บทที่ 67 หลบหนี
เซี่ยหลิงปี้ ‘สวม’ ร่างของเซี่ยหงเฉินเดินออกจากตำหนักหลัวฝูไปอย่างเปิดเผยเช่นนี้เอง ส่วนเซี่ยหงเฉินถูกกักขังอยู่ในร่างของเซี่ยหลิงปี้ แม้กระทั่งเรี่ยวแรงจะตามไปยังไม่มี เขาทรุดนั่งลงบนเตียง เสียงของฉิวไฉ่ลิ่งและคนอื่นๆ ลอยมาจากข้างนอก
เซี่ยหงเฉินหลับตาพักผ่อน เขารู้ว่าผู้อาวุโสเหล่านั้นกำลังถกเถียงอะไรกัน
พวกเขาไม่มีทางเห็นด้วยกับการพิจารณาตัดสินเซี่ยหลิงปี้อย่างเปิดเผย เรื่องมาถึงบัดนี้เซี่ยหงเฉินย่อมกระจ่างแจ้งเป็นอย่างดี
ผู้อาวุโสเหล่านั้นแม้ปกติจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในสำนัก แต่พวกเขาต่างหากที่เป็นป้ายบูชาองค์เทพ* ที่แท้จริงของสำนักเซียนอวี้หู ทั้งยังเป็นหลักยึดที่แท้จริงที่ทำให้สำนักเซียนอวี้หูได้ชื่อว่าเป็นสำนักเซียนอันดับหนึ่ง
พวกเขาแต่ละคนอายุยืนนาน อยู่เหนือโลกธุลีมานานแล้ว แน่นอนว่าในยามปกติย่อมไม่มาแก่งแย่งอำนาจช่วงชิงผลประโยชน์
ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมหรือพลังวัตร พวกเขาล้วนพึงพอใจเซี่ยหงเฉินอย่างยิ่ง หลายปีมานี้ผู้อาวุโสในสำนักเซียนรักและปกป้องเซี่ยหงเฉินมาโดยตลอด ถึงขั้นให้ความสำคัญกับเขายิ่งกว่าเซี่ยหลิงปี้
แต่นี่มิได้หมายความว่าเซี่ยหงเฉินจะพิจารณาตัดสินเซี่ยหลิงปี้อย่างเปิดเผยได้!
ถึงอย่างไรเซี่ยหลิงปี้ก็เป็นประมุขสำนักคนก่อนของสำนักเซียนอวี้หู หากพลังวัตรของเขาไม่ติดขัดอะไร อีกสองร้อยกว่าปีเขาก็จะได้ขึ้นเป็นผู้อาวุโส ใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรี
ฉิวไฉ่ลิ่งและคนอื่นๆ สามารถไม่สนใจเซี่ยหลิงปี้ ถึงขั้นที่ว่าพวกเขาอาจไม่ชอบการกระทำของเซี่ยหลิงปี้
ทว่าใครก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าเซี่ยหลิงปี้ที่อยู่ในฐานะปรมาจารย์สั่งสมบารมีมาหลายปี นับเป็นส่วนหนึ่งของชื่อเสียงและหน้าตาของสำนักเซียนอวี้หูไปแล้ว
บัดนี้เซี่ยหงเฉินคิดจะพิจารณาตัดสินเซี่ยหลิงปี้อย่างเปิดเผย มิเพียงเป็นการกระทำที่ผู้เยาว์ล่วงเกินผู้อาวุโส ทว่ายังเป็นการไม่สนใจชื่อเสียงและหน้าตาของสำนัก!
ไม่ว่าเซี่ยหลิงปี้ทำอะไรลงไป บรรดาผู้อาวุโสย่อมต้องปกป้องเขาอย่างสุดกำลัง
เว้นเสียแต่ว่า…ความผิดของเขาจะหนักหนาสาหัสเกินไป ผู้คนรู้กันทั่วหล้าจนไม่ว่าใครก็มิอาจปกป้องเขาได้อีก
เซี่ยหงเฉินไม่อยากคิดเช่นนี้ เขาแลกร่างกายกับเซี่ยหลิงปี้นับเป็นการตอบแทนไมตรีฉันอาจารย์กับศิษย์ครั้งสุดท้ายอย่างเต็มที่แล้ว เขาหวังว่านับแต่นี้ไปเซี่ยหลิงปี้จะสำรวมตน หรือไม่ก็…จ่ายค่าตอบแทนในสิ่งที่ได้กระทำลงไป
ตำหนักเยี่ยอวิ๋น
‘เซี่ยหงเฉิน’ นั่งอยู่หน้าโต๊ะ ผู้อาวุโสทั้งหลายมากันพร้อมหน้าแล้ว และนั่งลงด้านข้างเขา
เขาวางท่าเป็นประมุขสำนัก ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ขมวดคิ้ว แต่ก็มิได้เอ่ยอะไร
ฉิวไฉ่ลิ่งกล่าวว่า “ประมุขสำนักก็เห็นแล้ว บัดนี้เซี่ยหลิงปี้เป็นตะเกียงที่ใกล้หมดน้ำมัน ดูไปแล้วคงเหลือเวลาอีกไม่นาน หรือประมุขสำนักยังจะคว้าจับความผิดเล็กน้อยของเขาไว้ไม่ยอมปล่อย”
คำพูดนี้สะท้อนความไม่พอใจอย่างยิ่ง ผู้อาวุโสคนอื่นๆ แต่ละคนหน้าบึ้งตึง
บรรยากาศภายในตำหนักตึงเครียดเป็นพิเศษ
แน่นอนว่าในตอนนี้เซี่ยหลิงปี้ได้กลายเป็นเซี่ยหงเฉินไปแล้ว
เขาได้ชีวิตใหม่อีกครั้ง ในใจย่อมคลุ้มคลั่งยินดี แต่กลับรู้สึกรังเกียจผู้อาวุโสเหล่านี้นัก
ความจริงแล้วตอนเซี่ยหลิงปี้ดำรงตำแหน่งประมุขสำนัก เขาไม่เป็นที่ชื่นชอบของบรรดาผู้อาวุโส เขาเป็นคนดื้อรั้นมากทิฐิ บรรดาผู้อาวุโสจึงค่อนข้างไม่พอใจเขา
เพียงแต่สำนักต้องการคนดูแล เวลานั้นในบรรดาศิษย์ทั้งหมดเซี่ยหลิงปี้ก็โดดเด่นจริงๆ
แม้ทุกคนจะไม่ชอบ แต่ก็มิได้คัดค้าน
บัดนี้เมื่อเห็นคนเหล่านี้วางอำนาจทำท่าจะเอาผิดตน แม้เซี่ยหลิงปี้จะนึกรำคาญ ทว่ากลับได้แต่เสแสร้งแสดงความใจกว้างและความอดทนออกมาผ่านใบหน้าของเซี่ยหงเฉิน!
ตาเฒ่าพวกนี้มีหรือจะนึกถึงข้าอย่างแท้จริง
ยามนี้ฉิวไฉ่ลิ่งเอ่ยว่า “หลายปีมานี้หลิงปี้คงจะกระทำเรื่องผิดพลาดมาบ้าง บัดนี้อายุขัยของเขาใกล้จะหมดลง หากประมุขสำนักยังคงติดใจเรื่องนี้ จบชีวิตเขาอย่างลับๆ เสียก็สิ้นเรื่อง ไยต้องทำให้ปลาตายตาข่ายขาด* บอบช้ำกันทั้งสองฝ่ายด้วยเล่า”
คำพูดนี้ของฉิวไฉ่ลิ่งทำเอาเซี่ยหลิงปี้ฟังแล้วบังเกิดความหนาวเหน็บในใจ
ตาเฒ่าพวกนี้คิดจะกำจัดเขาอย่างเงียบๆ จริงๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ไยเขาต้องเกรงใจอีกเล่า
ฉิวไฉ่ลิ่งเพิ่งจะพูดจบ คังเสวี่ยถงผู้อาวุโสอีกคนก็เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสฉิวกล่าวถูกต้อง ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือหาวิธีกอบกู้ชื่อเสียงของสำนักกลับคืนมา เซี่ยหลิงปี้จะถูกพิจารณาตัดสินอย่างเปิดเผยไม่ได้”
นี่เป็นการออกคำสั่งโดยสมบูรณ์
เพลิงโทสะลุกโชนในใจเซี่ยหลิงปี้ ตอนเขาเป็นประมุขสำนักก็ต้องอดทนกับผู้อาวุโสเหล่านี้มามากพอแล้ว บัดนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะเปลี่ยนเอาร่างของเซี่ยหงเฉินมาได้ ไม่คิดว่ายังต้องอดทนกับการชี้นิ้วสั่งการของตาเฒ่าพวกนี้อีก
ในสำนักแห่งนี้คนที่หวังให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดีมีเพียงเซี่ยหงเฉินที่ประกาศว่าจะพิจารณาตัดสินเขาอย่างเปิดเผย!
ช่างเป็นเรื่องขบขันจริงๆ
เซี่ยหลิงปี้ฝืนข่มกลั้นอารมณ์ไว้ แผนการชั่วร้ายอย่างหนึ่งก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ เขากล่าวว่า “ผู้อาวุโสทุกท่าน ในเมื่อข้าเป็นประมุขสำนัก เรื่องนี้ย่อมสามารถตัดสินใจได้เอง ทุกคนไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก”
นี่เท่ากับเป็นการต่อต้านอย่างเปิดเผย! พวกฉิวไฉ่ลิ่งต่างตกใจและโมโหยิ่งนัก
…นี่มิใช่ลักษณะนิสัยของเซี่ยหงเฉิน
เซี่ยหงเฉินผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นคนใจกว้างเมตตาและสุภาพอ่อนโยน เขาปกครองสำนักอย่างรอบคอบระวัง ยินดีทุ่มเทความคิดจิตใจ ยึดหลักการประนีประนอม
นี่เป็นเหตุผลที่สำนักเซียนสนับสนุนเขายิ่งกว่าใคร
แต่วันนี้เหตุใดนิสัยเขาถึงเปลี่ยนไปมาก ดึงดันในความคิดของตนเพียงนี้
ตอนที่พวกฉิวไฉ่ลิ่งเดินออกจากตำหนักเยี่ยอวิ๋น แต่ละคนใบหน้าเขียวคล้ำ
เรื่องมาถึงบัดนี้ มิใช่การพิจารณาตัดสินเซี่ยหลิงปี้อย่างเปิดเผยหรือไม่อีกแล้ว แต่เป็นความขัดแย้งระหว่างผู้กุมอำนาจสำนักและเหล่าผู้อาวุโส
ตำหนักหลัวฝู
บนเตียงคนป่วย ‘เซี่ยหลิงปี้’ นั่งขัดสมาธิ หลังชนผนังห้อง เส้นผมขาวโพลนแผ่สยายปิดบังใบหน้า
‘เซี่ยหงเฉิน’ ผลักประตูเข้ามา แต่เสียงนี้มิได้ทำให้ ‘เซี่ยหลิงปี้’ สนใจ เขาถึงขั้นไม่เงยหน้าขึ้นมองด้วยซ้ำ ‘เซี่ยหงเฉิน’ ได้แต่หยิบยาลูกกลอนออกมาสองเม็ดแล้ววางลงตรงหน้าเขา
“ร่างกายนี้บาดเจ็บสาหัส เกรงว่าคงเหลือเวลาอีกไม่มาก แม้ยาลูกกลอนมิอาจรักษาโรคได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถต่อชีวิตได้” ยามเขาเอ่ยปากก็เป็นเสียงของเซี่ยหงเฉิน แต่สิ่งที่อยู่ภายในกลับเป็นดวงจิตของเซี่ยหลิงปี้
พอเห็นว่าคนที่นั่งพิงผนังห้องเป็นตัวเขาเอง เซี่ยหลิงปี้ก็รู้สึกว่าภาพนี้ช่างแปลกประหลาดโดยแท้
คนที่นั่งขัดสมาธิพิงผนังห้องลืมตาขึ้นในที่สุด เวลานี้เซี่ยหงเฉินน่าจะปวดศีรษะเหมือนกะโหลกจะแตก ความรู้สึกเช่นนั้นเซี่ยหลิงปี้เข้าใจดีที่สุด
ทว่าสีหน้าเซี่ยหงเฉินกลับนิ่งสงบมาก ดูไม่ออกว่ากำลังเจ็บปวดทรมาน
ยามที่เขาเอ่ยปาก เซี่ยหลิงปี้ก็ได้ยินเสียงของตนเอง อดมิได้ที่จะเหม่อลอยไปพักหนึ่ง
เซี่ยหงเฉินพูดช้าๆ “ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดท่านอาจารย์ถึงฝึกคัมภีร์ปีศาจมารวิญญาณ แต่ตอนนี้ท่านได้ร่างกายของข้าไปแล้ว หวังว่าท่านอาจารย์จะขจัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมด ระงับกิเลสของตนเอง”
“หุบปาก!” เซี่ยหลิงปี้ตำหนิ “ขจัดความคิดฟุ้งซ่าน ระงับกิเลส จากนั้นก็มีสภาพเหมือนเจ้าในตอนนี้หรือ หงเฉิน เจ้ามีนิสัยใจอ่อนชอบเมตตา ต่อให้มีแก่นกระดูกล้ำเลิศไร้ผู้เทียบเทียม สุดท้ายก็ยากจะทำการใหญ่ให้สำเร็จได้!”
กล่าวจบเขาก็หันหลังทำท่าจะเดินออกไป เซี่ยหงเฉินที่อยู่ข้างหลังถอนหายใจเบาๆ ก่อนเอ่ยโน้มน้าวว่า “ท่านอาจารย์ได้ชีวิตใหม่แล้ว ควรหันหลังกลับโดยเร็ว”
เซี่ยหลิงปี้มีหรือจะรับฟังคำพูดของเขา
“หันหลังกลับหรือ” เขาหัวเราะหยัน ดวงตาฉายแววเวทนา “เจ้าไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ช่างน่าสงสารจริงๆ”
ข้าควรจะสังหารคนผู้นี้ให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว เซี่ยหลิงปี้คิด แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ลงมือ
หากสังหารเขาในตอนนี้ พวกฉิวไฉ่ลิ่งย่อมไม่พูดมากอีก ความลับของตนก็จะไม่มีผู้ใดล่วงรู้อีก เซี่ยหลิงปี้เหลือบมองคนบนเตียงอีกครั้ง จิตสังหารผุดขึ้นเพียงชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็เลือนหายไป
เขาประหลาดใจในความใจอ่อนชั่วขณะของตน แต่ก็ทำได้เพียงหันหลังจากไป
กรมซือเทียน
ตี้อีชิวห่อร่างหวงหร่างจนอบอุ่น เขากำลังล้างหน้าให้นาง จู่ๆ ข้างนอกก็มีคนมารายงาน “เจ้ากรม ข้างนอกมีคนบอกว่าศิษย์คนโตของประมุขสำนักเซี่ยนามเนี่ยชิงหลันส่งของสิ่งนี้มาให้ขอรับ”
เหมียวอวิ๋นจือกำลังฝังเข็มให้หวงหร่าง พอได้ยินดังนั้นก็เอ่ยว่า “คงเป็นเซี่ยหงเฉินส่งตำราเกี่ยวกับเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกมาให้ เข็มนี้มาจากสำนักเซียนอวี้หู เขาย่อมรู้จักมันดียิ่งกว่าใคร”
ตี้อีชิวรับของสิ่งนั้นมาทันที พบว่าเป็นวัตถุวิเศษเก็บของชิ้นหนึ่ง
เขาเปิดวัตถุวิเศษออกดู ข้างในเป็นตำราเวทและคัมภีร์ต่างๆ จริงดังคาด
“รบกวนผู้อาวุโสแล้ว” ตี้อีชิวมอบของเหล่านี้ให้เหมียวอวิ๋นจือ แต่ไม่ทันระวังจึงมีกระดาษสองแผ่นร่วงลงมา
“นี่คือสิ่งใด” เหมียวอวิ๋นจือเก็บขึ้นมา เห็นกระดาษสองแผ่นนี้ แผ่นหนึ่งวาดยันต์คาถาไว้สองชุด แต่รูปลักษณ์ของยันต์แปลกประหลาดอย่างยิ่ง มิใช่ยันต์ที่พบเห็นได้บ่อยๆ แผ่นที่สองเป็นกระบวนท่ากระบี่และเคล็ดวิชาฝึกจิต
บนกระดาษทั้งสองแผ่นล้วนไม่มีคำอธิบายใดๆ
ตี้อีชิวพิจารณาดูอย่างละเอียด ทว่าเขาไม่ค่อยเข้าใจนัก จึงตบมันลงบนโต๊ะส่งเดช “มีหัวไม่มีท้าย จงใจเล่นอุบายกระมัง”
เหมียวอวิ๋นจือรู้ว่าสองคนนี้ไม่ถูกกันจึงกล่าวว่า “ในเมื่อเซี่ยหงเฉินส่งของเหล่านี้มาย่อมต้องมีเหตุผลแน่นอน เจ้ากรมควรจะให้ความสำคัญ”
เซี่ยหงเฉินมิใช่คนไร้แก่นสาร ใต้เท้าเจ้ากรมย่อมรู้อยู่แล้ว ภายนอกแม้เขาจะทำท่าดูแคลน แต่ยังคงคลี่กระดาษสองแผ่นนั้นออกแล้วศึกษาดูอย่างละเอียด นี่เป็นกระบวนท่ากระบี่และเคล็ดวิชาฝึกจิต เพียงแต่จู่ๆ เซี่ยหงเฉินส่งของสิ่งนี้มาชวนให้คนไม่เข้าใจจริงๆ
“ยันต์คาถานี้คือสิ่งใด” ใต้เท้าเจ้ากรมถือไว้ในมือ เขาดูไม่รู้เรื่องจึงได้แต่พลิกเปิดตำรา
สำนักเซียนอวี้หู
‘เซี่ยหงเฉิน’ นัดหมายฉิวไฉ่ลิ่งมาสนทนาอย่างลับๆ ที่ยอดเขาเตี่ยนชุ่ยอีกครั้ง อ้างว่าเป็นเรื่องการพิจารณาตัดสินคดีของเซี่ยหลิงปี้
ตอนฉิวไฉ่ลิ่งเข้าไปในตำหนักเยี่ยอวิ๋น สีหน้าเขาอึมครึม หากมิใช่ว่าที่ผ่านมาเขารู้สึกดีต่อเซี่ยหงเฉิน เกรงว่าวันนี้เขาคงไม่มา
แม้เหล่าผู้อาวุโสไม่ก้าวก่ายกิจในสำนัก แต่ก็เป็นกำลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนัก
ผู้อาวุโสที่เร้นกายจากใต้หล้าไม่ออกหน้าเหล่านี้ หากพบว่าคำพูดของตนใช้การไม่ได้ พวกเขาย่อมคิดหาวิธีทำให้มันยังใช้การได้ต่อไป
ตอนนี้ในเหล่าผู้อาวุโสมีคนเสนอว่า…ให้ยึดอำนาจประมุขสำนักไว้ชั่วคราว
แต่ถึงอย่างไรหลายปีมานี้เซี่ยหงเฉินก็ได้รับคำชื่นชมจากทุกคนมากทีเดียว และในบรรดาศิษย์รุ่นถัดไป เนี่ยชิงหลันก็ยังไม่มีความสามารถมากพอที่จะประคับประคองสำนักได้
ดังนั้นเมื่อ ‘เซี่ยหงเฉิน’ เชื้อเชิญอีกครั้ง ฉิวไฉ่ลิ่งยังคงมาตามนัด
ครั้งนี้ ‘เซี่ยหงเฉิน’ ดูอ่อนน้อมถ่อมตนมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
เขาลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสฉิว เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าเองก็เป็นเพราะรักใคร่ภรรยา เห็นกับตาว่านางถูกทรมานจึงโมโหไปชั่วขณะ หาได้มีเจตนาฝ่าฝืนคำสั่งของผู้อาวุโสทุกท่านไม่ ขอท่านโปรดอภัยด้วย”
เขาเอ่ยปากก็แสดงความนอบน้อม ทั้งยังอ้างเหตุผลว่า ‘รักภรรยา’ สีหน้าของฉิวไฉ่ลิ่งจึงดีขึ้นเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกแล้ว ต่อให้หวงหร่างถูกเซี่ยหลิงปี้ทำร้ายจริง ตอนนี้เรื่องราวก็มิอาจเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขได้อีก เซี่ยหลิงปี้ผู้นี้หากเขามีความผิดจริง ตรวจสอบให้กระจ่างภายในสำนักและลงทัณฑ์เขาเงียบๆ ก็ใช้ได้แล้ว ไยต้องดึงดันทำให้เรื่องนี้รู้กันไปทั่วด้วยเล่า” เขาพูดด้วยความหวังดี ทั้งหมดล้วนทำไปเพื่อสำนัก “เจ้าเป็นศิษย์สายตรงของเขา ส่วนเขาเป็นปรมาจารย์ของสำนักเซียนอวี้หู หากพวกเจ้าทั้งสองคนขัดแย้งกันขึ้นมาจะดูได้หรือ”
‘เซี่ยหงเฉิน’ อมยิ้ม รินชาถ้วยหนึ่งให้เขาแล้วเอ่ยขออภัย “ผู้อาวุโสฉิวกล่าวถูกต้อง เรื่องนี้เป็นข้าที่บุ่มบ่าม”
ฉิวไฉ่ลิ่งยื่นมือออกไปหมายจะรับถ้วยชาจากมือเขา ยังคงพูดว่า “หากเจ้าสำนึกแก้ไขได้ทันเวลา ข้าจะไปหารือกับบรรดาผู้อาวุโสอีกครั้ง เรื่องนี้…”
พอเขาเอ่ยถึงตรงนี้ ทันใดนั้น ‘เซี่ยหงเฉิน’ ก็ทำมือเป็นมุทรา จู่โจมมาที่เขาอย่างว่องไวปานสายฟ้า
ฉิวไฉ่ลิ่งตะลึงงัน เห็นเพียงหมอกดำกลุ่มหนึ่งพุ่งขึ้นมากะทันหัน เกิดเสียงดังสนั่น เขากระอักโลหิตออกมาคราหนึ่งทันที ก่อนจะตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น!
เซี่ยหงเฉินลอบจู่โจมเขา!
เขาเบิกตาโต เนิ่นนานก็ยังไม่อยากจะเชื่อ!
เบื้องหน้า ‘เซี่ยหงเฉิน’ จู่โจมสำเร็จในคราวเดียว เขายิ้มประหลาดพลางเอ่ยว่า “ตาเฒ่าฉิว ข้าทนเจ้ามาหลายปีแล้ว”
ฉิวไฉ่ลิ่งล้วงธงห้าสีผืนหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เขาโบกธงเบาๆ คนก็หายวับไปจากที่เดิม
‘เซี่ยหงเฉิน’ โจมตีความว่างเปล่า ฉิวไฉ่ลิ่งเห็นท่าร่างและวิชาของเขาแล้ว ทว่าเนิ่นนานกว่าจะเข้าใจ “เจ้าไม่ใช่เซี่ยหงเฉิน! เจ้าเป็นใคร!”
เขาตวาดถามเสียงเฉียบขาด ส่วน ‘เซี่ยหงเฉิน’ ที่อยู่เบื้องหน้ามีไอดำรวมตัวอยู่บนร่าง ไอนั้นพัวพันธงห้าสีในมือเขา
พอฉิวไฉ่ลิ่งโบกธงอีกครั้ง หมอกดำพลันหนาขึ้น ‘เซี่ยหงเฉิน’ พุ่งเข้ามาทันใด เตะธงห้าสีในมือเขาจนลอยกระเด็น จากนั้นก็ถีบเข้าที่เอวจนเขาล้มลง
“สมัยที่ข้าเป็นประมุขสำนัก เจ้าก็ชอบบงการควบคุม คิดไม่ถึงว่าผ่านมาหลายปีเจ้ายังไม่รู้จักสำรวมตนอีก” ดวงตาของ ‘เซี่ยหงเฉิน’ เต็มไปด้วยความโกรธแค้น เท้าหนึ่งเหยียบเอวอีกฝ่ายและค่อยๆ ออกแรง “ในเมื่อเจ้าสำรวมตนไม่ได้ ให้ข้าช่วยสงบใจให้เจ้าก็แล้วกัน!”
เขาซัดฝ่ามือลงไปอีกที ฉิวไฉ่ลิ่งฝืนต้านรับไว้ได้ กระบวนท่าที่คุ้นเคยนี้ทำให้เขามั่นใจในที่สุดว่าคนตรงหน้าเป็นใคร!
“เซี่ยหลิงปี้!” ฉิวไฉ่ลิ่งตื่นตระหนก “เจ้า…นี่เจ้าถึงกับ…” แม้จะแน่ใจฐานะของคนตรงหน้าแล้ว ฉิวไฉ่ลิ่งก็ยังคงไม่กล้าเชื่อ “เจ้าถึงกับชิงร่างของประมุขสำนัก!”
“ประมุขสำนัก! ฮ่าๆ” เซี่ยหลิงปี้เดินเข้าไปใกล้เขาช้าๆ ใบหน้าของเซี่ยหงเฉินที่เดิมทีสูงสง่าหมดจด บัดนี้กลับบิดเบี้ยวเหมือนสัตว์ประหลาดที่มีโลหิตไหลย้อยลงมาจากเขี้ยว “เขาโง่เขลาเกินไป เด็กโง่เขลาเช่นนี้ข้าอยากจะเลี้ยงดูไว้สักหลายคนจริงๆ”
“เจ้าสังหารเขาหรือ” โลหิตของฉิวไฉ่ลิ่งจับตัวเป็นน้ำแข็ง “สิ่งที่เจ้าใช้เมื่อครู่นี้เป็นวิชามารอะไร”
เซี่ยหลิงปี้ยื่นมือออกไป มือของเซี่ยหงเฉินเดิมทีเรียวยาวสะอาดสะอ้าน แต่ยามนี้บนมือกลับเต็มไปด้วยเส้นลมปราณสีเขียวดำที่พัวพันกัน ดูแล้วน่าสยดสยองยิ่ง
“ผู้อาวุโสฉิวอยากรู้หรือ”
นิ้วมือทั้งห้าของเซี่ยหลิงปี้รวบเข้าด้วยกัน ฉิวไฉ่ลิ่งรู้สึกว่าถูกขุมพลังมหาศาลดึงดูด พลังวัตรของเขาหลั่งไหลไปยังเซี่ยหลิงปี้อย่างต่อเนื่อง
“เช่นนั้นให้ข้าอธิบายให้ผู้อาวุโสฟังอย่างละเอียดแล้วกัน!” น้ำเสียงของเซี่ยหลิงปี้เต็มไปด้วยความกระหยิ่มยิ่มย่อง
“เป็น…คัมภีร์ปีศาจมารวิญญาณ!” ฉิวไฉ่ลิ่งเอ่ยออกมาช้าๆ แต่แล้วก็เปล่งเสียงอย่างยากลำบาก “เป็นไปได้อย่างไร ต่อให้เป็นคัมภีร์ปีศาจมารวิญญาณจะมีอานุภาพถึงเพียงนี้ได้อย่างไร”
เซี่ยหลิงปี้ยิ้มพลางเอ่ย “แปลกใจหรือ ที่แท้บรรดาผู้อาวุโสก็มีเรื่องที่ไม่รู้อยู่เช่นกัน ข้ายังคิดว่าพวกเจ้ารู้ทุกเรื่องเสียอีก”
เขาดูดพลังวัตรส่วนสุดท้ายของฉิวไฉ่ลิ่งไป จากนั้นก็โยนอีกฝ่ายลงกับพื้น
“ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งหมดข้าชิงชังเจ้าที่สุด!” เขาเอ่ยพลางดึงเข็มทองสองเล่มออกมาจากเอว เข็มทองเรียวยาว บนนั้นสลักยันต์ของข่ายอาคมไว้นับไม่ถ้วน ฉิวไฉ่ลิ่งเห็นแล้วใบหน้าก็เปลี่ยนสีไปทันใด!
“เซี่ยหลิงปี้ เจ้าคิดจะทำอะไร!” ฉิวไฉ่ลิ่งใช้สองมือยันพื้น ถอยไปข้างหลังอย่างลนลาน
“ทำอะไรหรือ” เซี่ยหลิงปี้เอ่ย “แน่นอนว่าทำให้ผู้อาวุโสได้เห็นอาวุธลงทัณฑ์ที่ร้ายแรงของสำนักเราอย่างไรเล่า”
ชั่วเวลานั้นในใจฉิวไฉ่ลิ่งผุดความหวาดกลัวไม่สิ้นสุดขึ้นมา
เขาเป็นผู้อาวุโสของสำนัก ย่อมกระจ่างแจ้งถึงความร้ายกาจของเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกนี่
เมื่อวานตอนเซี่ยหงเฉินพูดเรื่องที่หวงหร่างถูกลงทัณฑ์ด้วยของสิ่งนี้อย่างไม่เป็นธรรม อันที่จริงในใจฉิวไฉ่ลิ่งหาได้รู้สึกอะไรไม่ จะว่าไปแล้วก็แค่สตรีผู้หนึ่งที่หมดทางรักษาเยียวยาแล้วเท่านั้น
เซี่ยหงเฉินเป็นถึงประมุขสำนัก เดิมทีก็ควรเห็นแก่ส่วนรวม จะยึดติดกับความรักใคร่ฉันชายหญิงได้อย่างไร
แต่มาบัดนี้พอเขาเห็นเข็มทองสองเล่มนี้แล้ว ในใจก็บังเกิดความหนาวยะเยือกอย่างแท้จริง
วิชามารของเซี่ยหลิงปี้แปลกประหลาดโดยแท้ คล้ายกับวิชาในคัมภีร์ปีศาจมารวิญญาณ แต่อานุภาพรุนแรงกว่ามาก
ยามนี้พลังวัตรในร่างเขาสูญสิ้น มิอาจต่อต้านโดยสิ้นเชิง ขณะที่ถอยหลังช้าๆ เขารู้สึกสิ้นหวังเหมือนผู้อื่นเป็นมีด ตนเองเป็นปลาบนเขียงปานนั้น
เซี่ยหลิงปี้ใช้เข็มแทงลงไป แต่ประกายแสงหลากสีในมือฉิวไฉ่ลิ่งสาดส่อง จากนั้นคนทั้งคนก็หายวับไป
เขามีนามว่าไฉ่ลิ่ง* ในตัวมีธงบัญชาไม่รู้กี่ผืน ตาเฒ่าผู้นี้คิดจะเอาชนะเขาเป็นเรื่องง่าย แต่คิดจะสังหารเขากลับเป็นเรื่องที่ยาก
ยอดเขาเตี่ยนชุ่ยมีข่ายอาคมอยู่ ต่อให้เขามีของวิเศษก็หนีไปได้ไม่ไกล
เซี่ยหลิงปี้แค่นเสียงเย็นชา ค้นหาไปทั่ว ทันใดนั้นในห้องลับของตำหนักชั้นในก็มีเสียงแผ่วเบาลอยออกมา
เขากำลังจะตามเข้าไป เซี่ยเซ่าชงก็เอ่ยขึ้นที่นอกตำหนัก “ศิษย์พี่ ผู้อาวุโสคังเสวี่ยถงมาขอรับ”
“คังเสวี่ยถง?” ใบหน้าของเซี่ยหลิงปี้เผยรอยยิ้มประหลาด “เชิญนางเข้ามา”
เมืองหลวง กรมซือเทียน
ตี้อีชิวกำลังศึกษายันต์คาถาและกระบวนท่ากระบี่ที่เซี่ยหงเฉินส่งมาให้ ระหว่างนั้นฝูกงกงก็มาหา
เหมียวอวิ๋นจือขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีเรื่องไม่น้อยจริงๆ”
ตี้อีชิวไม่สนใจเขา เพียงเดินออกไปแล้วเอ่ยถาม “ฝูกงกงมีเรื่องใด ฝ่าบาททรงมีรับสั่งใดหรือ”
ฝูกงกงคลี่ยิ้มละไม ตอบว่า “ใช่แล้ว ฝ่าบาททรงมีรับสั่งว่าอีกประเดี๋ยวจะมีแขกมาเยือน เจ้ากรมอย่าเพิ่งออกไปที่ใด”
“แขกหรือ” ตี้อีชิวขมวดคิ้ว
ฝูกงกงพูดต่อ “ใช่แล้ว ฝ่าบาทยังตรัสว่าเจ้ากรมกับพี่น้องทั้งหลายไม่ได้พบกันนานแล้ว สั่งให้บ่าวผู้เฒ่าส่งตัวพวกเขามายังกรมซือเทียน ถามไถ่ทุกข์สุขกับเจ้ากรม และถือโอกาสนี้ร่วมกันต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์ด้วย”
ตี้อีชิวนับว่าฟังเข้าใจแล้ว ซือเวิ่นอวี๋กำลังบอกว่าจะมีศัตรูที่แข็งแกร่งบุกมาที่นี่
เขาหันไปมองเหมียวอวิ๋นจือ “เห็นทีผู้อาวุโสจะพูดถูก วันนี้ช่างมากด้วยเรื่องราวจนทำให้คนไม่ชอบใจจริงๆ”
หวงหร่างฟังคำพูดเช่นนี้แล้วก็อยากสัปหงก
ฝูกงกงโบกมือ จากนั้นข้างนอกก็มีรถม้าหลายคันแล่นเข้ามาในกองพยัคฆ์ขาว
ดูท่าบรรดาพี่น้องของใต้เท้าเจ้ากรมจะมาถึงแล้วจริงๆ
เนื่องจากพี่น้องมีจำนวนมากเกินไป ตี้อีชิวจึงจดจำได้ไม่หมด
พระโอรสพระธิดาเหล่านี้ แต่ละพระองค์สวมชุดคลุมสีดำ หลายพระองค์ยังมีผ้าโปร่งสีดำปกปิดใบหน้าไว้ เห็นได้ชัดว่ายังคงกลัวแสงอยู่บ้าง
เหมียวอวิ๋นจือกลับสนอกสนใจพวกเขาเหล่านี้มากทีเดียว พยายามสังเกตดูทีละพระองค์
นี่เป็นครั้งแรกที่หวงหร่างได้เห็นพระโอรสพระธิดามากมายเช่นนี้
พวกเขามีใบหน้าแข็งทื่อเย็นชา บางคนใบหน้าเต็มไปด้วยเกล็ดงู บางคนดวงตาเป็นเส้นตรงสีทอง
ดูไปแล้วหวงหร่างรู้สึกว่าตี้อีชิวกลับน่ามองมากที่สุด
นางพิจารณาพวกเขา พวกเขาก็พิจารณานางเช่นกัน
ในจำนวนนั้นมีคนเอ่ยขึ้นว่า “นี่คือของเล่นที่น้องแปดสิบหกกินอยู่หลับนอนด้วยหรือ” ผู้ที่มาเชยคางหวงหร่างขึ้นเอ่ยวาจาแทะโลม “ช่างงดงามจริงๆ”
สายตาของหวงหร่างเลื่อนขึ้นจนมองเห็นใบหน้าของคนผู้นี้…นี่มิใช่พี่ห้าของตี้อีชิวหรือไร
นางทอดถอนใจ…ตายไปครั้งหนึ่งแล้ว เหตุใดท่านถึงไม่ปรับปรุงตนเองบ้างเล่า
องค์ชายห้าจ้าวเยี่ยนจือยังคิดจะยื่นมือไปลูบปากหวงหร่าง ตี้อีชิวกลับขยับเก้าอี้ล้อเข็นของหวงหร่างไปข้างหลัง ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น
“พี่ห้าสนอกสนใจนางถึงเพียงนี้ มิสู้ข้าให้คนส่งนางไปที่จวนท่านเป็นอย่างไร”
จ้าวเยี่ยนจือปราศจากความทรงจำนอกความฝันโดยสิ้นเชิง เขาฟื้นคืนชีพในความฝัน จึงจดจำได้แต่เรื่องราวร้อยปีในความฝัน
พอได้ยินดังนั้นแล้ว เขาคลี่ยิ้มเย็นชา “ไม่พบกันแค่ไม่กี่วัน เจ้ากลับว่าง่ายขึ้นไม่น้อย”
หวงหร่างไม่อยากจะพูดอะไรแล้วจริงๆ
เวลานี้เองเป้าอู่ก็รุดเข้ามาอย่างเร่งรีบ รายงานว่า “เจ้ากรม จู่ๆ เซี่ยหงเฉินก็บังคับกระบี่มุ่งหน้ามาเมืองหลวงกะทันหันขอรับ”
“เซี่ยหงเฉินหรือ” ตี้อีชิวกับเหมียวอวิ๋นจือพูดขึ้นพร้อมกัน
ภายในห้องเงียบงัน พระธิดาพระองค์หนึ่งเอ่ยว่า “หรือคนที่ฝ่าบาทตรัสถึงคือเซี่ยหงเฉิน”
“ไม่มีเหตุผล” เหมียวอวิ๋นจือขมวดคิ้ว…ครั้งก่อนตอนเซี่ยหงเฉินมาก็ประมือกับตี้อีชิวไปแล้ว เวลาเพิ่งจะผ่านไปไม่เท่าไรเอง
อีกทั้งเมื่อครู่นี้เขายังให้ศิษย์ส่งตำราคัมภีร์มา เหตุใดอารมณ์ถึงแปรปรวนรวดเร็วเช่นนี้
ตี้อีชิวก็คิดเช่นเดียวกัน…แม้เซี่ยหงเฉินจะมีใบหน้าสุนัข แต่ก็ไม่น่าถึงขั้นย้อนกลับมาอีกครั้งไวปานนี้
กระนั้นเซี่ยหงเฉินกลับมุ่งหน้ามาที่นี่ด้วยท่าทางเอาเรื่องอย่างแท้จริง
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็มาท้าทายถึงที่ กรมซือเทียนย่อมได้แต่เตรียมรับศึก
ตี้อีชิวส่งหวงหร่างให้เหมียวอวิ๋นจือ จากนั้นก็พาเหล่าพระโอรสพระธิดาตลอดจนกำลังรบของกรมซือเทียนออกไปนอกสำนัก
บริเวณนี้เป็นทางเข้าเมืองหลวงชั้นใน
จริงดังคาด ตรงขอบฟ้ามีเงาดำสายหนึ่งใกล้เข้ามาทุกที เพียงชั่วพริบตาก็มาปรากฏตรงหน้า
เป็นเซี่ยหงเฉิน
เขาสวมอาภรณ์สีขาวทั่วร่าง เกี้ยวหยกครอบผม เดิมทีเป็นเซียนกระบี่แห่งยุคผู้บริสุทธิ์พ้นธุลี บัดนี้แววตากลับมีแต่ความโอหังบ้าบิ่น
พอเห็นตี้อีชิวและคนอื่นๆ แล้ว น้ำเสียงเขาก็เจือแววเยาะหยัน “แค่มดไม่กี่ตัวจะขวางข้าได้รึ”
ตี้อีชิวขมวดคิ้วพลางเอ่ยขึ้น “วันนี้ประมุขสำนักเซี่ยท่วงทียโสโอหัง วางท่าใหญ่โตเหลือหลาย จิตมารครอบงำหรือไร”
‘เซี่ยหงเฉิน’ เดินเข้าไปใกล้เขาช้าๆ ยิ้มอย่างดุดัน “ซือเวิ่นอวี๋ส่งพวกเจ้ามาตายหรือไร”
ตี้อีชิวรู้สึกคลางแคลงใจ การทำเช่นนี้ไม่เหมือนลักษณะในยามปกติของเซี่ยหงเฉินจริงๆ เขาไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ คนผู้นี้จึงคลุ้มคลั่ง จึงได้แต่เอ่ย
“ประมุขสำนักเซี่ยเดินทางมาเมืองหลวงวันนี้ด้วยเรื่องใดหรือ”
เวลานี้เองนอกเมืองชั้นใน บนสันหลังคามีคนผู้หนึ่งเท้าเปล่า ผมแผ่สยาย ทั่วร่างอาบโลหิต เดินทางมาถึงด้วยการใช้ยันต์เคลื่อนย้าย
“เขามิใช่เซี่ยหงเฉิน!” ผู้ที่มาตะโกนเสียงดัง “พวกท่านต้องระวังตัว!”
สิ้นเสียงของเขา ‘เซี่ยหงเฉิน’ ที่อยู่กลางอากาศก็ยกมือขึ้น ซัดฝ่ามือไปทางตี้อีชิวอย่างแผ่วเบา
แต่ใต้เท้าเจ้ากรมมีไหวพริบมาแต่ไหนแต่ไร เขาไม่เหมือนพวกฉิวไฉ่ลิ่ง แม้จะกำลังพูดคุย แต่ความระแวดระวังที่พึงมีกลับไม่น้อยลงสักนิด ฝ่ามือของ ‘เซี่ยหงเฉิน’ ที่อยู่กลางอากาศดูเหมือนไร้พลัง แต่เมื่อมาถึงตรงหน้ากลับแฝงพลังรุนแรง
ต้นไม้ใบหญ้ารอบด้านไม่ขยับ มีเพียงของวิเศษคุ้มกายของตี้อีชิวที่ส่งเสียงดังแล้วแตกกระจายทันที! แผ่นหินใต้ฝ่าเท้าเขาแหลกละเอียดเป็นผุยผงในชั่วพริบตา
…ฝ่ามือนี้หากเขาไม่ได้ระวังป้องกันไว้ก่อน ย่อมเพียงพอที่จะทำให้เขาตายคาที่ได้
แต่ทุกคนกลับรู้สึกว่าฝ่ามือนี้ดูเหมือนไม่มีพลังใดๆ
‘เซี่ยหงเฉิน’ ที่อยู่กลางอากาศก็อึ้งงันไปเช่นกัน เหมือนจะประหลาดใจกับผลลัพธ์ไม่น้อย
มีเพียงใต้เท้าเจ้ากรมที่หลุบตาลง จับจ้องเศษชิ้นส่วนโปร่งแสงประหนึ่งลูกแก้วแตกบนพื้น
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ปัดฝุ่นผงบนอาภรณ์เบาๆ ท่วงทีผ่อนคลายขณะหันไปเอ่ยกับพี่ห้าจ้าวเยี่ยนจือ “พี่ห้าพูดคุยกับเขาไปก่อน ข้าจะไปกำชับเรื่องเล็กน้อยแล้วจะรีบกลับมา”
จ้าวเยี่ยนจือแค่นเสียงเป็นการตอบรับ จากนั้นก็ก้าวออกไปยืนเบื้องหน้าทุกคน เอ่ยถามเสียงดัง “ที่ผ่านมาราชสำนักกับสำนักเซียนอวี้หูอยู่ร่วมกันอย่างสันติ วันนี้ประมุขสำนักเซี่ยท่าทีดุดัน ทั้งยังลงมืออย่างไร้ความปรานี เหตุผลอยู่ที่ใด”
แน่นอนว่าเขาพูดอะไรใต้เท้าเจ้ากรมมิได้ตั้งใจฟังให้ละเอียด เพียงก้าวเร็วๆ ไปตรงหน้าเหมียวอวิ๋นจือ หยิบถุงหอมใบหนึ่งออกมา ยื่นไปให้เหมียวอวิ๋นจือพลางพูดขึ้น
“วานผู้อาวุโสช่วยพาอาหร่างไปจากเมืองหลวงที”
เหมียวอวิ๋นจืออึ้งงันไป เนิ่นนานถึงได้เข้าใจนัยของคำพูดนี้
เขาร้องด่าอย่างขุ่นเคือง “อุตส่าห์เผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง เจ้ามาพูดจาเหลวไหลอะไรเช่นนี้”
ตี้อีชิวยิ้มพลางตอบ “แม้ข้าจะมีปณิธาน แต่จนใจที่เรี่ยวแรงมีจำกัด ในถุงหอมใบนี้เป็นอาวุธส่วนตัวที่ข้าหลอมสร้างเอาไว้หลายปี ที่มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ล้วนอยู่ในนี้ทั้งหมด บัดนี้เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยของข้าก็แล้วกัน ขอผู้อาวุโสโปรดทำตามคำไหว้วานของข้าด้วย”
กล่าวจบเขาก็เลื่อนสายตาลง ยื่นมือออกไปหมายจะสัมผัสหวงหร่าง แต่สุดท้ายก็เก็บมือกลับมา
“ไปเถิด” เขาดีดปลายนิ้วเบาๆ จากนั้นหันกายอย่างสง่างาม ใช้ท่วงทีที่หยิ่งทะนงที่สุดทิ้งคำพูดที่โง่เขลาที่สุดไว้ “ต่อให้ข้าไม่เก่งกาจเพียงใดก็ยังสามารถสกัดเขาไว้ได้พักหนึ่ง ช่วยให้ผู้อาวุโสหนีเอาชีวิตรอดไปได้”
ทางด้านหน้าจ้าวเยี่ยนจือเอ่ยเสียงดังกังวาน “ประมุขสำนักเซี่ยไม่เคยได้ยินหรือว่ามังกรกล้าแกร่งไม่อาจเอาชนะงูเจ้าถิ่น* ในเมื่อท่านเรียกขานตนเองว่าเซียนกระบี่อันดับหนึ่ง เช่นนั้นราชสำนักของข้าไม่มีคนแล้วหรือไร”
แววตาที่ ‘เซี่ยหงเฉิน’ มองเขาประหลาดเหลือเกิน จ้าวเยี่ยนจือไม่เข้าใจมาโดยตลอดว่าแววตานี้มีความหมายเช่นไร
จนกระทั่งกระบี่แห่งจิตของ ‘เซี่ยหงเฉิน’ ปรากฏในมือและฟาดฟันมาที่เขา
กระบี่นี้เงียบงันไร้เสียง แต่จ้าวเยี่ยนจือกลับรู้สึกเย็นไปทั้งร่าง ต่อจากนั้นศีรษะและไหล่ซ้ายของเขาก็หล่นลงกับพื้น แต่ส่วนอื่นๆ กลับยังคงยืนอยู่
ช่วงเวลาสุดท้ายในสมองเขามีเพียงประโยคเดียว…ตี้อีชิว ข้าจะสังหารสุนัขอย่างเจ้าให้ตายเสีย…
บทที่ 68 ซีอิน
กระบี่นี้ของ ‘เซี่ยหงเฉิน’ ทำเอาพระโอรสพระธิดาทั้งหลายพากันเงียบกริบ
แม้กระทั่งเป้าอู่ยังร่างสั่นสะท้าน
“นี่…ให้ตายเถิด ใช่เซี่ยหงเฉินจริงๆ หรือ” เขาถามเสียงค่อย
แค่กระบวนท่านี้ทุกคนก็ดูออกแล้ว ร่างกายที่ซือเวิ่นอวี๋ทุ่มเทบ่มเพาะขึ้นด้วยเลือดงูหุ่ยมิใช่คู่ต่อสู้ของคนผู้นี้อย่างแน่นอน
คิ้วของตี้อีชิวขมวดแน่น เขาจับจ้อง ‘เซี่ยหงเฉิน’ กลางอากาศที่ท่าทางเปลี่ยนจากสุภาพมีมารยาทในยามปกติกลายเป็นคลุ้มคลั่งเอาแต่ใจ
“เจ้าเป็นใครกันแน่” เขาเอ่ยถามอย่างแนบเนียน แต่หางตากลับมองไปยังเหมียวอวิ๋นจือ
เหมียวอวิ๋นจือเข็นหวงหร่างพลางถอยออกจากกลุ่มคนช้าๆ
เขาเองก็ฉลาดไม่น้อย รู้ว่า ‘เซี่ยหงเฉิน’ ตรงหน้าผู้นี้ไม่ปกติ
แม้ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่ก็เกรงว่าคงจะพุ่งเป้ามายังหวงหร่าง
เวลานี้เขากำลังถอยไปอย่างเงียบๆ พยายามไม่ดึงดูดความสนใจของผู้ใด
เพียงแต่เหมียวอวิ๋นจือยังหันกลับไปมองตี้อีชิวคราหนึ่ง เห็นเพียงใต้เท้าเจ้ากรมผู้นี้ยืนอยู่เบื้องหน้าทุกคน สวมชุดคลุมสีม่วงคาดเข็มขัดหยก ร่างกายผึ่งผาย ไม่คิดจะถอยหลบแม้แต่น้อย
“บุตรชายของซือเวิ่นอวี๋ผู้นี้ไม่เลวทีเดียว” เขาพึมพำกับตนเองประโยคหนึ่ง เข็นหวงหร่างทำท่าจะออกจากประตูหลังของกรมซือเทียน
เวลาเดียวกันนั้นหวงหร่างที่อยู่บนเก้าอี้ล้อเข็นมองไม่เห็นตี้อีชิว ถึงขั้นที่ว่าจะเอ่ยถ้อยคำกำชับสักประโยคก็ทำไม่ได้
พวกเขาเอาแต่พูดถึงเซี่ยหงเฉิน ทว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นางไม่รู้โดยสิ้นเชิง
หวงหร่างยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเข็นอย่างเรียบร้อย ร่างกายถูกปกคลุมด้วยชุดคลุมกันลมที่ตี้อีชิวเป็นคนเย็บให้นางตัวนั้น บนขาทั้งสองข้างยังมีผ้าห่มหนังกระต่ายคลุมไว้
ความอบอุ่นของคนผู้นั้นวนเวียนอยู่ข้างกายนางตลอด
แต่เมื่อเขาพบเจอความลำบาก นางกลับทำอะไรไม่ได้สักนิด
หายนะครั้งนี้เกิดขึ้นจากข้าหรือไม่ หวงหร่างคาดเดาในใจเช่นนี้ แต่นางจะทำอย่างไรได้เล่า
จะต้องเกิดเรื่องกับเซี่ยหงเฉินเป็นแน่ แต่ไหนแต่ไรเขาเป็นคนสุขุมมั่นคง คำนึงถึงส่วนรวม ไม่มีทางใช้กำลังบุกเข้าเมืองหลวงเช่นนี้เป็นอันขาด!
หวงหร่างร้อนใจดั่งถูกไฟแผดเผา แต่นางเปล่งเสียงไม่ได้สักนิด
เหมียวอวิ๋นจือรับคำไหว้วานจากผู้อื่น ถอยออกจากกลุ่มคน พยายามพาหวงหร่างหนีไป
เขามิใช่เซียนกระบี่ แต่ก็เคยพบเจอเซียนกระบี่มานับไม่ถ้วน เขารู้ว่าด้วยกำลังความสามารถของ ‘เซี่ยหงเฉิน’ ในตอนนี้ ระยะห่างแค่นี้เขามิอาจใช้ยันต์เคลื่อนย้ายได้ด้วยซ้ำ
หาไม่แล้วหากอาคมกระเพื่อม เซี่ยหงเฉินจะต้องรู้ตัวแน่นอน
นอกกรมซือเทียน ‘เซี่ยหงเฉิน’ แค่นหัวเราะ “เป็นเพียงมด คิดจะขวางรถม้าหรือ”
ใต้เท้าเจ้ากรมรู้ดีว่าศึกครั้งนี้คงเคราะห์ร้ายมากกว่าดี ทว่าเห็นใบหน้านี้แล้วเขาก็มีโทสะขึ้นมาจริงๆ
เขาล้วงปลอกนิ้วมือสีดำคู่หนึ่งออกมาจากวัตถุวิเศษเก็บของ สวมใส่อย่างใจเย็น “ถึงอย่างไรก็ต้องลองดูสักครา”
‘เซี่ยหงเฉิน’ ไม่พูดกับเขาอีก แทงกระบี่เข้าใส่ทันที
พระโอรสพระธิดาพระองค์อื่นๆ เห็นดังนั้นก็ได้แต่หลบไปไกล ปลอกนิ้วมือที่ตี้อีชิวสวมใส่เป็นสีดำสนิท วัสดุทั้งคล้ายโลหะและคล้ายผ้า เขาประกบฝ่ามือเข้าด้วยกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะรับกระบี่นี้เอาไว้ได้ ประกายเจิดจ้าของปลอกนิ้วมือเสียดสีกับแรงจากกระบี่จนสะเก็ดไฟกระเด็นไปทั่ว
มือของตี้อีชิวมีควันสีเทาลอยออกมา ไม่นานนักก็ได้กลิ่นไหม้
คิ้วของเขาขมวดแน่น…‘เซี่ยหงเฉิน’ ตรงหน้าพลังวัตรเพิ่มพูนขึ้นมากเกินไป อีกทั้งแววตานี้ก็ดุร้ายน่าเกรงขามเกินไป มิใช่แววตาของเซี่ยหงเฉินแน่นอน
เมื่อครู่มีคนบอกว่าเขามิใช่เซี่ยหงเฉิน
ตี้อีชิวเหลือบตาขึ้นเล็กน้อย หมายจะมองหาคนที่เอ่ยคำพูดเมื่อครู่นี้ แต่ท่ามกลางประกายกระบี่ฉวัดเฉวียน ไฉนเลยจะยังมองเห็นได้ชัดเจนเล่า
เคราะห์ดีที่หลี่ลู่ตามคนผู้นั้นไปแต่แรกแล้ว
คนผู้นั้นบาดเจ็บสาหัสตั้งแต่ตอนมาถึง กล่าวคำพูดประโยคนี้จบก็ร่วงตกจากสันหลังคา
หลี่ลู่ตามหาอยู่นาน ในที่สุดก็ลากตัวเขาขึ้นมาจากคูน้ำริมทางจนได้
“เจ้าเป็นใคร” หลี่ลู่ป้อนยาลูกกลอนวิเศษเม็ดหนึ่งให้ ถามอย่างร้อนใจ เห็นเพียงคนผู้นี้โลหิตท่วมร่าง ผมแผ่สยาย แยกแยะได้ไม่ง่ายจริงๆ
“ข้า…ข้า…คือ…” เมื่อคนผู้นั้นเปล่งเสียงได้ก็เอ่ยคำพูดที่สร้างความอกสั่นขวัญแขวนออกมา “ฉิวไฉ่ลิ่ง”
“ฉิวไฉ่ลิ่งหรือ” หลี่ลู่ตกตะลึง แต่เขารู้ว่าเวลามีค่า ตี้อีชิวเองก็ไม่อาจยื้อเวลาได้นานนัก เขาจึงถามอย่างร้อนใจ “เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”
ฉิวไฉ่ลิ่งพยายามลุกขึ้นนั่ง “เป็นเซี่ยหลิงปี้…เขาชิงร่างของประมุขสำนักเซี่ยหงเฉินไป ลอบฝึกคัมภีร์ปีศาจมารวิญญาณ ถึงขั้นดูดพลังวัตรของผู้อาวุโสหลายคนไปด้วย!”
หลี่ลู่รู้สึกว่าในสมองดังอึงอล เขาตวาดอย่างเดือดดาล “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีเล่า บรรดาผู้อาวุโสในสำนักเซียนอวี้หูของท่านตายไปกันหมดแล้วหรือ!”
ฉิวไฉ่ลิ่งหอบหายใจถี่กระชั้น “ข้าได้แจ้งผู้อาวุโสที่เหลือแล้ว พวกเขากำลังเตรียมพร้อมรับศึก จะรีบรุดมาทันที”
หากเป็นในยามปกติคนที่ประหนึ่งเทพเซียนอย่างฉิวไฉ่ลิ่งหาใช่คนที่คนระดับหลี่ลู่จะสามารถพบเจอได้ ทว่ายามนี้หลี่ลู่แทบอยากจะโยนเขากลับลงไปในคูน้ำอีกรอบ
“เจ้ากรมของพวกเราจะยื้อเวลาจอมมารผู้นี้ไว้ได้อย่างไร” เสียงของหลี่ลู่แทบจะผิดเพี้ยนไป “เขามาเมืองหลวงคิดจะทำอะไรกันแน่ สังหารแม่นางอาหร่างหรือ”
การคาดเดานี้ของเขาสมเหตุสมผลทีเดียว
ถึงอย่างไรในความฝันทั้งสองครั้งเซี่ยหลิงปี้ล้วนเสียเปรียบหวงหร่าง เขาจะเกลียดหวงหร่างก็ไม่แปลก
ฉิวไฉ่ลิ่งเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน “ไม่…ไม่รู้”
หลี่ลู่สิ้นหวัง “เช่นนั้นผู้อาวุโสคนอื่นๆ จะรุดมาถึงเมื่อใดกันแน่”
ฉิวไฉ่ลิ่งมิได้ตอบ
ความจริงแล้วผู้อาวุโสในสำนักเซียนอวี้หูเหล่านั้นไม่เคยออกหน้านานหลายปีแล้ว
บัดนี้จู่ๆ เซี่ยหลิงปี้อีกคนโผล่ออกมา พลังวัตรน่าตื่นตระหนกถึงเพียงนี้ ใครเล่าจะกล้าดูแคลน
สำหรับพวกเขาหากไม่รอบคอบระมัดระวัง มิใช่แค่เพลี่ยงพล้ำเสียชื่อ แต่ร่างกายย่อมมอดม้วยตบะสูญสิ้น ทุกคนย่อมต้องตระเตรียมของวิเศษและยันต์คาถาให้พร้อมก่อน
ยามนี้เซี่ยเซ่าชงร้อนใจแทบคลั่งอยู่แล้ว
ตอนนี้ประมุขสำนักคลุ้มคลั่ง บรรดาผู้อาวุโสบ้างได้รับบาดเจ็บ บ้างไปช่วยต่อสู้ เหลือเพียงเขาคนเดียวที่ทำอะไรไม่ถูก
ยังคงเป็นเซี่ยลี่ที่เสนอขึ้นว่า “ท่านอาจารย์อา ท่านอาจารย์จู่โจมผู้อาวุโส ทั้งยังบุกไปเมืองหลวง เรื่องนี้ไม่ถูกต้องจริงๆ พวกเราควรรายงานปรมาจารย์หรือไม่ ดูว่าท่านผู้เฒ่าทราบเรื่องนี้หรือไม่”
นี่เป็นหนทางสุดท้ายในยามที่หมดหนทางแล้ว
เซี่ยเซ่าชงมุ่งหน้าไปตำหนักหลัวฝูทันที
ตำหนักหลัวฝู
ยามนี้ผมยาวของ ‘เซี่ยหลิงปี้’ ขาวโพลนหมดแล้ว เขากึ่งเอนพิงหัวเตียง แค่ขยับตัวเล็กน้อยก็ดูสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงยิ่งนัก
เมื่อเห็นเซี่ยเซ่าชงกับเซี่ยลี่ เขาก็ถามขึ้น “เกิดเรื่องใดขึ้น”
เซี่ยเซ่าชงกับเซี่ยลี่สองคนต่างสนิทสนมกับเซี่ยหงเฉินมาก เวลานี้ทั้งสองต่างรู้สึกว่าน้ำเสียงนี้ช่างคุ้นเคยผิดปกติ เซี่ยลี่เอ่ยอย่างลังเล
“ท่านอาจารย์…ไม่รู้เป็นอะไรไป เขาบุกไปเมืองหลวงชั้นในกะทันหัน!”
‘เซี่ยหลิงปี้’ บนเตียงได้ยินดังนี้แล้วดูเหมือนไม่ตื่นตระหนกสักเท่าไร เขาถามอีกว่า “ท่านอาจารย์…บุกไปกรมซือเทียนหรือ เขาจะลงมือกับอาหร่างหรือ”
“ท่านอาจารย์หรือ” พวกเซี่ยเซ่าชงได้ยินคำเรียกขานนี้ต่างก็ทำหน้างุนงง “ใครกัน ทว่าประมุขสำนักมุ่งหน้าไปเมืองหลวงจริงๆ จากภาพที่เนตรทิพย์เก้าคดส่งกลับมา เขากำลังต่อสู้กับกรมซือเทียนอย่างดุเดือด”
‘เซี่ยหลิงปี้’ ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขากลับถอนหายใจ “เขาทำเช่นนี้จนได้”
เซี่ยเซ่าชงเอ่ยอย่างร้อนใจ “ปรมาจารย์ ประมุขสำนัก…ฝึกวิชามาร! ตี้อีชิวรับมือไม่ไหวแล้ว ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ยังรุดไปไม่ถึง เกรงว่ากรมซือเทียนจะมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา ท่านต้องคิดหาทางนะขอรับ!”
“ตี้อีชิว…รับมือไม่ไหวหรือ” ‘เซี่ยหลิงปี้’ ค่อยๆ เผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
เซี่ยเซ่าชงเอ่ยอย่างร้อนใจ “ปรมาจารย์ ตี้อีชิวถือกำเนิดจากมนุษย์ธรรมดา แม้ร่างกายจะมีความพิเศษ แต่จะสู้กับประมุขสำนักได้อย่างไร”
‘เซี่ยหลิงปี้’ ไม่อยากจะเชื่อ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “แต่…ตอนที่ข้าถูกชิงร่างได้ทิ้งอาคมไว้ในร่างกายของตนเอง ทั้งยังวาดและแจกแจงกระบวนท่ากระบี่ที่สามารถทำลายอาคมไว้อย่างละเอียดแล้วมอบให้เนี่ยชิงหลันส่งไปให้เขา เขาไม่ได้รับหรือไร”
“ชิงร่างหรือ” เซี่ยเซ่าชงตอบสนองไม่ทันไปชั่วขณะ ครู่ใหญ่เขาจึงตะโกนเสียงดัง “ชิงหลัน? เนี่ยชิงหลันอยู่ที่ใด”
“ท่านอาจารย์อา!” ข้างนอกมีศิษย์วิ่งเข้ามา เป็นเนี่ยชิงหลันที่กำลังหอบ เขาเอ่ยอย่างร้อนใจว่า “ท่านอาจารย์อา ท่านอาจารย์ข้าไม่รู้เป็นอะไร กำลังต่อสู้กับกรมซือเทียน ตี้อีชิวถูกวิชามารของเขาทำร้าย ตอนนี้…ตอนนี้พ่ายแพ้แล้ว! เกรงว่ายามนี้…คงจะสิ้นชีพแล้ว”
เซี่ยเซ่าชงตื่นตระหนก ‘เซี่ยหลิงปี้’ ในห้องลับตวาดเสียงขุ่น “ของที่ข้าสั่งให้เจ้านำไปมอบให้ผู้อาวุโสเหมียว เจ้ามิได้นำไปมอบให้หรือไร”
เนี่ยชิงหลันถูกตวาดใส่จนวิงเวียน เนิ่นนานจึงตอบว่า “ข้า…ข้า…ข้านำไปมอบให้แล้วขอรับ หลังจากท่านอาจารย์มอบหมาย ข้าก็นำของไปมอบให้ทันที…ไม่ถูก เรื่องนี้ท่านอาจารย์เป็นคนสั่งข้ามิใช่หรือ ปรมาจารย์รู้ได้อย่างไร”
“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้…” เซี่ยหงเฉินที่อยู่ในร่างเซี่ยหลิงปี้พึมพำ “หากเขารู้กระบวนท่าในการทำลายอาคมนั้นจะต่อสู้จนตัวตายได้อย่างไร”
เนิ่นนานผ่านไปเซี่ยเซ่าชงจึงถาม “ท่าน…ท่านคือศิษย์พี่ประมุขสำนักใช่หรือไม่”
เซี่ยหงเฉินไม่มีเวลามาสนใจคำถามของเขา พึมพำกับตนเอง “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ตกลงแล้วผิดพลาดตรงที่ใดกันแน่”
เซี่ยเซ่าชงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่า…กระบวนท่ากระบี่ที่ท่านทิ้งไว้ลึกล้ำเกินไป เจ้ากรมเขา…แม้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ แต่ถึงอย่างไรก็มิใช่ผู้ที่อยู่ในมรรคากระบี่ บางทีเขาอาจจะ…”
เซี่ยหงเฉินเงยหน้าสบตากับเขา เนิ่นนานทั้งสองคนจึงเปล่งเสียงออกมาพร้อมกัน “ดูไม่ออก…”
“เร็วเข้า ประคองข้าขึ้นมา!” เซี่ยหงเฉินสั่งการเสียงขุ่น
เซี่ยเซ่าชง เนี่ยชิงหลัน และเซี่ยลี่รีบเข้าไปช่วยทันที
ด้านหน้ากรมซือเทียน
หลังจากตี้อีชิวรับกระบี่แรกของเซี่ยหลิงปี้ก็รู้ทันทีว่ามิอาจฝืนสู้ต่อไปได้
สองมือของเขาไหม้เกรียมแล้ว แต่กระบี่ที่สองของเซี่ยหลิงปี้ยังมิอาจปลิดชีพเขาได้…หุ่นกลนักรบระดับสุดยอดสามตัวของกรมซือเทียนก้าวออกมาอย่างพร้อมเพรียง สามตัวประกอบกันเป็นค่ายกลสามารถรับกระบี่ของเซี่ยหลิงปี้เอาไว้ได้
“ช่างน่ารำคาญโดยแท้” เซี่ยหลิงปี้ไม่มีใจจะต่อสู้กับตี้อีชิว เขาทอดสายตาไปไกลมองดูวังหลวง ในวังหลวงแห่งนั้น เจดีย์สูงหลังหนึ่งปรากฏอย่างเลือนราง
บนยอดเจดีย์ คนผู้หนึ่งสวมชุดคลุมนักพรตสีขาวสลับดำ เส้นผมเป็นสีขาวเทา ยืนอยู่ท่ามกลางสายลม
เซี่ยหลิงปี้แค่นหัวเราะ เก็บกระบี่แห่งจิตทันใด หลังจากนั้นเขาก็รวบรวมพลังเล็กน้อย รอบตัวพลันมีหมอกดำพุ่งขึ้นมา ในหมอกดำมีเสียงภูตผีครวญคร่ำร่ำไห้ โครงกระดูกนับไม่ถ้วนขยับและกลายสภาพท่ามกลางหมอกดำ เผยเขี้ยวเล็บแหลมคมออกมาเป็นครั้งคราว
นี่ดูไม่เหมือนวิชาฝ่ายธรรมะ
แค่เผชิญหน้ากับหมอกแค้นนี้ ตี้อีชิวก็ถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว
ไม่รู้ว่าเหมียวอวิ๋นจือพานางออกจากเมืองไปแล้วหรือยัง เขาคิด
“ซือเวิ่นอวี๋! มาเก็บศพบุตรชายของเจ้าเสีย!” เสียงของเซี่ยหลิงปี้แฝงเร้นอยู่ในหมอกดำ ประเดี๋ยวสูงประเดี๋ยวต่ำ แฝงความแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
สิ้นคำพูดเขา หมอกดำก็รวมตัวเป็นกลุ่มก้อน จู่โจมไปยังตี้อีชิว!
ตี้อีชิวหลับตา ของวิเศษป้องกันตัวทั้งหมดที่สามารถใช้ได้เริ่มทำงานในชั่วพริบตา แม้หุ่นกลนักรบระดับสุดยอดสามตัวจะขวางอยู่ตรงหน้า แต่เมื่อถูกหมอกดำกัดกร่อน หุ่นกลก็สลายเป็นเถ้าธุลีในชั่วพริบตา
เขายืนอยู่ท่ามกลางฝุ่นธุลีที่ปลิวฟุ้ง เวลาเหมือนจะช้าลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ในสมองผุดกระบวนท่ากระบี่แปลกประหลาด เขาพลันเข้าใจว่าเพราะเหตุใดเซี่ยหงเฉินถึงให้คนส่งกระดาษแปลกประหลาดสองแผ่นนั้นมาโดยไม่มีหัวไม่มีท้าย!
กระบวนท่ากระบี่นั่นเป็นอย่างไร!
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ตี้อีชิวเข้าใจความหมายของคำว่าเมื่อความตายมาเยือน! เขารวมปราณเป็นกระบี่ ทะยานขึ้นไปกลางอากาศและฟาดฟันออกไป!
แต่เนื่องจากเวลาในการฝึกฝนสั้นเกินไป อีกทั้งเขาเองก็มิใช่ผู้ฝึกบำเพ็ญมรรคากระบี่ กระบวนท่านี้จึงเรียนรู้ได้ไม่สมบูรณ์!
เซี่ยหลิงปี้ถูกสกัดด้วยกระบวนท่านี้กลางอากาศ รู้สึกเพียงเลือดลมในร่างกายปั่นป่วน ระหว่างที่เขาตกตะลึงก็รู้สึกว่าลมปราณติดขัดชั่วคราว แต่ไม่นานนักก็ไหลเวียนได้อีกครั้ง! เซี่ยหลิงปี้รู้สึกได้ว่าร่างกายของตนมีความผิดปกติ แต่บอกไม่ถูกว่าผิดปกติตรงที่ใด
แค่การติดขัดเพียงชั่วครู่กลับทำให้อานุภาพของกระบวนท่าเขาลดลงอย่างมาก!
พลังจากคัมภีร์ปีศาจมารวิญญาณที่กัดกร่อนหุ่นกลนักรบทั้งสามตัวจู่โจมถูกตี้อีชิว ของวิเศษป้องกันตัวของตี้อีชิวถูกทำลายทั้งหมด เขาถูกโจมตีจนลอยกระเด็นไปหลายจั้ง กระอักโลหิตออกมาเป็นสีดำ
ยามอยู่ต่อหน้าผู้ที่มีพลังวัตรสูงอย่างเซี่ยหลิงปี้ เห็นได้ชัดว่าพิษงูหุ่ยนี้ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง
เคราะห์ดีที่เมื่อครู่พลังของเซี่ยหลิงปี้ถูกสกัดไว้ เขาจึงมิอาจปลิดชีพตี้อีชิวได้
“เลือดงูหุ่ยทนการโจมตีมิได้!” เสียงหัวเราะของเซี่ยหลิงปี้ราวกับอาบย้อมด้วยโลหิต แต่ละถ้อยคำน่าขนลุกยิ่ง
มุมหนึ่งของวังหลวง บนยอดเจดีย์ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว อาภรณ์ยาวของซือเวิ่นอวี๋โบกสะบัดท่ามกลางสายลม เขากำลังเฝ้ามองเงียบๆ
แม้กระทั่งเสแสร้งเซี่ยหลิงปี้ก็คร้านที่จะทำแล้ว เขายกมือขึ้นอีกครั้ง เดิมทีจะจบชีวิตของตี้อีชิว ทว่าจังหวะนี้เองอาคมเสี้ยวหนึ่งที่ไหวกระเพื่อมดึงดูดความสนใจของเขาไป
เขามองไปตามกระแสปราณ ในที่สุดก็เห็นว่าไกลออกไปตรงประตูเมืองชั้นใน คนผู้หนึ่งเข็นเก้าอี้ล้อเข็นตัวหนึ่ง กำลังจะใช้ยันต์เคลื่อนย้าย
เซี่ยหลิงปี้เพ่งสายตามองไป บนเก้าอี้ล้อเข็นมีสตรีผู้หนึ่งนั่งอยู่
“นางชั้นต่ำ!” เขาเหินลมรุดไปทันที จากนั้นก็ซัดฝ่ามือออกไปกลางอากาศ!
แค่คำพูดนี้ก็พอจะทำให้หวงหร่างจดจำเขาได้…เซี่ยหลิงปี้!
เขาใช้ร่างของเซี่ยหงเฉิน อีกทั้งพลังวัตรยังพุ่งสูงขึ้นอย่างฉับพลัน!
หมอกดำนับไม่ถ้วนห่อหุ้มโครงกระดูกที่เคลื่อนไหวได้ กระโจนเข้าใส่หวงหร่างทันที!
ของวิเศษป้องกันตัวทั้งหมดของเหมียวอวิ๋นจือทำงานในชั่วพริบตา ทว่าการโจมตีครั้งนี้ของเซี่ยหลิงปี้มาพร้อมโทสะ และเหมียวอวิ๋นจือเองก็ไม่มีพลังวัตรโดยสิ้นเชิง!
หวงหร่างได้แต่มองดูโครงกระดูกเหล่านั้นพุ่งมาตรงหน้า ชั่วขณะนั้นในใจนางกลับปราศจากความหวาดกลัว
สำหรับนางความตายหาได้น่ากลัวไม่
ถึงขั้นกล่าวได้ว่าเป็นความเมตตาอย่างหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นการตายเช่นไร นางถึงขั้นมิได้กะพริบตา จ้องมองวิชามารนี้อย่างสงบนิ่ง
หมอกดำรูปโครงกระดูกนั่นมาพร้อมเสียงกรีดร้อง ภายในเหมือนจะเป็นเสียงครวญคร่ำอย่างเจ็บปวดของผู้คนนับไม่ถ้วน
แต่ยามนี้จิตใจของหวงหร่างกลับนิ่งสงบดุจสายน้ำ
ในชั่วขณะที่หมอกดำจะพุ่งเข้าใส่นาง เงาร่างสีดำสายหนึ่งก็มาขวางอยู่ตรงหน้านางโดยพลัน
หวงหร่างอึ้งงันไป เงาร่างสีดำที่ขวางอยู่ตรงหน้านางสั่นไหวเล็กน้อย ผ่านไปนานหวงหร่างจึงมองเห็นได้ชัดว่า…นั่นมิใช่เงาดำ แต่เป็นตี้อีชิวต่างหาก! เขาอาบโลหิตไปทั้งร่าง ถูกหมอกดำปกคลุมไว้
โครงกระดูกนับไม่ถ้วนในหมอกดำแยกเขี้ยวคมใส่เขา!
กรี๊ด…
หวงหร่างได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างคลุ้มคลั่งในใจตน แต่นางกลับเปล่งเสียงไม่ออกสักนิดเดียว นางได้แต่มองตี้อีชิวถูกสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้แสยะยิ้มใส่และกัดกินจนเลือดโชก เผยให้เห็นกระดูกสีขาว!
ตี้อีชิว! ตี้อีชิว!
นางตะโกนอย่างเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่าในใจ แต่ไม่มีใครได้ยิน
คนผู้นั้นขวางอยู่ตรงหน้านาง มือหนึ่งยันประตูเมืองชั้นใน โลหิตไหลหยดลงมาตามนิ้วทั้งห้า แต่เขาไม่ร้องสักคำ
“ไป!” เขาเอ่ยกับเหมียวอวิ๋นจือ
เหมียวอวิ๋นจือได้สติกลับมา เขาพ่นลมหายใจแรงๆ เข็นหวงหร่างพุ่งออกจากเมืองชั้นในอย่างบ้าคลั่ง
โครงกระดูกกลืนกินร่างกายเขาไปครึ่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว บนแผงอกเขาเผยให้เห็นอวัยวะภายในแดงฉาน
โลหิตเปียกชุ่มชุดคลุมสีม่วง มองเห็นเศษเนื้อร่วงลงมากองบนพื้น แต่เขายังคงยืนหยัดไม่ยอมล้มลง
บริเวณประตูเมืองชั้นในตอนนี้ไม่มีคนคอยเฝ้ายามแล้ว
เหมียวอวิ๋นจือเข็นหวงหร่างออกไปอย่างเร่งรีบตลอดทาง ขอเพียงพ้นจากเมืองชั้นใน เขาก็จะใช้ยันต์เคลื่อนย้ายได้ อย่างน้อยก็สามารถพาหวงหร่างไปยังสถานที่ปลอดภัยได้ก่อน
หวงหร่างได้ยินเสียงที่ลอยมาจากข้างหลัง แต่นางไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวของตี้อีชิว
ไม่ ข้าไม่ไป…ข้าไม่ไป
ชั่วเวลานั้นปณิธานของนางพุ่งถึงจุดสูงสุด สรรพสิ่งรอบด้านจับตัวแข็งอย่างช้าๆ แม้กระทั่งสายลมยังพัดช้าลง
ภาพตรงหน้านางพร่าเลือน เสียงร้องโหยหวนเป็นพันเป็นหมื่น เสียงสาปแช่ง เสียงร่ำไห้ ทุกเสียงหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวในหัวของนาง ไม่ไกลออกไปซือเวิ่นอวี๋ยังคงเฝ้ามองทุกอย่างนี้เงียบๆ
ยามนี้เซี่ยหลิงปี้คิดว่าหวงหร่างตายไปแล้ว
เขากำลังจะเดินไปยังวังหลวง ทันใดนั้นก็ตระหนักถึงอะไรบางอย่าง เขาหันกลับไป ทว่าแม้กระทั่งการกระทำนี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นเชื่องช้ายิ่งนัก
ไกลออกไปใต้ประตูเมืองชั้นใน มนุษย์เลือดผู้หนึ่งขวางประตูเมืองไว้ เก้าอี้ล้อเข็นของหวงหร่างอยู่ข้างหลังเขา
นางชั้นต่ำ นางยังมีชีวิตอยู่!
เซี่ยหลิงปี้อยากจะเงื้อกระบี่ขึ้น ทว่าชั่วเวลานี้รอบด้านพลันมืดสลัว เขาไม่รู้สึกถึงกระบี่ของตนเอง
ในสมองของหวงหร่างเจ็บแปลบอย่างรุนแรง ทว่าความเจ็บปวดนี้กลับทำให้นางยินดีแทบเสียสติ
ในห้องลับตำหนักหลัวฝูของสำนักเซียนอวี้หูที่ไกลออกไปพันหลี่ เสียงภูตผีครวญคร่ำนับไม่ถ้วนพลันตอบสนองนาง
เมฆดำตรงขอบฟ้าปั่นป่วน เพียงไม่นานภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไป
“ตี้อีชิว!” หวงหร่างลืมตาทันใด น้ำตาอาบใบหน้า นางลุกพรวดขึ้นมา จากนั้นก็พบว่าตนเองมาอยู่ในสถานที่อีกแห่งหนึ่ง
นางอยู่ในกองฟาง ดูเหมือนกำลังนอนกลางวัน
หวงหร่างมีอาการตอบสนองอย่างฉับไว…นี่คือ…ความฝันครั้งที่สามหรือ
ตี้อีชิวเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
นางก้มหน้าลง พบเข็มใบชาใสกระจ่างเล่มหนึ่งตกอยู่บนพื้น ครั้งนี้ดูเหมือนนางจะบังคับตนเองเข้าสู่ความฝัน ไม่ได้เห็นเจดีย์เก้าชั้นแปลกประหลาดองค์นั้นแล้ว รวมถึงไม่ได้เห็นบุรุษประหลาดที่สวมชุดคลุมนักพรตผู้นั้น
ตี้อีชิว ไม่รู้เขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
หวงหร่างรู้ว่าแปดส่วนนางคงกลับมายังตำบลเซียนฉาอีกแล้ว
…ชีวิตนี้ของนางเกิดในตำบลเซียนฉา แต่งเข้าสำนักเซียนอวี้หู หลังจากถูกทำร้ายก็ไปอยู่กรมซือเทียน จนกระทั่งปลายทางสุดท้ายคือผาไป๋กู่ ทั้งหมดก็มีเพียงไม่กี่แห่งนี้เท่านั้น
ยามนี้นางลูบใบหน้าของตนเอง…พบว่าตนยังคงเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง
ในปีนี้ตี้อีชิวยังไม่ถือกำเนิด
หวงหร่างเก็บเข็มใบชาใสกระจ่างบนพื้นขึ้นมา นางจับจ้องกองฟาง การได้มีชีวิตใหม่อีกครั้งมิอาจนำพาความตื่นเต้นยินดีมาให้นาง
เพราะนางย้อนกลับมาในช่วงเวลาที่ยังไม่มีเขา
ให้ตายเถิด แค่คิดก็ทำให้คนเสียใจแล้ว
ตี้อีชิว ความฝันนี้ข้ามาเพื่อท่าน พวกเราจะไม่แยกจากกันอีกดีหรือไม่
หวงหร่างเสียบเข็มใบชาไว้ในมวยผมแล้วเดินออกจากกองฟาง
ที่นาข้างนอกดูคุ้นเคย ทว่าก็แปลกตา ในที่นามีชาวนากำลังทำนาอยู่
หวงหร่างเดินผ่านคันนา ในที่สุดก็เห็นเงาร่างคุ้นเคยร่างหนึ่ง
“พี่สาว!” นางวิ่งเข้าไป สตรีที่กำลังตรวจดูเมล็ดพันธุ์จำหน่ายผู้นั้นเป็นหวงจวินพี่สาวของนางจริงๆ
หวงจวินในยามนี้อายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น แต่คิ้วตากลับเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า นางมิได้ดูไร้ทุกข์ไร้กังวลอย่างที่คนในวัยนี้พึงเป็น
อืม นางย่อมไม่เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
หวงหร่างเก็บงำรอยยิ้ม แต่กลับอดคว้ามือนางไม่ได้พลางร้องเรียกเบาๆ “พี่สาว”
แม้กระทั่งเสียงของนางยังเบาลงมาก ใบหน้าของหวงจวินปราศจากรอยยิ้ม นางล้วงห่อกระดาษห่อหนึ่งออกมาจากเอว ยื่นให้หวงหร่างพลางพูด
“เอาไปนั่งกินด้านข้าง”
หวงหร่างรับห่อกระดาษนั้นมา พอเปิดออกดูก็พบว่าเป็นผลไม้เชื่อม
นางถอยไปยังริมที่นาช้าๆ ส่วนหวงจวินไปตรวจดูเมล็ดพันธุ์จำหน่ายเหล่านั้นต่อ หวงหร่างพลันนึกขึ้นได้ว่าอันที่จริงหวงจวินเป็นคนไม่ชอบยิ้ม
หวงหร่างถูกหวงจวินเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก หวงจวินเหมือนมารดานางมากกว่าซีอินเสียอีก ทว่าหวงจวินก็ไม่ได้รักใคร่ตามใจหวงหร่างถึงเพียงนั้น
อีกฝ่ายไม่ชอบยิ้ม ทั้งยังไม่อบอุ่น เวลาส่วนใหญ่ก็มักจะเงียบ
หวงหร่างกินผลไม้เชื่อมไปชิ้นหนึ่ง สิ่งนี้รสชาติไม่หวาน กลับให้ความรู้สึกขมจางๆ
ข้าย้อนกลับมาในปีใดกันแน่
มารดาข้า…นางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หวงหร่างคิด
ความจริงแล้วนางไม่อยากพบเจอสตรีผู้นั้นแม้แต่น้อย
สตรีในความทรงจำผู้นั้นมักจะโกรธแค้นและร้ายกาจอยู่เสมอ มีอะไรน่าพบเล่า
แม้ในใจจะคิดเช่นนี้ แต่กว่าหวงหร่างจะรู้ตัว นางก็เดินมาตามคันนาจนถึงบ้านสกุลหวงแล้ว
บ้านสกุลหวงในยามนี้ยังไม่เป็นเหมือนอีกหลายปีให้หลัง มีเพียงกำแพงดินกับกระเบื้องสีเทา ดูเหมือนบ้านของเซียงเซิน* มากกว่า
หวงหร่างเดินเข้าไปในบ้านตามความทรงจำ ทันใดนั้นหนังศีรษะก็เจ็บแปลบ มีคนกระชากผมนาง
“นางตัวดี! พี่สาวเจ้าเล่า” มีเสียงดังขึ้นข้างหลังจากระดับที่สูงกว่า เต็มไปด้วยความดูแคลน
หวงหร่างร้องว่าเจ็บ รู้สึกเหมือนหนังศีรษะจะฉีกขาดอยู่แล้ว นางหันกลับไปก็เห็นใบหน้าหนึ่ง…เป็นใบหน้าของพี่ชายคนโตของนางหวงเจิง
เห็นหวงหร่างไม่ตอบ หวงเจิงจึงถีบเข้าให้ หวงหร่างถูกถีบจนล้มลงกับพื้นก่อน จากนั้นก็รู้สึกปวดท้อง ผลไม้เชื่อมในมือหล่นกระจายเต็มพื้น
หวงหร่างจึงตระหนักว่าตนไม่ได้ถูกทุบตีมานานมากแล้ว
นางกุมท้องพลางถาม “ท่านจะถามหาพี่สาวข้าเพื่ออันใด”
“วันนี้เจ้าจะแข็งข้อหรือไร!” หวงเจิงกระชากร่างนางขึ้นมา จากนั้นก็สะบัดฝ่ามือลงบนใบหน้านาง
หวงหร่างถูกตบจนหน้าหัน หวงเจิงหัวเราะเยาะหยัน “นางชั้นต่ำ ช้าเร็วก็ต้องทำตัวอับอายขายหน้าเหมือนพี่สาวเจ้า มิสู้ตีให้ตายเสีย!”
เขาเงื้อมือขึ้นจะตบหน้าหวงหร่างอีกสักสองที แต่สตรีด้านข้างกลับเอ่ยขึ้นเสียก่อน “เจิงเอ๋อร์! เจ้าทำอะไร ไม่กลัวมือจะสกปรกหรือไร!”
หวงเจิงจึงได้แต่โยนหวงหร่างทิ้ง เขาวิ่งไปยังข้างกายสตรีผู้นั้นพลางพูดว่า “ท่านแม่ เมื่อวานนางตัวดีนี่ไปฟ้องท่านพ่ออีกแล้ว ทำให้ข้าถูกท่านพ่อตำหนิ”
สตรีผู้นั้นเอ่ยเสียงแหลม “อดทนไว้เถิด ช่วยไม่ได้ที่คนเขาเก่งกาจสามารถ ให้กำเนิดบุตรสาวออกมาถึงสองคน คนโตนายท่านรักใคร่ยิ่งนัก บัดนี้คนเล็กก็จะเติบโตแล้ว ถึงเวลาพวกนางสามแม่ลูกช่วยกันปรนนิบัติ ช่างสนิทชิดใกล้เพียงใด เกรงว่าอีกไม่นานพวกเราสองแม่ลูกคงต้องคอยดูสีหน้าผู้อื่นแล้ว”
นางเจตนาพูดชี้่นำ ทำให้สตรีคนอื่นๆ ในเรือนหัวเราะเสียดสี
หวงหร่างลุกขึ้นจากพื้น ตั้งแต่ต้นจนจบในเรือนหลังน้อยของมารดาไม่มีคนออกมา
นางเดินเข้าไปในเรือนหลังน้อยช้าๆ กาลเวลาช่างไร้ความปรานี ความทรงจำถูกกัดกร่อนทำลายไปทุกปี ภายหลังแม้กระทั่งเรือนหลังน้อยนี้นางก็นึกสภาพไม่ออกแล้ว
ในลานเรือนน้อยไม่มีคนดูแล ดังนั้นจึงไม่มีต้นไม้ใบหญ้าที่ล้ำค่าแต่อย่างใด
ในบ้านสกุลหวงที่ยึดการปรับปรุงพันธุ์พืชเป็นอาชีพ เรื่องนี้ช่างน่าตกใจโดยแท้
เสียงก่นด่าเมื่อครู่มิได้ทำให้คนในเรือนออกมาข้างนอก นางยังคงอยู่ในลานเรือนด้านหลัง ตั้งอกตั้งใจต้มยา
เป็นยาวิเศษขอบุตร
ตามคำพูดของหมอเทวดาที่นางไปเสาะหามา ขอเพียงจัดยาตามตำรับ กินตามเวลา นางจะต้องให้กำเนิดเด็กชายได้แน่นอน
นางเชื่อ ดังนั้นนางจึงต้มยานี้กินทุกวัน
ภายหลังทุกครั้งที่หวงหร่างได้กลิ่นขมของยาก็มักจะนึกถึงนาง
ซีอิน
หวงหร่างผ่อนฝีเท้าให้เบาลง เดินเข้าไปในลานเรือนด้านหลังช้าๆ
คนในความทรงจำผ่ายผอมจนดูน่ากลัว นางสวมชุดกระโปรงผ้าสีเทาอ่อน ผมยาวเกล้ามวยสูง แม้จะได้ยินเสียงฝีเท้าข้างหลังนางก็ไม่ได้หันกลับไป เอาแต่จ้องน้ำแกงยาบนเตาอย่างจดจ่อ
ยาถูกต้มจนเดือด จากนั้นนางก็ยกหม้อยาลงมาอย่างระมัดระวังยิ่ง
“ท่านแม่…” หวงหร่างร้องเรียก
ทว่าคนที่อยู่หน้าเตามิได้หันกลับมา ดังนั้นหวงหร่างจึงยืนอยู่ข้างหลังนางเนิ่นนาน
ใบหน้ายังคงแสบร้อน หวงหร่างยื่นมือไปลูบที่ใต้จมูก ปาดเลือดออกมาได้เต็มฝ่ามือ ฝ่ามือของหวงเจิงเมื่อครู่ตบจนเลือดกำเดาของนางไหลไม่หยุด
หวงหร่างยื่นมือออกไป อยากจะสัมผัสสตรีตรงหน้า
ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น
เลิกต้มยาได้แล้ว ของพวกนั้นไม่มีประโยชน์
นางอยากจะบอกอีกฝ่ายเช่นนี้
แต่คำพูดนี้ก็เหมือนยาพวกนั้น นอกจากความขมแล้วยังจะมีประโยชน์อันใด
นางหันหลังเดินออกจากเรือนหลังน้อย กาลเวลาที่ผันผ่านไปเหล่านั้นวกวนไปมาแล้วทับถมลงในหัวใจอีกครั้ง
ระหว่างนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงคนพูดดังขึ้น หวงหร่างตั้งใจฟัง
“น้องสาวคนดี ขอเพียงเจ้ารับปากพี่ชายครั้งเดียว พี่ใหญ่สาบานว่าจะไม่ตีเจ้าอีก” เสียงของหวงเจิงลอยผ่านกำแพงเรือนมา
หวงหร่างชะงักเล็กน้อย นางปีนขึ้นไปบนกำแพงเรือนและลอบมอง เห็นเพียงหวงเจิงที่อยู่อีกฝั่งของกำแพงกำลังคว้ามือหวงจวินพลางพูดเสียงเบา
“ครั้งนี้พี่ใหญ่เสียพนันไปมาก หากท่านพ่อรู้เข้าจะต้องไม่ละเว้นข้าแน่ แต่พวกเขาบอกแล้วว่าขอแค่เจ้ายอมอยู่กับพวกเขาหนึ่งคืน แค่คืนเดียวเท่านั้น เรื่องนี้ก็จะจบไป” เขาเอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมาอย่างหน้าไม่อาย
ส่วนหวงจวินเอาแต่ส่ายหน้า เงียบงันไม่ปริปากพูด
หวงเจิงหมดความอดทน ยิ้มหยันพลางกล่าวอีกว่า “ถึงอย่างไรเจ้าก็อยู่กับท่านพ่อไปแล้ว แค่เศษบุปผาซากกิ่งหลิว ยังจะมาเล่นตัวอะไรอีก! หากเจ้ากล้าปฏิเสธ ข้าจะร้องป่าวเรื่องนี้ออกไป ดูว่าเจ้ายังจะเป็นคนอยู่ได้หรือไม่!”
เห็นหวงจวินยังคงไม่ยอมพยักหน้า หวงเจิงจึงโน้มน้าวอีกครั้ง
“น้องสาวคนดี ขอแค่เจ้ารับปากข้าครั้งนี้ ต่อไปข้ามิเพียงจะไม่ตีเจ้า ทว่ายังจะปกป้องเจ้าด้วย ทั้งยังปกป้องหวงหร่าง! ข้าจะดูแลพวกเจ้าเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของตนเอง!”
หวงหร่างเกาะกำแพงเรือนฟังเขาพูดเงียบๆ
นางจากบ้านหลังนี้ไปนานเหลือเกิน นานจนไม่ค่อยคุ้นชินกับความสกปรกโสมมของที่นี่เสียแล้ว
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มได้ในเดือนสิงหาคม 2568)
Comments
comments
No tags for this post.