บทที่ 4
“น้องชาย!” ซย่าโหวอวี๋โผไปกอดร่างของซย่าโหวโหย่วเต้าพลางร้องไห้โฮ
เสียงร้องไห้ทั้งในและนอกตำหนักดังตามมา เสียงร้องไห้ของกลุ่มคนที่คุกเข่าอยู่นอกตำหนักยังเศร้าเสียใจยิ่งกว่าซย่าโหวอวี๋เสียอีก เพราะพวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่มีโอกาสจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว
ซย่าโหวอวี๋ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เถียนเฉวียนกับตู้ฮุ่ยได้แต่ตั้งใจจัดการเรื่องต่างๆ ภายในวัง หลูยวนกับเซี่ยตันหยางนั่งคุกเข่าอยู่ในตำหนักกลางหารือเรื่องงานศพของซย่าโหวโหย่วเต้ากับสำนักราชเลขา ส่วนเรื่องฮ่องเต้องค์ใหม่ ทุกคนมีความเห็นแตกต่างกันออกไป ทว่าต่างเลือกที่จะหลีกเลี่ยงหัวข้อนี้กันอย่างใจตรงกัน
แต่หลูยวนนึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็อดเสียใจภายหลังไม่ได้ หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาควรรีบให้คุณหนูสี่แต่งงานกับซย่าโหวโหย่วเต้า เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณหนูสี่ก็จะมีฐานะเป็นฮองเฮา นางย่อมมีสิทธิ์ออกความเห็นเรื่องการแต่งตั้งรัชทายาท ไม่ว่าผู้ใดเป็นโอรสสวรรค์ก็จะมีสกุลหลูคอยหนุนอยู่เบื้องหลัง ใครก็ไม่กล้าละเลยคุณหนูสี่ทั้งนั้น
แต่บางทีนี่อาจเป็นเรื่องดีก็ได้!
ซย่าโหวโหย่วเต้าสวรรคต ซย่าโหวอวี๋ย่อมไม่อาจก้าวก่ายเรื่องของโอรสสวรรค์เช่นแต่ก่อนได้อีก ให้คุณหนูสี่แต่งงานกับฮ่องเต้องค์ใหม่…ย่อมดีกว่าแต่งงานกับซย่าโหวโหย่วเต้า หลูยวนกำลังใคร่ครวญเรื่องนี้
ซย่าโหวอวี๋ร้องไห้จนตาบวม มองใครล้วนเลือนรางไปหมด กระนั้นน้ำตาก็ยังคงไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ตู้ฮุ่ยคอยใช้ผ้าร้อนประคบหน้าให้นางเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ ที่ทำให้ตู้ฮุ่ยกับเถียนเฉวียนลำบากใจยิ่งกว่าคือซย่าโหวอวี๋เอาแต่จับมือซย่าโหวโหย่วเต้านั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าผู้ใดพูดอะไรก็ไม่ปล่อย พวกเขาจึงไม่สามารถแต่งตัวศพให้ซย่าโหวโหย่วเต้าได้
ยังดีที่อู่หลิงอ๋องสามีภรรยากับชุยซื่อทราบข่าวและเข้าวังมา เถียนเฉวียนจึงขอให้หลิ่วซื่อกับชุยซื่อช่วยโน้มน้าวซย่าโหวอวี๋
ซย่าโหวอวี๋กลับไม่สนใจผู้ใดทั้งนั้น ปากเอาแต่พึมพำว่า “จะให้ข้ากลับมาทำไม! ข้าจะกลับมาทำไม! แม้แต่ชีวิตของน้องชายข้ายังรักษาเอาไว้ไม่ได้ มิสู้พวกเจ้าปล่อยให้ข้าตายอยู่ตรงนั้นเสียดีกว่า!”
หลิ่วซื่อกับชุยซื่อฟังแล้วมองหน้ากันไปมา หลิ่วซื่อกระซิบถามกับชุยซื่อ “คงไม่ได้ถูกของอะไรเข้ากระมัง” ในวังห้ามเรื่องคุณไสยอย่างเด็ดขาด เรื่องบางอย่างแม้แต่พูดก็ยังไม่ได้
ชุยซื่อเป็นกังวลอย่างมาก ยามนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือจะดึงซย่าโหวอวี๋ออกจากข้างกายซย่าโหวโหย่วเต้าอย่างไร
ชุยซื่อตอบหลิ่วซื่อไปคำหนึ่งว่า “เดี๋ยวค่อยว่ากัน” แล้วดึงซย่าโหวอวี๋เข้ามาในอ้อมอก “นี่เจ้าจะทำอะไรของเจ้า อยากให้น้องชายเจ้าจากไปอย่างไม่สบายใจหรือ ฮองเฮายกน้องชายให้เจ้าดูแลแล้ว เจ้าจะไม่ปกป้องเขาให้ดี ไม่ส่งเขาจากไปดีๆ กระนั้นหรือ”
ซย่าโหวอวี๋ฟังแล้วตะลึงงัน มองชุยซื่ออยู่นานโดยไม่เอ่ยอะไร
นางรู้จักรับฟังก็ยังดี! ชุยซื่อโล่งอก กำลังจะประคองซย่าโหวอวี๋ขึ้นมา ร่างกายของคนที่ไม่ได้กินข้าวดื่มน้ำมาหนึ่งวันหนึ่งคืนก็อ่อนยวบหมดสติไปทันที
หลิ่วซื่อหวีดร้องด้วยความตกใจ
ชุยซื่อรีบพูด “เงียบก่อน! นางเสียใจเกินไป หมดสติไปเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ไว้ฟื้นขึ้นมาพวกเราค่อยปลอบประโลมนาง เวลานานเข้าย่อมค่อยๆ ดีขึ้นเอง!” พูดจบก็พรูลมหายใจยาว
เหวินเซวียนฮองเฮาป่วยตายไปหลายปีแล้ว จิ้นหลิงก็ยังไม่ลืมความโศกเศร้าของการสูญเสียมารดา น้องชายที่อยู่ด้วยกันมาตลอดจากไปตั้งแต่เยาว์วัยเช่นนี้ จิ้นหลิงจะลืมเลือนง่ายๆ ได้อย่างไรกัน รอไว้จิ้นหลิงฟื้นขึ้นมา เกรงว่าคงต้องโศกเศร้าอีกครั้งเป็นแน่! หลิ่วซื่อนึกอย่างไม่เห็นด้วย
อู่หลิงอ๋องคอยเฝ้าตอนแต่งตัวศพให้ซย่าโหวโหย่วเต้า ส่วนชุยซื่อเฝ้าอยู่ข้างเตียงซย่าโหวอวี๋
ตู้ฮุ่ยเดินเข้ามาอย่างแผ่วเบา แล้วกระซิบข้างหูชุยซื่อ “แม่ทัพใหญ่บอกว่าโอรสสวรรค์จากไปกะทันหัน สุสานยังสร้างไม่เสร็จ บอกให้ตั้งศพไว้ในวังสิบแปดวัน จากนั้นค่อยย้ายศพไปวัดฉือเอิน…”
ตู้ฮุ่ยยังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงแกล๊ง ลูกประคำไม้จันทน์พวงหนึ่งหล่นลงบนพื้น เหลียวมองไปอีกครั้ง ก็เห็นซย่าโหวอวี๋ฟื้นขึ้นมาแล้ว โดยไม่รู้ว่าฟื้นมาตั้งแต่เมื่อไร ยามนี้กำลังนั่งพิงหัวเตียงหอบหายใจอยู่
“ตายจริง!” ชุยซื่อก้าวเข้าไปหยิบเสื้อคลุมกันลมจะคลุมให้ซย่าโหวอวี๋
ซย่าโหวอวี๋กลับพูดเสียงขุ่น “ห้ามตั้งโลงในวัดฉือเอิน!”
ชาติก่อนน้องชายนางก็จากไปอย่างกะทันหัน ไม่เพียงสุสานยังสร้างไม่เสร็จ แม้แต่โลงก็ยังไม่ได้เตรียมเอาไว้ล่วงหน้า ไม่อาจบรรจุศพลงโลงได้ จึงต้องตั้งศพไว้ในวังสิบแปดวัน จากนั้นค่อยย้ายไปวัดฉือเอิน พวกเขามัวแต่แก่งแย่งชิงดีเรื่องการแต่งตั้งฮ่องเต้องค์ใหม่ ไปๆ มาๆ รอจนเรื่องราวยุติลง เซียวหวนสนับสนุนซย่าโหวโหย่วฝูขึ้นครองราชย์แล้ว โลงศพของซย่าโหวโหย่วเต้าถึงได้ถูกอัญเชิญเข้าไปในสุสาน เพียงแต่กว่าจะถึงตอนนั้น วัดฉือเอินที่หลูยวนสร้างให้มารดาของเขาก็ถูกชาวบ้านเล่าลือกันไปว่าเป็นวัดของราชวงศ์แล้ว ทั้งยังยกย่องวัดฉือเอินเป็นวัดอันดับหนึ่งแห่งยุค ลือกันว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะราชวงศ์ต้องการขอบคุณมารดาของหลูยวนที่อบรมสั่งสอนบุตรมาเป็นอย่างดี จึงได้สร้างวัดนี้ขึ้นมา ราษฎรหลายคนต่างไปจุดธูปกราบไหว้บูชา ทำให้ชื่อเสียงของสกุลหลูขจรขจายยิ่งกว่าเดิม ส่งผลให้เซียวหวนต้องพบเจอกับอุปสรรคในการโค่นล้มหลูยวนเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
ซย่าโหวอวี๋เลิกผ้าห่มจะลงจากเตียง “จะตั้งโลงก็ต้องตั้งไว้ในวัดวั่นเฉิง”
บรรพบุรุษของซย่าโหวอวี๋ได้รับตำแหน่งฮ่องเต้มาจากการสละบัลลังก์ เกรงว่าจะมีคนไม่พอใจอยู่ จึงตั้งกฎไว้ว่า ‘ไม่ก่อเนินดิน ไม่ปลูกไม้ใหญ่ ไม่ต้องเซ่นไหว้’ เหวินเซวียนฮองเฮากับอู่จงฮ่องเต้ถูกฝังรวมกัน เวลาที่ซย่าโหวอวี๋กับซย่าโหวโหย่วเต้าอยากไปเซ่นไหว้มารดา โดยทั่วไปล้วนไปประกอบพิธีในวัดวั่นเฉิง กล่าวได้ว่าวัดวั่นเฉิงเป็นวัดที่ซย่าโหวอวี๋พี่น้องยอมรับ
นางไม่ยอมให้หลูยวนใช้ประโยชน์จากการตายของน้องชายแปะทองสร้างชื่อเสียงให้กับสกุลหลูเป็นอันขาด ซย่าโหวอวี๋แกะมือชุยซื่อออก นางเกล้ามวยผมเพียงลวกๆ และก้าวฉับๆ ไปยังตำหนักกลาง
อู่หลิงอ๋องและคนอื่นๆ ไม่สนใจว่าโลงศพของซย่าโหวโหย่วเต้าจะตั้งที่ใด สิ่งที่พวกเขาใส่ใจในตอนนี้คือจะเลือกผู้ใดเป็นโอรสสวรรค์ อีกทั้งทางที่ดีที่สุดคือกำหนดตัวโอรสสวรรค์ให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยเคลื่อนย้ายศพของซย่าโหวโหย่วเต้าไป เมื่อเป็นเช่นนี้เวลาที่ฝังซย่าโหวโหย่วเต้าย่อมจะมีคนเซ่นไหว้เขา
ถึงอย่างไรโอรสที่ยังมีชีวิตอยู่ของอู่จงฮ่องเต้ก็เหลือเพียงสองคน ไม่ใช่หนึ่งก็เป็นสอง ตามความเห็นของอู่หลิงอ๋องควรแต่งตั้งคนโต แต่หลูยวนกลับลังเล นัยที่กล่าวออกมาคือมารดาของซย่าโหวโหย่วอี้เป็นหญิงรับใช้ที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อย ซย่าโหวโหย่วฝูอายุน้อยเกินไป เขานึกอยากแต่งตั้งบุตรชายคนโตของซีไห่อ๋อง น้องชายร่วมอุทรของอู่จงฮ่องเต้ที่เสียชีวิตไปตั้งแต่เยาว์วัยขึ้นเป็นฮ่องเต้มากกว่า
แต่ปีนี้ซีไห่อ๋องคนปัจจุบันก็เพิ่งอายุเจ็ดขวบเท่านั้น ไม่ได้โตกว่าซย่าโหวโหย่วฝูสักเท่าไร! อีกอย่างทายาทของราชวงศ์สูงศักดิ์เพราะบิดา ลำดับอาวุโสจากทายาทสายตรงและบุตรคนโตแล้ว จะคิดว่าซย่าโหวโหย่วอี้ไม่อาจสืบบัลลังก์ได้เพราะมารดาเป็นหญิงรับใช้ได้อย่างไร
เห็นชัดว่าหลูยวนต้องการแต่งตั้งฮ่องเต้หุ่นเชิด เขาจะได้ควบคุมราชสำนักต่อไป!
อู่หลิงอ๋องลุกพรวดหมายจะโต้แย้ง ใครจะไปรู้ว่าเขายังไม่ทันเอ่ยอะไร ซย่าโหวอวี๋ก็บุกเข้ามา ยิ้มเย็นพูดเสียงดัง “ข้าไม่เห็นด้วยที่จะให้ตั้งศพของโอรสสวรรค์ไว้ในวัดฉือเอิน จะตั้งก็ควรตั้งไว้ในวัดวั่นเฉิง!”
ซย่าโหวอวี๋ปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน สายตาของทุกคนจึงเลื่อนไปที่นาง ซย่าโหวอวี๋ถูกคนจับจ้องตั้งแต่เล็กจนโต หลังแยกกันอยู่กับเซียวหวน ไม่ว่านางเดินไปที่ใดก็ล้วนมีผู้คนคอยชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์อยู่ข้างหลัง แม้ทุกคนที่นั่งอยู่ล้วนเป็นขุนนางที่มีอำนาจและขุนนางที่ปรึกษา แต่สายตาเช่นนี้ก็ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกว่าตนเองอ่อนแอแต่อย่างใด
ซย่าโหวอวี๋พูดอีกครั้ง “ข้าไม่เห็นด้วยที่จะให้ตั้งโลงศพของโอรสสวรรค์ในวัดฉือเอิน หากจะตั้งก็ควรตั้งในวัดวั่นเฉิง!”
หลูยวนมีสีหน้าไม่พอใจยิ่ง อู่หลิงอ๋องกลับอยากจะปิดปากซย่าโหวอวี๋เอาไว้ หลูยวนจะแต่งตั้งเชื้อสายของซีไห่อ๋อง หากไม่บรรลุเป้าหมายเขาจะต้องก่อกวนต่อไปแน่ เวลานี้ยังจะขัดแย้งกับเขาเรื่องสถานที่ตั้งโลงศพของซย่าโหวโหย่วเต้าไปเพื่ออะไร มิสู้ยอมถอยหนึ่งก้าว แล้วค่อยไปต่อสู้กับหลูยวนในเรื่องการแต่งตั้งฮ่องเต้องค์ใหม่เสียดีกว่า
“วัดฉือเอินก็ไม่เลว!” เขาพูดและรีบส่งสายตาให้ซย่าโหวอวี๋ “ตั้งอยู่ในเมือง เวลาไปเซ่นไหว้สะดวกมากนัก”
ซย่าโหวอวี๋เห็นอู่หลิงอ๋องส่งสายตาให้นางแล้วก็รู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว นี่หรืออาของนาง นี่หรือคนในสกุลของนาง น้องชายนางเพิ่งตายจากไป พวกเขาก็ลืมเลือนน้องชายนางไปเสียแล้ว คิดแต่จะตักตวงผลประโยชน์ให้ตนเองเช่นไรจึงจะได้มีอำนาจบารมีมากยิ่งขึ้น
ซย่าโหวอวี๋รู้ตั้งแต่ตอนที่มารดาค่อยๆ ห่างเหินกับบิดาแล้ว แต่นางมักคิดว่าเรื่องราวทุกเรื่องย่อมมีข้อยกเว้น ทว่าความจริงกลับบอกนางว่า เป็นนางเองที่ไร้เดียงสาเกินไป!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ใดขึ้นเป็นโอรสสวรรค์จะเกี่ยวอะไรกับนางอีกเล่า น้องชายนางจากไป มีแต่นางที่เสียใจเพราะเขา ผ่านไปอีกหลายปีก็มีเพียงนางที่จดจำเขาได้ มีเพียงนางที่คิดถึงเขา เหมือนเช่นตอนที่เขาจากไป คนเดียวที่คิดถึงและห่วงใยเขาก็มีเพียงนาง!
ซย่าโหวอวี๋คิดถึงคำพูดก่อนตายของน้องชาย ขอบตาพลันเปียกชื้นอย่างห้ามไม่อยู่ ท่าทีของนางเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว “เรื่องนี้ไม่ต้องหารือแล้ว! ข้าชอบวัดวั่นเฉิง อยากเฝ้าศพให้โอรสสวรรค์ที่นั่น”
ทุกคนในตำหนักกลางเข้าใจความหมายของซย่าโหวอวี๋ได้ทันที…หากตั้งโลงศพของโอรสสวรรค์ที่วัดวั่นเฉิง นางจะอยู่ห่างจากเรื่องวุ่นวายทางโลก เฝ้าศพให้โอรสสวรรค์อย่างสงบเสงี่ยม ราชสำนักเกิดอะไรขึ้นนางล้วนไม่สนใจถามไถ่ แต่หากตั้งโลงศพของโอรสสวรรค์ที่วัดฉือเอิน นางจะไม่ไปเฝ้าศพและแทรกแซงการคัดเลือกฮ่องเต้องค์ใหม่
ซย่าโหวอวี๋ที่ไม่มีซย่าโหวโหย่วเต้าแล้วก็มิต่างจากแม่เสือที่ไร้กรงเล็บ ตัวนางเองไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้ว แต่จนใจที่คนในตำหนักกลางแห่งนี้ล้วนเต็มไปด้วยอุบาย ซย่าโหวอวี๋เองก็รู้จักประเมินสถานการณ์เป็นอย่างดี คนที่ชอบใช้ ‘กลยุทธ์เชื่อมแนวขวางประสานแนวดิ่ง’ อย่างนาง ผู้ใดก็ไม่กล้ารับรองว่านางจะไม่จับปลาในน้ำขุ่น ทำให้เรื่องราววุ่นวายกว่าเดิม สุดท้ายตนเองก็กลายเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเบื้องหลังนางยังมีเซียวหวนอีกคน!
อู่หลิงอ๋องและคนอื่นๆ ล้วนมีสีหน้าเปลี่ยนไป เซี่ยตันหยางตัดสินใจได้เฉียบขาดรวดเร็ว “จ่างกงจู่ตรัสมีเหตุผล! ในอดีตโลงศพของเหวินเซวียนฮองเฮาก็ตั้งอยู่ในวัดวั่นเฉิง โลงศพของโอรสสวรรค์ตั้งไว้ในวัดวั่นเฉิงชั่วคราวก็เป็นการเหมาะสมแล้ว”
หลังจากเหวินเซวียนฮองเฮาป่วยตาย อู่จงฮ่องเต้อยากสร้างสุสานให้นาง ทว่าคนสกุลเจิ้งกลับไม่เห็นด้วย สองฝ่ายเผชิญหน้ากันหนึ่งเดือนเต็มกว่าจะได้ฝังเหวินเซวียนฮองเฮา ระหว่างนั้นโลงศพก็ถูกตั้งไว้ในวัดวั่นเฉิง
ซูเฟยจึงต้องโชคร้ายเพราะเหตุนี้
ก่อนอู่จงฮ่องเต้เสียชีวิต ซย่าโหวอวี๋ปรนนิบัติอู่จงฮ่องเต้ที่ข้างเตียง ไม่รู้ว่านางพูดอะไรกับอู่จงฮ่องเต้บ้าง อู่จงฮ่องเต้จึงมีราชโองการให้ซูเฟยตายเป็นเพื่อนหลังจากเขาตาย
หลังซูเฟยตายไป ซย่าโหวโหย่วเต้าก็ขึ้นครองราชย์ ซย่าโหวอวี๋ทิ้งองค์ชายรองไว้ในตำหนักบรรทมเดิมของเขา ทำให้องค์ชายรองหวาดกลัวจนตาย
หลูยวนสะดุ้งในใจ เห็นใบหน้าสุภาพอ่อนโยนของซย่าโหวอวี๋นานวันเข้าก็ทำให้เขาหลงลืมไปว่าซย่าโหวอวี๋เป็นสตรีที่ใจคอและวิธีการโหดเหี้ยมเพียงใด! เขาพูดกับเซี่ยตันหยาง “เช่นนั้นก็ตั้งโลงที่วัดวั่นเฉิง”
นี่ทุกคนเป็นอะไรไป อู่หลิงอ๋องปากอ้าตาค้าง เขาเหลือบมองหลูยวนแวบหนึ่ง หลูยวนกลับไม่เหลือบแลเขาแม้แต่น้อย เขาจึงได้แต่ขมวดคิ้ว พึมพำแสดงออกว่าเห็นด้วย
ซย่าโหวอวี๋ผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ นางเดินออกไปอย่างรวดเร็วดุจสายลมเหมือนตอนที่มา
ตำหนักกลางเงียบงันไปครู่หนึ่ง ยังคงเป็นอู่หลิงอ๋องที่กระแอมไอทำลายความเงียบ ลูบศีรษะพลางเอ่ยว่า “จ่างกงจู่มีความสามารถมาแต่ไหนแต่ไร วังหลวงมีนางอยู่ พวกเราล้วนไม่ต้องเป็นกังวล ตอนนี้มาดูแค่ว่าจะแต่งตั้งผู้ใดขึ้นเป็นฮ่องเต้!”
ทุกคนเริ่มหารือกันอีกครั้ง
ซย่าโหวอวี๋กลับถึงตำหนักบรรทมด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางถามอย่างมีสติ “พวกคนที่ปรนนิบัติโอรสสวรรค์เล่า”
ตู้ฮุ่ยตกใจจนปากสั่น รีบเอ่ยขึ้น “มอบหมายให้เถียนเฉวียนจัดการแล้วเพคะ!”
ซย่าโหวอวี๋ยิ้มเย็น “แล้วตัวเขาเองเล่า ไม่มีสิ่งใดจะพูดกับข้าเลยหรือ”
ตู้ฮุ่ยตาแดง นางเอ่ยตอบเสียงค่อย “เขาบอกว่าอยากปรนนิบัติโอรสสวรรค์เป็นครั้งสุดท้าย หาไม่ลงไปในปรโลกแล้วย่อมไม่อาจชี้แจงกับฮองเฮาได้เพคะ”
ซย่าโหวอวี๋ไม่พูดอะไร
ตู้ฮุ่ยเสียใจอย่างมากจึงตัดสินใจไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้อีก นางเอ่ยเสียงแผ่ว “จ่างกงจู่ ท่านจะไม่อยู่ในตำหนักกลางคุยกับแม่ทัพใหญ่จริงๆ หรือเพคะ”
“คุยอะไรล่ะ” ซย่าโหวอวี๋พูดอย่างเย็นชา “เข้าไปมีส่วนร่วมในการแต่งตั้งฮ่องเต้ด้วยหรือ”
ตู้ฮุ่ยเห็นซย่าโหวอวี๋มาตั้งแต่เล็ก ย่อมรู้ว่าซย่าโหวอวี๋ฟังคำพูดนางแล้วไม่พอใจมากเพียงใด แต่เรื่องบางอย่างนางจำเป็นต้องเอ่ยเตือนซย่าโหวอวี๋ ดังนั้นจึงได้แต่ฝืนใจเอ่ยว่า “ไม่มีจ่างกงจู่คอยดูอยู่ แม่ทัพใหญ่จะเหิมเกริมยิ่งกว่านี้นะเพคะ!”
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้แล้วเกี่ยวอะไรกับนางเล่า ชาติก่อนนางไม่กระจ่างแจ้งถึงได้เผลอเอาตัวเข้าไปพัวพัน
ความคิดหนึ่งพลันผุดขึ้นมา สีหน้าของซย่าโหวอวี๋แปลกไปเล็กน้อย ต่อให้นางเข้าไปพัวพันก็ยังคงพ่ายแพ้เพราะเซียวหวนอยู่ดี
ชาตินี้นางไม่ได้ตั้งใจส่งจดหมายให้เซียวหวน เกรงว่าเซียวหวนคงมิอาจรู้ความเคลื่อนไหวในเมืองเจี้ยนคังได้ทันท่วงทีเหมือนเมื่อชาติก่อน เขาย่อมไม่อาจป้องกันเหตุไม่คาดฝันล่วงหน้า ความปรารถนาของหลูยวนน่าจะเป็นจริงกระมัง!
หากเซียวหวนรู้เข้าจะต้องโมโหจนคลั่งแน่ ซย่าโหวอวี๋คิดแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ ทว่าหลังจากนั้นนางก็คิดไปถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นในความมืดที่นางมิอาจปฏิเสธได้อีกครั้ง รอยยิ้มของนางลดเลือนไปทีละนิด สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
หากระหว่างนางกับเขามีเพียงความรัก ความชัง ความแค้นง่ายๆ เพียงเท่านี้จะดีสักเพียงใด! หรือว่าให้นางรู้สาเหตุที่เขาช่วยนางในตอนนั้นก็ยังดี ทว่าตอนนี้ทุกสิ่งอย่างกลับเลือนรางอยู่เพียงแค่ในความทรงจำ อดีตเหล่านั้นเป็นเช่นกระบี่เล่มหนึ่งที่ตั้งอยู่เหนือศีรษะนาง หากไม่ตกลงมาตัดอดีตระหว่างพวกเขา นางก็ไม่อาจอยู่อย่างสบายใจได้
ซย่าโหวอวี๋ตัดสินใจที่จะตอบแทนบุญคุณที่เขาช่วยชีวิต หากชดใช้สิ่งที่เกิดขึ้นในชาติที่แล้วจนหมดสิ้น นางย่อมสามารถก้าวออกจากสนามการต่อสู้ที่ห้ำหั่นนี้ได้อย่างสบายใจ
“ส่งจดหมายไปแจ้งทางฟู่หม่าสักหน่อยเถอะ!” ซย่าโหวอวี๋สั่งตู้ฮุ่ย แม้นางจะตัดสินใจช่วยเซียวหวนก็จริง แต่นางก็ไม่อยากให้คนที่เคยสร้าง ‘ความขยะแขยง’ ให้ตนเองในชาติก่อน ต้องกลับมาสร้างความขยะแขยงให้ตนเองต่อในชาตินี้อีก
นึกไม่ถึงว่าตู้ฮุ่ยจะรอบคอบกว่าซย่าโหวอวี๋เสียอีก นางเอ่ยตอบเสียงค่อย “ข้าให้คนแอบนำจดหมายไปให้ฟู่หม่าอย่างเงียบๆ แล้วเพคะ” ในความคิดของตู้ฮุ่ย ซย่าโหวอวี๋ในยามนี้กำลังอ่อนแอ ควรดึงเซียวหวนกลับมาปกป้องนางถึงจะถูก
ซย่าโหวอวี๋จะไม่รู้ความคิดของตู้ฮุ่ยได้เช่นไร ชาติก่อนที่นางร้อนใจส่งจดหมายถึงเซียวหวน มิใช่เพราะคิดเช่นนี้หรอกหรือ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่านางที่เห็นเซียวหวนเป็นพวกเดียวกันนั้น เซียวหวนกลับมองนางเป็นเพียงขั้นบันได นางเหยียดปาก เผยรอยยิ้มเสียดสีออกมา
เช่นนั้นนางจะคอยดูว่าชาตินี้เขาจะยังใช้นางเป็นขั้นบันไดได้อีกหรือไม่!
ซย่าโหวอวี๋เอ่ยเสียงขรึม “เจ้าไปตามเถียนเฉวียนมา”
ตู้ฮุ่ยตะลึงงัน จากนั้นจึงรับคำติดๆ กัน มิอาจข่มความตื่นเต้นยินดีในใจเอาไว้ได้เลย ได้แต่รีบก้าวเร็วๆ ออกจากตำหนักทิงเจิ้ง
ซย่าโหวอวี๋มองท้องฟ้ากระจ่างใส ยืนอยู่ตามลำพังเนิ่นนาน
ในตำหนักกลาง แม้หลูยวนจะมีอำนาจสูงสุดในตอนนี้ แต่การที่เขาอยากละทิ้งโอรสทั้งสองของอู่จงฮ่องเต้ แล้วหันไปแต่งตั้งคนอื่นเป็นโอรสสวรรค์แทนก็หาใช่เรื่องง่ายดายถึงเพียงนั้น ขุนนางที่มีสิทธิ์มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ต่างปะทะคารมกัน สุดท้ายไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจโน้มน้าวใครได้ แต่ละคนต่างไม่มีใครยอมถอย
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะมีคนรู้เรื่องที่หารือในตำหนักกลางมากขึ้นทุกที คนที่อยากเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อแบ่งผลประโยชน์ก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ
หลูยวนปวดหัวเหลือเกิน เขาอาศัยช่วงเวลาอาหารกลางวันไปยืนอยู่ที่ป่าไผ่หลังตำหนักคนเดียวพลางนวดขมับ
หลูไหวเดินเข้ามาเงียบๆ “พี่ชาย จะให้จิ้นหลิงช่วยพูดหรือไม่ ก่อนโอรสสวรรค์สิ้น ทรงอนุญาตให้นางไปร้องทุกข์ที่ศาลบรรพบุรุษของราชวงศ์ได้”
เรื่องใหญ่ของบ้านเมืองมีเพียงธรรมเนียมเซ่นไหว้และสงคราม ศาลบรรพบุรุษของราชวงศ์ถือเป็นศาลเจ้าประจำตระกูลของโอรสสวรรค์ สร้างขึ้นเพื่อเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ต่อให้โอรสสวรรค์อยากเข้าไปกราบไหว้ก็ต้องให้สำนักราชเลขาเลือกเฟ้นวันดีล่วงหน้าหลายวัน ใช่ว่าอยากไปก็จะไปได้ในทันที
ซย่าโหวโหย่วเต้าทำเช่นนี้เท่ากับมอบกระบี่อาญาสิทธิ์ที่มองไม่เห็นเล่มหนึ่งให้ซย่าโหวอวี๋ แม้จะฆ่าคนไม่ได้ แต่ก็ทำลายชื่อเสียงของคนได้ ใต้หล้านี้ไม่ว่าการเป็นคนหรือเป็นขุนนาง หากไร้ซึ่งชื่อเสียงจะได้รับการเคารพยกย่องได้อย่างไร จะได้รับการนับหน้าถือตาได้อย่างไร
หลูยวนฟังคำพูดหลูไหวแล้วอดแค่นหัวเราะออกมาไม่ได้ ก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วยามเขายังกลัวว่าซย่าโหวอวี๋จะออกมาก่อกวน จึงรับปากว่าจะให้ตั้งโลงศพของซย่าโหวโหย่วเต้าไว้ในวัดวั่นเฉิง เพียงพริบตาเดียว หลูไหวกลับเสนอให้เขาร่วมมือกับซย่าโหวอวี๋เสียแล้ว
หลูยวนรู้ว่านี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุด แต่เขาก้าวข้ามทิฐิในใจไปไม่ได้ เขาตอบอย่างหลบเลี่ยง “เรื่องนี้วันหน้าค่อยหารือเถอะ ไปแจ้งซีไห่อ๋องก่อน หากสำเร็จต้องรีบพาคนเข้าเมืองหลวง ต่อให้ไม่สำเร็จ ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ เขามาถวายบังคมก็นับว่าสมควรแล้ว”
หลูไหวรับคำพลางยิ้มพูด “ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!” จากนั้นจึงออกจากตำหนักทิงเจิ้งไป
หลูยวนเดินวนกลับไปมาอยู่ในลานคนเดียวหลายรอบ เขาหันกลับไปชี้ขันทีน้อยคนหนึ่งที่เข้าเวรอยู่ด้านข้าง “ไปตามขันทีเถียนมาพบข้า”
ขันทีน้อยผู้นั้นวิ่งหายไป ไม่นานก็ย้อนกลับมา ตอบเสียงหอบแฮก “ขันทีเถียนไม่อยู่ในวัง บอกว่ารับคำสั่งของจ่างกงจู่ไปที่จวนจ่างกงจู่ขอรับ”
หลูยวนแปลกใจเล็กน้อย เขาคิดว่าเกิดเรื่องกับซย่าโหวโหย่วเต้าเช่นนี้ ซย่าโหวอวี๋จะฆ่าเถียนเฉวียนเสียอีก คิดไม่ถึงว่านางจะยังใช้งานเขาอยู่ เห็นได้ชัดว่าในใจซย่าโหวอวี๋มองเถียนเฉวียนเป็นคนสำคัญ
นี่นับเป็นเรื่องที่ดี! หลูยวนขบคิดในใจ เห็นเซี่ยตันหยางเดินออกมาจากตำหนักกลาง เขาก็พยักหน้าให้เซี่ยตันหยาง
สกุลเซี่ยเหมือนกับสกุลหลู ล้วนแต่เป็นตระกูลสูงศักดิ์ทางตอนเหนือที่ติดตามหมิงจงอพยพลงใต้ สมัยเยาว์วัยเขากับเซี่ยตันหยางมีความสามารถสูสีใกล้เคียงกัน ยากจะตัดสินแพ้ชนะ น่าเสียดายที่เซี่ยตันหยางหยิ่งทะนงเกินไป ประพฤติตัวไม่สำรวม จึงได้ถูกเขานำหน้าไปเช่นนี้
เซี่ยตันหยางยิ้มประสานมือ เดินเข้ามาคุยกับเขา “เหตุใดแม่ทัพใหญ่ต้องละทิ้งคนที่อยู่ใกล้ไปเสาะหาคนที่อยู่ไกลด้วย มิสู้แต่งตั้งองค์ชายเจ็ดที่เกิดจากเฝิงเฟย ท่านเห็นเป็นเช่นไร”
หลูยวนตอบด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่จริงใจ “ข้ายังคงรู้สึกว่าไม่ควรแต่งตั้งทายาทของอู่จง เจ้าก็เห็นโอรสสวรรค์แล้ว เพียงสิบสี่ชันษาเท่านั้น บทจะจากไปก็จากไปโดยง่าย ซีไห่อ๋องเติบโตอยู่ข้างนอก น่าจะดีกว่าตงไห่อ๋องกับหลางหยาอ๋องสักหน่อย การเปลี่ยนฮ่องเต้บ่อยครั้งย่อมไม่ใช่เรื่องดีอะไร…หลายวันก่อนหน้านี้ เป่ยเหลียงก็เพิ่งแต่งตั้งกู้ซย่าขึ้นเป็นต้าซือหม่า”
เซี่ยตันหยางเงียบไปทันใด
กู้ซย่าเป็นลูกหลานสกุลกู้ หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของอู๋จงเดิม ตอนสกุลกู้เกิดเรื่องกบฏสี่แซ่ในอู๋ บิดาเขากำลังเดินทางท่องไปในเป่ยเหลียง กู้ซย่าได้เป็นขุนนางที่ปรึกษาของเป่ยเหลียงเหวินตี้ ที่เป่ยเหลียงสามารถรวบรวมดินแดนตอนเหนือได้นั้น เป็นเพราะกู้ซย่าออกกลยุทธ์ให้มากมาย บัดนี้เป่ยเหลียงเหวินตี้แต่งตั้งเขาเป็นต้าซือหม่าแล้ว กู้ซย่าย่อมขึ้นชื่อเรื่องการทำศึกสงคราม เห็นได้ว่าเป่ยเหลียงมีใจจะทำศึกกับทางใต้
เซี่ยตันหยางขบคิดดูแล้ว จึงได้แต่เอ่ยอย่างจนใจ “เช่นนั้นก็ทำตามที่แม่ทัพใหญ่ว่า!”
หลูยวนโล่งอก ต่อให้เซี่ยตันหยางคัดค้าน แผนการของเขาก็ใช่ว่าจะถูกทำลาย แต่ถึงอย่างไรก็ย่อมยุ่งยากอยู่เล็กน้อย เป็นเช่นนี้ย่อมดีที่สุด เขาพูด “เรื่องนี้อย่าเพิ่งป่าวประกาศออกไป เชิญซีไห่อ๋องเข้าเมืองหลวงก่อนค่อยว่ากัน เรื่องนี้ยังต้องขอให้ตันหยางช่วยจัดการด้วย!”
ทำเช่นนี้เท่ากับแบ่งความดีความชอบในการสนับสนุนฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ให้กับสกุลเซี่ยครึ่งหนึ่ง เซี่ยตันหยางทั้งยินดีและคาดไม่ถึง เขายิ้มพูด “เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมการ”
หลูยวนผงกศีรษะ แยกกับเซี่ยตันหยางและกลับเข้าไปในตำหนักกลาง พวกอู่หลิงอ๋องยังคงโต้เถียงอยู่ข้างนอกไม่หยุด หงฟู่กลับไม่อยู่ในตำหนักแล้ว หลูยวนเอ่ยถามขันทีน้อยข้างกาย “หงเซียนเซิงล่ะ”
หงฟู่แทบจะเป็นคนที่ก้าวพ้นจากเรื่องทางโลกแล้ว เดิมทีเรื่องการแต่งตั้งฮ่องเต้นี้เขาควรจะไม่สนใจสิ คิดไม่ถึงว่าเขาจะอยู่ต่อ แม้ว่าตั้งแต่ต้นจนจบหงฟู่จะไม่ได้พูดอะไรเลย แต่กลับสร้างความรู้สึกแปลกประหลาดแก่หลูยวนอย่างมาก
ขันทีน้อยตอบอย่างนอบน้อม “หงเซียนเซิงไปตำหนักบรรทม บอกว่าจะสวด ‘คัมภีร์หนานหวา’ ให้โอรสสวรรค์สักสองสามหน้าขอรับ”
เรื่องนี้สอดคล้องกับท่าทีของหงฟู่ หลูยวนพูด “เจ้าไปดูเขาสักหน่อย อย่าปล่อยให้หงเซียนเซิงเหน็ดเหนื่อยเกินไป คอยสังเกตให้ดี น้ำชาและขนมอย่าได้ขาด” ขันทีน้อยรับคำและถอยออกไป
ซย่าโหวอวี๋กับหงฟู่นั่งคุกเข่าอยู่หัวเตียงกับท้ายเตียงข้างกายซย่าโหวโหย่วเต้า หงฟู่มือประคอง ‘คัมภีร์หนานหวา’ เล่มหนึ่ง แต่ดวงตากลับปิดลง ท่องตำราด้วยน้ำเสียงสูงต่ำเป็นจังหวะไพเราะ ท่วงทำนองเนิบช้าและอ่อนโยนของเขาทำให้อารมณ์ของซย่าโหวอวี๋ค่อยๆ สงบลง
ขันทีน้อยผู้นั้นไม่กล้ารบกวน จึงแค่คุกเข่าหมอบรออยู่หน้าประตู
ผ่านไปเนิ่นนาน หงฟู่จึงหยุด อาเหลียงยกน้ำชาไปให้หงฟู่ทันที
หงฟู่จิบคำเล็กหนึ่งคำ พูดกับซย่าโหวอวี๋เสียงอ่อนโยน “วันข้างหน้าจ่างกงจู่มีแผนการเช่นไร”
มีแผนการเช่นไร…ซย่าโหวอวี๋เหม่อลอยเล็กน้อย
ชาติก่อนนางอยากกลับไปสกุลเซียว เป็นสะใภ้ที่เหมาะสมของสกุลเซียว แต่นางยังไม่ทันได้กลับสกุลเซียว สองคนก็ทะเลาะกันเสียก่อน นางถูกสถานการณ์บีบบังคับจึงจำต้องกลืนโทสะนี้ลงไปชั่วคราว เล่นละครเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่ลึกซึ้งกับเซียวหวน จวบจนหนึ่งปีให้หลังจึงค่อยย้ายออกจากสกุลเซียว
ชาตินี้นางรู้ว่าเซียวหวนจะทรยศนาง แล้วนางยังจะเล่นละครกับเขาอีกได้อย่างไร “ข้าตั้งใจจะไปเฝ้าศพของโอรสสวรรค์ที่วัดวั่นเฉิงสักระยะ” นางตอบเนิบช้า “หลังจากนั้นจะย้ายไปอยู่ที่ไร่ชานเมืองซึ่งเป็นสินเจ้าสาวของข้าชั่วคราว” ระหว่างนี้นางยังต้องเก็บอาเฮ่อกลับมา หาไม่แล้วผู้ใดจะเป็นหัวหน้ากองกำลังของนาง ผู้ใดจะเป็นคนปกป้องนาง พอคิดถึงเด็กที่เอาแต่พึ่งพาตนเองผู้นั้นแล้ว อารมณ์ของนางก็ดีขึ้นไม่น้อย
ซย่าโหวอวี๋เป็นพี่น้องที่ออกเรือนแล้ว ตามธรรมเนียมต้องสวมชุดต้ากง* หงฟู่ยังคิดว่าซย่าโหวอวี๋จะไปไว้ทุกข์ที่ไร่ชานเมืองเช่นนี้ เขารู้สึกว่าก็ดีเหมือนกัน จึงตอบว่า “หลังครบรอบเจ็ดวันของโอรสสวรรค์ ข้าจะออกจากเมืองเจี้ยนคังแล้ว ข้ากับตาของเจ้านับเป็นสหายที่สนิทสนมกัน หากเจ้ามีเรื่องใหญ่อะไรก็สามารถมาหาข้าได้!” พูดจบเขาก็หยิบหยกประดับชิ้นหนึ่งที่เนื้อหยกดูธรรมดามากออกมา “หรือให้คนนำหยกประดับนี้มาส่งข่าวกับข้าก็ได้”
เมื่อครู่เขาเห็นชัดเจน หลูยวนมักใหญ่ใฝ่สูง ซย่าโหวอวี๋อาจไม่ได้อยู่อย่างสงบ
ชาติก่อนนางไม่ได้เรียกตัวเซี่ยตันหยางเข้าวังและไม่ได้พบกับหงฟู่ ยิ่งไม่ได้รับของจากหงฟู่ จึงไม่รู้เลยว่ายังมีคนผู้หนึ่งที่ยินดีช่วยเหลือนางโดยไม่หวังผลตอบแทนเช่นนี้ นางโค้งคำนับอีกฝ่ายจนสุด คารวะหงฟู่อย่างเต็มพิธี
หงฟู่ถอนหายใจเบาๆ ก่อนเดินออกจากตำหนักบรรทม
ซย่าโหวอวี๋เก็บ ‘คัมภีร์หนานหวา’ ที่หงฟู่ทิ้งไว้ในห้องขึ้นมา นางพลิกไปยังหน้าที่หงฟู่อ่านถึงและท่องคัมภีร์ต่อ
หงฟู่ออกจากวังไป หลูยวนกับเซี่ยตันหยางก็นั่งเงียบอยู่ในตำหนัก ฟังอู่หลิงอ๋องและคนอื่นๆ โต้เถียงกันต่อ เพียงแต่หลูยวนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ตั้งแต่หลังอาหารกลางวัน เขาก็ไม่เห็นเงาของเถียนเฉวียนอีกเลย จิ้นหลิงให้เขาไปเอาอะไร เถียนเฉวียนถึงได้ไปนานเพียงนี้
ตอนกลางคืน ขุนนางสำคัญหลายคนอยู่กินอาหารในวัง หารือเรื่องการประกาศข่าวการสวรรคตพลางเฝ้าศพโอรสสวรรค์ไปด้วย
ซย่าโหวอวี๋กลับถึงตำหนักเฟิ่งหยาง นางก็สั่งให้ตู้ฮุ่ยกับอาเหลียงเริ่มเก็บข้าวของในตำหนัก จากนั้นก็ทำเหมือนเมื่อชาติที่แล้ว ให้พวกนางถามนางกำนัลและขันทีในตำหนักเฟิ่งหยางว่ามีผู้ใดยินดีติดตามนางออกจากวังบ้าง
ความเงียบสงบตลอดหลายปีของตำหนักเฟิ่งหยางถูกทำลายลง แม้ทุกคนจะยังทำงานในมืออย่างเป็นระเบียบ แต่สายตากลับมองสบกันโดยบังเอิญ เหมือนกำลังถามว่า ‘เจ้าตัดสินใจเช่นไร’
ซย่าโหวอวี๋กลับตำหนักบรรทมด้วยสีหน้าเรียบเฉย เถียนเฉวียนกลับมาจากข้างนอก เขาคารวะซย่าโหวอวี๋ในสภาพที่เหงื่อเต็มศีรษะ “จ่างกงจู่ เรื่องที่ท่านสั่ง กระหม่อมจัดการเรียบร้อยหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ซย่าโหวอวี๋พูด “เช่นนั้นเจ้าไปปรนนิบัติที่ตำหนักทิงเจิ้งเถอะ วันนี้เจ้าไม่อยู่ตลอดช่วงบ่าย แม่ทัพใหญ่ต้องรู้สึกแปลกใจเป็นแน่”
เถียนเฉวียนรีบตอบ “จ่างกงจู่โปรดวางใจ กระหม่อมไม่เผยพิรุธแน่นอน”
เรื่องนี้ซย่าโหวอวี๋วางใจอยู่แล้ว หาไม่หลังจากเสด็จแม่ของนางตายไป คงไม่ทิ้งเถียนเฉวียนไว้คอยดูแลชีวิตประจำวันของนางกับน้องชายแน่นอน
เช้าวันถัดมา ซย่าโหวอวี๋ตื่นมาพบว่าเป็นอีกวันที่แสงแดดเจิดจ้า อากาศดีมาก
ตู้ฮุ่ยทางหนึ่งสั่งเหล่านางกำนัลให้ปรนนิบัติซย่าโหวอวี๋ล้างหน้าแต่งตัว อีกทางหนึ่งก็พูดเสียงค่อยกับซย่าโหวอวี๋ “เมื่อคืนใต้เท้าหลายท่านอยู่ในตำหนักกลางตลอด มีเพียงหลูไหวที่ออกไปครู่หนึ่งตอนหัวค่ำ ไปพบคนสกุลหลูที่เข้าวังนำของมาส่ง พวกเราทำตามคำสั่งของท่าน ส่งคนติดตามคนสกุลหลูออกจากวัง คนผู้นั้นออกจากวังแล้วก็ตรงดิ่งกลับสกุลหลูทันที จากนั้นก็ไม่เห็นเขาออกมาอีกเลยเพคะ”
ดูท่าหลูยวนคงส่งข่าวออกไปแล้ว ซย่าโหวอวี๋นึกเสียใจภายหลัง ตอนนั้นนางมัวแต่โศกเศร้าสิ้นหวังจนลืมส่งคนไปจับตาดูสกุลหลูไว้ นางพยักหน้านิดๆ
เถียนเฉวียนเข้ามารายงาน “จ่างกงจู่ ทางตำหนักทิงเจิ้งเรียกคนจากสำนักราชเลขาเข้ามาในวัง เห็นว่าจะหารือเรื่องการประกาศข่าวการสวรรคตพ่ะย่ะค่ะ”
โอรสสวรรค์สวรรคตต้องประกาศให้ทั่วหล้ารู้ หนังสือต้องให้สำนักราชเลขาเป็นผู้ร่าง ซย่าโหวอวี๋แปลกใจ “พวกเขาตัดสินใจได้เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือว่าจะแต่งตั้งผู้ใดขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่” ตอนน้องชายนางตายไม่ได้มีคำสั่งเสียแต่งตั้งผู้สืบทอด เรื่องนี้ทำให้ขุนนางผู้มีอำนาจในราชสำนักสบโอกาส
ชาติก่อนเวลานี้ ขุนนางใหญ่กลุ่มหนึ่งที่นำโดยหลูยวนและเซี่ยตันหยางโต้เถียงปะทะคารมกันหน้าโลงศพน้องชายนางอยู่สองสามวัน สุดท้ายเป็นการซื้อเวลาให้กับเซียวหวน ส่งผลให้เซียวหวนที่รุดเดินทางกลับมาจากสวีโจวผลักดันซย่าโหวโหย่วฝูขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้สำเร็จภายในเวลาอันรวดเร็ว
หลูยวนที่เดิมทีสนับสนุนให้แต่งตั้งซย่าโหวโหย่วฝูโกรธเกรี้ยวยิ่ง เซี่ยตันหยางที่สนับสนุนให้แต่งตั้งซย่าโหวโหย่วอี้จึงสาแก่ใจ เอนเอียงมาทางเซียวหวนทันที สุดท้ายซย่าโหวโหย่วฝูจึงได้ขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่น เซียวหวนเป็นผู้ได้รับความดีความชอบในการแต่งตั้งฮ่องเต้ครั้งนั้น หลูยวนคับแค้นใจแต่พูดไม่ออก ได้แต่กล้ำกลืนโทสะครั้งนี้ลงไป
ชาตินี้กลับได้ข้อสรุปรวดเร็วถึงเพียงนี้! หรือว่าเมื่อนางเปลี่ยนแปลงการตายของน้องชาย เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อชาติที่แล้วพวกนี้จึงเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย? แล้วเหตุใดนางจึงต้องย้อนกลับมาอยู่ตรงนี้อีกครั้งเล่า ซย่าโหวอวี๋งุนงงเล็กน้อย
เถียนเฉวียนอดเอ่ยเตือนซย่าโหวอวี๋ไม่ได้ “จ่างกงจู่ พวกเขาจะแต่งตั้งซีไห่อ๋อง ท่าน…ท่านต้องผดุงความยุติธรรมให้โอรสสวรรค์นะพ่ะย่ะค่ะ!”
“ซีไห่อ๋อง?” ซย่าโหวอวี๋ตะลึงงัน แต่แล้วก็เข้าใจเจตนาของหลูยวนอย่างรวดเร็ว
หลูยวนคิดเหมือนกับเซียวหวนในอดีต ล้วนอยากแต่งตั้งฮ่องเต้ที่เป็นเด็ก ตนเองจะได้กุมอำนาจ ทว่าการแต่งตั้งซย่าโหวโหย่วฝูสอดคล้องตามหลักของเหตุและผล แต่งตั้งซีไห่อ๋องกลับฝืดฝืนอยู่มาก หากซีไห่อ๋องอยากนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้อย่างมั่นคงก็ต้องพึ่งพาหลูยวนในทุกๆ ด้าน จะต้องนอบน้อมเชื่อฟังเขายิ่งกว่าซย่าโหวโหย่วฝู
“เซี่ยตันหยางก็เห็นด้วยหรือ” ซย่าโหวอวี๋ถาม
เถียนเฉวียนตอบอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อย “ใต้เท้าเซี่ยก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
นี่เป็นอีกเรื่องที่ซย่าโหวอวี๋แปลกใจและคาดไม่ถึง เห็นทีชาตินี้หลายอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว นางไม่อาจจัดการเรื่องต่างๆ ตามประสบการณ์เดิมได้อีก
ซย่าโหวอวี๋พูด “การร่างหนังสือของสำนักราชเลขาน่าจะต้องใช้เวลาตลอดช่วงเช้า กว่าขุนนางพวกนั้นจะทราบข่าวน่าจะเป็นช่วงบ่าย เรื่องบางอย่างมิอาจร้อนใจได้ พวกเจ้าปรนนิบัติข้าแต่งตัวกินอาหารให้เรียบร้อยก่อน ประเดี๋ยวยังต้องเหน็ดเหนื่อยอีกมาก”
การประกาศตัวเลือกฮ่องเต้องค์ใหม่ โดยทั่วไปต้องรอให้ขุนนางมาครบเสียก่อน ร้องไห้รอบหนึ่งแล้วจึงประกาศ แต่ชาตินี้แม้แต่เซี่ยตันหยางยังถูกหลูยวนโน้มน้าว ใครจะไปรู้ว่ากฎธรรมเนียมพวกนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยหรือไม่ นางเตรียมพร้อมไว้แต่เนิ่นๆ ดีกว่า
ตู้ฮุ่ยกับเถียนเฉวียนรับคำพร้อมกัน คนหนึ่งช่วยซย่าโหวอวี๋เปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งตัว คนหนึ่งสั่งให้ยกน้ำชาและสำรับอาหารเช้าเข้ามา ไม่นานผู้คนในตำหนักเฟิ่งหยางก็ยุ่งง่วน กว่าซย่าโหวอวี๋จะเปลี่ยนมาสวมชุดไว้ทุกข์ กินอาหารเจเสร็จเรียบร้อย ดวงอาทิตย์ก็ลอยขึ้นมาแล้ว สาดส่องลงบนใบไม้สีเขียวชอุ่ม หยาดน้ำค้างเหล่านั้นสลายหายไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่คราบจางๆ ยังไม่หลงเหลือไว้
ซย่าโหวอวี๋มุ่งหน้าไปตำหนักทิงเจิ้ง นางเห็นหลูยวนกำลังสั่งการขันทีในวังที่รู้ธรรมเนียมให้ย้ายศพของซย่าโหวโหย่วเต้าลงไปในโลงได้แต่ไกล
แม้จะผ่านเหตุการณ์นี้มาสองหนแล้ว แต่หัวใจของซย่าโหวอวี๋ยังคงเจ็บหนึบ หัวสมองของนางด้านชา จนไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ยังคงเป็นตู้ฮุ่ยที่สะกิดชายเสื้อนางเบาๆ และบอกกับนางว่า “ใต้เท้าเซี่ยยืนอยู่ใต้ชายคาคนเดียวเพคะ!”
ซย่าโหวอวี๋มองไป เซี่ยตันหยางไม่ได้ขยับไปหน้าโลงของซย่าโหวโหย่วเต้า แต่ยืนอยู่ใต้ชายคาตรงหัวมุมทิศตะวันออกตามลำพัง มองโลงศพของซย่าโหวโหย่วเต้า สีหน้าเต็มไปด้วยความเหม่อลอยและเศร้าสลด
สิ่งนี้ทำให้ซย่าโหวอวี๋รู้สึกประทับใจ นางพลันบังเกิดความซาบซึ้งใจขึ้นมาหลายส่วน ไม่ว่าเซี่ยตันหยางแสดงสีหน้าเช่นนี้เพราะอะไร อย่างน้อยเขายังคงรู้สึกว่าการจากไปของน้องชายไม่ใช่เรื่องที่ดี สำหรับนางแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว นางสั่งให้ตู้ฮุ่ยและคนอื่นๆ รออยู่ที่เดิม ส่วนตนเองก็เดินเข้าไปช้าๆ
ทุกคนต่างยุ่งกับการบรรจุศพของซย่าโหวโหย่วเต้าลงโลง มีเพียงไม่กี่คนที่เห็นการกระทำของซย่าโหวอวี๋ คนที่เห็นก็ไม่กล้ากระโดดออกมาก่อเรื่องในเวลานี้
“ใต้เท้าเซี่ย!” ซย่าโหวอวี๋หยุดยืนห่างจากเซี่ยตันหยางไปห้าหกก้าว
เซี่ยตันหยางดึงสติกลับมา เขาคารวะซย่าโหวอวี๋อย่างนอบน้อม
ซย่าโหวอวี๋คารวะตอบและเอ่ยเสียงค่อย “ข้ามีเรื่องอยากหารือกับใต้เท้าเซี่ย ไม่ทราบใต้เท้าเซี่ยจะไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ด้านหลังกับข้าได้หรือไม่”
เซี่ยตันหยางเบิกตาโต เหลือบมองคนในตำหนักที่กำลังยุ่งง่วนแวบหนึ่ง จากนั้นมองสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชาทว่าสุขุมของซย่าโหวอวี๋ ครู่หนึ่งจึงตอบเสียงเนิบ “ไม่ทราบจ่างกงจู่มีอะไรจะสั่งกระหม่อมหรือ หนังสือประกาศการสวรรคตของสำนักราชเลขากำลังจะออกมาแล้ว ประเดี๋ยวกระหม่อมยังต้องดูอีก…” เขาปฏิเสธซย่าโหวอวี๋ทางอ้อม
ซย่าโหวอวี๋ฝืนอดทนไม่แสดงพิรุธออกมา ชาติก่อนเซียวหวนจะยกทัพขึ้นเหนือ ด้วยไม่อยากเสียเวลาไปกับการเมืองการปกครอง เขาจึงให้ซย่าโหวโหย่วฝูเลื่อนขั้นเขาขึ้นเป็นต้าซือหม่า ผลักเซี่ยตันหยางออกมางัดข้อกับหลูยวนแทน เซี่ยตันหยางเองก็ยินดีอย่างยิ่ง คอยหาเรื่องหลูยวนไม่หยุดหย่อน กล่าวได้ว่าหลูยวนโมโหตายในตอนสุดท้าย เซี่ยตันหยางกลายเป็นผู้ที่มีความดีความชอบมากที่สุด
แต่ชาตินี้เซี่ยตันหยางกลับผูกมิตรกับหลูยวน หากเซียวหวนรู้เรื่องพวกนี้…ซย่าโหวอวี๋อยากเห็นสีหน้าของเขาจริงๆ!
น่าเสียดาย ตอนนี้นางจำต้องไขว่คว้าหาการสนับสนุนจากเซี่ยตันหยางก่อน
“เซี่ยเซียนเซิงกังวลอะไรอยู่หรือ” ซย่าโหวอวี๋ยกมุมปากมองเขา นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดสีอยู่หลายส่วน “ที่เซี่ยเซียนเซิงคิดว่าแต่งตั้งซีไห่อ๋องดีกว่าแต่งตั้งตงไห่อ๋อง คงเพราะถูกแม่ทัพใหญ่โน้มน้าวด้วยเหตุผลมาแล้วกระมัง ขอข้าคิดดูก่อน แม่ทัพใหญ่พูดโน้มน้าวใต้เท้าเซี่ยเช่นไรนะ เป่ยเหลียงแต่งตั้งกู้ซย่าเป็นต้าซือหม่า เป่ยเหลียงน่าจะคิดเปิดศึกกับทางใต้ ทว่าตามที่ข้ารู้มา เป่ยเหลียงเหวินตี้อายุมากแล้ว บุตรสาวของกู้ซย่ากลับเป็นฮองเฮาของเหวินตี้ เพิ่งมีข่าวออกมาว่าตั้งครรภ์…”
เซี่ยตันหยางตื่นตกใจ เขาโพล่งออกมา “จ่างกงจู่ทรงรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร!”
ซย่าโหวอวี๋เพียงยิ้มไม่ตอบ นางย้อนถามว่า “ใต้เท้าเซี่ยเป็นเจ้าเมืองตันหยาง ปกครองดูแลราษฎรสามแสนคนในเมืองเจี้ยนคัง หรือว่าแม้แต่เรื่องพวกนี้ท่านก็ไม่ทราบ”
สายตาที่เซี่ยตันหยางมองซย่าโหวอวี๋ซับซ้อนอย่างมาก
ซย่าโหวอวี๋พูดเสียงเย็น “แทนที่จะแต่งตั้งคนที่ฐานะไม่เหมาะสมและต้องพึ่งพาแม่ทัพใหญ่หลูขึ้นเป็นโอรสสวรรค์ มิสู้แต่งตั้งหลางหยาอ๋องที่อ่อนเยาว์เหมือนกัน แทนที่จะแต่งตั้งหลางหยาอ๋องที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย มิสู้แต่งตั้งตงไห่อ๋องที่กำลังย่างเข้าสู่วัยอู่เสา นี่ต่างหากคือรากฐานของแผ่นดิน ใต้เท้าเซี่ยคิดเห็นเช่นไร”
เซี่ยตันหยางจำต้องเก็บความรู้สึกตื่นตกใจลงไป แล้วประเมินซย่าโหวอวี๋ใหม่อย่างเคร่งขรึมจริงจัง
ซย่าโหวอวี๋ให้เวลาเขาใคร่ครวญ นางทอดสายตามองกอไผ่เหมาจู๋ตรงมุมเรือนเงียบๆ ด้วยเรือนร่างเหยียดตรง
นั่นเป็นไผ่พันธุ์ธรรมดาที่สุด แต่กลับเป็นไผ่ที่เหวินเซวียนฮองเฮาช่วยกันกับนางและน้องชายปลูกในวันเกิดครบหนึ่งขวบของน้องชาย
บัดนี้ป่าไผ่เขียวขจีหนาแน่น แต่คนที่ปลูกไผ่กลับจากนางไปทีละคนแล้ว
เนิ่นนานผ่านไป เสียงในตำหนักกลางก็ค่อยๆ เงียบลง ขันทีแต่ละคนถอยออกไป
เซี่ยตันหยางรู้ว่าซย่าโหวโหย่วเต้าถูกบรรจุลงโลงแล้ว อีกไม่นานจะมีคนสังเกตเห็นเขาคุยกับซย่าโหวอวี๋ตามลำพัง เขาต้องตัดสินใจประเดี๋ยวนี้
“จ่างกงจู่” แม้เขาจะรู้ว่าคำพูดนี้เอ่ยออกไปแล้วออกจะเสียหน้า แต่นึกไม่ถึงว่าซย่าโหวอวี๋จะใส่ใจสถานการณ์ของเป่ยเหลียง ทั้งยังวิเคราะห์การเมืองเป็น เป็นไปไม่ได้ที่นางจะเป็นสตรีธรรมดา เป็นไปได้มากว่าก่อนที่นางจะมาหาตน นางคงมีความคิดอยู่ก่อนแล้ว เขาจึงไม่ต้องปิดบังหลบซ่อนอีก แต่พูดตรงๆ ว่า “กระหม่อมจะไม่รู้หลักการเหล่านี้ได้อย่างไร กระหม่อมเองก็คิดเห็นเหมือนกับท่าน เพียงแต่ในมือของพวกเราไม่มีอำนาจทหาร…ต่อให้มีกลยุทธ์มากมายเพียงใดก็ไม่อาจนำออกมาใช้ได้…ต่อให้โชคดีสนับสนุนโอรสสวรรค์ขึ้นครองราชย์ได้ แต่วันหน้าเบื้องบนออกคำสั่งเบื้องล่างอาจไม่ปฏิบัติตาม ถึงขั้นอาจถูกหลูยวนปลด…” ถึงยามนั้นสกุลเซี่ยของพวกเขากับซย่าโหวอวี๋คงไม่มีจุดจบที่ดีแน่ โดยไม่รู้ตัว เซี่ยตันหยางก็เริ่มใช้คำยกย่องซย่าโหวอวี๋
ซย่าโหวอวี๋ยิ้ม แล้วเอ่ยเสียงค่อย “ยังมีเซียวหวนอยู่อีกคนมิใช่หรือ”
แววตาของเซี่ยตันหยางคมกริบขึ้นมาทันใด เขาลืมเซียวหวนที่ยิงธนูทะลุใบหลิวได้ในระยะเกินร้อยก้าวผู้นั้นไปได้อย่างไรกัน
แต่เซียวหวนจะช่วยเหลือพวกเขาหรือ หลังจากเซียวหวนเข้าพิธีแต่งงานกับซย่าโหวอวี๋ เขาก็ออกเดินทางไปเซียงหยาง ทว่าคนยังไปไม่ถึงเซียงหยางก็ถูกหลูยวนย้ายไปสวีโจวแล้ว ต่อให้เซียวหวนทราบข่าวและรีบกลับมาในทันที…แต่จะทันหรือ
ซย่าโหวอวี๋พูดช้าๆ “เรื่องนี้ต้องขอให้ใต้เท้าเซี่ยช่วยยื้อเวลาให้พวกเราสักสองวันแล้ว”
เซี่ยตันหยางเห็นซย่าโหวอวี๋พูดอย่างมั่นใจเช่นนี้ ก็อดลอบสงสัยไม่ได้ว่าซย่าโหวอวี๋กับเซียวหวนใช่วางแผนกันมาก่อนแล้วหรือไม่ หาไม่แล้วซย่าโหวอวี๋จะแน่ใจถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ความขุ่นขึ้งและความไม่ยินยอมที่ต้องถูกหลูยวนกดข่มมานาน ยามนี้พลันโถมทะลักออกมา และกลบสติสัมปชัญญะของเขาอย่างรวดเร็ว
การหยิบเกาลัดออกจากกองไฟ บางทีไฟอาจลวกมือ แต่ผลลัพธ์นั้นหอมหวาน เซี่ยตันหยางตัดสินใจได้ทันที เขาพูด “เช่นนั้นกระหม่อมจะหาหนทางยื้อเวลาไว้สี่วัน” สี่วันให้หลังจะเป็นวันครบรอบเจ็ดวันของซย่าโหวโหย่วเต้า
ขอเพียงยังไม่ประกาศต่อคนนอกว่าผู้ใดจะขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ เรื่องราวย่อมยังเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
แต่ถ้าภายในสี่วันนี้เซียวหวนยังไม่รุดกลับมา นี่ย่อมเป็นลิขิตสวรรค์ เขาจะเก็บความคิดที่ไม่พึงมีนี้ไว้ ยอมทำงานให้หลูยวนอย่างสงบเสงี่ยม
ซย่าโหวอวี๋ผงกศีรษะ ก่อนครบเจ็ดวันจะไม่เอ่ยถึงการแต่งตั้งฮ่องเต้องค์ใหม่เพื่อแสดงความเคารพต่อน้องชายนาง นี่เป็นข้ออ้างที่ดีมาก ชาติก่อนเซียวหวนรุดกลับมาในวันที่สี่ ชาตินี้เขาก็น่าจะกลับมาทัน หากเรื่องราวยังจะพลิกผันไปอีก นางคงได้แต่บอกว่านี่เป็นลิขิตสวรรค์ ไม่มีผู้ใดไม่กล้าทำตาม
ทั้งสองแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ ก้าวตามกันเข้าไปในตำหนักกลาง
หลูยวนกำลังพูดคุยเสียงค่อยกับหลูไหว ยามเห็นสองคนเข้ามาก็รีบหยุด
หลูยวนมองซย่าโหวอวี๋ที่สวมชุดผ้าดิบไว้ทุกข์แต่ยังคงสง่างามและบริสุทธิ์ดุจดอกบัว เขาบังเกิดความเห็นใจอย่างหาได้ยากยิ่ง จึงพูดเสียงอ่อนโยน “จ่างกงจู่เซ่นไหว้อดีตฮ่องเต้แล้วก็เสด็จกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักเฟิ่งหยางก่อนเถอะ ช่วงบ่ายยามโหย่ว ขุนนางที่มาเซ่นไหว้ถึงจะมากันครบ”
ซย่าโหวอวี๋ส่ายศีรษะ “ข้าจะไปอยู่ในตำหนักขวาด้านหลัง ข้าอยากคัดคัมภีร์ให้น้องชายสักหน่อย”
ยุคสมัยนี้สตรีส่วนมากมักจะนับถือศาสนาพุทธ ซย่าโหวอวี๋ก็ไม่ยกเว้น หลังจากเข้าพิธีปักปิ่น นางก็โยกย้ายเบี้ยหวัดในนามของตนเอง นำเงินสามแสนก้วนไปบริจาคให้วัดวั่นเฉิงซึ่งเป็นที่ตั้งโลงศพของเหวินเซวียนฮองเฮาในอดีต นี่เป็นเงินบริจาคก้อนใหญ่ที่สุดที่วัดวาอารามทั้งเหนือใต้เคยได้รับมา เรื่องนี้ถึงกับโด่งดังอยู่ช่วงหนึ่ง
หลูยวนรู้สึกว่าข้อเรียกร้องนี้สมเหตุสมผล รอจนซย่าโหวอวี๋จุดธูปไหว้ซย่าโหวโหย่วเต้าแล้ว เขาจึงสั่งให้ขันทีที่ดูแลพิธีศพคอยปรนนิบัติซย่าโหวอวี๋ในตำหนักขวาด้านหลัง
ซย่าโหวอวี๋นั่งคุกเข่าเบื้องหน้าโต๊ะ คัดคัมภีร์ด้วยอักษรจันฮวาเสี่ยวข่าย อย่างเป็นระเบียบ สวดมนต์ขอพรให้น้องชาย
เสียงโต้แย้งเบาบ้างดังบ้างลอยมาจากตำหนักกลางเป็นพักๆ นางไม่เสียสมาธิไปฟัง หากแม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เซี่ยตันหยางยังจัดการไม่ได้ เขาย่อมไม่คู่ควรจะเป็นพันธมิตรของนาง
หลังยามอู่ ขุนนางที่มาเคารพศพซย่าโหวโหย่วเต้าจึงทยอยเดินทางมาถึง การโต้เถียงในตำหนักกลางยุติลง ซย่าโหวอวี๋ออกไปคารวะตอบ ขุนนางเหล่านั้นพากันทยอยกลับไป
สุดท้ายหลูยวนก็ไม่ได้รั้งตัวขุนนางเหล่านั้นให้อยู่คุยต่อ ซย่าโหวอวี๋รู้ว่าเซี่ยตันหยางทำสำเร็จแล้ว
วันเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ กับการเฝ้าศพ อากาศแจ่มใสเหมือนเช่นที่เป็นมา ไม่มีฝนเลยสักหยด ดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิบานสะพรั่งตระการตา ต้นไม้สีเขียวเจริญงอกงาม
อาเหลียงที่ใช้ชามไม้ใบเล็กตำเมล็ดซิ่งอยู่ใต้ชายคาลอบถอนหายใจ โอรสสวรรค์สวรรคตแล้ว ท้องฟ้ากลับไม่มีฝนเลย เช่นนี้ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ โอรสสวรรค์เป็นคนที่ดีมาก ยามเจอพวกนางที่เป็นนางกำนัลตำแหน่งเล็กๆ ในตำหนักเฟิ่งหยางก็ยังยิ้มให้
นางชะเง้อคอมองเข้าไปด้านในตำหนัก จ่างกงจู่ยังคงนั่งคุกเข่าคัดคัมภีร์อยู่เบื้องหน้าโต๊ะ นางถอนหายใจอีกครั้ง จ่างกงจู่ก็เป็นคนดี ใบหน้าเย็นชาแต่จิตใจงดงาม คัดคัมภีร์ติดต่อกันมาสามวันเช่นนี้ ไม่รู้ว่าร่างกายจะทนรับไหวหรือไม่ หลังครบเจ็ดวันแรกของโอรสสวรรค์ จ่างกงจู่คงจะพักผ่อนบ้างกระมัง!
อาเหลียงบ่นในใจ เห็นเถียนเฉวียนพาบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งเข้ามา เขามีรูปร่างสูงใหญ่น่าเกรงขาม ศีรษะโพกผ้าสีดำ ร่างกายสวมชุดชาวยุทธ์สีน้ำตาล นางรีบพานางกำนัลรุ่นเล็กหลายคนหลบไปด้านข้าง บุรุษผู้นั้นเดินตามเถียนเฉวียนเข้าไปในตำหนักข้างที่จ่างกงจู่อยู่
“จ่างกงจู่!” ชายหนุ่มหมอบลงกับพื้นอย่างนอบน้อม คารวะซย่าโหวอวี๋อย่างเต็มพิธี
ซย่าโหวอวี๋พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เห็นทีเรื่องที่ให้เจ้าไปทำ เจ้าจะทำสำเร็จแล้ว!”
“เป็นโชคดีที่ไม่ได้ทำให้จ่างกงจู่ผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ!” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างนอบน้อม ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นแม้แต่น้อย
เถียนเฉวียนใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง สี่วันก่อน ซย่าโหวอวี๋เขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้เขานำไปส่งที่บ้านสกุลเจิ้ง มอบให้เค่อชิง* คนหนึ่งในบ้านสกุลเจิ้ง เช้าตรู่วันนี้ เค่อชิงผู้นั้นก็พาคนที่ชื่ออิ่นผิงผู้นี้มาหาเขา บอกให้เขาพาอิ่นผิงเข้าวัง ทั้งยังบอกว่านี่เป็นคำสั่งของจ่างกงจู่ในจดหมาย
อิ่นผิงงงงวยยิ่งกว่าเถียนเฉวียนเสียอีก สี่วันก่อนเขายังเป็นทหารที่ไม่โดดเด่นผู้หนึ่งในกองกำลังสกุลเจิ้ง จู่ๆ ก็ได้รับความสำคัญจากจิ้นหลิงจ่างกงจู่ เขาไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น! เหตุใดตนจึงได้ดิบได้ดีกะทันหัน ถึงขั้นได้รับความโปรดปรานจากจิ้นหลิงจ่างกงจู่เช่นนี้
มีเพียงซย่าโหวอวี๋ที่รู้ว่าชาติก่อนตอนนางจะออกจากสกุลเซียว น้าชายของนางเป็นห่วงนางมากเพียงใด จึงมอบกองกำลังหนึ่งพันนายให้กับนาง ก่อนออกเดินทางนางไปคารวะเซ่นไหว้เหวินเซวียนฮองเฮากับน้องชาย ระหว่างทางก็เจอกับโจรร้ายเข้า อิ่นผิงคนเดียวสามารถรับมือคนร้ายได้ถึงสิบคน คุ้มกันอยู่หน้ารถเทียมวัวของนางโดยไม่หลบแม้แต่น้อย ภายหลังนางจึงให้เขาเป็นหัวหน้ากองกำลัง หลังเก็บอาเฮ่อมาได้ ยังคงเป็นอิ่นผิงที่ค้นพบว่าอาเฮ่อมีพละกำลังมหาศาลตั้งแต่กำเนิด นางจึงให้อิ่นผิงเป็นอาจารย์ของอาเฮ่อ ผ่านไปอีกไม่กี่ปี อิ่นผิงรู้ตัวว่าพละกำลังสู้อาเฮ่อไม่ได้ จึงยกตำแหน่งหัวหน้ากองกำลังให้อาเฮ่อ ส่วนตัวเขาก็คอยช่วยเหลืออาเฮ่ออยู่ข้างๆ
เขาเป็นคนจงรักภักดีมีคุณธรรม อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นบุคคลที่มีความสามารถมากคนหนึ่ง บังเอิญนางมีเรื่องบางอย่างจะยืมมือสกุลเจิ้ง จึงบอกกับเค่อชิงของท่านน้าและเอาตัวเขามาอยู่ข้างกาย
“ดีมาก!” ซย่าโหวอวี๋เอ่ยชมเขาอีกครั้ง “วันนี้ให้เถียนเฉวียนพาเจ้าไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้เช้าเปลี่ยนชุดขันทีแล้วตามข้าไปตำหนักทิงเจิ้ง”
อิ่นผิงไม่ถามอะไรทั้งนั้น เขาเพียงรับคำอย่างอ่อนน้อม กลับเป็นเถียนเฉวียนที่เบิกตาโตมองซย่าโหวอวี๋ ได้แต่ตกตะลึงพรึงเพริดไปชั่วขณะ
ซย่าโหวอวี๋ไม่ตำหนิเขา ในวังไม่อนุญาตให้คนนอกค้างคืน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอิ่นผิงที่เป็นทหารเลย เถียนเฉวียนนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันครบรอบเจ็ดวันหลังการตายของซย่าโหวโหย่วเต้า ซย่าโหวอวี๋จัดการเช่นนี้ เปลือกตาซ้ายของเขาก็กระตุกไม่หยุด มักรู้สึกว่าต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่
เถียนเฉวียนไม่กล้าพูดมากต่อหน้าซย่าโหวอวี๋ เขาจึงแอบไปพบตู้ฮุ่ย อยากให้ตู้ฮุ่ยช่วยเตือนซย่าโหวอวี๋สักหน่อย
“ข้าดูแล้วอิ่นผิงผู้นั้นห้าวหาญเปี่ยมด้วยพละกำลัง คิดว่าคงเป็นผู้มีวิชายุทธ์แข็งแกร่งผู้หนึ่ง แต่ถึงอย่างไรเขาก็ตัวคนเดียว หากล่วงเกินแม่ทัพใหญ่เข้า พวกเราตายไม่เสียดาย แต่ย่อมผิดต่อคำไหว้วานของเหวินเซวียนฮองเฮาก่อนตายใช่หรือไม่”
ความหมายที่แฝงอยู่คือกลัวซย่าโหวอวี๋จะทำอะไรตามอารมณ์ คิดจะลอบสังหารหลูยวน
ตู้ฮุ่ยมุมปากกระตุกนิดๆ นางรู้สึกว่าเถียนเฉวียนคิดมากเกินไป ซย่าโหวอวี๋มีความกล้าหาญมากกลอุบาย ต่อให้จะลอบสังหารหลูยวนจริงก็ไม่มีทางใช้วิธีการที่ง่ายดายและหยาบกระด้างเช่นนี้ แต่ซย่าโหวอวี๋มีแผนการอะไรกันแน่นั้น นางก็เดาไม่ออกเช่นกัน ตู้ฮุ่ยปลอบโยนเถียนเฉวียนหลายคำและไปหาซย่าโหวอวี๋
ซย่าโหวอวี๋ไม่สนใจความกังวลของตู้ฮุ่ยและคนอื่นๆ ในวันครบรอบเจ็ดวันของซย่าโหวโหย่วเต้า นางเพียงสวมชุดสีขาวไปตำหนักทิงเจิ้งโดยไม่แต้มแต่งใบหน้า
ตามความประสงค์ของซย่าโหวอวี๋ หลูยวนเชิญภิกษุชั้นสูงจากวัดวั่นเฉิงเข้าวัง ทำพิธีปลดปล่อยดวงวิญญาณให้ซย่าโหวโหย่วเต้าเป็นเวลาเจ็ดสัปดาห์สี่สิบเก้าวัน ทุกครั้งที่ครบรอบเจ็ดวันพิธีจะยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ ควันธูปม้วนตัวเป็นเกลียว เสียงสวดมนต์ก้องสะท้อน บรรยากาศเคร่งขรึมศักดิ์สิทธิ์
ทว่าคนที่อยู่ในพิธีเหล่านี้จะมีสักกี่คนที่เศร้าเสียใจกับการป่วยตายของน้องชายนางอย่างแท้จริง ซย่าโหวอวี๋มองผ่านคนเหล่านี้ไป นางเดินตรงไปยังลานประกอบพิธีด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จุดธูปเคารพศพซย่าโหวโหย่วเต้าสามดอกเหมือนเช่นทุกครั้ง
ตราบใดที่ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ขึ้นครองราชย์ หลูยวนก็จะยังไม่กล้าออกจากวัง หลายวันติดต่อกันแล้วที่เขาไม่ได้นอนหลับพักผ่อนให้ดี หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เห็นซย่าโหวอวี๋เดินเข้ามา เขาจึงก้าวเข้าไปทักทายนางด้วยท่าทีสุภาพกว่าปกติ “จ่างกงจู่!”
นี่เป็นเพราะกำลังจะสมปรารถนาแล้วกระนั้นหรือ ซย่าโหวอวี๋หัวเราะหยันในใจ นางพยักหน้าให้หลูยวนอย่างเย็นชา แล้วถอยไปด้านข้าง เตรียมตัวคัดคัมภีร์ให้ซย่าโหวโหย่วเต้าต่อ
หลูยวนทำท่าจะพูดอะไรก็เงียบไป จากนั้นจึงอดพรูลมหายใจไม่ได้
ตั้งแต่ซย่าโหวโหย่วเต้าป่วยตายไป ซย่าโหวอวี๋ก็ดูแปลกไป ขอเพียงนางยังคงรักษาคำสัญญาที่จะไม่ยุ่งเรื่องการแต่งตั้งฮ่องเต้ได้เป็นพอ ส่วนเรื่องอื่นๆ รอให้ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ก่อนค่อยว่ากัน
หลูยวนเดินออกจากตำหนักกลาง เซี่ยตันหยางเห็นแล้วก็ลอบขมวดคิ้ว เขาส่งคนไปเฝ้าหน้าประตูเมือง แต่จนป่านนี้แล้วกลับยังไม่เห็นวี่แววของเซียวหวน
เจิ้งเฟินน้าชายของซย่าโหวอวี๋ทราบข่าวแล้วและกำลังรุดมาเมืองหลวง แต่อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือนจึงจะมาถึง กว่าจะถึงตอนนั้นก็สายเกินไปแล้ว…ตกลงแล้วจะไว้ใจซย่าโหวอวี๋ได้หรือไม่นะ เซี่ยตันหยางเกาศีรษะ
สองชั่วยามให้หลัง ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ล้วนมากันพร้อมหน้า ซย่าโหวอวี๋ถูกเชิญออกไป เหล่าขุนนางที่นำโดยหลูยวนคารวะเซ่นไหว้ซย่าโหวโหย่วเต้า จากนั้นหลูยวนก็เชิญเหล่าขุนนางไปพูดคุยที่ตำหนักข้าง
“โอรสสวรรค์สวรรคตไปเจ็ดวันแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่กลับยังไม่ได้แต่งตั้ง บ้านเมืองจะขาดผู้นำไปไม่ได้แม้แต่วันเดียว พวกเราจะต้องตัดสินใจเรื่องฮ่องเต้องค์ใหม่โดยเร็วที่สุด” เขายืนอยู่ข้างบัลลังก์มังกร มองขุนนางใหญ่เต็มตำหนักจากตำแหน่งที่สูงกว่า แววตาทอประกายหม่นหมอง
เซี่ยตันหยางไม่เห็นด้วยที่จะประกาศตัวเลือกฮ่องเต้องค์ใหม่หลังจากที่เพิ่งบรรจุศพโอรสสวรรค์ใส่โลง เขาจึงทำตามความตั้งใจของเซี่ยตันหยางด้วยการเลื่อนเวลาออกไปอีกสี่วัน แต่สี่วันมานี้เขาก็ไม่ได้อยู่เฉย พูดคุยกับเหล่าขุนนางที่มาเซ่นไหว้ตลอดเพื่อให้แน่ใจจุดยืนของคนเหล่านี้ เขามั่นใจมากว่าข้อเสนอในวันนี้ของเขาจะต้องได้รับการยอมรับจากทุกคนและผ่านการยอมรับจากเหล่าขุนนางได้อย่างราบรื่น
เป็นเช่นที่หลูยวนคาดการณ์ไว้ เขาเพิ่งจะพูดจบก็มีคนเห็นด้วยทันที หลูยวนยิ้มน้อยๆ
มีคนหันไปมองเซี่ยตันหยาง เซี่ยตันหยางเพียงหลุบตา ดูไม่ออกว่ายินดีหรือกำลังเป็นกังวล ไม่มีการสนับสนุนจากเซียวหวน เขากับซย่าโหวอวี๋ก็ไม่มีทางทำสำเร็จได้แน่
เขาได้ทำตามข้อเรียกร้องของซย่าโหวอวี๋ ด้วยการเลื่อนการตัดสินใจเรื่องแต่งตั้งฮ่องเต้องค์ใหม่ออกไปสี่วันแล้ว ต่อจากนี้คงต้องดูฝีมือของซย่าโหวอวี๋แล้วกระมัง เขาไม่มีทางเสนอตัวออกไปงัดข้อกับหลูยวนภายใต้สถานการณ์เช่นนี้แน่
พวกคนที่หันมามองเซี่ยตันหยางต่างก็มีสีหน้าผิดหวัง
หลูยวนกระหยิ่มใจในความสำเร็จ เขายิ้มพูด “หากทุกท่านไม่มีอะไรอื่นจะพูดแล้ว เช่นนั้นก็เชิญสำนักราชเลขาประกาศรายชื่อฮ่องเต้องค์ใหม่ที่จะเข้ารับการคัดเลือกได้เลย”
การสืบตำแหน่งฮ่องเต้มีกฎเกณฑ์อยู่ บิดาตายบุตรเป็นผู้สืบบัลลังก์ พี่ชายสิ้นน้องชายเป็นผู้สืบทอด สองข้อนี้เป็นหลักการพื้นฐาน ตอนนี้ผู้ที่มีคุณสมบัติสืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้มากที่สุดก็คือตงไห่อ๋องซย่าโหวโหย่วอี้และหลางหยาอ๋องซย่าโหวโหย่วฝู
เหล่าขุนนางวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา มีทั้งคนสนับสนุนซย่าโหวโหย่วอี้ และมีทั้งคนที่สนับสนุนซย่าโหวโหย่วฝู ขุนนางใหญ่สองคนที่ถูกหลูยวนกำชับมาสบตากัน หนึ่งในนั้นก้าวออกมาพูดเสียงดัง “ข้าขอคัดค้านการแต่งตั้งตงไห่อ๋องกับหลางหยาอ๋อง”
ผู้ฟังต่างตะลึงงัน มองขุนนางใหญ่ผู้นั้นอย่างตกตะลึง ภายในตำหนักกลางเกิดความเงียบงันไปชั่วขณะ
ขุนนางใหญ่ผู้นั้นพูดเสียงที่ดังก้อง “แม้พี่ชายสิ้นน้องชายต้องเป็นผู้สืบทอด แต่ไม่ว่าตงไห่อ๋องหรือหลางหยาอ๋องก็ล้วนแต่มีอายุที่น้อยเกินไป จะยืนหยัดอยู่ได้หรือไม่ยังพูดยาก” พูดถึงตรงนี้ เขาก็เหลือบมองโลงศพของซย่าโหวโหย่วเต้าแวบหนึ่ง บอกเหล่าขุนนางเป็นนัยว่าซย่าโหวโหย่วเต้าเป็นฮ่องเต้มาสี่ปี สุดท้ายยังคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสิบสี่เลย “ทุกท่านอย่าลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยของเป่ยเหลียงเหวินตี้สิ”
ก่อนเป่ยเหลียงเหวินตี้จะสืบบัลลังก์ พี่ชายสองคนตายไปก่อนหน้า อีกทั้งพี่ชายสองคนนี้ก็ล้วนเป็นฮ่องเต้ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองสามปีเท่านั้นก่อนจะป่วยตาย หากไม่เพราะมีกู้ซย่าช่วยต้านเอาไว้ เป่ยเหลียงก็เกือบจะถูกเป่ยฉีโค่นล้มไปแล้ว
ขุนนางบางส่วนแสดงความเห็นด้วย ทั้งยังพูดถึงเรื่องที่กู้ซย่าถูกเป่ยเหลียงเหวินตี้แต่งตั้งเป็นต้าซือหม่า ชั่วขณะหนึ่งที่ราชสำนักวิพากษ์วิจารณ์ไปมากมาย หัวข้อหารือเปลี่ยนจากการแต่งตั้งฮ่องเต้ไปเป็นการต้านทานการรุกรานของแคว้นทางเหนือ
หลูยวนส่งสายตาให้ขุนนางอีกคน ขุนนางผู้นี้จึงก้าวออกมา “ข้าคิดว่าควรแต่งตั้งซีไห่อ๋อง”
ซีไห่อ๋องอายุไม่เข้าเกณฑ์ อีกทั้งการสืบสายเลือดยังไม่มีข้อได้เปรียบใดๆ ดังนั้นจึงมีคนคัดค้านทันที ขุนนางผู้นั้นโต้เถียงกับคนที่คัดค้าน
สุดท้ายเป็นหลูไหวที่ตวาดสั่งให้สองคนเงียบและเอ่ยว่า “ข้าก็คิดว่าควรแต่งตั้งซีไห่อ๋อง”
หลายคนหันไปมองเซี่ยตันหยาง หลูไหวเป็นน้องชายของหลูยวน หลายครั้งสิ่งที่เขาพูดออกมาย่อมแสดงถึงความต้องการของหลูยวน
ไฉนเซียวหวนยังมาไม่ถึงอีกเล่า เซี่ยตันหยางร้อนใจดั่งไฟลน ทว่าสีหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ออกมาแม้แต่น้อย เขาไม่อาจแสดงความเห็นด้วยในเวลานี้ได้…ในสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่เขาพูดออกมาย่อมมีน้ำหนัก มิอาจเปลี่ยนใจได้ในภายหลัง ต่อให้อีกประเดี๋ยวเซียวหวนรุดมาถึง เขาก็มิอาจเปลี่ยนใจกลางคันได้แล้ว
นี่เป็นหลักการของการเป็นคน! ทั้งยังเป็นพื้นฐานของการเป็นคน!
หลูยวนกับเซี่ยตันหยางต่อสู้กันมาหลายสิบปี ความไม่ยินยอมและการถูกบังคับอย่างไม่มีทางเลือกที่เซี่ยตันหยางต้องเผชิญนั้น บัดนี้หลูยวนมองเห็นได้อย่างชัดเจน แล้วเขาจะเปิดโอกาสให้เซี่ยตันหยางเปลี่ยนใจในภายหลังได้อย่างไร
“เช่นนั้นแต่งตั้งซีไห่อ๋องแล้วกัน!” หลูยวนปรายตามองเซี่ยตันหยางอย่างเย็นชา แล้วพูดเสียงขรึม “ซีไห่อ๋องแม้อายุยังไม่มาก แต่หากไม่นับตงไห่อ๋องกับหลางหยาอ๋อง เขาก็เป็นบุคคลที่มีสายเลือดใกล้ชิดกับอู่จงมากที่สุด ประกอบกับเขาเติบโตนอกวัง ร่างกายแข็งแรง…”
“ข้าไม่เห็นด้วย!” ซย่าโหวอวี๋ที่เดิมทีควรพักผ่อนอยู่ในตำหนักข้างกลับปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูตำหนักตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ แสงอาทิตย์ยามเที่ยงวันส่องตรงลงมาบนหลังคา ใบหน้าของนางซ่อนอยู่ใต้เงามืดของชายคาตำหนัก เห็นสีหน้าอารมณ์ได้ไม่ชัดเจน ทว่าท่ายืนเหยียดตรงและน้ำเสียงก้องกังวานนั้นกลับทำให้คนรู้สึกได้ถึงความแน่วแน่ของนาง
“ข้าไม่เห็นด้วยที่จะแต่งตั้งซีไห่อ๋องเป็นฮ่องเต้” ซย่าโหวอวี๋พูดซ้ำอีกครั้ง “ไม่มีเหตุผลที่จะต้องละทิ้งสายเลือดตรงไปแต่งตั้งสายเลือดรองเลย ข้าไม่มีทางเห็นด้วยเป็นอันขาด!”
หลูยวนมุ่นหัวคิ้ว ก้นบึ้งนัยน์ตาสาดประกายไฟของโทสะ “จิ้นหลิงจ่างกงจู่ นี่เป็นเรื่องภายในราชสำนัก เชิญจ่างกงจู่หลบเลี่ยงด้วย!”
ซย่าโหวอวี๋เงยหน้ามองหลูยวน แววตาสุขุมพลันเปลี่ยนเป็นคมกริบ “โอรสสวรรค์ไม่มีเรื่องในครอบครัวก็จริง แต่ข้ายังมีบรรพบุรุษและวงศ์ตระกูลอยู่ เหตุใดข้าจะก้าวก่ายเรื่องนี้ไม่ได้”
หลูยวนยิ้มเย็นเอ่ยว่า “ในเมื่อโอรสสวรรค์ไม่มีเรื่องในครอบครัว ราชวงศ์แต่งตั้งทายาทก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องที่จ่างกงจู่จะก้าวก่ายได้ นี่เป็นเรื่องของขุนนางในราชสำนัก!”
ซย่าโหวอวี๋ไม่แสดงความอ่อนแอแม้แต่น้อย นางโต้กลับไปว่า “มิน่าก่อนตายโอรสสวรรค์ถึงได้อนุญาตให้ข้าไปร้องไห้ระบายทุกข์ที่ศาลบรรพบุรุษของราชวงศ์ คงเดาได้แต่แรกแล้วว่าหลังสวรรคตไปจะต้องมีคนที่ไม่ประสงค์ดี สละสายตรงแต่งตั้งสายรอง แม่ทัพใหญ่ไม่แต่งตั้งตงไห่อ๋อง ไม่แต่งตั้งหลางหยาอ๋องด้วยเหตุผลใด เติบโตอยู่นอกวัง นั่นก็คือไม่รู้ธรรมเนียมมารยาทของในวัง! ร่างกายแข็งแรงก็อาจเป็นไปได้ว่าไม่ชอบเล่าเรียนตำรา หรือแม่ทัพใหญ่อยากแต่งตั้งโอรสสวรรค์ที่ไม่รู้ธรรมเนียมมารยาท ไม่มีความรู้กระนั้นหรือ หรือว่าแม่ทัพใหญ่คบหาไปมาสนิทสนมกับซีไห่อ๋อง รู้จักซีไห่อ๋องเป็นอย่างดี คิดว่าซีไห่อ๋องเหมาะสมที่จะเป็นโอรสสวรรค์มากกว่าตงไห่อ๋องและหลางหยาอ๋อง” นางพูดเสียงสูงขึ้นในทุกประโยค น้ำเสียงแหลมขึ้นในทุกประโยค ยามที่พูดถึงตอนสุดท้ายนั้นก็ขาดแค่ไม่ได้ชี้จมูกหลูยวนบอกว่าเขามีเจตนาแอบแฝง หมายจะควบคุมฮ่องเต้ กุมอำนาจแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
แม้หลูยวนจะตั้งใจเช่นนี้ แต่เวลานี้ในราชสำนักยังมีเซี่ยตันหยาง เจิ้งเฟินและคนอื่นๆ อยู่ หากเขาคิดจะชี้กวางเป็นม้ายังต้องใช้เวลาอีกสักพัก เขาย่อมไม่อาจยอมรับคำกล่าวหาเช่นนี้ของซย่าโหวอวี๋ได้ แต่ก็มิอาจโต้เถียงกับซย่าโหวอวี๋ต่อไปได้เช่นกัน…ถึงอย่างไรพวกเขาบุรุษกับสตรีล้วนมีข้อแตกต่าง ต่อให้เขาชนะก็ไม่ใช่เรื่องที่มีหน้ามีตาอะไร ยังไม่ต้องพูดถึงว่าวาจาของซย่าโหวอวี๋นั้นร้ายกาจจนขึ้นชื่อ หาไม่แล้วอู่จงฮ่องเต้คงไม่มีทางออกราชโองการให้ชายารักตายตามตนไปด้วยเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของนางเป็นแน่
เขาได้แต่พูดว่า “จ่างกงจู่ควรจะสวดมนต์ขอพรให้โอรสสวรรค์ถึงจะถูก โอรสสวรรค์ยังไม่ทรงถูกฝังเลย!” เพื่อเตือนซย่าโหวอวี๋เรื่องที่นางเคยรับปากเขาว่าจะไม่ก้าวก่ายเรื่องการแต่งตั้งฮ่องเต้
ถึงอย่างไรก็แตกหักกันไปแล้ว ซย่าโหวอวี๋จึงไม่คิดปกปิดอีก นางพูดตรงๆ ไปเสียเลย “สตรีคนใดอยากเสนอหน้าออกมาบ้างเล่า ข้าก็แค่ถูกบีบจนไม่เหลือทางรอดแล้วเท่านั้น แม่ทัพใหญ่จะตัดสายเลือดข้าแล้ว ข้ายังจะนั่งอยู่ในตำหนักหลังอย่างสงบเพื่อคัดคัมภีร์ให้น้องชายได้อยู่อีกหรือ”
ตำหนักข้างเงียบกริบไร้เสียงในทันใด หลูยวนมีใบหน้าขาวซีด
ซย่าโหวอวี๋ไม่สนใจเขาหรอก! ชีวิตที่ต้องอยู่ตามลำพังสิบปีเพิ่มประสบการณ์ให้นาง ทั้งยังฝึกฝนความกล้าของนางด้วย การได้ย้อนกลับมามีชีวิตในอดีตอีกครั้งแต่กลับมิอาจพลิกสถานการณ์ช่วยชีวิตน้องชายเอาไว้ได้ ยิ่งทำให้นางตัดสินใจเดินหน้าอย่างไม่กลัวเกรงสิ่งใดอีก
นางพูดเสียงดังขึ้น “ทุกท่านในที่นี้มีผู้ใดเคยพบซีไห่อ๋องบ้างเล่า มีใครรู้บ้างว่าซีไห่อ๋องมีนักปราชญ์ท่านใดเป็นอาจารย์ ปกติอ่านตำราอะไร มีความชื่นชอบอะไรบ้าง”
ที่ดินบรรดาศักดิ์ของซีไห่อ๋องอยู่ที่เมืองจิ้นอันในเฟิงโจวซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปนับพันหลี่ องค์ชายที่ได้รับแต่งตั้งเป็นซีไห่อ๋องโดยมากล้วนไม่เป็นที่โปรดปรานอยู่แล้ว อยู่ดีๆ จะมีผู้ใดไปคบหาสมาคมกับซีไห่อ๋องเล่า
ซย่าโหวอวี๋กวาดตามองทุกคน ทุกคนล้วนกลั้นลมหายใจอย่างระมัดระวัง ไม่มีใครกล้าปริปากเลยสักคน
หลูยวนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้ว่าหลายปีมานี้ซย่าโหวอวี๋อาศัยบารมีของอู่จงฮ่องเต้และซย่าโหวโหย่วเต้าทำให้หลายคนนึกหวาดกลัว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าความหวาดกลัวนี้จะฝังลึกถึงเพียงนี้ หลังจากซย่าโหวโหย่วเต้าตายไปแล้วนางก็ยังสามารถสร้างความหวั่นเกรงให้ผู้คนได้ สตรีผู้นี้จะเก็บเอาไว้ไม่ได้อีก!
หลูยวนหรี่ตา ดวงตาสาดประกายเยียบเย็นดุจใบมีด เขาเอ่ยเนิบช้า “จ่างกงจู่กล่าวเช่นนี้ไม่ถูกต้อง! กระหม่อมเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้ล้วนไม่ได้คบหากับซีไห่อ๋องเป็นการส่วนตัว เพราะเหตุนี้เอง กระหม่อมจึงรู้สึกว่าสมควรแต่งตั้งซีไห่อ๋อง อู่จงฮ่องเต้มีธิดาสองคนโอรสสิบสองคน คนที่มีชีวิตรอดมีเพียงจ่างกงจู่ ตงไห่อ๋อง หลางหยาอ๋อง ในจำนวนนี้ตงไห่อ๋องกับหลางหยาอ๋องล้วนยังไม่ถึงวัยอู่เสา แต่พี่น้องหกคนของซีไห่อ๋องกลับมีชีวิตรอดทั้งหมด โอรสสวรรค์เป็นรากฐานของบ้านเมือง หากเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ ย่อมทำให้ภายในเกิดความไม่สงบ เรื่องที่กระหม่อมอยากแต่งตั้งซีไห่อ๋องนี้ไม่เกี่ยวกับความต้องการส่วนตัวเลย แต่เป็นเพราะคิดถึงบ้านเมืองและแผ่นดิน จ่างกงจู่ควรตัดผลได้ผลเสียของตนเองออก หาไม่แล้วที่อดีตฮ่องเต้ทรงอนุญาตให้ท่านไปร้องไห้ระบายทุกข์ที่ศาลบรรพบุรุษของราชวงศ์ได้นั้นจะมีประโยชน์อันใดเล่า”
ซย่าโหวอวี๋หัวเราะหยัน “คนที่แม้แต่กฎเกณฑ์ในครอบครัวและจริยธรรมยังไม่สนใจ มีสิทธิ์อะไรมาพูดเรื่องบ้านเมืองและแผ่นดินกับข้า เจ้าทำให้สายเลือดตระกูลข้ามัวหมอง เหตุใดข้าจะไปร้องไห้ระบายทุกข์ที่ศาลบรรพบุรุษของราชวงศ์ไม่ได้ ข้าคัดค้านการแต่งตั้งซีไห่อ๋องเป็นฮ่องเต้ หากจะแต่งตั้งใครสักคนก็ต้องเลือกจากตงไห่อ๋องหรือไม่ก็หลางหยาอ๋องคนใดคนหนึ่งเท่านั้น!”
“ข้าไม่เห็นด้วย!” หลูยวนพูดช้าๆ เทียบกับท่าทางเฉียบคมของซย่าโหวอวี๋แล้ว ความสุขุมเยือกเย็นของเขากลับข่มขวัญผู้คนได้มากกว่า
พอทุกคนคิดเชื่อมโยงถึงตำแหน่งฐานะของเขา แม้พวกเขาจะยืนนอบน้อมอยู่ตรงนั้น แต่กลับแอบชำเลืองมองกันไปมา ส่งสายตาให้กัน
ซย่าโหวอวี๋คล้ายโมโหยิ่ง นางตัวสั่นเทิ้ม ร้องโวยวายว่า “โอรสสวรรค์ต้องเลือกจากตงไห่อ๋องหรือหลางหยาอ๋องคนใดคนหนึ่งเท่านั้น!”
หลูยวนปรายตามองซย่าโหวอวี๋อย่างดูแคลน กำลังจะเสียดสีนางสักสองคำ ก็มีคนบุกเข้ามากะทันหัน พลางเอ่ยเสียงเฉียบ “ข้าคิดว่าจ่างกงจู่พูดมีเหตุผล!”
“เซียวหวน!”
“ผู้บัญชาการเซียว!”
คำพูดของผู้มาคล้ายก้อนหินที่โยนลงไปในทะเลสาบเสียงดังต๋อม ทำให้นกริมฝั่งฝูงหนึ่งตกใจโผบินจากไป ทำลายความเงียบงันในตำหนักข้างได้ทันที
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.