บทที่ 1 งานเลี้ยงรับวสันต์คฤหาสน์อู่หลิง
ลมบูรพาเดือนสามธารวสันต์ ที่พานพบเพียงดอกท้อมิใช่คน
แต่ไหนแต่ไรฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงก็ล้วนแต่ฝนมากแดดน้อย ยากที่พระอาทิตย์จะปรากฏให้ได้เห็นสักหลายๆ วัน โชคดีที่ฝนที่ตกลงมาล้วนแต่บางเบา เป็นก็แค่เพียงละอองฝนเล็กๆ ไม่ต่างอันใดกับเข็มเงินเล็กละเอียด ประสมประเสอยู่กับหมอกบางเหนือผิวน้ำนอกเมือง ปกคลุมต้นหยาง ต้นหลิวข้างทาง ดอกท้อนอกเรือน ขนอ่อนนุ่มบนกิ่งหลิวลอยละล่องกระจัดกระจายอยู่ทั่วเมือง
วันที่สามเดือนสามตรงกับเทศกาลซั่งซื่อ* พอดี ท้องฟ้ายังคงปกคลุมไปด้วยเม็ดฝนเล็กละเอียดเหมือนเก่า จวนเจิ้นหย่วนโหวหรือคฤหาสน์อู่หลิงที่ตั้งอยู่ยังชานเมืองทิศตะวันตกนอกเมืองเซิ่งจิงกำลังจัดงานเลี้ยงรับวสันต์อย่างยิ่งใหญ่ บรรดาผู้คนที่มีหน้ามีตาในเมืองเซิ่งจิงล้วนแต่ได้รับการเชื้อเชิญ แขกเหรื่อในงานจึงมากมายนับไม่ถ้วน บรรยากาศคึกคักครึกครื้นยิ่ง
จะว่าไปคฤหาสน์อู่หลิงที่ได้ชื่อเช่นนี้ก็ด้วยเพราะกลางคฤหาสน์มีป่าท้อผืนใหญ่อยู่ผืนหนึ่ง ยามนี้กำลังออกดอกชูช่อบานสะพรั่ง ยามสายลมแผ่วเบารำเพยพัด ดอกท้อสีแดงก็พากันหล่นร่วงไม่ต่างอันใดกับสายฝน บนเส้นทางหินศิลาเขียวที่อยู่ทางด้านล่างล้วนเต็มไปด้วยกลีบดอกเล็กๆ น้อยๆ จำนวนมาก พวกมันถูกพัดม้วนไปตามลม คลุกเคล้าอยู่กับสายฝน ก่อนจะโรยรากลายเป็นดินเลน เป็นผงคลีส่งกลิ่นรัญจวนใต้ฝ่าเท้า
เพียงแต่ทัศนียภาพงดงามละมุนละไมเยี่ยงนี้ ในสายตาของเฉินจิ่นยามนี้มันกลับสิ้นสูญความงามเพริศแพร้วเฉกในภาพวาดหรือบทกวี ตรงกันข้ามกลับมีเพียงวาจาถากถางดูแคลนไร้คนแยแสใส่ใจ
สตรีนางหนึ่งเหม่อมองดูหมู่มวลบุปผาที่กำลังปลิดปลิวหล่นร่วงอยู่นอกหน้าต่างพวกนั้น ในใจล้วนมีแต่ความรู้สึกขมขื่น
ก่อนหน้านี้นางมีหน้ามีตาเพียงใด ทว่ายามนี้นางกลับตกอยู่ในฐานะยากลำบากยิ่งยวด
“ข้าขอบอกอีกครั้ง หยกประดับข้าไม่ได้เป็นคนเอาไป” นางขยับริมฝีปากเอ่ยวาจา น้ำเสียงเสียดหูด้วยอารมณ์โกรธขึ้ง
บรรยากาศรายรอบมีเพียงความเงียบสงัด
ไม่มีคนยินดีช่วยแก้ตัวแทนนาง แม้แต่คำอธิบายสักประโยคสองประโยคก็ยังไม่มี มีก็แต่เพียงเสียงเม็ดฝนกระทบชายคาไม่หยุดเท่านั้นที่คอยขับดุนความอ้างว้างให้ปรากฏชัด
ประตูเรือนรับรองที่อยู่ด้านตรงกันข้ามศาลาริมน้ำบานนั้นยามนี้ถูกปิดลงหมดสิ้น กั้นเสียงขับขานของเหล่านักแสดงบนเวทีไว้ บรรดาอิสตรีจากจวนต่างๆ ที่ควรนั่งชมการแสดงอยู่แต่เดิมยามนี้ต่างลุกออกจากที่นั่งแทบหมดสิ้น ห้อมล้อมเป็นวงอยู่กลางโถง เหลือพื้นที่ว่างตรงกลางประมาณจั้งกว่าไว้
เฉินจิ่นยืนอยู่กลางพื้นที่ว่าง สองตาแม้แดงก่ำ ทว่าใบหน้าดึงดันดื้อรั้นกลับเชิดสูง ไม่แยแสคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้าม
“โถๆๆ เฉินจิ่นเอ๋ยเฉินจิ่น เสียทีที่เป็นถึงคนของจวนกั๋วกงหยกประดับไม่หยกประดับอะไรกัน อย่าพูดให้ตลกไปหน่อยเลย” เซียงซานเซี่ยนจู่กัวย่วน หลังทอดกายนั่งตามสบายลงยังเก้าอี้ข้างโต๊ะกลมที่ตั้งอยู่อีกด้าน นางก็พาดแขนลงบนผ้าคลุมเก้าอี้ นิ้วที่ถูกทาเล็บไว้เคาะอยู่บนผ้าคลุมเก้าอี้เป็นระยะๆ ดวงตาคู่สวยหรี่ลงครึ่งหนึ่ง คิ้วเรียวโค้งเลิกขึ้นเล็กน้อย คางเชิดสูงประมาณหนึ่ง แลดูหยิ่งยโสราวกับควรเป็นเช่นนั้นอยู่แต่ไหนแต่ไร
เพราะมีฐานะเป็นบุตรีเพียงหนึ่งเดียวขององค์หญิงใหญ่หย่งหนิง ทำให้เพียงแปดขวบกัวย่วนก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเซี่ยนจู่แล้ว ยามนี้นางอายุสิบสี่ปีบริบูรณ์ รูปร่างหน้าตางดงามชวนตรึงตรา เซียวไทเฮาในรัชสมัยปัจจุบันก็ทรงเอ็นดูนางไม่ใช่น้อย เรียกได้ว่าเป็นคนโปรดอันดับหนึ่งในหมู่สตรีสูงศักดิ์แห่งราชวงศ์ต้าฉู่
บางทีอาจเพื่อแสดงถึงฐานะที่ไม่ธรรมดาของตนเอง วันนี้นางจึงสวมใส่อาภรณ์สีชมพูเข้มปักลายโบตั๋นด้วยไหมทองด้ายสี ชายกระโปรงกองยาวกรอมเท้าประหนึ่งย่ำอยู่เหนือเมฆแดง เกล้ามวยทรงชมเทพ มีปิ่นขนนก เส้นทองปักอยู่ทางด้านบนอันหนึ่ง มุกที่ประดับอยู่บนปิ่นนั้นมีขนาดประมาณนิ้วหัวแม่โป้ง มันปลาบเป็นเงา ขับดุนอยู่กับดวงตากลมโตสุกกระจ่างราวกับผลซิ่งริมฝีปากแดงระเรื่อประหนึ่งแต่งแต้มไว้ด้วยชาด แลดูเด่นชัดน่าเกรงขาม
“คุณหนูเฉิน อย่าหาว่าข้าไม่เตือน ที่เจ้าขโมยไปคือ ‘หยกมังกรชือหลงเก้าห่วง’ สมบัติล้ำค่าของวังหลวง เสด็จยายพระราชทานให้กับข้า แต่ยามนี้กลับถูกเจ้าทำแตกเป็นสองท่อน เช่นนี้แล้วจะให้ข้าไปทูลต่อพระองค์เช่นไร” กัวย่วนสีหน้าบึ้งตึง ปิ่นทองบนศีรษะขยับไหว อัญมณีส่องประกายระยิบระยับ แต่กลับมิอาจกลบสายตาเย็นเยียบคู่นั้นของนางได้
เรือนรับรองเงียบงันไร้สรรพเสียง ทว่าสีหน้าของทุกคนกลับแตกต่างกันออกไป
คฤหาสน์อู่หลิงปิดมานานหลายปี จนถึงยามนี้เจิ้นหย่วนโหวถึงเพิ่งยอมเปิดคฤหาสน์จัดงานเลี้ยงรับวสันต์ แต่ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องราวฉาวโฉ่ใหญ่โตเช่นนี้ได้
สตรีที่โดดเด่นที่สุดแห่งจวนเฉิงกั๋วกงกลับขโมยหยกประดับของเซียงซานเซี่ยนจู่ เรื่องนี้เกินกว่าที่ใครจะคาดคิดได้จริงๆ
แต่ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นคือบรรดาฮูหยินทั้งหลายรวมถึงองค์หญิงใหญ่หย่งหนิงต่างล้วนนั่งเรือวิจิตรไป ‘อู่หลิงหยวน’ ชมทะเลสาบกันก่อนหน้านี้แล้ว ที่อยู่ในเรือนรับรองต่างล้วนเป็นสตรีที่ยังมิได้ออกเรือน แม้แต่ผู้อาวุโสที่จะทำหน้าที่ควบคุมสถานการณ์สักคนก็ยังไม่มี
เรื่องนี้จะจบลงเช่นไรนั้น ยากที่ใครจะเดาได้แล้ว
สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปยังสตรีสูงศักดิ์อีกนางโดยไม่ได้นัดหมาย กู้หนาน
กู้หนานเป็นบุตรีของซื่อจื่อกู้ซ่าน อนาคตผู้สืบทอดตำแหน่งเจิ้นหย่วนโหวต่อจากผู้เป็นบิดา งานเลี้ยงครานี้ไม่ว่าเช่นไรนางก็ไม่อาจปฏิเสธฐานะผู้เป็นเจ้าบ้านได้ เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นนางย่อมต้องออกหน้าคลี่คลายสถานการณ์ ไม่อาจทำตัวเสมือนคนนอก
เพียงแต่กู้หนานในยามนี้กลับปั้นหน้าลำบากใจ ยืนฟั่นผ้าเช็ดหน้าอยู่ระหว่างเซียงซานเซี่ยนจู่กับเฉินจิ่น แม้นจะมีใจคิดจะเดินขึ้นหน้าไปไกล่เกลี่ย แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าตนเองไม่เหมาะจะเอ่ยปากอันใด
ด้านหนึ่งคือหลานสาวคนโตของจวนกั๋วกง อีกด้านคือบุตรีขององค์หญิงใหญ่ ไม่ว่าจะฝ่ายใดก็ล้วนแต่ไม่อาจล่วงเกินด้วยกันทั้งสิ้น หากพูดผิดไปเพียงประโยค ผู้คนในจวนเจิ้นหย่วนโหวทั้งหมดคงไม่แคล้วต้องถูกลากเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเป็นแน่ หากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นจริง ไหนเลยจะเป็นเรื่องดีอันใดได้
“งานเลี้ยงเฉลิมฉลองดีๆ กลับถูกเจ้าทำลายป่นปี้เช่นนี้ นี่เจ้าไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือไร” กัวย่วนขยับกายเปลี่ยนท่านั่งด้วยท่าทีเรียบเฉย สีหน้ายังคงเย็นชาเหมือนเก่า
เฉินจิ่นเชิดหน้ามองไปที่นอกหน้าต่าง รู้สึกวิงเวียนตาลาย สองขาชาสิ้น เอวและแผ่นหลังที่เคยเหยียดตรงอยู่ตลอดยามนี้กลับราวกับถูกหินหนักพันชั่งกดทับ หนักอึ้งจนนางหายใจแทบไม่ออก
นางจะไปขโมยหยกมังกรชือหลงเก้าห่วงได้เช่นไร
นางสิ้นคิดเพียงนั้น?
