X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักออกจากจวนมาไขคดี

ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 220-221

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 220 ชั้นเชิงเด็กกับผู้อาวุโส

เฉินเซียงกัดริมฝีปาก ขยับเข้าไปใกล้เฉินอิ๋งเพิ่มเล็กน้อย เอ่ยวาจาแผ่วเบาว่า “ในเมื่อน้องสามต้องการฟัง เช่นนั้นข้าก็จะเล่าให้เจ้าฟัง ก่อนพวกเราเดินทางออกจากเมืองหลวงไม่นาน ฝ่าบาทจู่ๆ ก็มีพระราชโองการประณามองค์หญิงใหญ่”

พูดถึงตรงนี้เสียงของนางก็กดต่ำลงอีกจนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ “ว่ากันว่าครั้งนี้ฝ่าบาทกริ้วมากจริงๆ องค์หญิงใหญ่คุกเข่าอยู่บนพื้นอิฐนอกตำหนักเซวียนเต๋ออยู่ถึงสองชั่วยาม กว่าจะทรงเรียกคนเข้าไปตำหนิอย่างไม่ไว้หน้าอีกรอบ หนำซ้ำยังสั่งให้คนตรวจสอบอายัดทรัพย์สินภายใต้พระนามขององค์หญิงใหญ่อีกจำนวนหนึ่ง”

เฉินอิ๋งฟังพลางพยักหน้า ถึงนางพอจะทายถึงสาเหตุที่ทำให้ฮ่องเต้หยวนจยาทรงพระพิโรธได้อยู่เลาๆ แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังคงเอ่ยปากถาม “เหตุใดฝ่าบาทถึงต้องประณามองค์หญิงใหญ่ด้วย”

ยังไม่ทันที่เฉินเซียงจะได้เปิดปาก เฉินหานก็ชิงพูดออกมาเสียก่อน “ก็เพราะท่านลุงตัวดีของท่านอย่างไรเล่า” นางมองดูเฉินอิ๋งด้วยสายตายินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น ใบหน้าแดงก่ำไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้น “ท่านลุงตัวดีของพี่สามสืบคดีทุจริตยักยอกเงินหลวง แต่สุดท้ายสืบไปสืบมากลายเป็นองค์หญิงใหญ่ข่มเหงรังแกชาวบ้าน ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบราษฎร”

เฉินอิ๋งส่งเสียง “อืม” เบาๆ ออกมาคราหนึ่งพลางถาม “น้องสี่รู้รายละเอียด?”

“ข้าย่อมต้องรู้อยู่แล้ว” เฉินหานเชิดหน้าได้ใจ เอ่ยวาจาอย่างหน้าชื่นตาบาน “ว่ากันว่าองค์หญิงใหญ่ทรงฝากพระนามไว้ที่ร้านค้าอะไรสักร้าน ร้านนั่นฉวยโอกาสอาศัยพระนามขององค์หญิงใหญ่ปรับราคาสินค้าชั้นต่ำ สินค้าเก่าเก็บขึ้นหลายเท่า หลังจากนั้นก็บังคับให้พวกพ่อค้าคนอื่นๆ นำสินค้าเข้า บังเอิญมีพ่อค้าโชคร้ายรายหนึ่งดันเป็นชาวเติงโจว ท่านลุงของท่านไม่พูดไม่จา ไม่ทักทายชาวบ้านสักคำก็เอาเรื่องนี้ทูลฟ้องฝ่าบาททันที”

พูดถึงตรงนี้นางก็อดส่งเสียงเย้ยหยันผู้อื่นออกมาไม่ได้ “ฮึ ท่านลุงของพี่สามผู้นั้นช่างเป็นขุนนางตงฉิน ทำอันใดล้วนเพื่ออาณาประชาราษฎร์โดยแท้”

คำพูดนี้แม้จะฟังดูดี แต่สีหน้าท่าทางของเฉินหานกลับเต็มไปด้วยร่องรอยถากถางประชดประชัน

เฉินอิ๋งตอบกลับอย่างรวดเร็ว นางพยักหน้าผสมโรง “น้องสี่พูดได้ถูกต้องยิ่งนัก ท่านลุงทำการใดล้วนเพื่อชาวบ้าน ยินดีออกหน้าเพื่อชาวประชา นับเป็นขุนนางที่ดีจริงๆ ขุนนางต้าฉู่หากสามารถเป็นเช่นนี้ได้ บ้านเมืองมีหรือจะไม่รุ่งโรจน์”

เฉินหานตะลึงงัน ความรู้สึกไม่พอใจอัดแน่นอยู่ในอก

นางฟังภาษาคนไม่รู้ความหรือไร

หรือนางฟังถ้อยความถากถางที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้นไม่ออก

หลังจากจ้องเฉินอิ๋งเขม็งอยู่ครู่หนึ่ง เฉินหานก็เอ่ยออกมาคราหนึ่ง “ชิ พี่สาม ท่านจะดีใจไปไย องค์หญิงใหญ่ทรงถูกลงโทษก็เพราะท่านลุงของท่าน หรือพี่สามฟังที่ข้าพูดไม่เข้าใจ”

“แล้วเช่นไร” เฉินอิ๋งย้อนถามด้วยใบหน้าสงบนิ่ง “องค์หญิงใหญ่ทรงกระทำความผิด ย่อมสมควรถูกลงโทษ ต่อให้ไม่ใช่ท่านลุง ก็ต้องมีขุนนางอื่นนำเรื่องนี้ไปรายงานให้ฝ่าบาททรงทราบอยู่ดี”

พูดถึงตรงนี้จู่ๆ นางก็เปลี่ยนหัวเรื่อง กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ว่าแต่น้องสี่เถิด เจ้าใส่ใจเรื่องการบ้านการเมืองเช่นนี้ แม้จะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอีกทั้งยังสามารถช่วยเปิดความคิดให้กว้างขวาง ทว่าจะพูดจะจาอย่างไรก็สมควรระวังตัวให้มาก คำพูดของเจ้าเมื่อครู่หากคนที่ได้ยินมีจิตคิดร้าย โทษฐาน ‘ล่วงเกินเบื้องสูง’ คงไม่แคล้วได้ครอบอยู่บนศีรษะเจ้าเป็นแน่ เจ้าควรรู้ไว้ คนที่เปิดโปงเรื่องนี้แม้จะเป็นท่านลุงของข้า แต่คนที่ลงโทษองค์หญิงใหญ่กลับเป็นฝ่าบาท”

ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกจากปากของเฉินอิ๋ง เฉินหานก็ตะลึงลานขึ้นมาทันที หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เหงื่อเย็นก็ไหลท่วมแผ่นหลังของนาง

เพียงเพราะสนใจแต่จะกระแหนะกระแหนเฉินอิ๋ง นางถึงได้ลืมเรื่องนี้สิ้น หากไม่ใช่เพราะเฉินอิ๋งเตือนไว้ วาจาน่าเกลียดน่าชังมากกว่านี้คงไม่แคล้วได้หลุดออกจากปากนางแน่ ถึงตอนนั้นมิเท่ากับ…

นางไม่กล้าคิดต่อ ร่างกายจู่ๆ ก็ขดงอเข้าหากัน แต่ทันใดนั้นนางก็ฝืนทำเป็นไม่สนใจไยดี เชิดหน้าคอแข็งกล่าว “ไม่…ไม่จำเป็นต้องให้ท่านมายุ่ง!”

เฉินอิ๋งไม่ได้คิดจะจับจุดอ่อนของอีกฝ่าย นางต้องการก็แค่เตือนสติเฉินหานเท่านั้น

ฮ่องเต้หยวนจยาทรงเป็นเจ้าแผ่นดินผู้ประเสริฐ มีความคิดอ่านกว้างไกล ราชสำนักเองก็ไม่มีโทษล่วงเกินเบื้องสูง ทว่าคำพูดของเฉินหานเมื่อครู่เรียกได้ว่าขาดสติยั้งคิดจริงๆ เฉินอิ๋งเอ่ยปากเตือนก็เพราะกลัวน้องสาวมุทะลุผู้นี้จะแกว่งเท้าหาเสี้ยนโดยไม่รู้ตัว

“ขอบคุณน้องสามที่เตือน” เฉินเซียงกลับมาได้สติ นางเอ่ยปากแผ่วเบาใบหน้าซีดเผือด

เฉินอิ๋งแย้มยิ้มไม่พูดไม่จาอันใดอีก ยามนี้เชื่อว่าเฉินหานคงเพราะนึกกลัว จึงมิได้พูดอะไรออกมาเช่นกัน ด้วยเหตุนี้บรรยากาศจึงกลับกลายเป็นเงียบงัน

ทว่าความเงียบกลับปกคลุมอยู่ได้ไม่นานนักหลี่ซื่อก็กลับเข้ามา นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “กลับกันก่อนเถอะ พวกเจ้าเองก็คงเหน็ดเหนื่อยไม่ใช่น้อยแล้ว”

เฉินหานคล้ายโล่งอก พวกนางสามพี่น้องกล่าวรับคำขึ้นพร้อมกัน คนทั้งสี่ก้าวเท้าออกจากเรือนรุ่ยเจ่า

หลังจากเดินนิ่งเงียบอยู่ระยะหนึ่ง หลี่ซื่อก็ถามเฉินเซียงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้ารอง พวกเจ้าเดินทางมาจี่หนานครานี้คงราบรื่นดีกระมัง ท่านแม่ของพวกเจ้าสุขภาพเป็นเช่นไรบ้าง พี่น้องคนอื่นๆ สบายดีใช่หรือไม่”

คำพูดนี้เดิมก็แค่วาจาเกรงอกเกรงใจเท่านั้น ทว่าเฉินเซียงกลับตอบทุกคำถาม ภาษาที่ใช้ล้วนเปี่ยมไปด้วยมารยาท

ฝ่ายเฉินหานเห็นได้ชัดว่าลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไปจนสิ้น ยามนี้นางกลอกตาไปมา ยิ้มเอ่ยปากพูดแทรกขึ้นว่า “ทั้งหมดก็ด้วยเพราะบารมีของท่านป้ารอง ทำให้ข้ากับพี่รองได้เปิดหูเปิดตาแล้ว หากไม่มีท่านป้ารอง หลานกับพี่รองไหนเลยจะมีโอกาสได้เดินทางเยี่ยงนี้”

คำพูดนี้หาใช่วาจาดีๆ อันใดไม่ แม้จะเห็นว่าเป็นถ้อยความเกรงอกเกรงใจ แต่แท้ที่จริงแล้วกลับแฝงไว้ซึ่งอารมณ์ประชดประชันและแค้นเคืองอยู่หลายส่วน

หลี่ซื่อราวกับฟังไม่เข้าใจ นางยิ้มอ่อนโยน “เด็กโง่ อยู่ที่นี่แล้วยังจะเกรงอกเกรงใจป้าอีก” นางพูดพลางกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะยิ้มกล่าว “คนรับใช้ของพวกเจ้าเหมือนจะมีอยู่ไม่มาก ช่างเถอะ ไว้วันพรุ่งนี้ป้าจะบอกกับฮูหยินผู้เฒ่า ให้นางหามามาที่มีอายุมากหน่อยสักสองสามคนมาคอยปรนนิบัติรับใช้พวกเจ้า พวกนางคอยสั่งสอนกฎเกณฑ์มารยาทต่างๆ ให้ป้าตั้งแต่ยังเล็ก ทุกคนล้วนฉลาดเฉลียวมีความสามารถ มีพวกนางอยู่รับใช้ใกล้ชิดพวกเจ้า ป้าย่อมวางใจ”

รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินหานแข็งขืนขึ้นมาทันที

มามาที่มีอายุ?

สอนกฎเกณฑ์มารยาท?

คนพวกนั้นมิใช่บ่าวไพร่ที่รับมือยากที่สุดหรือไร

กับมามาสูงวัยพวกนั้น พวกนางต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายให้เกียรติ ไม่เหมือนพวกสาวใช้ตัวน้อยที่ปล่อยให้คนจัดการได้ตามอำเภอใจ หลี่ซื่อเอ่ยปากบอกจะส่งมามาที่รับมือด้วยยากยิ่งมาให้เช่นนี้หมายความเช่นไร

เฉินหานส่งสายตาให้กับเฉินเซียงอย่างเอาเป็นเอาตาย หมายบอกให้อีกฝ่ายปริปากปฏิเสธ

น่าเสียดายเฉินเซียงไม่ชำเลืองดูนางแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับก้มหน้ารับคำอย่างว่านอนสอนง่าย

เฉินหานทั้งโมโหทั้งคับแค้นใจ ทว่าเพราะจนปัญญาไม่อาจทำอันใดได้ จึงได้แต่เปิดปากฝืนยิ้ม “ท่านป้ารองเกรงใจกันเกินไปแล้ว บ่าวไพร่ของพวกเรามีมากพอแล้ว หาจำเป็นต้องรบกวนท่านป้ารองเช่นนั้นไม่”

“เด็กผู้นี้ยังจะเกรงอกเกรงใจอันใดอีก เรื่องนี้ป้าไม่ตกลงรับปาก” น้ำเสียงของหลี่ซื่ออ่อนโยนยิ่งยวด ทว่าแต่ในเวลาเดียวกันก็เด็ดเดี่ยวยิ่งนัก “ในเมื่อพวกเจ้าเรียกป้าว่าท่านป้า เช่นนั้นป้าย่อมมีหน้าที่ต้องดูแลพวกเจ้าอย่างเหมาะสม นี่เป็นหน้าที่ของผู้อาวุโสเช่นป้า หากพวกเจ้ายังเกรงอกเกรงใจเช่นนี้อีก ป้าคงต้องโมโหแล้ว”

วาจาทีเล่นทีจริง อ่อนนอกแข็งในเช่นนี้ทำเอาเฉินหานถึงกับพูดอะไรไม่ออก รอยยิ้มบนใบหน้ากลับกลายเป็นน่าเกลียดน่าชังเสียยิ่งกว่าร่ำไห้

หลี่ซื่อกวาดตามองนางคราหนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งอบอุ่นอ่อนโยน นางพูดเสียงเล็กเสียงน้อยว่า “เด็กดี พวกเจ้าคงไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาครานี้ป้าดีใจเพียงใด มีพวกเจ้าอยู่ด้วยป้าย่อมไม่เงียบเหงาแล้ว ต่อไปไม่ว่าจะคัดคัมภีร์ ทำงานฝีมือเย็บปักถักร้อยอันใดล้วนมีคนคอยอยู่เป็นเพื่อน แค่คิดป้าก็สุขใจยิ่งแล้ว” พูดๆ อยู่นางก็ขมวดคิ้ว ใบหน้าแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กๆ แววตาวิตกกังวล ก่อนจะเอ่ยวาจานุ่มนวลออกมาอีกครา “พวกเจ้าคงไม่นึกรังเกียจหาว่าป้าน่าเบื่อกระมัง เพราะหากเป็นเช่นนั้นป้าคงเจ็บปวดใจยิ่งนัก”

บทที่ 221 ค่อยๆ บดขยี้

คำพูดนี้เรียกได้ว่าอ่อนข้อให้กันอย่างที่สุด ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินหานกลับกลายเป็นแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด

คัดคัมภีร์?

เย็บปักถักร้อย?

แค่ต้องรับมือกับแบบฝึกเรียนจากอาจารย์ที่ถาโถมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันพวกนางก็ทำแทบไม่ไหวแล้ว ยามนี้หลี่ซื่อยังจะคิดให้นางทำโน่นนั่นนี่มากมายอีก

หรือว่าภายภาคหน้าพวกนางจะได้แต่ต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้สายตาของผู้อาวุโสเหล่านี้

สีหน้าของเฉินหานกลับกลายเป็นย่ำแย่ถึงขีดสุด แม้ใจจะอยากเอ่ยปากปฏิเสธ แต่กลับถูกหลี่ซื่อเล่นงานจนไปไม่ถูก หมดหนทางขัดขืน แต่หากยอมรับแต่โดยดีเช่นนั้นวันหน้านางจะดำเนินชีวิตเช่นไร

พอเห็นเฉินหานร้อนรนจนหน้าเขียวเช่นนั้น เฉินอิ๋งก็ได้แต่ถอนหายใจอยู่ข้างๆ

ไยต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วย

คนที่มีความสามารถเพียงน้ำครึ่งถังอย่างเฉินหาน ไหนเลยจะเอาชนะคนที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ภายในเรือนในอย่างหลี่ซื่อได้ ไม่จำเป็นต้องลงมืออันใด แค่คำพูดสองประโยคหลี่ซื่อก็บดขยี้เฉินหานจนเละเป็นโจ๊กได้แล้ว

“ท่านป้ารอง ข้า…หลาน…ปกติยังมีแบบฝึกเรียนมากมายต้องจัดการ เกรงว่าเรื่องคัดคัมภีร์…เอ่อ…” เฉินหานกัดริมฝีปากพูดพลางฟั่นผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือ เม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก รู้สึกเหมือนตัวอักษรแต่ละตัวล้วนยากจะเอื้อนเอ่ย

หลี่ซื่อไม่พูดอันใด ทำเพียงยิ้มมองดูนางด้วยแววตาอ่อนโยน ทว่าในดวงตากลับแฝงความหมายอื่น ขณะเดียวกันก็เหมือนไม่มีความหมายอื่นใด

รอยยิ้มของอีกฝ่ายทำเฉินหานขวัญผวา แม้จะอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ครู่หนึ่ง แต่นางก็ไม่อาจปริปากพูดอันใดได้อีก ทำได้แต่ปิดปากใบหน้าคล้ำเขียว

“เด็กโง่ ป้าก็แค่ล้อพวกเจ้าเล่นเท่านั้น เหตุใดถึงถือเป็นจริงเป็นจังเช่นนี้ได้” จู่ๆ หลี่ซื่อก็ยิ้มออกมา ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก ท่าทางสงบนิ่ง “เรื่องคัดคัมภีร์พวกนั้นเด็กๆ อย่างพวกเจ้าไหนเลยจะทนไหว หรือเจ้าเห็นว่าป้าเป็นท่านป้าที่ใจร้ายเยี่ยงนั้น”

ยังคงเป็นวาจาอ่อนข้อ แต่ภายในกลับแฝงไว้ซึ่งคมมีดกรีดเฉือน

เฉินหานถึงจะไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด แต่ถึงกระนั้นนางก็ฟังออกว่าคำพูดดังกล่าวแฝงความนัยอันใดไว้ ถึงจะมีใจหมายเอ่ยปากสวนกลับแรงๆ สักหลายประโยค แต่ในหัวกลับนึกถ้อยคำอันใดไม่ออก

ทันใดนั้นจู่ๆ หลี่ซื่อก็เก็บผ้าเช็ดหน้า เอ่ยปากคล้ายยินดีคล้ายโมโห “ทว่าเด็กอย่างพวกเจ้าก็หาควรทำตัวเหินห่างเกินไปไม่ มิเช่นนั้นป้าอาจรู้สึกละอายใจจนต้องส่งมามาไปปรนนิบัติรับใช้พวกเจ้าเสียหลายๆ คน”

นี่มิใช่วาจาโน้มน้าวแต่อย่างใด หากแต่เป็นการเตือนกันอย่างโจ่งแจ้ง คาดว่าอาจเพราะกลัวเฉินหานฟังไม่เข้าใจ หลี่ซื่อจึงชี้แจงแถลงไขออกมาตรงๆ

ได้ยินคำว่า ‘มามา’ สองคำ เฉินหานก็ใจเต้นระส่ำ คำพูดมาถึงปากจู่ๆ ก็วกเลี้ยวไปทางอื่น รอยยิ้มยังคงแขวนค้างอยู่บนใบหน้า “ขอบคุณ…เอ่อ…ท่านป้ารองที่ใส่ใจ วันหน้าพวกหลานสองพี่น้อง…เอ่อ…ต้องขยันไปมาหาสู่ญาติพี่น้องทุกคนแน่ คำสั่งสอนของท่านป้ารอง…เอ่อ…หลานย่อมต้องรับฟัง”

สวรรค์เบื้องบนรู้ว่าคำพูดนี้ของนางตะกุกตะกักลิ้นพันกันเพียงใด วาจาตลบตะแลงพลิกลิ้นก่อนหน้านี้ถูกนางกลืนกลับลงท้องหมดสิ้น เปลี่ยนกลับมาเป็นวาจาเรียงร้อยรื่นหูพวกนี้แทน

“คำพูดของเจ้านี้นับว่ากล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก” หลี่ซื่อยิ้มรับคำ นางลูบผมเฉินหานและเฉินเซียงด้วยความเอ็นดูรักใคร่พลางกล่าวอ่อนโยน “วันหน้าพวกเราก็อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันแล้ว พวกเจ้าสองคนก็อย่าได้เกรงอกเกรงใจป้าเช่นนั้นอีก อยากกินอยากเที่ยวเล่นอันใดก็บอกมา ถือเสียว่าที่นี่คือบ้านของพวกเจ้า”

“ขอบคุณท่านป้ารอง” เฉินเซียงกับเฉินหานกล่าวออกมาพร้อมกัน

จนถึงเพลานี้เฉินหานถึงได้โล่งอกโล่งใจขึ้นมาจริงๆ จังๆ แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังคงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม กลัวว่าหากหลี่ซื่อนึกสนุกเรียกพวกนางไปอยู่เป็นเพื่อนคัดคัมภีร์หรือส่งมามาสูงวัยกลุ่มใหญ่มาควบคุมเข้มงวดกวดขัน เช่นนั้นนางคงต้องได้อึดอัดจนล้มป่วยแน่

เฉินเซียงก้มหน้าก้มตาตลอดเวลา ติ่งหูแดงระเรื่อน้อยๆ คล้ายเริ่มอึดอัด เห็นได้ชัดว่านางเข้าใจในคำพูดของหลี่ซื่อที่มีต่อเฉินหาน แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่พูดอันใดแม้เพียงครึ่งคำ

ครั้นเห็นเช่นนั้นหลี่ซื่อก็ให้นึกเอ็นดูอีกฝ่าย

ถึงปกติจะไม่ใคร่ออกจากเรือนสักเท่าใด แต่นางกลับได้ยินเรื่องราวของคุณหนูบ้านต่างๆ อยู่เป็นประจำ รู้ดีว่าหลานสาวคนที่สองผู้นี้เป็นคนซื่อ หาได้เหมือนกับเฉินหานไม่

“เด็กดี น่าสงสารจริงๆ หลายวันนี้เล่าเรียนเขียนอ่านอยู่ในบ้านคงลำบากไม่ใช่น้อย ดูสิใบหน้าเล็กๆ ของเจ้าซูบผอมลงอีกแล้ว” หลี่ซื่อบีบไหล่ของเฉินเซียง น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ “ไม่ต้องกลัว มีป้าอยู่ พวกเจ้าสองคนก็เหมือนกับเจ้าสาม ล้วนแต่เป็นเด็กดีของป้า”

คำพูดนี้ออกมาจากใจจริงของนาง หาได้เสแสร้งแกล้งทำไม่ พอเฉินเซียงได้ยินเช่นนั้นก็อดหวั่นไหวไม่ได้ สองตาพลันแดงระเรื่อ แม้แต่ใบหน้าแขวนประดับไว้ด้วยรอยยิ้มของเฉินหานก็ยังฉายแววตกตะลึงยากจะพบเห็นขึ้นมาเล็กๆ

“พวกเจ้าสองคนทำใจสบายๆ ตั้งอกตั้งใจเรียนหนังสือให้ดี ไว้ผ่านไปสักระยะ ป้าจะเขียนจดหมายไปบอกท่านย่าของพวกเจ้า นางเป็นคนมีเมตตากรุณา หนำซ้ำยังใจอ่อน เชื่อว่าถึงตอนนั้นต้องเรียกพวกเจ้ากลับเมืองหลวงแน่” หลี่ซื่อกล่าวขึ้นอีก ถ้อยวาจาอบอุ่นอ่อนโยนเป็นที่สุด ทุกประโยคล้วนสัมผัสถึงใจคน

ครานี้แม้แต่เฉินหานก็ยังตาแดงตามไปด้วย ที่พวกนางสองพี่น้องต้องมาจี่หนาน ทั้งหมดทั้งมวลก็ด้วยเพราะนางเป็นเหตุ เฉินเซียงแค่เพราะบังเอิญอยู่ที่นั่นด้วยถึงได้ถูกฮูหยินผู้เฒ่าลงโทษด้วยอีกคน

เทียบกับเมืองหลวงที่คึกคักรุ่งเรือง เปิดรับค่านิยมใหม่ๆ แล้ว จี่หนานนี้เรียกได้ว่าอยู่ลำบากไม่ใช่น้อย เฉินหานหมายใจอยากกลับจวนกั๋วกงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ยามนี้หลี่ซื่อเอ่ยปากบอกว่าจะช่วยขอความเมตตากับฮูหยินผู้เฒ่าให้ นางย่อมรู้สึกหวั่นไหว

เพียงชั่วไม่กี่อึดใจ พี่น้องสองคนนี้ก็ถูกหลี่ซื่อกล่อมจนอยู่หมัด เห็นเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็อดนึกเลื่อมใสศรัทธาผู้เป็นมารดาไม่ได้ ขณะเดียวกันก็ลอบถอนหายใจโล่งอก

มีหลี่ซื่ออยู่ ไม่ว่าจะสถานการณ์เช่นไรนางก็น่าจะสามารถจัดการกับมันได้ วันเวลาในภายภาคหน้าน่าจะไม่ยุ่งวุ่นวายสักเท่าใดนัก

และก็เป็นจริงอย่างที่เฉินอิ๋งคาด หลังจากนั้นเฉินหานก็สงบนิ่งลงเป็นอันมาก ทุกคนแม้จะอยู่ในเรือนเดียวกัน แต่กลับไม่มีเหตุทะเลาะวิวาทอันใด

เรื่องเฉินอิ๋งคลี่คลายคดีกู่ต้าฝูสังหารคนนั้น หลี่เหิงได้เล่าเรื่องนี้ให้หลี่ซื่อทราบแล้ว ทว่านอกเหนือจากความรู้สึกภาคภูมิใจ หลี่ซื่อยังคงรู้สึกวิตกกังวลไม่คลาย ประจวบกับช่วงนี้ใกล้ถึงช่วงสิ้นปีแล้ว ดังนั้นหลี่ซื่อจึงยิ่งหาเหตุผลรั้งตัวเฉินอิ๋งไว้ในเรือน สั่งนางคัดคัมภีร์บ้างทำงานเย็บปักถักร้อยบ้างเป็นครั้งคราว เฉินอิ๋งจนปัญญาจะปฏิเสธจึงได้แต่จำใจรับคำ

หลี่ซื่อยามนี้แม้จะไม่ต้องยุ่งวุ่นวายเรื่องดูแลบ้านช่อง ทว่าหนีซื่อก็ยังคงชอบเอางานบ้านต่างๆ มาปรึกษากับนางอยู่เป็นประจำ บางครั้งเฉินอิ๋งก็คอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ งานนี้เรียกได้ว่าพอช่วยเติมรสชาติให้กับเวลาว่างอันแสนจะน่าเบื่อได้อยู่เล็กๆ

ว่ากันตามหลักแล้ว เดิมเฉินอิ๋งควรได้เรียนหนังสือเฉกเดียวกับเฉินเซียงและเฉินหานอยู่ที่สำนักศึกษาสตรีสกุลหลี่ เพียงแต่เพราะผลการเรียนของคุณหนูสามแต่ไหนแต่ไรก็ ‘ไม่น่าปลาบปลื้ม’ สักเท่าใดนัก ด้วยเหตุที่อาจารย์สตรีเหล่านั้นรู้สึกว่า ‘ระดับของนางย่ำแย่’ จึงไม่มีผู้ใดยินดีสอนสั่ง

แต่ไหนแต่ไรสกุลหลี่ก็เคารพอาจารย์ให้ความสำคัญกับการศึกษา ดังนั้นจึงไม่มีการบังคับอาจารย์ให้รับศิษย์ ด้วยเหตุนี้เฉินอิ๋งที่ความจริงเพียงไม่ถนัดกับทักษะในยุคสมัยนี้จึงกลายเป็นคนที่ว่างที่สุด หลี่ซีนึกอิจฉาอีกฝ่ายอย่างยิ่งยวด ส่วนเฉินหานแม้ไม่ได้เยาะเย้ยถากถางอันใด แต่ก็มีบ้างที่มองมาด้วยสายตาดูแคลน เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกว่าพี่สามของนางผู้นี้ไม่เอาไหนเลยจริงๆ

หลังหิมะน้อยๆ ผ่านพ้น อากาศก็เริ่มหนาวมากขึ้นเรื่อยๆ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่นั้นเพราะใช้ชีวิตในช่วงฤดูหนาวอยู่ที่จี่หนานเป็นครั้งแรกจึงรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก มักเรียกพวกเด็กรุ่นหลังทั้งหลายไปชมดอกเหมยในสวน ร่ายบทกวี ไม่ก็ไปทายปริศนาอยู่ในเรือนอุ่น แน่นอนว่าการละเล่นพวกนี้ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมดูแล ไม่ได้ปล่อยให้เหล่าคุณหนูทั้งหลายดื่มสุราแสวงหาความสำราญตามอำเภอใจ แม้จะสนุกสนานแต่ก็มิได้ถึงขนาดไร้ขอบเขต

ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่นิสัยรักสนุกของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ยังทำให้เฉินอิ๋งได้เปิดโลกทัศน์ เทียบกับฮูหยินผู้เฒ่าจวนกั๋วกงที่เคร่งขรึมเฉยชาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่นับว่าสนิทสนมได้ง่ายกว่ากันมาก

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: