บทที่ 7 กิเลส
หิมะแรกหลังย่างเข้าฤดูเหมันต์มาเยือนเมืองหลวง
หิมะแรกเล็กละเอียด จากนั้นก็ค่อยๆ รุนแรงขึ้น ปกคลุมไปทั่ววังหลวงและกระท่อมฟาง โลกมนุษย์ถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
เมืองชั้นนอก เซี่ยหงเฉินเดินไปตามท้องถนน แม้สภาพอากาศจะเป็นเช่นนี้ แต่ยังคงมีพ่อค้ามาตั้งแผงขายของ เสื้อผ้าของเขาสะดุดตาเกินไป ท่วงทีกิริยาสูงส่งพ้นธุลี ดึงดูดสายตาของผู้คนบนถนนนับไม่ถ้วนให้หันมามอง
เขาหยุดข้างแผงลอยเล็กๆ แผงหนึ่ง พ่อค้าเห็นดังนั้นก็รีบเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “เซียนจ่างผู้นี้ชอบดอกเหมยนี้ใช่หรือไม่ขอรับ”
บนแผงลอยเล็กๆ มีกิ่งเหมยเรียงรายอยู่มากมาย
“เซียนจ่างซื้อไปสักกิ่งเถิด! ดอกเหมยนี้มีชื่อว่าเนี่ยนจวินอันมีความเป็นมาด้วยนะขอรับ!” พ่อค้าแผงลอยยังคิดจะร่ายต่อ แต่เซี่ยหงเฉินล้วงเงินออกมาแล้ว ซื้อเหมยเหมันต์ไปกิ่งหนึ่ง
เดิมทีกิ่งเหมยนั้นมีดอกตูม แต่พอถูกเกล็ดหิมะปกคลุม ดอกก็บานทั้งหมด ทั่วทั้งกิ่งเป็นบุปผาสีแดงดุจอัคคี งดงามล้ำเลิศ เซี่ยหงเฉินถือกิ่งเหมยไว้ในมือ ความจริงแล้วบุปผานี้ไม่ค่อยเข้ากับเขานัก เสื้อผ้าอาภรณ์ของเขาเรียบเกินไป เต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้เป็นเซียน ส่วนบุปผานี้สีสันฉูดฉาดเกินไป แดงก่ำดั่งโลหิต ดุจดังกิเลสเสี้ยวหนึ่งที่ปรากฏในเนื้อหาของพระคัมภีร์อันสูงส่ง
เวลาเดียวกัน กรมซือเทียน
ตี้อีชิวเข็นหวงหร่างออกจากกองพยัคฆ์ขาวกลับไปยังกองเสวียนอู่
ฤดูหนาวในเมืองหลวงหนาวเหน็บยิ่ง หวงหร่างเริ่มเลื่อมใสในความสามารถหยั่งรู้ล่วงหน้าของตี้อีชิว…หากมิใช่เพราะบนตักมีผ้าห่มผืนนี้คลุมอยู่ ตอนนี้นางคงหนาวจนทนไม่ไหวเป็นแน่ สองมือของนางถูกซุกไว้ใต้ผ้าห่ม ร่างกายคลุมด้วยชุดคลุมกันลมตัวหนา เหนือศีรษะมีคนกางร่มให้ จึงมิได้รู้สึกถึงความหนาวเหน็บของหิมะ
ผู้คนรอบด้านหลบไปข้างทางเป็นครั้งคราวและค้อมกายคารวะ ยามเผชิญหน้ากับการลอบมองของพวกเขาตี้อีชิวหาได้สนใจไม่ แม้แต่หวงหร่างเองก็ชินชาไปเสียแล้ว ไม่ไกลนักมีต้นเหมยแดงต้นหนึ่งบานสะพรั่งหลังถูกหิมะปกคลุม กลิ่นหอมรวยรื่น ทั้งยังงามละลานตา
หวงหร่างถูกสีแดงนั้นดึงดูด ดวงตาสองข้างที่ว่างเปล่าคล้ายมีเปลวเพลิงสองกองลุกโชนขึ้นมา ตี้อีชิวสังเกตเห็น เขาจึงเข็นนางไปใต้ต้นไม้พลางพูดขึ้น
“ดอกเหมยนี้มีชื่อว่าเนี่ยนจวินอัน ยังจำได้หรือไม่”
หวงหร่างเอาแต่จ้องดอกเหมยสีแดงสดดุจเปลวเพลิงนั้น เนี่ยนจวินอัน…
ตี้อีชิวยกมือขึ้นหักกิ่งเหมยออกมากิ่งหนึ่งแล้ววางลงบนตักนาง ดอกเหมยแดงดั่งโลหิตที่หลั่งริน
เนี่ยนจวินอัน…
รัชศกเฉิงหยวนปีที่ห้า หลังจากหวงหร่างกับเซี่ยหงเฉินร่วมอภิรมย์กันหนึ่งคืน เซี่ยหงเฉินจะกลับสำนักเซียนอวี้หู แม้เขาจะให้สัญญาว่าจะเลือกวันดีมาสู่ขอนางที่บ้าน แต่หวงหร่างไม่วางใจ…คำมั่นสัญญาของคนอื่นนางไม่เคยวางใจ หากเซี่ยหงเฉินจากไปแล้วไม่หวนคืนมา ตนมิใช่เสียเปรียบแย่หรือ
แต่ยามนั้นไม่สะดวกจะเหนี่ยวรั้งเขาไว้โดยที่เขาไม่เต็มใจ อีกทั้งเซี่ยหงเฉินหาใช่บุรุษหูเบาไม่
ดังนั้นก่อนจากกันหวงหร่างจึงหักกิ่งเหมยกิ่งหนึ่งมอบให้เขา
ดอกเหมยนี้นางปรับปรุงสายพันธุ์ขึ้นเอง ดอกผลิบานยามหิมะตก เดิมทีเป็นเพราะฤดูหนาวบุปผาน้อย นางต้องแต่งเรื่องที่น่าฟังเพื่อให้ฮูหยินและคุณหนูผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายยินดีจ่ายราคาแพงเพื่อซื้อของสิ่งนี้
แต่เวลานั้นเพื่อให้เซี่ยหงเฉินเห็นบุปผาแล้วคิดถึงนาง นางจึงตั้งชื่อนี้ให้มันโดยเอ่ยกับเขาว่า ‘หงเฉินจากไปครานี้ไม่รู้ว่ายังมีวันได้พบกันอีกหรือไม่ บุปผานี้จะผลิบานยามต้องหิมะ ข้าจึงตั้งชื่อให้มันว่า ‘เนี่ยนจวินอัน’ นับแต่นี้ไปไม่ว่าสุดหล้าฟ้าเขียว ทุกทิวาราตรี ยามบุปผาผลิบาน ขอให้ท่านสุขสมบูรณ์’
เซี่ยหงเฉินรับกิ่งบุปผาไปและทำตามคำมั่นสัญญา นำกิ่งเหมยนั้นมาสู่ขอนางเมื่อหิมะแรกโปรยปรายลงมา เพียงแต่ในวันนั้นหว่างคิ้วเขามิได้มีความรู้สึกอ่อนโยนละมุนละไมสักเท่าไร
…เขารู้ว่าตนเองต้องการสิ่งใดและรู้ว่าหวงหร่างต้องการสิ่งใด
หวงหร่างต้องการลาภยศและฐานะของฮูหยินประมุขสำนัก เขามอบให้นางแล้ว ส่วนเขาหลงใหลในความเย้ายวนรัญจวนจิตของนาง หวงหร่างเองก็มิได้ตระหนี่ ตลอดร้อยกว่าปียังคงเป็นเช่นวันแรก
ช่างน่าขันอย่างยิ่ง ภายหลังชายหญิงในใต้หล้ากลับเอาบุปผานี้มาเป็นสัญญาแทนใจ
หวงหร่างจ้องมองเหมยแดงเต็มต้นอย่างเหม่อลอย ตี้อีชิวยืนอยู่ใต้ต้นไม้ชมบุปผากับนาง
วันนี้เมืองหลวงหิมะตกหนักจนขาวโพลนไปทุกแห่งหน แม้เขาจะกางร่ม แต่ครึ่งไหล่ยังเต็มไปด้วยหิมะ
ทันใดนั้นก็มีคนวิ่งเหยาะๆ เข้ามา ครั้นเห็นตี้อีชิวก็รีบรายงาน “เจ้ากรม ฝ่าบาททรงมีรับสั่งเรียกตัวท่านเข้าวังทันทีขอรับ”
เข้าวังหรือ หวงหร่างตื่นตระหนกอยู่ในใจ
ตี้อีชิวกลับไม่รู้สึกอะไร ตอบว่า “กงกงรอสักครู่ ขอให้ข้าได้กลับไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
กงกงผู้นั้นเอ่ยว่า “เจ้ากรม ฝ่าบาททรงเรียกตัวอย่างเร่งด่วน ท่านควร…”
ตี้อีชิวมองเขา เอ่ยเสียงอ่อนโยน “อะไรกัน ฝูกงกงไม่สะดวกจะรอข้าหรือ”
ขันทีผู้นั้นได้สติกลับมาทันใด รีบค้อมกายกล่าวว่า “บ่าวผู้เฒ่าจะรอเจ้ากรมตรงนี้ขอรับ”
ตี้อีชิวตอบรับ เขาจัดปอยผมข้างจอนให้หวงหร่างพลางพูดว่า “เจ้ากลับห้องก่อนเถิด”
ก็ได้ หวงหร่างรู้ว่าเขาไม่สะดวกจะพาตนไปด้วย นางเองก็ไม่อยากไปพบซือเวิ่นอวี๋ผู้นั้น ดังนั้นจึงรับคำด้วยท่าทีนิ่งสงบ
ตี้อีชิวเข็นนางเข้าไปในห้องนอน ปลดชุดกระโปรงให้แล้วอุ้มนางไปนอนใต้ผ้าห่ม เขาจุดเทียนไขให้ด้วยความเอาใจใส่ อ่างไฟถูกยกมาวางใกล้กับเตียง จากนั้นก็ปิดประตูออกไป
หวงหร่างมองดูแผ่นหลังของเขา รู้สึกเป็นห่วงอยู่บ้าง
…อยู่ร่วมกันเป็นเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วัน ดูเหมือนนางจะเริ่มพึ่งพาบุรุษผู้นี้เสียแล้ว ทว่าหากใคร่ครวญให้ดี นั่นเป็นเพราะนางไม่มีที่พึ่งพาอื่นอีกแล้ว
หวงหร่างได้แต่ทอดถอนใจ
วังหลวง เจดีย์หยวนหรง
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเร้นกายจากโลกภายนอกมาฝึกบำเพ็ญที่นี่
ฐานเจดีย์มีบันไดหยกแปดด้าน แต่ละด้านมีองครักษ์เฝ้าไว้ ตี้อีชิวก้าวขึ้นบันไดเข้าไปในเจดีย์ ภาพวาดบนผนังภายในเจดีย์แต่ละชั้นล้วนไม่เหมือนกัน มีภาพที่ซือเวิ่นอวี๋นำทัพทำสงคราม ทั้งยังมีภาพเซียนทั้งหลายหลอมยาลูกกลอน ท่องคัมภีร์ และเหินสู่สรวงสวรรค์
ตี้อีชิวเดินตรงขึ้นไปยังชั้นเก้า ในยามปกติซือเวิ่นอวี๋พักผ่อนที่นี่
เขาคุกเข่ารอการเรียกตัวนอกม่านลูกปัด ภายในเจดีย์ร้อนเกินไปสำหรับเขา รมจนเขาเหงื่อออก
ในม่านลูกปัด ซือเวิ่นอวี๋จุดกำยานในเตา ใช้มือโบกควันพลางพูดว่า “เข้ามาเถิด”
ตี้อีชิวจึงเดินเข้าไป ซือเวิ่นอวี๋หันมา ผมยาวของเขาแผ่สยาย เขามีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าซูบตอบ สวมชุดคลุมนักพรตสีขาวสลับดำ ท่วงทีกิริยาราวกับไม่แปดเปื้อนธุลีทางโลก มองเช่นนี้แล้วเขาเหมือนอายุเพียงสามสิบปีเท่านั้น มิได้ดูแก่ชรา ทว่าดวงตาของเขากลับขุ่นมัว แววตาหม่นหมองดั่งผ่านกาลเวลามายาวนาน
แม้กาลเวลาจะมิได้ช่วงชิงชีวิตของเขาไป แต่กลับทิ้งร่องรอยที่มิอาจลบเลือนได้ไว้บนร่างกาย
ตี้อีชิวคุกเข่าลงแล้วโขกศีรษะคารวะ “ฝ่าบาท”
ซือเวิ่นอวี๋ไม่ได้บอกให้เขาลุกขึ้น เพียงเอ่ยว่า “ได้ยินว่าเจ้าได้ของเล่นประณีตชิ้นใหม่มา ทะนุถนอมดั่งของล้ำค่า เหตุใดถึงไม่เอามาให้เราดูบ้างเล่า”
ตี้อีชิวชะงักเล็กน้อย แต่กลับมิได้แสดงออกทางสีหน้า เพียงตอบว่า “แค่ของเล่นเท่านั้น ไฉนเลยจะกล้านำมาโอ้อวดเบื้องพระพักตร์ ทำให้สายพระเนตรของพระองค์แปดเปื้อน”
ซือเวิ่นอวี๋หัวเราะเบาๆ “เจ้ายังคงตัดใจจากสตรีผู้นั้นมิได้ เจ้าเด็กคนนี้เป็นคนยึดติดมาตั้งแต่เล็ก”
หน้าผากตี้อีชิวจรดลงบนพื้น “กระหม่อมโง่เขลาพ่ะย่ะค่ะ”
“ของบางอย่างยามไม่ได้มาย่อมคะนึงหามิลืมเลือน แต่เมื่อได้มากุมไว้ในมือจริงๆ ย่อมไร้ค่าดั่งต้นหญ้า” ซือเวิ่นอวี๋มองดูกำยานในเตาที่กำลังเผาไหม้ “เรื่องยาลูกกลอนอายุวัฒนะเตรียมการไปถึงที่ใดแล้ว”
ตี้อีชิวตอบ “ทูลฝ่าบาท ยาลูกกลอนวิเศษใกล้สำเร็จแล้ว สามารถถวายได้ตามกำหนดเวลาพ่ะย่ะค่ะ”
ซือเวิ่นอวี๋ส่งเสียงตอบรับอย่างพึงพอใจยิ่ง แต่จู่ๆ กลับเอ่ยว่า “ช่วงนี้เจ้าห้าอยู่ในเจดีย์จนอุดอู้ เราจึงให้เขาไปหาเจ้า คิดว่าพวกเจ้าพี่น้องน่าจะพูดคุยความในใจกันได้บ้าง หากเจ้าได้พบเขาจงสนทนากับเขาให้ดี”
เขาจงใจพูดถึงของรักของหวงในช่วงนี้ของตี้อีชิวก่อน เป็นการแสดงให้เห็นว่าเขามีหูตาที่ร้ายกาจในกรมซือเทียน จากนั้นค่อยเอ่ยถึงเจ้าห้า แม้เขาจะมิได้ก้าวเท้าออกจากเจดีย์หยวนหรงเป็นเวลานาน แต่เรื่องราวในกรมกองต่างๆ เขาล้วนกระจ่างแจ้ง
บางทีเขาอาจรู้เรื่องการตายของนายท่านห้าแล้ว
ตี้อีชิวก้มหน้าลง “นิสัยของพี่ห้าไฉนเลยจะมาพูดคุยความในใจกับกระหม่อมได้เล่าพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่เผยพิรุธแม้แต่น้อยจริงๆ ซือเวิ่นอวี๋มิอาจจับสังเกตสิ่งใดจากใบหน้าของอีกฝ่ายได้ จึงเอ่ยว่า “แม้นิสัยเขาจะดื้อรั้นแข็งกร้าว เจ้าก็ต้องใจกว้างกับเขาหน่อย อย่างไรก็เป็นพี่น้องแท้ๆ กัน”
ตี้อีชิวรับคำอย่างนอบน้อม
ซือเวิ่นอวี๋จึงพูดต่อ “อาจเป็นเพราะหิมะตกอากาศหนาว สองวันมานี้เรารู้สึกว่าร่างกายอ่อนเพลียยิ่ง”
ตี้อีชิวเข้าใจ จึงตอบว่า “ยาลูกกลอนอายุวัฒนะยังหลอมไม่เสร็จ พระวรกายของฝ่าบาทยากจะปรับตัวกับอากาศที่หนาวเย็นได้ มิสู้ใช้โลหิตของกระหม่อมบรรเทาความเหนื่อยล้าชั่วคราวก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ซือเวิ่นอวี๋พยักหน้าตอบ “ก็ดีเช่นกัน เรามีบุตรชายบุตรสาวนับไม่ถ้วน กลับมีเพียงโลหิตของเจ้าที่บริสุทธิ์ที่สุด”
หน้าผากตี้อีชิวจรดลงบนพื้นอีกครั้ง “กระหม่อมจะไปนำโลหิตมาถวายเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ซือเวิ่นอวี๋สูดควันจากในเตา ตี้อีชิวรู้ว่านั่นคือสิ่งใด…เครื่องหอมที่ทำจากหญ้าเทวดา
ร้อยกว่าปีก่อนเขามุ่งหน้าไปยังตำบลเซียนฉา พบว่าหวงหร่างตั้งใจปรับปรุงหญ้าเทวดาขึ้นมาโดยเฉพาะ นางใช้หญ้านี้มวนยาเส้นให้หวงซู่ผู้เป็นบิดา หญ้านี้ทำให้คนติดได้ง่าย นางจึงใช้ยาลูกกลอนเรียกสติถอนพิษออกในภายหลัง หวงซู่ชื่นชอบยิ่งนัก
ตี้อีชิวหาวิธีทำให้ซือเวิ่นอวี๋ค้นพบมัน ซือเวิ่นอวี๋มีนิสัยช่างระแวง ย่อมต้องตรวจสอบข้อดีข้อเสียของหญ้านี้อย่างละเอียด ถึงกระนั้นหลังจากซือเวิ่นอวี๋จุดกำยานที่ทำจากหญ้านี้แล้วก็มิอาจต้านทานความเย้ายวนของมันได้ แต่เขาก็ระมัดระวังรอบคอบ กินยาลูกกลอนเรียกสติลงไปเช่นกันเพื่อต้านทานฤทธิ์ยาของหญ้าเทวดา
ความอัศจรรย์ของหญ้านี้อยู่ที่หลังเสพมันเข้าไป ผู้เสพจะเข้าสู่ภาวะเคลิบเคลิ้มทันที สิ่งที่แสวงหา สิ่งที่เฝ้ารอคอยล้วนกลายเป็นความจริง ของเช่นนี้ทั้งที่รู้ดีว่าต้องจ่ายค่าตอบแทน แต่ก็ยังมีคนยากจะตัดใจจากมันได้
จริงดังคาด ซือเวิ่นอวี๋สูดดมเครื่องหอมนี้แล้ว สติรับรู้ค่อยๆ เลือนราง ร่างกายอ่อนปวกเปียก เขาโบกมือพลางเอ่ยขึ้น
“ไปเถิด”
ตี้อีชิวค้อมกายและขอตัว ก่อนจากไปเขามองไปยังซือเวิ่นอวี๋ที่อยู่ท่ามกลางหมอกควันที่ม้วนตัวขึ้นมา
เขามองเห็นอะไร
ความหวังทั้งชีวิตของตนเองหรือ
ตี้อีชิวมิได้ถามอะไร เขาเดินมาถึงชั้นใต้ดินของเจดีย์ ชั้นใต้ดินของเจดีย์หยวนหรงยังมีโลกอีกใบซ่อนอยู่
ที่นี่ไม่มีภาพวาดบนผนังที่งามวิจิตรอีกแล้ว แสงเทียนสลัวส่องให้เห็นห้องขังหลายห้องอย่างเลือนราง
คนในห้องขังถูกล่ามด้วยโซ่เหล็ก ก้าวเดินได้ในรัศมีหนึ่งจั้งเท่านั้น ครั้นได้ยินเสียงพวกเขาก็ถลามาตรงประตูห้องขัง ผมเผ้ายุ่งเหยิงดูไม่เหมือนคน ที่น่าสะพรึงยิ่งกว่านั้นคือบนร่างพวกเขาล้วนมีเกล็ดงูขึ้นอยู่หนาแน่น เกล็ดงูกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ ผุดขึ้นบนร่างกายอย่างไร้ทิศทาง เห็นแล้วชวนให้ขนพองสยองเกล้า
“ปล่อยข้าออกไป! ปล่อยข้าออกไป!” พวกเขาออกแรงเขย่าประตูห้องขังสุดชีวิต ส่งเสียงตะโกนคลุมเครือไม่ชัดเจนออกมา
มีขันทีเขี่ยไส้ตะเกียงให้สว่างขึ้น พวกเขาปิดตาทันใด ขดตัวเข้าไปในมุม คล้ายทนรับแสงสว่างเช่นนี้ไม่ได้
ขันทียื่นมีดเงินเล่มหนึ่งให้ตี้อีชิวอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ประคองชามทองใบหนึ่งมา
ตี้อีชิวรับมีดมาและกรีดลงบนข้อมือ โลหิตค่อยๆ ไหลมารวมกันกลายเป็นสีแดงสดในชาม ขันทีผู้นั้นจ้องชาม จนกระทั่งได้โลหิตครึ่งค่อนชามแล้ว ในที่สุดก็หยิบผ้าพันแผลออกมาพลางพูดขึ้น
“ได้แล้วขอรับ บ่าวจะใส่ยาให้เจ้ากรม”
ตี้อีชิวกดบาดแผลไว้ รับผ้าพันแผลมาและตอบว่า “ไม่จำเป็น”
เมื่อเขาพันแผลให้เรียบร้อยด้วยตนเอง จากนั้นขันทีก็ส่งเขาออกไป
ก่อนขึ้นไปเขาหันกลับไปมอง ในห้องขังที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแห่งนี้มีดวงตาหลายคู่จับจ้องมาที่เขา
คนที่ถูกกักขังอยู่ที่นี่ล้วนเป็นพี่น้องของเขา ในฐานะพระโอรสพระธิดา เดิมทีพวกเขาควรได้กินอาหารรสเลิศ สวมอาภรณ์งามวิจิตร มีชีวิตที่หรูหราสุขสบาย ทว่าบัดนี้พวกเขากลับถูกกักขังอยู่ที่นี่ เป็นคนก็มิใช่ เป็นผีก็ไม่เชิง
“เจ้ากรม ไปกันเถิด” ขันทีเอ่ยเร่งรัดอย่างระมัดระวัง
ตี้อีชิวก้าวออกจากคุกใต้ดินกลับขึ้นไปยังชั้นหนึ่งของเจดีย์หยวนหรง คล้ายออกจากขุมนรกกลับคืนสู่โลกมนุษย์
เขาเดินออกจากเจดีย์ช้าๆ แต่เบื้องหลังคลับคล้ายยังมีบางสิ่งบางอย่างจับจ้องและติดตามมา
แต่ไหนแต่ไรตี้อีชิวเป็นคนจิตใจแน่วแน่เข้มแข็ง ทว่ายามนี้เขาเกิดความวู่วามอยากจะหันหลังกลับไป
คงเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากฤทธิ์ยาของเครื่องหอมนั่นเอง
ซือเวิ่นอวี๋รู้แค่ว่านั่นคือหญ้าเทวดา เขาไม่รู้ว่ายังมีหญ้าอีกชนิดที่เป็นพันธุ์พืชดัดแปลงจากหญ้าเทวดา เนื่องจากรูปลักษณ์ภายนอกและกลิ่นเหมือนกันทุกประการ ทุกครั้งเวลาปรุงเครื่องหอมผสมลงไปสักต้นสองต้นย่อมไม่มีใครรู้
กองเสวียนอู่
หวงหร่างนอนอยู่บนเตียง เฝ้ารอคอยอยู่เงียบๆ นางย้อนคิดถึงชีวิตของตนก็พบว่าช่างน่าขันโดยแท้ นับตั้งแต่แต่งเข้าสำนักเซียนอวี้หู นางใช้เวลาร้อยกว่าปีในการเฝ้ารอคอยเซี่ยหงเฉิน ภายหลังถูกกักขังลงทัณฑ์ในห้องลับกลางเขาลึก นางต้องใช้เวลาสิบปีเฝ้ารอคอยที่จะหลุดพ้น
ตอนนี้นางยังต้องมาเฝ้ารอคอยตี้อีชิวอีกแล้ว
ท่ามกลางลมหิมะ จู่ๆ เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยยิ่งดังแว่วมา
หวงหร่างแทบอยากจะผุดลุกขึ้นนั่ง
ประตูส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด คนยังไม่เข้ามา ลมหิมะกลับพัดกรูเข้ามาในห้องเสียก่อน
ตี้อีชิวปิดประตูห้อง ดูเหมือนเขาจะเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง เพียงถอดเสื้อผ้า รองเท้า และถุงเท้าออก จากนั้นก็ตรงขึ้นเตียง หวงหร่างเฝ้ารอคอยอยู่นาน เห็นเขาไม่สนใจตนก็รู้สึกผิดหวัง
ทว่าผ่านไปพักหนึ่งนางรู้สึกว่าผ้าห่มยับเล็กน้อย หวงหร่างไม่เข้าใจ นางจึงเหลือบไปมอง ท่ามกลางแสงเทียนสลัว นางเห็นตี้อีชิวร่างกำลังสั่นสะท้าน
เขาร้องไห้หรือ
หวงหร่างตกใจ ความคิดมากมายผุดขึ้นมาโดยพลัน
เขาไปพบบิดาเขา พอกลับมาแล้วก็ซุกตัวในผ้าห่มร้องไห้ เช่นนั้นบิดาเขากระทำเรื่องเลวร้ายอะไรกับเขากันแน่
หวงหร่างมิใช่สตรีที่ไม่ประสีประสา นางรู้ว่าใต้หล้านี้มีคนทุกประเภท…บางคนหลงรักมารดา หลงรักบิดา หรือว่าซือเวิ่นอวี๋…จะหลงรักบุตรชายของตนเอง
เช่นนั้นเขา…เช่นนั้นตี้อีชิว…สวรรค์!
ความคิดของหวงหร่างเริ่มไม่ค่อยดีนัก จนกระทั่งตี้อีชิวพลิกตัวมากอดนางไว้ นางจึงพบว่าเขาไม่ได้กำลังร้องไห้ เขากำลังหนาวต่างหาก ปลายนิ้วเขาที่กดหลังคอนางเหมือนจับตัวเป็นน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น แม้บนร่างเขาจะมีเสื้อผ้าขวางกั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงไอเย็น
ทว่าตี้อีชิวกลับปล่อยนางอย่างรวดเร็ว
เขาลุกจากเตียงและสวมเสื้อผ้าอีกครั้ง จากนั้นก็ห่มผ้าให้หวงหร่างอย่างเรียบร้อย หวงหร่างมิเพียงเห็นข้อมือเขาพันด้วยผ้าพันแผล ทว่ายังเห็นใบหน้าซีดเซียวของเขา น้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
“ข้าจะไปนอนในห้องหนังสือ” กล่าวจบเขาก็คว้าเสื้อขนสัตว์ขึ้นมา เปิดประตูแล้วจากไป
ชั่วขณะนั้นหวงหร่างอยากรั้งเขาไว้ น่าเสียดายที่นางในตอนนี้ก็เหมือนพิณหนึ่งตัว ต้นไม้หนึ่งต้น จะว่าไปแล้วก็เป็นเพียงวัตถุไร้ชีวิตเท่านั้น
โลกมนุษย์ลมหนาวพัดมาหิมะตกหนัก ใครเล่าจะให้ความอบอุ่นแก่อีกคนได้
บทที่ 8 ฝันคืน
พอตี้อีชิวจากไปในห้องก็จมสู่ความเงียบงัน
หวงหร่างเตรียมตัวผ่านค่ำคืนที่เหน็บหนาวนี้ตามลำพังแล้ว ทันใดนั้นข้างหูก็ได้ยินเสียงร่ำร้องของคนเป็นพันเป็นหมื่น เข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกบนศีรษะนางเหมือนจะร้อนลวก ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเข็มเหล็กร้อนสีแดงฉาน
พลังขุมหนึ่งฉุดดึงสติรับรู้ของนาง คล้ายต้องการจะฉีกทึ้งนาง หวงหร่างมองเห็นแต่ความมืดมนไร้ที่สิ้นสุด ความมืดถาโถมเข้ามา ท่ามกลางความมืดมีใบหน้าของผู้คนนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่มากมาย ประเดี๋ยวผุดขึ้นมาประเดี๋ยวเลือนรางจางหายไป
หวงหร่างอยากจะร้องตะโกน อยากจะดิ้นรน แต่นางเปล่งเสียงไม่ออก ร่างกายก็ไม่ฟังคำสั่งโดยสิ้นเชิง จิตวิญญาณปั่นป่วนอยู่ในร่าง คล้ายอยากจะดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของร่างกาย
เจ็บ ความเจ็บปวดเหมือนถูกฉีกทึ้งร่างโถมเข้าใส่นาง ความมืดมนที่เกิดจากเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกประหนึ่งวิญญาณอาฆาตและผีร้ายนับไม่ถ้วน ดวงตาของพวกมันแดงฉานดั่งโลหิต กางกรงเล็บอย่างดุดัน แต่ในปากกลับเปล่งเสียงคร่ำครวญ ทั้งโกรธแค้นและตกใจหวาดหวั่น พลังอันแข็งแกร่งดุจมหาสมุทรโถมทะลักกวาดม้วนเข้ามาหานางอย่างฉับพลัน
หวงหร่างจมอยู่ในนั้น เสียงนับไม่ถ้วนร่ำร้องอยู่ในห้วงสมองของนางไม่หยุด
ไม่ จะคลุ้มคลั่งไม่ได้ หาไม่แล้วการยืนหยัดสิบปีจะทำไปเพื่ออะไร นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่ยอมหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความมืด เซี่ยหลิงปี้ยังมีชีวิตอยู่อย่างปกติ เซี่ยหลิงปี้…นางท่องชื่อนี้พลางประคับประคองสติของตนเองไว้ท่ามกลางความมืดมิดดั่งขุมนรก
…เซี่ยหลิงปี้ ต้องมีสักวัน ข้าจะคืนความเจ็บปวดของข้า ความโกรธแค้นของข้า ความหวาดหวั่นของข้ากลับไปให้เจ้าทั้งหมด
ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าข้าหวงหร่างเป็นคนเช่นไร
รอบด้านพายุฝนโหมกระหน่ำ ปณิธานของนางดุจดังแสงเทียนริบหรี่ดวงหนึ่ง
หวงหร่างไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าร่างกายเบาขึ้น! เหมือนนางถูกลากดึงจนหลุดออกจากร่างกะทันหัน ภาพเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนไป มิใช่ห้องนอนของตี้อีชิวอีก
รอบด้านเป็นหิมะที่ตกหนัก บนพื้นหิมะมีเจดีย์สูงสีทองตั้งตระหง่านอย่างเงียบงันคล้ายยักษ์ตัวโตที่เข้มงวดเย็นชาตนหนึ่งกำลังหลุบตามองนางด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์ หวงหร่างเดินอ้อมเจดีย์ เห็นตรงฐานเจดีย์มีบันไดแปดด้าน ส่วนเจดีย์นั้นสูงเก้าชั้น
นี่คือที่ใด เหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ข้าฝันไปหรือ
หวงหร่างเดินไปทีละก้าวจนกระทั่งถึงฐานเจดีย์ บนยอดเจดีย์มีคนผู้หนึ่งในชุดคลุมนักพรตสีขาวสลับดำยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ แต่ระยะห่างไกลเกินไปทำให้หวงหร่างมองเห็นใบหน้าเขาไม่ชัดเจน เขาจับจ้องนางคล้ายเทพที่หลุบตามองมดตัวหนึ่ง
“เด็กที่เฉลียวฉลาดอย่างเจ้าคงรู้กระมังว่าต้องทำเช่นไร” เสียงของเขาก็เหมือนคืนหิมะตกนี้ ทั้งเยียบเย็นและแผ่วเบา เขาหยิบของชิ้นหนึ่งจากในแขนเสื้อโยนลงมา ของชิ้นนั้นร่วงตกลงเบื้องหน้าหวงหร่างพอดี
หวงหร่างหยิบขึ้นมาก็พบว่าเป็น…เข็มใบชา เล่มหนึ่ง เข็มใบชานี้ดั่งแก้วแวววาว ดุจหยกน้ำแข็ง ด้ามเข็มสลักลาย ส่วนหัวแหลมคม ทำจากวัสดุที่แข็งแรงยิ่ง มิใช่ของธรรมดาสามัญ
“จงหวงแหนเวลา ทำในสิ่งที่เจ้าอยากทำ” คนบนยอดเจดีย์สะบัดแขนเสื้อ “เมื่อน้ำแข็งละลายย่อมตื่นจากฝัน เวลาล้ำค่านัก”
หมายความว่าอะไร หวงหร่างอยากจะถาม แต่เจดีย์เก้าชั้นเบื้องหน้าตั้งตระหง่านน่าเกรงขาม คนบนยอดเจดีย์ยิ่งเหมือนเทพมาเยือนบนโลกมนุษย์ นางเป็นเพียงภูตดินตัวเล็กๆ เท่านั้น มิอาจเอ่ยอะไรได้
นางกำเข็มน้ำแข็งแน่น อัสนีสายหนึ่งผ่าลงมาจากเจดีย์สูงกะทันหัน รัศมีหมื่นสายตกกระจายมาที่นาง แสงสีขาวตัดสลับไปมาตรงหน้า ภาพที่เห็นพลันแปลกประหลาด!
หวงหร่างใช้มือบดบังแสงอันแรงกล้าเบื้องหน้า รอจนมองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง นางก็ยืนอยู่ข้างศาลาสามมุมหลังน้อยเสียแล้ว ในศาลาน้อยยังมีอาหารและขนมประณีตวางอยู่หลายอย่าง ห่างออกไปไม่กี่ก้าวเป็นสระน้ำ ริมสระปลูกเหมยต้นหนึ่งไว้ แต่ยามนี้ไร้ใบไร้ดอก แลดูเงียบเหงาอ้างว้าง
…นั่นคือเนี่ยนจวินอันนั่นเอง
หวงหร่างจิตใจสั่นสะเทือน สถานที่แห่งนี้นางคุ้นเคยอย่างยิ่ง เพราะต้นไม้ใบหญ้าทุกต้น ก้อนหินและสายน้ำทั้งหมดของที่นี่ล้วนเกิดจากฝีมือนาง นี่คือหอฉีลู่ในสำนักเซียนอวี้หู หลังจากแต่งงานกับเซี่ยหงเฉิน นางก็พำนักอยู่ที่นี่มาร้อยกว่าปีแล้ว
และบัดนี้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านางคือเซี่ยหงเฉิน หวงหร่างสติรับรู้มึนงง ในความพร่าเลือนนางได้ยินเสียงตนเองพูดออกไป
“ท่านพี่เคยคิดที่จะสังเกตการเคลื่อนไหวของปรมาจารย์บ้างหรือไม่ หลายวันก่อนข้าพบเจอเรื่องหนึ่ง ทำให้รู้สึกไม่สบายใจมาโดยตลอด ข้าคิดอยู่มิวายว่าท่านพี่ควรจะมุ่งหน้าไปยอดเขาอั้นเหลยเพียงลำพังเพื่อตรวจสอบดูสักครั้ง”
ไม่…อย่าพูด เขาไม่มีทางรับฟัง
ทว่าคำพูดนี้ท้ายที่สุดแล้วยังคงเอ่ยออกมา
นี่คงเป็นฝันร้ายกระมัง ภาพตรงหน้าเป็นภาพครั้งสุดท้ายที่นางได้พบเซี่ยหงเฉินเมื่อสิบปีก่อน
กว่านางจะหลอมรวมเข้ากับร่างนี้ได้อย่างสมบูรณ์ วาจาก็ถูกเอ่ยออกจากปากแล้ว เซี่ยหงเฉินยืนอยู่ตรงหน้านางจริงๆ และสองมือของหวงหร่างกำลังช่วยเขาจัดเสื้อผ้า
เขายังคงสวมอาภรณ์สีขาวดุจหมู่เมฆ มีเกี้ยวหยกครอบผม เอวห้อยหยกประดับ สำนักเซียนอวี้หูบูชาหยก ส่วนเขาเป็นหยกงามที่ไร้ตำหนิและสมบูรณ์แบบที่สุดของสำนักเซียนทั้งหมด
สายตาของหวงหร่างจับจ้องที่เขา คิ้วของเซี่ยหงเฉินขมวดเข้าด้วยกัน ปัดมือหวงหร่างที่กำลังผูกสายเสื้อให้ตนออก เห็นได้ชัดว่าขุ่นเคือง สีหน้าของเขาเคร่งขรึม น้ำเสียงยิ่งแฝงแววตำหนิ
“นี่มิใช่เรื่องที่เจ้าควรจะก้าวก่าย เจ้าเป็นผู้น้อย กลับวิพากษ์วิจารณ์ยุแยงลับหลังผู้ใหญ่ หวงซู่อบรมสั่งสอนเจ้ามาเช่นนี้รึ”
คำพูดนี้เขากล่าวด้วยสีหน้าเข้มงวดเฉียบขาด หวงหร่างจนคำพูด ความรู้สึกไม่เหมือนจริงช่างรุนแรงถึงเพียงนั้น
นางจ้องเซี่ยหงเฉินตรงหน้า ขอบตากลับแดงเรื่อโดยไม่รู้ตัว เซี่ยหงเฉินมิได้บังเกิดความเห็นใจเพราะท่าทางน่าสงสารของนาง ตลอดร้อยกว่าปีของการเป็นสามีภรรยาเขามีความระแวงอยู่ตลอด ไม่มีทาง ‘ตกหลุมพรางความอ่อนโยน’ ใดๆ ของนางแน่นอน
การหลั่งน้ำตาไม่มีประโยชน์ หวงหร่างรู้แต่แรกแล้ว ดังนั้นเมื่อกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากกันไปนาน นางจึงสะกดกลั้นความรู้สึกทั้งหมดไว้
หลังจากนั้นเซี่ยหงเฉินก็สะบัดแขนเสื้อจากไป อีกทั้งเขายังมิได้มาที่นี่อีกเป็นเวลานาน
หวงหร่างก้าวไปส่งเขาจนถึงหน้าประตูหอฉีลู่อย่างเงียบๆ เซี่ยหงเฉินไม่มีทางหันกลับมา หลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยแสดงความอาลัยอาวรณ์หรือรักใคร่ตามใจนางให้เห็น ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียว
หวงหร่างสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จวบจนแผ่นหลังของเขาหายลับไปจากเส้นทางภูเขาอันคดเคี้ยว ขนตายาวของนางจึงเค้นน้ำตาหยดหนึ่ง ดั่งจันทราดาราแหลกสลาย ประกายแวววาวกระจายออกไป
หอฉีลู่เงียบงันจนเหมือนปราศจากเสียง
หวงหร่างหันหลังกลับไปยังศาลาสามมุมหลังน้อย มองเห็นขนมบนโต๊ะหินในศาลาที่ไม่มีผู้ใดแตะต้อง
สิบปีผ่านไปนางมีหรือจะยังจำได้ว่าตอนนั้นตนเองทำขนมอะไรบ้าง ที่แท้เป็นของพวกนี้เองหรือ
นางหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบวุ้นขนมโก๋ชิ้นหนึ่งใส่ปาก ขนมรสชาติหอมหวาน เข้าปากก็ละลาย ทำให้ประสาทรับรสของนางนุ่มละมุนในชั่วพริบตา นางจึงกินขนมเหล่านั้นทีละชิ้น สุดท้ายแม้กระทั่งตะเกียบก็ไม่ใช้ ใช้มือหยิบขนมยัดใส่ปากแทน
ต่อให้เป็นขนมที่อร่อยเพียงใด พอยัดเข้าไปในปากจำนวนมากเช่นนี้ก็ฝืดคอ หวงหร่างสำลัก ในที่สุดน้ำตาก็ทะลักออกมาดั่งสายน้ำที่ชะล้างบางสิ่ง
นางใช้สองมือปิดปาก ขดตัวอยู่ตรงมุมศาลา แม้กระทั่งร้องไห้ยังต้องสงบเสงี่ยม น้ำตาไหลผ่านซอกนิ้ว แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา
พอร้องไห้เสร็จ หวงหร่างก็ลุกขึ้นยืน เดินไปที่ริมสระไป๋ลู่ล้างมือล้างหน้าให้สะอาด
สระไป๋ลู่สะท้อนเงาของนางอย่างเงียบๆ
เนื่องจากวันนี้เซี่ยหงเฉินมาเยือน เสื้อผ้าอาภรณ์ของนางจึงบางเบา ด้านในเป็นแถบผ้ารัดอกสีขาว ท่อนล่างเป็นกระโปรงผ้าโปร่งที่ยาวถึงข้อเท้า ด้านนอกกระโปรงผ้าโปร่งยังมีกระโปรงชั้นนอกที่ทำจากเกล็ดสีดำร้อยเข้าด้วยกัน กระโปรงชั้นนอกผูกอยู่กับเอวลากยาวไปข้างหลัง แน่นอนว่ามิได้มิดชิดสักเท่าไร ข้อดีของผ้าโปร่งบางเบาที่แทบจะโปร่งแสงจึงปรากฏออกมาอย่างเด่นชัด
หวงหร่างเกิดมางดงาม ชุดกระโปรงเช่นนี้นางสามารถสวมใส่ให้คนเกิดความรู้สึกว่านางมีเรียวขายาวรูปร่างดีได้ กอปรกับนางเชี่ยวชาญการบำรุงรักษาร่างกาย หลายปีมานี้ทรวดทรงของนางถึงขั้นเหนือกว่าสมัยที่ยังไม่แต่งงานเสียอีก
นางมองดูเงาตนเองในน้ำ ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม คนในสระไป๋ลู่ยิ้มน้อยๆ ตอบกลับมา
หวงหร่างสูดลมหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง จากนั้นผ่อนออกมาช้าๆ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโศกเศร้า เรื่องเร่งด่วนคือต้องค้นหาความจริงให้ได้ว่าเหตุใดตนถึงมาปรากฏตัวที่นี่อย่างแปลกประหลาด
ในความทรงจำของนาง หลังจากพูดคุยกับเซี่ยหงเฉินครั้งนี้แล้ว ปรมาจารย์สำนักเซียนอวี้หูเซี่ยหลิงปี้ก็จู่โจมกะทันหัน เขามิได้พูดอะไรทั้งนั้น เพียงใช้เข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกแทงเข้ามาในกะโหลกศีรษะของหวงหร่าง จากนั้นก็โยนนางเข้าไปในห้องลับที่ลึกที่สุดของยอดเขาอั้นเหลย
นับแต่นั้นมาหวงหร่างก็หายตัวไปจากโลกนี้เป็นเวลาสิบปี อีกทั้งไม่มีผู้ใดตามหานาง
ส่วนสหายเก่าในวันวานของนาง เนื่องจากนางแต่งเข้าสำนักเซียน ไปมาไม่สะดวก จึงค่อยๆ ขาดการติดต่อกันไป
สำหรับศิษย์ในสำนักเซียนอวี้หู แม้จะเคารพยกย่องนาง แต่ถ้าเซี่ยหงเฉินกับเซี่ยหลิงปี้ร่วมมือกันปิดบัง พวกเขาจะทำอะไรได้
พี่น้องของตนยิ่งมิต้องพูดถึง พวกเขาอยากให้นางตายไวๆ ด้วยซ้ำ บิดา…บิดาน่าจะถามถึง หลังจากนั้นเมื่อรู้ว่านางหายตัวไปก็จะทำตัวเป็นสิงโตอ้าปาก* กับเซี่ยหงเฉิน
…ไม่รู้ครั้งนี้เขาได้รับผลประโยชน์อะไรไป หวงหร่างขบคิดอย่างเสียดสี
นางเข้าไปในห้อง อยากเปลี่ยนชุดกระโปรงใหม่…เสื้อผ้าของนางช่างมากมายโดยแท้
นางมองดูอยู่ครู่หนึ่ง มีชุดสีทองอ่อนตัวหนึ่ง เป็นตัวโปรดของนางสมัยที่ยังไม่แต่งงาน ไม่รู้เพราะเหตุใดนางกลับคิดถึงมุมมองความงามของตี้อีชิวแห่งกรมซือเทียน มุมปากนางจึงกระตุกเล็กน้อย ชุดนี้แล้วกัน
นางถอดชุดที่สวมใส่อยู่ ทันใดนั้นของชิ้นหนึ่งก็ร่วงหล่นลงมาจากในแขนเสื้อ หวงหร่างก้มลงมอง เป็นเข็มใบชาที่เหมือนแกะสลักขึ้นจากน้ำแข็ง เข็มใบชานี้โปร่งใส ยามถืออยู่ในมือเหมือนจะละลาย ยิ่งขับเน้นให้มันดูเยียบเย็นและแหลมคมเป็นพิเศษ หวงหร่างกำเข็มใบชาไว้ในมือ แต่กลับไม่เห็นว่ามันมีท่าทีจะละลาย จู่ๆ…นางก็นึกถึงคำพูดของคนบนยอดเจดีย์ผู้นั้น…เมื่อน้ำแข็งละลายย่อมตื่นจากฝัน
จวงโจวฝันเป็นผีเสื้อ* หรือ
หวงหร่างเปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงตัวนี้ สีทองอ่อนอบอุ่นเฉิดฉันสง่าผ่าเผย ทำให้นางดูอ่อนโยนสุภาพดุจแสงอาทิตย์ เข็มใบชาพกพาไม่สะดวก นางจึงเสียบมันไว้กับมวยผมแทนปิ่น
เวลาล้ำค่านัก มิอาจใช้อย่างสูญเปล่าได้
หวงหร่างหากล่องใส่อาหารมาหนึ่งใบ จัดเรียงขนมที่ตนหยิบคว้าจนเละเทะเมื่อครู่ลงไปทีละชิ้น ถือโอกาสคว้ากาสุราบนโต๊ะใส่ลงไปด้วย
พอออกจากหอฉีลู่ สำนักเซียนอวี้หูก็เริ่มมีเสียงของศิษย์ในสำนักเดินไปมา พวกเขาเห็นหวงหร่างแล้วต่างค้อมกายคารวะอย่างนอบน้อม นางยิ้มน้อยๆ คารวะตอบ ต่อจากนั้นนางก็พบคนผู้หนึ่ง…เซี่ยจิ่วเอ๋อร์
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์เห็นนางแล้วคิ้วขมวดเล็กน้อย แต่ยังคงประสานมือทักทาย “มารดาบุญธรรม”
หวงหร่างเดินไปตรงหน้านางช้าๆ ยิ้มหยันในใจ ทว่ามือกลับยื่นออกไปลูบผมนางอย่างรักใคร่เมตตา
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์อยากหลบ แต่สะกดกลั้นไว้…บริเวณนี้มีผู้คนเดินผ่านไปมา เกรงว่าจะเป็นที่ครหาได้ ดังนั้นนางจึงได้แต่ฝืนยิ้ม
“เหตุใดวันนี้มารดาบุญธรรมถึงมีเวลาว่างออกมาได้เจ้าคะ เมื่อครู่เห็นบิดาบุญธรรมไปหา ข้ายังคิดว่ามารดาบุญธรรมจะต้องอยู่เป็นเพื่อนเขาแน่”
เทียบกับเซี่ยจิ่วเอ๋อร์แล้ว รอยยิ้มของหวงหร่างจริงใจกว่ามาก นางตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนสนิทสนม “เขามักจะยุ่งอยู่ตลอด เจ้าเองก็รู้”
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์ยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “ก็ถูก เช่นนั้นมารดาบุญธรรมตามสบายเถิด หากมีเรื่องใดสามารถเรียกจิ่วเอ๋อร์ได้”
หวงหร่างจงใจก่อกวนอีกฝ่าย นางลูบศีรษะเซี่ยจิ่วเอ๋อร์พลางพูดว่า “ดีจริง จิ่วเอ๋อร์ของข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว รู้ความแล้ว ในเมื่อจิ่วเอ๋อร์อยากช่วย เช่นนั้นก็เอาเสื้อผ้าในหอฉีลู่ไปซักให้ข้าแล้วกัน”
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์ตกตะลึงไปชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่านางคิดไม่ถึงว่าหวงหร่างจะเอ่ยข้อเรียกร้องเช่นนี้ออกมาจริงๆ แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเด็ก เก็บงำความคิดมิได้ นางนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบอย่างติดๆ ขัดๆ
“อ้อ…อ้อ เจ้าค่ะ”
หวงหร่างทำหน้าปลาบปลื้ม กำชับว่า “เด็กดี ชุดกระโปรงของข้ามีมากมาย หลายตัวถูกวางทิ้งไว้นาน ฝุ่นเกาะเต็มไปหมด ใจกตัญญูของเจ้าช่างล้ำค่า ข้าเองก็ไม่สะดวกจะขัดขวาง แต่เวลาซักต้องระวังสักหน่อย อย่าให้มือเป็นแผลเล่า”
สีหน้าของเซี่ยจิ่วเอ๋อร์ดูน่าตื่นตาขึ้นมาทันใด นางรับคำอย่างไม่เต็มใจ ได้แต่มุ่งหน้าไปหอฉีลู่
หวงหร่างมองดูเงาหลังของนาง อดยิ้มจนตาหยีมิได้
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์เป็นบุตรบุญธรรมของนางกับเซี่ยหงเฉิน ในอดีตตอนหวงหร่างแต่งให้เซี่ยหงเฉินแล้วพบว่าเขาเฉยชากับนาง เพื่อกอบกู้ฐานะนางจึงเคยเสนอกับเซี่ยหงเฉินว่าอยากได้เด็กสักคน
แน่นอนว่าเซี่ยหงเฉินปฏิเสธ
…เซี่ยหงเฉินมักจะปฏิเสธข้อเรียกร้องของหวงหร่างเสมอจนนางชินชาแล้ว นางจึงลดข้อเรียกร้องลง
วันหนึ่งตอนนั่งดื่มสุรากับเซี่ยหงเฉินอย่างสบายอารมณ์ หวงหร่างจับจักจั่นทองได้ตัวหนึ่ง นางแบมือให้เขาดู
‘หงเฉิน ท่านดู จักจั่นทองตัวนี้งดงามทีเดียว พวกเราเองก็ไม่มีบุตร รับมันเป็นบุตรบุญธรรมเป็นอย่างไร’
แน่นอนว่าเพื่อเป็นเครื่องผูกมัดที่จะกระชับความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเซี่ยหงเฉินให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น อีกทั้งไม่มีผลเสียอะไร เซี่ยหงเฉินจึงยอมตกลงในที่สุด
หวงหร่างดีอกดีใจ กุมมือเซี่ยหงเฉินและตั้งชื่อจักจั่นทองตัวนี้ว่าจิ่วเอ๋อร์
ในฐานะบุตรบุญธรรมของเซี่ยหงเฉินกับหวงหร่าง เซี่ยจิ่วเอ๋อร์ถูกฟูมฟักด้วยยาลูกกลอนเซียนและโอสถทิพย์ ดังนั้นนางจึงเกิดปัญญาอย่างรวดเร็ว ครั้นหวงหร่างเห็นว่านางเป็นสตรี จากบุตรบุญธรรมก็กลายเป็นบุตรสาวบุญธรรม แรกเริ่มเซี่ยจิ่วเอ๋อร์ใกล้ชิดสนิทสนมกับหวงหร่างยิ่ง แต่ภายหลังเด็กคนนี้เริ่มค้นพบว่ามารดาบุญธรรมก็มิได้ถูกบิดาบุญธรรมรักใคร่ตามใจถึงเพียงนั้น
ถึงขั้นที่ว่าเป็นเพราะนางสนิทสนมกับหวงหร่าง เซี่ยหงเฉินจึงพลอยเหินห่างเย็นชากับนางไปด้วย
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์อายุยังน้อย แต่เฉลียวฉลาดยิ่ง ด้วยเหตุนี้นางจึงตั้งใจฝึกบำเพ็ญ น้อยครั้งที่จะไปหอฉีลู่อีก มิหนำซ้ำตอนพบเจอหวงหร่างยังวางท่าสำรวมเย็นชา แล้วก็เป็นไปตามที่คิด เมื่อนางตีตัวออกหากจากหวงหร่าง เซี่ยหงเฉินกลับใส่ใจนางมากยิ่งขึ้น ทุกคนในสำนักเซียนอวี้หูก็ปฏิบัติต่อนางราวกับองค์หญิงน้อยปานนั้น
หวงหร่างขบคิดเรื่องเหล่านี้แล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ เด็กคนนี้อย่างไรก็ยังเด็กเกินไป ขาดความสุขุมหนักแน่น ทั้งยังเก็บงำความคิดในใจไม่อยู่
นางเพียงหิ้วกล่องใส่อาหารแล้วเดินลงจากเขาต่อ
จู่ๆ เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นข้างหลัง หวงหร่างชะงัก นางหันไปมองก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังลงจากเขาเช่นกัน เขาสวมชุดขุนนางสีม่วง เอวห้อยถุงมัจฉาทอง เท้าสวมรองเท้าขุนนาง เอวผึ่งผาย รูปร่างสูงโปร่ง
เป็นตี้อีชิว!
หวงหร่างเร่งฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว รอจนกระทั่งตนเองเดินเข้าไปตรงหน้าเขา ถึงได้หยุดนิ่ง
อันที่จริงนางกับคนตรงหน้าผู้นี้ไม่ค่อยมีความเกี่ยวข้องกันเท่าไร หากมิใช่ว่าได้อยู่ร่วมกับเขาไม่กี่วันในกรมซือเทียนก็ถึงขั้นกล่าวได้ว่านางลืมเรื่องราวของคนผู้นี้ไปจนหมดสิ้นนานแล้ว ดังนั้นตอนนี้เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าตี้อีชิว นางจึงไม่มีอะไรจะพูด
ตี้อีชิวหยุดฝีเท้า ชัดเจนว่าเขากำลังมองประเมินนาง ยามที่เขามองคนสายตาดูเฉียบคมยิ่ง ทำให้นางรู้สึกว่ากำลังถูกบีบคั้นสอบสวน
หวงหร่างยืนนิ่งอยู่กับที่ สุดท้ายได้แต่ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าเจ้ากรม เมื่อเร็วๆ นี้ข้าบ่มสุราขึ้นมาใหม่ วันนี้ได้พบใต้เท้าโดยบังเอิญ นับว่ามีวาสนาต่อกัน จึงอยากมอบสุราให้ใต้เท้าหนึ่งกา หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจ”
กล่าวจบก็เปิดฝากล่องใส่อาหารออกจริงๆ หยิบสุรากานั้นออกมาแล้วยื่นให้ตี้อีชิว
ตี้อีชิวใช้สายตาเยียบเย็นจับจ้องกาสุราในมือนาง ครู่หนึ่งจึงตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ข้ารังเกียจ!”
พูดจบก็ก้าวเท้าเดินเฉียดผ่านปลายนิ้วของนางไป
…สุนัขตัวนี้ช่างยโสโอหังยิ่งนัก…หวงหร่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
หากมิใช่เพราะเวลาของข้ามีค่า…ไม่ว่าอย่างไรข้าจะต้องจัดการท่านให้อยู่มือให้จงได้…
หวงหร่างมองดูเขาจากไปไกล เขาเดินไวปานสายลมพัด เพียงไม่นานก็หายลับไปจากสายตานาง แม้หวงหร่างจะไม่สบอารมณ์ แต่นางมิได้ถือสา อย่างไรเสียความทรงจำของนางที่มีต่อตี้อีชิวก็มีอยู่น้อยนิดเกินไป
สองสามวันนั้นในกรมซือเทียนเป็นเพียงความฝันหรือ หรือว่าเขาทำไปเพียงเพราะต้องการขุดคุ้ยความลับของเซี่ยหลิงปี้ หรือว่าเขายังติดใจเรื่องที่นางแต่งให้เซี่ยหงเฉิน หรือยิ่งไปกว่านั้นเขาชอบสตรีที่พูดไม่ได้ขยับไม่ได้
แต่ใครจะบอกได้เล่า
ตั้งแต่หวงซู่ผู้เป็นบิดา จนถึงบรรดาพี่น้องทั้งหลาย จากนั้นก็เป็นเซี่ยหงเฉิน สุดท้ายคือเซี่ยจิ่วเอ๋อร์ ชั่วชีวิตของหวงหร่างไม่เคยพบเจอความจริงใจในโลกมนุษย์
แน่นอนว่านางย่อมไม่เชื่อว่าโลกมนุษย์มีสิ่งนี้อยู่ ผู้คนในโลกมนุษย์สับสนวุ่นวาย สิ่งที่ทำไปล้วนเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ หลังผ่านมรสุมมามากมาย ไฉนเลยยังจะมีความจริงใจเช่นตอนที่พบกันในวันแรก
บทที่ 9 คมเขี้ยว
หวงหร่างไม่ใส่ใจท่าทีไร้มารยาทของตี้อีชิว ครั้งนี้นางต้องการไปพบคนอีกคน
นางเดินลงมาเรื่อยๆ จนถึงตีนเขา เข้าไปในเรือนเก่าแก่หลังหนึ่ง ที่นี่เป็นร้านค้า ข้างในมียาลูกกลอน ศัสตราวุธ และหญ้าเซียนตั้งวางอยู่มากมาย เนื่องจากสินค้ามีหลากหลายชนิด ดังนั้นแค่โต๊ะคิดเงินก็แบ่งเป็นสี่โต๊ะแล้ว
พอเห็นนางเข้ามา หลงจู๊ทั้งสี่ต่างก็เข้าไปต้อนรับ
หวงหร่างคลี่ยิ้มอย่างสุภาพอ่อนโยน ถามเสียงนุ่มนวลว่า “พี่ใหญ่เซี่ยไม่อยู่หรือ”
พี่ใหญ่เซี่ยที่นางพูดถึงนี้มีนามว่าเซี่ยหยวนซู จะว่าไปแล้วเซี่ยหยวนซูผู้นี้มีความเป็นมาไม่ธรรมดา…เขาเป็นบุตรชายแท้ๆ ของเซี่ยหลิงปี้ ตอนนี้เขาอยู่สำนักชั้นนอก รับผิดชอบดูแลกิจการการค้าบางส่วนของสำนักเซียนอวี้หู
แม้จะเป็นสำนักเซียนอันดับหนึ่ง แต่ศิษย์สำนักเซียนอวี้หูก็มิใช่ว่าจะไม่กินอาหารแดนมนุษย์ ทั้งสำนักชั้นในและสำนักชั้นนอก ผู้คนทุกระดับตั้งแต่เบื้องบนจนถึงเบื้องล่าง รายจ่ายแต่ละรายการล้วนมากมายมหาศาล แน่นอนว่าต้องมีกิจการการค้าเพื่อประคองสำนักให้อยู่รอด
ดังนั้นสำนักเซียนอวี้หูจึงเปิดร้านค้าขึ้นในหลายท้องที่ ร้านค้าตรงหน้านี้ตั้งอยู่บริเวณตีนเขาของสำนักเซียนอวี้หู กิจการดียิ่ง แม้กรมซือเทียนของราชสำนักจะมีสินค้าประเภทเดียวกันก็จริง แต่ของอย่างเดียวกันเมื่อประทับตราสัญลักษณ์ของสำนักเซียนอวี้หูลงไปย่อมมีราคาที่มิอาจเทียบกันได้
…แน่นอนว่าผู้คนทั่วหล้ายังคงเชื่อมั่นในเซียนบนดินที่ฝึกบำเพ็ญเพื่อช่วยเหลือพวกตนเหล่านี้
เซี่ยหยวนซูรับผิดชอบดูแลที่นี่ เดิมทีควรเป็นงานที่เขากอบโกยผลประโยชน์ได้มาก แต่เซี่ยหลิงปี้กลับแต่งตั้งหลงจู๊ด้วยตนเองถึงสี่คน ราวกับกลัวว่าเซี่ยหงเฉินจะวางตัวลำบาก นอกจากนี้ยังจำกัดอำนาจของเซี่ยหยวนซูอย่างเข้มงวด เพราะหลายปีมานี้เซี่ยหยวนซูติดสุราหลงนารี จึงก่อเรื่องเหลวไหลขึ้นหลายครั้ง
และเรื่องนี้ทำให้เซี่ยหลิงปี้ยิ่งไม่ชอบหน้าเขา ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกตึงเครียดยิ่งนัก กลับเป็นเซี่ยหงเฉินที่ช่วยเซี่ยหยวนซูปกปิดเพราะเห็นแก่เซี่ยหลิงปี้
พอหวงหร่างถามถึงเซี่ยหยวนซู หลงจู๊ทั้งหลายก็มีสีหน้าลำบากใจ หลงจู๊ใหญ่ตอบว่า “คุณชายใหญ่อยู่ในห้อง ข้าน้อยจะไปรายงานให้ฮูหยินเดี๋ยวนี้ขอรับ”
แม้พวกเขาจะไม่พูด แต่กลางวันแสกๆ คุณชายใหญ่เซี่ยหลบอยู่ในห้องทำอะไร หวงหร่างก็พอจะเดาได้หลายส่วน นางแย้มยิ้มพลางส่ายหน้า
“พี่ใหญ่เซี่ยหาใช่คนอื่น ข้าจะเข้าไปหาเขาเอง” เอ่ยจบก็หิ้วกล่องใส่อาหารเดินตรงเข้าไปยังห้องด้านใน
ในร้านค้าแห่งนี้มีห้องซ่อนอยู่อีก หวงหร่างยังไม่ทันเข้าไปก็ได้กลิ่นหอมของแป้งชาด หลังม่านลูกปัดคลับคล้ายมีเสียงหัวร่อต่อกระซิกของสตรีลอยมา
หวงหร่างเลิกม่านเดินเข้าไป เห็นสตรีสามคนล้อมเซี่ยหยวนซูไว้ แย่งกันจะให้เขาดื่มสุราในถ้วยของตน
ทั้งสามต่างประชันทักษะ บางคนสุราอยู่ในถ้วย บางคนสุราอยู่ในปากเล็กดั่งอิงเถา ยิ่งไปกว่านั้นบางคนเทสุราให้ไหลไปตามลำคอ เพียงพริบตาอาภรณ์ผ้าโปร่งที่บางเบาดุจปีกจักจั่นก็เปียกชุ่ม
พอหวงหร่างเข้าไป สตรีทั้งสามต่างมีท่าทีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เซี่ยหยวนซูกระแอมกระไอเบาๆ แล้วลุกขึ้นทันที จากนั้นก็ไล่สตรีทั้งสามไปด้านข้าง
เขาจัดเสื้อด้านหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เอ่ยอย่างสำรวมว่า “น้องสะใภ้ เจ้ามาได้อย่างไร”
เซี่ยหงเฉินอายุน้อยกว่าเขา หากนับดูแล้วหวงหร่างมิใช่น้องสะใภ้ของเขาหรือ ยามอยู่ต่อหน้าหวงหร่าง เซี่ยหยวนซูสำรวมเรียบร้อยมาโดยตลอด…เขามักจะชอบก่อเรื่อง หากมิใช่เซี่ยหงเฉินช่วยเช็ดล้างแทนเขา เกรงว่าเขาคงถูกเซี่ยหลิงปี้ตีตายไปนานแล้ว
เซี่ยหงเฉินรู้นิสัยของเขาดี จึงควบคุมเขาอย่างเข้มงวด ทำให้เซี่ยหยวนซูชิงชังเซี่ยหงเฉิน แต่เขากลับมิกล้าทำตัวเหลวไหลต่อหน้าหวงหร่าง
หวงหร่างนั่งลงข้างโต๊ะ เปิดกล่องใส่อาหารพลางพูดว่า “วันนี้ข้ามีเวลาว่างจึงมาเยี่ยมพี่ใหญ่ ท่านจะยืนอยู่เพื่ออันใด รีบนั่งลงเถิด”
นางมีกลิ่นกายหอมยิ่ง เซี่ยหยวนซูได้กลิ่นลอยมา เขานั่งลงตรงข้ามหวงหร่าง โบกมือไล่สตรีทั้งสามด้านข้างออกไป รอจนคนจากไปแล้วหวงหร่างค่อยยื่นตะเกียบให้เขา
“วันนี้ลมเย็น ข้าเองก็เดินได้ไม่เร็ว กว่าจะหิ้วขนมมาถึงที่นี่ก็เย็นชืดหมดแล้ว”
น้ำเสียงของหวงหร่างแฝงแววทอดถอนใจ เซี่ยหยวนซูรีบรับตะเกียบมา กินเข้าไปชิ้นหนึ่งแล้วเอ่ยชม “อร่อยๆ ฝีมือของน้องสะใภ้จะเย็นจะร้อนล้วนอร่อยทั้งนั้น” กล่าวจบเขาก็ยิ้มพลางพูดเสียดสี “ข้าไม่เหมือนประมุขสำนัก ไม่เรื่องมากเช่นเขา”
พอเขาพูดถึงเซี่ยหงเฉิน สีหน้าหวงหร่างก็หม่นหมอง มิได้เอ่ยตอบ เพียงหยิบกาสุรามารินสุราให้เขาถ้วยหนึ่ง
เซี่ยหยวนซูมิได้ประหลาดใจนัก หวงหร่างผู้นี้รอบคอบใส่ใจเสมอมา ต่อให้รู้ว่าเขากับเซี่ยหลิงปี้ไม่ลงรอยกัน แต่นางก็ปฏิบัติต่อเขาดียิ่ง ดังนั้นถ้าเทียบกันแล้วเซี่ยหยวนซูกับหวงหร่างกลับอยู่ร่วมกันได้อย่างปรองดองไม่น้อย เขามองหน้านางแล้วก็พูดขึ้น
“น้องสะใภ้ขมวดคิ้วนิ่วหน้า วันนี้พบเจอปัญหาใดมาหรือ มีปากเสียงกับประมุขสำนักมาหรือไร”
ดวงตาหวงหร่างฉายแววกลัดกลุ้ม “พี่ใหญ่ใช่ว่าไม่รู้จักเขา วันนี้ข้าแค่พลั้งปากไปคำเดียวก็ทำให้เขามีโทสะแล้ว”
พอได้ยินคำพูดนี้ เซี่ยหยวนซูกลับรู้สึกแปลกใจ “ปกติน้องสะใภ้รู้ใจเขายิ่งนัก วันนี้เอ่ยคำพูดใดถึงทำให้เขาโมโหหรือ”
หวงหร่างถอนหายใจ “ครั้งก่อนพี่ใหญ่ร่วมอภิรมย์กับสตรีนางหนึ่ง ทำให้เด็กสาวผู้นั้นตั้งครรภ์…”
“ไยเจ้าถึงพูดเรื่องนี้อีกแล้วเล่า” เซี่ยหยวนซูลนลานขึ้นมาทันใด “เรื่องนี้ผ่านไปนานแล้วมิใช่หรือ”
เรื่องต่ำช้าเหล่านี้ของเขา หวงหร่างไล่เรียงออกมาได้อย่างง่ายดายประหนึ่งนับสมบัติในบ้านตน “ข้าเองก็โน้มน้าวเขาเช่นนี้ แต่เขาบอกว่าพี่ใหญ่บีบคั้นจนสตรีผู้นั้นแท้งบุตร ถึงกับมองดูนางหลั่งโลหิตโดยไม่ช่วยเหลือ ไร้คุณธรรมอย่างยิ่ง จึงจำเป็นต้องรายงานปรมาจารย์”
“เขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร!” เซี่ยหยวนซูลุกขึ้นทันใด เอ่ยเสียงขุ่นเคือง “เขาใช้ยากับเจินเอ๋อร์ ทั้งยังบีบบังคับให้ข้าชดใช้เงินให้บ้านมารดาของเจินเอ๋อร์ อีกฝ่ายก็รับปากแล้วว่าจะไม่เอาความอีก!”
หวงหร่างเอ่ยด้วยน้ำเสียงจนใจ “นิสัยของเขาพี่ใหญ่ก็รู้ ข้าแค่โน้มน้าวคำเดียวเท่านั้น เขาก็…ตำหนิข้าด้วยวาจาดุดันสีหน้าเฉียบขาดทันที พี่ใหญ่ ข้าปรนนิบัติเขามาร้อยกว่าปี ได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยา แต่แท้จริงแล้วแตกต่างอันใดจากบ่าวรับใช้เล่า เรียกก็มาไล่ก็ไป ไม่ถูกใจก็สามารถตำหนิต่อว่าได้ตามใจชอบ”
นางพูดพลางหลั่งน้ำตาออกมา แต่ละเม็ดดั่งไข่มุก งามล้ำอย่างแท้จริง
เซี่ยหยวนซูถอนหายใจยาว ครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “ข้าเองก็มิใช่หรือไร หลายปีมานี้แม้ข้าจะมีฐานะเป็นบุตรของเซี่ยหลิงปี้ แต่เคยสมหวังดังใจปรารถนาที่ใด” กล่าวจบเขาก็หยิบถ้วยสุราขึ้นมาดื่มจนหมด “สำนักเซียนอวี้หูปรมาจารย์คือเซี่ยหลิงปี้ ประมุขสำนักคือเซี่ยหงเฉิน เกี่ยวข้องกับข้าตรงที่ใด! ข้าถูกส่งออกมาอยู่สำนักชั้นนอก แม้แต่การดูแลร้านค้ายังต้องมีหลงจู๊ถึงสี่คน!” เขาโมโหจนหัวเราะออกมาแล้วกรอกสุราใส่ปากอีกถ้วย “นี่ข้าเป็นตัวอะไรกันแน่”
หวงหร่างดื่มเป็นเพื่อนเขาหนึ่งถ้วยเช่นกัน นางดื่มช้า สุราหนึ่งถ้วยสามารถดื่มเป็นเพื่อนเซี่ยหยวนซูจนเขาดื่มสุราหมดทั้งกาได้
สุรานี้บ่มได้หอมยิ่งนัก เนื่องจากเซี่ยหงเฉินไม่ค่อยชอบรสหวาน ดังนั้นพอเข้าปากแล้วจึงให้ความรู้สึกสดชื่นเท่านั้น เซี่ยหยวนซูดื่มจนจิตใจไหวหวั่น ครั้นมองดูคนงามอย่างหวงหร่างขมวดคิ้วเรียวยาวก็รู้สึกสั่นสะเทือนวิญญาณไปทุกส่วน
เขาบังเกิดอารมณ์กำหนัดขึ้นมาทันใด ค่อยๆ กุมปลายนิ้วมือของหวงหร่างไว้ เห็นนางไม่หลบเลี่ยงก็ยิ่งปรีดาในใจแล้วเอ่ยขึ้น
“พวกเราล้วนเป็นคนน่าสงสาร”
หวงหร่างดึงมือกลับมาช้าๆ แล้วหันกายไปดึงผ้าเช็ดหน้ามาซับหางตา เนิ่นนานจึงถอนหายใจเสียงเบา “ชีวิตนี้ของข้านำมาทิ้งที่หอฉีลู่เสียแล้ว”
เซี่ยหยวนซูถูกฤทธิ์สุราครอบงำจึงมีความกล้ามากขึ้นหลายส่วน เขาถามเสียงค่อยทันที “น้องสะใภ้ไม่อยากฝืนสวรรค์เปลี่ยนชะตาหรือ”
หวงหร่างขอบตาแดงเรื่อ น้ำตาทำท่าจะหลั่งริน “ชะตาของข้าถูกลิขิตไว้แล้ว จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้”
เซี่ยหยวนซูพลันขยับเข้าไปใกล้นาง “หากข้าได้เป็นประมุขสำนักเซียนอวี้หูจะไม่ปล่อยให้คนงามต้องเฝ้าเรือนที่ว่างเปล่าแน่นอน เช่นนี้ชะตาของน้องสะใภ้ย่อมเปลี่ยนแปลงแล้วมิใช่หรือ”
หวงหร่างคล้ายจะตกใจ รีบร้องห้ามทันที “พี่ใหญ่จะพูดจาเหลวไหลมิได้ พลังวัตรของเซี่ยหงเฉินใช่สิ่งที่…พี่ใหญ่จะเอาชนะได้เช่นนั้นหรือ”
นางมีเจตนายั่วยุเขา แล้วก็จริงดังคาด เซี่ยหยวนซูโมโหยิ่งกว่าเดิม เขวี้ยงถ้วยสุราลงบนพื้นทันที “ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะสู้เซี่ยหงเฉินผู้นั้นไม่ได้! ตอนนั้นหากมิใช่เพราะบิดาลำเอียง เขาเป็นเพียงคนนอกคนหนึ่งจะมีคุณสมบัติเข้าสำนักเซียนได้อย่างไร!”
ถ้วยสุราแตกกระจายไปทั่ว หวงหร่างตกใจจนขดตัวเป็นก้อนกลม
เซี่ยหยวนซูหันกลับมา ท่ามกลางความเมามายเขาเห็นคนงามตื่นตระหนกดุจดังลูกกระต่ายที่ทำอะไรไม่ถูก เสมือนไข่มุกที่ถูกโยนไว้ในที่มืด ประหนึ่งความงดงามทั้งหมดในใต้หล้า
เขาขยับเข้าไปทันใด คว้ามือหวงหร่างไว้แล้วพูดว่า “ขอเพียงเชื่อใจข้า ข้าจะเปลี่ยนชะตาให้เจ้าเอง!”
หวงหร่างจ้องตาเขา นัยน์ตาคนงามเอ่อคลอด้วยน้ำตา เซี่ยหยวนซูดั่งถูกฉีดพลังเข้าไปไม่สิ้นสุด เขาบีบมือหวงหร่างแน่นยิ่งขึ้น บังคับให้นางเข้ามาใกล้ตน
“เชื่อข้าเถิด!”
หวงหร่างจับจ้องใบหน้าบิดเบี้ยวของเขาพลางพยักหน้าเบาๆ
เซี่ยหยวนซูยินดีปรีดาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็บังเกิดอารมณ์กำหนัดขึ้นอีกครั้ง เขาขยับเข้าไปใกล้นางพลางพูดขึ้น
“รอให้ข้าทำสำเร็จจะแต่งเจ้าเป็นภรรยาแน่นอน หวงหร่าง เจ้าจะได้เป็นฮูหยินประมุขสำนักเซียนอวี้หูตลอดไป” เขายื่นมือออกมาหมายจะสัมผัสใบหน้าหวงหร่างด้วยท่าทางหลงใหล “แม้เซี่ยหงเฉินจะเป็นเศษสวะ แต่สายตาในการเลือกสตรีช่างเฉียบคมโดยแท้ มีเพียงคนงามเช่นเจ้าจึงจะคู่ควรกับตำแหน่งฮูหยินประมุขสำนักเซียนอวี้หู…”
หวงหร่างหลุบตาลงต่ำ คนงามทำท่าทางเศร้าสร้อย ดูพร่าเลือนดั่งเมฆหมอก นางเอ่ยเสียงเบาว่า “ซูหลาง อย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
คำว่า ‘ซูหลาง’ ที่นางเรียกอย่างแผ่วเบานุ่มนวลนี้ทำเอาหัวใจของเซี่ยหยวนซูดั่งถูกกรงเล็บนับร้อยข่วนตะกุย ดวงตาของเซี่ยหยวนซูเป็นประกายเจิดจ้าทันที เขามองท้องฟ้าพลางเอ่ยคำสาบาน
“หากข้าเซี่ยหยวนซูกล่าวความเท็จแม้เพียงครึ่งคำ ขอให้ถูกแล่เนื้อเถือหนังตายอย่างทรมาน!”
หวงหร่างถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง “คำพูดของซูหลางข้าย่อมเชื่อถืออยู่แล้ว เพียงแต่สถานที่แห่งนี้หูตามาก…ซูหลางไล่พวกเขาออกไปก่อนได้หรือไม่ ข้าจะได้อาศัยที่แห่งนี้ล้างหน้าแต่งตัวใหม่สักหน่อย”
เซี่ยหยวนซูยินดีเป็นล้นพ้น เขาถูกความงามครอบงำจนขาดสติไปแล้ว รีบถูมือไปมาพลางพูดว่า “ดียิ่งๆ! ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
จากนั้นเขาก็ก้าวออกไปอย่างว่องไว ไล่หลงจู๊หลายคนที่อยู่ข้างนอกออกไปก่อนแล้วสั่งให้คนปิดประตู
หวงหร่างเดินไปหน้าเตากำยานเงียบๆ หยิบเครื่องหอมห่อหนึ่งออกมา นางใช้เล็บเขี่ยผงเครื่องหอมออกมาเล็กน้อยแล้วโปรยลงในเตากำยาน จากนั้นก็หยิบยาลูกกลอนเรียกสติเม็ดหนึ่งออกมาและกลืนลงไป
ควันกำยานม้วนตัวขึ้นจากเตา มองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ
เพียงครู่เดียวเซี่ยหยวนซูก็รุดกลับมาอย่างเร่งรีบ หวงหร่างนั่งอยู่ข้างเตียง ปรนนิบัติเขาให้นอนลง
เครื่องหอมที่สกัดจากหญ้าเทวดา นางย่อมรู้สรรพคุณของมันดี
สมัยเด็กหวงซู่เป็นคนอารมณ์ร้าย ทั้งยังมักมากในราคะ หวงหร่างกับหวงจวินผู้เป็นพี่สาวต้องอดทนเงียบๆ มาโดยตลอด มิกล้าต่อต้าน จนกระทั่งภายหลังหวงหร่างเห็นกับตาว่าเขาเมาสุราและยื่นกรงเล็บมารมาหาพี่สาวหวงจวิน
นับแต่นั้นมาหวงหร่างก็ปรับปรุงพันธุ์หญ้าเทวดาขึ้น หวงซู่ผู้มีนิสัยหยาบกระด้างย่อมไม่ตระหนักอยู่แล้วว่าในแปลงเพาะปลูกที่เต็มไปด้วยหญ้าเทวดายังมีพันธุ์พืชดัดแปลงปะปนอยู่ด้วย
พันธุ์พืชดัดแปลงแค่เพียงเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะทำให้เขาสำราญใจดั่งเทวดาได้
เครื่องหอมนี้หวงหร่างใช้มาหลายปีแล้ว นางย่อมรู้จักสรรพคุณของมันดี
จริงดังคาด เซี่ยหยวนซูจมอยู่ในห้วงฝันอย่างรวดเร็ว สิ่งนั้นสร้างความสุขให้เขาเกินกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก หวงหร่างยืนอยู่ข้างเตียงพลางจ้องมองเงียบๆ บุรุษบนเตียงแสดงท่วงท่าอัปลักษณ์มากมายออกมา จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้น แตะเข็มใบชาใสกระจ่างดุจหยกน้ำแข็งบนศีรษะเล่มนั้น
เมื่อน้ำแข็งละลายย่อมตื่นจากฝัน…
หลังตื่นจากฝันนางได้แต่ถูกพันธนาการอยู่ในกรงขังที่มีชื่อว่าร่างกาย แต่เวลาล้ำค่าจนทำให้ไม่อาจใช้อย่างสูญเปล่าไปสักชั่วขณะ ทว่าใครกันที่เป็นผู้บงการเรื่องทั้งหมดนี้ ความฝันครั้งนี้หมายความว่าอย่างไร หวงหร่างไม่มีเวลาขบคิดแล้ว
เซี่ยหลิงปี้ ตลอดสิบปีมานี้ไม่มีสักชั่วขณะที่ข้ามิได้ ‘คิดถึง’ เจ้า
หลายปีมานี้หวงหร่างพยายามสุดกำลังที่จะประคับประคองสติของตนไว้ ขอเพียงยังมีความหวังแม้เพียงเศษเสี้ยว นางจะคลุ้มคลั่งขาดสติไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นความสิ้นหวังของนาง ความรู้สึกพังทลายของนาง ความหวาดหวั่นของนาง นางล้วนหลีกเลี่ยงไม่พูดถึง จวบจนบัดนี้ในที่สุดความแค้นก็เผยคมเขี้ยวขึ้นในใจนาง
เซี่ยหลิงปี้ ต่อให้เป็นเพียงความฝัน เจ้าก็ลงนรกไปกับข้าเถิด
ราชสำนัก กรมซือเทียน
หลังตี้อีชิวกลับจากสำนักเซียนอวี้หูมาถึงกองเสวียนอู่ก็เดินตรงเข้าไปในห้องหนังสือ เขานั่งอยู่พักหนึ่ง ในห้วงสมองกลับเอาแต่คิดถึงคนงามเมื่อครู่ที่เอ่ยกับเขาว่า ‘ใต้เท้าเจ้ากรม เมื่อเร็วๆ นี้ข้าบ่มสุราขึ้นมาใหม่ วันนี้ได้พบใต้เท้าโดยบังเอิญ นับว่ามีวาสนาต่อกัน จึงอยากมอบสุราให้ใต้เท้าหนึ่งกา หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจ’
แต่งงานไปร้อยกว่าปี ชีวิตไม่เลวทีเดียว ใต้เท้าเจ้ากรมซือเทียนเปลี่ยนท่านั่ง ใต้สะโพกเหมือนถูกก้อนหินทิ่มแทง ถึงอย่างไรก็ยังมีหนามยอกอยู่ในใจเขา
เป้าอู่ขนสำนวนคดีเข้ามาสองหีบ สำนวนคดีเหล่านี้แยกลำดับความสำคัญไว้แล้ว เขาอ่านเสร็จก็สามารถเก็บเข้าคลังได้ทันที เป้าอู่เห็นเขานั่งเหม่อลอยอยู่หลังโต๊ะก็อดสงสัยไม่ได้ น้อยครั้งนักที่ตี้อีชิวจะเหม่อลอยเช่นนี้ เขาจึงได้แต่ร้องเรียก
“เจ้ากรม?”
ตี้อีชิวได้สติกลับมา หยิบสำนวนคดีเล่มหนึ่งขึ้นมาพลิกดูหลายหน้า รู้สึกว่าคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก เอกสารเล่มนี้…เหมือนเขาเคยอ่านมาแล้ว แต่ไม่ว่าขบคิดอย่างไรก็จำไม่ได้ว่าเคยอ่านตั้งแต่เมื่อใด
ขบคิดอยู่นานก็ไม่ได้คำตอบ เขาจึงตัดสินใจวางลงและเปลี่ยนท่านั่งอีกครั้ง เนิ่นนานจู่ๆ เขาก็ถามขึ้น “สำนักเซียนอวี้หูมีสุราชนิดหนึ่ง ดมดูแล้วมีกลิ่นหอมของกุหลาบ เจ้ารู้จักหรือไม่”
ที่แท้ห้วงสมองขบคิดวกไปวนมาอยู่กับเรื่องนี้
“หา?” เป้าอู่ขมวดคิ้ว เขาจะรู้จักสุราที่มีกลิ่นหอมของกุหลาบได้อย่างไร แต่ไหนแต่ไรเขาดื่มแต่เซาเตาจื่อ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบว่า “ขุนนางผู้น้อยมิทราบขอรับ แต่บางทีหลี่ลู่อาจรู้จัก ขุนนางผู้น้อยจะให้เขาไปหามาให้”
ตี้อีชิวรับคำและไม่เอ่ยอะไรอีก
หลี่ลู่อยู่ที่กองวิหคเพลิง กำลังตรวจดูหญ้าวิเศษที่จะเก็บเข้าคลังในปีนี้ จู่ๆ ได้รับมอบหมายงานนี้ก็ประหลาดใจยิ่งนัก เขาถามขึ้น
“มีกลิ่นหอมของกุหลาบ สุราหรือ”
เป้าอู่พยักหน้า จับต้นชนปลายไม่ถูกยิ่งกว่าเก่า
ทว่าตี้อีชิวมิใช่คนที่ใช้กำลังของส่วนรวมเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ตลอดหลายปีมานี้เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ในเมื่อเขาต้องการสุรานี้จะต้องมีเหตุผลเป็นแน่! หลี่ลู่มิกล้าละเลย ได้แต่สั่งให้คนไปสืบที่ร้านค้าของสำนักเซียนอวี้หู
สำนักเซียนอวี้หูมิได้ขายสุรา หลี่ลู่ต้องไหว้วานคนหลายคนและใช้เงินอีกไม่น้อยเพื่อสืบเรื่องนี้ สุดท้ายจึงได้ความว่า…สุรานี้แม้มีเงินก็หาซื้อไม่ได้ นี่เป็นสุราที่ฮูหยินประมุขสำนักบ่มขึ้นเพื่อประมุขสำนักเซี่ยหงเฉินโดยเฉพาะ มีอยู่เพียงหนึ่งไหเล็กเท่านั้น
หลี่ลู่นำข่าวนี้กลับมาแจ้งด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย ตี้อีชิวฟังดังนั้นก็เพียงรับคำ หลี่ลู่ทำงานไม่สำเร็จก็รู้สึกประหม่าไม่น้อย เขาจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“สุรานี้มีความลับอันใดหรือขอรับ หากพวกผู้น้อยรู้ต้นสายปลายเหตุ บางทีอาจลงมือจากช่องทางอื่นได้”
ความลับหรือ ตี้อีชิวเหลือบมองเขาคราหนึ่งด้วยสีหน้าประหลาด ตอบเพียงว่า “แค่สหายเก่าตั้งใจจะมอบให้ ทว่าตอนนั้นข้าไม่ได้รับ บัดนี้จึงรู้สึกว้าวุ่นใจเท่านั้น”
…เช่นนั้นก็หมายความว่าเสียใจภายหลังแล้วกระมัง
หลี่ลู่อยากจะกลอกตาใส่เขาจริงๆ
ติดตามตอนต่อไปวันเสาร์ที่ 12 ก.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.