บทที่ 16 กฎอาภรณ์เครื่องประดับ
สวี่ซื่อยิ้มน้อยๆ คราหนึ่งพลางยกถ้วยชาขึ้นดื่มด้วยท่วงท่าเอ้อระเหย “ลูกจิ่นเป็นคนรักสนุก เกรงว่าคงยากจะอยู่นิ่งวงสนทนากับพวกเจ้า มิน่านางถึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ป้าฟัง”
คำพูดนี้กำลังตำหนิที่เฉินอิ๋งไม่ยอมแนะนำคุณหนูหวังทั้งสองให้เฉินจิ่นได้รู้จัก?
ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในใจเฉินอิ๋งครู่หนึ่ง ก่อนจะถูกนางโยนทิ้งออกจากสมองในที่สุด
สวี่ซื่อคิดเช่นไร ไม่เกี่ยวอะไรกับนางแม้แต่น้อย
“นับตั้งแต่ปีที่แล้ว พวกนางสองคนก็บอกกับหลานมาตลอดว่าองค์หญิงใหญ่มักทรงละเมิดกฎต่างๆ อยู่เสมอ” เฉินอิ๋งพูดต่อจากเมื่อครู่ หวังว่าสวี่ซื่อจะไม่พูดออกนอกเรื่องอีก
“องค์หญิงใหญ่ทรงละเมิดกฎบัญญัติข้อใด” ในที่สุดฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ก็ถามเข้าประเด็น
เฉินอิ๋งถอนหายใจพลางรีบตอบ “เรียนท่านย่า องค์หญิงใหญ่กับเซียงซานเซี่ยนจู่ล้วนละเมิดกฎเรื่องอาภรณ์เครื่องประดับ ว่ากันตามที่คุณหนูหวังบอก มีอยู่หลายครั้งที่อาภรณ์ที่องค์หญิงใหญ่ทรงสวมใส่ด้านบนมีมังกร ส่วนเซียงซานเซี่ยนจู่ก็มักสวมรองเท้าปักไก่ฟ้าคู่หงส์คู่”
สวี่ซื่อกับฮูหยินผู้เฒ่าสวี่สีหน้าแปรเปลี่ยนพร้อมกัน
ทั่วหล้ามีเพียงฮ่องเต้และฮองเฮาเท่านั้นถึงจะสามารถสวมอาภรณ์มังกร ส่วนที่อยู่ตั้งแต่เซี่ยนจู่ลงมาก็สวมใส่ได้เพียงอาภรณ์ปักลายไก่ฟ้าคู่เท่านั้น ไม่อาจใช้ลายหงส์ได้ นี่เป็นกฎที่บรรพชนกำหนดไว้ ห้ามมิให้ผู้ใดขัดขืน
การกระทำเช่นนี้ขององค์หญิงใหญ่มิใช่การละเมิดกฎธรรมดาๆ หากเป็นฮ่องเต้ที่จริงจังกว่านี้แค่เพียงเล็กน้อย โทษของนางคงไม่แคล้วต้องถูกตัดหัว
“พวกเราเคยได้ยินพวกบ่าวไพร่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กลางงานเลี้ยงอยู่หลายครั้ง พวกนางต่างบอกว่าไทเฮาชอบพระราชทานเสื้อผ้าอาภรณ์ให้องค์หญิงใหญ่กับเซียงซานเซี่ยนจู่ บ่าวไพร่พวกนั้นไม่เข้าใจ ทว่าคุณหนูสกุลหวังสองพี่น้องกลับไม่เลอะเลือน” เฉินอิ๋งกล่าวต่อ
สวี่ซื่อเข้าใจในคำพูดของนางได้ทันที แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่กล้านึกเชื่อ นางลังเลไล้ถ้วยชาที่อยู่ในมือแผ่วเบา “เรื่องนี้จะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้เรื่องเล็กก็ได้ สกุลหวัง…จะลงมือจริงอย่างนั้นหรือ”
“สกุลหวังกับองค์หญิงใหญ่มีเรื่องหมางใจกันอยู่ พวกเขาต้องลงมือแน่” เฉินอิ๋งปล่อยข่าวสำคัญออกมา
สวี่ซื่อตกตะลึงไปกับคำพูดของอีกฝ่าย นางวางถ้วยชาลง ถามเสียงขรึมว่า “เหตุใดพวกเขาถึงมีเรื่องหมางใจกัน เรื่องนี้เริ่มต้นได้เช่นไร”
“เรื่องนี้เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับนายท่านหวัง” ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่พูดต่อ
“ท่านย่าปราดเปรื่องยิ่งนัก” มุมปากของเฉินอิ๋งยกขึ้นน้อยๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่แม้จะออกนอกจวนน้อยครั้ง แต่กลับเห็นได้ชัดว่าช่องทางข่าวสารของนางนั้นเหนือกว่าสวี่ซื่อมากนัก ปัญหาอยู่แค่เพียงนางต้องการทราบหรือไม่เท่านั้น
“นี่ก็ไม่เช้าแล้ว ข้าเองก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน ไม่กวนเวลาพวกเจ้ากินข้าวล่ะ” จู่ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ก็ยกถ้วยชาที่อยู่อีกด้านขึ้น ไม่เพียงไม่ต้องการพูดถึงเรื่องเมื่อครู่ต่อ หากยังเอ่ยปากส่งแขกออกมาตรงๆ
