเล่า ในอดีตเพื่อยั่วยวนเซี่ยหงเฉิน มีเรื่องใดบ้างที่ข้าไม่เคยทำ สำหรับท่าน…ข้าจะถือเสียว่าถูกสุนัขกัดก็แล้วกัน

หวงหร่างพยายามทำให้ตนเองไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งใด

ตี้อีชิวยื่นมือออกมา เหน็บชายผ้าห่มด้านหนึ่งให้นาง ก่อนจะเอนกายกลับลงไปตามเดิม

หืม?

หวงหร่างเริ่มนับเส้นด้ายผ้าม่านด้านบนของเตียง พยายามจะรู้ให้ได้ว่าพวกมันตัดกันไปมาจนเกิดรูทั้งหมดกี่รู

ข้างหูได้ยินเสียงลมหายใจของตี้อีชิว แรกเริ่มแผ่วเบา จากนั้นก็ค่อยๆ หายใจลึกขึ้น สุดท้ายก็แผ่วเบาลงอีกช้าๆ หวงหร่างนับลมหายใจเข้าออกของเขา จู่ๆ ก็นึกขึ้นว่าร้อยกว่าปีให้หลังนางนอนอยู่ข้างกายบุรุษอีกคน

ทว่านี่มิใช่เรื่องที่นางใส่ใจอีกต่อไปแล้ว

นางหลับตาลง อยากจะพักสายตา แต่ความมืดมิดจู่โจมเข้ามาอย่างฉับพลันทันใด

ในห้วงสมองคล้ายมีเสียงร่ำร้องอย่างสิ้นหวังของคนนับพันนับหมื่น นางย้อนกลับไปในห้องลับนั่นอีกครั้ง ผู้คนนับไม่ถ้วนที่ถูกลงทัณฑ์เช่นเดียวกับนางยืนอยู่เงียบๆ ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยแววตาว่างเปล่า ใบหน้าแข็งทื่อ

สถานที่แห่งนั้นไม่เห็นแสงอาทิตย์ชั่วกาล มีเพียงประกายแสงจากยันต์ของข่ายอาคมกะพริบเบาๆ เป็นครั้งคราว

นางได้ยินเสียงสวบสาบดังขึ้นคราหนึ่ง เสียงนี้ฟังดูไพเราะเหลือเกินยามอยู่ในห้องลับที่เงียบสงัดแห่งนี้ หวงหร่างตั้งใจฟังอยู่นานสองนานจนกระทั่งหนูตัวหนึ่งลากเอาหูโชกเลือดข้างหนึ่งวิ่งผ่านหน้านางไป

ที่แท้นั่นเป็นเสียงหนูกัดแทะหูสหายร่วมชะตากรรมของนางนั่นเอง

หวงหร่างลืมตา นับเส้นด้ายของม่านผ้าโปร่งอีกครั้ง

ราตรียาวนานไม่สิ้นสุด แสงเทียนนอกม่านค่อยๆ ริบหรี่ หวงหร่างเริ่มลนลาน หากแสงเทียนดับไป ในห้องก็จะเหลือเพียงความมืด เคราะห์ดีที่ก่อนเทียนไขจะเผาไหม้จนหมดสิ้น ท้องฟ้าก็เริ่มปรากฏแสงสว่างแล้ว

คล้ายเมล็ดงาขาวช้อนหนึ่งถูกผสมลงในความมืดมิด ทั้งสว่างและมืดในเวลาเดียวกัน เมื่อเมล็ดงาขาวช้อนนี้ค่อยๆ เข้มข้นขึ้น แสงแรกของวันก็ส่องทะลุม่านเตียงเข้ามา

หวงหร่างโล่งอก ตี้อีชิวข้างกายก็ตื่นแล้ว ยามที่เขาเพิ่งตื่น ปลายนิ้วสัมผัสถูกหวงหร่างที่อยู่ข้างกาย เขาสะดุ้งและลุกขึ้นทันใด ครั้นเห็นคนข้างกายชัดเจนก็เหมือนเพิ่งจดจำนางได้

เขาลุกขึ้นและลงจากเตียง หวงหร่างได้ยินเพียงเสียงดังสวบสาบ เขาน่าจะกำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่นานนักเขาก็เหน็บชายผ้าห่มให้หวงหร่างอีกครั้งพลางพูดขึ้น

“วันนี้เจ้าอยู่ในห้อง ข้าจะให้คนเร่งตัดเสื้อผ้าให้เจ้า”

นี่เป็นครั้งแรกที่หวงหร่างได้ยินเขาพูด

…แน่นอนว่าร้อยกว่าปีก่อนพวกเขาต้องเคยสนทนากันอยู่แล้ว เพียงแต่กาลเวลาไม่หยุดนิ่ง ล่วงผ่านไปดุจกระแสน้ำไหล คนและเรื่องราวเล็กน้อยเหล่านั้นนางลืมไปนานแล้ว

เสียงของตี้อีชิวใสกังวาน น้ำเสียงกลับฟังเหมือนเป็นคำสั่ง แต่ละถ้อยคำล้วนกดดันผู้อื่น ไม่ยอมให้ผู้ใดกังขา หวงหร่างมิอาจโต้แย้งเขาได้อยู่แล้ว จะให้ทำอย่างไรเล่า ย่อมได้แต่ตามใจเขาเท่านั้น

ตี้อีชิวเปิดประตูและออกไป ข้างนอกมีเสียงใครก็ไม่รู้ลอยเข้ามา ทักทายเขาอย่างเคารพนบนอบ

หวงหร่างไม่ได้ยินเสียงตอบรับของเขา หรือบางทีเขาอาจไม่ได้ตอบ ก็จริง ร้อยกว่าปีก่อนราชสำนักยังไม่มีบารมีและความน่าเชื่อถือใดๆ ในสำนักเซียน แต่ภายในเวลาร้อยกว่าปีกรมซือเทียนได้กลายเป็นหน่วยงานที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง ต่อให้เป็นสำนักเซียนอวี้หูก็จำต้องใส่ใจคู่ต่อสู้ผู้นี้

แล้วตี้อีชิวที่เป็นถึงเจ้ากรมซือเทียนจะเป็นคนที่รับมือง่ายๆ ได้อย่างไร

หวงหร่างจับจ้องเพดานเตียงต่อไป พอตี้อีชิวจากไปโลกเล็กๆ ใบนี้ก็เหมือนจะเงียบงันลง

อันที่จริงนางไม่กลัวการเฝ้ารอคอย สิบปีในห้องลับทำให้เวลาเหมือนดั่งขึ้นสนิม ติดชะงักอยู่ที่เดิมมิอาจเดินต่อไปได้ ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว นางได้นอนอยู่บนเตียงนุ่มสบายด้วยเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน มีผ้าห่มผืนหนาอบอุ่นคลุมกาย

ในห้องจุดอ่างไฟไว้ ทำให้ลมหนาวที่เล็ดลอดเข้ามาลดความน่ากลัวลง กลายเป็นความอบอุ่นอ่อนโยน

นางรอให้เวลาเดินผ่านไป สามารถสัมผัสแสงอาทิตย์เสี้ยวหนึ่งที่ส่องผ่านม่านเข้ามาได้อย่างไม่คาดคิด!

วันนี้ช่างเป็นวันที่งดงามที่สุดวันหนึ่งจริงๆ หวงหร่างคิดเงียบๆ

 

กรมซือเทียน

ตี้อีชิวเดินไปเรื่อยๆ จนถึงกองวิหคเพลิง จากนั้นก็เข้าไปในห้องประชุมของเขา

ผู้ช่วยกองวิหคเพลิงจูเซียงรุดมาถึง แม้นางจะเป็นสตรี แต่กลับสวมเสื้อตัวสั้นกับกางเกงผ้าเนื้อหยาบสีแดง แขนเสื้อถลกขึ้นมาถึงข้อศอก ท่วงทีเหมือนบุรุษ นางทำสิ่งใดแคล่วคล่องว่องไว ทั้งยังเฉลียวฉลาดมากด้วยไหวพริบ เป็นผู้ช่วยคนสำคัญของตี้อีชิว

นางยืนรอคำสั่งอยู่ด้านขวามือ มิได้ส่งเสียงรบกวนตี้อีชิวอย่างรู้ใจผู้เป็นเจ้านาย

ตี้อีชิวกางกระดาษและใช้แท่งถ่านวาดภาพ

เขาเปี่ยมด้วยความคิดแปลกใหม่ วัตถุเวทและของวิเศษหลายชิ้นในกรมซือเทียนล้วนมาจากฝีมือเขา ทุกครั้งยามเขาหลอมวัตถุเวทชิ้นใหม่ จูเซียงจะวาดแบบร่างไว้หลายๆ แผ่นและส่งต่อให้ศิษย์ในกองศึกษาดู

หากของสิ่งนี้เป็นที่ต้องการจึงจะหลอมออกมาจำนวนมาก

วันนี้ตี้อีชิวก็วาดภาพอย่างละเอียดถี่ถ้วนเช่นเดิม

จูเซียงรอพักหนึ่ง ในที่สุดตี้อีชิวก็ยื่นแบบร่างให้นาง “เร่งทำทันทีและส่งมาให้ข้า”

วันนี้รีบเป็นพิเศษเชียว จูเซียงรับแบบร่างไป มองแค่คราเดียวก็ตกตะลึง แบบร่างมีหลายแผ่น ในนั้นล้วนเป็น…เครื่องแต่งกายของสตรี ตั้งแต่แถบผ้ารัดอกไปจนถึงกระโปรงชั้นใน จากนั้นก็เป็นกระโปรง เสื้อนอก ชุดคลุมกันลมตัวหนา สายรัดเอว รองเท้า…

วัสดุ สีสัน ทักษะการปักลายล้วนเขียนกำกับไว้อย่างชัดเจน รายละเอียดของขนาด ความกว้างของไหล่ รอบอก รอบเอว รอบสะโพกไม่ตกหล่นแม้แต่จุดเดียว

นี่มัน…

จูเซียงไม่เข้าใจ แต่ในเมื่อเจ้ากรมสั่งมาย่อมต้องมีเหตุผล นางเองก็ไม่ถามให้มากความ ความยอดเยี่ยมของผู้ใต้บังคับบัญชามักจะสะท้อนออกมาจากการปฏิบัติตามคำสั่งได้อย่างล้ำเลิศ!

ด้วยเหตุนี้ศิษย์กองวิหคเพลิงของกรมซือเทียนจึงเริ่มตัดเย็บชุดกระโปรงชุดนี้กันตั้งแต่เช้าตรู่ ชุดกระโปรงนี้สลับซับซ้อนทีเดียว ไข่มุก บุปผาถัก เชือกผูก พู่ระย้า ขนจิ้งจอกที่ประดับคอเสื้อ กอปรกับงานปักที่ละเอียด ทำให้ทุกคนต้องแบ่งงานกันทำ ยุ่งวุ่นวายอยู่ครึ่งค่อนวัน

เจ้ากรมซือเทียนเองก็มิได้อยู่นิ่งเฉย เขาปักลายซ่อนบนกระโปรงชั้นนอกด้วยตนเอง

สายตาของศิษย์กองวิหคเพลิงทั้งกองเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย แต่ไม่มีใครกล้าถาม

…ผู้ใดจะกล้ายุ่งเรื่องของเขากันเล่า

 

เวลาหนึ่งวันสำหรับหวงหร่างแล้วผ่านไปไวอย่างแท้จริง

ความรับรู้ที่นางมีต่อวันเวลาได้บกพร่องไปนานแล้ว นางลืมตาและมองเห็นแสงอาทิตย์ขยับเคลื่อนเลือนหายไปอย่างช้าๆ แสงอาทิตย์สูญเสียประกายสีทองไป ค่อยๆ กลายเป็นซีดขาว ระหว่างนั้นมีคนเข้ามาในห้อง แต่กลับไม่กล้าเลิกม่านออกดู ดังนั้นหวงหร่างย่อมมองไม่เห็นว่าเป็นใคร รู้เพียงว่าคนผู้นั้นเติมถ่านใยเงินลงในอ่างไฟเล็กน้อย ก่อนจะถอยออกไปโดยไว

ทว่าเพียงการเคลื่อนไหวเล็กน้อยนี้ก็เพียงพอให้นางตื่นเต้นยินดีอยู่นาน ความตื่นเต้นยินดีเล็กน้อยนี้ทำให้นางสามารถเฝ้ารอคอยอย่างนิ่งสงบต่อไปได้

ยามประตูถูกผลักเข้ามาอีกครั้ง หวงหร่างจดจำเสียงฝีเท้านั้นได้

เป็นตี้อีชิวจริงๆ เขาเดินมายังข้างเตียงและเลิกม่านเตียงขึ้น หวงหร่างรู้สึกว่ามีมือข้างหนึ่งยกไหล่นางขึ้นมา จากนั้นนางก็ลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ตี้อีชิวมิเพียงกลับมา ทว่ายังนำเอาชุดกระโปรงของนางกลับมาด้วย

