บทที่ 230 ใจคนต่ำทราม
พอพูดถึงตรงนี้ฮั่วมามาจู่ๆ ก็เปลี่ยนไปพูดถึงอีกฝ่าย นางกัดฟันกล่าว “แต่ใครจะไปนึก คนผู้นี้หลังพ้นจากเรือนคุณหนูไปเขาก็เที่ยวป่าวประกาศไปทั่วว่าคุณหนูใหญ่พยายามล่อลวงเขา แรกๆ ก็ไม่มีผู้ใดเชื่อ แต่เขากลับสบถสาบานกล่าววาจาเหลวไหล อีกทั้งยังเอ่ยปากบอกถึงตำหนิบนร่างของคุณหนูใหญ่ เพียงไม่นานเรื่องราวก็แพร่สะพัดอยู่ท่ามกลางพวกคนชั้นต่ำ ช่าง…”
ริมฝีปากของนางสั่นระริก ใบหน้าเขียวคล้ำ พูดอันใดต่อไม่ออก น้ำตาหลั่งริน
เฉินอิ๋งตะลึงฟัง ในใจหนาวสะท้านยิ่ง
วาจาเล่าอ้างบาดหูเช่นนี้บีบบังคับทำร้ายสตรีในสมัยโบราณเช่นไร นางไม่ต้องคิดก็รู้ได้ทันที
“หากมามาไม่ปรารถนาจะเล่าต่อก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวอีก ข้าเข้าใจแล้ว” นางอดเอ่ยกับอีกฝ่ายไม่ได้
เรื่องราวในอดีตเหล่านี้หาควรย้อนนึกถึงอีกไม่ อารมณ์ของหญิงชราได้รับความกระทบกระเทือนเช่นนี้ ดีไม่ดีอาจส่งผลต่อสุขภาพ
นึกไม่ถึงว่ายังไม่ทันที่เฉินอิ๋งจะพูดจบ ฮั่วมามาก็ส่ายศีรษะ รอยยิ้มเจ็บปวดปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่น “ถึงคุณชายสามจะเข้าใจ แต่เรื่องราวภายหลังเกรงว่าท่านอาจทายไม่ถูก”
น้ำเสียงของนางแหบพร่าเล็กน้อยคล้ายมีดกรีดแก้วหู ทำเอาทุกคำที่นางพูดออกมาล้วนแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกเฉื่อยชายากเกินบรรยาย
“บ่าวรู้ คุณชายสามเป็นคนฉลาด คงทายเรื่องราวได้คร่าวๆ แล้ว” เส้นผมสีดอกเลาของฮั่วมามาส่ายไหวไปตามเสียงพูด คล้ายหิมะที่โปรยละอองอยู่ทั่วแผ่นฟ้าตกอยู่บนตัวนาง “ต่อมา…ต่อมา…คุณหนูใหญ่ก็กลืนทองพยายามปลิดชีวิตตนเอง ฮูหยินผู้เฒ่าส่งคนจำนวนมากไปเฝ้าคุณหนูใหญ่ไว้ด้วยเพราะกลัวนางจะฆ่าตัวตายอีก ทว่าคุณหนูใหญ่ยังซ่อนทองไว้อีกก้อน พอลับตาคนนางก็แอบกลืนมันลงท้องอีก วันที่สองกว่าจะมีคนไปพบ ร่างของคุณหนูใหญ่…ก็เย็นเยียบสิ้นแล้ว”
นางเพียรใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา ทว่าน้ำตากลับยังคงหลั่งริน ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่ยอมหยุดไหล เพียงไม่นานผ้าเช็ดหน้านั่นก็ชุ่มโชกไปด้วยน้ำตา
เฉินอิ๋งหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นส่งให้กับอีกฝ่าย
ฮั่วมามารับไว้พลางใช้มันซับน้ำตา กว่าจะกลั้นน้ำตาได้สำเร็จก็หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ นางเช็ดหางตาเอ่ยปากสะอึกสะอื้น “บ่าวเสียมารยาท ทำตัวให้คุณชายสามขบขันแล้ว”
เฉินอิ๋งส่ายหน้าไม่พูดอันใด นางนั่งนิ่งอยู่ข้างอีกฝ่าย
ไม่รู้ด้วยเหตุใดการเคลื่อนไหวสงัดเงียบไร้สรรพเสียงนี้กลับทำฮั่วมามารู้สึกเหมือนได้รับการปลอบโยน