สวี่ซื่อตะลึงไปชั่วขณะ นางรีบวางถ้วยชาลง ลุกขึ้นเอ่ยปากนอบน้อม “พวกเราต่างหากที่เป็นฝ่ายรบกวนความสงบของฮูหยินผู้เฒ่า”
“ไม่เป็นไร” ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่กล่าว ท่าทางยังคงเปี่ยมด้วยเมตตา นางเอ่ยปากเรียกคน “หลิวเป่าซ่านจยา ช่วยส่งพวกฮูหยินใหญ่แทนข้าด้วย”
หลิวเป่าซ่านจยาเดิมก็ไม่ได้เดินไปไหนไกล พอได้ยินเสียงเรียกนางก็เลิกม่านเดินเข้ามา ค้อมกายยิ้มบอกว่า “ผู้น้อยกำลังจะขอคำชี้แนะจากฮูหยินผู้เฒ่าอยู่พอดี อาหารเย็นไม่ทราบควรจัดไว้ที่ใด”
“ที่ห้องนี้ก็แล้วกัน” ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่คล้ายไม่นึกสนใจ นางพูดออกมาเพียงประโยคเดียวก่อนจะวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ หลังจากนั้นก็หลับตาลง หลิวเป่าซ่านจยาไม่กล้าพูดมาก ทำเพียงหันหลังเลิกม่านประตูขึ้นสูงเล็กน้อย สวี่ซื่อเองก็วางเท้าแผ่วเบา นำพาเฉินอิ๋งถอยออกไปช้าๆ
จนกระทั่งเดินพ้นบันไดระเบียงทางเดินออกมา หลิวเป่าซ่านจยาถึงได้ถาม “ฮูหยินใหญ่เองก็คงเหนื่อยแล้วเช่นกัน ต้องการให้ผู้น้อยเรียกคนหามเกี้ยวเข้ามาหรือไม่”
สวี่ซื่อรีบบอก “ไม่จำเป็น ข้าก็แค่อยู่พูดคุยเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าครู่หนึ่งเท่านั้น จะเหนื่อยอันใดได้” นางพูดพลางยิ้ม “วันนี้นั่งอยู่บนรถมาครึ่งค่อนวันแล้ว ข้าอยากเดินเล่นสักหน่อย”
หลิวเป่าซ่านจยาพยักหน้า ยิ้มส่งนางออกไป
แสงสายัณห์เข้มขึ้นทีละน้อย ฟากฟ้าฝั่งตะวันตกยังคงแดงสดใสงดงาม เฉินอิ๋งเงยหน้ามองไปกลับเห็นดวงตะวันสาดแสงเฉียงแต่งแต้มมุมชายคาหน้าระเบียงทางเดิน เหมือนหนึ่งสวรรค์โปรยผงทองลงมาเบื้องล่าง ทุกจุดที่เห็นล้วนส่องประกายอบอุ่น
เหล่าสาวใช้ตัวน้อยต่างถือโคมไฟเดินตรงเข้ามาจากอีกด้าน พอเห็นสวี่ซื่อพวกนางก็รีบแสดงคารวะ ก่อนจะใช้ไม้ยาวๆ เป็นตัวล่อเชื้อไฟ จุดโคมไฟสองสามดวงที่อยู่ใกล้ประตูเรือนหมิงหย่วน
สวี่ซื่อกับเฉินอิ๋งกล่าวลาหลิวเป่าซ่านจยา หลังก้าวเท้าข้ามธรณีประตู ครั้นเงยหน้าขึ้นก็เห็นเฉินจิ่นกับพวกเฉินเซียงยืนพูดคุยกันอยู่บนระเบียงทางเดินนอกประตูพร้อมสาวใช้ ไม่ได้เดินเข้ามา ทันทีที่เห็นสวี่ซื่อเดินออกมา พวกนางก็พากันเดินเข้ามารับหน้า
“ท่านแม่ ท่านย่าว่าเช่นไรบ้าง ร้ายแรงหรือไม่” เฉินจิ่นเปิดปากก่อน ใบหน้างดงามสะดุดตาแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกวิตกกังวล ดูงดงามยากจะบรรยาย
สวี่ซื่อมองดูบุตรี แววตาทั้งภาคภูมิใจทั้งปลื้มปีติ
บุตรีของนางไม่จำเป็นต้องฉลาดเฉลียวยิ่งยวด เพราะไม่ว่าเช่นไรก็มีมารดาคอยหนุนหลังอยู่ ไม่ต้องกร้าวแกร่งมากมายเหมือนอย่างเฉินอิ๋ง
สวี่ซื่อในใจรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยน นางยื่นมือลูบไล้เส้นผมของเฉินจิ่น เอ่ยวาจานุ่มนวลว่า “เรื่องผ่านไปแล้ว”
พอได้ยินเช่นนั้นเฉินจิ่นก็สบายใจไปกว่าครึ่ง หันไปคลี่ยิ้มงดงามให้กับสวี่ซื่อ กอดแขนผู้เป็นมารดาส่ายไปมาอย่างสนิทสนม ก่อนจะหันมองไปทางเฉินอิ๋งและถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “น้องสาม เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“ข้าสบายดี ขอบคุณพี่ใหญ่ที่ถามไถ่” เฉินอิ๋งตอบตามธรรมเนียม หลังจากนั้นก็ปิดปากเงียบ
เฉินจิ่นคิดว่าอีกฝ่ายอย่างน้อยก็น่าจะพูดอะไรบ้าง นึกไม่ถึงกลับพูดออกมาแค่เพียงประโยคเดียว นางรู้สึกผิดหวัง
ขณะกำลังจะถามอะไรบางอย่าง สวี่ซื่อกลับเอ่ยปากขึ้นก่อน “เอาล่ะ กลับกันได้แล้ว นี่ก็สายมากแล้ว อย่าให้ท่านแม่ของพวกเจ้าต้องเป็นห่วง” หลังจากนั้นก็หันกลับไปยิ้มให้เฉินอิ๋งคราวหนึ่ง เอ่ยปากเมตตา “เด็กดี เจ้าเองก็รีบกลับเถอะ ท่านแม่ของเจ้าป่านนี้คงรอจนร้อนใจแย่แล้ว”
เฉินอิ๋งขานรับนอบน้อม สวี่ซื่อพาเฉินจิ่นมุ่งหน้าตรงไปยังซุ้มประตูวงเดือน ทางทิศตะวันออก
ที่ตั้งของบ้านใหญ่กับบ้านสี่ล้วนอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจวน ทว่าเฉินอิ๋งกับเฉินเซียงสองพี่น้องกลับอยู่ทางเดียวกัน เรือนทั้งสองต่างอยู่ทางมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ เรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่เป็นคนกำหนดมันด้วยตนเอง แน่นอนว่าเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องขัดแย้ง เฉินอิ๋งรู้สึกว่าการจัดการเช่นนี้นับว่าสมเหตุสมผลยิ่ง
สวินเจินสาวใช้ของเฉินอิ๋งยืนรออยู่ที่นอกประตูมาตลอด ยามนี้เพิ่งจะสบโอกาส นางเดินตรงเข้ามาเงียบๆ ยื่นส่งเสื้อคลุมโปร่งเบาสีเหลืองขนห่านปักลายกระเรียนเมฆาที่พาดอยู่บนแขนให้เฉินอิ๋งพลางพูดแผ่วเบาว่า “คุณหนูสวมเสื้อคลุมสักหน่อยเถอะ ยามนี้อากาศเริ่มเย็นแล้วเจ้าค่ะ”
เฉินอิ๋งรับเสื้อคลุมมาถือไว้ ชำเลืองเห็นเฉินเซียงเฉินหานที่อยู่ข้างๆ ต่างสวมเสื้อคลุมเรียบร้อยอยู่ก่อนแล้ว นี่เป็นเครื่องแต่งกายที่ตัดขึ้นใหม่ของปีนี้ พวกคุณหนูทั้งหลายต่างมีกันคนละชุด ทั้งหมดล้วนแต่เป็นผ้าโปร่งเบาปักลาย จะต่างกันก็ตรงสีสันเท่านั้น
สามพี่น้องเดินไปตามเส้นทางตะวันตกที่มีซุ้มประตูรูปแจกันตั้งอยู่เงียบๆ หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว น้องสี่เฉินหานก็ทนไม่ไหว เอ่ยปากถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “พี่สาม ท่านทำผิดใหญ่โตถึงเพียงนั้น ท่านย่าลงโทษท่านใช่หรือไม่ ลงโทษให้คุกเข่าหรือว่าคัดคัมภีร์” นางพูดพลางปิดปากยิ้ม “ท่านย่าลงโทษคนครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน ข้าจำได้ว่าครั้งนั้นคนถูกลงโทษคือพี่ใหญ่ ท่านป้าใหญ่ร้องไห้อยู่ครึ่งชั่วยามเต็มๆ”
นางยิ้มซื่อไร้เดียงสาคล้ายนึกขึ้นได้ถึงเรื่องชวนเบิกบานใจอะไรบางอย่าง
“น้องสี่ เหตุใดเจ้าถึงพูดเช่นนี้” เฉินเซียงกระตุกแขนเสื้ออีกฝ่าย ใบหน้าแดงระเรื่อกระอักกระอ่วน
พวกนางเป็นพี่น้องแม่เดียวกัน ล้วนแต่เป็นบุตรีของเสิ่นซื่อ ทว่าเฉินเซียงนิสัยไม่ค่อยเปิดเผย จึงไม่เป็นที่โปรดปรานของเสิ่นซื่อนัก ตรงกันข้ามกับเฉินหานที่ราวกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกับเสิ่นซื่อ จึงเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของเสิ่นซื่อยิ่ง
บทที่ 17 ในเรือนหมิงเฟิง
“ข้าก็แค่ถามเท่านั้น แม้แต่เรื่องนี้พี่รองยังต้องยุ่ง?” เฉินหานตอกกลับอย่างไม่เกรงใจพลางหักกิ่งหลิวนอกทางเดินลงมากิ่งหนึ่ง เหวี่ยงมันลงกับพื้นเต็มแรง
“กล้าขวางทางข้า ขนาดท่านแม่ยังไม่กล้ายุ่งเรื่องของข้า แล้วท่านถือดีอะไร” เฉินหานไม่ยอมรับคำทักท้วงจากอีกฝ่าย นางยิ้มหยันกล่าว “แค่ติดตามบ้านใหญ่มีหน้ามีตาเข้าหน่อยพี่รองก็หลงลำพองแล้วอย่างนั้นหรือ ใครไม่รู้จะคิดว่าพี่รองเด็ดดาวคว้าดวงจันทร์มาได้ ที่ไหนได้ก็แค่พวกให้สีเจ้าไม่กี่สีก็คิดจะเปิดโรงย้อมเท่านั้น”
นี่คือการเหน็บหอกพกกระบอง ไม่ว่าจะเฉินอิ๋งหรือเฉินเซียงล้วนถูกนางด่าเหมารวมเข้าด้วยกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำพูดพวกนี้ต้องถ่ายทอดมาจากปากของเสิ่นซื่อแน่ สมแล้วที่เป็นแม่ลูกกัน
เฉินเซียงโมโหจนปากเขียวหน้าซีด หลังจากจ้องอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งนางก็หันหน้าเดินจากไป
เฉินหานเบิกตากว้างกว่าเดิมคล้ายรู้สึกประหลาดใจ ขณะเดียวกันก็คล้ายน้อยเนื้อต่ำใจ นางทำปากยื่นหันไปทางเฉินอิ๋ง พูดกระเง้ากระงอดว่า “เหตุใดพี่รองต้องโมโหด้วย ข้าก็แค่หยอกเย้าเล่นหน่อยเดียวเท่านั้น แค่นี้ก็ถือสาหาความด้วย ใจแคบเสียนี่กระไร”
เฉินอิ๋งยกยิ้มมุมปาก ไม่พูดไม่จา
โลกนี้มีคนชอบใช้คำพูดเป็นอาวุธโจมตีเล่นงานผู้อื่นอยู่จริงๆ หากถือสาหาความ คนพวกนั้นก็จะบอกว่าล้อเล่น หากคิดว่าล้อเล่น อีกฝ่ายก็จะด่าจนคนที่ถูกด่าเสียคนหนักเข้าไปอีก นิสัยเช่นนี้ของเฉินหานเรียกได้ว่าสีครามเกิดจากต้นครามแต่เข้มยิ่งกว่าต้นคราม โดยแท้ แม้แต่เสิ่นซื่อก็ยังเทียบไม่ติด
พอเห็นเฉินอิ๋งไม่พูดไม่จา เฉินหานก็กลอกตาไปมา ขยับเข้าไปหาพลางเปิดปากยิ้มพูด “แย่จริง เพราะนิสัยพูดอะไรโผงผางตรงไปตรงมาเช่นนี้ของข้าแท้ๆ ถึงทำพี่รองโมโหวิ่งหนีไปเช่นนี้ อีกเดี๋ยวข้าคงต้องไปขออภัยนางแล้ว” พูดๆ ไปแล้วนางก็หันไปตำหนิเฉินอิ๋ง “พี่สาม แล้วเหตุใดพี่สามถึงไม่เตือนข้า ทำเช่นนี้เท่ากับท่านไม่เห็นข้าเป็นน้องสาวสักนิด”
วาจาตำหนิเล็กๆ โอดครวญน้อยๆ นี้ทั้งอ่อนหวานทั้งน่าเอ็นดู ไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยใสซื่อไม่รู้ประสีประสา ต่างกับท่าทีแสบสันเมื่อครู่ราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ
“พวกเราอย่างไรก็พี่น้องกัน” เฉินหานยิ้มหวาน สีหน้าคล้ายรู้สึกว่าเรื่องราวสมควรเป็นเช่นนั้น “ระหว่างพี่น้องมีอะไรช่วยเหลือกันได้ก็ควรช่วยเหลือกันไม่ใช่หรือไร”
“เช่นนั้นตอนอยู่ในคฤหาสน์อู่หลิง เหตุใดน้องสี่ถึงไม่ช่วยข้าพูดอะไรบ้าง” เฉินอิ๋งเอ่ยปาก
เฉินหานยิ้มหน้าไม่เปลี่ยนสี “ข้าจะช่วยอะไรพี่ได้ อีกอย่างพี่สามออกจะรู้จักพูด เสียงดังเซ็งแซ่ ไหนเลยจะมีช่องให้พวกข้าได้เอ่ยปาก”
“แต่ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น” เฉินอิ๋งมองดูนางด้วยสีหน้าเปิดเผยตรงไปตรงมา “เท่าที่ข้าเห็น น้องสี่ต่างหากถึงเรียกว่าช่างเจรจา ในเมืองเซิ่งจิงไม่มีผู้ใดเทียบได้”
เฉินหานอายุยังน้อย ยังไม่ถึงขั้นหนังหนาหน้าด้าน พอได้ยินคำพูดเช่นนั้นนางก็เก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่ พูดว่า “นั่นแน่ ที่แท้พี่สามก็พูดจากระแหนะกระแหนเป็นกับชาวบ้านด้วย ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ คนอย่างข้าเป็นคนพูดจาไม่เก่ง ไหนเลยจะเทียบพี่สามได้”
พูดจบนางก็ทำเป็นถอนหายใจเสียดายและปั้นหน้าผิดหวัง “แต่ก่อนพี่สามไม่ใช่เช่นนี้ ทว่าตอนนี้ในใจของพี่สาม พี่น้องในบ้านก็ยังแบ่งสำคัญมากน้อย บ้านใหญ่เป็นที่หนึ่ง ในใจไม่มีพวกเราบ้านสาม”
คำพูดยุให้รำตำให้รั่วเช่นนี้หลุดออกมาจากปากนางง่ายดายราวกับดื่มน้ำกินข้าว
เฉินอิ๋งยิ้มมุมปาก สีหน้ายังคงจริงจัง “น้องสี่ เจ้าพูดมาตั้งมากมายเช่นนี้ คงไม่ใช่คิดจะหลอกถามข่าวจากข้าเอากลับไปบอกคนอื่นกระมัง ทว่าที่ข้าจะบอกก็คือข้าไม่มีเรื่องอะไรให้เจ้าสืบ อย่าเสียเวลาเปลืองน้ำลายเลย”
เฉินหานตะลึง นี่ไม่ใช่วิธีการพูดจาของสตรีในจวนที่นางคุ้นเคยเลยสักนิด
พวกเรามิใช่ควรเอ่ยวาจาเล่นลิ้น ซ่อนเข็มในปุยฝ้าย แฝงเรื่องจริงอยู่กับเรื่องที่เหมือนจะใช่แต่ไม่ใช่หรอกหรือ แล้วเหตุใดนางถึงพูดจาชัดแจ้งเยี่ยงนี้ เช่นนี้จะให้ผู้อื่นพูดต่อว่ากระไร
รอยยิ้มบนใบหน้านางจู่ๆ ก็กลับกลายแข็งขืน หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งใบหน้าของนางก็กลับกลายจริงจัง “พี่สาม ท่านพูดเช่นนี้หมายความเช่นไร ใครคิดจะหลอกถามความจริงจากท่านกัน”
“หรือว่าไม่ใช่?” เฉินอิ๋งย้อนถาม
เฉินหานหัวเราะพรืดออกมาคำหนึ่ง เอ่ยวาจาเหยียดหยัน “ท่านคิดว่าตนเองเป็นใคร ข้ามีความจำเป็นอะไรต้องหลอกถามข่าวคราวจากท่านด้วย”
เฉินอิ๋งยิ้มมุมปาก ชูนิ้วขึ้นนิ้วหนึ่ง “ประการแรก ข้าคือพี่สามของเจ้า” หลังจากนั้นนางก็ชูนิ้วเพิ่มขึ้นอีกนิ้ว “ประการที่สอง เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้” พูดจบนางก็ลดมือลงแล้วรวบเสื้อคลุม “น้องสี่ เจ้าก็ค่อยๆ เดินเถอะ ข้าขอตัวก่อน”
เฉินอิ๋งยังไม่ทันพูดจบก็สาวเท้ายาวๆ ขึ้นหน้า เพียงไม่นานก็ทิ้งเฉินหานไว้ทางด้านหลัง
สวินเจินกลั้นหัวเราะ รีบแสดงคารวะต่อเฉินหานก่อนจะตามเฉินอิ๋งไปติดๆ
เพียงชั่วสองสามอึดใจ ท่ามกลางทางเดินคดเคี้ยวก็เหลือเพียงเฉินหานที่ยืนนิ่งอยู่กับที่กับสาวใช้ของนางเอง
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เฉินหานก็กระทืบเท้าหนักหน่วง พูดประชดประชันว่า “เชอะ เจ้าพวกมีแม่คลอดแต่ไม่มีพ่อสอนสั่ง คิดว่าตนเองเป็นใครกัน!” พูดจบนางก็หันหน้ากลับไปถลึงตามองผู้เป็นสาวใช้ปราดหนึ่ง “เจ้าตายแล้วหรือไร เหตุใดถึงไม่รู้จักช่วยข้าขวางนางไว้”
สาวใช้รายนั้นกลับฉลาดเฉลียวยิ่งนัก พอได้ยินเช่นนั้นแทนที่จะพากลับ นางกลับหน้าด้านขยับขึ้นหน้าขอความเมตตา “โธ่คุณหนู ผู้น้อยแขนเล็กขาสั้น ไหนเลยจะไล่ตามคุณหนูสามทัน” นางพูดพลางเดินขึ้นหน้ารั้งคนไว้ “คุณหนูรีบกลับกันดีกว่า เมื่อครู่แม่เฒ่าอวี๋บอกว่าเย็นวันนี้คุณหนูหกต้องท่องตำราให้นายท่านฟัง หากคุณหนูยังไม่กลับไป เช่นนั้นนางชั้นต่ำนั่นต้องถือโอกาสเหยียบจมูกท่านแน่ๆ”
“นางกล้า?” ถูกอีกฝ่ายเตือนสติเช่นนั้นเฉินหานก็สองตาเบิกกว้างอ้าปากร้องด่าออกมาคราหนึ่ง “นางสุนัขจิ้งจอกนั่นชอบประจบประแจงนัก คอยดูเถอะสักวันข้าจะถลกหนังนาง” นางพูดพลางชักเท้าเดินรวดเร็ว
เฉินอิ๋งไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น นางเดินผ่านต้นไม้ดอกไม้ไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนสวินเจินกว่าจะตามมาทันก็ไม่ใช่ง่าย นางปิดปากหัวเราะ “วันนี้คุณหนูร้ายกาจยิ่งนัก น่าเสียดายที่ท่านไม่เห็นสีหน้าของคุณหนูสี่ นางแทบจะกลายเป็นเสือหน้าเขียวอยู่แล้ว”
เฉินอิ๋งถลึงตาใส่อีกฝ่าย “เจ้าแอบไปดูงิ้วที่ใดมาอีกแล้วใช่หรือไม่”
สวินเจินรีบปิดปาก ไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้เพียงครึ่งคำ
สตรีอย่างคุณหนูของพวกนางแต่ละคนล้วนร้ายกาจ คำพูดใดจริงคำพูดใดเท็จแค่ฟังดูก็รู้ได้แล้ว ยามอยู่ต่อหน้าคุณหนูทั้งหลาย ดีที่สุดคือไม่ปริปากพูดอันใด
พ้นทางเดินคดเคี้ยวออกมาก็จะพบกับสวนดอกไม้งดงามขนาดเล็ก ผ่านทางเดินหินกลางสวนไป เลี้ยวผ่านซุ้มต้นถูหมี สองซุ้ม กลับขึ้นไปบนทางเดินคดเคี้ยวที่เชื่อมต่อถึงตำแหน่งสงัดเงียบไกลหูไกลตาคนอีกคราว สุดท้ายพวกเฉินอิ๋งก็มาถึงยังเรือนหมิงเฟิงอันเป็นที่ตั้งของบ้านรอง
เฉินอิ๋งไปพบหลี่ซื่อผู้เป็นมารดาก่อน
หลายวันมานี้หลี่ซื่อล้มป่วยด้วยโรคกลีบกุหลาบ* หนำซ้ำยังไอหนัก ยามนี้เพิ่งกินยาหลับไป ตอนเฉินอิ๋งแวะไปหา เรือนประธานยังมืดอยู่ สาวใช้จื่อฉี่เดินออกมาและพานางไปยังห้องข้าง
“ท่านแม่ดีขึ้นบ้างหรือไม่” หลังเข้าไปถึงด้านในเฉินอิ๋งก็เอ่ยปากถาม
จื่อฉี่ค้อมกายตอบ “เรียนคุณหนู ฮูหยินดีขึ้นมากแล้ว หลายวันก่อนฮูหยินมักหลับไม่สนิท แต่วันนี้ดูเหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย หลับไปตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน ไม่พลิกตัวแม้แต่สักครั้ง ผู้น้อยกำลังคิดว่าคืนนี้ฮูหยินน่าจะนอนหลับพักผ่อนได้เต็มตื่น”
“เช่นนั้นก็ดี” เฉินอิ๋งโล่งอก หลังกำชับจื่อฉี่สองสามประโยคจบนางก็กลับไปยังเรือนข้างฝั่งตะวันตก
บทที่ 18 ตนคือผู้มาเยือน
สาวใช้ที่ชื่อจือสือคอยรับใช้อยู่หน้าประตูเรือนข้างฝั่งตะวันตกมาโดยตลอด พอเห็นเฉินอิ๋งมานางก็รีบตรงเข้ามารับหน้า “คุณหนูวันนี้คงเหนื่อยแล้ว”
นางเลิกม่านเปิดทางให้เฉินอิ๋ง ก่อนจะเอ่ยปากถามแผ่วเบา “คุณหนูจะกินอาหารตอนนี้เลยหรือจะรออีกสักหน่อยก่อนเจ้าคะ”
“ตั้งโต๊ะเถอะ ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าสักครู่เดี๋ยวก็มา” เฉินอิ๋งบอกออกมาประโยคหนึ่ง หลังจากนั้นก็เดินเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
จือสือเรียกสาวใช้ตัวน้อยมายกโต๊ะ จัดวางอาหารสี่น้ำแกงหนึ่งพร้อมถ้วยชามตะเกียบลงบนโต๊ะ
หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาเฉินอิ๋งก็เอ่ยปากสั่ง “เรียกคนไปดูที่ห้องคุณชายรอง”
เฉินจวิ้นพี่ชายรองของเฉินอิ๋งปีนี้อายุสิบหกปีเต็ม กำลังร่ำเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาหลวง เพราะช่วงนี้เป็นวันหยุดฤดูใบไม้ผลิ เขาจึงกลับมาอยู่บ้าน ทว่านิสัยของเขาไม่เหมือนกับเฉินอิ๋ง เป็นพวกอยู่ไม่ติดที่ ไม่ชอบจับเจ่าอยู่แต่ในบ้าน ชอบออกไปเที่ยวอยู่ข้างนอกกับเหล่าสหาย
“ผู้น้อยส่งคนไปดูแล้ว ซู่เวิ่นบอกว่าคุณชายรองกำลังทบทวนตำรา จะกินอาหารเย็นที่ห้องหนังสือเจ้าค่ะ” จือสือตอบพลางตักข้าวใส่ชามกระเบื้องขาวลายดอกเหมย “คุณหนูรีบกินเถอะ ผู้น้อยเพิ่งอุ่นมาหมาดๆ”
นับแต่เฉินเซ่าหายสาบสูญสุขภาพของหลี่ซื่อก็ไม่สู้ดีมาโดยตลอด ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าสวี่จึงจัดการแบ่งพื้นที่ห้องชาเรือนหมิงเฟิงออกครึ่งหนึ่ง ก่อเตาเปลี่ยนมันเป็นห้องครัวขนาดเล็ก ใช้เพียงต้มน้ำอุ่นแกงอะไรพวกนั้น ไม่ได้ทำอาหารจริงจัง
เห็นเฉินจวิ้นรู้จักขยันหมั่นเพียร เฉินอิ๋งก็วางใจ หากใกล้สอบแล้วแต่ตอนนี้เขายังกล้าออกไปวิ่งตะลอนอยู่ข้างนอกอีก เชื่อเถอะว่านางไม่มีทางปล่อยเขาแน่
หลังกินอาหารเสร็จ สวินเจินก็ถือโอกาสเดินเข้ามา นางถามอึกๆ อักๆ ว่า “คุณหนูยังจะให้ตั้งเป้าธนูหรือไม่”
นับแต่หกขวบเฉินอิ๋งก็ขวนขวายศึกษาหาความรู้ด้านอื่นไม่รู้จักหยุดหย่อน ยิงธนูก็คือหนึ่งในนั้น เพียงแต่ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ยิงธนูอยู่ข้างนอกเห็นชัดว่าไม่เหมาะ
“ช่างเถอะ เอาคันธนูเข้าไปไว้ในห้องข้าก็แล้วกัน” เฉินอิ๋งสั่ง ตั้งใจว่าอีกสักครู่จะฝึกดึงสายธนูเปล่าอยู่ในห้องสักสองร้อยที อย่างไรก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
สวินเจินรับคำก่อนจะเดินจากไป
เฉินอิ๋งเรียกหลัวมามาเข้ามาพูดคุย
หลัวมามาเป็นบ่าวที่ติดตามรับใช้มารดาของนางมานับแต่ออกเรือน ทำอันใดล้วนสุขุมรอบคอบ รู้จักรุกรับ เป็นมือดีในการจัดการเรื่องราวภายในเรือนใน และเพราะหลี่ซื่อมักล้มป่วยอยู่บ่อยครั้ง เรื่องราวใหญ่น้อยในเรือนหมิงเฟิงยามนี้จึงต้องอาศัยเฉินอิ๋งคอยดูแล ด้วยเหตุนี้หลี่ซื่อจึงอนุญาตให้ผู้เป็นบุตรีเรียกใช้หลัวมามาได้
โชคดีที่เรือนหมิงเฟิงยามนี้ไม่มีเรื่องใหญ่อันใด หลังหลัวมามาเข้ามาพูดคุยกันสองสามประโยคจบ เฉินอิ๋งก็ส่งนางออกไป
หลังจากนั้นไม่นานการลาดตระเวนตรวจตราช่วงค่ำก็มาถึง เฉินอิ๋งอยู่ในห้องเล็กฝั่งตะวันตกได้ยินเสียงฮวาไจ้ผู่จยามามาผู้ดูแลบ้านพูดคุยกับบ่าวหญิงอาวุโสที่เดินตรวจตราความเรียบร้อยยามค่ำคืน ตามติดมาด้วยเสียงปิดประตู หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ ฮวาไจ้ผู่จยาก็มาปรากฏตัวอยู่นอกม่าน เอ่ยปากนอบน้อมว่า “คุณหนู นี่ก็ดึกมากแล้ว คุณหนูรีบพักผ่อนเถอะ”
นี่เป็นกฎของจวนกั๋วกง ในบ้านแต่ละหลังล้วนต้องมีสตรีสูงวัยคอยดูแลเรื่องราวภายในเรือน การทักทายนี้ก็อยู่ในกฎระเบียบดังกล่าวด้วยเช่นกัน
เฉินอิ๋งบอกจือสือให้เลิกม่านขึ้น นางยิ้มมุมปากพลางเอ่ยปากบอกกับฮวาไจ้ผู่จยา “ฮวามามาลำบากแล้ว ท่านก็กลับไปพักเถอะ”
ฮวาไจ้ผู่จยายิ้มพลางเอ่ยปากขานรับก่อนจะถอยจากไป กระบวนการทั้งหมดทั้งมวลถือเป็นอันสิ้นสุด
ครั้นเห็นฮวาไจ้ผู่จยาเดินกลับเข้ายังที่พักที่อยู่ทางด้านหลังเป็นที่เรียบร้อย สวินเจินก็ค่อยๆ ย่องประคองเอาถุงผ้าขนาดใหญ่เข้ามา
ที่อยู่ในถุงผ้าคือคันธนูของเฉินอิ๋ง
เพราะเฉินอิ๋งหาคนมาทำมันขึ้นด้วยตนเอง ดังนั้นไม่ว่าจะกำลังฉุดรวมถึงลูกธนูเรียกได้ว่าเหมาะกับตัวนางในเวลานี้ที่สุด
“ไปเฝ้าอยู่ข้างนอก” เฉินอิ๋งรับธนูมาและเอ่ยสั่ง ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้อง
เหล่าราชนิกุลในราชสำนักต้าฉู่ล้วนแต่อาศัยความสามารถเชิงบู๊เลื่อนขั้นด้วยกันทั้งสิ้น จวนกั๋วกงเองก็เป็นเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ในจวนจึงไม่เข้มงวดเรื่องการฝึกยุทธ์ ไม่ทั้งเชิดชูไม่ทั้งคัดค้าน หากอยากเรียนก็สามารถไปแสวงหาอาจารย์ได้ด้วยตนเอง หากต้องการเชิญอาจารย์จากข้างนอกมาก็ใช่ว่าจะไม่ได้ ขอเพียงบอกให้ทางจวนทราบสักคำ ย่อมมีคนช่วยเป็นธุระให้
เฉินอิ๋งไม่ได้เรียนหมัดมวย นางรู้สึกว่าแทนที่จะฝึกฝนหมัดมวยอ่อนช้อยพวกนั้น ไม่สู้ฝึกทักษะอะไรที่มันใช้การได้จริงๆ จังๆ อย่างยิงธนูเสียยังดีกว่า
กำลังไม่พอย่อมยิงได้ไม่แม่นยำ เรื่องนี้แค่กวาดตามองปราดเดียวก็รู้ได้แล้ว และไม่จำเป็นต้องตระหนักรู้อะไรมากมาย ขอแค่หมั่นเพียรฝึกฝนอย่างไรก็ย่อมทำสำเร็จได้
เฉินอิ๋งเริ่มด้วยการออกกายบริหารตามที่ตนเองคิดค้นขึ้นก่อนเป็นอันดับแรก นางขยับมือเท้า หลังจากนั้นก็หยิบคันธนูขึ้น เบี่ยงกาย กางแขน ดึงสาย และปล่อยสาย ทุกการเคลื่อนไหวล้วนละเอียดงดงามหมดจดถูกต้อง หลังเสร็จสิ้นสองร้อยครั้ง แขนของนางก็ปวดระบม เหงื่อท่วมทั่วตัว
สวินเจินกับจือสือรู้เรื่องนี้ดีจึงสั่งให้คนต้มน้ำรอท่าอยู่ก่อนแล้ว ครั้นเฉินอิ๋งเก็บธนู พวกนางก็แบกน้ำเข้าไปในห้องข้าง
กว่าจะแช่ตัวผ่อนคลายสบายๆ อยู่ในน้ำเสร็จเวลาก็ดึกดื่นไม่ใช่น้อยแล้ว และเพราะไม่มีนิสัยอ่านหนังสือยามค่ำ เฉินอิ๋งจึงปีนขึ้นเตียงนอนทันที
เพียงไม่นานนางก็หลับฝันไป ภายใต้อากาศเย็นเยียบบริสุทธิ์ ฉากหลังคือเมืองหลวงทันสมัย ความฝันถูกตัดแบ่งออกเป็นท่อนๆ
…คุณนักสืบ มีคดีต้องการให้คุณช่วยเหลือ เป็นคดีเด็กหาย นี่คือแฟ้มคดี จากสถิติที่ผ่านมา ช่วงหนึ่งปีมานี้มีคดีคล้ายคลึงกันเกิดขึ้นแล้วทั้งหมดห้าคดี พวกเราสันนิษฐานเบื้องต้นว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือคนร้ายคนเดียวกัน ตอนนี้เด็กที่หายไปทั้งห้าคนสถานการณ์เป็นอย่างไรยังไม่รู้ชัด…
…ผู้ตายเป็นหญิง จากการตรวจสอบสัณฐานกระดูกคาดว่าน่าจะอายุราวๆ สามสิบถึงสามสิบห้า กระดูกต้นคอด้านซ้ายมีร่องรอยเคลื่อนหลุดออกจากตำแหน่ง จากการสันนิษฐานเบื้องต้นบาดแผลของผู้เคราะห์ร้ายน่าจะเกิดจากการถูกแส้หวด กระดูกนิ้วชี้กับนิ้วนางข้างขวาหัก ตาตุ่มของขาทั้งสองข้างก็เหมือนกัน เชื่อว่าน่าจะถูกคนทุบตีจนถึงแก่ชีวิต…
…ถ้าจำไม่ผิด ตอนคุณเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นครั้งแรก คุณเคยบอกว่าในโทรศัพท์คุณได้ยินเสียงหมาเห่า และก็เพราะคำให้การของคุณ พวกเราถึงจับตัวผู้ต้องสงสัยคนแรกไว้ แต่ที่น่าสนใจก็คือจากการตรวจสอบพวกเรารู้มาว่าคืนนี้มีคนที่ชอบล่าสัตว์คนหนึ่งผ่านไปแถวบริเวณที่เกิดเหตุพอดี เขาเองก็ได้ยินเสียงหมาเห่าเหมือนกัน ทว่าเวลากลับช้ากว่าที่คุณบอกชั่วโมงหนึ่ง…
…ว่ากันตามรอยเท้าที่ทิ้งอยู่ในจุดเกิดเหตุ สันนิษฐานได้ว่าคนที่บุกเข้าไปในห้องเป็นชาย สูงประมาณร้อยแปดสิบ น้ำหนักราวๆ เจ็ดสิบกิโลกรัม จากการตรวจสอบพื้นรองเท้าพบว่ามันเป็นรองเท้ากีฬายี่ห้อ ‘Link’ ที่ผลิตขึ้นเมื่อสามปีก่อน จากเศษกระจกแตกที่เหลืออยู่ในห้อง ผู้บุกรุกทุบทำลายหน้าต่างห้องครัวก่อน…
คล้ายกระแสน้ำค่อยๆ ถอยจากไปช้าๆ เผยให้เห็นถึงดินโคลนแข็งๆ ความฝันค่อยๆ จางไปโดยไม่รู้ตัว เฉินอิ๋งลืมตาขึ้นช้าๆ ยังคงอยู่ในฝันไม่ปะติดปะต่อ คล้ายความทรงจำกับหลักฐานเท็จปะปนอยู่ด้วยกัน กลายเป็นความเรียงที่ไม่สมบูรณ์
เฉินอิ๋งพลิกตัวเบาๆ มองออกไปข้างนอก
มองลอดผ่านม่านโปร่งลายสัตตบงกชสีฟ้าแกมเขียวที่ถูกปลดลงมา นางมองเห็นเทียนเล่มเล็กที่ถูกจุดอยู่ตรงมุมห้อง แสงของมันอ่อนจางแต่กลับแผ่ขยายอบอุ่น
ในตอนนั้นเอง นางก็นึกถึงเรื่องเมื่อชาติก่อนได้
ในโลกอีกยุคสมัยหนึ่งซึ่งเป็นยุคโบราณเหมือนกันนี้ นางมักตื่นจากฝันยามเที่ยงคืนอยู่บ่อยครั้ง ไม่อาจบอกได้ว่าตนเองอยู่ ณ ที่ใด
ในฝันไม่รู้ว่าตนคือผู้มาเยือนหรือไม่
ถ้อยความที่อ่านเจอในหนังสือเรียนสมัยมัธยมปลายนี้เหมือนเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดเกี่ยวกับชีวิตในอดีตชาติและชาตินี้ของตน
เฉินอิ๋งถอนหายใจอยู่ท่ามกลางความมืดเงียบๆ
คนที่เคยตายมาแล้วสองครั้ง หนำซ้ำแต่ละครั้งล้วนอายุขัยไม่เกินยี่สิบ ที่พอจะทำได้คงมีเพียงถอนหายใจ ตอบสนองกับทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตนเองไปมาเช่นนี้เท่านั้น
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.