นางเป็นถึงบุตรีของซื่อจื่อเฉิงกั๋วกง ว่าที่เฉิงกั๋วกงคนต่อไป มารดาแซ่สวี่มาจากตระกูลขุนนางชั้นผู้ใหญ่ มากด้วยคุณธรรมชื่อเสียงโด่งดัง ท่านตาใหญ่ของนางสวี่เซิ่นเป็นถึงรองเสนาบดีกรมพิธีการฝ่ายซ้าย ส่วนท่านตารองของนางสวี่โยวก็เป็นถึงบัณฑิตประจำสำนักราชเลขาธิการ ทั้งสองล้วนมีโอกาสที่จะได้เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่
ว่ากันด้วยฐานะชาติกำเนิด เฉินจิ่นเองก็นับว่ามีฐานะสูงส่งไม่ใช่น้อย ยิ่งเรื่องหน้าตาความสามารถ ในเมืองหลวงแห่งนี้นางเรียกได้ว่าโดดเด่นไม่แพ้ผู้ใด และไม่ได้ด้อยไปกว่าสตรีอย่างกัวย่วนด้วยซ้ำ
แล้วเหตุใดนางถึงต้องทำเรื่องต่ำช้าเช่นนั้นด้วย
“หยกมังกรชือหลงเก้าห่วงนั่นข้าไม่ได้เป็นคนเอาไป ข้าไม่ได้ทำก็คือไม่ได้ทำ” เฉินจิ่นควบคุมโทสะที่คุกรุ่นอยู่ในใจอย่างเต็มกำลัง ผิวหน้าขาวสล้างแดงก่ำผิดปกติ ใบหน้างดงามที่มีอยู่แต่เดิมเริ่มปรากฏริ้วรอยบิดเบี้ยวบูดบึ้งออกมาให้เห็น
นางนึกน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ในเวลาเดียวกันในใจก็รู้สึกหนาวสะท้าน
เรื่องนี้ไม่บังเอิญเกินไปหน่อยหรือไร
ไม่ว่าจะเวลาเกิดเหตุ พยานหลักฐานที่กัวย่วนนำมาแสดง หากพิจารณาไปตามเหตุและผล ข้อกล่าวหาของอีกฝ่ายล้วนไม่มีพิรุธอันใดแม้แต่น้อย
นอกจากปฏิเสธไม่ยอมรับแล้ว เฉินจิ่นก็ไม่มีทางออกอื่น
“เจ้าบอกว่าตนเองไม่ได้เป็นคนเอาไป แต่กลับมีคนเห็นเจ้าขโมย เห็นเจ้าขว้างมันลงพื้นกับตา เมื่อครู่เจ้าเองก็ได้ยินพยานบอกอยู่ทนโท่มิใช่หรือไร” กัวย่วนเอ่ยปากอย่างไม่เร่งร้อน แววตาที่มองดูเฉินจิ่นนั้นคมกริบไม่ต่างอะไรกับสายตาของนายพรานที่กำลังจับจ้องมองเหยื่อ
“สาวใช้นางนั้นกล่าววาจาเหลวไหล เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพูดจาปรักปรำใส่ร้ายผู้อื่น!” เฉินจิ่นสะบัดแขนเสื้อเต็มแรง ถลึงตาโมโหมองดูคนที่คุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะกลมนั่น
อีกฝ่ายเป็นสาวใช้สวมเสื้อกุ๊นขอบไม่มีแขนสีน้ำเงิน อายุราวๆ สิบกว่าปี นางก้มหน้าห่อไหล่ ท่าทางอ่อนแอยิ่งนัก
เมื่อครู่สาวใช้ผู้นี้ยืนกรานหนักแน่นว่าเห็นเฉินจิ่นขโมยหยก อีกทั้งยังบอกว่าสะกดรอยเดินตามนางไปห้องสุขา เห็นนางขว้างหยกประดับลงกับพื้น หากไม่ใช่เพราะมีสาวใช้เป็นพยาน กัวย่วนไหนเลยจะฮึกเหิมกล้าเปิดเผยเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคนเช่นนี้
บทที่ 2 สาวใช้นามเถาจือ
กัวย่วนมองตามเฉินจิ่นไปที่สาวใช้นางนั้น คางเชิดขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ย “เจ้า…เจ้าชื่อว่ากระไร”
สาวใช้ตอบออกมาอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เรียนเซี่ยนจู่ ผู้น้อยชื่อเถาจือเจ้าค่ะ”
กัวย่วนส่งเสียง “อืม” ออกมาคำหนึ่งก่อนจะเอ่ยปากช้าๆ ว่า “เถาจือ คุณหนูเฉินผู้นี้บางทีอาจได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของเจ้าไม่ถนัด เอาล่ะ ลองเล่าเรื่องที่เจ้าเห็นให้พวกเราฟังอีกครั้งสิ ข้าเองก็จะได้ฟังดูด้วยว่าหน้าหลังมีอะไรไม่สอดคล้องกันหรือไม่”
ขณะกำลังพูดริมฝีปากของนางก็ยกขึ้นน้อยๆ อย่างอารมณ์ดี “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ รอบคอบสักหน่อยเป็นการดี จะได้ไม่มีคนครหาได้ว่าสกุลกัวของข้าปรักปรำคนดี”
“เจ้าค่ะเซี่ยนจู่” เถาจือเงยหน้าหวาดๆ นางกวาดตามองเฉินจิ่นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้มหน้าลงอีกครั้งและเอ่ยว่า “เมื่อ…เมื่อไม่ถึงสองเค่อ* ก่อนหน้านี้ ผู้น้อยเห็นคุณหนูเฉิน…จงใจชนเซี่ยนจู่ พอเซี่ยนจู่เดินจากไปไกล ในมือนางก็มีของเพิ่มขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ที่ผู้น้อยเห็น มันเหมือนจะเป็นหยกชิ้นหนึ่ง หลังจากนั้นนางก็ถือหยกชิ้นนั้นเดินจากไป…”
“เจ้าพูดจาเหลวไหล!” เฉินจิ่นสะกดอารมณ์โกรธขึ้งไม่อยู่ นางพูดอย่างเดือดดาล “ข้าไปเอาหยกอะไรมาตั้งแต่เมื่อใด อีกอย่างข้าเองก็รู้สึกประหลาดใจมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ในเมื่อเจ้าเห็นข้าเอาหยกไปกับตา แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่เอ่ยปากเสียแต่แรก จะได้จับโจรได้คาหนังคาเขา”
“หึๆ คุณหนูเฉิน เจ้าจะร้อนใจไปไย” กัวย่วนพูดแทรกเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวพลางเลิกคิ้วเรียวโค้ง “จะดีจะชั่วอย่างไรเจ้าก็มีฐานะเป็นนาย จะไปโวยวายกับบ่าวไพร่เพื่อการใด หรือว่าสตรีในจวนกั๋วกงล้วนเป็นเยี่ยงนี้?”
เสียงหัวเราะคิกคักดังแว่วเข้าหู
แต่ไหนแต่ไรเฉินจิ่นก็เข้าใจว่าตนเองเป็นคนมีพรสวรรค์ หน้าตางดงามหมดจด หยิ่งทะนงไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา ทว่าในหมู่สตรีสูงศักดิ์กลับไม่มีสหายสักเท่าใดนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้คนที่อยากเห็นนางเสียหน้าย่อมมีอยู่ไม่ใช่น้อย
เฉินจิ่นยืดหลังตรง ใบหน้ากลับกลายเขียวคล้ำ วาจาหยามเหยียดของอีกฝ่ายทำนางอัปยศอดสูจนไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ใด
นางกัดริมฝีปากล่างเต็มแรง บังคับตนเองให้เงยหน้าจ้องตามองกัวย่วน น้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยว่า “การอบรมสั่งสอนในจวนกั๋วกงของพวกเราไม่จำเป็นต้องรบกวนให้จวนองค์หญิงใหญ่สอนสั่ง ต่อให้เซียงซานเซี่ยนจู่มีชั้นยศ ก็ไม่อาจยุ่งเรื่องในบ้านของผู้อื่น”
วาจาแข็งขืนยิ่งนัก คงมีเพียงสตรีในจวนกั๋วกงเท่านั้นที่กล้าตีฝีปากทัดเทียมกับเซี่ยนจู่เช่นนี้
ดวงตาของกัวย่วนฉายแววโหดเหี้ยมอำมหิตขึ้นมาวูบหนึ่ง นางไม่ได้ต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย ทำเพียงมองดูเถาจือที่นิ่งหมอบอยู่ข้างเท้า พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้ายังไม่ได้สั่งให้เจ้าหยุด สุนัขรับใช้เช่นเจ้ากลับกล้าหยุดพูดตามใจชอบ? ยังไม่รีบพูดอีก!”
เฉินจิ่นสีหน้าเขียวคล้ำ เม้มริมฝีปากแน่น
กัวย่วนจงใจพูดจาตีวัวกระทบคราด หากเฉินจิ่นยังคงเอ่ยปากอีก นางมิเท่ากับกลายเป็น ‘สุนัขรับใช้’ ที่อีกฝ่ายพูดถึงหรือ
“เจ้าค่ะเซี่ยนจู่ ผู้น้อยจะพูดเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงของเถาจือไม่มั่นคง คล้ายกำลังหวาดกลัวอย่างหนัก นางกลืนน้ำลายลงคอคราวหนึ่งก่อนจะเอ่ยปากต่อ “ผู้น้อยถึงจะเห็นคุณหนูเฉินเอาหยกไป แต่ผู้น้อยเป็นเพียงบ่าวต่ำต้อย อีกทั้งยังกลัวจะมองผิดไป เลยไม่กล้าปริปากพูดอันใด”
น้ำเสียงของนางแม้จะสั่นสะท้าน ทว่าคำพูดที่กล่าวออกมาล้วนชัดถ้อยชัดคำ “ต่อมาพอเห็นคุณหนูเฉินออกไปจากเรือนรับรอง ผู้น้อยก็รู้สึกไม่วางใจจึงแอบสะกดรอยตามนางไป เห็นนางเข้าไปในห้องสุขา จะว่าไปก็แปลก ห้องสุขาในเวลานั้นว่างเปล่า บ่าวไพร่ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็ไม่รู้หายไปที่ใดหมด ผู้น้อยเพราะอยากรู้อยากเห็นจึงรวบรวมความกล้าเดินตามเข้าไป พอเลิกม่านออกดูก็เห็นในมือของคุณหนูเฉินถือหยกชิ้นหนึ่งอยู่จริงๆ เพราะอยู่ห่างกันไม่ไกล ผู้น้อยจึงเห็นรูปร่างของหยกชิ้นนั้นถนัดชัดแจ้ง มันคือหยกที่อยู่บนโต๊ะนั่น”
นิ้วที่สั่นระริกของนางชี้ไปที่โต๊ะกลม สิ่งที่วางอยู่ด้านบนคือหยกมังกรชือหลงเก้าห่วงที่หักเป็นสองท่อน
กัวย่วนส่งเสียง “อืม” อย่างพึงพอใจออกมาคำหนึ่งพลางส่งสัญญาณบอกให้เถาจือพูดต่อ
เถาจือยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผากก่อนจะกล่าวต่อ “ผู้น้อยเห็นคุณหนูเฉินปาหยกลงกับพื้นเต็มแรง หยกหักเป็นสองท่อนทันที หลังจากนั้นก็ใช้เท้าเหยียบขยี้มันไม่หยุด เหมือนจะพูดว่า ‘ใครใช้ให้เจ้าแต่งบทกวีได้ดีกว่าข้า ใครใช้ให้เจ้าช่วงชิงวิญญาณในงานชุมนุมกวีกับข้า’ อะไรทำนองนั้น ได้ยินเช่นนี้แล้วผู้น้อยก็นึกกลัว รีบวิ่งกลับมา”
“พรืด…” จู่ๆ กัวย่วนก็หลุดหัวเราะออกมาคราหนึ่ง ลักยิ้มลึกๆ ปรากฏขึ้นบนสองแก้ม แลดูน่ารักน่าใคร่ยิ่ง
นางยื่นเท้าเตะไปที่ตัวเถาจือเบาๆ คราหนึ่งก่อนจะยิ้มด่าอีกฝ่าย “เจ้ามันโง่งมยิ่งนัก นั่นเรียกช่วงชิงวิญญาณเสียที่ใดกัน เขาเรียกชิงปัญญาสามารถต่างหาก”
“อา…ใช่เจ้าค่ะๆ” เถาจือรีบพยักหน้ายิ้มประจบประแจง “เซี่ยนจู่มีความรู้ ผู้น้อยอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ไหนเลยจะรู้จักเข้าใจถ้อยคำชั้นสูงเช่นนั้น”
กัวย่วนได้ใจ ประคองถ้วยชาบนโต๊ะขึ้น สายตามองผ่านฝาถ้วยไปยังเฉินจิ่นพลางพูดด้วยรอยยิ้มหยัน “ในงานชุมนุมกวีเมื่อเดือนที่แล้วคุณหนูเฉินพ่ายแพ้แก่ข้า ดังนั้นจึงระบายโทสะเอากับหยกของข้า หึๆ คุณหนูเฉิน เจ้าช่างจิตใจคับแคบยิ่งนัก”
บรรยากาศในเรือนรับรองเงียบสงัดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์
เทศกาลกำเนิดบุปผาเมื่อครึ่งเดือนก่อน ฮูหยินของซิงจี้ป๋อได้จัดงานชุมนุมกวีขึ้น เฉินจิ่นกับกัวย่วนต่างเข้าร่วมงาน ผลก็คือกัวย่วนเป็นผู้ชนะ เฉินจิ่นพ่ายแพ้ให้อีกฝ่ายอย่างน่าเสียดาย
เพราะก่อนหน้านี้เถาจือไม่ได้เล่าละเอียดเช่นนี้ ทุกคนจึงไม่มีใครนึกถึงเรื่องนี้ ยามนี้พอได้ยินคำว่า ‘ชุมนุมกวี’ หลุดออกจากปากกัวย่วน หลายคนถึงกับแสดงสีหน้าเข้าอกเข้าใจออกมาทันที
หากบอกว่าสตรีจวนกั๋วกงขโมยเพราะละโมบในทรัพย์สิน คำพูดเช่นนี้เกรงว่าจะไม่น่าเชื่อถือเท่าใดนัก แต่หากบอกว่านางลงมือทำเรื่องเหลวไหลเพราะต้องการระบายโทสะ เช่นนั้นนี่ก็เป็นอีกเรื่องแล้ว สตรีที่ได้รับเมตตาจากสวรรค์เหล่านี้มีใครที่ใดบ้างที่ไม่ ‘งดงามยโส’ ต่อให้เป็นเรื่องที่เกินเลยกว่านี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีคนเคยทำมาก่อน
“พูดต่อไป หลังจากนั้นเล่า” กัวย่วนถามเถาจือต่อ น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจยิ่ง
เถาจือกลืนน้ำลายก่อนจะพูดต่อ “หลังจากผู้น้อยกลับมาได้ไม่นานก็ได้ยินเซี่ยนจู่บอกว่าทำหยกหาย คุณหนูรองบอกว่าพบหยกแตกเป็นสองเสี้ยวอยู่ในห้องสุขา ผู้น้อยรู้สึกว่าตนเองไม่อาจแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อไปได้อีก ผู้น้อย…ที่ผู้น้อยกล่าวมาล้วนเป็นความสัตย์”
“เหลวไหล!” เฉินจิ่นโมโหอกกระเพื่อม นางกัดฟันถลึงตามองเถาจือ “เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเจ้ากำลังใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น!”
เถาจือตกใจกลัวเนื้อตัวสั่นสะท้าน ร่างกายขดเข้าหากันเป็นก้อน
กัวย่วนวางถ้วยชาลงกับโต๊ะเต็มแรง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หยกมังกรชือหลงเก้าห่วงคุณหนูรองสกุลกู้พาคนออกค้นหา พยานหรือก็เป็นสาวใช้จวนเจิ้นหย่วนโหว ทั้งสองล้วนไม่ใช่คนของข้า หรือคุณหนูเฉินจะบอกว่าพวกเราพร้อมใจกันรังแกเจ้าอย่างนั้นหรือ เจ้ายืนกรานอยู่ตลอดว่าตนเองถูกปรักปรำ ได้ เช่นนั้นเจ้าก็หาพยานหลักฐานมาโต้แย้งข้า ข้ากัวย่วนจะรอเจ้าอยู่ที่นี่”
เฉินจิ่นยืนใบหน้าเขียวคล้ำ ฟันแทบกัดริมฝีปากฉีก ความรู้สึกโกรธขึ้งน้อยเนื้อต่ำใจอัดแน่นอยู่ในอกจนเจียนจะระเบิด
หากมีคนช่วยยืนยันว่านางอยู่ที่ใดทำอะไรอยู่ในเวลานั้นได้จริง นางไหนเลยจะถูกเซียงซานเซี่ยนจู่กัดไม่ปล่อยเช่นนี้ได้
เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางถูกปรักปรำ แต่ทุกสิ่งกลับประจวบเหมาะเสียจนไม่รู้จะแก้ต่างเช่นไร ใครเป็นคนขัดขานางจนนางไปชนเข้ากับเซียงซานเซี่ยนจู่นางเองก็บอกไม่ได้ ตอนที่นางปวดท้องกะทันหัน สาวใช้ที่ชื่อไฉ่เจวี้ยนก็ไม่อยู่ข้างกาย ทำให้นางต้องไปห้องสุขาเพียงลำพัง หนำซ้ำนางยังออกมาจากห้องสุขาที่พบหยกนั่นเป็นคนสุดท้ายอีก
นางติดกับชาวบ้านเข้าเต็มเปา
ที่น่าโมโหคือทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นหลุมพราง แต่นางกลับไม่อาจแก้ต่างให้กับตนเองได้
บทที่ 3 คุณหนูสามสกุลเฉิน
“คราวนี้เจ้าคงพูดไม่ออกแล้วกระมัง” เสียงของกัวย่วนไม่ดังนัก ทว่าทุกถ้อยคำกลับมุดแทรกเข้าถึงรูหูของทุกคน
นางพูดพลางยกถ้วยชาขึ้นด้วยท่วงท่าสบายๆ นิ้วมือเรียวยาวราวกับต้นหอมไล้อยู่บนฝาถ้วยช้าๆ สิบนิ้วเรียวแหลม เล็บเคลือบโค่วตันสีแดงดั่งเลือดงดงามหยาดเยิ้ม “ไม่ว่าจะพยานหรือหลักฐานล้วนมีพร้อม คุณหนูเฉิน ไม่ว่าเจ้าจะเล่นลิ้นเช่นไรก็ไม่มีประโยชน์”
ขณะกำลังพูด ดวงตาของนางก็ฉายแววได้ใจอย่างเก็บงำไว้ไม่อยู่
ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างล่องเรือวิจิตรชมทะเลสาบกันหมดสิ้น ในนอกเรือนรับรองนี้คนที่มีฐานะสูงส่งที่สุดคือนางเซียงซานเซี่ยนจู่
ด้วยชั้นยศและฐานะ นางไม่เชื่อว่าจะกดหัวเฉินจิ่นไม่ได้
กัวย่วนมองต่ำ แววตาโหดเหี้ยมอำมหิตที่แฝงลึกอยู่ในดวงตานางยามนี้แปรเปลี่ยนเป็นหยามเหยียดดูแคลน
ไม่ว่าจวนกั๋วกงจะยิ่งใหญ่สักเพียงใด จวนองค์หญิงใหญ่ของพวกนางก็หาได้ต่ำต้อยกว่าไม่ ยิ่งว่ากันด้วยเรื่องสายสัมพันธ์กับฮ่องเต้ด้วยแล้ว จวนองค์หญิงใหญ่ก็ยิ่งเหนือกว่า ยามนี้นางแค่เล่นลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ชื่อเสียงของจวนกั๋วกงก็หล่นร่วงตกบันไดไปไม่รู้กี่ขั้นต่อกี่ขั้น
วันหน้ายามสตรีในจวนกั๋วกงออกมาร่วมงานเลี้ยงรับรอง แต่ละคนย่อมไม่แคล้วไร้สิ้นสง่าราศีเป็นแน่ แค่นึกก็สนุกยิ่งแล้ว
พอคิดได้เช่นนั้นแววตาดูแคลนที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ของนางก็จางหายไปจนสิ้น เหลือก็แต่ความรู้สึกลิงโลดได้ใจ รอยยิ้มงดงามปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ
เฉินจิ่นอดทนอดกลั้นจนหน้าแทบจะกลายเป็นสีม่วง ขณะกำลังอับจนหนทาง นางก็ส่งสายตาร้องขอความช่วยเหลือไปยังญาติผู้น้องของนางสองคน เฉินเซียงกับเฉินหาน
พวกนางล้วนแต่เป็นสตรีบ้านสาม ครั้งนี้ติดตามออกมาร่วมงานเลี้ยงรับวสันต์
“น้องรอง น้องสี่ พวกเจ้าไม่เห็นอะไรเลยอย่างนั้นหรือ” ใบหน้าของเฉินจิ่นแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกวาดหวัง
ได้ยินคำพูดเช่นนั้น คุณหนูรองเฉินเซียงกับคุณหนูสี่เฉินหานที่ขัดเขินจนหน้าแดงอยู่แต่เดิมก็พากันหูแดงขึ้นมาทันที
เฉินเซียงกัดริมฝีปาก พูดเสียงแผ่วว่า “พี่ใหญ่ พวกเรา…ล้วนแต่ดูการแสดงอยู่ที่ด้านหน้า ไม่เห็นอะไรแม้แต่น้อย”
ถึงนี่จะเป็นคำตอบที่เฉินจิ่นคาดเดาได้แต่แรก แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังอดหนาวสะท้านไปทั้งใจไม่ได้
บ้านสามกับบ้านใหญ่ไม่ว่าเช่นไรก็มิใช่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
กั๋วกงมีลูกหลานอยู่ด้วยกันสี่บ้าน บิดาของเฉินจิ่นนามเฉินซวิน ไม่เพียงเป็นบุตรชายคนโตหากยังเป็นบุตรในอุทรของภรรยาเอกซึ่งก็คือฮูหยินใหญ่ จึงมีฐานะเป็นซื่อจื่อจวนกั๋วกงคนปัจจุบัน ส่วนนายท่านรองเฉินเซ่านั้นเป็นบุตรที่เกิดจากอนุ หายตัวไปนานหลายปีแล้ว เป็นไม่พบคนตายไม่พบศพ นายท่านสามเฉินเหมี่ยนนั้นก็เกิดจากอนุเช่นกัน ส่วนนายท่านสี่เฉินลี่กลับเป็นบุตรที่เกิดจากฮูหยินใหญ่
ด้วยเพราะภรรยาเอกกับอนุมีความต่าง บ้านใหญ่กับบ้านสี่ย่อมมีสัมพันธ์ใกล้ชิด ส่วนบ้านรองเพราะไม่มีคนคอยค้ำชูเกื้อหนุน ดังนั้นหลายปีมานี้จึงมีสภาพราวกับไร้ตัวตน เหลือก็แต่บ้านสามที่ไม่อิงแอบแนบชิด ไม่ทำตัวสนิทสนมกับผู้ใด
เฉินเซียงกับเฉินหานไม่ได้หลบลี้หนีหน้าหากกลับยืนอยู่ข้างเฉินจิ่น นี่เป็นสิ่งที่พวกนางพอจะทำได้มากที่สุดแล้ว ทว่าคิดให้พวกนางออกปากช่วยเหลือนั้นไหนเลยจะเป็นไปได้
เฉินจิ่นรู้สึกสิ้นหวัง ได้แต่มองไปทางกู้หนาน
ด้วยฐานะเจ้าบ้าน กู้หนานเป็นเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่พอจะพูดอะไรได้
“เอ่อ…ข้าคิดว่า…เซี่ยนจู่อย่างไรก็…ระงับความโกรธกริ้วไว้ก่อนเถอะ” กู้หนานฝืนเอ่ยปาก รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้างดงามนั้นแข็งทื่ออยู่เล็กๆ “เรื่องนี้…ข้าว่า…รอให้องค์หญิงใหญ่กับฮูหยินใหญ่เฉินกลับมาก่อนแล้วค่อยตัดสินความกัน เอ่อ…พวกเราล้วนแต่อายุยังน้อย จัดการกันเองคงไม่เหมาะนัก”
องค์หญิงใหญ่เป็นพระมารดาของกัวย่วน ส่วนฮูหยินใหญ่เฉินเป็นมารดาของเฉินจิ่น ทั้งสองต่างได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากฮ่องเต้ ไม่ว่าจะว่ากันด้วยเรื่องอำนาจหรือชั้นยศ พวกนางทั้งสองต่างไม่มีใครสูงใครต่ำ ไม่มีใครกลัวใคร จวนเจิ้นหย่วนโหวของนางเป็นก็แค่ขุนนางลอยชายเท่านั้น ไหนเลยจะกล้ายื่นมือเข้าไปสอด กู้หนานได้แต่หวังว่าจะสามารถหลับหูหลับตาผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้โดยเร็ว
สีหน้าของกัวย่วนผ่อนคลายลงเล็กน้อย นางลดตัวยิ้มให้กับกู้หนาน “เห็นแก่หน้าเจ้า ข้าจะไม่ถือสาเอาเรื่องเอาราวก่อนชั่วคราว ไว้เสด็จแม่กลับมาแล้วค่อยว่ากันใหม่” พูดจบนางก็กวาดตามองไปทางเฉินจิ่นพลางยิ้มเย็นชา “ครานี้คุณหนูใหญ่เฉินคงได้โด่งดังใหญ่แล้ว”
เฉินจิ่นใบหน้าแดงก่ำ ทั้งโมโหทั้งอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ทว่านางทำได้เพียงฝืนพูดเสียงสั่น “อย่าว่าแต่องค์หญิงใหญ่เลย ต่อให้คนที่มามีอำนาจบารมียิ่งกว่า ข้าเฉินจิ่นก็ยังคงยืนกรานคำเดิม ข้าไม่ได้เอาไป ผู้ใดก็อย่าหมายใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกข้า”
ปึง!
กัวย่วนตบโต๊ะเต็มแรง ลุกขึ้นตวาดด้วยความโมโห “เจ้ากล้าหมิ่นพระเกียรติเสด็จแม่ข้าหรือ!”
ถ้วยชาบนโต๊ะดังเคร้งคร้าง ขับดุนอำนาจบนกายนางให้ยิ่งปรากฏชัด
เฉินจิ่นถลึงตามองอีกฝ่ายกลับอย่างไม่ยอมแพ้ “จวนกั๋วกงของพวกเราได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากฮ่องเต้ มีหรือต้องกลัวพวกเจ้าด้วย!”
ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียแล้ว นางยังจะต้องสนใจเรื่องมารยาท สงวนท่าที และระวังคำพูดอันใดอีก
เมื่อเห็นเรื่องราวกลับกลายไม่สู้ดีเช่นนั้น กู้หนานก็รีบยิ้มไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “พวกท่านทั้งสองใจเย็นๆ ก่อน อย่าได้ทำลายความสัมพันธ์ นั่งลงดื่มชา ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน” นางพูดพลางขยับขึ้นหน้ารินน้ำชาให้กัวย่วนก่อน หลังจากนั้นก็เรียกคนให้เอาเก้าอี้มาให้เฉินจิ่นนั่ง สายตาร้อนรนกวาดมองไปที่นอกฝูงชน
สาวใช้ที่ชื่อชิวฟางยืนอยู่ข้างประตูเรือนรับรอง พอเห็นกู้หนานมองมานางก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธ
กู้หนานลอบกัดฟันแน่น ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกบิดเป็นเกลียวไม่ต่างอะไรกับขนมหมาฮวา
นางส่งคนไปแจ้งผู้เป็นมารดาแล้ว เพียงแต่เรือวิจิตรลำนั้นออกจากฝั่งไปนานแล้ว คนส่งข่าวต้องพายเรือตามไป กว่าจะไปกว่าจะกลับมาอย่างไรก็ต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่ง
ยามนี้กัวย่วนนั่งกลับไปบนเก้าอี้แล้ว กำลังเชิดหน้ามองดูเฉินจิ่น อารมณ์เบิกบานเป็นพิเศษ ท่าทางไม่ต่างกับฮ่องเต้ผู้สูงส่งที่กำลังก้มมองดูขุนนางชาวประชาใต้ฝ่าเท้า “เป็นก็แค่หัวขโมยชั้นต่ำ แต่กลับทำตัวกำเริบเสิบสานต่อหน้าข้า ไม่สำเหนียกเสียบ้างว่าตนเองเป็นตัวอะไร! เฮอะ บุตรีของกั๋วกงทำตัวเป็นหัวขโมยเช่นนี้ หน้าไม่อายจริงๆ!”
“นางมิใช่ขโมย” ทันทีที่เซียงซานเซี่ยนจู่พูดจบ ใครบางคนก็เอ่ยปากขึ้น
เรือนรับรองที่เงียบงันอยู่แต่เดิม จู่ๆ ก็ยิ่งทวีความเงียบสงัดมากขึ้นไปอีก
กัวย่วนเก็บสีหน้าไม่อยู่อีกต่อไป นางหันไปมองตามที่มาของเสียง
ดรุณีน้อยนางหนึ่งค่อยๆ เดินผ่านฝูงชนออกมา
อายุของนางราวๆ สิบสองสิบสามปี มวยผมถูกเกล้าเป็นห่วงสองห่วง มีปิ่นหยกประดับอยู่บนศีรษะ ท่อนบนสวมเสื้อสีแดงอมม่วง ท่อนล่างคือกระโปรงไหมสีขาว บนเอวผูกจิ่นปู้หยกมันแพะเนื้อดีไว้
การแต่งกายของนางแม้ไม่สูงล้ำแต่ก็ไม่ต่ำต้อย รูปร่างหน้าตาธรรมดาๆ ไม่เป็นที่สะดุดตา หากจะบอกว่าบนตัวนางมีอันใดพิเศษ เช่นนั้นก็คงมีคำว่า ‘สะอาดบริสุทธิ์’ เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
สะอาดบริสุทธิ์จนแทบจะเรียกได้ว่า ‘ผิดปกติ’
สัมผัสสะอาดบริสุทธิ์นี้ไม่ได้อยู่ที่สีผิวรูปร่างหน้าตา มิได้อยู่ที่การแต่งตัว หากอยู่ที่ลักษณะท่าทางของนาง ท่วงท่ารวมถึงการเคลื่อนไหวยามก้าวเดิน เสมือนหนึ่งธารน้ำไหลรินสู่บูรพา ใสกระจ่างไม่มีสะดุด
และด้วยเพราะท่วงทีสะอาดหมดจดเช่นนี้ ขนาดเดินมาหยุดอยู่ข้างเฉินจิ่นที่ถูกยกย่องให้เป็นโฉมสะคราญแล้ว ความงามของเฉินจิ่นก็ยังมิอาจข่มนางให้กลับกลายอ่อนด้อย แม้แต่สตรีงดงามเย้ายวนอย่างเซียงซานเซี่ยนจู่ก็ยังถูกความสะอาดบริสุทธิ์ราวสายน้ำใสกระจ่างนั้นชะล้างจนแลดูจืดจาง
“คิดว่าใครเสียอีก ที่แท้ก็คุณหนูสามสกุลเฉินนี่เอง” กัวย่วนมองไปยังคนที่มา สีหน้าไม่สบอารมณ์เมื่อครู่จางหาย สายตาหยามเหยียดดูแคลนปรากฏขึ้นอีกครั้ง “ไม่ทราบว่าคุณหนูสามคิดจะทำอะไร อย่าหาว่าข้าไม่เตือน พี่สาวของเจ้าเป็นหัวขโมย ยามนี้พยานหลักฐานพร้อมมูล อีกครู่ข้าจะมอบให้เหล่าผู้อาวุโสเป็นคนตัดสิน เด็กอย่างเจ้าถอยไปให้ไกลหน่อยดีกว่าจะได้ไม่ถูกคนอื่นสงสัยเอาด้วย มาร่วมเดินอยู่กลางน้ำขุ่นเช่นนี้ หรือว่าหัวสมองเจ้าใช้การไม่ได้เสียแล้ว?”
เสียงหัวร่อ ‘คิกคัก’ ดังขึ้นอีกครั้ง
เสียงหัวเราะเบิกบานใสกระจ่างราวกับบทเพลงของอิสตรีทั้งหลายประหนึ่งเพียงเพราะรู้สึกสนุกสนานล้วนๆ หาได้มีจิตอกุศลใดๆ ไม่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.