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ อารมณ์ของฮั่วมามาก็กลับมาสงบนิ่ง นางเริ่มเอ่ยปากพูดอีกครั้ง
“ท่านโหวยามนั้นถึงจะเพิ่งอายุสิบสาม แต่กลับรู้อะไรดีอะไรไม่ดี เขาปิดประตูเฝ้าศพของคุณหนูใหญ่ตลอดทั้งคืน เช้าวันที่สองก็พาคนออกจากประตู ต่อมาบ่าวถึงได้รู้ว่าท่านโหวตามหาชายหนุ่มสร้างเรื่องผู้นั้นจนพบ บีบบังคับให้เขาบอกถึงต้นสายปลายเหตุ” น้ำเสียงของนางไม่รันทดโศกเศร้าอีกต่อไป หากแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกเคียดแค้นชิงชัง
นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าว “เจ้าคนถ่อยนั่นเป็นบัณฑิตยากจน คิดอยากมั่งมีศรีสุขจนเสียสติ เห็นจวนของพวกเรามีแต่เด็กกับคนชรา ชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่เองก็ไม่สู้ดี จึงคิดวางแผนตัดสินใจทำลายชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่ให้สิ้นซาก คิดว่าหากฮูหยินผู้เฒ่าร้อนรน ไม่แน่ว่าอาจยอมยกคุณหนูใหญ่ให้กับเขา ถึงตอนนั้นคนยากไร้เช่นเขาย่อมสามารถเกี่ยวดองกับจวนโหวได้ ช่างเป็นตัวบัดซบโง่งมตัวหนึ่งโดยแท้ ถุดๆ!”
ฮั่วมามาถ่มถุยน้ำลายลงพื้นติดๆ กันหลายครั้งหลายครา สองแก้มแดงระเรื่อด้วยความโกรธแค้น พูดจบนางก็ไอออกมาอีกครา
เฉินอิ๋งรีบขยับขึ้นหน้ายกถ้วยน้ำชาขึ้นให้อีกฝ่าย ฮั่วมามารับถ้วยน้ำชาไปดื่มสองสามคำ ครั้นหายไอนางก็หอบหายใจกล่าว “ลำบากคุณชายสามแล้ว บ่าวใกล้เล่าจบแล้ว”
เฉินอิ๋งกังวลกลัวนางจะเป็นอะไรไป แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเก็บกดเรื่องนี้อยู่นานมากแล้ว ยามนี้หากไม่ยอมปล่อยให้นางได้พูดจบ เกรงว่าจะยิ่งส่งผลเสียต่อร่างกายของหญิงชรามากขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้เฉินอิ๋งจึงได้แต่นั่งกลับลงบนเก้าอี้และตั้งใจฟังนางพูดต่อ
“ต่อมาท่านโหวได้บอกกับบ่าวว่าสาเหตุที่เจ้าคนถ่อยนั่นเล็งเป้าไปที่คุณหนูใหญ่ก็ด้วยเพราะคุณหนูใหญ่ได้ชื่อว่ามีดวง ‘ข่มญาติพี่น้อง’ คนผู้นี้หมายเกี่ยวดองกับจวนโหวจนเสียสติ ถึงขนาดยอมทุ่มเททรัพย์สมบัติที่มีทั้งหมดซื้อตัวแม่เฒ่าข้างกายคุณหนูใหญ่ แม่เฒ่านางนั้นเดิมมีหน้าที่ติดไฟต้มน้ำ เพราะเรือนนั่นไม่มีองครักษ์เฝ้ารักษาความปลอดภัยแน่นหนา ทำให้นางฉวยโอกาสตอนคุณหนูใหญ่อาบน้ำแอบสังเกตดูตำหนิบนตัวคุณหนูใหญ่ ก่อนจะเอาไปบอกกับเจ้าคนชั่วนั่น ช่าง…แค่กๆๆ…”
ฮั่วมามาไอหนักหน่วงรุนแรงจนไม่อาจเล่าต่อ สองแก้มแดงชัดยิ่งกว่าเก่า มือสั่นระริกยื่นไปที่ถ้วยชา
เฉินอิ๋งรีบคว้ามันยื่นส่งให้กับอีกฝ่ายพลางพูดอย่างอ่อนโยนว่า “พอเถอะมามา ข้าเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ท่านไม่ต้องรีบ ใจเย็นๆ”
ครานี้อาการไอของฮั่วมามาจางหายไปอย่างรวดเร็ว หลังจิบชาร้อนสองคำลงท้อง สีหน้านางก็ดีขึ้นมาก นางพูดออกมาว่า “ขอคุณชายสามอย่าได้ถือสา วันนี้เสียมารยาทยิ่งแล้ว คุณชายสามโปรดให้อภัยด้วย”
เฉินอิ๋งคิดจะเอ่ยปากกล่าว ‘หาจำเป็นไม่’ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก จู่ๆ นางก็รู้สึกแผ่นหลังหนาวสะท้าน ครั้นหันหน้ามองกลับไปนางก็เห็นม่านประตูถูกเลิกสูง เผยซู่กำลังยืนอยู่ที่ข้างประตู อาภรณ์บนร่างสะบัดไหวตามแรงลม ละอองหิมะเกาะติดอยู่ที่ข้างแขนเสื้อ
“เรื่องเก่าพวกนั้นมามาไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก” เขาลดม่านลงและสาวเท้ากว้างๆ เดินเข้ามา เสื้อคลุมที่พาดอยู่บนแขนห่อคลุมลงบนตัวของฮั่วมามา น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยว่า “ข้าสั่งให้คนจุดเตาแล้ว มามาไปรออยู่บนรถเถอะ อีกไม่นานข้าก็จะเสร็จธุระแล้ว” เขาพูดพลางเดินขึ้นหน้าหมายประคองหญิงชรา
นับแต่เห็นเขาเข้ามาในห้อง แววตาของฮั่วมามาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มยินดี ยามนี้พอได้ยินคำพูดดังกล่าว นางก็ยิ้มตาหยีตบมือของเขา “เอาล่ะๆ บ่าวพูดจบแล้ว ธุระของท่านโหวสำคัญยิ่ง เชิญท่านโหวจัดการธุระเถิด”
“อย่างไรมามาก็กลับขึ้นรถก่อนเถอะ” เผยซู่พยุงนางลุกขึ้น ก่อนจะหันไปพยักหน้ากับเฉินอิ๋ง “เมื่อครู่รบกวนคุณชายสามแล้ว”
ฮั่วมามายิ้มพลางกล่าวเสริม “เมื่อครู่ต้องขอบคุณคุณชายสามยิ่งนักที่ไม่รังเกียจยายเฒ่าน่ารำคาญอย่างบ่าว ยามนี้บ่าวรู้สึกสบายใจขึ้นมาก คุณชายสามนับเป็นผู้เปี่ยมเมตตา เป็นสตรีที่มีน้ำใจยิ่ง”
เพราะอายุมากจึงขี้หลงขี้ลืม ทันทีที่เอ่ยปากนางก็เผยให้ชาวบ้านรู้ได้ทันทีว่าแท้ที่จริงแล้วนางล่วงรู้ถึงฐานะของเฉินอิ๋งอยู่ก่อน
เฉินอิ๋งเองก็คาดเดาได้อยู่ก่อนแล้วเช่นกัน พอได้ยินเช่นนั้นนางก็ยิ้มกล่าว “หามิได้”
ฮั่วมามาไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าตนเองพลั้งปากไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางฉีกปากยิ้มไม่หุบ
เผยซู่ที่อยู่ข้างๆ ไม่รู้เพราะเหตุใดพอเห็นเช่นนั้นท่าทางเขาก็คล้ายกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กๆ โชคดีที่เฉินอิ๋งสนใจก็แต่พูดคุยอยู่กับฮั่วมามา ผนวกกับท่าทีผิดปกติของเขานี้ก็มิได้เด่นชัดอะไรนัก ทุกอย่างจึงผ่านพ้นไปเช่นนี้
หลังจากหาคนส่งฮั่วมามาออกไปเสร็จ เผยซู่ก็หันกลับมา ยกกาน้ำรินน้ำร้อนลงไปในกาน้ำชา ลงมือชงชาต่อ ควันสีขาวลอยละล่องลงล่างระคนอยู่กับน้ำเสียงทุ้มต่ำของเขา “คุณชายสาม…รู้สิ้นแล้ว?”
“ใช่ ฮั่วมามาบอกข้าหมดแล้ว” เฉินอิ๋งตอบ ไม่ว่าจะสีหน้าหรือน้ำเสียงล้วนสงบนิ่ง
เผยซู่พิจารณาดูด้วยหางตาอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นเห็นสีหน้าของนางเหมือนเช่นทุกครั้ง เขาก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาอย่างประหลาด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่าทีของข้าคุณชายสามก็คงจะเข้าใจแล้ว” เขายกกาน้ำเดินไปที่ห้องข้าง
เฉินอิ๋งได้ยินเสียงตักน้ำ เขาน่าจะกำลังตักน้ำใส่กาอยู่ น้ำเสียงแผ่วเบาดังตามมา
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
บทที่ 231 เยี่ยมเยือนกะทันหัน
ครั้นกลับมาถึงในห้อง สีหน้าของเผยซู่ก็กลับกลายเป็นปกติ เขาวางกาน้ำลงบนเตาพลางเอ่ยปาก “เอาเป็นว่าเรื่องนี้ข้ายินดีช่วยเหลือ เหตุผลมิใช่ด้วยเพราะสงสัยใคร่รู้หรืออื่นใด ท่านเชื่อใจข้าเท่านั้นก็พอ”
“ท่านโหวน้อยได้แสดงความจริงใจยิ่งยวดให้ประจักษ์แล้ว ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจยิ่ง” เฉินอิ๋งยืนอยู่ข้างชั้นหนังสือ ผินหน้ามองมาทางเขา รอยยิ้มแม้จะปรากฏอยู่บนริมฝีปากเพียงจางๆ แต่กลับชัดเจนแจ่มแจ้งเป็นที่สุด
พอเห็นรอยยิ้มเช่นนั้นเผยซู่เองก็อดยิ้มออกมาไม่ได้เช่นกัน “ยังคงเป็นคำพูดประโยคเดิม รอฟังข่าวจากข้า เรื่องสวนผลไม้ที่เยียนไถ มอบให้ข้าเป็นคนจัดการก็แล้วกัน ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”
คำพูดพวกนี้เขาพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา เฉินอิ๋งยิ้มน้อยๆ รับคำ ไม่ได้อิดออดกระบิดกระบวนเอ่ยปากถึงปัญหาเรื่องเงินอีกแต่อย่างใด
ปริศนาบนตัวเผยซู่ยามนี้ค่อยๆ คลี่คลายออกทีละน้อยแล้ว ส่วนคำตอบนั้นก็ช่วยให้นางเข้าใจเขาได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าเหตุใดเขาถึงใส่ใจเรื่องชื่อเสียงมากมายเยี่ยงนั้น รวมถึงท่าทีระแวดระวังเกินความจำเป็นยามอยู่กับเพศตรงข้ามเหล่านั้นด้วย ส่วนสาเหตุที่เขารับปากช่วยเหลือนางอย่างตรงไปตรงมานั้นนางก็เข้าใจแล้วเช่นกัน
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ เงาร่างของพี่น้องสกุลซย่าก็โผล่ขึ้นในหัวของนาง ทันทีที่ความคิดดังกล่าวปรากฏ เฉินอิ๋งก็รีบกดมันกลับลงไปทันที
ประหลาดจริงๆ เหตุใดนางถึงนึกถึงสองพี่น้องนั่นขึ้นมาได้
นางแอบส่ายหน้านั่งกลับลงบนเก้าอี้ ชี้ไปยังภาพร่างพลางบอก “ในเมื่อพอเข้าใจถึงโครงร่างคร่าวๆ ของโครงการ…แผนงานแล้ว เช่นนั้นต่อจากนี้ข้าก็จะบอกเล่าถึงรายละเอียดด้านการก่อสร้าง รบกวนท่านโหวน้อยจับตาดูดีๆ…”
เกล็ดหิมะโปรยละอองอยู่ที่นอกหน้าต่าง ดอกเหมยส่งกลิ่นหอมจางๆ เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กดังอยู่ภายในเรือนที่ชื่อว่า ‘ลิ้มสุรา’ อยู่เป็นนานไม่มีหยุด
หิมะแรกของจี่หนานตกอยู่เพียงครึ่งวันเท่านั้น ครั้นหัวค่ำมันก็หยุดตก ท้องฟ้าแจ่มใสอยู่นานถึงสิบวัน สภาพอากาศถึงกลับกลายเป็นเย็นเยียบยิ่งกว่าเดิม ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เองก็ไม่สนุกสนานคึกคักเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ วันทั้งวันเอาแต่ผิงไฟทำตัวให้อบอุ่นอยู่แต่ภายในห้อง
สภาพอากาศเช่นนี้ทำให้การไปเรียนหนังสือของทุกวันเป็นไปด้วยความยากลำบาก หลี่ซีเองก็ทะเลาะกับหนีซื่อไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ถึงกระนั้นนางกลับไม่ได้รับความเมตตาจากผู้เป็นมารดาแม้แต่น้อย ทุกวันยังต้องฝ่าลมหนาวไปเรียนอยู่ดี
ทุกครั้งที่เป็นเช่นนี้นางมักรู้สึกอิจฉาเฉินอิ๋งมากเป็นพิเศษ นางรู้มาว่าญาติผู้พี่ของนางผู้นี้ ‘เรื่องเรียนไม่เอาไหน’ แต่ในความไม่เอาไหนที่ว่ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความโชคดี ได้รับความเอ็นดูจากสวรรค์จนนางอดนึกอยากเปลี่ยนตัวกับอีกฝ่ายไม่ได้
หากนางรู้ว่าทุกวันเฉินอิ๋งต้องพยายามตื่นนอนแต่หัวรุ่ง ไม่ว่าสภาพอากาศจะหนาวเหน็บสักเพียงใดก็ยังต้องฝึกขี่ม้ายิงธนูรวมถึงฝึกกำลังข้อมือและอื่นๆ เชื่อว่าถึงตอนนั้นนางย่อมไม่นึกอิจฉาเฉินอิ๋งอีกต่อไป
จะว่าไปนับแต่แยกกับเผยซู่ในวันนั้น เฉินอิ๋งก็ไม่ได้รับข่าวสารอันใดจากเขาอีก แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่ได้รู้สึกร้อนใจ ยังคงยุ่งอยู่กับเรื่องราวของตนเองเหมือนดังเก่า
วันนี้หิมะตกหนัก เฉินอิ๋งลุกขึ้นแต่เช้า นางสังเกตเห็นท้องฟ้าอึมครึม ลมหนาวพัดผ่านประตูสลักลายเข้ามาพร้อมกับกลิ่นอายแจ่มใสเย็นยะเยือก
“วันนี้คุณหนูยังจะออกไปข้างนอกกระนั้นหรือ” หลังช่วยผู้เป็นนายชำระล้างร่างกายเป็นที่เรียบร้อย หลัวมามาก็เอ่ยปากถาม สายตาจับจ้องอยู่บนเสื้อผ้าชุดใหม่ที่วางอยู่บนเตียง
เฉินอิ๋งพยักหน้ากล่าว “ใช่ ข้านัดกับนายหญิงสี่สกุลฉิวไว้ วันนี้ตอนบ่ายจะแวะไปดูอะไรที่ร้านเซียงอวิ๋นสักหน่อย”
หลัวมามาไม่รู้เรื่องเฉินอิ๋งกับกัวหว่านร่วมมือกันทำการค้า พอได้ยินเช่นนั้นหัวคิ้วของนางก็ขมวดเข้าหากันน้อยๆ เพราะรู้สึกว่าการที่เฉินอิ๋งทำตัวสนิทสนมกับหญิงม่ายผู้หนึ่งเกินไปนั้นหาใช่เรื่องดีไม่ แต่ถึงกระนั้นนางก็มิได้พูดอะไรออกมา
“ท่านแม่กับท่านป้าสะใภ้อนุญาตแล้ว ที่ร้านของนายหญิงสี่เองก็มีของที่พวกท่านแม่ต้องการพอดี ถือเสียว่าแวะไปเอามันกลับมาให้พวกนาง” เฉินอิ๋งพูดขึ้นอีกคราวถือเป็นการอธิบาย
ไม่รู้ว่าเพราะได้รับอิทธิพลจากกระแสค่านิยมในท้องถิ่นหรือไม่ นับแต่มาถึงจี่หนาน กัวหว่านก็ไม่เคยแวะมาเยี่ยมเยือนนางเลยแม้แต่ครั้งเดียว ที่ไปมาหาสู่ถึงจวนสกุลหานทุกครั้งล้วนแต่เป็นพวกมามาทั้งสิ้น โชคดีที่หลี่ซื่อกับหนีซื่อไม่รู้เรื่องอะไรพวกนี้มากนัก ดังนั้นคราวนี้เฉินอิ๋งจึงสามารถขอออกไปข้างนอกตามลำพังได้
เพราะสกุลหานวางจำหน่ายน้ำมันหอมระเหยชนิดใหม่มาอีกสองสามชนิด แล้วกัวหว่านตกลงรับปากพวกหนีซื่อว่าจะส่งมาให้ เฉินอิ๋งจึงใช้โอกาสนี้ขันอาสาไปจัดการให้เอง ส่วนหลี่ซื่อเองก็มิได้เอ่ยปากขัดขวาง คาดว่าคงไว้วางใจกัวหว่านยิ่ง
กว่าจะแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นที่เรียบร้อยเวลาก็ไม่เช้าแล้ว ขณะกำลังจะออกไป นึกไม่ถึงว่าเฉินเซียงกลับแวะมาเยี่ยมเยียนนางกะทันหัน
เฉินอิ๋งรู้สึกประหลาดใจ หลังจากเชิญอีกฝ่ายเข้าไปในห้องนางก็ยิ้มถาม “วันนี้พี่รองไม่มีเรียนกระนั้นหรือ”
ตารางเรียนของสำนักศึกษาสตรีทุกวันล้วนแต่แน่นขนัด อีกทั้งวันนี้หรือก็มิใช่วันหยุด หาไม่แล้วเฉินอิ๋งไหนเลยจะมีโอกาสออกไปตามลำพังได้ ถึงตอนนั้นเชื่อว่าต้องมีหางเล็กๆ อย่างหลี่ซีตามมาด้วยเป็นแน่
พอได้ยินเฉินอิ๋งถามเช่นนั้น เฉินเซียงก็หน้าแดงขึ้นมาทันที นางอึกๆ อักๆ บอก “เอ่อ…ข้า…ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย…เลยขอท่านอาจารย์หยุดพักครึ่งวัน” นางพูดพลางกวาดตามองไปรอบๆ ความหมายของนางเห็นได้ชัดยิ่งกว่าชัด
หลังสั่งให้พวกหลัวมามาออกไปเป็นที่เรียบร้อย เฉินอิ๋งก็เอ่ยปากถามขึ้นอีกครา “พี่รองเหมือนมีธุระจะคุยกับข้า ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องอันใด”
เฉินเซียงหน้าแดงมากขึ้นไปอีก นางก้มหน้าขยับชายอาภรณ์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดคลุมเครือออกมา “เอ่อ…ไม่รู้ว่าท่านป้ารอง…เขียนจดหมายถึงท่านย่าแล้วหรือไม่”
ที่แท้ก็เรื่องนี้
เฉินอิ๋งไม่รู้ว่าเฉินเซียงมาเองหรือว่าเฉินหานคะยั้นคะยอให้นางมากันแน่ จึงพูดออกมาตามตรงว่า “ท่านแม่ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับข้า พี่รองต้องการให้ข้าช่วยถามดูให้หรือไม่”
“ก็ดี…เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณน้องสามยิ่งแล้ว” เฉินเซียงก้มหน้าพูดประโยคดังกล่าวออกมา คล้ายถอนหายใจโล่งอก
ยามนี้เฉินอิ๋งจึงมั่นใจแล้วว่าเรื่องนี้เฉินหานต้องเป็นคนให้นางมาถามตนเองแน่
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เฉินเซียงก็รวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้น นางพูดจาตะกุกตะกัก “เอ่อ…เรื่องของข้ากับน้องสี่ เชื่อว่าน้องสามคงได้ยินมาบ้างแล้วกระมัง”
เฉินอิ๋งตะลึงงัน คำพูดไม่มีหัวไม่มีหางเช่นนี้หมายความเช่นไร
โชคดีที่เฉินเซียงคล้ายไม่ต้องการคำตอบจากเฉินอิ๋ง นางกล่าวต่อว่า “อันที่จริงน้องสี่ก็แค่ยั้งปากไม่อยู่เป็นบางครั้งบางคราว พูดจาไม่ระมัดระวังก็เท่านั้น นางก็แค่ด่าน้องหกออกมาตรงๆ มิได้ลอบเล่นงานผู้อื่นแต่อย่างใด”
คำพูดนี้ทำคนสับสนงุนงงยิ่งกว่าเดิม หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเฉินอิ๋งก็เข้าใจ
ที่แท้ที่เฉินเซียงพูดถึงอยู่ในเวลานี้ก็คือสาเหตุที่ทำให้เฉินหานถูกฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ส่งตัวมาที่จี่หนาน
เฉินอิ๋งส่งเสียง “อืม” เบาๆ ออกมาคราหนึ่ง แต่ก็มิได้พูดอันใดต่อ
เรื่องนี้เป็นภัยที่เฉินหานก่อ เฉินเซียงก็แค่ปลาที่ติดร่างแหมาด้วยเท่านั้น
จะว่าไปเรื่องนี้เฉินอิ๋งไม่เคยนึกอยากรู้เลยแม้แต่น้อย หลัวมามาเองก็ปิดปากสนิทไม่พูดอันใด เชื่อว่ารายละเอียดของเรื่องนี้คงมิได้ง่ายดายเหมือนอย่างที่เฉินเซียงพูดอยู่ในเวลานี้เป็นแน่ น่าจะยังมีสาเหตุอื่นด้วย
เพียงแต่ในเมื่อเฉินเซียงไม่ยอมเล่ารายละเอียด เฉินอิ๋งย่อมไม่สะดวกใจไถ่ถาม
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เรื่องเฉินหานไม่พอใจคุณหนูหกเฉินหยวนนั้นอันที่จริงก็มีเค้าลางอยู่นานแล้ว เฉินหยวนแม้จะยังเล็ก แต่ก็เกิดมาหน้าตาสะสวยงดงามราวกับสตรีล่มเมือง เฉินหานนึกอิจฉาอีกฝ่ายอยู่ลึกๆ มาแต่ไหนแต่ไร
“ก็แค่ปากกับลิ้นทะเลาะกันเท่านั้น น้องสี่เพราะอารมณ์ฉุนเฉียวเกินไปหน่อย ท่านย่าถึงได้คิดดัดนิสัยนาง” เฉินเซียงพูดต่อ พยายามปกป้องผู้เป็นน้องร่วมอุทรอย่างสุดความสามารถ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ข้าไม่เคยรู้มาก่อน” น้ำเสียงของเฉินอิ๋งไม่มีอันใดผิดแผกไปจากยามปกติ และยิ่งไม่มีความรู้สึกยินดีปรีดาต่อโชคร้ายของผู้อื่น นางพูดออกมาตรงๆ “แต่ไหนแต่ไรท่านย่าก็แยกแยะลงโทษกับตกรางวัลอย่างชัดเจน คิดว่าเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างน้องสี่กับน้องหกนี้คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หาไม่ท่านย่าก็คงไม่โกรธขึ้งเยี่ยงนี้”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 ก.พ. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.