บทที่ 15 ที่พึ่งพิง
เซี่ยหยวนซูใช้เวลาถึงสองชั่วยาม ในที่สุดก็ดูดพลังวัตรของเซี่ยหงเฉินจนเสร็จสิ้น
เขานั่งขัดสมาธิบนพื้น เริ่มโคจรและดูดพลังอันแข็งแกร่งนี้ ส่วนพิษที่หลงเหลืออยู่ในร่างของเซี่ยหงเฉินยังมิได้สลายหายไปโดยสมบูรณ์ บัดนี้เมื่อขาดกำลังภายในประคับประคอง เซี่ยหงเฉินจึงอ่อนแอยิ่งนัก
หวงหร่างเก็บร่มที่ตี้อีชิวเป็นคนหลอมไปวางไว้ด้านข้าง มองดูเซี่ยหงเฉินบนเตียงแล้วนางก็ไปหยิบผ้าเช็ดหน้ามาหมายจะเช็ดหน้าให้เขา แต่แน่นอนว่าถูกเซี่ยหงเฉินปัดออก
เซี่ยหยวนซูเห็นดังนั้นก็เอ่ยว่า “อาหร่าง เจ้ายังจะสนใจเขาไปเพื่ออันใด มิใช่ว่ามาถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังตัดเขาไม่ขาดกระมัง”
หวงหร่างถอนหายใจ ถ้อยคำแฝงความเศร้า “ถึงอย่างไรข้ากับเขาก็เป็นสามีภรรยากันมาร้อยกว่าปี”
เซี่ยหงเฉินเบือนหน้าหนี พูดเสียดสีว่า “นิสัยชอบเล่นละครของเจ้า ไม่ว่าเวลาใดล้วนไม่ละทิ้งจริงๆ”
หวงหร่างมิได้โต้ตอบ กลับพูดอย่างนุ่มนวลว่า “ข้ารู้ว่าท่านโมโห ท่านจะพูดอย่างไรข้าล้วนไม่ถือสา”
เซี่ยหยวนซูยิ่งรู้สึกว่าหวงหร่างเป็นคนอ่อนโยน มือหนึ่งของเขาจึงดึงนางมาพลางพูดว่า “บัดนี้เขาไม่แตกต่างจากเศษสวะ หากเจ้าโกรธข้าจะสังหารเขาเสีย ระบายโทสะให้เจ้า”
หวงหร่างไม่อยากสังหารเซี่ยหงเฉิน
จะว่าไปแล้วความฝันนี้ประหลาดยิ่งนัก นางไม่รู้ว่ามีแผนการใดซ่อนเร้นอยู่หรือไม่ ทั้งยังไม่เชื่อในลิขิตสวรรค์อะไรนั่นอยู่แล้ว แต่ถ้าหากมีคนตายอยู่ในความฝันนี้ หลังตื่นขึ้นมาเขาจะตายไปด้วยหรือไม่
ความจริงแล้วระหว่างเซี่ยหงเฉินกับนางมิอาจกล่าวได้ว่ามีความแค้นใหญ่หลวงต่อกัน หากเพียงเพราะตนปล่อยวางไม่ได้ก็คิดจะเอาชีวิตผู้อื่น ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีเหตุผลนัก
ดังนั้นนางจึงตอบว่า “ในเมื่อเขาไม่เป็นภัยแล้ว ไยซูหลางถึงไม่ละเว้นชีวิตเขาเล่า”
เซี่ยหยวนซูหัวเราะ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้ามิอาจตัดใจจากเขาได้ อาหร่าง เจ้าเป็นคนดีเกินไปจริงๆ” เขาเดินไปยังข้างกายเซี่ยหงเฉิน ตัดสินใจแล้วว่าจะเอาชีวิตอีกฝ่าย “แต่คนผู้นี้อุบายล้ำลึกทีเดียว หากเขายังอยู่ ข้าจะครองตำแหน่งประมุขสำนักอย่างสบายใจได้อย่างไร”
เขายกมือขวาขึ้น รวมพลังไว้ที่ฝ่ามือ ด้วยพลังวัตรของเขาในตอนนี้จะสังหารเซี่ยหงเฉินที่มือไม่มีแรงแม้กระทั่งจะมัดไก่ย่อมเป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกิน
หวงหร่างมิได้ห้ามเขา กลับเอ่ยว่า “หลายปีที่ผ่านมาทุกคนล้วนบอกว่าซูหลางมิอาจเทียบเซี่ยหงเฉิน แม้กระทั่งปรมาจารย์ก็คิดเช่นนี้ หรือซูหลางไม่อยากทำให้เขาเห็นกับตาว่าท่านนั่งตำแหน่งประมุขสำนักได้อย่างมั่นคงเช่นไร ทำให้สำนักเซียนอวี้หูเจริญรุ่งเรืองได้เช่นไร โดดเด่นกว่าเขาเซี่ยหงเฉินเป็นร้อยเท่าเช่นไร”
คำพูดของหวงหร่างกระแทกใจเขาอย่างง่ายดาย เซี่ยหยวนซูเก็บมือกลับมา รู้สึกว่าคำกล่าวนี้มีเหตุผล
…เขารู้สึกว่าตนเองสามารถโดดเด่นกว่าเซี่ยหงเฉินเป็นร้อยเท่าได้!
ดังนั้นจึงเอ่ยว่า “อาหร่างมักจะใคร่ครวญอย่างรอบคอบเช่นนี้เสมอ”
หวงหร่างเดินไปตรงหน้าเขา ซับเม็ดเหงื่อบนหน้าผากให้ “ตอนนี้ในเมื่อซูหลางได้พลังวัตรของเขามาแล้ว ทั่วทั้งสำนักเซียนอวี้หู นอกจากปรมาจารย์ เกรงว่าคงไม่มีใครสู้ท่านได้อีก ท่านจะไปหารือกับปรมาจารย์สักหน่อยหรือไม่ เจรจาเรื่องการยกตำแหน่งประมุขสำนักให้ท่าน”
พอนางพูดถึงเซี่ยหลิงปี้ เซี่ยหยวนซูยังคงรู้สึกหนาวสะท้าน
เซี่ยหงเฉินที่ฟังสองคนพูดคุยกันด้านข้างเต็มไปด้วยความสงสัย…นางยุยงเซี่ยหยวนซูเช่นนี้คิดจะทำอะไรกันแน่! ในเมื่อนางทำเช่นนี้ย่อมไม่มีทางสนใจตำแหน่งฮูหยินประมุขสำนักอะไรนั่นอยู่แล้ว…เพราะนางได้ครอบครองไปนานแล้ว ไยถึงต้องวางแผนอีกเล่า
แต่ถ้าหากมิใช่เพื่อสิ่งเหล่านี้แล้วจุดมุ่งหมายของนางคืออะไร
เซี่ยหยวนซูขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ยังคงต้องวางแผนให้ดี เขาอยากให้เรื่องทุกอย่างอยู่ภายใต้การบงการของเขา ข้าทำเช่นนี้เกรงว่าเขาคงมิอาจยอมรับข้าได้ ต่อให้ข้าเป็นบุตรชายแท้ๆ ของเขาก็ตาม” คำพูดประโยคหลังเขาเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
หวงหร่างยอมรับอยู่ในใจ…เซี่ยหยวนซูผู้นี้ฉลาดขึ้นแล้ว
จากนั้นนางก็เอ่ยด้วยสีหน้าหม่นหมอง “คำพูดนี้ของซูหลางมีเหตุผล ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ปรมาจารย์แค่ไม่ยอมรับท่านเท่านั้น แต่ข้า…ข้าย่อมไม่มีทางรอด เขาไม่ชอบข้ามาตั้งแต่แรกแล้ว”
เซี่ยหยวนซูมิได้เอ่ยอะไร เขาเองก็เข้าใจ เรื่องนี้หากเปิดเผยออกไป เซี่ยหลิงปี้จะต้องสังหารหวงหร่างแน่นอน เขาเดินกลับไปกลับมาในตำหนักเยี่ยอวิ๋น คิดหาหนทางไม่ออกชั่วขณะ ร้อนรนกระวนกระวายทีเดียว
หวงหร่างมองเขาอย่างสงบนิ่ง เนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “หากปรมาจารย์รู้เรื่องนี้มิพ้นคงจะสังหารข้าและตำหนิซูหลางอย่างหนัก จากนั้นก็โยกย้ายซูหลางไปที่อื่น แต่ถึงอย่างไรซูหลางก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ทั้งยังมีพลังวัตรของเซี่ยหงเฉิน หลายปีให้หลังจะต้องได้กลับสำนักเซียน นั่งตำแหน่งสูงอีกครั้งเป็นแน่ ซูหลาง หากจนด้วยหนทางจริงๆ ท่านก็ไปยอมรับผิดกับปรมาจารย์เถิด!”
นางทำหน้าเศร้า แต่ละถ้อยคำล้วนจริงใจ เซี่ยหงเฉินยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง…ยามอยู่ต่อหน้าหวงหร่างเขามีสติดีเสมอ ไม่มีทางหวั่นไหวไปกับคำพูดหรืออารมณ์ของนาง ดังนั้นในความคิดของเขา คำพูดนี้มิได้หมายความตามที่พูด
เซี่ยหยวนซูลงมือถึงขั้นนี้ ไฉนเลยจะยอมให้ทุกอย่างสูญเปล่า เขาเดินไปข้างโต๊ะแล้วตบลงไปอย่างแรง “ตาเฒ่านั่นไม่ชอบหน้าข้ามาแต่ไหนแต่ไร ข้าจะยอมอดทนข่มกลั้นต่อไปได้อย่างไร! อาหร่าง เจ้าจริงใจต่อข้า ข้ายังจะทนเห็นเจ้าตายไปต่อหน้าต่อตาได้หรือ!”
น้ำเสียงของหวงหร่างสิ้นหวังยิ่งนักขณะถาม “เช่นนั้น…ซูหลางจะทำอย่างไรได้อีก”
ไม่ผิดจากที่คิด เซี่ยหยวนซูพลันเกิดความกล้าขึ้นมา ตะโกนเสียงเกรี้ยวกราดว่า “วันนี้ข้าเซี่ยหยวนซูจะต้องเป็นประมุขสำนักเซียนอวี้หูให้จงได้! ใครก็ขัดขวางข้าไม่ได้ทั้งนั้น แม้แต่ตาเฒ่าผู้นั้นก็ไม่ได้!”
เวลานี้เซี่ยหงเฉินบนเตียงพลันเข้าใจว่าหวงหร่างจะทำอะไร!
…นางจะลงมือกับท่านอาจารย์!
มือข้างหนึ่งของเขาจับขอบเตียงแน่น ร้องบอกด้วยความโมโห “เซี่ยหยวนซู! ท่านอย่าได้หลงกลหวงหร่าง สตรีผู้นี้จิตใจชั่วร้าย เชื่อไม่ได้เด็ดขาด! ท่านอาจารย์เป็นบิดาแท้ๆ ของท่าน ท่านจะลงมือกับเขาได้อย่างไร!”
หวงหร่างโน้มน้าวต่อทันที “ซูหลาง หงเฉินพูดถูก ถึงอย่างไรปรมาจารย์ก็เป็นบิดาแท้ๆ ของท่าน แม้เขาจะรักใคร่หงเฉินมากกว่า แต่ท่านก็เป็นบุตร จะลงมือกับบิดาแท้ๆ ของตนเองได้อย่างไร”
นางไม่พูดยังดี แต่พอโน้มน้าวเช่นนี้ หนามในใจเซี่ยหยวนซูก็ถูกดึงออกมาทั้งหมด เขาคว้าถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาแล้วเขวี้ยงใส่เซี่ยหงเฉินที่อยู่บนเตียง
“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้! เขาเป็นบิดาแท้ๆ ของข้าหรือ! ฮ่าๆ ข้าว่าเขาเป็นบิดาแท้ๆ ของเจ้ามากกว่ากระมัง! ตั้งแต่เล็กจนโตในสายตาเขามีแต่เจ้า ข้านับเป็นตัวอะไร!”
เขาเขวี้ยงถ้วยชาออกไปอย่างแรง อีกทั้งเซี่ยหงเฉินบนเตียงมองไม่เห็น ร่างกายยังถูกพิษ ยิ่งมิอาจหลบเลี่ยงได้ จึงถูกถ้วยชากระแทกที่ขมับ เลือดไหลอาบใบหน้าทันที หวงหร่างอุทานเบาๆ รีบเข้าไปตรวจดูบาดแผลของเซี่ยหงเฉิน
เซี่ยหงเฉินชิงชังอย่างยิ่ง จึงผลักนางออกไป หวงหร่างถูกเขาออกแรงผลักก็ล้มลงกับพื้นทันที นางร้องเบาๆ พลางกดข้อเท้าตนเองไว้ ร่างอ่อนยวบเหมือนไร้กระดูก ราวกับบอบบางจนแทบจะแบกรับน้ำหนักของอาภรณ์ไม่ไหว
เซี่ยหยวนซูรีบประคองหวงหร่างขึ้นมา เขาชี้เซี่ยหงเฉินอย่างเดือดดาล “เจ้ามันคนมีตาแต่ไร้แวว ตาบอดก็สมควรแล้ว! อาหร่าง เจ้าบาดเจ็บตรงที่ใดหรือไม่”
หวงหร่างน้ำตาเอ่อคลอ “ข้ารู้ว่าหลายปีมานี้ซูหลางได้รับความไม่เป็นธรรมมามากมาย ข้ารู้” นางวางศีรษะบนไหล่ของเซี่ยหยวนซู คนงามดั่งหยกอบอุ่นกรุ่นกลิ่นหอม หัวใจของเซี่ยหยวนซูราวกับจะหลอมละลาย
เขาตบไหล่หวงหร่างเบาๆ พลางพูดว่า “อาหร่าง พวกเราร่วมมือกันกำจัดตาเฒ่านั่นเถิด ข้าต้องการให้สำนักเซียนทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของข้าอย่างแท้จริง!”
“เซี่ยหยวนซู!” เซี่ยหงเฉินเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่เซี่ยหยวนซูกลับเหมือนถูกมารครอบงำจิตใจ ไม่รับฟังคำเตือนใดๆ ทั้งสิ้น
หวงหร่างได้ยินคำพูดนี้ของเซี่ยหยวนซูแล้ว น้ำเสียงก็เผยความประทับใจ แต่กลับมิเห็นด้วย นางเอ่ยว่า “แต่อย่างไรเสียพวกท่านก็เป็นพ่อลูกแท้ๆ กัน ซูหลาง ข้าไม่อยากให้พวกท่านต้องขัดแย้งกันเช่นนี้ ท่านเชื่อข้า รายงานเขาตามความเป็นจริงเถิด ต่อให้ข้าต้องตายก็มิอาจทนเห็นพวกท่านพ่อลูกแตกหักชี้อาวุธใส่กันได้…”
นางยังพูดไม่จบ เซี่ยหยวนซูก็ตัดบท “เจ้าไม่ต้องโน้มน้าวอีกแล้ว อาหร่าง เจ้า…อยู่กับข้าอีกสักครั้งเถิด ต่อให้ต้องตาย ข้าก็จะตายไปกับเจ้า”
เซี่ยหงเฉินรู้สึกสิ้นหวัง
“ซูหลาง…” หวงหร่างซบไหล่เขาพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น “ข้าจะถือว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ข้าจะได้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ชีวิตนี้ได้รู้จักกับซูหลาง แม้ตายอาหร่างก็ไม่เสียดายแล้ว”
“เซี่ยหยวนซู เหตุใดท่านถึงเลอะเลือนถึงเพียงนี้ได้…” น้ำเสียงของเซี่ยหงเฉินอ่อนระโหย คล้ายพลังที่คอยประคับประคองความเชื่อมั่นของเขาไว้ถูกสูบออกไปจนหมด
แต่เซี่ยหยวนซูไฉนเลยจะได้ยินเสียงของเขา เซี่ยหยวนซูต้องการใกล้ชิดกับหวงหร่างอีกสักครู่ หวงหร่างย่อมไม่ปฏิเสธ นางพูดขึ้นอีก
“ในเมื่อเป็นวันสุดท้าย ย่อมต้องใช้มันให้ดี ซูหลางรอข้าล้างหน้าแต่งตัวสักครู่ได้หรือไม่”
เซี่ยหยวนซูถูกราคะบดบังจิตใจ มีหรือจะปฏิเสธ เขารีบตอบ “ได้! ได้แน่นอน!”
ดังนั้นหวงหร่างจึงใช้อุบายเดิม ยังคงเติมเครื่องหอมที่สกัดจากหญ้าเทวดาลงไปในเตากำยาน เซี่ยหยวนซูร้อนใจจนทนไม่ไหวแล้ว จึงลากเซี่ยหงเฉินลงจากเตียง หวงหร่างช่วยเขาลากตัวเซี่ยหงเฉินไปไว้ที่มุมห้อง เซี่ยหยวนซูเข้าไปจัดเตียงอย่างกระตือรือร้น หวงหร่างกลืนยาลูกกลอนเรียกสติลงไปเม็ดหนึ่ง จากนั้นก็ยัดยาลูกกลอนเรียกสติใส่ปากเซี่ยหงเฉินด้วยหลายเม็ด
เซี่ยหงเฉินอึ้งงันไป ทว่าตอนที่กลืนลงไปเขาก็รู้ทันทีว่านี่คือสิ่งใด
หวงหร่างใช้เครื่องหอมนี้อย่างเชี่ยวชาญ ปริมาณเท่าไรต้องใช้ยาลูกกลอนเรียกสติกี่เม็ด นางกระจ่างแจ้งที่สุด ดังนั้นไม่นานนักเซี่ยหยวนซูจึงเหมือนตกอยู่ในห้วงมายา
หวงหร่างแบมือเซี่ยหงเฉินออก ยัดของสิ่งหนึ่งใส่มือเขา เซี่ยหงเฉินถือไว้ในมือ พยายามลูบคลำดูก็พบว่าเป็นเซี่ยจิ่วเอ๋อร์
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ฆ่ามันเสีย” เขารู้ว่าโมโหไปก็ไร้ประโยชน์ น้ำเสียงจึงเปลี่ยนเป็นเฉยชา
หวงหร่างนั่งอยู่ข้างกายเขา มองดูเซี่ยหยวนซูคลุ้มคลั่งไปเอง “เพราะข้าไม่รู้ว่าพอตายอยู่ที่นี่แล้ว หลังตื่นจากฝันจะตายไปด้วยหรือไม่ นางเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง หากบอกว่ามีความผิดก็เป็นความผิดของพวกเรา ไยต้องทำลายชีวิตนางด้วยเล่า”
ทว่าคำตอบของเซี่ยหงเฉินยังคงเป็นคำพูดเสียดสี “หวงหร่าง เมื่อไรเจ้าถึงจะฉีกหน้ากากจอมปลอมที่ชอบเสแสร้งเป็นคนดีออกได้เสียที”
หวงหร่างไม่อยากทะเลาะกับเขา จึงตอบว่า “ฉีกออกไม่ได้แล้ว” นางกุมมือเซี่ยหงเฉิน ให้มือเขากดลงบนผิวหนังที่หลังมือตน “ติดอยู่ด้วยกันไปแล้ว”
เซี่ยหงเฉินดึงมือกลับมาด้วยความรังเกียจ หวงหร่างจึงหัวเราะออกมา เวลาหัวเราะนางจะไม่หัวเราะเสียงดัง มักจะอ่อนโยนสง่างามอยู่เสมอ เดิมทีเซี่ยหงเฉินไม่อยากจะสนใจนาง แต่ใคร่ครวญคำพูดเมื่อครู่ของนางแล้วยังคงถามขึ้น
“เมื่อครู่ที่เจ้าบอกว่าหลังตื่นจากฝัน นี่หมายความว่าอย่างไร หวงหร่าง เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่”
หวงหร่างใช้สองมือกอดเข่า ครุ่นคิดอยู่นานก่อนตอบว่า “ข้าไม่รู้”
นางพิงไหล่เซี่ยหงเฉิน เซี่ยหงเฉินหลบเลี่ยงอย่างเย็นชา หวงหร่างสัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า จากนั้นก็พูดช้าๆ อีก
“จู่ๆ ข้าก็ตระหนักได้ว่าพวกเราไม่เคยพูดคุยกันเช่นนี้มาก่อน ความจริงแล้วข้าอยากถามท่านเหลือเกินว่าชีวิตนี้ของท่านเคยรักข้าบ้างหรือไม่ จะแค่เศษเสี้ยวเดียวก็ได้ เคยหรือไม่ แต่ถ้าหากข้าถามออกไป คำตอบจะต้องทำให้ข้าผิดหวังแน่นอน” นางซุกหน้ากับหัวเข่าพลางถอนหายใจเบาๆ “ต้องผิดหวังแน่นอน”
เซี่ยหงเฉินไม่ได้ตอบนาง เขาเป็นประมุขสำนัก ยามนี้จะมาพูดเรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิงได้อย่างไร
เขาแค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ยังมีหนทางใดที่จะกอบกู้สถานการณ์ได้อีก ทว่าไม่มี ดังเช่นที่เซี่ยหยวนซูพูด เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ พวกเขาไม่มีทางให้ถอยแล้ว
บัดนี้พลังวัตรของเขาสูญสิ้น ทันทีที่เซี่ยหลิงปี้รู้ หวงหร่างย่อมต้องตายแน่นอน
เซี่ยหงเฉินได้แต่เอ่ยว่า “ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงเลือกเส้นทางนี้ เจ้ากำลังขุดหลุมฝังตนเอง”
“ใช่” หวงหร่างใช้สองมือประคองใบหน้า นั่งเหม่อลอยเงียบๆ เนิ่นนานจึงตอบว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้ ข้าถอยหนึ่งก้าวเป็นเหวลึกหมื่นจั้ง เดินหน้าหนึ่งก้าวร่างแหลกกระดูกป่น ยังจะมีหลุมศพสุสานอะไรที่ใด”
น้ำเสียงของหวงหร่างแฝงแววขบขันอยู่บ้าง นางนั่งกอดเข่า มิได้พยายามพิงซบเซี่ยหงเฉินอีก
ความจริงแล้วคนข้างกายผู้นี้ไม่เคยเป็นที่พึ่งพิงของนางอยู่แล้ว ชั่วชีวิตนี้ของนางไม่เคยมีที่พึ่งพิงใดๆ
บทที่ 16 ล้างแค้น
เมืองหลวง กรมซือเทียน
ตี้อีชิวต้อนรับแขกสามคนที่มาเยือน…เหอซีจิน จางซูจิ่ว และอู่จื่อโฉ่ว
สามคนนี้เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในสำนักเซียน เหอซีจินมากด้วยความสามารถ แต่เนื่องจากลิ้นมีบาดแผลเก่า เวลาพูดจาจึงไม่ลื่นไหล กลายเป็นคนพูดน้อยเสมอมา จางซูจิ่วรักสุราดั่งชีวิต แต่เนื่องจากฮูหยินชิงชังสุรายิ่งนัก หลังจากแต่งงานจึงได้ชื่อว่าจางซูจิ่ว ผู้ไม่แตะต้องสุราแม้แต่หยดเดียว ส่วนอู่จื่อโฉ่วคนประหนึ่งชื่อ ทั้งเตี้ยและอัปลักษณ์ เขามีใบหน้าดุดันแต่กำเนิด ‘ชั่วร้ายโหดเหี้ยม’ คำนี้บรรยายรูปลักษณ์ของเขาได้อย่างสมจริง ในวัยเยาว์เพื่อช่วยเหลือสตรีนางหนึ่ง เขาจึงต่อสู้กับโจรราคะอย่างดุเดือด ไต้เทียนซั่วปรมาจารย์แห่งยุคที่ผดุงความยุติธรรมช่วยเหลือราษฎรมาโดยตลอดเห็นเข้าก็ปักใจเชื่อว่าเขาคือโจรโฉด จึงหักขาข้างหนึ่งของเขาทันที ทำให้เขาเดินเหินไม่สะดวกเล็กน้อย
ทว่าอู่จื่อโฉ่วได้ลาภจากเคราะห์ ไต้เทียนซั่วรู้สึกละอายและเสียใจภายหลังที่ตนวู่วามไปชั่วขณะ จึงตัดสินใจรับเขาเป็นศิษย์ ภายหลังเห็นเขาพรสวรรค์เลิศล้ำ จึงยกบุตรสาวสุดที่รักให้แต่งงานกับเขา
“สุรา สุรา!” จางซูจิ่วเพิ่งเข้าประตูมาก็ตะโกนขึ้นทันที
อู่จื่อโฉ่วแค่นเสียงคราหนึ่ง เดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปพลางด่าว่า “นี่ท่านอดอยากปากแห้งมานานเพียงใดแล้ว หนอนที่อ่อนแอปวกเปียก! ข้าว่าท่านควรหย่าสตรีที่บ้านและส่งนางกลับบ้านเดิมไปเสีย บอกนางว่าชั่วชีวิตนี้อย่าหวังจะเหยียบย่างเข้าประตูใหญ่สกุลจางของท่านอีก! ดูว่านางยังจะกล้ามากเรื่องอีกหรือไม่!”
“…” ขณะที่เหอซีจินเบ้ปาก ทำหน้าดูแคลน
ทั้งสามคนเพิ่งเข้าประตู หลี่ลู่ก็ยกสุราเข้ามา…แค่เห็นก็รู้ว่าพวกเขากระหายสุราอีกแล้ว
พอสุราถูกยกเข้ามา อู่จื่อโฉ่วก็เข้าไปแย่งมาไหหนึ่งทันที
…ปากบอกว่าไม่ แต่ร่างกายกลับซื่อตรงทีเดียว หลี่ลู่พิจารณาทั้งสามคนเงียบๆ พวกเขาเป็นพี่น้องร่วมสาบาน ผู้คนในสำนักเซียนเรียกขานอย่างขบขันว่า ‘สามเซียนผู้กลัวภรรยา’ หลายปีมานี้พวกเขาไปมาหาสู่กับเจ้ากรมซือเทียนอย่างใกล้ชิด ว่ากันว่าเป็นเพราะฮูหยินของพวกเขาล้วนกระตือรือร้นอยากแนะนำสตรีให้เจ้ากรม
ทันใดนั้นเหอซีจินที่แต่ไหนแต่ไรคำพูดไม่มากเอ่ยว่า “มะ…มีธุระ”
จางซูจิ่วที่อยู่ด้านข้างเอาแต่ดื่มสุรา อู่จื่อโฉ่วจึงเป็นฝ่ายพูดต่อ “ทางบ้านพี่สะใภ้สกุลเหอมีน้องสาวคนหนึ่งยังไม่ออกเรือน พี่สะใภ้สกุลเหอหวังว่าหากท่านมีเวลาก็น่าจะไปพบนางสักหน่อย”
เขาเพิ่งพูดจบ จางซูจิ่วก็คุยโว “พี่สะใภ้สกุลเหอชอบท่านจริงๆ บอกว่าหลายปีมานี้ท่านสำรวมตนไม่ออกนอกลู่นอกทาง นิสัยเถรตรง หากท่านครองคู่กับน้องสาวของพี่สะใภ้สกุลเหอ เช่นนั้นต่อไปพวกเราย่อมเป็นครอบครัวเดียวกัน”
เหอซีจินเสริมคำหนึ่ง “ใช่”
อู่จื่อโฉ่วโอบไหล่ตี้อีชิวพลางพูดต่อ “ถึงเวลานั้นพวกเราสี่คนพี่น้องค่อยปักธูปก้านยาวกันใหม่ สาบานเป็นพี่น้องอีกครั้ง เจ้าอายุน้อยกว่าพวกเราทุกคน เช่นนั้นเจ้าเป็นน้องสี่แล้วกัน!”
…เช่นนั้นก็ขอแสดงความยินดีด้วย เหอฮูหยินขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาที่น่าเกรงขามดุจพยัคฆ์ น้องสาวของนางจะว่าไปแล้วก็เหมือนหมาในและสุนัขป่า ถึงเวลานั้นสามเซียนผู้กลัวภรรยาย่อมกลายเป็นสี่ยอดบุรุษผู้กลัวภรรยาแล้ว กล้ามเนื้อใบหน้าของหลี่ลู่สั่นกระตุกพลางคิดเงียบๆ
ตี้อีชิวนั่งอยู่หลังโต๊ะ ใคร่ครวญดูเนิ่นนาน จากนั้นก็ตอบอย่างจริงใจ “ขอบคุณเหอฮูหยินที่เอ็นดูข้า เรือนในของข้าว่างเปล่าจริงๆ ขาดภรรยาที่เก่งกาจไป เพียงแต่ตอนนี้ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสทั้งสาม หลังเรื่องนี้เสร็จสิ้นข้าจะไปจวนสกุลเหอกับผู้อาวุโสทั้งสามเพื่อขอบคุณฮูหยิน”
ความหมายนี้ชัดเจนว่าตกลงแล้ว!
สามเซียนผู้กลัวภรรยายินดีปรีดา เหอซีจินแสดงท่าทีเป็นคนแรก “ว่ามาเถิด!”
อู่จื่อโฉ่วพูดเช่นกัน “พี่น้องกันทั้งนั้น ยังจะเกรงใจอะไรอีก ว่ามาเถิด!”
จางซูจิ่วเอาแต่ดื่มสุรา แต่ก็ไม่ลืมพยักหน้า
ตี้อีชิวหยิบใบรายการแผ่นหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นไปตรงหน้าทั้งสามคนพลางพูดว่า “นี่เป็นรายการสินค้าที่เซี่ยหยวนซูมาซื้อไปจากกองต่างๆ ของกรมซือเทียนเมื่อไม่นานมานี้” ระหว่างที่ทั้งสามคนก้มหน้าดู เขาก็เอ่ยเสริมอีกประโยคว่า “ซื้อในนามบุคคล”
ทั้งสามคนมองดูอยู่นาน ก่อนจะพึมพำว่า “นี่สำนักเซียนอวี้หูกำลังจะเกิดเรื่องใหญ่แล้วหรือ”
จางซูจิ่วอดอุทานมิได้ “เจ้าคนโง่งมผู้นี้ซื้อข้าวของเหล่านี้ไป เขาจะแข็งข้อก่อกบฏหรือไร”
เหอซีจินไม่เอ่ยอะไร ยังคงจ้องรายการเหล่านั้น จู่ๆ เขาก็ชี้ของวิเศษดูดพลังวัตรชิ้นนั้นพลางเอ่ยขึ้น “นี่?”
ตี้อีชิวตอบ “เป็นของที่เซี่ยหยวนซูตั้งใจซื้อไปเช่นกัน”
เหอซีจินกระแทกไหสุราลงบนโต๊ะ “กะ…กะ…กะ…”
จางซูจิ่วพูดแทนเขาจนจบ “เขาจะแข็งข้อก่อกบฏแล้ว”
เหอซีจินพูดต่อ “ขะ…ขะ…เขาคิด…”
จางซูจิ่วเอ่ยเสริมต่อจนจบอีก “เขาคิดจะลงมือกับใคร”
ตี้อีชิวบอกคำตอบที่น่าตื่นตระหนกออกไป “จากการคาดการณ์เบื้องตน น่าจะเป็นเซี่ยหงเฉิน”
ทั้งสามคนตกตะลึง อู่จื่อโฉ่วถาม “นี่เป็น…เจตนาของเซี่ยหลิงปี้หรือ”
ตี้อีชิวส่ายหน้า “เซี่ยหลิงปี้ให้ความสำคัญกับเซี่ยหงเฉินมาโดยตลอด แต่กลับเฉยชากับบุตรชายแท้ๆ อย่างยิ่ง อีกทั้งเซี่ยหยวนซูผู้นี้พลังวัตรกล่าวได้ว่าเป็นโคลนเหลวที่ฉาบกำแพงไม่อยู่ เซี่ยหลิงปี้คงไม่เลอะเลือนถึงเพียงนี้”
ทั้งสี่คนขบคิดไปมา เหอซีจินก็พูดขึ้นในที่สุด “ปะ…ปะ…ปะ…ไป…”
อู่จื่อโฉ่วเอ่ยเสริมอย่างละเหี่ยใจ “ไปดูสักหน่อยก็รู้แล้วมิใช่หรือ”
ตี้อีชิวลุกขึ้นทันใด ประสานมือเอ่ยว่า “ข้าอยากขอเชิญผู้อาวุโสทั้งสามพักอยู่ที่นี่สักสองสามวันพอดี และไปหยั่งดูสถานการณ์ของสำนักเซียนอวี้หูกับข้า”
เหอซีจินตอบทันที “ยะ…ยะ…ยังเรียก…เรียก…”
ครั้งนี้จางซูจิ่วเป็นคนเอ่ยเสริมว่า “ยังเรียกผู้อาวุโสอะไรอีก วันหน้าย่อมเรียกขานกันว่าพี่น้องได้แล้ว!”
ตี้อีชิวตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “น้องชายขอขอบคุณพี่ชายทั้งสาม”
ทั้งสามคนพลันรู้สึกปลาบปลื้มยินดี นัดแนะกันมุ่งหน้าไปยังสำนักเซียนอวี้หู
สำนักเซียนอวี้หู
เซี่ยหยวนซูเพิ่งตื่นจากห้วงมายา กระโปรงชั้นนอกของหวงหร่างยังวางอยู่บนพื้น เซี่ยหยวนซูออกแรงสะบัดศีรษะพลางพูดขึ้น
“อาหร่าง เจ้าช่างเย้ายวนเกินไปแล้ว ข้ารู้สึกเหมือนตกลงสู่หมู่เมฆจมลงสู่ห้วงฝันอย่างไรอย่างนั้น”
หวงหร่างถอนหายใจ สวมเสื้อผ้าให้เขา “มิรู้ว่ายังจะได้ครองคู่กับซูหลางอีกนานเพียงใด”
เซี่ยหยวนซูตบหลังมือนาง “วางใจเถิด ข้าจะไปหาท่านพ่อเดี๋ยวนี้”
หวงหร่างรีบห้าม “ไม่ได้!”
เซี่ยหยวนซูชะงักไป เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจ “เพราะเหตุใดเล่า”
หวงหร่างได้แต่คล้อยตามสติปัญญาของเขาอย่างเต็มที่ อธิบายช้าๆ ว่า “ซูหลาง ยอดเขาอั้นเหลยเป็นสถานที่พำนักของปรมาจารย์มาเนิ่นนาน เขาคุ้นเคยกับที่นั่นอย่างยิ่ง ตอนนี้แม้ท่านจะมีพลังวัตรของหงเฉิน แต่เกรงว่ายังคงมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา ข้าจะวางใจให้ท่านไปเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ได้อย่างไร”
เซี่ยหยวนซูเอ่ยถามว่า “อาหร่างมีแผนการอื่นหรือ”
หวงหร่างเหลือบมองเซี่ยหงเฉินคราหนึ่งก่อนตอบว่า “ปรมาจารย์กับหงเฉินได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์กับศิษย์ แต่กลับผูกพันเสมือนพ่อลูก มิสู้ซูหลางให้คนไปเชิญปรมาจารย์ บอกว่าหงเฉินฝึกวิชาจนเกิดข้อผิดพลาด ให้เขารีบมาช่วยเหลือ เมื่อเขารุดมาถึงจะต้องช่วยเหลือหงเฉินก่อนเป็นแน่ ถึงเวลานั้นท่านค่อยฉวยโอกาสลงมือ”
“ยอดเยี่ยม!” เซี่ยหยวนซูเอ่ยชม
“เจ้า!” เซี่ยหงเฉินฟังแล้วรู้สึกวิงเวียน เขาชี้หวงหร่าง แต่กลับเอ่ยคำด่าไม่ออก
หวงหร่างพูดต่อ “เพื่อให้เรื่องนี้ราบรื่นยิ่งขึ้น มิสู้ซูหลางวางกับดักไว้บนร่างเซี่ยหงเฉิน เมื่อปรมาจารย์ยื่นมือเข้ามาช่วยเขาย่อมตกหลุมพรางทันที เช่นนี้แล้วค่อยลอบโจมตีอีกครั้ง รับรองได้ว่าไม่ผิดพลาดแน่นอน”
เซี่ยหยวนซูพลันกระจ่างแจ้ง เขาแก้พันธนาการบนร่างเซี่ยหงเฉิน ดึงอีกฝ่ายขึ้นมาและซัดฝ่ามือออกไปทำให้สลบ ต่อจากนั้นเขาก็ล้วงขวดหยกใบหนึ่งออกมา เปิดจุกและโรยผงในนั้นลงบนร่างเซี่ยหงเฉิน
ผงนั้นเล็กละเอียด เป็นสีขาว ไม่มีกลิ่น พอโรยลงไปแล้วก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอาภรณ์สีขาวของเซี่ยหงเฉินทันที จากนั้นเซี่ยหยวนซูก็กำชับอย่างจริงจัง
“นี่คือผงพิษที่สกัดจากพิษงูหุ่ย ของสิ่งนี้มีพิษร้ายแรง ห้ามสัมผัสเด็ดขาด”
“พิษงูหุ่ยหรือ” หวงหร่างเคยได้ยินชื่องูชนิดนี้ รู้ว่าเป็นสัตว์ร้ายที่มีพิษรุนแรง แต่หลายปีมานี้สัตว์ประหลาดนี้พบเห็นได้น้อยครั้งยิ่ง คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ยังมีคนสามารถเอาพิษของมันมาได้
เซี่ยหยวนซูรับคำ จากนั้นก็เอ่ยว่า “ข้าจะส่งคนไปตามท่านพ่อมา”
หวงหร่างรีบบอกว่า “ปรมาจารย์เห็นข้าอยู่ที่นี่จะต้องสงสัยเป็นแน่ ข้าจะหลบออกไปก่อน”
พอเซี่ยหยวนซูคิดว่าจะไม่ได้เห็นนางก็ไม่วางใจนัก จึงเอ่ยทันที “ไม่เป็นไร ข้ามีของวิเศษสำหรับพรางกาย เจ้าไปซ่อนตัวในห้องลับเถิด”
กล่าวจบเขาก็หยิบชุดคลุมกันลมตัวหนึ่งออกมาจากวัตถุวิเศษเก็บของแล้วยื่นให้หวงหร่าง
หวงหร่างรู้จักของวิเศษของสำนักเซียนไม่มาก นางไม่รู้ชื่อของเจ้าของวิเศษชิ้นนี้ จึงได้แต่รับมาและคลุมกายไว้ ตอนผูกสายที่คอ นางเหลือบไปเห็นตราบนนั้นโดยบังเอิญ…ตี้อีชิว
เป็นคนผู้นี้อีกแล้ว
เซี่ยหยวนซูเห็นนางมองสำรวจก็อดแค่นหัวเราะแล้วเอ่ยมิได้ “หลายปีมานี้กรมซือเทียนทำของวิเศษล้ำเลิศออกมาไม่น้อย ส่วนใหญ่ข้าซื้อไว้หมด ท่านพ่อกลับคิดว่าข้านั่งกินนอนกินรอความตายไปวันๆ วันนี้ข้าจะทำให้เขาได้เห็นความสามารถของข้า!”
ข้าอยากเห็นเจ้าแสดงความกตัญญูต่อเซี่ยหลิงปี้จนตายไปกับตาจริงๆ! นางยิ้มแล้วถอยไปข้างหลัง “ข้าจะรอฟังข่าวดีจากซูหลาง”
เซี่ยหยวนซูส่งคนไปเชิญเซี่ยหลิงปี้มาจริงๆ
เนื่องจากยอดเขาทั้งสองแห่งอยู่ไม่ไกลกัน เพียงครู่เดียวเซี่ยหลิงปี้ก็เร่งรุดมาถึงอย่างร้อนใจ เซี่ยหยวนซูเห็นเขาแล้วยังคงหวาดหวั่นอยู่บ้าง ความกล้าหาญเมื่อครู่ถูกโยนทิ้งไปหมด ขณะที่พูดแม้แต่เสียงก็ยังสั่น
“ท่าน…ท่านพ่อ…ท่านรีบมาดูหงเฉินเร็วเข้า!”
เซี่ยหลิงปี้ฝีเท้าดั่งมีลมหนุน ถลาไปหน้าเตียงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เห็นดวงตาทั้งสองข้างของเซี่ยหงเฉินถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส!
เขากวาดตามองไปรอบด้านทันที เซี่ยหยวนซูร้อนใจขึ้นมาแล้ว “ท่านพ่อ ท่านรีบช่วยประมุขสำนักเถิด!”
ความคิดจิตใจของเซี่ยหลิงปี้หาได้เรียบง่ายถึงเพียงนั้นไม่
เขาถามทันที “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร วันนี้มีใครมาที่ตำหนักเยี่ยอวิ๋นบ้าง”
เซี่ยหยวนซูทำอะไรไม่ถูกทันที เซี่ยหลิงปี้จ้องบุตรชายที่ไม่ได้ความผู้นี้ของตน เกิดความสงสัยมากยิ่งขึ้น
“ตอบมา! เจ้าจะลนลานอะไร!”
เซี่ยหยวนซูตกอยู่ในความลนลานร้อนใจ ไฉนเลยจะรู้ว่าต้องรับมืออย่างไร หรือจะลงมือในตอนนี้!
แต่เขาก็รู้ดีว่าพลังวัตรของเซี่ยหงเฉินที่ถ่ายทอดมายังตัวเขา เดิมทีก็มีส่วนที่สูญเสียไปอยู่แล้ว เขาใช้พลังวัตรของผู้อื่นเช่นนี้เกรงว่าคงมิอาจลงมือกับบิดาของตนเองตรงๆ ได้
ขณะลังเลมิอาจตัดสินใจ หวงหร่างก็ออกมากะทันหัน คุกเข่าลงตรงหน้าเซี่ยหลิงปี้!
พอเซี่ยหลิงปี้เห็นนางอยู่ที่นี่ โทสะก็พลันบังเกิด ถามเสียงขุ่นเคืองว่า “ไยเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”
หวงหร่างดูเหมือนตกใจและหวาดหวั่น ทว่าดวงตานางกลับหลุบต่ำ จ้องปลายรองเท้าของเซี่ยหลิงปี้ ในใจยินดีแทบเสียสติ
…ในที่สุดก็ได้พบเจ้าอีกครั้ง ปรมาจารย์ นางทักทายในใจ แต่ปากกลับละล่ำละลักเอ่ยว่า “ปรมาจารย์โปรดอภัยด้วย! วันนี้ไม่รู้ว่าหงเฉินไปฟังข่าวลือมาจากใคร หาว่าข้ากับพี่ใหญ่…มีสัมพันธ์อันคลุมเครือ! เขาเรียกตัวข้ากับพี่ใหญ่มาพิสูจน์ยืนยัน มิคาดคิดว่าพวกเขาสองคนจะปะทะกัน” นางสะอึกสะอื้น “ข้าเห็นเขาโกรธไม่น้อย เดิมทีจะพาพี่ใหญ่ออกไปก่อน แต่เขากลับหาว่าข้าปกป้องพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ถูกใส่ความก็เดือดดาลยิ่งนัก ลงไม้ลงมือกับเขา ข้า…ข้ารู้ว่าพี่ใหญ่มิใช่คู่ต่อสู้ของเขา ทั้งยังไม่กล้าเรียกคนอื่นเข้ามา เกรงว่าเรื่องไม่งามในครอบครัวจะแพร่ออกไปข้างนอก จึงได้แต่เข้าไปห้าม บอกเขาว่าอย่าวู่วาม ใครจะคิดว่าเขาจะโกรธจัดจนกระอักโลหิตออกมา พี่ใหญ่ยั้งมือไม่ทันจึงทำร้ายดวงตาทั้งสองข้างของเขา…”
“เป็นตัวหายนะจริงๆ!” เซี่ยหลิงปี้ซัดฝ่ามือออกไป หวงหร่างรู้สึกถึงพลังมหาศาลพุ่งตรงเข้ามาที่หน้าอก ยังไม่ทันรู้สึกเจ็บ นางก็กระเด็นไปกระแทกผนังห้องแล้ว
นางฟุบอยู่กับพื้น เลือดทะลักออกทางจมูก แต่กลับอดทนไว้ไม่ไอออกมา ท่าทางเหมือนสิ้นลมไปแล้ว แน่นอนว่าเซี่ยหยวนซูมิอาจหยุดยั้งเซี่ยหลิงปี้ได้ เซี่ยหลิงปี้ฟังคำพูดนี้แล้วก็ไม่ทันได้คิดมาก ก้าวเข้าไปประคองเซี่ยหงเฉินขึ้นมา ตรวจดูเส้นลมปราณให้อีกฝ่ายทันที แม้ผงเล็กละเอียดบนร่างเซี่ยหงเฉินฟุ้งตลบขึ้นมา เขาก็ไม่รู้ตัว
พอเขาตรวจดูเส้นลมปราณก็รู้ทันทีว่าผิดปกติ!
พลังวัตรทั่วร่างของหงเฉินเหลืออยู่ไม่มาก! เขาเงยหน้าขึ้นทันใด ขณะกำลังจะตวาดถาม เซี่ยหยวนซูก็รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดซัดฝ่ามือออกไป! เขารู้ดีว่าแพ้ชนะขึ้นอยู่กับครั้งนี้ ดังนั้นจึงออกแรงเต็มที่!
เดิมทีเซี่ยหลิงปี้สามารถสกัดกั้นการโจมตีครั้งนี้ได้ ต่อให้พิษงูหุ่ยร้ายกาจเพียงใด สำหรับเขาแล้วพิษก็ไม่กำเริบเร็วถึงเพียงนั้น
ทว่าเขาประเมินพลังวัตรของเซี่ยหยวนซูผิดไป! ความสงสัยในใจเขายังไม่ได้รับคำตอบ ย่อมไม่มีทางสังหารบุตรชายตนเองด้วยฝ่ามือเดียว ดังนั้นพลังฝ่ามือที่เขาซัดไปยังเซี่ยหยวนซูจึงใช้กำลังเพียงสามส่วนเท่านั้น…เท่าที่เขารู้ ด้วยพลังของเซี่ยหยวนซู พลังสามส่วนนี้ก็เพียงพอจะทำให้เจ้าสารเลวผู้นี้แทบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว
ทว่าเซี่ยหยวนซูในตอนนี้มิเพียงมีพลังวัตรของตนเอง ยังครอบครองกำลังภายในของเซี่ยหงเฉินอยู่ถึงแปดส่วน เขาซัดฝ่ามือออกไปสุดกำลังจนเกิดเสียงดังสนั่น เตียงแตกกระจาย อวัยวะภายในของเซี่ยหลิงปี้สั่นสะเทือน มุมปากมีเลือดซึมออกมาทันที เซี่ยหลิงปี้กำลังคิดจะรวบรวมปราณอีกครั้ง แต่จู่ๆ ก็พบว่ามือของตนมีเกล็ดถี่ยิบงอกขึ้นมาเกล็ดแล้วเกล็ดเล่า…เป็นเกล็ดงูสีเขียว
เขานิ่งงันไปครู่หนึ่ง เซี่ยหยวนซูซัดฝ่ามือออกมาอีกครั้ง ลมจากฝ่ามือของสองพ่อลูกปะทะกัน แผ่นหลังของเซี่ยหลิงปี้กระแทกผนังตำหนัก ลมปราณภายในปั่นป่วน แต่ยังคงพูดขึ้น
“เจ้าดูดพลังวัตรของหงเฉินไป!”
“หงเฉิน…ฮ่าๆ” เซี่ยหยวนซูหัวเราะอย่างขมขื่น “ข้าต่างหากที่เป็นบุตรชายแท้ๆ ของท่าน! สายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของท่าน! แต่เหตุใดในสายตาท่านจึงมองเห็นแต่เซี่ยหงเฉินเพียงคนเดียว!”
“เจ้าลูกเนรคุณ!” เซี่ยหลิงปี้โมโหจนปอดแทบระเบิด “พื้นฐานของเขาแข็งแกร่ง พลังวัตรล้ำลึก เดิมทีคุณสมบัติของเจ้าก็เทียบเขาไม่ได้อยู่แล้ว หากจะพูดถึงความเพียรยิ่งเทียบไม่ได้กับหนึ่งในหมื่นของเขา แล้วจะเปรียบกับเขาได้อย่างไร! ยิ่งไปกว่านั้นเขาใจกว้างโอบอ้อมอารี จิตใจบริสุทธิ์ เขาเป็นประมุขสำนัก มีหรือจะกดขี่ข่มเหงเจ้า! หลายปีมานี้เจ้าคิดว่าเรื่องต่ำช้าของเจ้าเหตุใดไม่มีใครพูดถึง! มิใช่เพราะเขาคอยช่วยเหลือเจ้า…”
“พอที! หุบปาก!” เซี่ยหยวนซูเดือดดาล “ดวงตาของท่านมองเห็นแต่ความดีสารพัดของเซี่ยหงเฉิน!” เขาลงมือรุนแรงกว่าเก่า ถึงขั้นจะสังหารเซี่ยหลิงปี้ให้ตาย
เซี่ยหลิงปี้พูดมามากมายเพียงนี้ย่อมมีเจตนาจะยื้อเวลา คทาหยกหรูอี้สีขาวหิมะในมือเขาสาดประกายออกมาทันใด เพียงไม่นานก็ก่อตัวเป็นข่ายอาคมป้องกัน
รัศมีของข่ายอาคมครอบลงมา เซี่ยหลิงปี้ยืนอยู่ในนั้น มวยผมหลุดลุ่ย ชุดคลุมเปื้อนโลหิต เห็นได้ชัดว่าบาดเจ็บไม่น้อย เขาตวาดเสียงเกรี้ยวกราดอีก
“เจ้าลูกเนรคุณ เจ้าช่างรนหาที่ตายจริงๆ!” แม้วาจาจะกล่าวเช่นนี้ แต่กับบุตรชายคนนี้ถึงที่สุดแล้วเซี่ยหลิงปี้ยังมีความผูกพันฉันพ่อลูกอยู่บ้าง
เขาจู่โจมออกไปสุดกำลัง หากกล่าวถึงพื้นฐาน เดิมทีเซี่ยหยวนซูก็ธรรมดาสามัญอย่างยิ่ง อาศัยการลอบโจมตียังสามารถได้เปรียบ แต่บัดนี้ฝ่ายตรงข้ามมองออกแล้ว ยังจะเป็นคู่ต่อสู้ของเซี่ยหลิงปี้ได้อย่างไร
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังสนั่น ตำหนักเยี่ยอวิ๋นสั่นสะเทือนทันใด เซี่ยหยวนซูทรุดลงนั่งกับพื้น เซี่ยหลิงปี้ก็กระอักโลหิตออกมา สองพ่อลูกกล่าวได้ว่าบอบช้ำทั้งสองฝ่าย
เหตุการณ์บานปลายใหญ่โตเช่นนี้ ของวิเศษชิ้นเล็กๆ อย่างปราการกั้นเสียงมิอาจปกปิดได้ เซี่ยเซ่าชงและเนี่ยชิงหลันที่อยู่นอกตำหนักได้ยินเสียงก็รุดเข้ามาอย่างเร่งรีบ!
“ปรมาจารย์? ประมุขสำนัก?” เซี่ยเซ่าชงลองตะโกนเรียก
เซี่ยหลิงปี้ไม่อยากให้เรื่องไม่งามในครอบครัวแพร่ออกไปข้างนอก เห็นได้ชัดว่าเซี่ยหยวนซูสูญเสียกำลังที่จะต่อสู้ได้อีกครั้งแล้ว เขาจึงเอ่ยสั่ง
“ออกไป!”
แม้เซี่ยเซ่าชงและคนอื่นๆ จะเป็นห่วง แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งเขา
เซี่ยหลิงปี้เก็บข่ายอาคม เดินไปตรงหน้าเซี่ยหยวนซูช้าๆ แล้วยอบกายลง กระชากเส้นผมของเซี่ยหยวนซูแล้วดึงขึ้นมา บังคับให้เขาเงยหน้าขึ้น ร่างกายของเซี่ยหยวนซูยังมิอาจปรับตัวเข้ากับปราณแท้อันแข็งแกร่งเช่นนี้ได้ในชั่วเวลาสั้นๆ
ก่อนหน้านี้เขารวบรวมปราณด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมด ทั้งยังถูกทำร้ายอย่างหนัก ยามนี้จึงบาดเจ็บไม่น้อย
เซี่ยหลิงปี้แววตาดั่งคบเพลิง คล้ายจะผลาญเขาให้เป็นโพรง “เป็นใครที่ยุแยงให้เจ้าทำเรื่องโฉดเขลาเช่นนี้”
เขารู้จักบุตรชายของตนเองดี ด้วยนิสัยของเซี่ยหยวนซู ความเป็นไปได้ที่จะวางแผนกับเซี่ยหงเฉินมีไม่มาก ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบเขากลับมิได้สงสัยหวงหร่าง…หวงหร่างไม่ถนัดการต่อสู้ พลังวัตรของนางยังสู้ศิษย์ชั้นนอกคนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ นางเปรียบดั่งมดในสายตาเขา แล้วเขาจะสงสัยนางได้อย่างไร
เซี่ยหยวนซูก็ไม่ได้คิดว่าหวงหร่างยุแยงตน เขาหอบหายใจหนักๆ พลางพูดว่า “ท่านรักลำเอียงเซี่ยหงเฉินมาโดยตลอด จะเข้าใจความรู้สึกของข้าได้อย่างไร”
“ความรู้สึกของเจ้าหรือ!” เซี่ยหลิงปี้โกรธเกรี้ยว “ตัวเจ้าเองความสามารถไม่เพียงพอ มากด้วยตัณหาราคะ ยังจะให้สำนักเซียนทั้งหมดฝากความหวังไว้กับเจ้าอีกรึ!”
เซี่ยหยวนซูเดือดดาลกว่าเก่า คำรามว่า “ดังนั้นท่านจึงฝากความหวังไว้กับเซี่ยหงเฉิน! เด็กชั้นต่ำที่ท่านเก็บได้จากตีนเขา! ท่านไม่สนใจด้วยซ้ำว่าใครมีสายเลือดเป็นเช่นไร ท่านสนใจแต่ว่าใครจะมีประโยชน์ต่อท่าน!”
“หากข้าไม่สนสายสัมพันธ์ในครอบครัว ป่านนี้เจ้าคงกลายเป็น…”
เซี่ยหลิงปี้กล่าวถึงตรงนี้ก็ตกตะลึง…เมื่อครู่หวงหร่างที่นอนอยู่ข้างหลังเขาดูคล้ายจะตายไปแล้ว
ทว่าเข็มเล็กสองเล่มในมือนางกลับแทงเข้ามาที่หลังเอวของเซี่ยหลิงปี้ เซี่ยหลิงปี้รู้สึกชาไปทั้งร่าง เขาคิดจะพลิกมือสังหารหวงหร่างให้ตาย แต่ความเร็วของเขาหยุดชะงักในชั่วพริบตา ควบคุมร่างกายไม่ได้ในทันที
เขาพยายามออกแรงหลายครั้ง ทว่าร่างกายเหมือนตัดขาดกับตนไปแล้วปานนั้น ไม่ตอบสนองสักนิด
รูม่านตาของเซี่ยหลิงปี้ค่อยๆ ขยายออก เขาเข้าใจว่านั่นคืออะไร…เข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูก!
เนื่องจากเข็มปักอยู่หลังเอว ดังนั้นร่างกายเขาจึงสั่นเล็กน้อย ทว่าไม่มีประโยชน์แล้ว เขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น มุมปากมีน้ำลายไหล ขณะกำลังจะขยับ ศีรษะกลับตกลงบนพื้น
หวงหร่างอยากจะลุกขึ้นนั่ง แต่หลังจากพยายามหลายครั้งล้วนล้มเหลว นางเริ่มกระอักโลหิตออกมา แต่พอเห็นเซี่ยหลิงปี้ที่นอนอยู่บนพื้นแขนขาทั้งสี่สั่นกระตุกก็ให้รู้สึกสาแก่ใจเกินบรรยาย
เซี่ยหยวนซูคลานไปข้างกายเซี่ยหลิงปี้ ยังหวาดกลัวไม่หาย ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ถามว่า “จริงหรือไม่ที่เขา…”
หวงหร่างอ้าปาก วาจายังไม่ทันเอ่ยออกมา โลหิตก็ทำให้นางสำลักเสียก่อน นางออกแรงอาเจียนโลหิตออกมา ในนั้นยังมีชิ้นส่วนอวัยวะภายในปะปนอยู่ด้วย นางได้แต่ชี้ไปที่มุมห้อง…ตรงนั้นยังมีร่มคันหนึ่งวางอยู่ เป็นของวิเศษซึ่งสามารถดูดพลังวัตรของผู้อื่นได้ที่ตี้อีชิวทำขึ้นเองกับมือนั่นเอง
เซี่ยหยวนซูพลันเข้าใจความหมายของนาง เดินไปที่ร่มทันที
“ฮ่าๆ ปรมาจารย์” หวงหร่างดึงชายเสื้อของเซี่ยหลิงปี้พลางหัวเราะไม่หยุด เหมือนผีร้ายที่ฟื้นคืนชีพอย่างไรอย่างนั้น หัวเราะไปหัวเราะมา โลหิตของนางก็หยดลงบนร่างของเซี่ยหลิงปี้ดุจไข่มุก
(วางจำหน่าย ‘ห้วงฝันบันดาลรัก’ วันที่ 25 กรกฎาคม 2568)
Comments
comments
No tags for this post.