หวงหร่างรู้สึกว่ากรมซือเทียนแห่งนี้ความสามารถยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง

ตี้อีชิวถอดเสื้อตัวในของนางออกและเริ่มผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้นาง หวงหร่างจึงได้มองเห็นเขาในวันนี้ เขาสวมหมวกขุนนางสีดำบนศีรษะ บนหมวกปักดิ้นทองลายปีกคู่ที่สยายออก บนร่างสวมชุดขุนนางสีม่วง เอวคาดเข็มขัดหยก ข้างใต้ห้อยถุงมัจฉาทองเท้าสวมรองเท้าขุนนางสีดำ เป็นรองเท้าหุ้มแข้งประดับลายทอง เนื่องจากข้างนอกอากาศหนาว เขาจึงคลุมกายด้วยเสื้อขนสัตว์แบบบางสีดำ

เสื้อผ้าอาภรณ์เช่นนี้ กอปรกับเครื่องหน้าคมคาย ทำให้เขาดูสูงส่งยิ่ง เห็นได้ชัดว่ามิอาจเข้าใกล้โดยง่าย

หวงหร่างประเมินรูปโฉมของคนผู้นี้เสร็จและปล่อยให้ตี้อีชิวสวมเสื้อผ้าให้นาง เริ่มจากแถบผ้ารัดอกที่แนบชิดร่างกายของสตรีมากที่สุด ข้างในเป็นปุยฝ้าย ตรงกลางเป็นผ้าต่วน ข้างนอกเป็นผ้าโปร่ง

แถบผ้ารัดอกเช่นนี้ทำเอาหวงหร่างรู้สึกว้าวุ่นในใจ…มากมายหลายชั้นเช่นนี้จะไม่ทำให้ข้าดูอ้วนหรือ

แน่นอนว่าตี้อีชิวไม่ล่วงรู้ความคิดในใจหวงหร่าง เพียงก้มหน้าก้มตาสวมถุงเท้ารองเท้าให้นาง เขาประคองเท้านางขึ้นมา ดวงตาไม่ว่อกแว่ก มือไม้นิ่ง เอาเป็นว่าสิ่งที่ไม่ควรมองล้วนไม่มองส่งเดช สิ่งที่ไม่ควรจับล้วนไม่จับส่งเดช

หวงหร่างนั่งตรงขอบเตียง บางครายังถูกเขาอุ้มขึ้นมา ดึงกางเกงตัวในที่บางดุจปีกจักจั่น

เขินอายหรือ ข้าไม่รู้สึกอะไรสักนิด ไม่ได้เขินอายสักหน่อย หึ

ตี้อีชิวสวมเสื้อผ้าให้นางจนเสร็จอย่างว่องไว จากนั้นก็อุ้มนางไปนั่งหน้าคันฉ่องสำริด

หวงหร่างได้เห็นตนเองอีกครั้งในสิบปีให้หลัง เรือนผมสีดำของนางที่แผ่สยายยังคงนุ่มสลวยเงางาม ชุดกระโปรงสีทองอ่อนขับเน้นผิวพรรณของนางให้เป็นสีขาวราวน้ำนม คอชุดประดับด้วยขนจิ้งจอกหิมะอย่างประณีต หัวไหล่มีบุปผาแพรเย็บติดสองดอก ใจกลางบุปผายังประดับด้วยไข่มุก ส่วนกลีบดอกใช้ด้ายทองเย็บอย่างแน่นหนา

ดวงหน้านางดูเล็กลงกว่าเดิม แต่แข็งทื่อจนดูปราศจากชีวิต ตี้อีชิวสางผมให้นางราวกับนางเป็นตุ๊กตาตัวหนึ่ง

เดิมทีผมยาวของนางเรียบลื่นยิ่ง แต่ยามสางกลับติดหวี

ตี้อีชิวรีบก้มลงมอง หวงหร่างย่อมรู้ว่านั่นคือสิ่งใด…บนกระหม่อมนางมีเข็มทองปักเข้ามาในกะโหลกสองเล่ม และยามนี้ซี่หวีก็กระทบกับปลายเข็มที่โผล่อยู่ด้านนอก

จากนั้นตี้อีชิวก็แตะปลายเข็มนั้นอย่างแผ่วเบา สางผมอย่างเบามือกว่าเดิม

เขาน่าจะอยากเกล้ามวยให้นาง หวงหร่างเองก็ตั้งตารอคอยอย่างยิ่ง…เจ้ากรมซือเทียนผู้นี้เกล้ามวยเป็นด้วยหรือ

ในคันฉ่องสำริด ใต้เท้าเจ้ากรมข้างหลังนางประเดี๋ยวเกล้ามวยผมนางจนกลายเป็นรังไก่ ประเดี๋ยวมัดจนกลายเป็นรังนก

อาจารย์ชิวยุ่งง่วนอยู่ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ตามสาวใช้คนหนึ่งมาเกล้ามวยก้นหอยให้หวงหร่าง

ไม่มีเครื่องประดับศีรษะ ทว่ามือของอาจารย์ชิวนั้นล้ำเลิศที่สุดในกรมซือเทียน เขาหาสายรัดเอวเส้นหนึ่งที่ทอจากเส้นไหมใยน้ำแข็งมา ผูกมันเข้ากับเส้นผมของหวงหร่าง แถบผ้าไหมมีลวดลายอยู่ พอจะฟื้นฟูสง่าราศีในวันวานให้นางได้หลายส่วน

เพียงแต่ใบหน้านางซีดเซียวเกินไป ริมฝีปากก็ขาดสีสัน

นางมองดูสตรีในคันฉ่อง สตรีในคันฉ่องก็มองตอบนาง สองฝ่ายต่างมีใบหน้าแข็งทื่อ แววตาว่างเปล่า แค่เพียงร้อยกว่าปีความหรูหราเลิศล้ำของนางก็โรยราจางหายไปโดยมิทันได้ตั้งตัวจริงๆ

รอจนแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ตี้อีชิวก็ไล่สาวใช้ที่เป็นเหมือนหุ่นออกไป จากนั้นก็สวมชุดคลุมกันลมตัวหนาและผูกสายให้หวงหร่าง ก่อนจะอุ้มนางออกจากประตู

