X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักห้วงฝันบันดาลรัก

ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 4-6

หน้าที่แล้ว1 of 13

บทที่ 4 แป้งชาด

ตอนตี้อีชิวกลับถึงกองเสวียนอู่ก็เป็นยามอิ๋นแล้ว ถึงอย่างไรท้องฟ้าก็กำลังจะสว่าง เขาจึงมิได้นอนอีก ตัดสินใจไปอ่านเอกสารที่ห้องหนังสือ

จวบจนยามเหม่าสามเค่อ เขาจึงเข้ามา ‘ปรนนิบัติ’ หวงหร่างลุกจากเตียง หวงหร่างสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยก็พบว่าตนเองมีเก้าอี้ล้อเข็นแล้ว

ตี้อีชิววางนางลงบนเก้าอี้ล้อเข็น เก้าอี้ตัวนั้นเหมาะกับนางเป็นพิเศษ คล้ายทำขึ้นเพื่อนางโดยเฉพาะอย่างไรอย่างนั้น หวงหร่างนั่งอยู่บนเก้าอี้ เนื่องจากเส้นผมไม่ยุ่งเหยิง ตี้อีชิวจึงมิได้สางผมและเกล้ามวยให้ใหม่…ดูเหมือนว่าเขาก็มีเรื่องที่ไม่ถนัดเช่นกัน

เขาเข็นหวงหร่างออกไป ท้องฟ้าข้างนอกหม่นครึ้ม หิมะทำท่าจะตกแต่ก็ไม่ตก ในลานเรือนมีศิษย์หอบตำราคัมภีร์เดินผ่านไป ยังคงค้อมกายคารวะตี้อีชิวตามปกติ

บางครั้งบางคราวพวกเขาจะเดินผ่านศาลาหอเก๋ง บนนั้นจะแขวนคำสอนส่งเสริมการศึกษาไว้

บรรยากาศแห่งการศึกษาหาความรู้ในกองเสวียนอู่เข้มข้นยิ่งนัก ตี้อีชิวเข็นเก้าอี้ล้อเข็นไปเรื่อยๆ จนถึงโถงเรียนแห่งหนึ่ง

ยามนี้ยังไม่ถึงเวลาเข้าเรียน เซียนเซิงกำลังปรับหน้าดิน เห็นเขาเข้ามา เซียนเซิงก็รีบเข้าไปต้อนรับ “เจ้ากรม”

ตี้อีชิวโบกมือ หาพื้นที่มุมหนึ่งและเข็นหวงหร่างไปด้านข้าง หวงหร่างจึงได้เข้าใจ…นี่เขาพาข้ามาเข้าเรียนหรือ

จริงดังคาด ตี้อีชิวทิ้งนางไว้และหยิบแท่งถ่านขึ้นมาวาดวงกลมรอบตัวนาง ก่อนจะหันหลังจากไป ในโถงเรียนเซียนเซิงมองดูนาง นางมองดูเซียนเซิง ตาใหญ่จ้องตาเล็ก

เมื่อล่วงเข้ายามสาย ศิษย์ต่างทยอยเข้ามาในโถงเรียน

เซียนเซิงจนปัญญา ได้แต่เริ่มสอน

หวงหร่างนั่งอยู่ด้านข้าง จากมุมนี้สามารถมองเห็นได้ชัดเจนยิ่ง โถงเรียนทั้งหมดอยู่ในสายตานาง วิชานี้ของเซียนเซิงกล่าวถึงการปรับปรุงเมล็ดพันธุ์จำหน่าย เป็นความถนัดของหวงหร่างพอดี นางจึงฟังอย่างตั้งใจ

เพียงแต่อาจารย์ผู้นี้เขียนเหตุผลบนกระดาษมาก แต่การลงมือปฏิบัติจริงกลับมีน้อย หวงหร่างฟังไปพลางพูดเสริมในใจไปพลาง ศิษย์ทั้งหลายลอบชำเลืองมองนางเป็นระยะ แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ละคนกระตือรือร้นขึ้นเป็นร้อยเท่า ลืมแม้กระทั่งการงีบหลับ

 

ตี้อีชิวเดินออกจากกองเสวียนอู่ ข้างนอกเป็นถนนยาวสายหนึ่ง แผงลอยสองฝั่งของถนนขายพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึก หรือไม่ก็ขายตำรานานาชนิดเป็นหลัก มีร้านรวงอยู่ประปราย ข้าวของล้วนเป็นสิ่งที่ศิษย์ต้องใช้สอยเป็นประจำ

เขามิได้หยุดฝีเท้าบริเวณนี้ เพียงเดินไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าตลาด

หน้าตลาดมีผู้คนสัญจรไปมา คึกคักจอแจอย่างยิ่ง

ตี้อีชิวเดินเข้าไปในร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง ร้านน้ำชาแห่งนี้ดูเก่าแก่ แต่ภายในกลับสะอาดสะอ้าน พอก้าวเข้าไปหลงจู๊ก็ออกมาต้อนรับทันที

“เจ้ากรม ยังคงเหมือนเดิมหรือไม่ขอรับ”

ตี้อีชิวส่งเสียงตอบรับ หาที่นั่งริมหน้าต่างแล้วนั่งลง

เพียงครู่เดียวหลงจู๊มิเพียงยกขนมหลายอย่างออกมา ยังยกชาสีใสถ้วยหนึ่งออกมาด้วย

ตี้อีชิวรู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นหอมของชาชนิดนี้ หลงจู๊ยิ้มพลางพูดขึ้น “นี่เป็นชาใหม่ของปีนี้ มีชื่อว่าหนึ่งเสี้ยวใจ เป็นชาสายพันธุ์ดัดแปลงที่แม่นางหวงหร่างปรับปรุงขึ้นเองกับมือเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ประเดี๋ยวคืนนี้ข้าน้อยจะส่งไปที่กองเสวียนอู่จำนวนหนึ่ง ให้เจ้ากรมลองชิมดู”

ตี้อีชิวเหลือบมองชาคราหนึ่ง ตอบว่า “ขอบคุณ”

หลงจู๊ผู้นั้นยิ้มแก้มปริทันใด จากนั้นก็ค้อมกายถอยออกไป เพียงไม่นานหลี่ลู่ก็เดินเข้ามา เขาตรงมายังเบื้องหน้าตี้อีชิวแล้วค้อมกายคารวะ

“เจ้ากรม”

ตี้อีชิวพยักพเยิดคาง “นั่งเถิด”

หลี่ลู่นั่งลงตรงข้ามเขา ข้างนอกเป็นเสียงเอะอะอึกทึก เห็นเพียงเจ้าหน้าที่หลายคนลากตัวคนผู้หนึ่งมา เจ้าหน้าที่สวมชุดสีดำ เอวห้อยดาบ หลังสะพายธงบัญชา เป็นชุดของกรมซือเทียน

เวลานี้ขุนนางในชุดคลุมสีแดงเข้มผู้หนึ่งก็ก้าวออกมาจากฝูงชน ไม่ต้องมองก็รู้ว่าเป็นถานฉีผู้ช่วยกองพยัคฆ์ขาว

ถานฉีประกาศเสียงดังกังวาน “ราชสำนักมีคำสั่ง หากคนจากสำนักเซียนเข้ามาในเมืองชั้นในจะต้องพกใบผ่านทางที่ออกโดยทางการ เมื่อวานหลังการตรวจสอบของกรมซือเทียน คนของสำนักเซียนผู้นี้ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย นี่เป็นความผิดข้อแรก ดูหมิ่นราชสำนัก นี่เป็นความผิดข้อที่สอง วันนี้กองพยัคฆ์ขาวของกรมซือเทียนจะลงทัณฑ์เขาต่อหน้าฝูงชน ทำลายพลังวัตรของคนผู้นี้และโบยร้อยไม้!”

ผู้คนรอบด้านพลันตื่นตระหนก เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นคราหนึ่ง

คนของสำนักเซียนมีฐานะสูงส่งในใจชาวบ้านมาโดยตลอด แต่บัดนี้กรมซือเทียนของราชสำนักกลับจะนำตัวคนผู้นั้นมารับโทษทัณฑ์หน้าตลาดอย่างเปิดเผย เกรงว่าการกระทำนี้คงแฝงนัยอย่างลึกซึ้ง

มิต้องสงสัยเลยว่านักโทษที่ต้องรับโทษทัณฑ์คือสายลับจากสำนักเซียนอวี้หูที่หลี่ลู่พูดถึงเมื่อวานนั่นเอง

ถานฉีประกาศความผิดของนักโทษแล้วก็โบกมือทันใด มีเจ้าหน้าที่ลากตัวสายลับขึ้นมาแล้วกดร่างลงบนม้านั่งลงทัณฑ์ตัวหนึ่ง

เจ้าหน้าที่ลงมือไม่กี่ทีก็เปลื้องผ้านักโทษออกจนหมดท่ามกลางสายตาผู้คน ต่อให้นักโทษผู้นั้นดิ้นรนด่าทอสารพัดพวกเขาก็ไม่สนใจ พวกชาวบ้านถอยหลังไปหลายก้าว ได้เห็น ‘เซียนซือ’ เปลือยกายรับโทษทัณฑ์เป็นครั้งแรกก็ทั้งตื่นตระหนกทั้งอยากรู้อยากเห็น

ตี้อีชิวดื่มชาไปพลางกินขนมด้วยท่วงทีผ่อนคลายสบายอารมณ์ไปพลาง

เสียงไม้พลองฟาดลงบนเนื้อทุ้มหนักเป็นพิเศษ เพียงแค่สามทีก็เห็นโลหิตแล้ว แรกเริ่มนักโทษยังร้องด่า ต่อมาเสียงก็ขาดหายไป

หลงจู๊ยกชากับขนมมาให้หลี่ลู่ หลี่ลู่กลับไม่มีอารมณ์จะจับตะเกียบ…กรมซือเทียนทำเช่นนี้ เซี่ยหลิงปี้ยอมอยู่เฉยก็แปลกแล้ว

ตอนนี้สำนักเซียนอวี้หูปกครองโดยคนสองคน หนึ่งคือประมุขสำนักเซี่ยหงเฉิน สองคือปรมาจารย์เซี่ยหลิงปี้ หลังจากเซี่ยหลิงปี้ยกตำแหน่งให้เซี่ยหงเฉินผู้เป็นศิษย์แล้วก็ถอยไปอยู่หลังม่าน แต่กลับมิได้สูญเสียอำนาจในมือไป

เขารักในชื่อเสียงบารมีของตนมากเพียงใด หลี่ลู่รู้ดีที่สุด

มิผิดจากที่คิด ลงทัณฑ์ไปได้ครึ่งหนึ่ง ท้องฟ้าก็บังเกิดสายฟ้าที่น่าตื่นตระหนก เสียงสนั่นเลื่อนลั่นดังขึ้นข้างหูของทุกคน

พวกชาวบ้านปิดหู มิกล้าชมความครึกครื้นอีก รีบหลบหนีไปโดยไว

ก้อนเมฆบนท้องฟ้ามารวมตัวกัน เพียงครู่เดียวแสงสีขาวก็สาดส่องลงมา ห่อหุ้มร่างของนักโทษไว้ ขณะที่แสงสีขาวกำลังจะพาคนจากไป ถ้วยชาในมือตี้อีชิวก็หก ชาถูกสาดออกไปทางหน้าต่าง เพียงพริบตาก็แปรเปลี่ยนเป็นแสงสีทอง

แสงสีขาวกับแสงสีทองพุ่งปะทะกัน จากนั้นก็เกิดเสียงดังครึกโครม จากนั้นต่างฝ่ายต่างก็สลายหายไป

เหล่าชาวบ้านโผล่ศีรษะออกมาจากที่ซ่อนตัว มองสำรวจเงียบๆ ถานฉีรู้ว่าเจ้ากรมของตนอยู่ใกล้ๆ ในใจจึงสงบนิ่ง ยังคงสั่งการเจ้าหน้าที่ให้โบยต่อจนครบร้อยไม้ จากนั้นก็ทำลายพลังวัตรของนักโทษ

สายลับผู้นั้นถูกโบยจนมีสภาพปางตาย ทั้งยังถูกทำลายพลังวัตร เขามีผ้าคลุมร่าง กระทั่งเรี่ยวแรงจะด่าคนก็ไม่เหลือแล้ว เนิ่นนานยังคงลุกไม่ขึ้น เจ้าหน้าที่สองคนกำลังจะลากตัวเขาออกจากเมืองชั้นใน ทันใดนั้นสิงโตหินคาบลูกกลมใต้หอประตูเมืองก็ส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด…กลับมีชีวิตขึ้นมา

มันย่างเท้าเข้ามาทีละก้าวจนถึงเบื้องหน้าสายลับ คายลูกหินในปากทิ้ง คาบสายลับขึ้นมาและจากไปช้าๆ ฝีเท้าของมันหนักอึ้ง ย่ำผ่านถนนสายยาวจนแผ่นหินแตกร้าว คล้ายใครบางคนกำลังประกาศศักดา

ทุกคนต่างรู้ว่าคราวนี้กรมซือเทียนกับสำนักเซียนอวี้หูผูกความแค้นใหญ่หลวงกันเสียแล้ว

ตี้อีชิวออกมาจากร้านน้ำชา เหลือบมองเศษหินและถนนหนทางที่ชำรุดเสียหายคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “สั่งให้กรมโยธาปูถนนใหม่ บัญชีค่าใช้จ่ายส่งไปยังสำนักเซียนอวี้หู”

หลี่ลู่รับคำ “เหตุการณ์วันนี้น่ากลัวว่าเซี่ยหลิงปี้กับเซี่ยหงเฉินคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ เจ้ากรมจะไม่ป้องกันมิได้นะขอรับ”

ตี้อีชิวคลี่ยิ้มอย่างเย็นชา หาได้ใส่ใจไม่ ทั้งสองคนเดินไปด้วยกัน หลี่ลู่รั้งท้ายครึ่งก้าวอย่างรู้กาลเทศะพลางเอ่ยขึ้นอีก

“วันนี้เป้าอู่กลับมาแล้ว เจ้ากรมจะพบเขาสักหน่อยหรือไม่ขอรับ”

เป้าอู่คือรองเจ้ากรมซือเทียนอีกคน เวลาส่วนใหญ่เขาจะนำศิษย์ในสำนักออกไปปฏิบัติงานข้างนอก ปราบปีศาจขจัดมารให้ชาวบ้าน

ตี้อีชิวส่งเสียงตอบรับ จู่ๆ ก็ยืนนิ่งไม่ขยับ

หลี่ลู่ตกใจ คิดว่าเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ แต่กลับเห็นว่าจู่ๆ เจ้ากรมก็เดินเข้าไปในร้านแป้งชาดร้านหนึ่ง

ร้านแป้งชาดหรือ!

หลี่ลู่รีบตามเข้าไป ตี้อีชิวพิจารณาสินค้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา เถ้าแก่เนี้ยในร้านเห็นคนทั้งสองในชุดขุนนางเดินเข้ามา ดวงหน้างามพลันซีดเผือด เอ่ยถามด้วยลิ้นที่พันกัน

“ตะ…ใต้เท้าทั้งสองท่าน ร้านนี้ของข้าน้อยเปิดกิจการในเมืองหลวงมาสิบปีแล้ว ล้วนทำมาหากินอย่างสุจริต ท่านทั้งสองอย่าได้ปรักปรำคนดีเลยนะเจ้าคะ”

หลี่ลู่สำรวจทั้งในและนอกร้านรอบหนึ่ง แต่ไม่พบความผิดปกติ เขาจึงได้แต่เอ่ยถาม “เจ้ากรม สถานที่แห่งนี้มีสิ่งใดแปลกประหลาดหรือขอรับ”

ตี้อีชิวก้าวช้าๆ ไปหน้าชั้นวางสินค้า พินิจพิจารณาแป้งชาดน้ำมันหอมบนนั้นอย่างถี่ถ้วนรอบหนึ่ง เขาหยิบแป้งผัดหน้าตลับหนึ่งขึ้นมา เปิดออกดมและถามขึ้น

“ราคาเท่าไร”

“หา?” เถ้าแก่เนี้ยตกตะลึง

หลี่ลู่ก็ตกตะลึง ผ่านไปครู่หนึ่งยังคงเป็นเถ้าแก่เนี้ยที่ได้สติก่อน นางพรูลมหายใจยาว รีบปั้นยิ้มเต็มใบหน้า

“ท่านจะมาซื้อแป้งชาดน้ำมันหอมแทนฮูหยินกระมัง! สามีที่ทั้งหล่อเหลาทั้งเอาอกเอาใจภรรยาอย่างนายท่าน จุดโคมส่องหาก็ไม่พบแล้วจริงๆ!”

คงเป็นเพราะวิกฤตคลี่คลาย นางที่รอดตัวจากเคราะห์ภัยมาได้จึงเต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อขุนนางผู้หล่อเหลาตรงหน้า เถ้าแก่เนี้ยพูดอย่างกระตือรือร้นอีก

“นายท่านเชิญนั่งตรงนี้ก่อน แป้งชาดน้ำมันหอมของสตรีพูดแล้วยาวทีเดียว ข้าน้อยจะยกชามาให้ท่านทั้งสองแล้วพวกเราค่อยๆ คุยกัน”

กรมซือเทียนงานยุ่งมากรู้หรือไม่ มีเวลามาฟังเจ้าค่อยๆ คุยที่ใดกัน! หลี่ลู่กำลังจะเอ่ยปาก แต่ตี้อีชิวกลับเดินไปข้างโต๊ะคิดเงินและนั่งลงเสียแล้ว

หลี่ลู่จะทำอย่างไรได้ เขาได้แต่นั่งลงข้างๆ ตี้อีชิว ฟังเถ้าแก่เนี้ยแนะนำแป้งชาดน้ำมันหอมเหล่านี้อย่างยืดยาวไม่จบไม่สิ้น

แป้งแต้มหิมะ ผงปัดแก้มบุปผาฉายฉาน หมึกเขียนคิ้วงามตระการเหล่านั้น…

ให้ตายเถิด หลี่ลู่ฟังจนเวียนศีรษะ

ใบหน้าตี้อีชิวไม่มีรอยยิ้มสักนิด ในแววตานิ่งสงบถึงขั้นแฝงความเย็นชาอยู่หลายส่วน แต่เขากลับฟังอย่างตั้งใจ ดังนั้นเถ้าแก่เนี้ยจึงแทบจะขุดวิชาความรู้ทั้งหมดที่มีออกมา ทำท่าว่าจะถ่ายทอดให้เขาโดยไม่ปิดบัง

ครึ่งชั่วยามต่อมาใต้เท้าเจ้ากรมก็ซื้อไต้ เขียนคิ้วดารา ผงเขียนหน้าผากเหลือง ชาดแต้มริมฝีปากสีดอกท้อ โบตั๋นน้ำแข็ง…

หลี่ลู่หิ้วขวดและกระปุกที่ประณีตเหล่านี้เดินออกจากร้านขายแป้งชาด ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลวไหลพลางคิดว่านี่ข้าเป็นใคร ข้าอยู่ที่ใด

 

เวลาเดียวกันสำนักเซียนอวี้หูที่อยู่ไกลออกไปหลายพันหลี่กล้วยไม้ทั่วทั้งภูเขาโรยราไปกว่าครึ่ง

เซี่ยหงเฉินสวมอาภรณ์สีขาวดุจหิมะ ไหล่ผูกสนับไหล่สีฟ้า เอวคาดสายคาดสีเดียวกัน ด้านล่างห้อยหยก ในฐานะประมุขสำนัก เขาดูมิได้น่าเกรงขามถึงเพียงนั้น แต่กลับดูสุภาพนุ่มนวล

เขายืนอยู่ข้างแปลงบุปผา มองบุปผาใบหญ้าเหล่านี้ที่ไม่ว่าจะดูแลรักษาอย่างไรก็ยังคงเหี่ยวแห้งไปอย่างช้าๆ คิดไม่ถึงว่าที่แท้บุปผาเหล่านี้จะอ่อนแอเช่นนี้ ทว่ายามที่คนผู้นั้นยังอยู่ พวกมันกลับทนทานประหนึ่งหญ้าป่า

ข้างหลังมีเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา เซี่ยหงเฉินไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นผู้ใด เขาหันกายไปคารวะ “ท่านอาจารย์”

ผู้มาคือเซี่ยหลิงปี้ เขาสวมชุดคลุมสีดำ มือถือคทาหยกหรูอี้สีขาว ใบหน้าดำทะมึนดั่งท้องฟ้าที่ฝนกำลังจะเทลงมา

เห็นเซี่ยหงเฉินแล้วเขาก็เอ่ยเสียงขรึม “เรื่องในวันนี้คิดว่าเจ้าคงรู้แล้ว”

“ท่านอาจารย์หมายถึงเรื่องที่กรมซือเทียนลงทัณฑ์ศิษย์ชั้นนอกของสำนักเราอย่างเปิดเผยที่หน้าตลาดหรือขอรับ” เซี่ยหงเฉินเอ่ยเสียงเรียบ มิได้เจืออารมณ์มากนัก

เซี่ยหลิงปี้แค่นเสียงหนัก “มิใช่แค่ลงทัณฑ์อย่างเปิดเผย แต่เป็นการให้ศิษย์สำนักเราเปลือยกายรับโทษทัณฑ์! ตี้อีชิวผู้นี้แม้แต่อุบายชั้นต่ำพรรค์นี้ก็ยังกล้าเอามาใช้!”

เซี่ยหงเฉินมองดูเซี่ยหลิงปี้ที่กำลังโกรธจัดก็ถามขึ้น “หลายวันก่อนเจ้าสำนักผู้เฒ่าของสำนักหมีฮวาจัดงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิด เชิญข้ากับท่านอาจารย์ไปร่วมอวยพรด้วยกัน หลังจากข้ากับท่านอาจารย์จากไป สำนักเราก็มีโจรสี่คนบุกเข้ามาทันที ความจริงแล้วข้าอยากถามท่านอาจารย์ว่าพวกเขาขโมยสิ่งใดไป”

เซี่ยหลิงปี้ชะงักเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงขุ่นทันที “เรื่องนี้เจ้าควรไปถามพวกเขา!”

“ข้าตรวจนับของล้ำค่าในสำนักแล้ว ไม่พบว่ามีสิ่งใดหายไป” เซี่ยหงเฉินเกิดข้อสงสัยในใจ มิเพียงเพราะท่าทีโกรธเกรี้ยวของเซี่ยหลิงปี้ แต่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง

…ภรรยาของเขา ฮูหยินประมุขสำนักเซียนอวี้หูหวงหร่างหายตัวไปสิบปีแล้ว

สิบปีมานี้สำนักเซียนอวี้หูประกาศต่อภายนอกว่านางล้มป่วยและต้องพักรักษาตัว

ถึงกระนั้นมีเพียงคนจำนวนน้อยที่รู้ว่านางหายตัวไป อีกทั้งหายตัวไปโดยไม่รู้เบาะแสอย่างน่าประหลาด

เพราะกังวลถึงหน้าตาของสำนัก เซี่ยหงเฉินจึงมิอาจตามหานางอย่างเปิดเผย แต่เขาก็ทุ่มเทความพยายามอย่างลับๆ ไม่น้อยทีเดียว สิบปีไม่พบเบาะแสใดๆ ในใจเขาใช่ว่าไม่เคยสงสัยมาก่อน เขารู้สึกอยู่มิวายว่าไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น หวงหร่างก็ไม่มีทางจากไปง่ายๆ อย่างแน่นอน

…ตราบใดที่เขายังเป็นประมุขสำนักเซียนอวี้หู

และทั่วทั้งสำนักเซียนอวี้หู หากยังมีสถานที่ใดที่ยังมิได้ค้นหา นั่นก็คือยอดเขาอั้นเหลยของเซี่ยหลิงปี้

ความจริงแล้วเซี่ยหลิงปี้ไม่เห็นด้วยที่เซี่ยหงเฉินจะแต่งหวงหร่างเป็นภรรยาตั้งแต่แรกแล้ว หวงหร่างถือกำเนิดในตำบลเซียนฉา เป็นบุตรสาวของหวงซู่ภูตดินตกอับตนหนึ่ง ฐานะต่ำต้อยก็ช่างเถิด แต่นางกลับมีอุบายและฝีมืออยู่มากทีเดียว ทำให้เซี่ยหลิงปี้ดูแคลนนางจากใจจริง

เซี่ยหงเฉินเคารพเชื่้อฟังอาจารย์มาโดยตลอด แต่ในเรื่องนี้กลับเลือกที่จะยืนกรานในความคิดของตน

เซี่ยหลิงปี้ไม่อยากให้สตรีนางหนึ่งมาสร้างความบาดหมางระหว่างอาจารย์กับศิษย์ สุดท้ายจึงยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ ทว่าก็มีเงื่อนไขว่า…ในแต่ละวันเซี่ยหงเฉินจะสามารถอยู่กับหวงหร่างได้แค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้น

ว่าไปแล้วก็มิพ้นต้องการให้เขาสำรวมตนควบคุมกิเลส ไม่หลงมัวเมาไปกับเรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิง

เซี่ยหงเฉินหาได้คัดค้านไม่ และเขาก็รู้ว่าหวงหร่างไม่มีทางคัดค้าน

…หวงหร่างเป็นคนเช่นไร ความจริงแล้วเขากระจ่างแจ้งดีที่สุด

สตรีผู้นี้เป็นคนไม่ยอมแพ้โชคชะตามาตั้งแต่เล็ก

แม้เซี่ยหงเฉินจะจมอยู่ในอ้อมกอดอุ่นที่นางถักทอขึ้นมา แต่ก็มิได้ขาดสติ เขาเคยตรวจสอบความเป็นมาของหวงหร่างอย่างละเอียด หวงหร่างเกิดมาในตระกูลภูตดินในชนบท หวงซู่บิดาเป็นคนมากด้วยตัณหา ละโมบในทรัพย์สิน ในบ้านมีพี่น้องมากมาย แต่หวงหร่างโดดเด่นที่สุด นางสง่างามอ่อนโยน เฉลียวฉลาดสำรวม ทั้งยังคอยปรับปรุงเมล็ดพันธุ์จำหน่ายแทนบิดามาโดยตลอด ชื่อเสียงเลื่องลือไปไกล ทว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น

ภายใต้เปลือกนอกอันงดงามชั้นนี้ นางลอบเพาะเมล็ดพันธุ์จำหน่ายลับหลังบิดา ถึงขั้นลอบขายเมล็ดพันธุ์โดยปิดบังราชสำนัก ประจบประแจงบิดา กีดกันและกดข่มพี่น้องของตนเอง พี่น้องทั้งหลายของนางล้วนร้ายกาจ ทว่าในบ้านสกุลหวงไม่มีใครกล้าล่วงเกินนาง

เดิมทีหวงซู่เป็นคนเลอะเลือนอยู่แล้ว จึงถูกนางหลอกโดยไม่รู้ตัว เมล็ดพันธุ์จำหน่ายในบ้านแทบทั้งหมดนางเป็นคนปรับปรุงขึ้นมา กล่าวว่านางเป็นประมุขของบ้านก็ไม่เกินเลย ขาดเพียงอยู่ภายใต้ชื่อนางเท่านั้น

แม้จะมีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยเช่นนี้ แต่นางกลับได้ฉายาอันไพเราะว่า ‘เทพธิดาเสวียนตู้’ ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วสำนักเซียนรวมถึงราชสำนัก

ข้างกายนางมีผู้มีความสามารถไปแสดงไมตรีอยู่ตลอด ภายนอกนางเองวางตัวอ่อนโยน แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ แต่ลับหลังกลับกางตาข่าย เฝ้ารอคอยให้ปลาตัวใหญ่ที่สุดเข้ามาติดกับอย่างอดทน

และเซี่ยหงเฉินก็คือปลาตัวใหญ่ตัวนั้น อาจจะใหญ่จนเหนือความคาดหมายของนางด้วยซ้ำ

ดังนั้นตั้งแต่เริ่มแรกหวงหร่างก็ใช้อุบายสารพัดกับเขา เซี่ยหงเฉินไม่เคยเลอะเลือนเพราะความอ่อนหวาน แต่เขายังคงติดกับจนได้

เขาไม่สนใจเสียงคัดค้านของเซี่ยหลิงปี้ ดึงดันจะแต่งหวงหร่างเป็นภรรยา

หลายปีมานี้เขายอมรับในความธรรมดาและความไร้ประโยชน์ของพ่อตาอย่างหวงซู่ ทั้งยังคอยถ่วงดุลความละโมบที่ไม่สิ้นสุดของพี่น้องหวงหร่าง เขายอมถอยก้าวใหญ่ที่สุดแล้วเพื่อความรักของตนเอง ดังนั้นกับหวงหร่างเขาจึงเย็นชาและยับยั้งชั่งใจตนเองมาตลอด ถึงขั้นเรียกได้ว่ามีเจตนาละเลยนาง

เขาให้หวงหร่างอยู่ในหอฉีลู่ และตนเองก็ไปที่นั่นน้อยครั้งยิ่ง

เซี่ยหลิงปี้ทำข้อตกลงกับเขาโดยอนุญาตให้เขาไปที่นั่นทุกวันได้ แต่จะอยู่ได้แค่หนึ่งชั่วยาม ทว่าอันที่จริงเวลาส่วนใหญ่เขาไม่ได้ไป

ต่อให้ความปรารถนามากล้นพัวพันอย่างลึกซึ้ง เขาก็สามารถนิ่งเฉยต่อมันได้ และเขาก็รู้ว่าหวงหร่างไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้

แล้วก็จริงดังคาด หวงหร่างไม่สนใจจริงๆ

ดูเหมือนนางจะไม่มีคำกล่าวโทษใดๆ ไม่ว่าเวลาใดขอเพียงเขาไปหา นางจะแต่งตัวอย่างประณีตออกมาต้อนรับเสมอ นางอยู่ในหอฉีลู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตน ศึกษาค้นคว้าสุรารสเลิศ ชาชั้นดี และขนมต่างๆ

เซี่ยหงเฉินไม่ชอบให้นางปรับปรุงเมล็ดพันธุ์จำหน่าย เขาคิดว่าการที่ฮูหยินประมุขสำนักเข้าๆ ออกๆ ท้องนาถึงอย่างไรก็ดูไม่งาม ด้วยเหตุนี้แม้กระทั่งเรื่องพวกนี้หวงหร่างก็ละทิ้งไปด้วย

เพียงเพราะเซี่ยหงเฉินชอบกล้วยไม้ นางจึงปลูกกล้วยไม้ไว้ทั่วสำนักเซียนอวี้หู

เวลาร้อยกว่าปีนางเปลี่ยนตนเองจาก ‘เทพธิดาเสวียนตู้’ ที่ชื่อเสียงเลื่องลือในโลกภายนอกกลายเป็นฮูหยินประมุขสำนักที่ได้รับความเคารพรักใคร่จากศิษย์สำนักเซียนอวี้หูอย่างยิ่ง

นางควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดีมาก มีทักษะในการคบหากับผู้อื่น ทั้งยังเชี่ยวชาญการซื้อใจคน กอบโกยชื่อเสียงบารมีให้ตนเอง ดังนั้นทุกคนจึงยกย่องนางว่าอ่อนโยนสง่างาม เพียบพร้อมด้วยจรรยาและคุณธรรม

เซี่ยหงเฉินคิดว่าตนไม่ควรชื่นชอบสตรีเช่นนี้

สตรีผู้นี้ความคิดในใจกับสิ่งที่แสดงออกมาไม่ตรงกัน ทำทุกอย่างโดยมีเป้าหมายของตนเอง…นางรู้ดีเกินไปว่าตนเองต้องการสิ่งใด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนางไม่เลือกวิธีการ ปราศจากความรู้สึก นางทำให้คนจิตใจแข็งแกร่งอย่างเซี่ยหงเฉินสามารถเปลื้องอาภรณ์ร่วมอภิรมย์กับนางก่อนแต่งงานได้

ความจริงแล้วในใจเซี่ยหงเฉินดูแคลนสตรีผู้นี้ แต่สิ่งที่สตรีสูงศักดิ์เหล่านั้นไม่กล้าทำ นางล้วนกล้าทำทั้งหมด ความเย้ายวนรัญจวนจิตที่มิอาจเปิดเผยได้เหล่านั้นช่างตราตรึงใจและฝังลึกในกระดูกเกินไป แม้เขาจะมีสติตื่นรู้ แต่ก็ไม่วายหลงใหลไปกับมัน

ก่อนที่หวงหร่างจะหายตัวไป นางกระทำเรื่องหนึ่งที่สร้างความไม่พอใจให้เขา

นี่เป็นครั้งแรกที่นางพูดสิ่งที่ไม่สมควรพูดนับตั้งแต่แต่งงานกันมาร้อยกว่าปี นางบอกเขาว่า ‘ท่านพี่เคยคิดที่จะสังเกตการเคลื่อนไหวของปรมาจารย์บ้างหรือไม่ หลายวันก่อนข้าพบเจอเรื่องหนึ่ง ทำให้รู้สึกไม่สบายใจมาโดยตลอด ข้าคิดอยู่มิวายว่าท่านพี่ควรจะมุ่งหน้าไปยอดเขาอั้นเหลยเพียงลำพังเพื่อตรวจสอบดูสักครั้ง’

เซี่ยหงเฉินตำหนินางด้วยความโมโหทันที เนื่องจากรู้ว่าเซี่ยหลิงปี้มีอคติกับนางมาก เขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงอย่างสุดกำลังมิให้ทั้งสองข้องแวะกัน ปกติเซี่ยหลิงปี้ไม่ไปหอฉีลู่ หวงหร่างเองก็ไม่ไปยอดเขาอั้นเหลย

แม้เขาจะอาลัยในความเย้ายวนของหวงหร่าง แต่จะไม่มีวันยอมให้สตรีผู้นี้กล่าวหาอาจารย์ผู้มีพระคุณของตนเป็นอันขาด ดังนั้นเขาจึงไม่พูดมากอีก สะบัดแขนเสื้อจากไป

หลังจากนั้นเป็นเวลาหนึ่งเดือนเขาก็ไม่ได้ไปเยือนหอฉีลู่อีก และภายหลังหวงหร่างก็หายตัวไป

เขาคิดว่านางวางอุบายอยากให้เขาร้อนใจ ทว่านับจากนั้นเป็นเวลาสิบปีเขาก็ไม่ได้พบเจอนางอีก

ครั้งนั้นเป็นการพบหน้ากันครั้งสุดท้ายระหว่างพวกเขา

บทที่ 5 เกล็ดงู

“หงเฉิน เจ้าสงสัยอะไรอยู่กันแน่” น้ำเสียงของเซี่ยหลิงปี้แฝงแววตักเตือนและหวังดีเช่นผู้เป็นอาจารย์ จากนั้นเขาก็เอ่ยอย่างอดทน “โจรสี่คนนี้แม้ฐานะไม่ชัดเจน แต่ขบคิดเพียงเล็กน้อยก็พอคาดเดาฐานะของพวกเขาได้ หากไม่มีกรมซือเทียนคอยหนุนหลัง ใครจะบังอาจถึงเพียงนี้ แต่เจตนาของอีกฝ่ายคืออะไร นี่เป็นสิ่งที่ข้ายังคงไม่เข้าใจ”

เซี่ยหงเฉินได้สติกลับมา ยามเผชิญหน้ากับคำอธิบายของอาจารย์ ท้ายที่สุดแล้วในใจเขาก็รู้สึกละอาย จึงกล่าวขึ้น

“ข้าอาศัยร่องรอยที่โจรทิ้งไว้ เก็บอาวุธของคนผู้หนึ่งได้ น่าจะเป็นเหอซีจินแห่งสำนักกระบี่หรูอี้ขอรับ”

“เหอซีจิน…” เซี่ยหลิงปี้ขมวดคิ้ว ใคร่ครวญเนิ่นนานก่อนพูดว่า “เขามาทำอะไร”

เซี่ยหงเฉินตอบ “อยู่ระหว่างการตรวจสอบขอรับ”

เซี่ยหลิงปี้ส่งเสียงตอบรับ “ไม่ว่าอย่างไรกรมซือเทียนลงทัณฑ์ศิษย์ชั้นนอกของสำนักเราอย่างเปิดเผย เรื่องนี้มิอาจเลิกแล้วต่อกันเพียงเท่านี้”

เซี่ยหงเฉินหลุบตาลง “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”

“เจ้าคิดจะทำเช่นไร” เซี่ยหลิงปี้ไม่ยอมเลิกรา ด้วยนิสัยของเขาย่อมไม่มีทางยอมให้ใครมาดูหมิ่นรังแกเช่นนี้เด็ดขาด

น้ำเสียงของเซี่ยหงเฉินยังคงนิ่งสงบ “เพื่อความเป็นอมตะ ฮ่องเต้ซือเวิ่นอวี๋เสวยยาลูกกลอนอายุวัฒนะมาเป็นเวลาหลายปี ยาลูกกลอนนี้ราคาไม่น้อยทีเดียว”

“เรื่องนี้หาใช่ความลับไม่” เซี่ยหลิงปี้ได้ยินชื่อ ‘ซือเวิ่นอวี๋’ แล้ว น้ำเสียงก็หนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย “ร้อยกว่าปีมานี้ตาเฒ่าผู้นั้นเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด”

เซี่ยหงเฉินกล่าวต่อ “ปีนี้ยาลูกกลอนอายุวัฒนะที่กรมซือเทียนเตรียมถวายล้วนเป็นของปลอมทั้งสิ้น”

“กรมซือเทียนปลอมแปลงยาลูกกลอนอายุวัฒนะหรือ” เซี่ยหลิงปี้ตกใจแล้วซักถามอีก “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

เซี่ยหงเฉินมิได้อธิบายที่มาของข่าวนี้ เพียงเอ่ยว่า “ในราชสำนักมีขุนนางใกล้ชิดซือเวิ่นอวี๋ไม่น้อย ขอเพียงพวกเราแพร่งพรายข่าวนี้ออกไป เดิมทีซือเวิ่นอวี๋มีนิสัยช่างระแวง เขาไม่มีทางละเว้นตี้อีชิวแน่นอน”

เซี่ยหลิงปี้ผงกศีรษะ “เช่นนี้ก็ดียิ่ง รีบไปจัดการโดยเร็ว หาไม่แล้วผู้คนจะคิดว่าสำนักเซียนอวี้หูหวาดกลัวสุนัขรับใช้ของราชสำนักจริงๆ”

เซี่ยหงเฉินรับคำ ก่อนจะค้อมกายคารวะแล้วจากไป เซี่ยหลิงปี้มองดูแผ่นหลังของเขาอย่างครุ่นคิด

คนหนุ่มเติบโตเร็วจริงๆ แค่ร้อยกว่าปีขนปีกก็ค่อยๆ หนาขึ้น เขี้ยวเล็บก็สมบูรณ์แล้ว

 

เมืองหลวงชั้นใน

ตอนตี้อีชิวกับหลี่ลู่กลับกองเสวียนอู่ก็เป็นเวลาอาหารกลางวันแล้ว

เซียนเซิงในโถงเรียนยังไม่เลิกสอน…ตี้อีชิวพาหวงหร่างมาทิ้งไว้ที่นี่ ทำให้เขาไม่กล้าจากไปที่ใด จำต้องเฝ้านางไว้ให้ดี เด็กกึ่งโตพวกนี้ซุกซนเพียงใดเขารู้ดีที่สุด สตรีที่ดูเหมือนวัตถุเวทผู้นี้งามจนชวนตกตะลึงราวกับคนที่มีชีวิตจริงๆ ยากจะแยกแยะจริงเท็จได้ มองดูก็รู้ว่าล้ำค่ายิ่ง

หากมีเด็กเสียมารยาทมือไม้อยู่ไม่สุข ทำให้ข้าวของของเจ้ากรมเสียหายจะทำเช่นไร

เขาเป็นเซียนเซิงที่ระวังรอบคอบทีเดียว

หวงหร่างฟังการสอนมาตลอดช่วงเช้า พอเข้าใจสถานการณ์ของการปรับปรุงเมล็ดพันธุ์จำหน่ายในตอนนี้ได้บ้างแล้ว อย่างไรเสียนางก็ถูกกักขังลงทัณฑ์มาสิบปี และการเปลี่ยนแปลงในโลกภายนอกก็มักจะรวดเร็วเสมอ ในใต้หล้านี้มีพันธุ์พืชดัดแปลงหลายอย่างที่นางไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน

เมื่อเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยดังขึ้นนอกประตู หวงหร่างก็รู้ว่าตี้อีชิวมาแล้ว

อยู่ร่วมกันแค่เพียงหนึ่งวัน นางสามารถแยกแยะเสียงฝีเท้าของเขาได้แล้ว หลังจากนั้นนางก็ตระหนักได้ว่า…เวลายามเช้าผ่านไปไวปานนี้เชียว เหมือนแค่กะพริบตาก็ผ่านพ้นไป

สิบปีที่ผ่านมา หนึ่งวันของนางนานนับปี ครั้นรู้สึกว่าเวลาไหลผ่านดั่งสายน้ำก็ประหลาดใจเหลือหลาย

ตี้อีชิวเข็นนาง หลี่ลู่ถือขวดและกระปุกเหล่านั้นเดินตามหลังไปเงียบๆ

รู้มาแต่ไหนแต่ไรว่าสตรีผลาญเงินเก่งนัก แต่คิดไม่ถึงว่าตุ๊กตาปลอมตัวหนึ่งก็ผลาญเงินดุจสายน้ำได้เช่นกัน! แค่ข้าวของเหล่านี้ก็เกือบเท่าเบี้ยหวัดครึ่งเดือนของข้าแล้ว! 

กองพยัคฆ์ขาว

หลี่ลู่เพิ่งเข้ามาก็ได้ยินคนพร่ำบ่นว่า “ประหลาดโดยแท้ เจ้ากรมของพวกเราน่าจะกลับมานานแล้ว”

หลี่ลู่ที่กำลังถือข้าวของพะรุงพะรังได้แต่ทอดถอนใจ…หากมิได้อยู่ที่ร้านแป้งชาดครึ่งค่อนวันก็คงกลับมาถึงนานแล้ว

ตี้อีชิวเข็นหวงหร่างเข้ามา หวงหร่างมองคราเดียวก็เห็นบุรุษฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง เขาสวมเสื้อขนแกะ เอวห้อยดาบเล่มใหญ่ ยามนี้เขาถือชามใบใหญ่ไว้ในมือ กำลังพุ้ยข้าวใส่ปาก

แน่นอนว่าคนผู้นี้คือรองเจ้ากรมซือเทียน เป้าอู่

“เจ้ากรม!” พอเห็นตี้อีชิวเขาก็ยืนขึ้นทันใด สำลักข้าวจนตาเหลือก

ตี้อีชิวคล้ายพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยครั้งจนไม่รู้สึกแปลกใจ โบกมือพลางเอ่ยว่า “กินก่อนเถิด”

“อ้อ” เป้าอู่จึงนั่งอยู่หน้าห้องโถงรับแขก พุ้ยข้าวใส่ปากต่อ

ตี้อีชิวเข็นหวงหร่างเข้าไปในห้องประชุมและขยับอ่างไฟมาที่ข้างเท้านาง ตำแหน่งนี้ของหวงหร่างมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนทีเดียว เรียกได้ว่าสามารถมองเห็นได้ทั้งห้อง

ตรงมุมห้องมีกระถางบุปผาใบหนึ่ง ในฤดูกาลเช่นนี้บุปผากลับยังคงบานสะพรั่ง เถาเลื้อยพันกับค้างข้างๆ กระถาง ใบเป็นสีเขียว ดอกสีชมพู รูปลักษณ์คล้ายแตร มองดูแล้วก็คล้ายดอกผักบุ้งที่ผ่านการดัดแปลงสายพันธุ์อยู่มาก ข้างบุปผาเป็นหน้าต่าง แต่มันมิได้ชอบแสงแดด

หวงหร่างกำลังพิจารณาบุปผานั้น ตี้อีชิวก็ย่อกายลง จัดชายกระโปรงของนางให้เรียบร้อย จากนั้นก็กุมมือนางพลางพูดขึ้น

“ข้าจะออกไปสักครู่ ประเดี๋ยวก็กลับมา”

“หา?” เป้าอู่ที่กินอาหารอยู่ข้างนอกขานรับ พอหันมองเข้ามาในห้องก็พบว่าเจ้ากรมของตนกำลังพูดกับตุ๊กตาปลอมตัวนั้น เขาเหลือบมองหลี่ลู่ด้วยสีหน้าชอบกล หลี่ลู่ขยิบตาให้เขาเป็นการบอกเขาว่าอย่าพูดมาก!

เป้าอู่เข้าใจทันที ถามว่า “แม่นางผู้นี้เป็นใคร เหตุใดถึงไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เพิ่งมาใหม่หรือ”

หลี่ลู่กลอกตาใส่เขา ไม่อยากจะสนใจ…เจ้าคนตาแหลม

ตี้อีชิวไม่สนใจเป้าอู่ กำชับว่า “เฝ้าที่นี่ไว้ให้ดี รอข้ากลับมา” กล่าวจบก็หันกายจากไป

รอจนกระทั่งเขาจากไปไกลแล้ว หลี่ลู่จึงวางแป้งชาดน้ำมันหอมเหล่านั้นลง เป้าอู่เข้ามาในห้อง ถึงอย่างไรข้างนอกก็หนาวเย็น จะสู้ในห้องได้อย่างไร ทั้งได้หลบลมหนาวทั้งยังอบอุ่น

เป้าอู่เดินไปตรงหน้าหวงหร่าง พินิจมองอยู่เป็นนาน จู่ๆ ก็ยื่นนิ้วออกไปจิ้มใบหน้านาง!

หลี่ลู่พุ่งเข้าไปปานโบยบิน ปัดมือเขาออกทันที “รองเจ้ากรมเป้า!” เจ้าอยากตายหรือไร!

เป้าอู่จุปากแล้วอุทาน “นิ่มโดยแท้ ทั้งยังอุ่นด้วย ของวิเศษชิ้นใหม่ของเจ้ากรมหรือ ในที่สุดเขาก็เริ่มสร้างคนแล้วหรือ”

“พูดอะไรของเจ้า!” อย่างไรเสียหลี่ลู่ก็ยังมีน้ำใจต่อสหายร่วมงาน จึงเตือนว่า “ต่อไปยามอยู่ต่อหน้าเจ้ากรม เจ้าพูดให้น้อยลงหน่อย”

เป้าอู่มองค้อน ยังคงสงสัยในตัวหวงหร่าง จึงถามนางว่า “เจ้าได้ยินที่รองเจ้ากรมข้าพูดหรือไม่ ถ้าเจ้าได้ยินก็กะพริบตา”

หวงหร่างจ้องบุรุษฉกรรจ์รูปร่างกำยำตรงหน้า มิอาจตอบสนองเขาได้ทันทีทันใด ร่างกายนางไม่อยู่ในการควบคุม มีเพียงดวงตาที่กลอกไปมาได้เล็กน้อย ส่วนการกะพริบตาเป็นเรื่องยากเย็นทีเดียว กว่านางจะกะพริบตา เป้าอู่ก็มองไปทางอื่นนานแล้ว

เป้าอู่ยังคิดจะดึงผมของหวงหร่าง หลี่ลู่รีบไล่ตะเพิดเขาไปเหมือนไล่สุนัข ไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้นางอีก

ทั้งสองคนเฝ้ารอตี้อีชิวด้วยกัน จู่ๆ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นข้างนอก

หลี่ลู่กับเป้าอู่มีท่าทีตื่นตัว หวงหร่างฟังออกว่านี่มิใช่เสียงฝีเท้าของตี้อีชิว แล้วก็จริงดังคาด มีบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามา

“นายท่านห้า” หลี่ลู่ปั้นหน้ายิ้มเข้าไปต้อนรับแล้วค้อมกายทำความเคารพ

เป้าอู่กลับดูเย็นชากว่ามาก เพียงคารวะอย่างส่งเดช ดูเหมือนว่าจะไม่ชอบหน้าบุรุษผู้นั้นสักเท่าไร

บุรุษผู้นั้นมองเข้ามาในห้องแล้วถามว่า “เจ้ากรมของพวกเจ้าเล่า”

น้ำเสียงเจือแววโอหัง เห็นได้ชัดว่าฐานะไม่ธรรมดา หรือกล่าวได้ว่าฐานะสูงส่งกว่าตี้อีชิว หวงหร่างคาดเดาในใจ

“เจ้ากรมจากไปเมื่อครู่นี้เอง แต่อีกไม่นานก็จะกลับมา นายท่านห้าโปรดรอสักครู่” ยามที่หลี่ลู่พูดจากับเขาดูระมัดระวังอย่างยิ่ง

บุรุษผู้นั้นจึงเดินอ้อมมาหลังโต๊ะเตรียมตัวจะนั่งลง แต่พอกวาดสายตาไปมองก็เห็นหวงหร่างนั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเข็น เขาเดินเข้าไปหานาง หลี่ลู่หัวใจกระตุกโดยพลัน

หลี่ลู่เดินตามติดบุรุษผู้นั้นพลางอธิบาย “นี่เป็นของเล่นที่เจ้ากรมเพิ่งทำขึ้นมาเมื่อไม่กี่วันนี้ขอรับ”

จู่ๆ บุรุษผู้นั้นก็ยื่นมือออกมาเชยคางหวงหร่าง

หวงหร่างจึงเห็นรูปโฉมอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เขามิได้สวมชุดขุนนาง สวมเพียงชุดธรรมดาสีแดงปนทอง มีเกี้ยวหยกครอบอยู่บนศีรษะ เอวคาดแถบผ้าไหม ลักษณะการแต่งกายเช่นนี้เดิมทีควรดูสูงส่งสง่างาม ทว่าเขาผ่ายผอมเกินไป ผ่ายผอมจนดูไม่เหมือนคน ดังนั้นเมื่ออาภรณ์ชุดนี้สวมใส่อยู่บนร่าง จึงเหมือนโครงกระดูกที่ถูกคลุมด้วยผ้าผืนหนึ่ง

นิ้วมือเขาผอมยาวเหมือนกรงเล็บ ตัวคนดูเหมือนต้นไม้เหี่ยวแห้ง มองดูแล้วคล้ายผีมากกว่าคน

เขาจับจ้องหวงหร่างพลางพิจารณาอย่างละเอียดแล้วแค่นหัวเราะ “ดวงหน้านี้…ฮ่าๆ ในอดีตเขาเคยสู่ขอสตรีผู้นี้และถูกปฏิเสธ คิดไม่ถึงว่าผ่านมาร้อยกว่าปียังคงคิดถึงมิลืมเลือน ช่างเป็นความรักปักใจจนชวนให้คนเวทนายิ่งนัก”

น้ำเสียงเขาเปี่ยมด้วยแววเสียดสี คางของหวงหร่างถูกบีบจนเจ็บ แต่กลับทำอะไรไม่ได้

นายท่านห้าผู้นี้ยังคิดจะพิจารณาหวงหร่างต่อ ขณะที่เขาจะง้างปากหวงหร่างมองดูให้ถี่ถ้วนนั้นเอง เป้าอู่ก็เอ่ยเสียงขุ่น

“เจ้ากรมไม่อยู่ วัตถุเวทของเขานายท่านห้าอย่าแตะต้องส่งเดชจะดีกว่า!”

พอเขาเอ่ยคำพูดนี้ออกมา หลี่ลู่ก็รู้ว่าไม่ได้การ

จริงดังคาด นายท่านห้าผู้นี้ปล่อยมือจากหวงหร่างและยืดตัวขึ้น ถีบเท้าใส่เป้าอู่ “เจ้านับเป็นตัวอะไร กล้ามาห้ามข้าหรือ!”

เป้าอู่ถูกถีบทีหนึ่งก็รู้สึกไม่ยินยอม มือขยับไปหาดาบเล่มใหญ่ แต่สุดท้ายยังคงมิกล้าลงมือ นายท่านห้ายิ้มหยัน

“เจ้าลูกสุนัข เจ้ายังคิดจะชักดาบใส่ข้าเช่นนั้นรึ”

หลี่ลู่รีบเอ่ยว่า “เขามีหรือจะกล้า เขาวู่วามไร้มารยาทจนเคยตัว นายท่านห้าเป็นผู้ใหญ่จิตใจกว้างขวาง ไม่ถือสาความผิดของผู้น้อย หลี่ลู่ขออภัยนายท่านห้าแทนเขาด้วยขอรับ” กล่าวจบก็ทำท่าจะคุกเข่าลง แต่นายท่านห้าผู้นี้มีหรือจะยอมเลิกรา

เขาชี้หน้าเป้าอู่แล้วตวาดว่า “คุกเข่า!”

เป้าอู่เดือดดาลยากระงับ มือที่กุมดาบสั่นไม่หยุด หลี่ลู่รีบส่งสายตาให้เขา สองฝ่ายเผชิญหน้ากันอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ข้างนอกก็มีคนเอ่ยขึ้น

“ดูทีว่าวันนี้พี่ห้าจะว่างมาก ถึงได้มาเยือนกองเสวียนอู่สั่งสอนผู้ใต้บังคับบัญชาแทนข้า”

ตี้อีชิวกลับมาแล้ว มือเขาหอบหนังสัตว์สีขาวหิมะมากองหนึ่ง พอเข้ามาในห้องแล้วก็วางลงบนโต๊ะ

หัวใจที่ลอยคว้างของหลี่ลู่กลับเข้าที่ทันที เขาพรูลมหายใจยาว คุกเข่าลงบนพื้น ครั้งนี้เป้าอู่ไม่ต้องให้เขาดึงก็คุกเข่าตาม

“เจ้ากรม”

ตี้อีชิวมองคราเดียวก็เห็นรอยแดงบนใบหน้าหวงหร่าง หวงหร่างไม่ได้สัมผัสแสงแดดมาเป็นเวลาสิบปี ผิวพรรณจึงบอบบางผิดจากคนทั่วไป ส่วนพี่ห้าของเขาผู้นี้มือหนักมากจริงๆ รอยแดงนี้จึงสะดุดตาเป็นพิเศษ

ตี้อีชิวแววตาเยียบเย็น แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับเพิ่มมากขึ้น “พี่ห้ามาวันนี้เพราะฝ่าบาททรงมีรับสั่งอะไรใช่หรือไม่”

พี่ห้า? ฝ่าบาท?

ในห้วงสมองของหวงหร่างพลันเกิดประกายหินไฟวาบขึ้นมา นางนึกออกทันใด…ตี้อีชิวผู้นี้ชาติกำเนิดไม่ต่ำต้อย เขาเป็นพระโอรสของซือเวิ่นอวี๋ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน จะว่าไปแล้วก็เป็นองค์ชายพระองค์หนึ่ง

เพียงแต่ซือเวิ่นอวี๋มีพระโอรสพระธิดามากเกินไป องค์ชายมีมากมายดุจสุนัข แน่นอนว่าย่อมกลายเป็นคนไร้คุณค่า

ที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือซือเวิ่นอวี๋แสวงหาหนทางสู่ความเป็นอมตะ จึงไม่ยอมแต่งตั้งรัชทายาทสักที ถึงขั้นกังวลว่าบรรดาพระโอรสทั้งหลายจะมีใจเป็นอื่น จึงบีบคั้นให้องค์ชายเหล่านี้เปลี่ยนชื่อสกุล จากนั้นก็ขับออกจากราชสกุลทีละพระองค์

ด้วยเหตุนี้ฐานะองค์ชายของตี้อีชิวจึงยิ่งไม่มีค่าควรให้เอ่ยถึง

พี่ห้าของตี้อีชิวแค่นเสียงเย็นชา “ได้ยินว่าวันนี้เจ้าใช้ไม้พลองลงทัณฑ์คนของสำนักเซียนอวี้หูที่หน้าตลาด ถึงขั้นขัดแย้งกับตาเฒ่าเซี่ยหลิงปี้นั่นตรงๆ ฝ่าบาทย่อมต้องส่งข้ามาดูว่าใต้เท้าเจ้ากรมซือเทียนอย่างเจ้าองอาจน่าเกรงขามมากเพียงใด”

“ที่แท้เป็นเรื่องนี้เอง” ตี้อีชิวไม่สะทกสะท้าน ยิ้มพลางตอบว่า “ข้าเพียงทำตามพระราชโองการของฝ่าบาท ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของราชสำนักเท่านั้น”

“หึ เจ้าจะล่วงเกินพวกเขาก็ต้องคิดดูให้ดีว่าจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากพวกเขาอย่างไร ใกล้ถึงกำหนดส่งมอบยาลูกกลอนอายุวัฒนะแล้ว ฝ่าบาทไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นด้วยเหตุนี้” เขาพูดพลางยื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าของหวงหร่าง “ของเล่นชิ้นนี้ของเจ้าทำได้ประณีตนัก” แม้เขาจะเอ่ยชม แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยแววดูแคลน “เซี่ยหงเฉินกอดคนจริง เจ้ากลับมากอดวัตถุไร้ชีวิตอยู่ตรงนี้ ไม่เลวจริงๆ”

หวงหร่างอยากหลบมือเขา แต่นางทำไม่ได้ นางรังเกียจคนผู้นี้ รังเกียจทั้งน้ำเสียงและสัมผัสของเขา

พี่ห้าของตี้อีชิวผู้นี้มีเจตนาดูหมิ่นอย่างเห็นได้ชัด ปลายนิ้วของเขาเลื่อนลง ลูบไล้ผ่านลำคอของหวงหร่างหมายจะเปิดคอเสื้อนางออก ตี้อีชิวเดินช้าๆ เข้าไป เสียงดั่งสายลมวสันต์

“ในเมื่อพี่ห้าชื่นชอบ ประเดี๋ยวข้าจะให้คนส่งไปให้ที่จวนของท่าน”

ท่านยอมจำนนเร็วเกินไปแล้วกระมัง…หวงหร่างพูดไม่ออก นางได้แต่คิดเงียบๆ เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เขายังคงคิดจะแก้แค้นข้าอยู่

“ฮ่าๆ เจ้ารู้กาลเทศะทีเดียว ได้” บุรุษผู้นั้นรับคำอย่างฉับไว “เช่นนั้นก็ให้เป้าอู่เป็นคนส่งของมาให้ข้าแล้วกัน”

เห็นได้ชัดว่าเขายังคงแค้นใจกับการกระทำของเป้าอู่เมื่อครู่ เคราะห์ดีที่ข้อเสนอของตี้อีชิวบรรเทาโทสะของเขาได้…ตุ๊กตาตัวนี้แม้จะเป็นของปลอม แต่ประณีตและเสมือนจริงเหลือเกิน ความนุ่มเนียนของผิวหนังและความเย้ายวนของคิ้วตาดึงดูดความสนใจและความคาดหวังของเขาได้อย่างแท้จริง ฝีเท้าของเขาก้าวออกไปข้างนอก เดินไปพลางพูดไปพลาง

“ยาลูกกลอนอายุวัฒนะหลอมไปถึงขั้นใดแล้ว”

ตี้อีชิวถือโอกาสหมุนเก้าอี้ล้อเข็น ทำให้ภาพตรงหน้าของหวงหร่างเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว นางนั่งหันหน้าเข้าหาผนัง ได้แต่จ้องผนังตรงหน้า

หลี่ลู่กับเป้าอู่คุกเข่าอยู่หน้าประตู ส่วนตี้อีชิวเดินออกมากับพี่ห้าของเขา

ตี้อีชิวขยับมือขวาเล็กน้อย น้ำเสียงอ่อนโยน “การหลอมยาลูกกลอนอายุวัฒนะราบรื่นดี ข้าจะพาพี่ห้าไปดู” พอกล่าวถึงตรงนี้เขาก็ชะงัก จากนั้นมือขวาก็เคลื่อนไหวรวดเร็วดั่งสายฟ้า จู่โจมไปยังหัวใจบุรุษตรงหน้า

พี่ห้าของตี้อีชิวรู้สึกได้ จึงตวาดเสียงเกรี้ยวกราด เกล็ดงูชั้นหนึ่งผุดขึ้นบนร่าง แม้จะสกัดไว้ด้วยสองมือ ทว่าไม่ทันการณ์โดยสิ้นเชิง! ได้ยินเพียงเสียงกระดูกหักดังกังวาน สองมือของเขาหักเสียแล้ว ได้แต่ถอยไปข้างหลังจนแผ่นหลังติดผนัง

ตี้อีชิวลงมือว่องไวปานสายลม ใช้สองนิ้วทำลายเกล็ดป้องกันของอีกฝ่าย จากนั้นก็จี้ไปยังหัวใจ กระแสปราณก่อให้เกิดเสียงระเบิดดังต่อเนื่องในร่างกายพี่ห้าของเขา

ลำคอพี่ห้าของเขามีโลหิตทะลักออกมาจากมุมปากหยดลงบนพื้น ตี้อีชิวเก็บมือขวากลับมา มือขวาของเขาปกคลุมด้วยเกล็ดงูสีเขียวตั้งแต่เมื่อใดก็สุดรู้!

ทว่าเพียงพริบตาเดียวเท่านั้นเกล็ดงูบนมือของตี้อีชิวก็เลือนหายไป เขายิ้มพลางเอ่ยเสียงเรียบ “วิชาเลิศล้ำได้ด้วยความเพียร สูญสิ้นเมื่อละเลย พี่ห้าควรตั้งใจฝึกวิชาให้ดี”

“ตี้อีชิว เจ้า! เจ้าถึงกับกล้า…เจ้าไม่กลัวฝ่าบาท…” พี่ห้าของตี้อีชิวไม่อยากจะเชื่อ แต่คำพูดเอ่ยถึงตรงนี้กลับหยุดลง เขาล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง สองขาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นหางงู

จากนั้นเขาก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งงูตนหนึ่ง

“เจ้ากรม…” เป้าอู่เหมือนเพิ่งได้สติกลับมา แม้แต่ชาวยุทธ์อย่างเขายังกดเสียงต่ำลงโดยไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวร้ายแรงยิ่ง

ตี้อีชิวดึงผ้าเช็ดหน้าไหมออกมาเช็ดสองมือของตนเอง ส่วนศพพี่ห้าของเขาดูอ่อนยวบ โพรงอกค่อยๆ มีโลหิตสีแดงซึมออกมา…ตี้อีชิวเพียงแค่ใช้ปลายนิ้วจิ้มลงไป เกล็ดงูที่แข็งแกร่งมิอาจทำลายก็แตกออก

หลี่ลู่เหมือนเพิ่งได้สติกลับมา เขารีบลุกไปปิดประตูแล้วเตือนว่า “เจ้ากรม นายท่านห้าตายที่นี่ ฝ่าบาทจะต้องสืบสาวราวเรื่องเป็นแน่!”

คำพูดของเขาเจือน้ำเสียงร้อนรนอยู่มากทีเดียว

ตี้อีชิวเช็ดมือทั้งสองข้างอย่างจริงจังคราหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ตัวข้าเองก็มิได้อยากจะส่งแขกเช่นนี้ จนใจที่พี่ห้าของข้าใจร้อน อดทนรอมิได้สักชั่วขณะเดียว”

ระหว่างที่พูดเขาก็ชี้ไปยังกระถางบุปผาตรงมุมห้อง เถาอวบหนาของบุปผานั่นเกี่ยวพันท่อนไม้ท่อนหนึ่งอยู่ ดอกคล้ายดอกผักบุ้ง บานสะพรั่งงดงาม

หลี่ลู่เข้าใจจึงส่งสายตาให้เป้าอู่ เป้าอู่ยังคงตกตะลึง แต่ยามนี้ได้สติกลับมาแล้ว จากนั้นเขากับหลี่ลู่ก็ช่วยกันแบกศพบนพื้นขึ้นมาแล้วลากไปตรงหน้าบุปผานั่น

บุปผาดอกนั้นแรกเริ่มยังคงสงบนิ่ง เหมือนเถาบุปผาทั่วไป แต่เมื่อสัมผัสกับศพ ดอกก็ผลิบานเต็มที่ มันยื่นเถายาวเหยียดออกมาห่อหุ้มศพ ทั้งเกี่ยวพันและดูดกลืน ไม่นานนักก็ลากศพที่เหมือนสัตว์ประหลาดร่างนี้ลงไปในกระถาง

เมื่อเสร็จสิ้นแล้วตี้อีชิวก็ไปนั่งหลังโต๊ะทำงาน ถามเป้าอู่ว่า “จิตใจของราษฎรข้างนอกเป็นอย่างไร”

“หา?” เป้าอู่เพิ่งจะดึงความคิดออกมาจากการสังหารเมื่อครู่นี้ได้ จึงรีบตอบว่า “ผู้น้อยอยู่ข้างนอกเดือนกว่า เดินทางท่องไปสามเมือง บัดนี้สำนักเซียนอวี้หูป่าวประกาศวิถีการฝึกบำเพ็ญเป็นเซียนอย่างเอิกเกริก ทำให้พวกชาวบ้านไม่สนใจการเพาะปลูก แต่ละคนมุ่งหวังจะฝึกบำเพ็ญเป็นเซียน อีกทั้งนักพรตหมอเวทในหมู่ชาวบ้านหลอมยาลูกกลอนปลอม เกิดเหตุการณ์ที่คนถูกพิษหลายครั้งหลายครา ราชสำนักควรลงโทษอย่างเข้มงวด”

กล่าวจบเขาก็ยื่นสำนวนคดีจากที่ต่างๆ ให้

ตี้อีชิวให้เขาวางลงบนโต๊ะ “สำนักเซียนอวี้หูเป็นไม้ใหญ่ที่รากหยั่งลึก คนทั่วไปยากที่จะสั่นคลอนได้ ทำได้เพียงรวบรวมความผิดไว้ก่อนแล้วเฝ้ารอโอกาส”

แน่นอนว่าเป้าอู่ก็รู้เช่นกัน ฝ่ายนั้นเป็นถึงสำนักเซียนดั้งเดิม ท่านเซียนผู้เฒ่าในสำนักอายุพันแปดร้อยปี กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องปกติ ในขณะที่กรมซือเทียนก่อตั้งมาได้แค่ร้อยกว่าปีเท่านั้น แม้จะรวบรวมผู้มีความสามารถได้จำนวนหนึ่ง แต่จะต่อกรกับอีกฝ่ายซึ่งหน้าได้อย่างไร

เขาได้แต่ตอบว่า “ผู้น้อยเข้าใจแล้วขอรับ อ้อ จริงด้วย ระหว่างการเดินทางผู้น้อยพบสายลับของสำนักเซียนอวี้หูอีกแล้ว พวกเขากำลังสืบหาสตรีผู้หนึ่งอย่างลับๆ ว่ากันว่าน้องสาวของฮูหยินประมุขสำนักหายตัวไป รูปโฉมนางคล้ายคลึงกับฮูหยิน ทั้งยังเชี่ยวชาญการปรับปรุงเมล็ดพันธุ์จำหน่าย สำนักเซียนอวี้หูตามหาคนมาหลายปีแล้ว จะว่าไปแล้วเซี่ยหงเฉินนับว่าใส่ใจฮูหยินของเขาทีเดียว แค่น้องภรรยายังยินดีส่งสายลับออกตามหาไปทั่ว”

ตี้อีชิวส่งเสียงตอบรับ สายตากวาดมองไปยังหวงหร่างตรงมุมห้องโดยมิได้เอ่ยอะไร เขาคลี่หนังสัตว์บนโต๊ะออก เป้าอู่อดมองดูอย่างละเอียดมิได้ นั่นเป็นหนังกระต่ายที่ฟอกแล้วหลายผืน หนังกระต่ายมีสีขาวราวหิมะ ขนนุ่มลื่น เป็นของที่เจ้ากรมนำกลับมาจากการล่าสัตว์ในอุทยานหลวงครั้งก่อน

เป้าอู่มิได้ใส่ใจนัก ยังคงบอกเล่าสิ่งที่พบเจอมาตลอดทางให้เขาฟัง

หลี่ลู่ชงชาให้ทั้งสองคน จากนั้นทั้งสามคนก็นั่งสนทนากันในห้องอย่างหาได้ยาก

“เมื่อเร็วๆ นี้ขุนนางผู้น้อยเดินทางผ่านเมืองซื่อเฮ่อ มีสิบกว่าครัวเรือนมาแจ้งความเรื่องเด็กหาย ขุนนางผู้น้อยนำคนไปซักถามอย่างละเอียด พบว่ามีคนปลอมตัวเป็นศิษย์สำนักเซียนอวี้หู ใช้การคารวะเข้าเป็นศิษย์สำนักเซียนอวี้หูเป็นเหยื่อล่อแล้วลักพาตัวเด็กเหล่านั้นไป พอบิดามารดาอยากพบหน้าบุตรของตนและเดินทางไปสำนักเซียนอวี้หูกลับพบว่าไม่มีเรื่องเช่นนี้โดยสิ้นเชิง” น้ำเสียงของเป้าอู่ฟังดูกังวลยิ่ง

ตี้อีชิวสนเข็มร้อยด้าย หยิบไข่มุกถุงหนึ่งออกมาแล้วเริ่มเย็บหนังกระต่ายเหล่านั้น มือคู่นี้ของเขานับเป็นหนึ่งในของล้ำค่าของกรมซือเทียนรวมถึงราชสำนัก เชี่ยวชาญการสรรค์สร้างวัตถุเวทแปลกใหม่นานาชนิดเป็นพิเศษ สำหรับเขาแล้วการวาดแบบร่างวัตถุเวทหรือทำงานเย็บปักเป็นเพียงเรื่องเล็กเท่านั้น

ยามนี้เขาใช้ใยน้ำแข็งแทนเส้นด้ายร้อยไข่มุก ปักลายตรงกึ่งกลางระหว่างหนังกระต่ายสองผืนให้เป็นบุปผาหิมะดอกแล้วดอกเล่า งดงามประณีตอย่างยิ่ง

เขาก้มหน้าก้มตาเย็บหนังกระต่าย หลี่ลู่จึงได้แต่ถามเป้าอู่ “เจ้าไม่ได้สืบหาร่องรอยของโจรพวกนั้นหรือ”

เป้าอู่จุปากคราหนึ่ง ยืดอกตอบว่า “เหลวไหล! ข้าเหล่าเป้าเป็นพวกนิ่งดูดายไม่สนใจความทุกข์ร้อนของคนอื่นหรือ! ข้าส่งคนไปสืบหาเบาะแสทันที แต่โจรพวกนั้นกลับไม่ทิ้งเงื่อนงำใดๆ ไว้สักนิด”

หลี่ลู่หันไปมองตี้อีชิว สีหน้าเคร่งเครียด “ช่วงนี้ก็มีหลายแห่งเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกัน แรกเริ่มที่ว่าการอำเภอจัดให้เป็นคดีคนหาย เพียงส่งมือปราบไปตรวจสอบ มิได้รายงานเข้ามายังกรมซือเทียน”

ตี้อีชิวไม่เอ่ยอะไร เป้าอู่อดรนทนไม่ไหวแล้ว “เจ้ากรม ข้าจะเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ แล้วโยกย้ายสำนวนคดีมาเสีย รวบรวมคดีคนหายเหล่านี้และสืบดูอย่างละเอียดอีกครั้ง ข้าไม่เชื่อว่าโจรพวกนั้นจะเหาะขึ้นสวรรค์หรือดำดินหลบหนีไปได้”

ถึงกระนั้นตี้อีชิวยังคงก้มหน้าเย็บหนังกระต่าย เนิ่นนานจึงเอ่ยถามกะทันหัน “ช่วงนี้ทางด้านเจดีย์หยวนหรงมีความเคลื่อนไหวใดบ้าง”

…เขามักจะชอบใช้ความคิดระหว่างการทำวัตถุเวท หนึ่งใจใช้สองทางโดยไม่ได้รับผลกระทบสักนิด

“เจดีย์หยวนหรงหรือ” หลี่ลู่ขมวดคิ้ว เพื่อความเป็นอมตะ ซือเวิ่นอวี๋ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจึงมิได้ออกว่าราชการหลายปีแล้ว บัดนี้พำนักอยู่ในเจดีย์หยวนหรง หลี่ลู่ตื่นตระหนก เอ่ยเสียงค่อย “เจ้ากรมสงสัยว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฝ่าบาทหรือขอรับ”

ตี้อีชิวไม่ตอบ เอ่ยเพียงว่า “บัดนี้กรมซือเทียนและสำนักเซียนอวี้หูมีหูตามากมาย ในเมื่อผู้ลงมือกล้าแอบอ้างฐานะของสำนักเซียนอวี้หู ทั้งยังไม่เปิดเผยร่องรอย ย่อมต้องมีคนหนุนหลัง อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น โยกย้ายสำนวนคดีมาและสืบอย่างลับๆ”

หลี่ลู่รับคำก่อนจะถอยออกไปพร้อมเป้าอู่

เมื่อออกจากประตูไป เป้าอู่จึงเอ่ยว่า “วันนี้นายท่านห้านับว่าเคราะห์ร้าย จะว่าไปก็แปลก สารเลวผู้นี้ยโสโอหังมาแต่ไหนแต่ไร วางโตในกรมซือเทียนมานาน ที่ผ่านมาเจ้ากรมไม่ถือสาหาความเขา วันนี้เหตุใดจู่ๆ ถึง…” เขาทำท่าปาดคอ

“ชู่” หลี่ลู่ทำมือบอกให้อีกฝ่ายเงียบ แสดงท่าทีไม่ให้เขาพูดอีก

เป้าอู่คิดถึงสภาพการตายของนายท่านห้าเมื่อครู่นี้แล้วก็หัวเราะอีกครั้ง “ไม่ต้องสนใจว่าเพราะเหตุใด สารเลวผู้นั้นสมควรตายนานแล้ว ปกติเห่าหอนไปทั่ว สุดท้ายถูกจัดการด้วยมือของเจ้ากรมของเราแค่คราเดียว หึ หากจะให้พูดถึงวันนี้ เจ้ากรมของเรากล่าวได้ว่าได้โอกาสแสดงฝีมือแล้ว เขาแสดงฝีมือให้ข้าเหล่าเป้าได้เห็นอย่างแท้จริง!”

“รองเจ้ากรมเป้า” หลี่ลู่ทำหน้าเอือมระอา “วาจาหยาบคายเกินไปแล้ว!”

บทที่ 6 ฉาบกำแพง

พอหลี่ลู่กับเป้าอู่ออกไป ในห้องประชุมก็เงียบสงบ หวงหร่างรู้สึกว่าเก้าอี้ล้อเข็นหมุน นางนั่งหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง

ตี้อีชิวยังคงนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน จดจ่อกับการเย็บหนังกระต่าย

ท้องฟ้าข้างนอกเริ่มมีเกล็ดหิมะโปรยปรายตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ตกไม่หนักนัก ดั่งฝุ่นผงและเม็ดเกลือ พร่างพรมลงมาดุจสายพิรุณ

หวงหร่างจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง นึกถึงคำพูดของเป้าอู่เมื่อครู่นี้ เซี่ยหงเฉินส่งคนออกไปสืบหาเบาะแสน้องสาวคนหนึ่งของนาง แน่นอนว่านี่คือการตามหานาง เพียงแต่เซี่ยหงเฉินผู้นั้นห่วงชื่อเสียงและหน้าตาของสำนักมาโดยตลอด ดังนั้นเรื่องที่ภรรยาของตนหายตัวไป เขาไม่มีทางประกาศกับภายนอกแน่นอน

หิมะนอกหน้าต่างโปรยปรายลงมา หวงหร่างเริ่มเหม่อลอย คล้ายมองเห็นหิมะแรกที่หอฉีลู่ ทุกปีเมื่อถึงฤดูกาลนี้ สระไป๋ลู่จะเริ่มจับตัวเป็นน้ำแข็ง นางมักจะไปเก็บเศษน้ำแข็งส่วนหนึ่งมาทำอาหารอย่างประณีตให้เซี่ยหงเฉิน

แต่ความจริงแล้วเซี่ยหงเฉินไม่ค่อยมา อาหารเหล่านั้นบางครั้งนางให้คนส่งไปที่ยอดเขาเตี่ยนชุ่ยซึ่งเป็นที่พำนักของเขา แต่บ่อยครั้งนางต้องแบ่งให้ศิษย์ในสำนัก ยามนั้นศิษย์สำนักเซียนอวี้หูต่างชื่นชอบฤดูหนาว พวกเขาจะมอบวัตถุดิบนานาชนิดให้นาง เพื่อให้อาจารย์หญิงศึกษาค้นคว้าการทำอาหารและขนม

บางครั้งเมื่อชาวบ้านประสบภัย หวงหร่างจะนำศิษย์ไปแจกโจ๊ก มอบยารักษาโรคที่ตีนเขา เรื่องเหล่านี้แน่นอนว่าเป็นการผลาญเงินทองของสำนักเซียนอวี้หู ส่วนนางได้ชื่อเสียงบารมี ดังนั้นเซี่ยหงเฉินจึงไม่มีทางมองนางใหม่เพราะเรื่องแค่นี้อยู่แล้ว ถึงขั้นรู้สึกรังเกียจนางด้วยซ้ำ

เพียงแต่เขาพยายามข่มความไม่พอใจไว้…หวงหร่างทำเรื่องพวกนี้ อย่างไรก็ช่วยเหลือผู้คนได้ไม่น้อย หาใช่เรื่องเลวร้ายแต่อย่างใด

ดังนั้นในสายตาของทุกคน ประมุขสำนักเซียนอวี้หูและฮูหยินจึงรักใคร่ใกล้ชิดกันมาโดยตลอด มีเพียงหวงหร่างที่รู้ว่าในใจของเซี่ยหงเฉินเก็บงำความรู้สึกดูแคลนนางไว้ นี่คือกำแพงน้ำแข็งระหว่างนางกับเขา สุดท้ายกลายเป็นความรู้ดีแก่ใจระหว่างสองคนที่มิต้องเอ่ยออกมา

หากเขาไม่มา นางก็ไม่อาจไปเชิญเขามาได้

ในหอฉีลู่นางสามารถโปรยเสน่ห์ใส่เขา สามารถยั่วยวนเขา แต่ในสถานที่อื่นนอกเหนือจากหอฉีลู่นางจำต้องเป็นฮูหยินประมุขสำนักที่สง่างามและวางตัวอย่างเหมาะสม

ส่วนยอดเขาเตี่ยนชุ่ย หากไม่มีธุระใดนางไม่สามารถเข้าไปได้

เรื่องราวในวันวานแปรเปลี่ยนเป็นกระดาษเหลืองซีดแผ่นแล้วแผ่นเล่า หวงหร่างเหม่อลอยอยู่พักหนึ่ง ตี้อีชิวเย็บหนังกระต่ายเสร็จไปหลายผืนแล้ว เขาเดินมาตรงหน้าหวงหร่าง นำผ้าห่มผืนบางที่เย็บจากหนังกระต่ายวางลงบนตักนาง ความจริงแล้วหวงหร่างไม่รู้สึกหนาว แต่มีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้เขาคิดว่านางหนาว

ตี้อีชิวเข็นนางให้ถอยออกมาอยู่ข้างหน้าต่าง เปิดขวดและกระปุกเหล่านั้นที่เขาเพิ่งซื้อมาในวันนี้

หวงหร่างเห็นหลี่ลู่ถือเข้ามาแต่แรกแล้ว แต่ไม่รู้ว่าคือสิ่งใด บัดนี้เมื่อตี้อีชิวเปิดออกแล้วได้กลิ่นหอม นางจึงรู้ว่าข้าวของเหล่านี้ล้วนเป็นแป้งชาดน้ำมันหอมทั้งสิ้น!

อาจารย์ชิวย้ายเก้าอี้มานั่งลงตรงข้ามนาง หวงหร่างเบิกตามองเขาเปิดฝาตลับแป้งผัดหน้า จากนั้นเขาก็หยิบถ้วยชาใบหนึ่งมา เติมน้ำลงไปเล็กน้อย ผสมผงแป้งกับน้ำ

“???” หวงหร่างเต็มไปด้วยคำถามในใจ

ต่อจากนั้นตี้อีชิวก็นำผงแป้งที่ผสมเสร็จทาลงบนใบหน้านาง

ท่านทำอะไรของท่าน!! รูม่านตาของหวงหร่างขยายออกโดยพลัน…แป้งผัดหน้าตลับนั้นไม่ได้ใช้เช่นนี้!! หยุด! นี่ท่านกำลังฉาบกำแพงต่างหาก!

แต่อาจารย์ชิวกลับลงมืออย่างตั้งอกตั้งใจ

ด้วยเหตุนี้เองเมื่อเขาละเลงแป้งทั้งหมดในตลับลงบนใบหน้าหวงหร่าง พอพินิจดูครู่หนึ่งร่างกายก็พลันหนาวสะท้าน ต่อจากนั้นเขาก็สั่งให้คนยกน้ำร้อนเข้ามา ตอนบ่าวรับใช้ยกน้ำร้อนเข้ามาแล้วเหลือบเห็นหวงหร่างก็ตกตะลึงไปเช่นกัน แต่เคราะห์ดีที่ฝึกฝนตนเองจนชำนาญแล้ว อ่างน้ำในมือจึงไม่ร่วงหล่นลงไปบนพื้น

ตี้อีชิวเอาผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดใบหน้าหวงหร่างอย่างพิถีพิถัน หลังจากล้างหน้าจนสะอาดเขาก็เอาผงชาดผสมน้ำทำเป็นสีละเลงใบหน้านางต่อ

หวงหร่างใจสั่นสะท้าน ทว่านางไม่มีหนทางอื่น! ตี้อีชิวใช้ท้องนิ้วเกลี่ยสี ภายหลังเขาคงรู้สึกว่าไม่สะดวกจึงคว้าพู่กันบนโต๊ะทำงานขึ้นมา พู่กันเหล่านั้นมีทั้งแบบหนาและแบบบาง เขาทดลองใช้ทั้งหมด

นี่มันใบหน้าของข้า!! หวงหร่างโมโหจนมือเท้าเย็นเฉียบ

ใต้เท้าเจ้ากรมซือเทียนรังสรรค์ผลงานชิ้นเอกจนสำเร็จอีกครั้ง เขาวางสีผึ้งทาปากและลุกขึ้นยืน พินิจใบหน้านางอย่างเคร่งขรึมอีกครั้ง

หวงหร่างกล้าเดิมพันว่านางเห็นมุมปากของตี้อีชิวยกขึ้นเล็กน้อย…สุนัขตัวนี้ เขากำลังยิ้ม!

บ่าวรับใช้ด้านข้างแม้จะค้อมกายอยู่ แต่สุดท้ายก็ยากจะข่มความอยากรู้อยากเห็น จึงเงยหน้าขึ้นชำเลืองมองหวงหร่างคราหนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าลงทันที สองไหล่สั่นระรัว หวงหร่างทำอะไรไม่ได้โดยสิ้นเชิง

ข้างนอกหิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ พื้นดินเริ่มเป็นสีขาว

ภายในห้องประชุมมีอ่างไฟให้ความอบอุ่น ตี้อีชิวล้างหน้าให้นางอีกรอบ จากนั้นก็ใช้พู่กันแต้มชาดแล้วละเลงจนทั่วใบหน้านาง สุดท้ายดูเหมือนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร อาจารย์ชิวจึงใช้พู่กันแต้มสีผึ้งทาปากอีก วาดหนวดสามเส้นข้างริมฝีปากหวงหร่าง อาศัยสิ่งนี้กอบกู้ศักดิ์ศรีให้นาง

คนร้ายกาจเช่นท่าน หากตายไปหญ้าบนหลุมศพคงยาวถึงหนึ่งจั้งห้าฉื่อ! หวงหร่างได้แต่ก่นด่าในใจ

จริงดังคาด ใต้เท้าเจ้ากรมกำลังเรียนรู้วิธีประทินโฉมข้างหน้าต่าง หลังจากยุ่งวุ่นวายมาตลอดทั้งบ่าย เขาก็เรียกสาวใช้ที่เหมือนหุ่นซึ่งเคยเกล้ามวยให้นางครั้งก่อนเข้ามา

สาวใช้คนนั้นมุมปากกระตุก นางประทินโฉมสางผมให้หวงหร่างใหม่ทั้งหมด ใต้เท้าเจ้ากรมถือชาร้อนถ้วยหนึ่ง นั่งสังเกตการณ์อยู่ด้านข้าง หวงหร่างรู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างไร้สาระจริงๆ

 

เมืองหลวงชั้นใน จวนจงกั๋วกง*

จงกั๋วกงเป็นขุนนางเก่าแก่ในราชสำนัก ติดตามซือเวิ่นอวี๋บุกเบิกแผ่นดินมาโดยตลอด บัดนี้ซือเวิ่นอวี๋สนใจแต่การแสวงหาหนทางสู่ความเป็นอมตะ แต่ก็ยังดูแลเขาไม่น้อย ดังนั้นแม้เขาจะอายุหนึ่งร้อยยี่สิบปีแล้ว แต่กลับเหมือนคนอายุหกสิบปีเท่านั้น

เขาเป็นคนที่เคยเข้าสู่สมรภูมิรบมาก่อน แม้จะปลดเกราะมาหลายปี แต่ท่วงทียังคงผึ่งผาย

ยามนี้เขากำลังฝึกหมัดมวยอยู่ในลานเรือน ลมจากกำปั้นยังคงน่าเกรงขราม จงกั๋วกงพึงพอใจอย่างยิ่ง

จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าศีรษะหนักอึ้งวิงเวียน ทันใดนั้นคนผู้หนึ่งก็มายืนอยู่ตรงหน้า

คนผู้นี้สวมอาภรณ์สีขาวดุจเมฆา ผูกสนับไหล่สีฟ้า คาดสายคาดเอวห้อยหยก เขาค้อมศีรษะให้จงกั๋วกงน้อยๆ แล้วเอ่ยอย่างสุภาพ

“ท่านกั๋วกงสบายดีหรือไม่”

“ท่าน…” จงกั๋วกงรู้สึกว่าสีสันเบื้องหน้าละลานตา จึงอดถอยหลังมิได้ จากนั้นก็ตระหนักได้โดยพลัน “เซี่ยหงเฉิน!”

มิผิด คนผู้นี้คือประมุขสำนักเซียนอวี้หู เซี่ยหงเฉิน!

ในอดีตตอนที่จงกั๋วกงอารักขาซือเวิ่นอวี๋ก็เคยเข้าออกสำนักเซียนเช่นกัน

หัวใจเขาจมดิ่ง อยากจะร้องเรียกองครักษ์ แต่ชั่วขณะนี้เขามิอาจขยับตัวได้ คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือเซี่ยหงเฉิน องครักษ์ทั่วทั้งจวนของเขาจะทำอะไรอีกฝ่ายได้ เขาจึงตัดสินใจถามออกไป

“ประมุขสำนักเซี่ยเป็นเซียนซือที่อยู่เหนือโลกีย์ วันนี้มาเยือนจวนอันอัตคัดของข้า มิทราบมีสิ่งใดจะชี้แนะหรือ”

ระหว่างที่พูดเขาก็พิจารณาคนจากสำนักเซียนที่ยังดูหนุ่มแน่นผู้นี้ ครั้งก่อนที่พบอีกฝ่ายคือเมื่อสี่สิบปีก่อน หลังผ่านฝนหิมะพายุน้ำแข็งตลอดสี่สิบปี เซี่ยหงเฉินกลับไม่แก่ชราลงแม้แต่น้อย ท่วงทีเหมือนคนหนุ่มอายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี ยังคงสง่างามล้ำเลิศ

ได้ยินมาว่าคนจากสำนักเซียนเหล่านี้อายุขัยอย่างต่ำก็หนึ่งพันแปดร้อยปี มิน่าเล่าฝ่าบาทถึงได้เอาแต่สนพระทัยเรื่องความเป็นอมตะจนกลายเป็นคลุ้มคลั่ง จงกั๋วกงคิดเงียบๆ ในใจ

“ท่านกั๋วกงอย่าได้ตกใจไป” แววตาของเซี่ยหงเฉินราบเรียบ แต่ราวกับมีพลังมองทะลุจิตใจคนได้ เขาเอ่ยปากปลอบโยน “ข้าผู้แซ่เซี่ยมาเยือนวันนี้หาได้มีเจตนาร้ายไม่ ขอรบกวนท่านกั๋วกงสักครู่เท่านั้น มิจำเป็นต้องให้คนในจวนวุ่นวายไปด้วย”

เซี่ยหงเฉินผู้นี้มีฐานะและตำแหน่งสูงส่งในสำนักเซียน มิเพียงเพราะเขาเล่าเรียนมาจากสำนักชื่อดัง พลังวัตรล้ำลึก แต่ที่มากกว่านั้นคือเขาสำรวมและมีวินัยในตนเอง ถ่อมตนรอบคอบ รู้กาลเทศะ

…ต่อให้จุดยืนแตกต่าง เขาก็ไม่มีทางสร้างความลำบากใจให้ตนที่เป็นเพียงปุถุชน

จงกั๋วกงถือตัวว่าสูงส่งมาโดยตลอด แต่ขณะนี้เขากลับเหมือนหิ่งห้อยที่ประชันแสงกับจันทรา เกิดความรู้สึกอับอายที่ตนมิอาจเทียบผู้อื่นได้ หลังเขาจึงไม่เหยียดตรงถึงเพียงนั้นอีก ประสานมือคารวะแล้วเอ่ยขึ้น

“เชิญประมุขสำนักเซี่ยเข้าไปดื่มชาข้างในเถิด”

เซี่ยหงเฉินมิได้ปฏิเสธอย่างเหนือความคาดหมาย เขาตามจงกั๋วกงเข้าไปข้างใน

เดิมทีคนเช่นเขาเมื่อเหยียบย่างเข้ามาในสถานที่ต้อยต่ำเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องทักทายปราศรัยกับคนระดับจงกั๋วกงด้วยซ้ำ แต่เขากลับทำตรงกันข้าม รับชาที่บ่าวรับใช้ส่งให้ ดื่มคำหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น

“เป็นชาใหม่จากเขาชูอู้ มีชื่อว่าหนึ่งเสี้ยวใจ”

“หา?” จงกั๋วกงนิ่งงันไป เดิมทีคิดว่าเซี่ยหงเฉินฝืนใจเข้ามาข้างในตามมารยาทเท่านั้น มิคาดคิดว่าเขาจะร่วมดื่มด่ำรสชาไปกับตนจริงๆ จงกั๋วกงรู้สึกว้าวุ่นใจอยู่บ้าง ได้แต่เอ่ยตอบ

“ใช่แล้ว ประมุขสำนักเซี่ยช่างรอบรู้ น่าเลื่อมใสยิ่งนัก”

เขายกยออีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว เซี่ยหงเฉินกลับพูดขึ้นกะทันหัน “ชานี้เป็นชาสายพันธุ์ดัดแปลงที่ฮูหยินข้าปรับปรุงขึ้นเองกับมือเมื่อหกสิบปีก่อน เนื่องจากทดสอบใบชากับนางอยู่ตลอด ข้าจึงจำได้”

“อ้อ” จงกั๋วกงพลันกระจ่างแจ้ง ใช่แล้ว ฮูหยินของเซี่ยหงเฉินเชี่ยวชาญการปรับปรุงพันธุ์พืชที่สุด ชาหนึ่งเสี้ยวใจนี้ก็เป็นฝีมือฮูหยินของเขาหรือ เขาจึงยิ้มพลางเอ่ยว่า “แกว่งขวานหน้าบ้านหลู่ปันแท้ๆ ทำให้ประมุขสำนักเซี่ยขบขันแล้ว”

ยามกล่าวเช่นนี้จงกั๋วกงดูผ่อนคลายลง เซี่ยหงเฉินดื่มชาอีกคำแล้วเอ่ยว่า “หลายปีมานี้สำนักเซียนกับราชสำนักไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กัน เลี่ยงมิได้ที่จะเกิดความบกพร่องบางประการ แต่กับเรื่องของฝ่าบาท สำนักเซียนใส่ใจมาโดยตลอด”

ยามเซี่ยหงเฉินพูดจาดูไม่หยิ่งยโสและไม่วางตนต้อยต่ำ ให้ความรู้สึกเปิดเผยจริงใจต่อผู้อื่น ทั้งยังไม่มีความรู้สึกของผู้สูงส่งที่อยู่เหนือกว่าอย่างเซี่ยหลิงปี้และไม่มีความแปลกประหลาดยากจะคาดเดาอย่างซือเวิ่นอวี๋ ทำให้คนเกิดความรู้สึกดีต่อเขา

จงกั๋วกงรีบประสานมือเอ่ยว่า “ประมุขสำนักเซี่ยมีใจห่วงใยใต้หล้า เปี่ยมด้วยเมตตาและคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่โดยแท้”

ในที่สุดเซี่ยหงเฉินก็เข้าประเด็นสักที เขากล่าวว่า “คุณธรรมที่ยิ่งใหญ่นั้นมิกล้ารับ แต่ฝ่าบาทเสวยยาลูกกลอนอายุวัฒนะมาหลายปี ข้าฟังแล้วรู้สึกสนใจ จึงเคยไหว้วานสหายเก่าให้หาตำรับยามาให้”

ร้ายกาจยิ่งนัก จงกั๋วกงลอบอุทานในใจ ตำรับยาลูกกลอนอายุวัฒนะเป็นความลับเพียงใด ท่านแค่ไหว้วานสหายเก่าง่ายๆ เพียงคำเดียวก็หามาได้แล้ว ราวกับหาตำรับยาลูกกลอนต้าลี่** อย่างไรอย่างนั้น

“ตำรับยานั้นไม่เลว แม้จะสิ้นเปลืองเวลาและกำลัง แต่กลับให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง ทุกคนในสำนักเซียนล้วนภาวนาให้ฝ่าบาทอายุขัยไร้ที่สิ้นสุด แผ่นดินดำรงอยู่อีกหมื่นปี” เสียงของเขาเป็นจังหวะ ไพเราะกังวาน จงกั๋วกงรู้ว่าคำพูดต่อจากนี้คือประเด็นสำคัญ เขาจึงรีบตั้งใจฟัง

จริงดังคาด เซี่ยหงเฉินชะงักไปเล็กน้อยก่อนพูดว่า “เพียงแต่ยาลูกกลอนอายุวัฒนะในปีนี้ ข้าเห็นปราณลูกกลอนจากที่ไกลๆ แล้วผิดปกติยิ่งนัก เนื่องจากไม่สะดวกจะไปถามกรมซือเทียน ทว่าในใจก็มีความกังวล จึงได้แต่ฝากให้จงกั๋วกงนำความไปทูลฝ่าบาท”

“อะ…อะไรนะ!” จงกั๋วกงตกตะลึง…อะไรคือปราณลูกกลอนผิดปกติ เขาขมวดคิ้ว “ตำรับยาลูกกลอนอายุวัฒนะมิได้มีการปรับแก้แต่อย่างใด”

เซี่ยหงเฉินกล่าว “หากมิได้มีการปรับแก้ เช่นนั้นก็น่าสงสัยนัก ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงราชสำนักและฝ่าบาท ข้าผู้แซ่เซี่ยไม่สะดวกจะวิพากษ์วิจารณ์ เกรงว่าท่านกั๋วกงคงต้องใส่ใจให้มากสักหน่อยแล้ว” กล่าวจบเขาก็ลุกขึ้นประสานมือเอ่ยอย่างมีมารยาท “ข้าผู้แซ่เซี่ยกล่าวได้เพียงเท่านี้ ตำรับยาไม่เหมือนสิ่งอื่น มิหนำซ้ำยังเกี่ยวพันถึงพระวรกายของฝ่าบาท ท่านกั๋วกงจำต้องระมัดระวังให้มาก หากมีความจำเป็น สำนักเซียนอวี้หูยินดีทดสอบยาลูกกลอนให้ฝ่าบาท” จากนั้นเขาก็พูดต่อ “วันนี้ได้รับชาชั้นเลิศจากท่านกั๋วกง ข้าผู้แซ่เซี่ยซาบซึ้งใจยิ่งนัก” เขาคล้ายมีความในใจ สีหน้าหม่นหมองไม่น้อย “แต่น่าเสียดายที่ฮูหยินของข้าล้มป่วย รอให้นางหายดี ข้าผู้แซ่เซี่ยจะต้องเชิญท่านกั๋วกงมาลิ้มรสชาด้วยกันอีกแน่นอน”

กล่าวจบเขาก็ค้อมกายเล็กน้อย จากนั้นจงกั๋วกงก็รู้สึกว่าประกายแสงตรงหน้าแตกกระจาย ครั้นรู้สึกตัว ภาพตรงหน้าก็กลับกลายเป็นหิมะโปรยปราย

หิมะตกแล้ว เขายังคงยืนอยู่กลางลานเรือนทำท่าหมัดมวยอยู่ มีเซี่ยหงเฉินอะไรที่ใดกัน!

“นายท่าน? นายท่าน?” ฮูหยินของเขาร้องเรียกอยู่นานที่ใต้ชายคา ในที่สุดเขาก็ได้สติกลับมา ทว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ยังฉายชัดอยู่ตรงหน้า จะเป็นเรื่องเท็จไปได้อย่างไร

จงกั๋วกงไม่อยากจะเชื่อว่า…เขาถึงกับฝันไปหรือนี่!

เขากลับเข้าไปในห้องโถงรับแขก ความคิดจิตใจยังคงเลื่อนลอย แต่เมื่อมองไปที่โต๊ะก็ตกตะลึงทันใด

ในห้องโถงรับแขกมีถ้วยชาสองใบ บนโต๊ะหลักหนึ่งใบ บนโต๊ะแขกอีกหนึ่งใบ จงกั๋วกงใช้นิ้วมือแตะดู ชาในถ้วยยังไม่เย็น จงกั๋วกงจึงหันไปถามฮูหยิน

“เจ้าเคยได้ยินชื่อหนึ่งเสี้ยวใจบ้างหรือไม่”

ฮูหยินกั๋วกงก้าวเข้ามา ปัดหิมะที่เกาะอยู่บนร่างเขาออกพลางตำหนิ “หนึ่งเสี้ยวใจจากเขาชูอู้เป็นชาเลื่องชื่อ แต่ละปีเก็บเกี่ยวใบชาได้เพียงสองชั่ง* หายากยิ่งนัก เหตุใดนายท่านถึงลืมเรื่องนี้ไปได้เล่า”

จงกั๋วกงถาม “ชาหนึ่งเสี้ยวใจนี้ใครเป็นคนปรับปรุงขึ้น”

ฮูหยินตอบ “ฮูหยินประมุขสำนักเซียนอวี้หู นามว่าหวงหร่าง สมัยที่นางยังไม่ออกเรือนเคยเป็นนักปรับปรุงพันธุ์พืชที่ลือนาม ทว่าหลังจากแต่งเข้าสำนักเซียนนางก็ไม่ลงแปลงเพาะปลูกด้วยตนเองอีก ชาหนึ่งเสี้ยวใจนี้ได้ยินว่าเป็นเพราะประมุขสำนักเซี่ยชื่นชอบชา นางจึงลงมือปรับปรุงพันธุ์ด้วยตนเอง เนื่องจากทำขึ้นเพื่อให้สามีดื่มเท่านั้น จึงมิได้คำนึงถึงปริมาณของผลเก็บเกี่ยวที่ได้ ภายหลังเนื่องจากชานี้โด่งดัง ถูกคนขอต้นกล้าไป จึงได้กระจายสู่ชาวบ้าน”

จงกั๋วกงสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่กลับถามว่า “เซี่ยฮูหยินล้มป่วยอยู่ใช่หรือไม่”

“นายท่านรู้ได้อย่างไร” ฮูหยินทำหน้าฉงน “ตอนนี้เซี่ยฮูหยินล้มป่วยอยู่จริงๆ ไม่พบแขกมาหลายปีแล้ว”

จงกั๋วกงฟังฮูหยินพูด ในใจก็ตื่นตระหนก

นี่มิใช่ความฝัน เซี่ยหงเฉินมาที่นี่จริงๆ! แต่คนของสำนักเซียนอย่างพวกเขาจะมีวิชาเข้าฝันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อีกทั้งยาลูกกลอนอายุวัฒนะหลอมโดยกรมซือเทียน เกรงว่าเขาคงไม่สะดวกจะเดินทางมาด้วยตนเอง

ทว่า…ยาลูกกลอนอายุวัฒนะเป็นของปลอมจริงๆ หรือ

“เป็นไปไม่ได้” เขาพึมพำกับตนเอง เจ้ากรมซือเทียนตี้อีชิวเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฮ่องเต้ ยาลูกกลอนอายุวัฒนะที่เขาหลอมเองจะเป็นของปลอมได้อย่างไร!

จากนั้นเขาก็ตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิม ต่อให้เมื่อครู่เป็นเพียงความฝันหวงเหลียงจงกั๋วกงกลับมั่นใจอย่างยิ่ง…เซี่ยหงเฉินเป็นถึงประมุขสำนักผู้สูงส่ง หากมิได้มั่นใจเต็มเปี่ยม เขาไม่มีทางตั้งใจมาบอกตน

แย่แล้ว…แย่แล้ว จงกั๋วกงกุมหน้าอก เริ่มวางแผนรับมือ

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันศุกร์ที่ 11 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 13

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: