บทที่ 3
ในเมื่อหลูยวนตัดสินใจจะสั่งสอนซย่าโหวอวี๋พี่น้อง เขาย่อมไม่ยอมรับคำขอโทษและคำเชื้อเชิญของชุยซื่อ เขาไม่เหลือบแลชุยซื่อเลยด้วยซ้ำ เพียงสะบัดแขนเสื้อจากไปทันที
ฟั่นซื่อเห็นเช่นนั้นก็คว้าแขนคุณหนูสี่สกุลหลู ก่อนพาบุตรชายสองคนจากไปอย่างเร่งร้อน
หลูไหวตะลึงงัน แต่เพียงไม่นานก็หัวเราะเสียงเย็นและจากไป
เหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน นอกจากซย่าโหวอวี๋แล้ว คนอื่นๆ หากไม่มองหน้ากันไปมาก็พากันปากอ้าตาค้าง ชุยซื่อร้องเสียงหลง “ข้า…ข้าไม่ได้พูดอะไรนะ!” ท่าทางเหมือนกลัวว่าตนเองจะเป็นสาเหตุที่ทำให้หลูยวนโกรธเคือง
ซย่าโหวอวี๋ไม่พูดอะไร นางยิ้มจางพลางลูบสร้อยลูกปัดหยกมันแพะ บนข้อมือตนเอง นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ช้าไม่เร็ว “ท่านน้าไม่ต้องร้อนใจไป แม่ทัพใหญ่คงมีเรื่องเร่งด่วน” จากนั้นนางก็ร้องเรียกตู้ฮุ่ย “ขนมกับน้ำชาเตรียมเสร็จหรือยัง ยกเข้ามาได้แล้ว!”
ตามกำหนดการของตู้ฮุ่ย กลางวันกินเลี้ยง หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามค่อยยกน้ำชากับขนมเข้ามา กินขนมเสร็จ งานเลี้ยงในอุทยานหวาหลินก็เป็นอันยุติลงได้ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลายกน้ำชากับขนม แต่ซย่าโหวอวี๋ถามถึง แสดงว่าอยากให้งานเลี้ยงเลิกก่อนเวลา
ตู้ฮุ่ยค้อมกายรับคำ “เพคะ” แล้วหันไปสั่งให้นางกำนัลเริ่มยกน้ำชากับขนมออกมา
กษัตริย์กับขุนนางสังสรรค์กัน เดิมทีเป็นเรื่องที่น่ายินดี ทว่าการกลับไปของหลูยวนได้ทำให้งานเลี้ยงถูกปกคลุมด้วยเงาดำแล้ว ทุกคนนั่งคุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะเงียบๆ ดื่มน้ำชากับขนมไปอย่างใจลอย เด็กชายและเด็กหญิงหลายคนตกใจจนไม่กล้าส่งเสียงเอะอะ ทำได้เพียงนั่งอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย
ซย่าโหวอวี๋เห็นแล้วก็นึกอึดอัดใจแทนพวกเขา นางยิ้มพลางดื่มชาถ้วยหนึ่ง ก่อนจะกลับวังพร้อมซย่าโหวโหย่วเต้า งานเลี้ยงในอุทยานหวาหลินจึงจบลงอย่างไม่ค่อยดีนัก
ซย่าโหวโหย่วเต้าอดทนไว้ไม่พูดจา รอจนกลับถึงตำหนักข้างของตำหนักทิงเจิ้ง เขาก็อดรนทนไม่ไหว เขวี้ยงคทาหยกในมือลงบนเสื่อหญ้าหลันเฉ่า พูดอย่างเดือดดาล “พี่สาว ท่านดูหลูยวนสิ เขาทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร ข้าว่าเขาอยากเอาอย่างซือหม่าเจากระมัง แต่ข้าหาใช่เฉาฮ่วน ไม่”
ชาติก่อนซย่าโหวอวี๋ไม่เคยได้ยินเสียงบ่นเช่นนี้จากซย่าโหวโหย่วเต้ามาก่อน นางรู้สึกว่าเป็นเพราะความเข้มแข็งของนางในชาตินี้ จึงทำให้ซย่าโหวโหย่วเต้าเปลี่ยนเป็นเข้มแข็ง บางทีท่าทีที่นางมีต่อหลูยวน อาจมีส่วนอย่างมากที่ทำให้น้องชายนางอ่อนแอ
นางอดถามหยั่งเชิงไม่ได้ “น้องชาย วันนี้ข้าล่วงเกินหลูยวนไป เจ้ากลัวหรือไม่”
“กลัวสิ!” ซย่าโหวโหย่วเต้ายอมรับอย่างเปิดเผย แต่กลับคุกเข่านั่งลงข้างกายซย่าโหวอวี๋อย่างสุขุม “แต่ต่อให้พวกเราเชื่อฟังเขาเพียงใด เขาก็ไม่พอใจอยู่ดี! แทนที่จะอยู่แบบจำยอมต่อไป ข้ายินดีตายเพื่อคุณธรรมเสียดีกว่า!”
“พูดจาเหลวไหล!” ซย่าโหวอวี๋ฟังแล้วตกใจ นางอดตำหนิซย่าโหวโหย่วเต้าไม่ได้
ซย่าโหวโหย่วเต้ากลับไม่ได้ยิ้มร่ายอมรับผิดเฉกเช่นแต่ก่อน ทว่ากลับเอ่ยกลบเกลื่อนคำพูดเมื่อครู่นี้ เขาพูดกับซย่าโหวอวี๋ด้วยท่าทีที่จริงจัง “พี่สาว ท่านดูกษัตริย์ที่อ่อนแอพวกนั้นสิ มีผู้ใดบ้างที่มีจุดจบที่ดี ไหนจะต้องถูกผู้คนก่นด่า ข้าไม่ต้องการเป็นเช่นนั้น!”
ซย่าโหวอวี๋สะเทือนใจ นานครู่ใหญ่ที่ไม่เอ่ยอะไรออกมา
นางกำนัลเข้ามารายงานว่าชุยซื่อมา ซย่าโหวอวี๋ให้ตู้ฮุ่ยไปเชิญน้าสะใภ้เข้ามา
ชุยซื่อเห็นพวกเขาพี่น้องมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “มีอะไรกันหรือ”
คำพูดของซย่าโหวโหย่วเต้ามิอาจเอ่ยออกไปส่งเดช
“ไม่มีอะไรหรอก” ซย่าโหวอวี๋หาข้ออ้างกลบเกลื่อน “โอรสสวรรค์กำลังสนทนาถึงเรื่องอวี๋เหยาต้าจ่างกงจู่กับข้าอยู่!”
ชุยซื่อได้ยินชื่อนี้แล้วก็ปวดหัวยิ่ง นางไม่สงสัยในความผิดปกติของสองพี่น้องอีก รีบพูดว่า “หากนางมาหาเจ้าอีก เจ้าก็บอกให้นางมาหาข้าด้วย บอกนางว่าสินเจ้าสาวของเจ้าอยู่ในมือข้าทั้งหมด ข้าช่วยเก็บรักษาไว้ให้เจ้า แต่ไม่ได้มอบเงินให้เจ้า”
ซย่าโหวอวี๋พี่น้องฉีกยิ้มพร้อมกัน ชุยซื่อถอนหายใจ “ทางอุทยานหวาหลินข้าให้คนไปจัดการเรียบร้อยแล้ว ส่วนทางสกุลชุยพวกเจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวล แม่ทัพใหญ่แสดงท่าทีเช่นนี้ ผู้ใดบ้างที่ในใจไม่กระจ่างแจ้ง พวกเจ้าไม่ต้องห่วง ข้ากลับไปแล้วจะเขียนจดหมายถึงน้าชายของพวกเจ้า บอกให้เขากลับเจี้ยนคังสักครั้ง ถึงอย่างไรก็ไม่ปล่อยให้พวกเจ้าต้องเสียเปรียบแน่!”
“ขอบคุณน้าสะใภ้!” ซย่าโหวโหย่วเต้าพูดกับชุยซื่ออย่างสนิทสนม
ชุยซื่อยิ้มอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ เอ่ยคำพูดมากมายมาปลอบโยนทั้งสองคน ก่อนจะออกจากวังกลับบ้านไปเขียนจดหมาย
หลูยวน ฟั่นซื่อและหลูไหวกลับถึงบ้านแล้ว
ฟั่นซื่อจัดการให้บุตรชายสองคนกับคุณหนูสี่พักผ่อน ส่วนตนเองไปยังห้องหนังสือของหลูยวน
หลูยวนกำลังสนทนากับหลูไหว พอเห็นฟั่นซื่อเข้ามา หลูไหวจึงลุกขึ้นคารวะฟั่นซื่อ เชิญฟั่นซื่อนั่งอย่างนอบน้อม และสั่งสาวใช้ด้วยตนเองให้ยกน้ำชากับขนมเข้ามา จากนั้นพูดกับฟั่นซื่อด้วยท่าทีตำหนิ “เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะพี่สะใภ้ห้ามเอาไว้ พี่ชายคงได้สั่งสอนเจ้าเด็กหน้าเหม็นจิ้นหลิงไปแล้ว ย่อมไม่เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ตามมา!”
เรื่องที่ส่งคุณหนูสี่เข้าวังเป็นการตัดสินใจของสกุลหลู ข้อนี้เขาเองก็รู้
ฟั่นซื่อหันไปมองสามีด้วยใบหน้าเย็นเยียบ ก่อนเผยรอยยิ้มจางๆ นางดื่มน้ำชาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้ารู้สึกว่ายั่วโมโหจิ้นหลิงไปตอนนั้นไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาด…พวกท่านเป็นบุรุษ ย่อมฟังนัยแฝงของจิ้นหลิงไม่ออก พวกท่านอย่าลืมสิ หากนางยืนกรานจริงๆ ไม่เพียงสามารถพระราชทานสมรสให้คุณหนูสี่ได้เท่านั้น ยังถึงขั้นพระราชทานสมรสให้อาฝอได้ด้วยซ้ำ!”
หลูยวนพี่น้องไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้จริงๆ ทั้งสองตะลึงงัน อาฝอเป็นบุตรชายสายตรงคนโตของพวกเขา เป็นผู้สืบทอดของตระกูล จะเกิดข้อผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย!
รอยยิ้มของฟั่นซื่อเลือนหายไป น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นเฉกเช่นสีหน้า “เด็กคนนี้ใจกล้ามากขึ้นทุกที ถึงเวลาต้องควบคุมนางแล้ว!”
หลูไหวไม่ชอบให้พี่สะใภ้ของตนก้าวก่ายเรื่องภายในบ้าน พี่สะใภ้ของเขาคนนี้มีอำนาจกับพี่ชายมากเกินไป เขาฟังแล้วนิ่วหน้า “พวกเราคาดไม่ถึงว่านางจะแต่งงานกับเซียวหวน…เรื่องนี้จึงยุ่งยากเล็กน้อย”
ฟั่นซื่อเป็นสตรีประเภทที่ได้คู่ครองที่ดี นางจึงรับไม่ได้เป็นพิเศษหากมีผู้ใดได้คู่ครองที่ดีไปกว่าตน ได้ยินหลูไหวพูดเช่นนี้ นางจึงซักไซ้ “หมายความว่าอย่างไร เซียวหวนผู้นั้นถูกแม่ทัพใหญ่ย้ายไปสวีโจวแล้วมิใช่หรือ ในเวลาสั้นๆ เช่นนี้ เขายังจะก่อเรื่องอะไรออกมาได้อีก”
หลูไหวชำเลืองมองหลูยวน
หลูยวนสีหน้าเรียบเฉย ไม่เอ่ยอะไร
เวลานี้ ท่าทางของฟั่นซื่อได้แสดงให้เห็นถึงชาติตระกูลที่ไม่สูงศักดิ์พอ
สกุลหลูเป็นตระกูลใหญ่ทางตอนเหนือ สมัยก่อนชาวหูรุกรานดินแดนตอนกลาง พวกเขาติดตามหมิงจงฮ่องเต้หลบหนีมายังเจียงหนาน ส่วนสกุลเซียวเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในอู๋จง ในอดีตตระกูลใหญ่ทางตอนเหนือที่ติดตามหมิงจงฮ่องเต้ปู่ทวดของซย่าโหวอวี๋เดินทางลงใต้มานั้น ไม่เพียงเสียชีวิตไปจำนวนมาก ยังสูญเสียที่ดินและข้ารับใช้ไปด้วย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการรักษาความรุ่งโรจน์ในอดีตเอาไว้เลย แค่การกินอยู่ในชีวิตประจำวันยังขาดความมั่นคง หมิงจงฮ่องเต้จึงมีราชโองการอนุญาตให้พวกเขาบุกเบิกที่ดินรกร้าง แต่ที่ดินเหล่านั้นได้ชื่อว่ารกร้างก็เพราะไม่เหมาะที่จะทำการเพาะปลูก ทั้งยังไม่เหมาะจะเป็นที่อยู่อาศัย เหลือแต่พื้นที่ที่ไม่เป็นที่ต้องการของตระกูลดังในอู๋จง ตระกูลใหญ่ทางตอนเหนือพยายามขบคิดสารพัดวิธี แต่ผลผลิตที่ได้ก็ยังคงน้อยมาก
เมื่อท้องกินไม่อิ่ม เสื้อผ้าไม่เพียงพอจะห่มคลุมร่างกาย ความขัดแย้งระหว่างตระกูลใหญ่ทางตอนเหนือกับตระกูลดังในอู๋จงจึงเพิ่มขึ้นจนก่อเกิดเป็นสงคราม ตอนนั้นตระกูลที่มีอำนาจบารมีมากที่สุดในอู๋จงก็คือ ‘กู้เฉียนอู๋เซียว’ สี่ตระกูล สี่ตระกูลนี้มีสกุลกู้เป็นหัวหน้า เขาตัดสินใจปลดหมิงจงฮ่องเต้และแต่งตั้งฮ่องเต้องค์ใหม่ ทว่าสุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้กับตระกูลใหญ่ทางตอนเหนือที่มีสกุลหลูเป็นหัวหน้า ภายหลังเหตุการณ์นี้จึงถูกเรียกว่า ‘กบฏสี่แซ่ในอู๋’
ส่วนสกุลเซียวเป็นเพียงตระกูลเดียวในสี่ตระกูลดังของอู๋จงที่ไม่ถูกทำลาย นี่เป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดหลายปีมานี้สกุลเซียวจึงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่ในอู๋จงมาโดยตลอด
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นี่ล้วนเป็นเรื่องในอดีตที่ผ่านมาแล้ว สิ่งที่เรียกว่าตระกูลดังในอู๋จงกับตระกูลใหญ่ทางตอนเหนือในอดีต ตอนนี้ไม่มีความแตกต่างอะไรแล้ว
“เรื่องพวกนี้เจ้าอย่าสนใจเลย ข้ามีแผนการของข้า” หลูยวนพูดกับฟั่นซื่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ฟั่นซื่อเลื่อมใสและเชื่อมั่นในตัวสามีจากใจจริง หลูยวนบอกนางว่าไม่ต้องสนใจ นางก็จะไม่สนใจ นางคารวะหลูยวนอย่างนอบน้อม กำชับสามีหลายคำด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ลมกลางคืนยังหนาวเย็นมาก จำไว้ว่าต้องสวมเสื้อเพิ่มอีกสักตัว” จากนั้นจึงถอยออกไป
หลูยวนเดินไปส่งนางที่ประตูด้วยตนเอง
หลูไหวได้ยินแล้วก็ทำหน้าเหยียดปากอยู่ข้างหลังพี่ชาย แต่พอหลูยวนหันกลับมา ใบหน้าเขาก็ไม่มีความผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น
พอสองพี่น้องนั่งลงอีกครั้ง หลูไหวจึงพูดว่า “พี่ชาย ท่านตั้งใจจะสั่งสอนจิ้นหลิงเช่นไร ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็เป็นภรรยาของเซียวหวน ไม่เห็นแก่หน้าภิกษุก็ต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธองค์ เรื่องบางอย่างมิอาจทำเกินไปได้! คงมิอาจให้เซียวหวนหย่านางกระมัง ข้าว่าเซียวหวนเองก็คงไม่ยอมหย่านางหรอก!”
หลูยวนไม่พูดอะไร
เซียวเหยียนบิดาของเซียวหวนแม้ชื่อเสียงจะไม่โด่งดัง แต่กลับเปี่ยมด้วยอุบายและประสบการณ์ ทั้งยังเก่งกาจมากความสามารถ หลังจากเขาเป็นประมุขตระกูล ไม่เพียงรักษาตำแหน่งถิงโหว เอาไว้ได้ ยังทำให้สกุลเซียวรอดพ้นสถานการณ์ที่ลำบากได้อย่างรวดเร็ว กลายเป็นหนึ่งในตระกูลสูงศักดิ์และร่ำรวยในอู๋จงอีกครั้ง อีกทั้งเขายังมีสายตาที่ยาวไกล ส่งเซียวหวนที่ตอนนั้นอายุเพียงสิบสามปีไปเป็นลูกศิษย์ของอิ้นหลินศิษย์พี่ร่วมสำนักที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลเซียงหยาง ให้เซียวหวนติดตามอิ้นหลินยกทัพขึ้นเหนือปราบปรามแคว้นสู่
แม้สุดท้ายอิ้นหลินจะพ่ายแพ้ กำลังทหารที่นำไปสูญเสียไปหกเจ็ดส่วน ทำให้สกุลอิ้นสูญเสียตำแหน่งขุนนางและความโปรดปรานจากฮ่องเต้ไป ตัวอิ้นหลินเองก็ชื่อเสียงป่นปี้ แต่เหตุการณ์นี้กลับทำให้เซียวหวนชื่อเสียงขจรขจาย ได้ชื่อว่า ‘รบแพ้นับครั้งไม่ถ้วน หากยังยืนหยัดรบอย่างไม่ระย่อ มีความซื่อสัตย์จงรักภักดี ปณิธานแน่วแน่ไม่สั่นคลอน’
หลูยวนอดรู้สึกเสียใจภายหลังไม่ได้ ในอดีตก่อนที่อิ้นหลินจะป่วยตายเคยฝากฝังเซียวหวนให้เขาดูแล แต่เขาไม่ชอบสกุลสูงศักดิ์ในอู๋จง จึงไม่ยินดีรับตัวเซียวหวนมา ปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างอ้อมค้อม
การแต่งงานระหว่างเซียวหวนกับซย่าโหวอวี๋ได้น้าชายของซย่าโหวอวี๋ที่เป็นผู้ว่าการมณฑลจิงโจวเป็นพ่อสื่อ ไม่ว่าผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าเจิ้งเฟินจะทิ้งอคติเรื่องชาติกำเนิด หาชาวอู๋จงมาเป็นคู่ครองของซย่าโหวอวี๋ อีกทั้งซย่าโหวอวี๋ยังตอบตกลง กล่าวได้ว่าเขาเลี้ยงพยัคฆ์จนกลายเป็นภัย!
หากเขายอมรับเซียวหวนตั้งแต่แรก…ความคิดนี้วาบขึ้นในหัวของหลูยวน ก่อนจะถูกกดลงไป
หลูยวนถามหลูไหว “เซียวหวนไปสวีโจวแล้วทำอะไรบ้าง” ที่เขาให้เซียวหวนไปเป็นผู้บัญชาการกองทัพในสวีโจวและอวี้โจวก็เพื่อให้หลูไหวคอยจับตาดูคนผู้นี้ไว้
หลูไหวยิ้มตอบอย่างดูแคลน “ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น! วันทั้งวันมีแต่กินกับดื่ม ท่องกลอนวาดภาพ ขี่ม้ายิงธนู” พูดถึงตรงนี้ เขาก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันใด “ว่ากันว่าฝีมือการยิงธนูของเซียวหวนดีมาก ไม่เพียงสามารถน้าวธนูรูปจันทร์เสี้ยวหนักสองตั้นได้ ยังสามารถยิงธนูทะลุใบหลิวได้ในระยะเกินร้อยก้าว ไม่รู้เจิ้งเฟินไปเสาะหาคนผู้นี้มาจากที่ใด”
หลูยวนเผยสีหน้าไม่พอใจ เซียวหวนผู้นั้นยอมแต่งกงจู่เป็นภรรยา คิดว่าคงประเมินผลได้ผลเสียมาแล้ว ในใจเขาย่อมมีความทะเยอทะยานอยู่ แต่ต่อให้เซียวหวนร้ายกาจเพียงใดก็เป็นเพียงลูกวัวแรกเกิดตัวหนึ่ง คิดจะยืนอยู่ในราชสำนักอย่างมั่นคงและสร้างผลงานให้ได้จริงๆ มิอาจอาศัยเพียงการแต่งจ่างกงจู่เป็นภรรยา นำทัพเป็น แต่งกลอนและวาดภาพเท่านั้น สิ่งที่เขาต้องเรียนรู้ยังมีอีกมาก หนทางที่ต้องเดินยังอีกยาวไกล!
ในตอนนี้เรื่องที่เร่งด่วนคือทำอย่างไรคุณหนูสี่จึงจะได้แต่งงานกับซย่าโหวโหย่วเต้า
หลูยวนโยนเซียวหวนที่ตอนนี้ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาออกไปจากสมอง หันไปพูดกับหลูไหว “อยากสั่งสอนจิ้นหลิงไม่ใช่เรื่องยาก หนึ่งคือลดตำแหน่งฐานะของนาง สองคือพิธีเซ่นไหว้ในเดือนสามวันที่ยี่สิบ ทำให้เกิดเหตุจำเป็นจนมิอาจจัดงานขึ้นได้”
หลูไหวดวงตาเป็นประกาย การเซ่นไหว้เหวินเซวียนฮองเฮา แต่ไรมาล้วนเป็นเรื่องที่ซย่าโหวอวี๋กับซย่าโหวโหย่วเต้าใส่ใจไม่ลืม ซย่าโหวโหย่วเต้าถึงขั้นอยากอวยยศให้มารดาบังเกิดเกล้าของตนอีกครั้งเสียด้วยซ้ำ
“หากเป็นเช่นนี้ โอรสสวรรค์จะต้องร้อนใจแน่กระมัง! เพียงแต่ถึงยามนั้นไม่รู้โอรสสวรรค์จะตำหนิจิ้นหลิงหรือไม่” หลูไหวหรี่ตายิ้มพูด “น่าเสียดายที่ไม่อาจเห็นสีหน้าของจิ้นหลิงกับโอรสสวรรค์ตอนทราบข่าวนี้!” เขาจุปาก ไม่คิดปิดบังท่าทางมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นแม้แต่น้อย
หลูยวนเหลือบมองหลูไหวด้วยสายตาตักเตือน “ทว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาแตกหักกับจิ้นหลิง พรุ่งนี้ข้าจะให้พี่สะใภ้เจ้าเข้าวังอีกครั้ง หากจิ้นหลิงยังไม่เปลี่ยนความตั้งใจเดิมค่อยจัดการนางก็ยังไม่สาย”
หลูไหวหัวเราะหึๆ “ที่แท้เมื่อครู่ตอนอยู่ในอุทยานหวาหลิน พี่ชายก็แค่ขู่จิ้นหลิงเท่านั้น”
หลูยวนเลิกคิ้วโดยไม่เอ่ยอะไร แน่นอนว่าเขาไม่มีทางล้มเลิกความตั้งใจของตนเองเพียงเพราะซย่าโหวอวี๋ชักสีหน้าใส่เขาแน่ แต่เขาก็ไม่ยอมให้ซย่าโหวอวี๋คิดว่าตนเองสามารถทำตามอำเภอใจได้โดยไม่ฟังคำสั่งเขาเช่นกัน
หลูไหวกลอกตาไปมา ขยับเข้าไปหาอย่างหน้าไม่อาย พลางยิ้มเอ่ยว่า “เช่นนั้นหงหนงกงจู่…”
“เรื่องนี้เจ้าอย่าได้คิดอีกเลย!” หลูยวนขัดคำพูดหลูไหวเสียงเฉียบ “การแต่งงานของคุณหนูสี่ยังไม่แน่นอน การแต่งงานของหงหนงกงจู่ยังไม่พูดถึงชั่วคราว”
ไม่พูดถึงชั่วคราว ไม่ได้แปลว่าจะไม่พูดถึงตลอดไปนี่! หลูไหวได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วก็ยิ้มเบิกบานกว่าเดิม
ซย่าโหวโหย่วเต้ากลับนอนไม่หลับทั้งคืน หลังโทสะหมดไปและสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เขาก็นึกหวาดกลัวในภายหลัง หลูยวนเป็นคนทำมากแต่พูดน้อย ในราชสำนักคนที่ล่วงเกินเขาส่วนใหญ่ล้วนไม่มีจุดจบที่ดี หากคนผู้นั้นลงมือกับพี่สาวเล่า เขาควรทำเช่นไรจึงจะปกป้องพี่สาวได้ หรือว่าต้องรับปากแต่งงานกับสกุลหลูเท่านั้น?
คิดถึงตรงนี้ เขาก็หยิกตนเองแรงๆ หนึ่งที พี่สาวยั่วโทสะหลูยวนด้วยเรื่องการแต่งงานของเขา หากเขารับปากแต่งงานกับสกุลหลู สิ่งที่พี่สาวทำมาจะมีความหมายอะไรเล่า
ซย่าโหวโหย่วเต้าลำบากใจ จึงแวะไปตำหนักเฟิ่งหยางก่อนออกว่าราชการ
ซย่าโหวอวี๋อาบน้ำอยู่ ซย่าโหวโหย่วเต้าได้ยินแล้วก็รู้สึกแปลกใจ เขาเอ่ยถามว่า “เวลานี้น่ะหรือ”
ตู้ฮุ่ยเป็นกังวลอย่างมาก นี่เป็นวันที่สามติดต่อกันแล้วที่ซย่าโหวอวี๋ฝันร้าย ทุกครั้งที่ตื่นมาใบหน้าอีกฝ่ายล้วนซีดเผือด เหงื่อเปียกชุ่มเสื้อผ้า นางอยากเชิญหมอหลวงมาตรวจดู ทว่ากลับถูกซย่าโหวอวี๋ปฏิเสธ โอรสสวรรค์ร่างกายอ่อนแอ นางจึงไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้โอรสสวรรค์ฟัง ด้วยเกรงจะทำให้โอรสสวรรค์กังวลจนหวาดกลัว ไม่แน่ว่าซย่าโหวอวี๋ยังไม่ทันหายดี โอรสสวรรค์อาจจะล้มป่วยไปก่อน
“ฤดูใบไม้ผลิแดดดี สองวันนี้พวกนางกำนัลรุ่นเล็กพากันเอาผ้าห่มออกมาตาก เกรงว่าจ่างกงจู่ทรงร้อนน่ะเพคะ” ตู้ฮุ่ยปิดบังซย่าโหวโหย่วเต้าและเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “ไฉนโอรสสวรรค์จึงเสด็จมาเยือนในเวลานี้ เสวยพระกระยาหารเช้าหรือยังเพคะ จะให้ยกสำรับอาหารมาที่ตำหนักเฟิ่งหยางหรือไม่ จ่างกงจู่น่าจะแต่งตัวใกล้เสร็จแล้ว จะให้ข้าเข้าไปแจ้งหรือไม่เพคะ”
ซย่าโหวโหย่วเต้าไม่ใส่ใจนัก เขาผงกศีรษะอย่างห่อเหี่ยวเล็กน้อย แล้วคุกเข่านั่งลงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือของซย่าโหวอวี๋ พลิกดูตำราบนโต๊ะเรื่อยเปื่อยพลางเอ่ยว่า “ยกสำรับอาหารเช้ามาที่ตำหนักเฟิ่งหยางเถอะ ข้าอยากกินข้าวกับพี่สาว!”
ตู้ฮุ่ยถอยไปอย่างนอบน้อม
ซย่าโหวอวี๋ที่ทราบข่าวแล้วเพียงเกล้ามวยผมอย่างลวกๆ และออกมา นางมิอาจไม่รอบคอบระมัดระวัง ชาติก่อนเวลานี้ น้องชายนางสลบไสลไม่ได้สติไปแล้ว นางเคยแก้ไขจุดจบของชาติก่อนมาแล้วหนหนึ่งก็จริง แต่ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าเรื่องราวจะถูกดึงกลับเข้าสู่เส้นทางเดิมอีกหรือไม่
“ไฉนเจ้าจึงมาเวลานี้” ซย่าโหวอวี๋จับมือน้องชาย พิจารณาเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เกรงว่าเขาจะไม่สบายตรงไหน
ซย่าโหวโหย่วเต้าไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ข้าแค่คิดถึงพี่สาว อยากมาหาพี่สาวเท่านั้นเอง”
ซย่าโหวอวี๋อดหัวเราะไม่ได้ “กินอาหารเช้ากับข้าที่นี่แล้วกัน ประเดี๋ยวข้าไปส่งเจ้าออกว่าราชการ”
เป็นเช่นตอนที่เสด็จพ่อสวรรคตใหม่ๆ พี่สาวจะไปส่งเขาออกว่าราชการทุกวัน ซย่าโหวโหย่วเต้ายิ้มอย่างเบิกบาน
ซย่าโหวอวี๋พี่น้องกินอาหารเช้าเสร็จ ซย่าโหวอวี๋ก็ทำเหมือนตอนที่ยังไม่ออกเรือน นางจูงมือน้องชาย ค่อยๆ พาเขาไปส่งที่ตำหนักกลางของตำหนักทิงเจิ้ง
ระหว่างทาง ซย่าโหวอวี๋ก็คอยปลอบโยนน้องชาย “พี่สาวไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ต่อให้แม่ทัพใหญ่โมโหเพียงใดก็ไม่อาจตำหนิข้าโดยข้ามหน้าพี่เขยเจ้าหรือว่าเจ้าได้ อย่างมากเขาก็แค่ก่อกวนเจ้า ก่อกวนพี่เขยเจ้าเท่านั้น” พูดถึงตรงนี้ นางก็คิดถึงสีหน้าเคร่งเครียดมาตลอดทั้งเช้าของน้องชาย นางมีใจอยากชี้แนะซย่าโหวโหย่วเต้า จึงอดหยอกเย้าไม่ได้ “น้องชายต้องปกป้องข้าได้แน่ ข้าไม่กังวลแม้แต่น้อย ส่วนพี่เขยเจ้า ปล่อยให้เขาปวดหัวไปแล้วกัน ไม่ใช่จะแต่งกับกงจู่ได้ง่ายๆ เจ้าว่าใช่หรือไม่!”
ซย่าโหวโหย่วเต้าถูกพี่สาวหยอกเย้าจนหัวเราะ เขาผงกศีรษะ และไปว่าราชการอย่างดีอกดีใจ
ซย่าโหวอวี๋ยืนอยู่ใต้ชายคา มองแผ่นหลังของน้องชายหายลับเข้าไปในตำหนักอันสูงตระหง่าน ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับตำหนักเฟิ่งหยาง
ตู้ฮุ่ยกำลังอมยิ้มยืนรอซย่าโหวอวี๋อยู่หน้าประตูตำหนักบรรทม…ซย่าโหวอวี๋พี่น้องสามารถดูแลกันและกันได้เช่นนี้ นางรู้สึกสบายใจยิ่งนัก
“ผ่านเดือนสามวันที่สามไปก็เป็นเทศกาลตวนอู่แล้ว ในวังควรเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นเสื้อบุซับในและตัดชุดฤดูร้อนได้แล้ว” นางค้อมกายน้อยๆ เดินตามซย่าโหวอวี๋เข้าไปในตำหนักบรรทม “ปีนี้สกุลเวินมีผ้าใหม่ส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการ ได้ยินว่านุ่มละเอียดดุจผ้าไหม ขาวบริสุทธิ์ดุจหยก ตั้งชื่อว่าเกสรหิมะ จ่างกงจู่จะทอดพระเนตรหรือไม่เพคะ”
หลายปีมานี้แพรพรรณในวังล้วนเป็นของบรรณาการจากสกุลเวินที่อยู่ในอำเภอเจียงหนิง แต่ก่อนสมัยซย่าโหวอวี๋อยู่ในวัง เรื่องพวกนี้นางล้วนเป็นผู้ดูแล หลังนางออกเรือนจึงมอบหมายให้ตู้ฮุ่ยเป็นผู้จัดการ ตู้ฮุ่ยเกรงว่าเรื่องในอุทยานหวาหลินจะทำให้นางไม่สบายใจ จึงตั้งใจหางานให้นางทำ จะได้ไม่คิดฟุ้งซ่าน
ในใจของซย่าโหวอวี๋ไม่ได้สงบอย่างที่แสดงออก ตอนอยู่ในอุทยานหวาหลินหลูยวนสะบัดแขนเสื้อจากไป แสดงว่าเขาโมโหจริงๆ แต่ด้วยนิสัยของเขา โมโหก็ส่วนโมโห เรื่องที่จะทำยังคงต้องทำ รู้จักกันมาสองชาติแล้ว นางยังจะไม่รู้อีกหรือว่านิสัยเขาเป็นเช่นไร
ซย่าโหวอวี๋ไม่สนใจคำพูดของตู้ฮุ่ย เพียงเอ่ยกับตู้ฮุ่ยโดยไม่ตรงกับคำถาม “เจ้าส่งคนไปเฝ้าที่ตำหนักทิงเจิ้ง แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในตำหนักให้ข้าฟังอย่างละเอียด”
นางคงกลัวหลูยวนจะสร้างความลำบากใจให้โอรสสวรรค์กระมัง ตู้ฮุ่ยมีสีหน้าเคร่งขรึมลง นางก้มหน้ารับคำและถอยออกไป
ซย่าโหวอวี๋พิงหมอนอิง หลับตาครุ่นคิดเรื่องในใจ หากหลูยวนเอาเรื่องเก่ามาพูดอีก จะให้คุณหนูสี่สกุลหลูแต่งเข้าวังให้ได้ นางควรปฏิเสธเช่นไรดี
ยังมีเซียวหวนอีก ชาติก่อนเขาไปสวีโจวได้ไม่นานก็ซื้อใจผู้ว่าการมณฑลสวีโจวและผู้ว่าการมณฑลอวี้โจวได้ ภายหลังสองคนนี้ยังคอยติดตามเซียวหวนตลอด ยกทัพขึ้นเหนือทำศึกแทนเซียวหวน สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ ชาตินี้นางไม่ได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเซียวหวน เซียวหวนน่าจะจัดการเรื่องที่สวีโจวและอวี้โจวได้อย่างรวดเร็วถึงจะถูก เพียงแต่ชาตินี้น้องชายนางไม่ได้ตาย ไม่รู้เขาจะอยู่ที่สวีโจวนานเพียงใด เขาจะดื่มสุราสรวลเสเฮฮากับหลูไหวที่มีตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลหยางโจว เรียกขานกันว่าพี่น้องหรือไม่ หรือว่าจะเผชิญหน้ากันเหมือนเป็นศัตรูที่ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว
ชาติก่อนสิ่งที่เซียวหวนเชี่ยวชาญมากที่สุดคือการใช้ความอ่อนพิชิตความแข็ง ไม่รู้ว่าชาตินี้เขาจะเป็นเช่นนั้นอีกหรือไม่
นางคิดไปเรื่อยเปื่อย เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว พอนางได้สติอีกครั้งการประชุมขุนนางในตำหนักทิงเจิ้งก็ยุติลงแล้ว ขันทีน้อยที่ถูกตู้ฮุ่ยส่งไปแอบฟังกลับมารายงาน
“แม่ทัพใหญ่บอกว่าปีก่อนเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ เสบียงอาหารราคาสูงขึ้นอย่างมาก ปีนี้เกรงว่าการเก็บเกี่ยวผลผลิตก็คงไม่ดีเช่นกัน จึงให้โอรสสวรรค์สั่งให้ขุนนางท้องถิ่นเรียกเก็บเสบียงอาหารมากขึ้นหน่อย หากเป็นปีที่แห้งแล้งจะได้สร้างเพิงแจกโจ๊ก โอรสสวรรค์เห็นด้วย แต่ราชเลขาธิการบอกว่าปีก่อนแม่ทัพใหญ่สั่งให้เพิ่มภาษีอากรแล้ว บัดนี้แต่ละปีชายฉกรรจ์ต้องมอบแพรพรรณจำนวนสี่พับ ฝ้ายจำนวนห้าชั่ง นับเป็นสองเท่าของสมัยเจิ้งตั้นแล้ว หากเพิ่มภาษีอากรอีก เกรงว่าจะไม่ดีนัก”
เจิ้งตั้นเป็นชื่อรัชศกของหมิงจงฮ่องเต้ปู่ทวดของซย่าโหวอวี๋
ซย่าโหวอวี๋แปลกใจมาก นางเอ่ยถามขันทีน้อย “ในราชสำนัก นอกจากเรื่องพวกนี้ก็ไม่มีเรื่องอื่นแล้วหรือ”
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีผู้นั้นรู้สึกหวั่นเกรง “กระทั่งเลิกประชุม ใต้เท้าทั้งหลายก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เกือบจะกักตัวโอรสสวรรค์ไว้ในตำหนัก แล้วจะมีเวลาไปหารือเรื่องอื่นอีกได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!”
เห็นทีหลูยวนจะตัดสินใจอดทนไปก่อนชั่วคราว ไม่รู้ว่าเขามีแผนการรับมือแล้ว หรือแค่อยากดูว่าระหว่างสองคนผู้ใดจะอดทนได้มากกว่ากัน ถึงอย่างไรซย่าโหวโหย่วเต้าก็เติบโตขึ้นทุกวัน สักวันหนึ่งย่อมต้องแต่งงาน ขอเพียงซย่าโหวโหย่วเต้าแต่งงาน เขาย่อมมีโอกาสก้าวก่ายการแต่งงานของซย่าโหวโหย่วเต้า
ซย่าโหวอวี๋โบกมือให้ขันทีถอยออกไป
ซย่าโหวโหย่วเต้าเลิกประชุมแล้วก็มากินอาหารกลางวันกับนางที่นี่ สองพี่น้องพูดคุยหัวเราะกัน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซย่าโหวอวี๋นอนกลางวัน ซย่าโหวโหย่วเต้าก็ไปอ่านหนังสือกราบทูลที่ตำหนักทิงเจิ้ง
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปสิบวัน อากาศอบอุ่นขึ้นโดยสมบูรณ์ ต้นไม้ใบหญ้าในอุทยานเจริญงอกงาม ดูละลานตาเหมือนผ้าทอลาย ยามทอดสายตามองออกไปก็ดูงดงามสดใสประหนึ่งฤดูร้อน
พวกตู้ฮุ่ยล้วนเอ่ยชมว่าปีนี้ดอกไม้บานสะพรั่ง ซย่าโหวอวี๋กลับรู้สึกว่าเมื่อบานอย่างเต็มที่แล้วย่อมต้องร่วงโรย ดอกไม้พวกนี้ออกจะบานเร็วไปสักหน่อย
โชคดีที่ไม่ว่าหลูยวนหรือฟั่นซื่อต่างก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ กลับเป็นสกุลชุยที่ร้อนใจเล็กน้อย ให้คุณหนูเจ็ดสกุลชุยตามชุยซื่อเข้าวังมาถวายบังคมซย่าโหวอวี๋หนหนึ่ง ซย่าโหวอวี๋ปลอบโยนชุยซื่ออย่างดี ชุยซื่อจึงพาคุณหนูเจ็ดสกุลชุยที่ขัดเขินจนหน้าแดงออกจากวังไป
ซย่าโหวโหย่วเต้าเลิกประชุมแล้วไม่เห็นคนก็อดผิดหวังเล็กน้อยไม่ได้ เขาอึกอักถามถึงคุณหนูเจ็ด ซย่าโหวอวี๋เห็นแล้วทั้งฉุนทั้งขำ ถามเขาว่ารู้ได้อย่างไรว่าคุณหนูเจ็ดเข้าวังมา ซย่าโหวโหย่วเต้าอ้ำอึ้งอยู่นานก็ตอบไม่ถูก พอถูกซย่าโหวอวี๋หยอกเย้าเข้าหน่อยเขาก็เขินอายจนวิ่งออกจากตำหนักเฟิ่งหยางไปอย่างลนลาน
ซย่าโหวอวี๋ขมวดคิ้วไม่เลิก จะต้องมีคนเอาข่าวไปบอกซย่าโหวโหย่วเต้าเป็นแน่ ตำหนักเฟิ่งหยางมีคนไม่มาก ทั้งยังมีแต่คนที่เคยปรนนิบัติเหวินเซวียนฮองเฮามาก่อน มีความจงรักภักดีและมีระเบียบวินัยพอ แต่ทางตำหนักทิงเจิ้งกลับมีหูตาของหลูยวนมากเกินไป
ชาติก่อนเป็นเพราะหลูยวนรู้ว่าซย่าโหวโหย่วเต้ากับนางพึงใจในตัวคุณหนูเจ็ดสกุลชุย หลังจากเซียวหวนใช้แผนล่อลวงตบตาทำให้ศัตรูเข้าใจผิด สนับสนุนซย่าโหวโหย่วฝูที่เกิดจากเฝิงซื่อขึ้นครองราชย์แล้ว หลูยวนจึงพาลโมโหบีบให้คุณหนูเจ็ดสกุลชุยออกบวช ในช่วงที่สงครามระหว่างนางกับหลูยวนยังไม่ตัดสินแพ้ชนะ เรื่องนี้จะต้องสืบให้แน่ชัดเสียก่อน
ซย่าโหวอวี๋สั่งตู้ฮุ่ยเสียงค่อยให้ไปตรวจสอบเรื่องนี้ ส่วนตนเองก็เรียกอาเหลียงมาตรงหน้า ถามนางว่ายินดีออกจากวังพร้อมตน และเป็นข้ารับใช้ประจำตัวของตนหรือไม่
หมู่นี้ซย่าโหวอวี๋ปฏิบัติต่ออาเหลียงแปลกออกไป ในใจอาเหลียงรู้สึกได้ถึงบางอย่างเช่นกัน ตอนที่ซย่าโหวอวี๋เอ่ยถามนางนั้น นางยังคงตกใจระคนดีใจ รีบคุกเข่าโขกศีรษะขอบคุณ แสดงออกว่าเต็มใจอย่างยิ่งที่จะเป็นข้ารับใช้ประจำตัวของซย่าโหวอวี๋
ซย่าโหวอวี๋พอใจอย่างมาก บอกนางว่าประเดี๋ยวให้ไปหาตู้ฮุ่ยเพื่อลบชื่อออกจากทะเบียนวัง
อาเหลียงดีอกดีใจ ขอบพระทัยครั้งแล้วครั้งเล่า
ซย่าโหวอวี๋ยิ้มน้อยๆ นางรู้สึกมั่นใจเพราะได้แก้ไขสถานการณ์และได้กุมอนาคตเอาไว้ในกำมือตนเอง
กลางคืนเวลายาวนาน เป็นครั้งแรกที่ซย่าโหวอวี๋ไม่ได้ฝันถึงเซียวหวน ไม่ได้ฝันถึงอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยกลิ่นดินโคลนนั่นซึ่งทำให้คนหายใจไม่ออกแต่กลับรู้สึกอบอุ่น ทว่านางยังคงตื่นขึ้นมากลางดึก เพียงแต่นางไม่ได้ถูกฝันร้ายรบกวนจนตื่น แต่ถูกเขย่าตัวปลุกให้ตื่น
“จ่างกงจู่! จ่างกงจู่!”
นางลืมตา มองเห็นใบหน้าของตู้ฮุ่ยที่ค่อยๆ ดูใหญ่ขึ้น บางทีอาจเพราะอยู่ใกล้เกินไป ดวงตาและจมูกของตู้ฮุ่ยจึงดูไม่เหมือนในยามปกตินัก
“มีอะไรหรือ” ซย่าโหวอวี๋เอ่ยถามอย่างงัวเงีย
ใบหน้าขาวกระจ่างของตู้ฮุ่ยมีเหงื่อผุดออกมา นางพูด “จ่างกงจู่ โอรสสวรรค์ โอรสสวรรค์…ทรงหมดสติไปกะทันหันเพคะ”
ซย่าโหวอวี๋กอดผ้าห่มลุกขึ้นนั่งในทันที นางรู้สึกคล้ายตนเองกำลังฝันไป นานครู่ใหญ่ที่มิอาจตอบสนองได้
ตู้ฮุ่ยจึงสะกิดซย่าโหวอวี๋ทั้งน้ำตาเบาๆ อีกครั้ง “จ่างกงจู่ ตำหนักทิงเจิ้งวุ่นวายไปหมดแล้ว ท่านรีบไปดูเถิดเพคะ!”
ซย่าโหวอวี๋ถึงได้สติ หัวใจนางเหมือนถูกกดทับด้วยหินก้อนใหญ่ แต่หัวใจดวงนั้นกลับไม่ยอมพ่ายแพ้ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ออกแรงดิ้นรนขึ้นมาอีก ทำท่าเหมือนจะกระโดดออกจากโพรงอกนาง
ซย่าโหวอวี๋ถูกตู้ฮุ่ยประคองลุกขึ้นอย่างมึนงง นางสวมเสื้อผ้าและมุ่งหน้าไปยังตำหนักทิงเจิ้งโดยมีข้ารับใช้ห้อมล้อม ลมกลางคืนพัดปะทะตัวนาง นางหนาวสะท้าน หัวสมองค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น
นางขบคิดทุกวิถีทางเพื่อชีวิตน้องชายของนางแล้ว เดิมทีเขาไม่เป็นไรแล้วมิใช่หรือ ไฉนจึงหมดสติไม่รู้เรื่องได้เล่า
ซย่าโหวอวี๋คิดถึงความโศกเศร้า ความเสียใจ ความสับสนและทำอะไรไม่ถูกเมื่อชาติที่แล้วตอนน้องชายเสียชีวิต นางรู้สึกเหมือนตนเองได้ย้อนกลับไปในค่ำคืนนั้นอีกครั้ง ทำให้นางหนาวเหน็บไปทั้งร่าง สองขาอ่อนยวบ เท้าเหมือนถูกถ่วงด้วยตะกั่ว กระทั่งยกยังยกไม่ขึ้น
“อาฮุ่ย!” นางเรียกชื่อของตู้ฮุ่ยเหมือนสมัยที่เป็นเด็ก คว้าแขนอีกฝ่ายเอาไว้ ถึงได้พบว่าตู้ฮุ่ยตัวสั่นอย่างรุนแรง ใบหน้าไร้สีเลือด
ซย่าโหวอวี๋หัวใจสะดุด ลางสังหรณ์ไม่ดีที่ถูกละเลยไปก่อนหน้านี้ราวกับน้ำที่โถมทะลักเขื่อน ไหลไปยังแขนขาทั้งสี่ของนาง ทำให้นางก้าวขาไม่ออกอีกต่อไป นี่ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางเกิดความคิดอยากวิ่งหนี
ท่ามกลางความมืด แสงไฟภายในตำหนักทิงเจิ้งยังคงสว่างไสว สว่างจ้าเหมือนกองไฟที่ชวนให้แมงเม่าบินเข้าไปหา ทว่านางกลับอยากอยู่แต่ในความมืดนี้ ไม่อยากมองไปข้างหน้า ไม่คิดถอยไปข้างหลัง ปรารถนาให้ทุกสรรพสิ่งในใต้หล้าหยุดอยู่แค่ช่วงเวลานี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ อีก น้องชายนางที่อยู่ในตำหนักทิงเจิ้งก็แค่หลับไปเท่านั้น โชคชะตาอันน่าเศร้ากับความตายล้วนมิอาจกล้ำกรายเขา
ซย่าโหวอวี๋น้ำตาไหลรินอย่างเศร้าสลด
“จ่างกงจู่ จ่างกงจู่” ตู้ฮุ่ยร้องเรียกซย่าโหวอวี๋เสียงสั่นอย่างแผ่วเบา “ท่านต้องอดทนไว้นะเพคะ ในตำหนักทิงเจิ้งไม่ได้มีแต่คนของพวกเรา”
ยังมีคนของแม่ทัพใหญ่หลูยวน!
ซย่าโหวอวี๋เม้มปากแน่น หัวใจนางปวดร้าว ทว่าความเจ็บปวดนี้กลับเหมือนกระบองที่ฟาดตีศีรษะนาง ทำให้สติของนางกลับคืนมา
บัดนี้น้องชายนางนอนไม่ได้สติอยู่ในตำหนักข้างตามลำพัง เหมือนสัตว์ตัวเล็กที่กำลังเปิดหน้าท้องขาวบริสุทธิ์ต่อทุกผู้คน ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนเข้าใกล้เขาได้ ทำร้ายเขาได้ เขากำลังรอให้นางไปปกป้องเขา คุ้มครองเขา แต่นางกลับมัวเสียเวลาตำหนิตนเองและสงสารตนเองอยู่ตรงนี้ หากผู้อื่นฉวยโอกาสนี้ทำร้ายน้องชายนางจะทำเช่นไร อีกอย่างน้องชายนางเพียงแค่หมดสติไปเท่านั้น ไม่ได้ตายเสียหน่อย นางจะกลัวอะไรเล่า นางจะกลัวได้อย่างไร
ซย่าโหวอวี๋สูดลมหายใจเข้าลึกหลายที ก่อนจะสะบัดมือตู้ฮุ่ยออก ก้าวยาวๆ เข้าไปในตำหนักทิงเจิ้ง
ส่วนลึกในดวงตาของตู้ฮุ่ยฉายความปวดใจระคนยินดี ก่อนจะตีสีหน้าตึงเครียดขณะเดินตามซย่าโหวอวี๋เข้าไปในตำหนัก
ภายในตำหนักแสงไฟสว่างโรจน์ ข้ารับใช้ที่ปรนนิบัติข้างกายซย่าโหวโหย่วเต้าคุกเข่าอยู่เต็มพื้น ซย่าโหวอวี๋เดินตรงเข้าไปในตำหนักข้างโดยไม่สนใจพวกเขา
แสงไฟในตำหนักข้างไม่สว่างจ้าเหมือนกับในตำหนักกลาง มีเพียงเถียนเฉวียนกับขันทีสองคนคุกเข่าอยู่หน้าเตียง ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อบนหน้าผากซย่าโหวโหย่วเต้าที่หลับตาแน่นสนิท
เมื่อเห็นซย่าโหวอวี๋แล้ว เถียนเฉวียนกับขันทีสองคนก็ก้มศีรษะหมอบลงกับพื้น ซย่าโหวอวี๋ไม่เหลือบแลพวกเขา เพียงเดินตรงไปที่เตียง
แสงไฟส่องผ่านม่านโปร่งปักลายแมลงกับต้นหญ้าสะท้อนลงบนใบหน้าของซย่าโหวโหย่วเต้าที่ดูเลือนรางไม่ชัดเจนนัก กระนั้นซย่าโหวอวี๋ยังคงมองเห็นได้ถึงความผิดปกติ นางตวาดเสียงดังด้วยใบหน้าบึ้งตึง “จุดไฟ!”
เถียนเฉวียนกับขันทีสองคนไม่กล้าขยับเขยื้อน ตู้ฮุ่ยรับโคมไฟที่นางกำนัลยื่นให้และชูขึ้นไปในม่านเตียง
ผิวของซย่าโหวโหย่วเต้าขาวเนียนยิ่งกว่าสตรี แต่ยามนี้ใบหน้าที่เคยขาวกระจ่างของเขากลับสะท้อนสีเทาปนเขียว ริมฝีปากที่เดิมทีแดงเรื่อเปลี่ยนเป็นสีม่วงดำคล้ำ
“ไฉนจึงเป็นเช่นนี้ไปได้!” ตู้ฮุ่ยอุทานออกมา
ซย่าโหวอวี๋หมุนตัวกลับมาพลางเงื้อมือขึ้น โคมไฟรูปนกกระเรียนคาบเห็ดหลิงจือข้างเตียงพลันล้มลงบนพื้นเสียงดัง น้ำมันตะเกียงสาดลงบนพื้นทั้งหมด ไฟลุกขึ้นพร้อมเสียงดังพรึ่บ
“เป็นใคร! เป็นฝีมือของผู้ใดกัน!” กลิ่นอายดุดันวนเวียนอยู่ตรงหว่างคิ้วของซย่าโหวอวี๋ นางยกเท้าถีบไปที่หน้าอกของเถียนเฉวียน “บ่าวเฒ่าผู้นี้! เจ้าถึงกับกล้าให้โอรสสวรรค์เสพหานสือซั่น รึ เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ!”
เถียนเฉวียนถูกถีบจนส่งเสียงครางเบาๆ แต่กลับไม่กล้าแม้แต่จะปริปากร้อง “จ่างกงจู่ จ่างกงจู่!” น้ำตาของเขาไหลพราก ไม่มีคำโต้แย้งแม้แต่คำเดียว
ซย่าโหวอวี๋รู้ว่าไม่ใช่เถียนเฉวียน ชาติก่อนหลังจากซย่าโหวโหย่วเต้าสวรรคต เขาก็ตามนางออกจากวังไปด้วย ภายหลังยังติดตามไปที่ไร่ชานเมือง ช่วยนางดูแลงานทั่วไปภายในนั้น มีความจงรักภักดียิ่ง ทำงานไม่เคยผิดพลาดมาก่อน แล้วใครกันที่เป็นคนมอบหานสือซั่นให้กับน้องชายนาง
น้าชายคนเล็กของนางตายเพราะหานสือซั่น ซย่าโหวอวี๋กับซย่าโหวโหย่วเต้าเห็นสภาพตอนตายของน้าชายกับตาตนเอง ดังนั้นนางจึงรังเกียจคนที่เสพหานสือซั่นเป็นพิเศษ เวลาเลือกสามีถึงขั้นยกเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไขข้อแรก เป็นไปไม่ได้ที่น้องชายนางจะไม่รู้โทษของหานสือซั่น แล้วเขาจะเสพหานสือซั่นได้อย่างไร
ซย่าโหวอวี๋ถีบเถียนเฉวียนอีกครั้ง แล้วเอ่ยถามเสียงเฉียบ “หมอเล่า”
อาจเพราะได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว หมอหลวงจึงค้อมกายเดินเข้ามา แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าซย่าโหวอวี๋ พูดตะกุกตะกัก “โอรสสวรรค์…โอรสสวรรค์ร่างกายอ่อนแอ ฤทธิ์ของหานสือซั่นจึงสลายไปไม่หมด ดังนั้น…ดังนั้น…”
ซย่าโหวอวี๋ยิ้มเย็น “ข้าต้องให้เจ้าบอกด้วยรึ! เจ้าแค่บอกมาว่าเจ้ามีปัญญารักษาหรือไม่!”
หมออ้ำอึ้งอยู่นานก็ไม่อาจเอ่ยประโยคที่สมบูรณ์ออกมาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีวิธีรักษาอะไร
“พวกไม่ได้เรื่อง วังหลวงเลี้ยงพวกเจ้าไว้จะมีประโยชน์อะไร!” ซย่าโหวอวี๋เดือดดาลยิ่ง นางหันไปตวาดเถียนเฉวียน “ในราชสำนักมีขุนนางท่านใดเสพหานสือซั่นบ่อยครั้งบ้าง รีบไปตามเขาเข้าวังมาดูอาการของโอรสสวรรค์โดยเร็ว!” คนพวกนั้นย่อมรู้วิธีสลายพิษยา
เถียนเฉวียนตอบเสียงค่อย “กระหม่อมส่งคนไปเชิญเซี่ยตันหยางมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยตันหยาง นามว่าสยา เป็นบุตรชายของเซี่ยเม่าผู้เป็นอันโหวและดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ ราชเลขาธิการและลู่ซั่งซูซื่อของราชวงศ์ฮั่นเดิมเป็นผู้สันทัดเรื่องการดนตรี เก่งกาจด้านอักษร เชี่ยวชาญการทำพิณ มีชื่อเสียงมาตั้งแต่เด็ก ทว่ากลับมีนิสัยรักอิสระชอบทำตามใจตนเอง ยอมดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองตันหยางโดยไม่ยอมเลื่อนขั้น จึงถูกผู้คนเรียกขานว่าเซี่ยตันหยาง
เขาชอบเสพหานสือซั่นจนขึ้นชื่อ ครั้งหนึ่งยังเคยแก้ผ้าเดินไปทั่วเขตชุมชนเพราะเสพหานสือซั่นจนถูกอู่จงฮ่องเต้ตำหนิ
ซย่าโหวอวี๋สบายใจขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงไม่วางใจ “ยังมีผู้ใดอีก ไปเชิญมาให้หมด!”
เถียนเฉวียนตอบ “ส่งคนไปเชิญแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ซย่าโหวอวี๋พยักหน้า นางนั่งลงข้างเตียงของซย่าโหวโหย่วเต้า กุมมือเขาเอาไว้ มือของซย่าโหวโหย่วเต้าเย็นเฉียบ ปลายนิ้วเป็นสีเขียวม่วงเล็กน้อย ซย่าโหวอวี๋หัวใจพลันหดเกร็งขึ้นมาอีกครั้ง
นางก้มหน้า ก่อนจะจับมือของน้องชายวางบนหน้าผากนาง อ้อนวอนกับเทพเซียนบนท้องฟ้า ขอเพียงให้น้องชายนางพ้นเคราะห์ครานี้ไปได้ จะให้นางทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!
น้ำตาไหลรินจากขอบตาของซย่าโหวอวี๋เงียบๆ นางคิดว่าในเมื่อเทพเซียนให้นางมีชีวิตใหม่แล้ว แสดงว่าต้องรักใคร่และสงสารนางมากเป็นแน่ หากนางร้องขอแทนน้องชาย เทพเซียนเหล่านั้นต้องเผื่อแผ่ความรักมาถึงน้องชายนางด้วยแน่ และช่วยชีวิตน้องชายนางให้รอดพ้นจากความตาย หาไม่แล้วจะให้นางมีชีวิตใหม่อีกครั้งเพื่ออะไร
แต่ดูเหมือนเทพเซียนเหล่านั้นจะไม่ได้ยินเสียงอ้อนวอนของนาง ท้องฟ้าค่อยๆ กลายเป็นสีขาวแล้ว แต่เซี่ยตันหยางยังคงไม่เข้าวัง ซย่าโหวโหย่วเต้าก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา จู่ๆ ก็มีขันทีมารายงานนางอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “แม่ทัพใหญ่มาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”
ซย่าโหวอวี๋รู้อยู่แล้วว่าเรื่องในวังมิอาจปิดบังกับหลูยวนได้ แต่หลูยวนมาถึงรวดเร็วเช่นนี้ ยังคงทำให้ซย่าโหวอวี๋หงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก นางตีหน้าเย็นบอกให้ขันทีไปเชิญหลูยวนเข้ามา
สีหน้าของหลูยวนเยียบเย็นเคร่งขรึมยิ่งกว่าซย่าโหวอวี๋เสียอีก เขาคารวะซย่าโหวอวี๋อย่างขอไปทีก่อนจะตรงดิ่งมาที่เตียงของซย่าโหวโหย่วเต้า พิจารณาสีหน้าของซย่าโหวโหย่วเต้าพลางพูด “นี่มันเรื่องอะไรกัน โอรสสวรรค์เสพหานสือซั่น? เหตุใดกระหม่อมจึงไม่รู้ แล้วหมอหลวงว่าอย่างไรบ้าง โอรสสวรรค์ทรงหมดสติไปตั้งแต่เมื่อไร ทรงหมดสติไปนานเท่าไรแล้ว ระหว่างนั้นทรงฟื้นขึ้นมาบ้างหรือไม่” เขาถาม สายตาเลื่อนไปยังซย่าโหวอวี๋
ที่นี่คือวังหลวง หลูยวนเป็นขุนนาง เรื่องที่เกิดขึ้นในวังเขาสมควรต้องรู้อย่างนั้นหรือ!
ซย่าโหวอวี๋ไม่พอใจในคำพูดของหลูยวน ทว่ายามนี้นางสนใจเพียงอาการป่วยของน้องชายมากกว่า แม้แต่อารมณ์ที่จะโมโหหลูยวนก็ไม่มี นางถึงขั้นคิดว่าหากหลูยวนสามารถช่วยชีวิตน้องชายนางได้ เขาอยากทำอะไรก็เชิญตามสบายเถอะ ไม่แน่หากสละบัลลังก์ให้หลูยวนได้ น้องชายนางอาจใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากกว่านี้
“โอรสสวรรค์จะเสพเป็นบางครั้งเวลาที่อารมณ์ไม่ดี” นางพูดเสียงค่อยด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า “วันนี้กินอาหารค่ำแล้วเขาก็หัดคัดอักษร บอกว่าเหนื่อยและอยากพักผ่อน เถียนเฉวียนปรนนิบัติโอรสสวรรค์พักผ่อนแล้วก็ทิ้งขันทีไว้สองคนและกลับห้องของตนเอง ยามไฮ่ ขันทีสองคนก็ไปนำสุรามาให้โอรสสวรรค์ รู้ถึงหูเถียนเฉวียน เถียนเฉวียนถึงได้รู้ว่าโอรสสวรรค์เสพหานสือซั่น พอเขารุดมาถึง โอรสสวรรค์ก็หมดสติไปแล้ว เขาไปตามหมอหลวงมาทันที หมอหลวงบอกว่าโอรสสวรรค์มีความร้อนสะสมที่ตับ ได้แต่หาวิธีขจัดความร้อน สั่งยาและป้อนให้แล้วกลับไม่ได้ผล เถียนเฉวียนเห็นว่าผิดปกติ จึงส่งคนไปตำหนักเฟิ่งหยางเพื่อแจ้งข้า ข้าอยู่เป็นเพื่อนเขาจนถึงตอนนี้ โอรสสวรรค์ก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย แต่ข้าส่งคนไปตามเซี่ยตันหยางแล้ว คำนวณเวลาน่าจะใกล้ถึงแล้วล่ะ”
น้ำเสียงของซย่าโหวอวี๋ราบเรียบ คำพูดฉะฉานชัดเจน นางจัดการเรื่องราวได้อย่างเหมาะสมรอบคอบ
หลูยวนเห็นแล้วอดถอนหายใจในใจไม่ได้ หากซย่าโหวอวี๋ไม่ใช่จิ้นหลิงจ่างกงจู่ เด็กที่เฉลียวฉลาดปราดเปรียวเช่นนี้ ผู้ใดจะทำใจรังแกได้ลง!
ช่างน่าเสียดาย!
เขาคิดแต่ไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้า “เซี่ยตันหยางมาก็ใช่ว่าจะมีประโยชน์ กระหม่อมว่ายังต้องคิดหาหนทางอื่น ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าหงเซียนเซิงมาเมืองเจี้ยนคังมิใช่หรือ กระหม่อมว่ามิสู้เชิญหงเซียนเซิงมาดูอาการของโอรสสวรรค์ด้วยดีกว่า”
หงเซียนเซิงมีนามว่าฟู่ เป็นลูกหลานสกุลหงในฟั่นหยาง มีชื่อเสียงมาตั้งแต่เล็ก แต่กลับเข้าอารามบวชเป็นนักพรตช่วงวัยกลางคน ใช้ชีวิตอย่างสันโดษบนเขาหลัวฝู เขามีความรู้ในวิชาแพทย์ เชี่ยวชาญการปรุงโอสถ อายุเจ็ดสิบแล้วแต่หูตายังกว้างไกล ฝีเท้ากระฉับกระเฉงแข็งแรง เขาเขียน ‘ตำราเซียน’ ที่เป็นตำราบำรุงร่างกายขึ้นเล่มหนึ่ง ได้รับการยกย่องจากผู้คนอย่างมากจนได้รับฉายาว่า ‘เซียนบนโลกมนุษย์’
ตาของซย่าโหวอวี๋เคยคบหาเป็นสหายกับหงฟู่ นางฟังแล้วอดดีใจไม่ได้ “หงเซียนเซิงมาเจี้ยนคังตั้งแต่เมื่อไร ไฉนจึงไม่ได้ข่าวเลย” คนเช่นหงฟู่นั้น นอกจากจะมีชื่อเสียงบารมีแล้ว ยังมีผู้ยกย่องเลื่อมใสจำนวนมาก แม้แต่โอรสสวรรค์ก็ควรเรียกเขาเข้าเฝ้าสักครั้งหนึ่ง
หลูยวนตอบ “กระหม่อมเองก็เพิ่งทราบ”
ซย่าโหวอวี๋รีบสั่งเถียนเฉวียน “ยังไม่รีบไปบอกเสด็จอาอีก ให้เขาไปเชิญหงเซียนเซิงเข้าวัง”
เถียนเฉวียนรับคำ ลุกขึ้นและเดินออกไปข้างนอก เนื่องจากคุกเข่ามาตลอด ขาจึงแข็งจนไร้ความรู้สึก เขาโซเซเกือบสะดุดล้มลงบนพื้น แต่กลับมีคนหยอกเย้าเถียนเฉวียน “อะไรกันนี่ ข้ายังไม่ทันเข้ามา เจ้าก็คุกเข่าให้ข้าเสียแล้วหรือ!”
น้ำเสียงใสกระจ่างเจือแววหยอกล้อผ่อนคลาย ฟังแล้วมีลักษณะเฉพาะตัวอย่างมาก
ซย่าโหวอวี๋ลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้นยินดี “ที่แท้ใต้เท้าเซี่ยก็มาถึงแล้ว เชิญเข้ามาเถอะ!”
สิ้นเสียงของนาง ขันทีน้อยก็วิ่งเข้ามาด้วยสภาพที่เหงื่อเต็มศีรษะ รายงานตะกุกตะกัก “จ่างกงจู่ ใต้เท้าเซี่ยมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยตันหยางที่แต่งกายเรียบร้อยก้าวเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ข้างหลังเขายังมีผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่ เส้นผมสีขาวโพลนเดินตามมาด้วย
ทว่าซย่าโหวอวี๋ยังไม่ทันเห็นโฉมหน้าของผู้ที่มาได้อย่างชัดเจน เซี่ยตันหยางก็ยิ้มพูด “จ่างกงจู่ ดูเถิด กระหม่อมเชิญผู้ใดมาด้วย”
ดวงตาของซย่าโหวอวี๋พลันเปล่งประกายระยิบระยับดุจดวงดาว “หงเซียนเซิง!” นางรีบเข้าไปคารวะ “ท่านรีบมาดูน้องชายข้าเร็วเข้า!” ยังพูดไม่จบ หางตาก็ทอประกายน้ำตาแล้ว สมัยที่ท่านตาของนางยังมีชีวิตอยู่ นางเคยดึงเคราสีขาวของหงฟู่มาด้วยความซุกซน พริบตาเดียวนางก็ไม่ได้พบหงฟู่มาเจ็ดแปดปีแล้ว
หงฟู่เองก็รู้สึกสะท้อนใจทีเดียว แต่กลับไม่ได้ทักทายซย่าโหวอวี๋ตอบ เพียงเอ่ยตรงๆ ว่า “ข้าขอตรวจดูโอรสสวรรค์ก่อน”
ซย่าโหวอวี๋ผงกศีรษะติดๆ กัน แล้วเปิดทางให้อีกฝ่าย
หงฟู่คุกเข่าข้างเตียงพลางจับชีพจรให้ซย่าโหวโหย่วเต้า เซี่ยตันหยางอธิบายเสียงค่อยกับซย่าโหวอวี๋ “กระหม่อมเกรงว่าความสามารถจะไม่เพียงพอ ได้ยินว่าหงเซียนเซิงอยู่ที่เมืองเจี้ยนคังพอดี กระหม่อมจึงเชิญหงเซียนเซิงมาด้วย”
ซย่าโหวอวี๋ขอบคุณเซี่ยตันหยางอย่างซาบซึ้งใจ
สีหน้าของหงฟู่กลับไม่ดีนัก เขาจับชีพจรของซย่าโหวโหย่วเต้าทั้งมือซ้ายและมือขวาเกือบครึ่งชั่วยามแล้วก็ยังไม่สั่งยา หลังจากตรึกตรองอยู่นาน เขาจึงวางมือซย่าโหวโหย่วเต้าในผ้าห่มดังเดิม แล้วลุกขึ้นพูดกับซย่าโหวอวี๋เสียงค่อย “จ่างกงจู่ เชิญตามข้ามาพูดคุยที่ด้านข้างหน่อย!”
ซย่าโหวอวี๋รู้สึกหน้ามืดไปทันที ขณะที่ว้าวุ่นใจอยู่นั้น นางไม่รู้ว่านางไปคว้าแขนของผู้ใดเอาไว้
ชาติก่อนไม่มีหงฟู่ ไม่มีเซี่ยตันหยาง เป็นหมอหลวงที่เอ่ยคำพูดนี้กับนาง จากนั้นรอจนน้องชายสิ้นลมหายใจ เขาก็ไม่เคยลืมตาขึ้นมามองนางอีกเลย
“จ่างกงจู่! จ่างกงจู่!” มีคนร้องเรียกซย่าโหวอวี๋ที่ข้างหูเสียงค่อยอย่างร้อนรน นางตั้งสติพยายามลืมตาขึ้น ถึงพบว่าตนเองคว้าแขนของตู้ฮุ่ยอยู่
ตู้ฮุ่ยเห็นใบหน้าซย่าโหวอวี๋มีสีเลือดแล้ว จึงลอบพรูลมหายใจ รีบเอ่ยกำชับเสียงค่อย “จ่างกงจู่ เวลานี้ท่านจะทรงลนลานไม่ได้นะเพคะ โอรสสวรรค์ต้องพึ่งท่านแล้ว!”
ซย่าโหวอวี๋พยักหน้ารับอย่างแข็งทื่อ นางเดินตามหงฟู่ออกจากตำหนักบรรทมไป
ท้องฟ้าสว่างจ้าแล้ว เมฆยามเช้าหลากสีสันทางทิศตะวันออกกระจายตัวเป็นชั้นๆ เหมือนเกล็ดปลา ส่องผืนฟ้าให้สว่างทั้งหมด
หงฟู่กับซย่าโหวอวี๋ยืนอยู่ใต้ชายคาตำหนัก เขาลังเลอยู่นานไม่รู้จะเอ่ยปากเช่นไรดี ทว่าซย่าโหวอวี๋เตรียมใจไว้แล้ว นางเอ่ยเพียงว่า “หงเซียนเซิงไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารับไหว!”
สายตาที่หงฟู่มองนางฉายความเวทนาสงสาร เขาใคร่ครวญก่อนเอ่ยว่า “ข้าจะให้โอรสสวรรค์เสวยโอสถสองสามเม็ดก่อน หากยังไม่ฟื้น จ่างกงจู่ค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย”
นั่นหมายความว่าน้องชายของนางจะเป็นเหมือนเมื่อชาติที่แล้ว สลบไสลไม่ฟื้นและจากโลกนี้ไป ซย่าโหวอวี๋พยักหน้า น้ำตาไหลรินลงมาเงียบๆ
หงฟู่ทนมองไม่ได้ เขาถอนหายใจแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น
ซย่าโหวอวี๋ยืนเหม่ออยู่ครู่หนึ่ง นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาให้แห้ง พูดเสียงดังกับหงฟู่ “หงเซียนเซิง โอรสสวรรค์ยังต้องเสวยโอสถมิใช่หรือ ไม่แน่อีกไม่กี่วันเขาอาจฟื้นขึ้นมาก็เป็นได้!”
หงฟู่มองซย่าโหวอวี๋และยิ้มพูด “จ่างกงจู่กล่าวได้ถูกต้องแล้ว ข้าจะส่งคนไปเอาโอสถ โอรสสวรรค์เป็นคนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง พระองค์ต้องไม่เป็นอะไรแน่”
ซย่าโหวอวี๋พยักหน้าพลางยิ้มรับ นางเข้าไปในตำหนักข้างพร้อมกับหงฟู่
ครึ่งชั่วยามให้หลัง ซย่าโหวโหย่วเต้ากินยาลงไป ซย่าโหวอวี๋ยิ้มพูดกับตู้ฮุ่ย “เจ้าดูสิ น้องชายรู้ด้วยว่าต้องกินยา แสดงว่าเขาไม่ได้ไม่รู้ตัวเสียทีเดียว”
หัวใจของตู้ฮุ่ยราวถูกแทงด้วยมีด โลหิตหลั่งริน ทว่าใบหน้ากลับระบายยิ้มเฉกเช่นซย่าโหวอวี๋ นางตอบกลับไปว่า “ใช่เพคะ อีกไม่นานโอรสสวรรค์ก็จะทรงฟื้นขึ้นมา!”
ท้องฟ้านอกตำหนักบรรทมกระจ่างใสเหมือนผ่านการชะล้าง แสงแดดในฤดูใบไม้ผลิเจิดจ้า แต่ในตำหนักบรรทมม่านเตียงกลับซ้อนกันหลายชั้น แสงมืดสลัว
ซย่าโหวอวี๋กับตู้ฮุ่ยกุมมือกันแน่น นั่งอยู่ข้างเตียงของซย่าโหวโหย่วเต้า เถียนเฉวียนเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ เอ่ยเสียงค่อย “จ่างกงจู่ ยามอู่แล้ว ท่านเสวยอะไรสักหน่อยดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
ซย่าโหวอวี๋ส่ายหน้าอย่างเฉยชา “ข้าไม่หิว! รอไว้ข้าอยากกินเมื่อไรจะสั่งให้ตั้งสำรับเอง!” พูดถึงตรงนี้ นางก็นึกถึงหงฟู่กับเซี่ยตันหยางที่รออยู่นอกตำหนักบรรทม “หงเซียนเซิงกับใต้เท้าทั้งหลายกินอะไรหรือยัง เจ้าปรนนิบัติหงเซียนเซิงกับใต้เท้าทั้งหลายกินอาหารก่อนเถอะ!” ข้ารับใช้ที่ปรนนิบัติข้างกายซย่าโหวโหย่วเต้ายังคงคุกเข่าอยู่ในลานเรือนทั้งหมดโดยไม่กล้าขยับเขยื้อน
เถียนเฉวียนพูดเสียงค่อย “กระหม่อมจัดสำรับให้หงเซียนเซิงกับใต้เท้าทั้งหลายแล้ว จ่างกงจู่ไม่ต้องทรงเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ”
ซย่าโหวอวี๋พยักหน้าอย่างแข็งทื่อ เถียนเฉวียนเช็ดน้ำตาและถอยออกไป
ในตำหนักข้าง หลูยวนหลุบตานั่งคุกเข่าดื่มน้ำชาอยู่ข้างเสากลม หงฟู่กับเซี่ยตันหยางกลับยืนคุยกันเบาๆ ที่หน้าประตูตำหนัก เนื่องจากอยู่ห่างค่อนข้างไกล หลูยวนจึงได้ยินแค่บางคำเป็นต้นว่า ‘หยินหยางสอดประสาน’ ‘ชาดจอแส หรดาลแดงเป็นหยาง’ ‘ริมทะเลสาบ*’ ‘เป็นหยิน’ เขารู้ว่าเซี่ยตันหยางกำลังขอคำชี้แนะเรื่องการปรุงโอสถจากหงฟู่
หลูยวนรู้สึกว้าวุ่นใจ ตั้งแต่ซย่าโหวอวี๋ปฏิเสธการเข้าวังของคุณหนูสี่ ทางเขาก็ไม่ราบรื่นเท่าที่ควร เริ่มจากลูกชายคนเล็กออกหัด จากนั้นหลูไท่ฮูหยินล้มป่วย ฟั่นซื่ออยู่บ้านปรนนิบัติดูแล ยังไม่ทันได้เข้าวังพูดเรื่องคุณหนูสี่กับซย่าโหวอวี๋อีกครั้ง โอรสสวรรค์ก็สลบไสลไม่ได้สติไปเสียก่อน…
ไม่รู้ว่าเจ้าโง่คนใดชักชวนให้โอรสสวรรค์เสพหานสือซั่น รอให้เรื่องราวยุติลงแล้ว เขาต้องลากตัวคนผู้นี้ออกมาถลกหนังให้ได้!
เดิมทีทายาทของราชวงศ์ก็มีอยู่น้อยนิด ทายาทของอู่จงฮ่องเต้ที่มีชีวิตรอดนั้น นอกจากบุตรสาวคนโตซย่าโหวอวี๋และบุตรชายคนโตซย่าโหวโหย่วเต้าแล้ว ก็คือองค์ชายสามตงไห่อ๋องซย่าโหวโหย่วอี้ที่ถือกำเนิดจากซู่เฟย และองค์ชายเจ็ดหลางหยาอ๋องซย่าโหวโหย่วฝูที่ถือกำเนิดจากเฝิงเฟย ซย่าโหวโหย่วอี้ปีนี้อายุสิบสาม รู้ความแล้ว ซย่าโหวโหย่วฝูเพิ่งจะห้าขวบเท่านั้น แต่ซู่เฟยเสียชีวิตไปแล้ว ขณะที่เฝิงเฟยก็เป็นเจ้านายที่ไม่สำรวม
หากซย่าโหวโหย่วเต้าเป็นอะไรไป…จะแต่งตั้งใครดีเล่า
หลูยวนวางจอกชา รู้สึกว่าเรื่องนี้เขายังต้องใคร่ครวญให้ดี
อีกทางหนึ่ง เซี่ยตันหยางคอยสังเกตท่าทีของหลูยวนตลอดเวลา เห็นเขาจมสู่ภวังค์ความคิด ก็รีบส่งสายตาให้หงฟู่และเดินออกไปนอกตำหนักหลายก้าว ก่อนจะหยุดยืนใต้ชายคาตำหนัก หงฟู่เข้าใจและตามไป
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดใบไม้เสียงดังซ่าๆ เซี่ยตันหยางเด็ดใบไม้ใบหนึ่งมาถือเล่นในมือ กระซิบถามหงฟู่ “หากโอรสสวรรค์ฟื้นขึ้นมา จะทรงเป็นอะไรมากหรือไม่” เขาเป็นคนที่เสพหานสือซั่นอยู่บ่อยครั้ง มองปราดเดียวก็รู้ว่าอาการของซย่าโหวโหย่วเต้าไม่ได้เป็นเพราะเสพหานสือซั่นเท่านั้น แต่เป็นไปได้มากว่าหานสือซั่นเกิดปัญหา ถึงได้ทำให้คนสลบไสลไม่ฟื้น
คนแรกที่เซี่ยตันหยางคิดถึงคือหลูยวน แต่เขาตัดหลูยวนออกไปอย่างรวดเร็ว ฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังเหลือโอรสอีกสององค์ แต่องค์ชายทั้งสองล้วนไม่สนิทสนมกับหลูยวน หลายปีมานี้หลูยวนอ้างชื่อโอรสสวรรค์บงการขุนนาง ทุกอย่างล้วนสมดังใจหมาย หากเกิดอะไรขึ้นกับโอรสสวรรค์และต้องแต่งตั้งฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นมา ยังไม่แน่ว่าเขาจะราบรื่นเช่นวันนี้ คนที่ไม่อยากให้โอรสสวรรค์เกิดเรื่องมากที่สุดย่อมจะเป็นหลูยวน
แต่นอกจากหลูยวนแล้ว เขาก็คิดไม่ออกว่ายังจะมีผู้ใดปองร้ายโอรสสวรรค์อีก โอรสสวรรค์เกิดเรื่องเช่นนี้ เป็นไปได้มากว่าอาจเป็นความผิดพลาดของคนข้างกายที่ปรุงหานสือซั่น
หงฟู่ยิ้มขื่น กดเสียงพูดเบา “เกรงว่าการมีทายาทในวันข้างหน้าจะลำบากมาก”
นี่แหละปัญหา! เซี่ยตันหยางพูดไม่ออก
หากซย่าโหวโหย่วเต้าไม่มีทายาท ย่อมต้องแต่งตั้งรัชทายาทโดยเลือกจากซย่าโหวโหย่วอี้หรือซย่าโหวโหย่วฝูหรือทายาทของพวกเขาสองคน แต่สองคนนี้คนหนึ่งก็ถูกองค์ชายรองปองร้าย ถูกส่งไปอยู่ที่ดินบรรดาศักดิ์นานแล้ว อีกคนอายุยังน้อยจะมีชีวิตอยู่จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่หรือไม่ยังพูดยาก
ราชสำนักนี้วุ่นวายมากพอแล้ว ยังจะต้องวุ่นวายมากกว่านี้อีกหรือ เซี่ยตันหยางมองท้องฟ้าสีน้ำเงินกระจ่างอย่างเหม่อลอย
หงฟู่กลับหวังว่าเซี่ยตันหยางจะออกหน้าบ้าง แม้มิอาจควบคุมสถานการณ์ได้ อย่างน้อยก็ต้องคานอำนาจกับหลูยวน มิอาจปล่อยให้หลูยวนปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือเดียว เช่นนี้ต่อไป เขาพูด “เจ้าจะเปลี่ยนที่นั่งหน่อยหรือไม่”
เซี่ยตันหยางยิ้มอย่างจนปัญญา เขาเข้าใจความหมายของหงฟู่ดี แต่สกุลหลูเป็นขุนนางมาหลายสมัย ลูกศิษย์และพรรคพวกกระจายอยู่ทั่วราชสำนัก เวลาผู้อื่นพูดถึงเขา เอ่ยชมว่าเขาสูงส่งบริสุทธิ์ แต่อันที่จริงก่อนหน้านี้เขาเคยท้าทายอำนาจบารมีของหลูยวนและเจออุปสรรคจนต้องถอยมาแล้ว จึงได้แต่แสร้งทำตัวไม่อินังขังขอบ นั่งตำแหน่งเจ้าเมืองตันหยางและทำตัวอิสระตามใจ
โอรสสวรรค์อ่อนแอมานาน ต่อให้สกุลเซี่ยมีความสามารถเพียงใด หากไม่ได้รับอนุญาตและไม่ได้รับการสนับสนุนจากโอรสสวรรค์ ย่อมไม่อาจเอาชนะหลูยวนได้
เซี่ยตันหยางไม่เอ่ยอะไรอยู่นาน เสียงตะโกนด้วยความตกใจระคนยินดีก็ดังมาจากในตำหนัก “โอรสสวรรค์ทรงฟื้นแล้ว โอรสสวรรค์ทรงฟื้นแล้ว!”
เซี่ยตันหยางไม่สนใจการวางตัวและมารยาทอื่นใดอีก เขาทิ้งหงฟู่เอาไว้และก้าวเร็วๆ เข้าไปในตำหนักบรรทม
หลูยวนมาถึงก่อนก้าวหนึ่ง เขายืนอยู่ปลายเตียงด้วยสีหน้าเย็นชาเคร่งขรึม มองซย่าโหวอวี๋กุมมือซย่าโหวโหย่วเต้าแล้วสะอื้นไห้เสียงค่อย เซี่ยตันหยางก้าวขึ้นไปคารวะซย่าโหวโหย่วเต้า
ซย่าโหวโหย่วเต้าดูอ่อนแรงยิ่งกว่าตอนสลบไสลไม่ได้สติ เขาเหลือบมองเซี่ยตันหยางแวบหนึ่งอย่างไร้ชีวิตชีวา สายตาไม่ได้หยุดอยู่ที่เซี่ยตันหยาง แต่เลื่อนไปยังซย่าโหวอวี๋
“พี่สาว!” ลมหายใจของเขารวยริน หากไม่เพราะซย่าโหวอวี๋อยู่ใกล้ นางก็แทบไม่ได้ยินเสียงร้องเรียกแผ่วเบาของน้องชายแล้ว
“เจ้าอย่าเพิ่งพูด!” นางรีบฉีกยิ้มให้ซย่าโหวโหย่วเต้า พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง “หงเซียนเซิงเป็นคนช่วยชีวิตเจ้าไว้…หงเซียนเซิงมาที่เมืองเจี้ยนคัง ประจวบเหมาะอยู่กับใต้เท้าเซี่ยพอดี ข้าส่งคนไปหาใต้เท้าเซี่ย จึงเชิญหงเซียนเซิงเข้าวังมาด้วย เจ้าว่าเจ้าโชคดีหรือไม่เล่า ดังนั้นเจ้าต้องรักษาร่างกายให้ดี พี่สาวยังตั้งใจว่าจะไปวัดกินอาหารเจกับเจ้าในวันเทศกาลตวนอู่ด้วย!”
ซย่าโหวโหย่วเต้ายิ้ม ทว่าแค่ยกมุมปากก็เปลืองแรงเขาเหลือเกิน เขาออกแรงพูด “พี่สาว ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าแค่เบื่อ นานๆ ทีจึงจะเสพหานสือซั่นสักครั้ง!”
เวลานี้ซย่าโหวอวี๋ไหนเลยจะยังมีใจตำหนิน้องชายตนเองอีก นางแค่อยากให้เขาพักฟื้นอย่างสบายใจ “ข้ารู้! ข้ารู้!” นางลูบผมซย่าโหวโหย่วเต้าอย่างอ่อนโยน แล้วยิ้มพูด “ข้ารู้ว่าเจ้าได้รับบทเรียนแล้วย่อมไม่ทำผิดอีก!”
ซย่าโหวโหย่วเต้าไม่มีแรงจะขยับตัว เขาทำได้เพียงกะพริบตาปริบๆ
ซย่าโหวอวี๋รู้สึกเหมือนน้ำตาตนเองจะไหลออกมาอีกแล้ว นางรีบก้มหน้าแล้วใช้ผ้าเช็ดหางตา
ซย่าโหวโหย่วเต้ากลับเอ่ยว่า “มีเซี่ยตันหยาง แล้วยังมีผู้ใดอีก”
ซย่าโหวอวี๋ยิ้มตอบ “ยังมีหงเซียนเซิง!” พูดถึงตรงนี้ นางก็ชะงักไปและพูดต่อ “และยังมีแม่ทัพใหญ่ด้วย”
ซย่าโหวโหย่วเต้าตะโกนเรียก “หงเซียนเซิง!”
ซย่าโหวอวี๋เปิดทางให้ทันที และเชิญหงฟู่เข้าไป
ซย่าโหวโหย่วเต้าพูด “หงเซียนเซิง ข้าฝากพี่สาวไว้กับท่านด้วย หากข้าไม่อยู่แล้ว พี่สาวข้ามีอะไรไม่สบายใจ ให้นางไปร้องไห้ระบายความทุกข์ที่ศาลบรรพบุรุษของราชวงศ์ได้”
น้ำเสียงคล้ายกำลังสั่งเสียของซย่าโหวโหย่วเต้าทำให้คนในห้องพากันตื่นตกใจ เพียงแต่ยังไม่ทันที่คนเหล่านั้นจะได้สติ ซย่าโหวโหย่วเต้าก็หลับตาลงช้าๆ ปากยังคงพึมพำว่า “ไฉนฟ้าจึงมืดเช่นนี้ ไฉนข้าจึงมองไม่เห็นอะไรเลย”
“น้องชาย!” ซย่าโหวอวี๋ร้องไห้ แต่กลับถูกตู้ฮุ่ยปิดปากเอาไว้เสียก่อน
ตู้ฮุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น “จ่างกงจู่ โอรสสวรรค์จะทรงพักผ่อนแล้วเพคะ!”
ซย่าโหวอวี๋ร้องไห้อย่างไร้เสียง
หงฟู่ผู้มีฐานะสูงส่งก้าวขึ้นไปตรวจดูลมหายใจของซย่าโหวโหย่วเต้า จากนั้นจึงหันกลับมาด้วยสีหน้าหนักอึ้ง ส่ายศีรษะน้อยๆ ให้กับเซี่ยตันหยางและพวกหลูยวน
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.