หวงหร่างพลันมองเห็นลานเรือนในยามเย็น ความคิดในใจทั้งหมดถูกโยนออกไปจนหมดสิ้น

ที่นี่คือกองเสวียนอู่ ผู้คนที่สัญจรไปมาล้วนเป็นศิษย์ที่มาศึกษาเล่าเรียนในกรมซือเทียน ตี้อีชิวอุ้มหวงหร่างที่แต่งตัวเต็มยศเดินตัดลานเรือน ย่อมดึงดูดสายตาผู้คนได้ไม่น้อย

ศิษย์ทั้งหลายแยกกันยืนริมทาง หอบตำราคัมภีร์นานาชนิดพลางค้อมศีรษะคารวะ พยายามรักษาท่าทีสงบนิ่งไว้

หวงหร่างอิงซบอ้อมอกของตี้อีชิว แถบผ้าไหมบนศีรษะนางพลิ้วไหวน้อยๆ ตามจังหวะก้าวเดินของเขา

ตี้อีชิวอุ้มหวงหร่างมาจนถึงแปลงบุปผาแห่งหนึ่ง ในแปลงมีศิลาขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง บนนั้นเขียนคำสอนส่งเสริมการศึกษาด้วยลายมือฉวัดเฉวียน

หวงหร่างได้กลิ่นหอมอันคุ้นเคยมาแต่ไกล

เป็นกล้วยไม้ แค่ได้กลิ่นนางก็รู้แล้วว่าที่นี่ปลูกไว้กี่ต้น

ตี้อีชิววางนางลงบนพื้นและเอ่ยว่า “ปีที่แล้วข้าซื้อเมล็ดพันธุ์กล้วยไม้มาห่อหนึ่ง ว่ากันว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ที่เจ้าปรับปรุงขึ้นเอง เพียงแค่หว่านเมล็ดไว้ตรงนี้โดยมิได้ใส่ใจ แต่ดอกกลับค่อยๆ บานสะพรั่ง ทั้งยังมีระยะการบานถึงหนึ่งปี กลิ่นหอมเข้มข้น น้ำค้างบนบุปผาล้วนถูกเก็บมาเป็นน้ำมันหอม”

อ้อ สิ่งนั้นหรือ บานได้ไม่ถึงปี หิมะแรกของปีโปรยลงมาเมื่อใด บุปผาก็จะโรยราเมื่อนั้น

หวงหร่างคิดในใจเงียบๆ แปลกจริงๆ ความทรงจำของนางสับสนมาหลายปีแล้ว แต่กลับยังจดจำระยะการบานของกล้วยไม้นี้ได้

นางเอนพิงตี้อีชิว สายตามองเห็นเพียงลายปักละเอียดบนชุดขุนนางของเขา มองไม่เห็นบุปผาอะไรทั้งสิ้น

ตี้อีชิวปล่อยให้นางเอนพิง มือขวาเริ่มปลดเสื้อขนสัตว์สีดำของตนออก

เอ๊ะ?หวงหร่างมองดูเขาถอดชุดคลุมตัวนอกด้วยมือเดียวตาค้าง นะ…นะ…นี่…แม้ท่านจะมีความชื่นชอบบางอย่างที่มิอาจบอกใครได้ แต่อยู่ต่อหน้าผู้คน อยู่ท่ามกลางลมหนาวเสียดกระดูก กระทำเรื่องเช่นนั้นในแปลงบุปผา เกรงว่าจะเหลวไหลเกินไปแล้วกระมัง…

อีกทั้งกองเสวียนอู่แห่งนี้ของท่านมีศิษย์มากมาย ท่านไม่กลัวใครจะมาเห็นเข้า สร้างความทรงจำอันเลวร้ายในวัยเยาว์ให้พวกเขาหรือ…

รูม่านตาของหวงหร่างหดเล็กลงจนเท่าปลายเข็ม ตี้อีชิวปูเสื้อขนสัตว์ลงบนพื้น จากนั้นก็ประคองนางให้นั่งลงบนนั้น

เอ่อ…

กล้วยไม้เบื้องหน้าใบอวบหนา ดอกก็บานสะพรั่งงดงาม มีหลากหลายสีสันทั้งสีเหลือง สีแดง สีขาว…

กล้วยไม้นี้ปลูกได้ดียิ่ง แม้มิอาจเทียบกับต้นที่นางปลูกเองกับมือได้ แต่นางเป็นภูตดิน ผู้อื่นปลูกได้ดีเพียงนี้ย่อมต้องทุ่มเทความคิดจิตใจไปมากแน่นอน คนอื่นไม่เข้าใจ แต่นางศึกษาเรื่องกล้วยไม้มาร้อยกว่าปีย่อมเข้าใจเป็นอย่างดี

“ชอบหรือไม่” ตี้อีชิวนั่งลงข้างกายนาง กุมมือนางไว้ จับปลายนิ้วของนางไปสัมผัสใบอวบหนาและกลีบดอกสีสันฉูดฉาดเหล่านั้น

ความจริงแล้วก็มิอาจพูดว่าชอบได้ ในฐานะภูตดินที่ชื่นชอบการปรับปรุงพันธุ์พืชเป็นชีวิตจิตใจ หวงหร่างพบเจอบุปผาที่งดงามมามากเหลือเกิน จะว่าไปแล้วกล้วยไม้ก็เป็นเพียงบุปผาพันธุ์หนึ่งเท่านั้น โลกภายนอกเล่าลือกันว่านางชื่นชอบกล้วยไม้ เหตุผลเพียงเพราะ…

เซี่ยหงเฉินชื่นชอบกล้วยไม้

ด้วยเหตุนี้นางจึงทุ่มเทเวลาร้อยกว่าปีเพาะเลี้ยงกล้วยไม้สายพันธุ์ดัดแปลงขึ้นนับไม่ถ้วน บุปผาเหล่านี้ไม่ต้องนำไปสกัด แค่ขยี้ดอกใบของมันก็สามารถนำไปทำเครื่องหอมได้

ไม่รู้ว่าตอนนี้ใครเป็นคนดูแลบุปผาในสำนักเซียนอวี้หูเหล่านั้น

“เจ้าหายตัวไปสิบปี โลกนี้ยากนักที่จะหาซื้อเมล็ดพันธุ์ที่เจ้าเป็นผู้ปรับปรุงขึ้นเอง” เสียงของเขาแผ่วเบายิ่ง คล้ายปะปนอยู่ท่ามกลางสายลมหนาว

อันที่จริงตลอดร้อยกว่าปีที่แต่งเข้าสำนักเซียน ตัวนางมิได้ปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ธัญพืชและสมุนไพรนานแล้ว สิ่งที่นางศึกษาค้นคว้าส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุปผา งดงามก็จริง แต่ถ้าจะกล่าวถึงประโยชน์ใช้สอย อย่างไรก็น้อยนิดยิ่งนัก ชาวบ้านที่ใดจะต้องการเล่า

หวงหร่างครุ่นคิดเงียบๆ ในใจ

“เจ้ากรม” รองเจ้ากรมหลี่ลู่เดินเข้ามา เขาสวมชุดคลุมสีแดงเข้ม คลุมทับด้วยชุดคลุมตัวใหญ่ แม้จะผ่ายผอม แต่ก็กระฉับกระเฉง “กองพยัคฆ์ขาวจับสายลับคนหนึ่งได้ในเมืองชั้นใน กำลังสอบสวนขอรับ อาจเป็นคนของสำนักเซียนอวี้หู”

สำนักเซียนอวี้หู?

คำพูดนี้ดึงดูดความสนใจของหวงหร่าง ตี้อีชิวกลับกระชับชุดคลุมกันลมให้นางพลางเอ่ยว่า “เจ้าชมบุปผาอยู่ที่นี่ก่อน ค่ำหน่อยข้าจะมารับเจ้า”

กล่าวจบตี้อีชิวก็จัดชายกระโปรงของนางให้เรียบร้อย ปล่อยให้นางนั่งพิงศิลาก้อนใหญ่กลางแปลงบุปผาแล้วหันกายจากไป แน่นอนว่าหลี่ลู่ก็ตามเขาไปด้วย

หวงหร่างนั่งอยู่ท่ามกลางบุปผาเพียงลำพัง นอกแปลงบุปผามีศิษย์วิ่งเล่นหยอกเย้ากันผ่านมาเป็นครั้งคราว แต่ไม่มีใครสักคนเดินมาทางนี้ เสื้อขนสัตว์ที่ตี้อีชิวปูลงบนพื้นกล่าวได้ว่าเป็นการวาดเขตแดนหวงห้ามผืนหนึ่ง เด็กกึ่งโตหลายคนในชุดคลุมบัณฑิตสีน้ำเงินที่อยู่นอกแปลงบุปผาได้แต่ลอบมองนาง

“เป็นแม่นางคนหนึ่ง มีชีวิตกระมัง” มีคนกระซิบเสียงค่อย

“เหลวไหล แน่นอนว่าต้องไม่ใช่อยู่แล้ว! เจ้าเคยเห็นคนตัวเป็นๆ ที่งดงามเพียงนี้ด้วยหรือ” เด็กอีกคนแย้ง

อืม อายุยังน้อย แต่ช่างรู้จักเจรจายิ่งนัก

บทที่ 3 เก้าอี้ล้อเข็น

กองพยัคฆ์ขาว

ตี้อีชิวตามหลี่ลู่เข้าไปในคุกใต้ดิน มองคราเดียวก็เห็นสายลับที่ถูกล่ามอยู่กับกำแพง

หลายปีก่อนสำนักเซียนอวี้หูหาได้เห็นกรมซือเทียนหรือราชสำนักทั้งหมดอยู่ในสายตาไม่ ศิษย์ที่พวกเขาส่งมายังเมืองชั้นในถึงขั้นปรากฏตัวด้วยฐานะของเซียนซือ* ได้รับการต้อนรับจากราษฎรสองข้างทาง ไปมาอย่างเอิกเกริกยิ่ง

สามสิบปีก่อนฮ่องเต้ซือเวิ่นอวี๋ลงนามในพระราชโองการด้วยตนเอง กำหนดให้ศิษย์สำนักเซียนทั้งหลายที่เข้ามาในเมืองหลวงชั้นในจำต้องพกใบผ่านทางที่ออกโดยราชสำนัก หาไม่แล้วจะต้องถูกจับกุมโดยไม่มีข้อยกเว้น

ทว่าแท้จริงแล้วการนำเอากฎข้อนี้ไปปฏิบัติจริงมีความยากอยู่มาก…เพราะการจะจับกุมคนของสำนักเซียนเหล่านี้ ก่อนอื่นคือต้องเก่งกาจกว่าพวกเขา ดังนั้นกฎข้อนี้จึงมิได้ถูกนำมาปฏิบัติจริงสักที

ตี้อีชิวเดินไปตรงหน้าสายลับผู้นี้ ผู้ช่วยกองพยัคฆ์ขาวถานฉีก้าวเข้าไปต้อนรับ “เจ้ากรม สารเลวผู้นี้ปากแข็งยิ่งนัก ไม่ยอมปริปากพูดอะไรสักคำ”

บนกำแพง สายลับถูกเปลื้องผ้าจนเหลือแต่เสื้อตัวใน ดูท่าทางเหมือนถูกโบยด้วยไม่น้อย แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยอมจำนน

“ข้ามิได้กระทำผิดกฎหมาย พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาจับกุมข้า”

ตี้อีชิวไพล่มือสองข้างไว้ข้างหลัง เดินไปตรงหน้าเขาพลางถาม “คนจากสำนักเซียนเข้ามาในเมืองชั้นในมีใบผ่านทางหรือไม่”

สายลับเหมือนได้ยินเรื่องขบขัน ตอบว่า “น่าขัน พวกข้าเป็นคนของสำนักเซียน สิ่งที่แสวงหาคือจิตและกายที่อิสรเสรีไร้ข้อผูกมัด เข้าเมืองมาเพื่อช่วยเหลือราษฎร จะต้องมีใบผ่านทางอะไร”

ตี้อีชิวพยักหน้าเอ่ยว่า “เจ้าไม่มี”

สายลับผู้นั้นแค่นเสียงแล้วเอ่ยว่า “ไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องใบผ่านทางอะไรนี่มาก่อน! ทางที่ดีพวกเจ้ารีบปล่อยข้าเสีย หาไม่แล้วหากบรรดาอาจารย์ของข้าเอาความขึ้นมา ต่อให้เป็นกรมซือเทียนของพวกเจ้าก็รับผิดชอบไม่ไหว!”

ตี้อีชิวไม่สนใจที่เขาข่มขู่ เพียงหันไปพูดกับถานฉี “ไม่พกใบผ่านทาง เข้าเมืองชั้นในโดยพลการ ทำลายพลังวัตรของเขาเสีย”

ภายในคุกเงียบงัน แม้แต่ถานฉีเองก็ตกใจ

“เจ้ากรม…” ถานฉีทำท่าจะพูดแต่ก็เงียบไป ราชสำนักตรากฎหมายข้อนี้ไว้ไม่ผิด แต่หลายปีมานี้ล้วนมิได้นำมาปฏิบัติจริง อีกทั้งเหล่าศิษย์สำนักเซียนฝึกบำเพ็ญไม่ง่าย โบยเขายกหนึ่งนั้นไม่เป็นไร แต่ถ้าหากทำลายพลังวัตรเขาจริงๆ ความแค้นนี้ย่อมใหญ่หลวง

ตี้อีชิวหาได้สนใจไม่ หันกายจะจากไป มิคาดคิดว่าสายลับจะตะโกนออกมาโดยพลัน “ตี้อีชิว เจ้ากล้าทำเช่นนี้รึ! เจ้าไม่กลัวหรือว่าสำนักของข้า อาจารย์ของข้าจะมาแก้แค้น! ด้วยกำลังของกรมซือเทียนของเจ้า จะปกป้องราษฎรในเมืองชั้นในได้เช่นนั้นหรือ”

เดิมทีตี้อีชิวสีหน้าปราศจากอารมณ์ ครั้นได้ยินเช่นนี้ก็เผยรอยยิ้มออกมา ทว่าเขาไม่ยิ้มยังดีเสียกว่า พอยิ้มสีหน้ากลับน่าสะพรึงยิ่งกว่าเก่า

“ให้เซี่ยหงเฉินมาด้วยตนเอง แล้วดูว่าตัวข้าจะปกป้องเมืองหลวงไว้ได้หรือไม่!” เขาตอบอย่างสบายอารมณ์ยิ่ง

ทว่าถานฉีกับหลี่ลู่ต่างรู้ดีว่า…เขาจะแตกหักกับสำนักเซียนอวี้หูจริงๆ แล้ว

“เจ้ากรม” รองเจ้ากรมซือเทียนหลี่ลู่ยังคิดที่จะประนีประนอม เอ่ยว่า “คนผู้นี้ยังมิได้รับสารภาพ หรือจะรอให้เขา…”

หลี่ลู่ยังพูดไม่จบ สายลับก็เอ่ยเสียงขุ่นเคือง “คนต่ำช้า หากเจ้าเก่งกาจจริง ตอนนั้นฮูหยินประมุขสำนักของพวกเราคงไม่ปฏิเสธเจ้าแล้วแต่งเข้าสำนักเซียนอวี้หู! คนหยาบช้าอย่างเจ้าคู่ควรที่จะพบประมุขสำนักของพวกเราด้วยรึ!”

หลี่ลู่หุบปากในทันใด มิคิดจะโน้มน้าวอีก

เรื่องที่หวงหร่างปฏิเสธตี้อีชิวก่อนจะแต่งเข้าสำนักเซียนอวี้หูในครั้งนั้นเป็นหนามในใจคนของกรมซือเทียนมาโดยตลอด

ร้อยกว่าปีที่ผ่านมาหนามชิ้นนี้ยังติดอยู่ในคอของกรมซือเทียน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ราวกับเป็นหลักฐานที่บ่งบอกว่ากรมซือเทียนสู้สำนักเซียนอวี้หูไม่ได้ และเป็นหลักฐานว่าสุดท้ายตี้อีชิวยังด้อยกว่าเซี่ยหงเฉิน

บัดนี้สายลับตัวเล็กๆ ผู้นี้สะกิดหนามแหลมชิ้นนี้ขึ้นมาอีกครั้ง

ตี้อีชิวเดินไปตรงหน้าเขาช้าๆ จ้องเขาครู่หนึ่งก่อนพูดว่า “ท้าทายข้า ดูหมิ่นราชสำนัก โบยหนึ่งร้อยไม้!”

เดิมทีหลี่ลู่คิดว่าสายลับผู้นี้ต้องตายแน่แล้ว แต่พอได้ยินดังนั้นก็โล่งอก หากแค่โบยร้อยไม้ปัญหาก็ไม่ใหญ่ เขาจึงรีบรับคำ

“ขอรับ”

ตี้อีชิวกลับเสริมอีกประโยค “พรุ่งนี้ยามเที่ยงลากตัวไปหน้าตลาด เปลื้องผ้าโบย”

หลี่ลู่โอดครวญในใจทันใด…นี่เป็นการตีบั้นท้ายสายลับผู้นี้ที่ใดกัน เป็นการตบหน้าสำนักเซียนอวี้หูต่างหากเล่า!

“เจ้า…เจ้ากล้ารึ!” ครานี้สายลับบนกำแพงร้อนใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว เปลือยกายรับโทษทัณฑ์ท่ามกลางสายตาผู้คน สำหรับคนของสำนักเซียนแล้ว ความอัปยศเช่นนี้มิสู้ตายเสียดีกว่า เขาคำรามอย่างเดือดดาล “ตี้อีชิว! เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับข้า ข้าจะสังหารเหยี่ยวและสุนัขล่าเนื้อรับใช้ราชสำนักอย่างพวกเจ้าให้สิ้นแน่นอน!…”

เสียงตะโกนในคุกเริ่มแหบพร่า ตี้อีชิวกลับมิได้ใส่ใจ

พอออกจากคุกแล้ว ข้างนอกมีต้นจื่อถาน ต้นหนึ่ง พันธุ์ไม้นี้เดิมทีไม่คุ้นชินกับความหนาวเหน็บของเมืองหลวง แต่เมื่อร้อยกว่าปีก่อนสตรีผู้หนึ่งได้ปรับปรุงสายพันธุ์ดัดแปลงขึ้นมา ทำให้มันสามารถดำรงอยู่ได้ในสภาวะเช่นนี้

บัดนี้มันมีอายุไม่ต่ำกว่าร้อยปี เนื้อไม้ดีอย่างยิ่ง

ตี้อีชิวยืนอยู่ใต้ต้นไม้ เงยหน้าพิจารณามันด้วยท่าทางครุ่นคิด หลี่ลู่ตามมา เห็นสีหน้าเขาแล้วก็คิดว่าเมื่อครู่เขาคงทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ บัดนี้นึกเสียใจภายหลัง แต่กลับไม่มีทางให้ลง

หลี่ลู่จึงเอ่ยถามอย่างเอาใจใส่ “หากเจ้ากรมอยากสอบปากคำสายลับผู้นั้นอีกครั้ง ผู้น้อยจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้ขอรับ”

มิคาดคิดว่าตี้อีชิวจะชี้ไปยังต้นจื่อถานต้นนั้นกะทันหันแล้วเอ่ยว่า “โค่นมันเสีย”

“หา?” หลี่ลู่ตกตะลึง

ตี้อีชิวเสริมอีกประโยค “ส่งไม้ไปที่กองวิหคเพลิง” กล่าวจบก็จากไปโดยไม่ลังเล

หลี่ลู่จ้องต้นไม้ต้นนั้น รู้สึกว่าต่อให้ตนมีไหวพริบล้ำเลิศเพียงใดก็คาดเดาความคิดจิตใจของผู้บังคับบัญชาผู้นี้ไม่ออกจริงๆ

ต้นจื่อถานต้นนี้ไปล่วงเกินเขาเข้าที่ใดกันแน่

ช่างเถิด เรียกผู้ใต้บังคับบัญชามาก็พอ เขาสั่งการให้คนโค่นต้นไม้ไปพลางคาดเดาความคิดของผู้บังคับบัญชาไปพลาง

 

กองเสวียนอู่

หวงหร่างยังคงนั่งพิงศิลาก้อนใหญ่ คนที่มาชมดูนางผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปหลายกลุ่มแล้ว ตี้อีชิวยังคงไม่กลับมา ตอนนี้ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว ศิษย์ที่เดินผ่านแปลงบุปผาไม่มีผู้ใดไม่หยุดฝีเท้า มีคนมุงดูนางมากขึ้นทุกที

ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ ต่างปักใจเชื่อว่าเจ้ากรมหลอมของวิเศษชิ้นใหม่ขึ้นมาอีกแล้ว เหตุผลเพราะชุดกระโปรงที่นางสวมอยู่เป็นของที่กองวิหคเพลิงเพิ่งจะเร่งมือทำจนเสร็จวันนี้เอง ทุกคนแสดงความคิดเห็นไปต่างๆ นานา คนที่มีอารมณ์สุนทรีย์ยังหยิบพู่กันกับแท่นฝนหมึกออกมา เริ่มวาดภาพนางจากตรงนี้

โชคดีที่ไม่มีใครเข้ามาใกล้ หวงหร่างปล่อยให้ฝูงชนลงทัณฑ์นางอย่างเปิดเผยด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์

ช่างเถิด พวกเจ้าถือเสียว่าข้าเป็นตุ๊กตาก็แล้วกัน

สถานการณ์ของนางตอนนี้ก็ไม่มีอะไรให้พร่ำบ่นได้

…คงไม่แย่ไปกว่าตอนอยู่ในห้องลับของสำนักเซียนอวี้หูแล้ว อย่างน้อยที่นี่นางก็ไม่ต้องคอยกังวลทุกวันว่าจะมีหนูมากัดแทะใบหน้า

นางพิศมองกล้วยไม้เบื้องหน้า ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ บางครั้งยังมองเห็นมดที่ไต่คลานผ่านไปอย่างเร่งร้อนเหมือนจะรีบกลับบ้าน

สีท้องฟ้าข้างนอกเข้มขึ้นทุกที ถึงขั้นมีคนถามว่า “เจ้ากรมทิ้ง…วัตถุเวทเอาไว้เช่นนี้ พวกเราต้องช่วยเขาเก็บหรือไม่ อีกประเดี๋ยวน่าจะมีน้ำค้างลง”

แม้จะพูดเช่นนี้ ทว่ากลับไม่มีใครเดินเข้ามา

โชคดีที่เพียงไม่นานคนเหล่านี้ก็พากันแยกย้าย เสียงฝีเท้าของตี้อีชิวดังใกล้เข้ามา เขาเดินเข้ามาในแปลงบุปผา อุ้มหวงหร่างขึ้นมาแล้วพากลับห้องนอนของตน

หวงหร่างพบว่าด้วยฐานะที่เทียบเท่าเซี่ยหงเฉิน ชีวิตความเป็นอยู่ของตี้อีชิวช่างเรียบง่ายจนน่าสงสาร

เขาถึงขั้นไม่มีเรือนเดี่ยวเป็นของตนเอง ห้องนอนคือหอพักขุนนางในกองเสวียนอู่ ทำให้พอก้าวพ้นประตูก็เห็นศิษย์ได้ทันที ไม่มีความเป็นส่วนตัวสักนิด หวงหร่างปล่อยให้เขาอุ้มกลับห้อง ในใจคิดว่า…บางทีอาจเป็นเพราะเขาอยู่ในราชสำนัก จึงต้องวางท่าซื่อตรงมัธยัสถ์ถึงจะมีชื่อเสียงที่ดี

ตี้อีชิววางหวงหร่างลงบนเตียง หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางแล้วก็สอดตัวนางเข้าใต้ผ้าห่มดังเดิม จากนั้นเขาก็พูดขึ้น

“นอนก่อน”

กล่าวจบเขาก็เปิดประตูแล้วจากไป พอเขาจากไปโลกของหวงหร่างก็เงียบงันอีกครั้ง สรรพสิ่งไร้เสียงและไม่ขยับราวกับกาลเวลาหยุดนิ่ง

กองวิหคเพลิง

ผู้ช่วยจูเซียงกำลังเตรียมตัวกลับ แต่เห็นตี้อีชิวเดินเข้ามา นางจึงรีบเข้าไปต้อนรับ ค้อมกายคารวะพลางเอ่ยเรียก

“เจ้ากรม”

ตี้อีชิวตอบรับและเดินตรงเข้าไปในเรือน จูเซียงลังเลยิ่ง…ผู้บังคับบัญชามาแล้ว ข้าควรกลับหรือไม่

นางขบคิดเล็กน้อย ยังคงสาวเท้าตามเขาไป

โชคดีที่ผ่านไปครู่หนึ่งขุนนางคนอื่นๆ ก็มาถึง…หลี่ลู่และถานฉีลำเลียงไม้จื่อถานสายพันธุ์ดัดแปลงต้นนั้นมา เวลานี้ตี้อีชิวกำลังวาดแบบร่าง

หลี่ลู่ ถานฉี และจูเซียงสามคนต่างมองหน้ากัน ไม่เข้าใจและไม่กล้าซักถาม

ของอะไรกันที่สำคัญเพียงนี้ เหตุใดจำต้องเร่งทำขึ้นในเวลานี้ด้วย

กรมซือเทียนกับสำนักเซียนอวี้หูจะเปิดศึกกันแล้วหรือ

เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อตี้อีชิววาดแบบร่างจนเสร็จสิ้น เขาเงยหน้ามองทั้งสามคนคราหนึ่ง เอ่ยเรียบๆ ว่า “พวกเจ้าไม่มีเรื่องใดแล้วก็กลับกันก่อนเถิด”

แต่ทั้งสามจะจากไปเช่นนี้ได้อย่างไร พวกเขามิใช่ชาวยุทธ์ไร้สมองอย่างเป้าอู่สักหน่อย

หลี่ลู่เอ่ยว่า “สามารถทำให้เจ้ากรมเร่งลงมือทำด้วยตนเองได้ ของสิ่งนี้จะต้องสำคัญมากแน่นอน พวกผู้น้อยยินดีอยู่ช่วยขอรับ”

ตี้อีชิวอึ้งงันไปเล็กน้อย อันที่จริงของสิ่งนี้ก็มิได้สำคัญเพียงนั้น แต่เขายังคงตอบว่า “เช่นนั้นก็เข้ามาเถิด”

สามคนล้อมวงเข้าไป พบว่าบนกระดาษร่างแผ่นนั้น…ดูเหมือนจะเป็นเก้าอี้ล้อเข็นตัวหนึ่ง

หลังจากนั้นเจ้ากรม รองเจ้ากรม รวมทั้งผู้ช่วยอีกสองคนก็ยุ่งจนดึกดื่น ทำเก้าอี้ล้อเข็นประณีตตัวหนึ่งออกมา

เก้าอี้ล้อเข็นตัวนี้แกะสลักลวดลายและฝังหยก วิจิตรหรูหรายิ่งนัก แต่ดูมีความเป็นสตรีมากไปสักนิด เอาเป็นว่าดูไม่ค่อยเหมือนของใช้สำหรับบุรุษฉกรรจ์สักเท่าไร จูเซียงเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม รู้สึกว่าวันนี้ผู้บังคับบัญชาของตนแปลกไปจากปกติ

ถานฉีจ้องเก้าอี้ล้อเข็นตัวนั้น งุนงงไม่เข้าใจเช่นกัน มีเพียงหลี่ลู่ที่เลิกคิ้วทั้งสองข้าง ได้แต่พูดอยู่ในใจ

พอถึงยามโฉ่ว* ตี้อีชิวก็เข็นเก้าอี้ล้อเข็นจากไปอย่างพึงพอใจ

จูเซียงกับถานฉีเดินเข้าไปยังข้างกายหลี่ลู่พร้อมกัน ถานฉีอดรนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ “รองเจ้ากรม เจ้ากรมทำเช่นนี้เป็นเรื่องอะไร”

หลี่ลู่ยอมพูดก็แปลกแล้ว เขาเพียงลูบศีรษะถานฉีด้วยความเมตตา…เด็กดี จงทำความเข้าใจเองเถิด

จูเซียงพึมพำว่า “วันนี้เจ้ากรมยังเร่งตัดชุดกระโปรงของสตรีชุดหนึ่งด้วย” ยามที่สายตาหลี่ลู่และถานฉีมองมา นางทำหน้าซื่อพลางชี้มือชี้ไม้ไปที่หน้าอกตนเอง “จากหัวจรดเท้า จากในสู่นอก…มีแม้กระทั่งถุงเท้า”

“ชุดกระโปรงของสตรีหรือ” ถานฉีเบิกตาถลน “ขะ…ของใครกัน”

จูเซียงตอบอย่างจนปัญญา “ไม่รู้ แต่ดูจากรูปร่าง…” นางชี้ที่หน้าอกตนเองอีกครั้ง จากนั้นวาดวงออกไปวงใหญ่ “เรียกว่าร้อนแรงทีเดียว!”

หลี่ลู่รู้สึกว่าตนควรจากไปได้แล้ว การขุดคุ้ยความลับของผู้บังคับบัญชาออกจะอันตรายเกินไป

ทว่าเขากลับไม่ได้ไป เขายังอยากฟังต่อ!

จริงดังคาด ถานฉีถามขึ้นมา “เจ้ารู้ด้วยหรือว่าอย่างไรคือร้อนแรง”

จูเซียงหัวเสีย ตอบเสียงขุ่นเคือง “คนโง่งม ถึงข้าจะไม่มี แต่ขนาดพวกนั้นเจ้ากรมเขียนกำกับไว้อย่างชัดเจน ข้าจะไม่รู้จักดูหรือไร!”

สามคนจับกลุ่มพูดคุยกัน จากนั้นคนกลุ่มนี้ก็ย่องเข้าไปค้นหาแบบร่างที่เจ้ากรมวาดขึ้นเองในวันนี้ กระทั่งคนที่สุขุมรอบคอบอย่างหลี่ลู่ยังอดชำเลืองมองหลายทีมิได้

จำต้องบอกว่าหากขนาดพวกนั้นเป็นของจริง ทรวดทรงของสตรีนางนี้ก็ช่าง…

จุๆ

หลี่ลู่เริ่มขุดคุ้ยความลับของผู้บังคับบัญชา ทันใดนั้นแสงสว่างก็วาบผ่าน คนผู้หนึ่งผุดขึ้นมาในห้วงสมอง…ฮูหยินประมุขสำนักเซียนอวี้หู หวงหร่าง!

หากกล่าวถึงความเกี่ยวพันของสตรีผู้นั้นกับกรมซือเทียน เช่นนั้นก็เล่าได้ยาวทีเดียว

หลี่ลู่กล้ารับรองว่าทุกคนในกรมซือเทียนต้องเคยได้ยินชื่อนางมาก่อน

…สตรีที่ทอดทิ้งเจ้ากรมของพวกตนแล้วหันไปแต่งงานกับเซี่ยหงเฉินผู้นั้น! แม้ทุกคนจะไม่มีวาสนาได้พบเจอ แต่นางเป็นคนที่ทำให้กรมซือเทียนเงยหน้าไม่ขึ้นตลอดร้อยกว่าปีที่ผ่านมา สตรีที่เห็นเมื่อยามกลางวันไม่พูดจาไม่ขยับเขยื้อน ดูไปช่างงามล้ำเลิศ แทบจะไม่เหมือนคนจริงๆ

หรือว่าเจ้ากรมก้าวข้ามปมในใจนี้ไปมิได้ คะนึงหาจนบ้าคลั่ง ดังนั้นจึงทำหุ่นคนขึ้นมา…โดยเลียนแบบเซี่ยฮูหยิน! เขายิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล หากเป็นคนจริงๆ ไฉนเลยจะมีทรวดทรงเช่นนั้นได้ จะต้องร้อนแรงปานใด

สตรีที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้มีอยู่แต่ในความคิดของบุรุษเท่านั้น

นี่ข้าค้นพบความลับสุดยอดอะไรเข้าให้แล้ว! ข้าจะไม่ถูกสังหารปิดปากกระมัง

รองเจ้ากรมหลี่ลู่คิด วิกฤตเสียแล้ว!!

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันเสาร์ที่ 5 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: