บทที่ 63 วุ่นวาย
ชีวิตของหวงหร่างค่อยๆ สูญสลายไป นางยกมือขึ้นดึงเข็มใบชาโปร่งใสบนศีรษะออกมาเบาๆ
หยดน้ำที่ละลายมาจากเข็มใบชาเล่มนั้นผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลหิตในมือนาง
ข้างหูเป็นเสียงสับสนวุ่นวาย เสียงร้องโหยหวนของเซี่ยหลิงปี้ฟังแล้วน่าตกใจยิ่ง
สายตาของหวงหร่างเลื่อนไป เห็นเพียงวัชระในมือของหุ่นกลนักรบตัวนั้นแทงเข้าไปในกะโหลกศีรษะเขาครึ่งด้าม โลหิตของเขาอาบย้อมใบหน้าครึ่งซีก ในนั้นยังมีมันสมองสีขาวผสมอยู่ด้วย นั่นทำให้เขาดูเหมือนผีร้าย น่าสยดสยองอย่างบอกไม่ถูก
ในใจเซี่ยหงเฉินแม้จะร้อนรน แต่ยามเผชิญวิกฤตกลับไม่ลนลาน
เขาเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสเหมียวอวิ๋นจืออยู่ที่ใด”
ท่ามกลางกลุ่มคน ไม่ต้องให้ใครพูดมากเหมียวอวิ๋นจือก็ก้าวออกมาแล้ว เขายอบกายลงตรงหน้าเซี่ยหลิงปี้ ดึงเข็มเงินออกมา หมายจะระงับความเจ็บปวดให้เซี่ยหลิงปี้ก่อน
หวงหร่างขดกายอยู่ในอ้อมอกของตี้อีชิว ยิ่งเลือดออกมาก ร่างนางก็ยิ่งเย็น ทันใดนั้นก็เริ่มสั่นสะท้าน
“ผู้อาวุโสเหมียว!” ตี้อีชิวไม่กล้าเคลื่อนย้ายหวงหร่าง เอ่ยเพียงว่า “โปรดช่วยตรวจดูอาหร่างให้ข้าที”
ทว่าเหมียวอวิ๋นจือมีเพียงคนเดียว เขาเหลือบมองหวงหร่างคราหนึ่ง ไม่รู้จะรับมือเช่นไร
แต่หวงหร่างยิ้มพลางเอ่ยว่า “ไม่ต้อง” นางซบหน้ากับอกของตี้อีชิว “ข้าจะบอกอะไรท่านอย่างหนึ่ง หลังตื่นจากฝันแล้วท่านต้องจำไว้ให้ดี”
“ตื่นจากฝันอะไร” ตี้อีชิวฟังไม่เข้าใจ
หวงหร่างเอ่ยว่า “ชาติกำเนิดของเซี่ยหงเฉินมีปัญหา เขาไม่ใช่…ไม่ใช่เด็กที่เซี่ยหลิงปี้เก็บมาเลี้ยงดู ในอดีตเพื่อรู้จักเขาให้มากยิ่งขึ้น ข้าเคยไปตรวจสอบสถานที่เกิดของเขา แต่ข้าพบว่า…เซี่ยหลิงปี้โกหก”
ภาพตรงหน้าดั่งน้ำแข็งดั่งเม็ดทราย เริ่มบิดเบี้ยวและหลอมละลายอย่างช้าๆ
เทือกเขาหลั่งไหล วังตำหนักอ่อนยวบ สรรพสิ่งค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
ด้วยเหตุนี้คำพูดทั้งหมดของหวงหร่างจึงถูกยับยั้งไว้ นางกำเสื้อด้านหน้าตรงอกของตี้อีชิวแน่น จากนั้นยกศีรษะขึ้นจุมพิตใต้คางเขา
ผาไป๋กู่
ตอนหวงหร่างตื่นขึ้นมายังคงนั่งหันหน้าไปทางหน้าต่าง
นอกหน้าต่างเป็นผาชันหมื่นจั้ง เห็นเพียงวิหคบินผ่านไปมาเป็นครั้งคราว วิหคยังสามารถโผบินไปมาได้ ทว่านางแม้แต่จะขยับตัวยังเป็นความคิดที่เพ้อฝัน หวงหร่างถึงขั้นรู้สึกว่าในความฝันแม้จะบาดเจ็บสาหัส ต่อให้ทุกข์ทรมานเหลือแสนก็ยังดีกว่าร่างกายที่เปรียบดังกรงขังไร้ชีวิตเช่นนี้
นางร่วงลงจากยอดเมฆ โลหิตและบุญคุณความแค้นในความฝันมีแต่จะทำให้ความเจ็บปวดหลังตื่นขึ้นมาทวีคูณขึ้นเท่านั้น
ข้างหลังพลันมีเสียงน้ำ หวงหร่างไม่อาจหันหน้าไป แต่นางรู้ว่าตี้อีชิวก็ตื่นแล้วเช่นกัน
ใช่ ก่อนเข้าสู่ความฝันเขาแช่น้ำสมุนไพรอยู่ข้างหลังข้า
จริงดังคาด เสียงเท้าเปล่าก้าวเดินดังขึ้นข้างหลัง ดูเหมือนว่าตี้อีชิวกำลังก้าวออกจากถังอาบน้ำ
หวงหร่างรู้สึกได้ถึงลมแรงที่พัดมาข้างหลัง เก้าอี้ล้อเข็นถูกคนหมุนกลับไปแล้ว
นางยังไม่ทันมองคนที่อยู่ตรงหน้าให้ชัดเจนก็มีมือข้างหนึ่งกดลงบนทรวงอกนางเบาๆ คล้ายกำลังตรวจดูให้แน่ใจว่าบาดแผลในความฝันเป็นความจริงหรือไม่
จากนั้นหวงหร่างก็มองเห็นคนตรงหน้าชัดเจนในที่สุด
เรือนผมดำของตี้อีชิวแผ่สยาย ร่างกายปกคลุมด้วยชุดขุนนางสีม่วงอย่างส่งเดช เห็นได้ชัดว่ารีบร้อนยิ่ง
เขานั่งยองๆ ตรงหน้านาง ชุดคลุมตัวนอกเปิดออก หวงหร่างจึงมองเห็นอะไรข้างในมากยิ่งขึ้น
ความจริงแล้วผิวของตี้อีชิวขาวสะอาดมาก เพียงแค่ใต้ไหล่ซ้ายเกล็ดงูสีเขียวที่ปกคลุมครึ่งร่างดูสะดุดตาเป็นพิเศษ เรือนร่างเขาผ่ายผอม แต่บั้นเอวกำยำทรงพลัง
เอ๊ะ? แม้ทรวดทรงจะใช้ได้ แต่ก็ไม่มีของวิเศษอะไรพันรอบเอวนี่
…หรือว่านางคณิกาสิบสองคนนั้นแท้จริงแล้วเขาเป็นคนจ้างวานมา!
ข่าวลือเชื่อถือไม่ได้จริงๆ
หวงหร่างกำลังพยายามลบข่าวลือออกไปจากสมอง จู่ๆ ตี้อีชิวกลับถามว่า “เจ้ามองอะไร” เสียงเขาดังมาจากด้านบน แฝงความสงสัยระคนหยั่งประเมินหลายส่วน
สวรรค์! ภูตผีเท่านั้นที่รู้ว่าข้ามองอะไรอยู่!
หวงหร่างได้สติกลับมาในชั่วพริบตา ใบหน้าพลันแข็งทื่อ ตัดสินใจปล่อยแววตาให้ว่างเปล่า พยายามทำเป็นฟังไม่รู้เรื่อง
ตี้อีชิวมือหนึ่งรวบชุดคลุม อีกมือหนึ่งเชยคางนางขึ้นเบาๆ เพื่อสบตากับนาง ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าหวงหร่างมีสติรับรู้ เพราะแววตาของนางเจิดจ้าเกินไป!
แต่ถ้าหากนางมีสติรับรู้จริงๆ เมื่อครู่นางกำลังมองอะไร
ไม่ควร…ขบคิดให้ลึกลงไปจริงๆ
ใต้เท้าเจ้ากรมรวบกระชับชุดคลุมอย่างรวดเร็ว สายตาพินิจพิจารณา หวงหร่างพยายามทำให้แววตาว่างเปล่าล่องลอย ทำท่าทางเหมือนตุ๊กตาที่ประณีตสงบนิ่งตัวหนึ่ง
ทว่าเวลานี้เองประตูถูกถีบเข้ามาเสียงดังสนั่น เหมียวอวิ๋นจือแทบจะทะยานเข้ามา!
เขามองคราเดียวก็เห็นว่าตี้อีชิวกับหวงหร่างยังอยู่ หัวใจที่ลอยคว้างจึงวางกลับลงไปได้
“เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น!” เขาเดินไปตรงหน้าหวงหร่าง เนื่องจากห้วงฝันเหมือนจริงเกินไป ทำให้เขายากจะแยกแยะจริงเท็จ แต่ครั้นเห็นหวงหร่างไม่เป็นอะไร ในที่สุดเหมียวอวิ๋นจือก็พรูลมหายใจยาว
“พวกเราฝันอีกแล้วใช่หรือไม่” เขาถาม
ใต้เท้าเจ้ากรมรวบชุดคลุม กำลังจะตอบ ทันใดนั้นหมอหญิงและบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งก็มารวมตัวอยู่หน้าประตู
เหอโส่วอูศิษย์คนโตของเหมียวอวิ๋นจือเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ เมื่อครู่พวกข้าเข้าสู่ห้วงฝันอีกแล้ว อีกทั้งห้วงฝันยังยาวนานถึงร้อยปี”
ดูเหมือนว่าห้วงฝันครั้งนี้จะไม่แตกต่างอันใดกับครั้งก่อนหน้า
เหมียวอวิ๋นจือรับคำ แต่กลับเอ่ยกับตี้อีชิวว่า “นางไม่ได้รับบาดเจ็บ”
ตี้อีชิวรวบชุดคลุม เอ่ยด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์ “อืม”
สีหน้าของเหมียวอวิ๋นจือหนักอึ้ง “ห้วงฝันครั้งก่อนข้าผู้เฒ่าได้ยินว่าหลังตื่นจากฝันเซี่ยหลิงปี้ เซี่ยหยวนซู หรือแม้กระทั่งเซี่ยหงเฉินล้วนได้รับบาดเจ็บ! หากไม่มีข้อผิดพลาด ในห้วงฝันหวงหร่างได้รับบาดเจ็บ แต่หลังจากตื่นขึ้นมาเหตุใดนางถึงไม่เป็นอะไรเลยเล่า”
ตี้อีชิวกระชับชุดคลุมแน่นพลางตอบว่า “ไม่ทราบ”
เหมียวอวิ๋นจือหนวดตั้งถลึงตาทันที คว้าคอเสื้อเขา “ไม่ทราบหรือ! เจ้าเป็นเจ้ากรมซือเทียน ไม่ทราบแล้วไม่รู้จักตรวจสอบหรือ!”
ตี้อีชิวกล่าวในที่สุด “ข้าในฐานะเจ้ากรมซือเทียน ต่อให้จะตรวจสอบก็ควรแต่งตัวให้เรียบร้อยเสียก่อน”
“…” เหมียวอวิ๋นจือเลื่อนสายตาลงไปด้านล่างคอเสื้อที่ตี้อีชิวรวบคว้าไว้ พบว่าท่อนขาและฝ่าเท้าเขาเปลือยเปล่า ใต้ชุดคลุมสีม่วงของเขาไม่ได้สวมใส่อะไรทั้งสิ้น
เหล่าหมอหญิงข้างนอกแววตาดั่งพยัคฆ์และสุนัขป่า จับจ้องเข้ามาข้างใน
“แค่ก” เหมียวอวิ๋นจือคลายมือ “รีบสวมเสื้อผ้าเสีย ทำเช่นนี้ใช้ได้หรือ!”
กล่าวจบเขาก็เดินออกจากประตู ขณะกำลังจะปิดประตู ตี้อีชิวก็ยื่นมือเข้าไปในถังอาบน้ำพลางเอ่ยว่า “ไม่ถูกต้อง!”
เหมียวอวิ๋นจือถาม “อะไร”
ตี้อีชิวใช้มือหยั่งวัดความร้อนของน้ำอีกครั้งพลางถามว่า “ตอนนี้ยามใดแล้ว”
ถามจบไม่รอให้เหมียวอวิ๋นจือตอบ เขาก็หันกายออกจากห้อง วิ่งไปจนถึงบริเวณที่ตั้งนาฬิกาแดดของผาไป๋กู่
เหมียวอวิ๋นจือและคนอื่นๆ ตามมา ทุกคนตกตะลึงเช่นกัน…พวกเขาฝันเป็นเวลานาน แต่เวลายังคงหยุดอยู่ที่เดิม มิได้เดินหน้าต่อไป
เวลาในห้วงฝันและโลกความจริงอาจไม่เหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรก็ต้องกินเวลาบ้าง
ตี้อีชิวเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “เมื่อครู่ความร้อนของน้ำในถังอาบน้ำไม่ลดลงเลยแม้แต่นิดเดียว เห็นได้ชัดว่านาฬิกาแดดมิได้เกิดข้อผิดพลาด”
เหมียวอวิ๋นจือสีหน้าเคร่งเครียด เวลานี้เองมีคนมารายงานอย่างลนลาน “ท่านอาจารย์ ผีหลอกขอรับ!”
“ผีอะไร!” เหมียวอวิ๋นจือตำหนิ “กลางวันแสกๆ ลนลานอะไรกัน!”
ศิษย์คนนั้นกลับตอบว่า “เรียนท่านอาจารย์ ผีหลอกจริงๆ ขอรับ! เมื่อครู่ศิษย์นำหุ่นกลปัดกวาดห้อง มองเห็นคนป่วยหลายคนฟื้นขึ้นมา แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาตายไปแล้วอย่างเห็นได้ชัด!”
เหอโส่วอูที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถาม “พวกที่มาจากแดนสู่หรือ”
“ใช่ขอรับๆ!” ศิษย์คนนั้นรีบตอบ
เหอโส่วอูมองไปยังเหมียวอวิ๋นจือพลางพูดว่า “คนเหล่านี้ก่อนเข้าสู่ความฝันตายไปแล้วจริงๆ แต่ท่านอาจารย์จำได้หรือไม่ว่าในความฝันท่านทดสอบยาชนิดอื่นกับพวกเขา พวกเขา…ถึงได้รอดชีวิต”
เหมียวอวิ๋นจือเข้าไปตรวจสอบดูอย่างรวดเร็ว ส่วนตี้อีชิวก็สวมใส่อาภรณ์ให้เรียบร้อย ขณะกำลังจะออกจากประตู เขาคว้าชุดคลุมกันลมมาคลุมให้หวงหร่างและเข็นนางออกไปด้วย
คนป่วยทั้งสามที่ตายแล้วฟื้นคืนชีพอยู่ในห้องจริงๆ ทุกคนล้วนมองเห็นพวกเขาได้อย่างชัดเจน
สามคนนี้ดูเหมือนจะจำไม่ได้ว่านอกความฝันพวกเขาป่วยตายไปแล้ว พวกเขายิ้มพลางพูดกับเหอโส่วอู “หลายวันมานี้อาการป่วยของพวกเราสามพี่น้องสร้างความยุ่งยากให้ท่านหมอแล้วจริงๆ”
เหอโส่วอูถอยหลังไปหลายก้าวจนกระทั่งไหล่ชนกับตี้อีชิว จากนั้นก็ถามว่า “พวกเจ้า…ตอนนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”
สามพี่น้องขยับแขนขาทั้งสี่ ตอบว่า “ดีขึ้นมากแล้ว แค่ว่าทุกครั้งยามกลางคืนยังคงรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย…”
พวกเขาบอกเล่าอาการของตนเองได้อย่างชัดเจน เหมียวอวิ๋นจือและคนอื่นๆ ลอบตื่นตระหนกในใจ!
ส่วนตี้อีชิวกลับถามเสียงค่อย “ศพของพวกเขาสามพี่น้องนำไปจัดการอย่างไรแล้ว”
“พวกเขาไร้ญาติขาดมิตร จึงนำไปฝังในสุสานฝังรวม” เหมียวอวิ๋นจือได้สติกลับมาเช่นกัน เรียกศิษย์คนหนึ่งมาทันใด “ชางจู๋ เจ้าไปหาศพของพวกเขาสามพี่น้องเถิด”
สุสานฝังรวมอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล เพียงครู่เดียวก็มีศิษย์มารายงานว่า “ท่านอาจารย์ ศพยังอยู่ขอรับ นอกจากเน่าเปื่อยเล็กน้อยก็ครบถ้วนไม่ขาดไปสักคน”
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ต่อให้เป็นเหมียวอวิ๋นจือก็ตื่นตระหนกอย่างยิ่ง
ตี้อีชิวกล่าวว่า “หามศพเข้ามา”
ศพเหล่านั้นฝังไปสักพักแล้ว แน่นอนว่ากลิ่นย่อมไม่ดีนัก แต่ทุกคนจนปัญญา ได้แต่ปิดจมูก ขุดศพทั้งสามร่างขึ้นมาใหม่และหามกลับมายังผาไป๋กู่
เมื่อศพวางอยู่หน้าประตู ตี้อีชิวก็เรียกทั้งสามคนมาถาม “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คือใคร”
สามคนเดินไปตรงหน้าศพ มองดูอยู่นาน แววตาฉายความงุนงง
“นี่…เหตุใดเสื้อผ้าพวกนี้ถึงคุ้นตาเช่นนี้” หนึ่งในนั้นยื่นมือออกไปหมายจะพลิกดูเสื้อผ้าบนศพ ทว่าทันทีที่ปลายนิ้วเขาสัมผัสศพ ใบหน้าของคนทั้งสามพลันแข็งทื่อ หลังจากนั้นพวกเขาก็หลอมละลายประหนึ่งเทียนไข สลายหายไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนได้สติกลับคืนมา บนพื้นเหลือเพียงศพสามร่างที่ยังคงส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งยากจะทานทน
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้คนอดคิดถึงเหตุการณ์ตอนตื่นจากฝันมิได้
เหมียวอวิ๋นจือเอ่ยอย่างรวดเร็ว “เมื่อความฝันนี้จบลงเกรงว่าทุกคนย่อมต้องสงสัยว่าต้นเหตุเกี่ยวข้องกับหวงหร่าง เช่นนั้นผาไป๋กู่ก็มิอาจปกป้องนางได้” ความคิดของเขากระจ่างแจ้ง วางแผนรับมือในทันที “เจ้าต้องพานางกลับไปกรมซือเทียน คุ้มกันอย่างเข้มงวด!”
ตี้อีชิวรับคำ จากนั้นก็เอ่ยว่า “มิทราบว่าข้าขอเชิญผู้อาวุโสเดินทางไปเมืองหลวงและพักอยู่ที่นั่นสักระยะได้หรือไม่”
เหมียวอวิ๋นจืออึ้งงันไปเล็กน้อย จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วตอบรับ “ได้”
ตี้อีชิวไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรับปากอย่างง่ายดาย เขายังเตรียมคำพูดโน้มน้าวไว้มากมาย เหมียวอวิ๋นจือกลับโบกมือ
“ห้วงฝันแปลกประหลาดถึงเพียงนี้ ประเด็นสำคัญล้วนอยู่ที่สตรีผู้นี้ ความฝันยาวนานหนึ่งร้อยปี บัดนี้เกรงว่าใต้หล้าคงวุ่นวายโกลาหล แม้ผาไป๋กู่เป็นดินแดนที่เร้นกายจากโลกภายนอก กระนั้นคนที่มีชีวิตอยู่ในใต้หล้านี้จะเร้นกายจากใต้หล้านี้ได้อย่างไร”
เวลานี้ทุกคนในใต้หล้าต่างตื่นจากความฝัน
หากบอกว่าความฝันครั้งแรกทุกคนแค่รู้สึกตกใจและประหลาดใจเท่านั้น เช่นนั้นความฝันครั้งนี้ก็เริ่มทำให้คนรู้สึกหวาดหวั่นแล้ว
เพราะความฝันครั้งนี้ยาวนานถึงร้อยปี ผู้คนและเรื่องราวมากมายล้วนแตกต่างไปจากนอกความฝัน
ดังนั้นคนที่เดิมทีตายไปแล้วนอกความฝัน บัดนี้จึงทยอยปรากฏตัว
แต่ความทรงจำของพวกเขาล้วนเป็นความทรงจำในความฝันทั้งสิ้น พวกเขาถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่านอกความฝันพวกเขาได้ตายไปแล้ว
สำนักเซียนอวี้หู
เซี่ยหงเฉินตื่นขึ้นมาในตำหนักเยี่ยอวิ๋น สองตาของเขายังคงมีแถบผ้าสีขาวพันอยู่ ความรู้สึกในความฝันโถมทะลักเข้ามาอย่างครอบฟ้าคลุมดิน
การอยู่ร่วมกับหวงหร่างตลอดร้อยปีประหนึ่งเหตุการณ์ที่ฉายชัดตรงหน้า
เขาลงจากเตียง เดินไปยังตำหนักด้านหลัง ลานฝึกยุทธ์กลับว่างเปล่า ไม่มีหวงหร่าง
เซี่ยหงเฉินเดินผ่านโต๊ะทำงาน จากนั้นก็พบว่าบนโต๊ะมีกล้วยไม้กระถางหนึ่งวางอยู่จริงๆ!
หัวใจเขาเต้นเร็วขึ้น คนแทบจะโผเข้าไปอย่างซวนเซ
ขณะที่มือเขาสัมผัสถูกกล้วยไม้ กล้วยไม้นั้นกลับหลอมละลายทันที มันเปลี่ยนรูปและหยดลงมาช้าๆ สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรทั้งสิ้น
บนโต๊ะว่างเปล่า สิ่งที่เห็นเมื่อครู่ดุจภาพมายา
เซี่ยหงเฉินเก็บมือกลับมา เขาเรียกกระบี่แห่งจิตออกมา บังคับกระบี่มุ่งหน้าไปตำหนักหลัวฝูทันที!
ตำหนักหลัวฝู
เซี่ยหลิงปี้ใช้สองมือกุมศีรษะ ร้องโหยหวนไม่หยุด
เซี่ยหงเฉินก้าวเข้าไป เนื่องจากมีประสบการณ์ตอนเข้าสู่ความฝันครั้งแรกแล้ว เขาถึงขั้นไม่รู้สึกแปลกใจ
จริงดังคาด เซี่ยหลิงปี้สูญเสียพลังวัตรไปมาก อีกทั้งกะโหลกยังได้รับบาดเจ็บสาหัส
แต่เกรงว่านี่มิใช่สิ่งที่ร้ายแรงที่สุด
…ในความฝันต่อหน้าผู้คนในสำนักเซียนมากมายนับไม่ถ้วน เซี่ยหลิงปี้ใช้กระบี่แห่งจิตต่อสู้กับหวงหร่าง ทว่ากลับพ่ายแพ้
พ่ายแพ้ยังไม่เท่าไร เขาถึงขั้นทำลายเขตอาคมจำกัดพลังวัตรในลานฝึกยุทธ์ หมายจะสังหารหวงหร่างให้ตาย
ปรมาจารย์สูงส่งผู้หนึ่งถูกชนรุ่นหลังในสำนักเอาชนะ หลังจากพ่ายแพ้ก็อับอายจนกลายเป็นโกรธ ทำลายเขตอาคมลงมืออย่างโหดเหี้ยม สุดท้ายก็ถูกหุ่นกลนักรบของกรมซือเทียนทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส
คำพูดเหล่านี้ไม่ว่าประโยคใด สำหรับชื่อเสียงของเซี่ยหลิงปี้ล้วนเป็นการโจมตีขั้นทำลายล้าง
“จับตัวนางชั้นต่ำผู้นั้นไว้!” เซี่ยหลิงปี้คว้าข้อมือของเซี่ยหงเฉิน น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดั่งผีร้าย “ข้าจะแล่เนื้อนางออกมาทีละชิ้นให้นางตายอย่างทรมาน ระบายความแค้นในใจ!”
เขากลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว เซี่ยหงเฉินมองดูคนตรงหน้า รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเซี่ยหลิงปี้ให้ความสำคัญกับฐานะของตนเองอย่างยิ่ง ไม่เคยเสียกิริยาถึงเพียงนี้
“ข้าจะตามหานางให้พบ” เซี่ยหงเฉินเอ่ย
เนื่องจากฝึกบำเพ็ญตลอดร้อยปีในความฝัน พลังวัตรที่เขาสูญเสียไปในความฝันครั้งแรกจึงฟื้นฟูกลับมาแล้ว เพียงแต่เรื่องของเซี่ยหลิงปี้ในตอนนี้เกรงว่าจะทำให้ชื่อเสียงบารมีของสำนักเซียนอวี้หูได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงไปด้วย
“มิใช่หานางให้พบ! แต่ต้องจับตัวนาง จับตัวนางมา!” เซี่ยหลิงปี้ยกสองมือขึ้นกุมศีรษะราวกับถูกวัชระปราบมารด้ามหนึ่งแทงอยู่จริงๆ
ความจริงแล้วเซี่ยหงเฉินมีเรื่องอยากถามเขามากมาย
…หวงหร่างกับเขามีความแค้นใหญ่หลวงอะไรกันแน่ เพราะเหตุใดเมื่อเข้าสู่ห้วงฝันนางถึงเอาแต่ตามล้างแค้นเขาไม่เลิกรา
ใช่ ตามล้างแค้น
เรื่องมาถึงบัดนี้เซี่ยหงเฉินเข้าใจแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในความฝันครั้งแรก หวงหร่างล้วนเป็นผู้บงการ
ส่วนความฝันครั้งที่สอง นางตามล้างแค้นอย่างตรงไปตรงมากว่าเดิม…นางเลือกที่จะศึกษาวิชา เอาชนะเซี่ยหลิงปี้ต่อหน้าทุกคน
เซี่ยหงเฉินย้อนนึกถึงเรื่องราวทั้งในความฝันและนอกความฝัน เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตนเองไม่รู้จักนางโดยสิ้นเชิง
คำพูดของนางในความฝันเป็นความจริงหรือไม่
เขาต้องหาตัวหวงหร่างให้พบ อันที่จริงหลังเข้าสู่ความฝันสองครั้งเขาก็พบทิศทางในการเสาะหาแล้ว
เมืองหลวง
วังหลวงและราชสำนักกำลังวุ่นวายโกลาหล
ร้อยปีในความฝัน คนที่เดิมทีไม่สมควรตายก็ตายไปไม่รู้เท่าไร ส่วนคนที่เดิมทีควรตายไปแล้วกลับฟื้นคืนชีพ
โดยเฉพาะในวังหลวง เดิมทีพระโอรสพระธิดาที่ถูกใช้ในการทดสอบพิษงูหุ่ยเหลืออยู่เพียงสิบพระองค์เท่านั้น แต่บัดนี้กลับมีผู้รอดชีวิตมากถึงแปดสิบกว่าพระองค์!
คนที่เดิมทีตายไปแล้วเหล่านี้ แต่ละคนต่างมีความทรงจำในห้วงฝัน จึงไม่รู้สึกว่าผิดปกติแต่อย่างใด
ราชสำนักพบเจอเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้เป็นครั้งแรก ทันใดนั้นจดหมายขอความช่วยเหลือก็ถูกส่งมายังกรมซือเทียนดุจเกล็ดหิมะ
หลี่ลู่และเป้าอู่ต่างกลัดกลุ้มจนผมขาว
…แต่ตี้อีชิวยังไม่กลับมา
บ้านสกุลหวง ตำบลเซียนฉา
ขณะนั้นหวงซู่ก็กำลังเดือดดาลเช่นกัน
…ในความฝันเขาถูกหวงหร่างวางแผนเล่นงาน มิเพียงถูกทำลายพลังวัตร ทว่ายังต้องเป็นดินในที่นาให้หวงหร่างเพาะปลูกทั้งชีวิตโดยไม่ได้อะไร
การใช้ดินซีหร่างบำรุงดินจำเป็นต้องสิ้นเปลืองพลังวัตรของตนเอง
นางชั้นต่ำผู้นั้นไม่อยากให้เขาฝึกบำเพ็ญจนสำเร็จเป็นมนุษย์อีกตลอดกาล!
หวงซู่เดือดดาลในใจ รุดไปสำนักเซียนอวี้หูด้วยตนเอง โวยวายจะพบฮูหยินประมุขสำนัก
ทว่าสำนักเซียนอวี้หูเองก็กำลังโกลาหลวุ่นวาย หวงหร่างหายสาบสูญไปนานแล้ว ไฉนเลยจะมีใครสนใจเขา
หวงซู่จึงได้แต่เอะอะโวยวายอยู่หน้าประตูเขาเท่านั้น
สำนักฮ่วนเตี๋ย
ไต้เยวี่ยได้แต่งงานกับตระกูลที่ไม่เลว เดิมทีชีวิตสุขสำราญยิ่ง
…นางเป็นสาวใช้ประจำตัวของหวงหร่าง ทั้งยังได้เซี่ยหงเฉินเป็นผู้แนะนำด้วยตนเอง ทั้งสำนักและบ้านสามีมีหรือจะไม่ดีต่อนาง
ทว่าในความฝันครั้งนี้นางทรยศเจ้านายไร้คุณธรรม ยึดเอาความดีความชอบของเจ้านายไป ทั้งยังถูกประมุขสำนักเซี่ยหงเฉินเปิดโปงและลงโทษต่อหน้าฝูงชน
เหตุการณ์เช่นนี้มิต้องสงสัยเลยว่าเป็นการถลกหนังนางออกมาชั้นหนึ่ง
สายตาของผู้คนรอบด้านที่มองดูนางล้วนเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด
ตระกูลสามีนางเดิมทีก็เป็นครอบครัวที่ซื่อตรงบริสุทธิ์ จะยอมรับเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร
ดังนั้นพวกเขาจึงร่วมมือกับสำนักฮ่วนเตี๋ย ส่งจดหมายไปยังสำนักเซียนอวี้หู ขอหลักฐานยืนยันเรื่องราวในความฝันจากเซี่ยหงเฉินและหวงหร่าง
ทว่าสำนักเซียนอวี้หูเองก็ยังเอาตัวไม่รอด ไฉนเลยยังจะมีแก่ใจมารับมือกับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้
ศิษย์ของยอดเขาไป่เฉ่ายุ่งกับการดูแลเซี่ยหลิงปี้ ส่วนเซี่ยเซ่าชง เนี่ยชิงหลัน และคนอื่นๆ ต้องคอยชี้แจงการกระทำที่ต่ำช้าของปรมาจารย์ในความฝันกับคนอื่นๆ ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคือเหอซีจิน จางซูจิ่ว และอู่จื่อโฉ่วยังรุดไปสำนักเซียนอวี้หูในเวลาเดียวกัน
ผู้เก่งกล้าแห่งสำนักเซียนทั้งสามเรียกร้องขอพบฮูหยินประมุขสำนักหวงหร่าง แต่เซี่ยเซ่าชงจะไปเชิญหวงหร่างมาจากที่ใดเล่า
ขณะที่ใต้หล้าตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวาย เซี่ยจิ่วเอ๋อร์ยังคงอยู่ที่ยอดเขาไป่เฉ่า
ยามนี้ใครยังจะมีเวลามาสนใจแมลงตัวเล็กๆ อย่างนาง
ในความฝันครั้งนี้นางได้พบกับหวงหร่างเช่นเดียวกับนอกความฝัน ทว่าหวงหร่างกลับปล่อยนางไป
ในอดีตเซี่ยจิ่วเอ๋อร์เคยขุ่นเคืองนับครั้งไม่ถ้วน นางคิดว่าตอนนั้นหากมิใช่เพราะหวงหร่างรับนางเป็นบุตรบุญธรรม นางย่อมไม่ถูกบิดาบุญธรรมเมินเฉยมาหลายปี
แต่ในความฝันครั้งนี้หวงหร่างมิได้เลี้ยงดูนางอีกแล้ว
ดังนั้นในความฝันนางจึงแทบไม่มีตัวตน นางเป็นเพียงจักจั่นทองตัวหนึ่ง เนื่องจากพอมีปราณวิเศษอยู่บ้าง จึงใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ มาสิบกว่าปี สุดท้ายก็มิได้สำเร็จมรรคา แก่ตายอยู่ในโคลนตม
นางไม่สนใจไยดีข้าอีกแล้ว เซี่ยจิ่วเอ๋อร์พลันขบคิดเรื่องนี้ได้อย่างกระจ่างแจ้ง เวลานี้นางจึงตกอยู่ในความโศกเศร้าอย่างมิอาจถอนตัว
เวลานี้เองผีเสื้อกลางคืนปีกเขียวตัวหนึ่งบินมายังกรมซือเทียน
มันหาโต๊ะทำงานของใต้เท้าเจ้ากรมจนพบอย่างคุ้นทาง จากนั้นก็เกาะอยู่บนขอบหน้าต่างพลางหอบหายใจ
…ไม่ใช่บุตรแท้ๆ ก็เป็นเช่นนี้ แม้กระทั่งตามหายังไม่มีใครมาตามหาข้าสักคน หึ!
บทที่ 64 พบหน้า
เมืองหลวง กรมซือเทียน
ลมหนาวเสียดกระดูก หิมะตกหนักจนทั่วทุกหนแห่งขาวโพลน
ตอนตี้อีชิวพาหวงหร่างกับเหมียวอวิ๋นจือกลับมามีเรื่องยุ่งยากมากมายรอเขาไปจัดการ
ในห้องประชุมของกองมังกรเขียว มีคนสิบกว่าคนมารออยู่แล้ว
จดหมายขอความช่วยเหลือที่ส่งมาถึงจวนที่ว่าการกองสูงเป็นภูเขา แม้กระทั่งในวังยังส่งคนมาตามตัว
ตอนที่ใต้เท้าเจ้ากรมพาหวงหร่างกับเหมียวอวิ๋นจือรุดกลับกรมซือเทียน สายตาของใต้เท้าสิบกว่าคนเหลือบมองไปที่เอวของเขาก่อนอย่างพร้อมเพรียงกัน
ตี้อีชิวใบหน้าเขียวคล้ำ โชคดีที่หลี่ลู่รีบเอ่ยว่า “เจ้ากรม ตอนนี้ทุกคนในราชสำนักต่างฝันประหลาด ทั้งยังเกิดเรื่องพิสดารอย่างการตายแล้วฟื้นคืนชีพ ใต้เท้าทั้งหลายร้อนใจอย่างยิ่ง”
จากนั้นใต้เท้าชีเสนาบดีกรมปกครองก็เอ่ยขึ้นทันที “เจ้ากรม ในกรมข้ามีขุนนางผู้หนึ่งเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่เมื่อห้าปีก่อนเพราะกินผลไม้แล้วติดคอตาย ใครจะรู้ว่าในความฝันประหลาดนั่นเขาถูกสหายขุนนางช่วยไว้ได้ บัดนี้เมื่อตื่นจากฝันเขาจึงกลับมาปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นปกติ เรื่อง…เรื่องคนตายแล้วฟื้นคืนชีพ นับแต่โบราณไม่เคยมีมาก่อน เกรงว่าคงมิใช่นิมิตมงคล!”
พอเขาเอ่ยปาก ใต้เท้าคนอื่นๆ ต่างพากันเล่าถึงเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นในบ้านตน
ตี้อีชิวเข็นหวงหร่างไปตรงหน้าต่างก่อน จากนั้นก็ย้ายอ่างไฟมาข้างเท้านาง
หวงหร่างจึงได้ผิงไฟพลางฟังพวกเขาหารือเรื่องงานอย่างอบอุ่น ผีเสื้อกลางคืนปีกเขียวตัวหนึ่งร่อนลงตรงหน้านาง นางพิจารณาอยู่นานก็ตระหนักได้โดยพลัน…เป็นเจ้าหนอนบุ้ง!
ความตกใจระคนยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งผุดขึ้นในใจ น่าเสียดายที่ตอนนี้นางเหมือนท่อนไม้ก้อนหิน มิอาจขยับเขยื้อนได้
ผีเสื้อกลางคืนปีกเขียวบินวนรอบตัวนางหนึ่งรอบ คล้ายเพิ่งตระหนักได้ในยามนี้ว่า…มารดาของมัน สตรีที่ในห้วงฝันสามารถทำให้เซี่ยหลิงปี้ชื่อเสียงป่นปี้ได้ ความจริงแล้วมีสภาพไม่ต่างจากคนตายที่ยังมีชีวิตอยู่
มันเกาะอยู่บนหลังมือของหวงหร่างที่ประสานกันอย่างแผ่วเบา กระพือปีกพลางจุมพิตมือนาง
…ก็ได้ ข้ายกโทษให้ท่านเรื่องที่ท่านไม่ได้มาตามหาข้าแล้ว
ใต้เท้าสิบกว่าคนเล่าถึงเรื่องราวประหลาดด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง เป็นอย่างที่คิด ล้วนเป็นคนที่ก่อนหน้านี้ตายไปแล้ว เนื่องจากในฝันรอดพ้นจากหายนะ จึงฟื้นคืนชีพอีกครั้งในโลกความจริงอย่างพิสดาร
สีหน้าของเหมียวอวิ๋นจือเคร่งเครียด หันไปถามตี้อีชิว “เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
ตี้อีชิวตอบ “มีการคาดเดาอย่างหนึ่ง ทว่าตอนนี้ยังไม่กล้ายืนยัน”
ใต้เท้าชีเอ่ยอย่างหมดความอดทน “นี่มันเวลาใดแล้ว เจ้ากรมยังเก็บงำคำพูดอยู่ได้”
ตี้อีชิวกล่าวว่า “หากพวกเขาสัมผัสกับศพในตอนนี้ของตนเองดูเหมือนว่าจะสูญสลายไปเอง”
“สูญสลายหรือ” ใต้เท้าชีถาม “ท่านหมายความว่าเมื่อพวกเขาสัมผัสกับศพของตนเองก็จะตายหรือ”
เหมียวอวิ๋นจือที่อยู่ด้านข้างอธิบาย “จะละลาย ละลายหายไปเหมือนน้ำแข็ง”
ใต้เท้าสิบกว่าคนทำท่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เรื่องนี้พิสูจน์ได้ไม่ยาก ตี้อีชิวหันไปเอ่ยกับเป้าอู่ “ไปกองพยัคฆ์ขาว นำตัวนักโทษที่ตายแล้วฟื้นคืนชีพมาสองสามคน จากนั้นก็ไปขุดศพของพวกเขามาด้วย”
เป้าอู่รับคำและไปจัดการทันที
ใต้เท้าทุกท่านได้แต่เฝ้ารอไปด้วยกัน
ตี้อีชิวก้าวเดินช้าๆ ไปข้างกายหวงหร่าง กังวลอยู่มิวายว่านางจะหนาว จึงอดลูบมือนางไม่ได้
พอลูบมือเช่นนี้ก็เห็นเจ้าผีเสื้อกลางคืนที่เกาะอยู่บนหลังมือหวงหร่าง…หวงหยาง
ในที่สุดก็มีเรื่องน่ายินดีเรื่องหนึ่งจนได้
ใต้เท้าเจ้ากรมหยิบยาลูกกลอนวิเศษออกมาเล็กน้อย ใส่ลงในถ้วยและผสมน้ำ ก่อนจะจับหวงหยางใส่ลงไป
หวงหยางเติบโตมากับเขา เคยชินกับวิธีป้อนอาหารของเขานานแล้ว เวลานี้ยังจะคิดว่าเป็นในความฝันหรือนอกความฝันอะไรอีก มันลงไปในถ้วยและเริ่มดูดซับยาลูกกลอนวิเศษ
พอเสร็จแล้วตี้อีชิวก็กุมมือหวงหร่าง หวงหร่างยามอยู่ในฝันมุมานะบำเพ็ญมรรคายุทธ์ นอกความฝันพลังวัตรจึงเพิ่มขึ้นไม่น้อย แต่น่าเสียดายเหลือเกิน พลังวัตรที่เพิ่มพูนมิอาจต้านทานเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกได้
ตี้อีชิวหยิบผ้าห่มขนกระต่ายมาคลุมลงบนสองขาของนาง จากนั้นก็จับมือทั้งสองของนางซุกเข้าไป
ใต้เท้าสิบกว่าคนมองเขาดูแลตุ๊กตาตัวหนึ่งอย่างเอาใจใส่เช่นนี้เงียบๆ ทันใดนั้นใต้เท้าชีก็นึกขึ้นได้
“จะว่าไปแล้วในความฝันเจ้ากรมประกาศต่อภายนอกว่าเนื่องจากเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ของท่านป่วยตาย จึงมีใจให้แม่นางหวงหร่าง แม่นางหวงหร่างผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นภรรยาของประมุขสำนักเซียนอวี้หูเซี่ยหงเฉินกระมัง”
คำพูดนี้ของเขานับเป็นการเปิดประเด็นขึ้นมา
ใต้เท้าคนอื่นๆ พากันอุทาน “เจ้ากรมยังไปเจรจาสู่ขอ อ้อ ถึงขั้นยอมมอบหุ่นกลนักรบระดับสุดยอดให้เพื่อการนี้โดยไม่เสียดาย ทุ่มสุดตัวจริงๆ”
ทุกคนพูดคุยกันอย่างครึกครื้น หลี่ลู่ที่อยู่ด้านข้างฟังแล้วกลับหน้าแดง…ใต้เท้าเจ้ากรมของตนมีชื่อเสียงอยู่เพียงเท่านี้ ในความฝันครั้งนี้กล่าวได้ว่าถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้ว
มีเพียงใต้เท้าเจ้ากรมที่แค่นเสียงเย็นชา ถือเสียว่าฟังเสียงสุนัขเห่าหอน
ไม่นานนักเป้าอู่ก็คุมตัวนักโทษสี่คนเข้ามา
“เจ้ากรม อยู่ที่นี่ทั้งหมดแล้วขอรับ” เขารายงานและสั่งให้นักโทษทั้งสี่คุกเข่านั่งเรียงกัน ข้างหลังนักโทษทั้งสี่ยังมีคนหามศพสี่ร่างเข้ามาด้วย ศพถูกวางไว้บนพื้นหิมะนอกประตู บนนั้นคลุมด้วยผ้าขาว
พวกใต้เท้าหยุดซุบซิบกะทันหัน ทุกคนต่างมองไปยังนักโทษสี่คนนี้
ผู้ช่วยกองพยัคฆ์ขาวถานฉีเอ่ยว่า “เจ้ากรม เดิมทีสี่คนนี้บาดเจ็บสาหัส จึงป่วยตายอยู่ในคุก แต่ในฝันประหลาดพวกเขาโชคดี บังเอิญพบใต้เท้าหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงที่กำลังหาคนทดสอบยา จึงรอดชีวิตมาได้”
ตี้อีชิวจับจ้องนักโทษสี่คนนี้และโบกมือเป็นสัญญาณ เหมียวอวิ๋นจือที่นั่งอยู่ด้านข้างก็กลั้นลมหายใจเช่นกัน
เป้าอู่เลิกผ้าขาว ทุกคนพลันเพ่งมองด้วยความฉงนสงสัย เห็นเพียงศพที่เน่าเปื่อยเล็กน้อย ลักษณะเหมือนนักโทษทั้งสี่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกประการ
ตี้อีชิวกล่าวว่า “พวกเจ้าทั้งสี่คนจงหันกลับไป”
นักโทษทั้งสี่คนฟังแล้วก็งุนงงไปหมด ในความฝันนอกความฝันอะไรกัน โชคดีรอดชีวิตอะไรกัน
พวกเขาหันกลับไปพร้อมกัน แน่นอนว่าย่อมเห็นศพสี่ร่างที่หน้าประตู
ทั้งสี่คนตกตะลึง เนิ่นนานก็ลุกเดินเข้าไปอย่างลังเล
“นะ…นี่…” มีคนชี้ร่างของตนเอง ท่าทางไม่อยากจะเชื่อ
“พะ…พวกเราตายแล้วหรือ” นักโทษอีกคนถามเสียงค่อย
ใต้เท้าชีขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “ใช่แล้ว”
“จะเป็นไปได้อย่างไร” มีคนตะโกนเสียงดัง “พวกเจ้าขุนนางสุนัขกำลังเล่นอะไรอยู่กันแน่!”
พอเขาพูดเช่นนี้ นักโทษอีกสามคนที่เหลือแววตาจึงเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง
หลี่ลู่ที่คอยจดบันทึกอยู่ด้านข้างเอ่ยว่า “ได้ยินเรื่องการตายของตนเองแล้วไม่มีอาการผิดปกติ”
เหมียวอวิ๋นจือพูดออกมาอย่างอดไม่อยู่ “เมื่อครู่ตอนอยู่ผาไป๋กู่พวกเขาแตะต้องศพของตนเองแล้วจึงละลายหายไป”
เป้าอู่ได้ยินดังนั้นก็คว้านักโทษคนหนึ่งมา หิ้วตัวเขาไปยังข้างศพของตนเอง ยามนี้นักโทษคนนั้นเริ่มสงสัยแล้วว่านี่เป็นแผนการของราชสำนัก
เขาดิ้นรนไปพลางร้องด่าอย่างเดือดดาลไปพลาง
เป้าอู่กดร่างเขาลงบนศพ ในชั่วขณะที่เขาสัมผัสกับศพของตนเอง ร่างกายเขาพลันบิดเบี้ยวอย่างน่าประหลาด ต่อจากนั้นใบหน้า แขนขาทั้งสี่ ไปจนถึงทั่วร่างกายก็บิดเบี้ยวหลอมละลายในชั่วพริบตา สุดท้ายก็สลายหายไป
นักโทษอีกสามคนที่เหลือเห็นสถานการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ก็ร้องด่าไม่ออกอีกต่อไป
สายลมระลอกหนึ่งพัดกระเพื่อมมาจากรอบด้าน นักโทษทั้งสามคนประหนึ่งควันสีเทา ทบซ้อนและบิดเบี้ยวหลายครั้ง ก่อนจะสูญสลายไปกลางอากาศเช่นกัน อย่าว่าแต่เสื้อผ้า แม้กระทั่งเส้นผมยังไม่เหลือไว้สักเส้น
ใต้เท้าทุกท่านเงียบงันไม่เอ่ยวาจา เนิ่นนานทีเดียวใต้เท้าชีจึงเอ่ยว่า “ไม่เคยพบเจอมาก่อน!”
เหมียวอวิ๋นจือที่อยู่ด้านข้างถามว่า “คนที่ฟื้นคืนชีพเหล่านี้มีอาการกระหายเลือดหรือคลุ้มคลั่งหรือไม่”
ทุกคนตรึกตรองพักหนึ่งก็พากันส่ายหน้า ใต้เท้าชีจึงเอ่ยอีกว่า “ไม่แตกต่างอะไรจากตอนที่มีชีวิตอยู่ ไม่เห็นอาการผิดปกติ”
จากนั้นก็มีคนพูดเสียงค่อย “บางทีเป็นเช่นนี้ก็ดีเช่นกัน สวรรค์เมตตาสรรพชีวิต หากพวกเขาแค่ใช้ชีวิตต่อไปให้ดีก็ไม่เห็นเป็นไร”
พอเขากล่าวเช่นนี้ก็มีคนเสียดสีทันที “มารดาของใต้เท้าโจวก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ฟื้นคืนชีพ ท่านย่อมต้องพูดเช่นนี้อยู่แล้ว”
คนผู้นั้นเงียบงันไปทันใด
วังหลวง เจดีย์หยวนหรง
พระโอรสพระธิดาที่ฟื้นคืนชีพมีมากถึงแปดสิบกว่าพระองค์
แน่นอนว่าฉิวเซิ่งไป๋เองก็ตื่นตระหนกอย่างยิ่ง แต่เห็นคนเหล่านี้ไม่ว่าการพูดจาหรือการกระทำล้วนไม่แตกต่างจากในความฝัน ไม่มีความผิดปกติอื่นๆ จึงค่อยๆ วางใจลงได้
เขาจัดให้ทุกคนพักอยู่ในชั้นใต้ดินของเจดีย์หยวนหรงแล้วไปแจ้งซือเวิ่นอวี๋
กระนั้นซือเวิ่นอวี๋กลับมิได้พบเขา เพียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงล่องลอยว่า “ในเมื่อสวรรค์เมตตา เช่นนั้นก็ดูแลพวกเขาให้ดีเถิด”
ฉิวเซิ่งไป๋ได้รับคำสั่ง กอปรกับพระโอรสพระธิดาเหล่านี้มิได้น่ากลัวเหมือนปีศาจร้าย จึงได้แต่จัดหาที่พักให้พวกเขาใหม่
ในจำนวนนั้นองค์ชายห้าซึ่งมีนามเดิมว่าซือเยี่ยนจือ ภายหลังถูกบังคับให้เปลี่ยนไปใช้สกุลจ้าว จึงมีชื่อว่าจ้าวเยี่ยนจือ
นอกความฝันเขา ‘หายสาบสูญ’ ไปนานแล้ว บัดนี้กลับปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
แม้กระทั่งฉิวเซิ่งไป๋เองยังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
เรื่องคนตายฟื้นคืนชีพแพร่สะพัดไปอย่างครึกโครมในเวลาอันรวดเร็ว
ตามความเห็นของตี้อีชิวควรบุกเบิกพื้นที่ใหม่ให้คนเหล่านี้อยู่แยกต่างหากจากคนทั่วไป เพื่อป้องกันมิให้เกิดเภทภัยขึ้น
แต่ยามบ่ายซือเวิ่นอวี๋กลับประกาศพระราชโองการฉบับหนึ่ง
เนื้อความในพระราชโองการคือฟ้าดินมีเมตตา ให้กำเนิดและเลี้ยงดูสรรพสิ่ง สรรพสิ่งก่อกำเนิดและเติบโต ตายไปและดับสูญ จากนั้นก็ก่อกำเนิดและเติบโตอีกครา ในเมื่อได้มีชีวิตใหม่ก็เหมือนเกิดใหม่อีกครั้ง
พระราชโองการฉบับนี้ถูกประกาศออกไปภายในวันนั้น ดังนั้นคนที่ฟื้นคืนชีพในความฝันจึงได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป
ราษฎรต่างซาบซึ้งในพระเมตตาของฮ่องเต้ ทว่าก็มีคนหวาดหวั่นเป็นกังวลเช่นเดียวกัน ชั่วขณะจึงเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว
สำนักเซียนอวี้หู
หวงซู่ยังคงอาละวาดโวยวาย เรียกร้องจะพบหวงหร่าง
เซี่ยเซ่าชงรู้ว่าเขาเป็นเพียงตัวตลกที่กระโดดข้ามคาน* จึงส่งคนไปสกัดเขาไว้นอกประตูเขาเท่านั้น แต่อีกสามคนที่เหลือไม่ว่าจะทำอย่างไรก็มิอาจสกัดไว้ได้
เหอซีจิน จางซูจิ่ว และอู่จื่อโฉ่วเดินทางมาด้วยกันสามคน เรียกร้องขอพบเซี่ยหงเฉินและหวงหร่างเช่นเดียวกัน
พวกเขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าหวงหร่างมิได้อยู่ที่สำนักเซียนอวี้หู แต่พวกเขารู้มากไปกว่านั้นว่าในตอนนี้หวงหร่างปากเอ่ยคำพูดไม่ได้ ร่างกายมิอาจขยับ ความจริงแล้วไม่อาจซักถามอะไรจากปากนางได้ทั้งนั้น จึงได้แต่มาคาดคั้นสำนักเซียนอวี้หู คาดคั้นเซี่ยหงเฉิน หรือแม้กระทั่งเซี่ยหลิงปี้!
ร้อยปีในความฝันหวงหร่างปรับปรุงเมล็ดพันธุ์จำหน่ายมาโดยตลอด ช่วยเหลือผู้คนนับไม่ถ้วน
ส่วนนอกความฝัน ในฐานะนักปรับปรุงพันธุ์พืชก็กล่าวได้ว่าหวงหร่างเป็นผู้มีชื่อเสียง
บัดนี้เหอซีจิน จางซูจิ่ว และอู่จื่อโฉ่วย่อมรู้สึกเดือดดาล จะต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่
หลังจากความฝันทั้งสองครั้ง หัวลูกศรล้วนชี้ไปที่เซี่ยหลิงปี้ นี่คงมิใช่เป็นความบังเอิญกระมัง
…ชาวบ้านถึงขั้นเล่าลือกันว่าเซี่ยหลิงปี้บังเกิดความคิดต่ำช้ากับหวงหร่างจึงปองร้ายนาง ส่วนหวงหร่างก็กลายเป็นผีร้าย
สองครั้งที่เข้าสู่ห้วงฝันเป็นเพราะความแค้นของนางยังไม่สลายหายไป จึงเข้าไปเพื่อแก้แค้นเซี่ยหลิงปี้
ทั้งสามคนได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วย่อมเดือดดาลมากกว่าเดิม ทว่าพวกเขาไม่ได้พบเซี่ยหงเฉิน
บัดนี้เซี่ยหลิงปี้ป่วยหนัก ไม่สามารถพบแขกได้โดยสิ้นเชิง ส่วนเซี่ยหงเฉินก็ไม่ได้อยู่ที่สำนักเซียนอวี้หู
เมืองหลวง กรมซือเทียน
หิมะสีขาวปกคลุมถนนยาว คอเสื้อขององครักษ์หน้าจวนมีน้ำแข็งเกาะ
เวลานี้เองทุกคนรู้สึกว่าตรงหน้าสว่างวาบราวกับฟ้าดินมีแสงเจิดจ้าสาดออกมากะทันหัน องครักษ์สองคนมองตามแสงไป เห็นคนผู้หนึ่งกางร่มเดินเข้ามา
สองตาของเขาพันด้วยแถบผ้าสีขาว อาภรณ์สีขาวทั้งร่างปราศจากฝุ่นธุลี รองเท้าผ้าไหมที่สวมใส่ไม่แปดเปื้อน
หิมะตกหนักเช่นนี้ ใต้ฝ่าเท้าของทุกคนล้วนเฉอะแฉะสกปรก แต่เขากลับเหมือนลอยลงมาจากก้อนเมฆ ท่วงทีสง่างาม
เขามาถึงหน้าประตู หุบร่มกระดาษเคลือบน้ำมัน ยื่นเทียบชื่อออกไปพลางเอ่ยว่า “ประมุขสำนักเซียนอวี้หูเซี่ยหงเฉินมาขอพบเจ้ากรมซือเทียนตี้อีชิว”
เซี่ยหงเฉิน!
ลูกกระเดือกขององครักษ์ขยับไปมา เนิ่นนานจึงตอบว่า “ประมุขสำนักเซี่ยโปรดรอสักครู่”
เขาไม่สงสัยฐานะของคนตรงหน้าแม้แต่น้อย
…มีเพียงท่วงทีเช่นนี้เท่านั้นจึงจะคู่ควรกับฉายาเซียนกระบี่อันดับหนึ่งแห่งสำนักเซียน
กองเสวียนอู่ ห้องหนังสือ
ตี้อีชิวกำลังพลิกดูเอกสารที่ส่งมาจากที่ต่างๆ พยายามหาเงื่อนงำบางอย่างจาก ‘คนตายที่ฟื้นคืนชีพ’ ทว่าพลิกดูไปมาแล้วเหมือนจะไม่มีร่องรอยใดๆ
เก้าอี้ล้อเข็นของหวงหร่างถูกเข็นมาข้างโต๊ะทำงานของเขา พอสามารถอ่านเนื้อความในเอกสารของเขาได้ สิ่งนี้ก็ทำให้นางไม่รู้สึกเบื่อหน่ายถึงเพียงนั้น
จู่ๆ หลี่ลู่ก็มารายงานด้วยตนเองที่หน้าประตู “เจ้ากรม ประมุขสำนักเซี่ย เซี่ยหงเฉินมาขอพบขอรับ”
เซี่ยหงเฉิน
ตี้อีชิวได้ยินชื่อนี้แล้วก็บังเกิดความรังเกียจขึ้นมาโดยพลัน ครั้นนึกถึงเรื่องราวในความฝันประหลาด สีหน้าเขาก็พลันแปลกไป…จะไม่แปลกได้อย่างไร เขาเกือบยกย่องคนผู้นี้เป็นพ่อตาของตนเองอยู่แล้ว
“ประมุขสำนักเซี่ยอายุปูนนี้ ดวงตาก็ใช้การได้ไม่ค่อยดี คลำทางมาตลอดทางเช่นนี้คงลำบากไม่น้อย ปล่อยให้เขารออยู่กลางหิมะช่างเสียมารยาทโดยแท้” ใต้เท้าเจ้ากรมกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดสี “ยังไม่รีบเชิญเข้ามาดื่มชาในห้องโถงรับแขกอีก”
หลี่ลู่อยากจะเปิดหน้าต่างให้หวงหร่างเหลือเกิน จะได้ระบายกลิ่นน้ำส้มที่กระจายอยู่ทั่วห้องหนังสือออกไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 ก.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.