บทที่ 236 รอยหิมะบนถนนสายยาว
หลังจากเฉินอิ๋งส่งเสียง “อืม” ออกมาคราหนึ่ง นางก็ไม่กล่าวอันใดอีก
นางไม่มีอะไรที่พอจะพูดได้อีกแล้ว
อดีตของหมิงซินเรียกได้ว่าดั่งเทพนิยายบทหนึ่ง ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของผู้เป็นบิดาที่ปลูกฝังอยู่บนตัวนางในยามนั้น สุดท้ายก็เปลี่ยนนางให้กลายเป็นคนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยาน
เฉินอิ๋งเดาว่าที่หมิงซินสามารถเข้ามายุ่งวุ่นวายกับงานของเหอจวินเฉิงได้ เกรงว่าจะมากจะน้อยเช่นไรนางย่อมต้องใช้วิธีการอะไรบางอย่างเป็นแน่ อย่างน้อยละครอย่างโฉมสะคราญเคียงบัณฑิตไม่ว่าเช่นไรก็ไม่มีทางขาดได้
เฉินอิ๋งอดทอดถอนใจไม่ได้
ที่อยู่ใต้ผืนหนังงดงามเบื้องหน้ากลับเป็นจิตใจที่ทระนงองอาจหาใดเปรียบดวงหนึ่ง
สตรีเยี่ยงนี้ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ล้วนมีชีวิตได้ดั่งใจนางปรารถนา และมักจะได้ครอบครองในสิ่งที่ต้องการทั้งหมด หากพิจารณาจากจุดนี้ คำพูดที่บอกว่านางไม่สนใจตำแหน่งนายหญิงอันใดนั้นคาดว่าน่าจะไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด หากเหอจวินเฉิงได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นขุนนางชั้นสูง เกรงว่านางคงยินดีทอดกายให้กับเขา
ไม่ว่าเช่นไรนางย่อมเลือกก็แต่เส้นทางที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองที่สุดเท่านั้น เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่ว่าจะวิธีการใดนางล้วนไม่สนใจ หลักปรัชญาหน้าหนาใจดำของเหล่านักการเมืองแม่นางหมิงซินผู้นี้เรียนรู้มาจากบิดาของนางครบถ้วนกระบวนความ
มีอยู่แวบหนึ่งที่เฉินอิ๋งนึกอยากเชิญนางมาช่วยสร้างสำนักศึกษาสตรี แน่นอนว่าสตรีที่มีความรู้ความสามารถเช่นนี้ย่อมเหมาะยิ่งกับการบุกเบิกเส้นทาง
แต่สุดท้ายนางก็ได้แต่ล้มเลิกความคิดดังกล่าว
หมิงซินคำนึงถึงผลประโยชน์และความสำเร็จมากเกินไป ทะเยอทะยานเกินไป ทว่าที่เฉินอิ๋งต้องการกลับเป็น ‘นักปฏิบัตินิยม’
‘ผู้มีธรรมไม่เสมอกันมิอาจกระทำการร่วมกันได้’ คำพูดนี้เหมาะที่จะใช้กับเฉินอิ๋งและหมิงซินที่สุด
หลังพูดคุยกับหมิงซินจบได้ไม่นาน เฉินอิ๋งก็ไปจากร้านเซียงอวิ๋น
กัวหว่านมิได้กลับมา
เฉินอิ๋งรอนางอยู่ราวๆ หนึ่งชั่วโมง แต่กัวหว่านกลับเหมือนมีอะไรบางอย่างติดพัน ไม่เพียงคนไม่กลับมา แม้แต่จะส่งคนกลับมาแจ้งข่าวก็ยังไม่มี
หากไม่ใช่เพราะเชื่อในความสามารถของกัวหว่านแล้วล่ะก็ เฉินอิ๋งคงอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับนางใช่หรือไม่
ตอนก้าวเท้าออกจากประตู หมิงซินพร่ำกล่าวขออภัยไม่หยุด อีกทั้งยังพยายามเชิญเฉินอิ๋งให้รอต่ออีกสักหน่อย แต่เฉินอิ๋งกลับไม่รับปาก
นางรับปากหลี่ซื่อไว้ว่าจะกลับไปให้ไวหน่อย ยามนี้สายมากแล้ว หากกลับช้ากว่านี้ หลี่ซื่อคงไม่แคล้วทั้งกังวลทั้งหวาดวิตก
โชคดีที่กัวหว่านสั่งให้คนเตรียมน้ำมันหอมระเหยไว้ก่อนแล้ว แค่เฉินอิ๋งเอากลับไปมอบให้พวกหนีซื่อ การเดินทางมาในครั้งนี้ก็ไม่นับว่าเสียเปล่า
ที่หน้าประตูหิมะยังคงตก เกล็ดหิมะโปรยปรายไร้สรรพเสียง ที่อยู่ไกลออกไปคือแผ่นฟ้ากว้างไกล ที่อยู่ใกล้ๆ คือตรอกถนนเงียบเหงา แผ่นฟ้าผืนปฐพีกว้างโล่ง
เฉินอิ๋งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
สภาพอากาศในวันหิมะตกทั้งเย็นเยียบทั้งชุ่มชื้น คล้ายปอดถูกล้างจนสะอาดเอี่ยม
หลังขึ้นไปนั่งอยู่บนรถม้า ฟังเสียงเกือกม้ากระทบพื้นผิวถนนดังกุบกับ เฉินอิ๋งก็เลิกม่านมองออกไปด้านนอก
หิมะโปรยปรายอยู่ทั่วทุกแห่งหน เปลี่ยนโลกนี้ให้แลดูงดงามเกินบรรยาย เวิ้งว้างกว้างไกลเสมือนภาพวาดประณีตบรรจง
รถเคลื่อนเลี้ยวตรงมุมถนนที่ตั้งอยู่ท้ายตรอกซย่าหม่าช้าๆ หากมุ่งหน้าต่อพวกนางก็จะไปถึงถนนชีเสียน
ในตอนนั้นเอง รถม้าขนาดเล็กหลังคาสีดำสองคันก็ปรากฏขึ้นที่อีกฟาก
เฉินอิ๋งสายตาดียิ่ง แค่เห็นเพียงปราดเดียวนางก็จำได้ทันทีว่าบ่าวไพร่ที่เดินตามอยู่ข้างรถคันหนึ่งนั้นเป็นบ่าวสกุลหาน
กัวหว่านกลับมาแล้ว
เฉินอิ๋งอ้าปากหมายเรียกอีกฝ่าย แต่ครั้นชำเลืองดูอีกครานางก็สีหน้าชะงักงัน
ที่ตามอยู่ข้างรถม้าหลังคาดำอีกคันคือบุรุษแต่งตัวเยี่ยงองครักษ์ มีอยู่สองคนที่นางรู้จัก
พึ่บ
จู่ๆ เฉินอิ๋งก็ลดม่านลง แล้วรีบถอยออกจากหน้าต่างรถ ใจเต้นตึกตักรัวเร็ว
ทันใดนั้นรถม้าก็เลี้ยวไปอยู่บนถนนชีเสียน เสียงเกือกม้ากระทบอยู่กับผิวถนนดังชัด
รอยเกือกเท้าม้าจางๆ ถูกหิมะกลบหายไปอย่างรวดเร็ว
มือของกัวหว่านวางอยู่บนมือของลวี่อี ยามนี้นางกำลังยืนอยู่ที่ข้างรถหันหน้ามองกลับไป
“นายหญิงดูอะไรอยู่กระนั้นหรือเจ้าคะ” ลวี่อีถามพลางมองตามสายตาของอีกฝ่ายไป
ถนนว่างเปล่าเงียบเหงา ร้างไร้ผู้คน มีเพียงหิมะโหมกระหน่ำ
“ข้าเหมือนจะเห็นรถม้าของคุณหนูสามสกุลเฉิน” กัวหว่านพูดเบาๆ ก่อนจะไอออกมาคราหนึ่ง
ลวี่อีรีบขยับเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาวบนร่างของผู้เป็นนายพลางเหลือบมองกลับไป
กึกๆ
เสียงเคาะแผ่วเบาสองคราดังขึ้นจากบนรถม้าอีกคัน
พอเสียงดังกล่าวดัง สารถีก็รีบยกแส้ รถม้าห้อตะบึงผ่านพวกกัวหว่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็แล่นผ่านประตูร้านเซียงอวิ๋นไปไกล
กัวหว่านยกมือประคองหมวกกันลมบนศีรษะ นิ้วเรียวราวกับต้นหอมขับดุนอยู่กับขนสุนัขจิ้งจอกขาวบนคอ ยากจะแยกออกว่าอันใดขาวเนียนกว่ากัน
ลวี่อีตะลึงมองอยู่ข้างๆ นางแอบนึกทอดถอนใจ โลกนี้คิดจะหาสตรีงดงามเยี่ยงนายหญิงของข้าใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ เพียงแต่สตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นที่มาที่ไปไม่ธรรมดา…การนี้ไม่รู้ว่าดีร้ายเช่นไร
ลวี่อีเหมือนมีลางสังหรณ์ไม่สู้ดีนัก นางรีบโยนอารมณ์ความรู้สึกไร้ประโยชน์พวกนั้นทิ้ง และประคองกัวหว่านก้าวเท้าขึ้นบนบันไดหิน
เพียงไม่นานร่องรอยรถม้าผู้คนที่หน้าประตูร้านเซียงอวิ๋นก็จางหายไปจนสิ้น หิมะโปรยปรายลงมาไม่หยุดเสมือนไร้ซึ่งขอบเขต ไร้ซึ่งเวลาสิ้นสุด…
รัชศกหยวนจยาปีที่สิบหกฤดูใบไม้ผลิของจี่หนานมาค่อนข้างไว ยังไม่เข้าเดือนสองต้นสาลี่ในเรือนก็เริ่มแตกใบใหม่ให้เห็น
เฉินอิ๋งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ เงยหน้ามองดูใบอ่อนสีเขียวขับดุนอยู่กับท้องฟ้าสะอาดสะอ้านเหนือศีรษะ สองตาหรี่ลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“คุณหนู แม่ทัพหลางมาแล้ว” หลัวมามาเดินเข้ามาเงียบๆ ก่อนจะกล่าวรายงานด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
เฉินอิ๋งหันหน้ามองไป พบว่าที่ข้างประตูวงเดือนที่เพิ่งทาสีขาวได้ครึ่งหนึ่งนั้นมีชุดหมั่งเผาสีแดงสดปรากฏให้เห็นอยู่มุมหนึ่ง
“เชิญเขาเข้ามาเถอะ” นางยิ้มให้กับหลัวมามาพลางใช้มือปัดไปบนไหล่ของอีกฝ่าย “มามาเดินผ่านระเบียงทางเดินด้านนอกเข้ามาใช่หรือไม่ ถึงได้มีฝุ่นติดตัวเช่นนี้”
หลัวมามารีบก้มหน้ามอง ก่อนจะพบว่าบนไหล่ของนางรวมถึงชายกระโปรงล้วนมีแต่ฝุ่นขาว นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปัดพลางกล่าววาจาอย่างอับจน “ผู้น้อยบอกแล้วว่าก่อนสร้างเสร็จที่นี่ต้องยุ่งเหยิงเต็มไปด้วยฝุ่นแน่ แต่คุณหนูก็ไม่ฟัง โชคดีที่คุณหนูไม่ได้ตามผู้น้อยออกไปข้างนอกด้วย ไม่อย่างนั้นอาภรณ์ตัดใหม่นี้คงได้เลอะเทอะเปรอะเปื้อนหมดสิ้น”
เฉินอิ๋งยิ้มฟังนางโอดครวญ หลังหลัวมามาพูดจบนางก็ถามขึ้น “ท่านแม่เล่า ยังวุ่นวายอยู่ที่ด้านหลังใช่หรือไม่”
สีหน้าอับจนของหลัวมามาเพิ่มมากขึ้นอีกระดับ นางพยักหน้ากล่าว “คุณหนูกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ก่อนหน้านี้ฮูหยินบอกว่าจะไม่มา ยามนี้กลับตามคุณหนูมาประจำ ตอนนี้กำลังเรียกให้พวกเด็กๆ จัดการเก็บข้าวเก็บของอยู่”
ได้ยินเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็นึกเบิกบานใจ นางยิ้มกล่าว “ข้านี่มีญาณวิเศษจริงๆ รู้จักเก็บที่แห่งนี้ไว้ให้ตนเองไว้ใช้พักอาศัย ที่นี่ภูเขาสวยน้ำใส ใกล้ๆ ล้วนแต่ครอบครัวชาวนาซื่อๆ วันหน้าหากท่านแม่รู้สึกเบื่อที่จะอยู่ในเมือง ย่อมสามารถมาพักผ่อนอยู่ที่นี่ได้สักหลายๆ วัน ถือเสียว่าเป็นบ้านพักตากอากาศที่บุตรีผู้นี้สร้างไว้ให้มารดา”
หลัวมามายิ้มไปกับคำพูดของเฉินอิ๋ง ก่อนจะเอ่ยปากทอดถอนใจ “คุณหนูครุ่นคิดรอบคอบดีแท้ ฮูหยินเอ่ยปากอยู่ตลอดเวลาว่านางชื่นชอบที่นี่ยิ่งนัก”
หลี่ซื่อยามนี้พักอยู่จวนข้าหลวง ที่นั่นไม่ว่าเช่นไรก็ไม่ใช่บ้านของผู้เป็นมารดาอย่างแท้จริง ยามนี้เฉินอิ๋งได้แบ่งเรือนหลังหนึ่งในสำนักศึกษาสตรีเฉวียนเฉิงนี้ออกมาใช้พำนักอาศัยเอง เท่ากับเป็นการสร้างที่พักให้กับหลี่ซื่อ หากวันใดพวกนางสามคนแม่ลูกไม่สะดวกจะพำนักที่จวนข้าหลวงต่อ ภายในเมืองจี่หนานกว้างใหญ่พวกนางย่อมมิร้างที่ไป
บทที่ 237 ผู้รับเหมารายใหญ่
“ช่างเถอะ มามารีบเรียกแม่ทัพหลางเข้ามาเถิด” พอเห็นหลัวมามานิ่งเงียบไม่พูดอันใด เฉินอิ๋งก็ยิ้มเอ่ยปากเตือน
หลัวมามาได้สติ นางรีบขานรับและเรียกบ่าวตัวน้อยให้เข้ามารับคำสั่ง ส่วนนางเองก็คอยยืนรับใช้อยู่อีกด้าน
เฉินอิ๋งอาศัยจังหวะขณะกำลังว่างกวาดตามองไปรอบๆ ความรู้สึกปลาบปลื้มเอ่อท้นไปทั้งใจ
อากาศอบอุ่นขึ้นทีละน้อย หิมะน้ำแข็งบนพื้นเริ่มละลาย สำนักศึกษาสตรีเฉวียนเฉิงกับสถานพำนักเด็กและสตรียามนี้กำลังก่อสร้างอย่างขมีขมัน ทุกอย่างล้วนดำเนินไปอย่างราบรื่น
งานนี้เผยซู่ทุ่มเทกำลังอย่างเต็มที่ ท่าทีขององค์รัชทายาทหรือก็เป็นไปด้วยความกระตือรือร้น แม้แต่ฮ่องเต้หยวนจยาเองก็ได้ยินว่าทรงเห็นพ้องกับการนี้ด้วยเช่นกัน เฉินอิ๋งเพลานี้เท่ากับมีป้ายผ่านที่แข็งแกร่งที่สุดในราชสำนักต้าฉู่แล้ว ต่อจากนี้ไม่ว่าจะซื้อที่ดิน ซื้อไม้ ซื้อหิน รวมถึงคนงานย่อมล้วนสามารถดำเนินไปตามแผนการที่วางไว้ก่อนหน้า คนงานที่เฉินอิ๋งว่าจ้างมาล้วนแต่เป็นชาวบ้านอพยพจากทางเติงโจว นับตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงยามนี้ พวกชาวบ้านอพยพที่มาพำนักอยู่ในสำนักศึกษาสตรีเฉวียนเฉิงมีจำนวนเกินกว่าร้อยคนแล้ว ในจำนวนนี้มีหกส่วนเป็นแรงงานที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว สี่ส่วนที่เหลือเป็นแรงงานที่คนในครอบครัวล้มตายหายสาบสูญหรือไม่ก็เป็นแรงงานเด็กและสตรีกำพร้าอ่อนแอ ซึ่งคนเหล่านี้ยามนี้ครึ่งหนึ่งเป็นพวกลูกมือ อีกครึ่งพำนักอยู่ในสำนักศึกษาสตรีเฉยๆ เรียกได้ว่าเป็นการช่วยองค์รัชทายาทแก้ไขปัญหายุ่งยากส่วนหนึ่ง
“นี่คือจดหมายที่นายท่านของผู้น้อยฝากมาถึงท่าน” เสียงของหลางถิงอวี้ดังขึ้น ดึงสติของเฉินอิ๋งกลับ
ยามนี้แม่ทัพเตี้ยล่ำผู้นี้กำลังยืนห่างออกไปไม่ไกลสักเท่าใดนัก มือทั้งสองข้างประคองจดหมายฉบับหนึ่ง ตัวอักษรที่เขียนอยู่ด้านบนเป็นลายมือของเผยซู่
หลัวมามาขยับเท้าเดินขึ้นหน้าเข้าไปรับ ก่อนจะมอบมันต่อให้กับเฉินอิ๋ง ขวางมิให้คุณหนูของตนวางตัวใกล้ชิดกับบุรุษอื่นโดยตรง
หลางถิงอวี้ไม่ได้รู้สึกอันใดกับเรื่องดังกล่าว หากกลับเป็นเฉินอิ๋งเสียเองที่มองดูหลัวมามาด้วยสีหน้าจนใจ แต่ถึงกระนั้นนางก็มิได้พูดอันใดออกมา
เรื่องสร้างสำนักศึกษาสตรียามนี้เป็นที่รับรู้กันทั่วแล้ว หลี่เหิงกับหลี่ซื่อเองก็มิเคยก้าวก่ายอันใด ในเมื่อเรื่องนี้องค์รัชทายาททรงออกหน้าร่วม แม้แต่ซือถูฮองเฮาเองก็ยังพระราชทานเงินทองผ้าผืนมาให้ แล้วผู้ใดเล่าจะกล้ายับยั้งห้ามปราม เมื่อไม่มีการขัดขวางจากเหล่าผู้อาวุโส…อย่างน้อยก็ในเวลานี้ เฉินอิ๋งย่อมพึงพอใจยิ่งนัก เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้นางจึงหาได้ใส่ใจไม่
หลังอ่านจดหมายจากเผยซู่จบ เฉินอิ๋งก็เลิกคิ้วมองไปทางหลางถิงอวี้พลางถาม “อีกสองสามวันท่านโหวน้อยจะมาซานตงอีกครั้ง?”
“ขอรับ” หลางถิงอวี้ประสานมือตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ทางเติงโจวเกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย ท่านโหวน้อยของพวกเราได้รับคำสั่งให้แวะมาดูสถานการณ์”
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” เฉินอิ๋งถามก่อนจะยิ้มกล่าวออกมาอีกครั้ง “หากไม่สะดวกจะเล่าก็ช่างเถอะ ท่านโหวน้อยเองก็ไม่ได้เขียนไว้ในจดหมาย ข้าถามเพียงเพราะอยากรู้เท่านั้น”
สีหน้าของหลางถิงอวี้เคร่งขรึมหนักขึ้นไปอีก “ตอนผู้น้อยออกจากเซิ่งจิง ท่านโหวน้อยเองก็ไม่ทราบรายละเอียดอันใดนัก เพียงแต่ตอนผู้น้อยออกจากเติงโจวมาเมื่อหลายวันก่อน เรื่องนี้กลับแพร่กระจายไปทั่วแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานคุณหนูสามก็คงได้ยินข่าวเช่นกัน”
ตอนพูดเขาถอนหายใจเบาๆ ออกมาคราหนึ่ง “ในค่ายผู้อพยพที่เติงโจวเกิดไฟไหม้ มีคนตายไม่ใช่น้อย”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินอิ๋งแข็งทื่อไปทันที
ค่ายผู้อพยพนั่นองค์รัชทายาททรงลงมือควบคุมดูแลการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง ยามนี้เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ มิน่าเผยซู่ถึงต้องรีบรุดไปดู
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยปากถาม “เกิดไฟไหม้ขึ้นได้เช่นไร แม่ทัพหลางพอจะเล่ารายละเอียดให้ข้าฟังได้หรือไม่”
หลางถิงอวี้ส่ายหน้า สีหน้าซึมเซาลง “ที่ผู้น้อยรู้ก็มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ชาวบ้านที่ถูกไฟคลอกตายพวกนั้นล้วนพักอยู่ในเรือนเดียวกัน ได้ยินขุนนางชั้นผู้น้อยที่ดูแลค่ายผู้อพยพนั่นบอกว่าคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นล้มตายกันแทบหมดสิ้น เฮ้อ…”
เขาส่ายหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเวทนา ก่อนจะไม่พูดอันใดอีก
อารมณ์ของเฉินอิ๋งหนักอึ้งขึ้นมาทันที หลังจากนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ นางก็ถอนหายใจกล่าว “ภัยธรรมชาติผนวกกับภัยพิบัติจากฝีมือมนุษย์ เด็กและคนชราเหล่านั้นยามนี้คงไปชุมนุมอยู่ด้วยกันยังอีกภพแล้ว”
ผู้อพยพพวกนั้นเร่ร่อนพลัดที่นาคาที่อยู่ก็ด้วยเพราะความอดอยาก หลังมาถึงเติงโจวกลับถูกคนควบคุมจนสูญสิ้นอิสรภาพ กว่าจะมีความหวังขึ้นมาได้ก็ไม่ใช่ง่าย ใครจะไปนึกว่าจะถูกพระเพลิงพรากชีวิตไปอีก ถึงจะเกิดในยุคสมัยที่เจริญรุ่งเรือง แต่ชีวิตกลับต่ำต้อยและต้องตายอนาถ ชะตาชีวิตเช่นนี้ชวนให้คนนึกทอดถอนใจยิ่งนัก
ลานเรือนเล็กๆ เงียบสงัด ราวกับถูกทาบทับไว้ด้วยความกลัดกลุ้ม
ทว่าลมวสันต์นั้นกลับยังคงโชยไหว พัดมาแล้วก็ผันผ่านไป กิ่งไม้ที่เริ่มแตกใบอ่อนสะบัดไหวไปทางผืนดินที่เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
เรือนที่ก่อสูงประมาณครึ่งตัวคนกำลังถูกเสริมให้แข็งแกร่งแน่นหนาขึ้นทีละน้อยภายใต้ฝีมือของเหล่าช่างฝีมือ บนพื้นดินที่ใช้เป็นสนามนั้นมีสตรีและเด็กจำนวนไม่น้อยกำลังเก็บกวาดก้อนกรวดถอนวัชพืช หากทอดตามองไปไกลอีกสักหน่อยก็จะพบว่าที่ด้านหลังของห้องเรียน บนพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ขนาดเกือบหนึ่งหมู่เองก็ถูกแบ่งออกเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยม ไว้ใช้ในการเรียนการสอนวิชาเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ ส่วนที่ดินที่อยู่ประชิดติดเขานั้นตอนนี้กำลังมีการสร้างห้องหับขึ้นเป็นจำนวนมาก มีทั้งที่พักของผู้เป็นอาจารย์ ที่พักผู้เรียน ชั้นเรียนเด็กเล็ก สถานพำนักและอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ เขตที่พักอาศัยนี้วันหน้าจะมีการสร้างกำแพงสูงโอบล้อมไว้เพื่อสร้างความปลอดภัยพื้นฐานให้กับพวกเขา
หลังออกจากลานเรือนมาเดินเตร็ดเตร่อยู่บนที่ดินดังกล่าว เฉินอิ๋งก็รู้สึกว่าความรู้สึกหนักอึ้งภายในจิตใจเมื่อครู่ยามนี้สลายหายไปบางส่วนแล้ว
ครั้นกวาดตามองไปโดยรอบ รอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง
นางเดินออกมาแล้ว
เมื่อพ้นออกมาจากห้องหับเรือนลึกพวกนั้น นางก็จะพบกับโลกที่พร้อมจะมอบอิสระให้แก่นาง
ถึงจะเป็นเพียงก้าวเล็กๆ ก้าวเดียวก็ตาม
ไม่ต่างอันใดกับเด็กที่กำลังเดินโซซัดโซเซไม่รู้เป้าหมาย ที่นางเดินอยู่ในเวลานี้ก็แค่ก้าวเล็กๆ เยี่ยงเด็กหัดเดินก้าวหนึ่งเท่านั้น
หลังจากนี้นางต้องย่างก้าวให้มั่นคงกว่านี้ รวบรวมพละกำลังเดินขึ้นหน้าต่อไป ไปยังแผ่นฟ้าผืนปฐพีที่กว้างไกลยิ่งกว่า
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินอิ๋งค่อยๆ ปรากฏชัด จนกระทั่งเสียงของสวินเจินดังขึ้นนางถึงได้สติ
“คุณหนู ผู้น้อยได้แจ้งให้พ่อบ้านเซ่าทราบแล้ว เขาบอกว่าอีกสักครู่จะแวะมาเจ้าค่ะ” นางพูดพลางปัดฝุ่นขาวบนตัวไม่หยุด บางทีก็ไอสำลักฝุ่นพวกนั้น
ครั้นเห็นเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็อดถามอย่างแปลกใจไม่ได้ “เจ้ามาจากที่ใด หรือว่าพ่อบ้านเซ่าก็ไปดูห้องหับมาเช่นกัน?”
สวินเจินยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดปากยิ้ม “ใช่แล้วเจ้าค่ะ เมื่อครู่ผู้น้อยเองก็รู้สึกประหลาดใจว่าเหตุใดหาจนทั่วแล้วแต่ก็ไม่พบคน ที่แท้พ่อบ้านเซ่าก็วิ่งไปดูห้องหับที่กำลังก่อสร้างพวกนั้น ผู้น้อยปากมากเลยถามเขาออกมาประโยคหนึ่ง พ่อบ้านเซ่าบอกว่ายามนี้เขาหาโรงเผาอิฐใหม่ได้แล้ว กำลังเอาอิฐใหม่กับอิฐเก่าเทียบกันอยู่ เพื่อเรื่องนี้เขาถึงกับไปเชิญผู้เชี่ยวชาญจากบ้านสกุลหานมาช่วยดูด้วย”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เฉินอิ๋งอมยิ้มพยักหน้า เรื่องสำนักศึกษาสตรีเฉวียนเฉิง บ้านสกุลหานก็มีส่วนร่วมด้วย
เดิมเฉินอิ๋งไม่คิดจะให้กัวหว่านเข้ามามีส่วนร่วม ด้วยเพราะกลัวจะส่งผลต่อชื่อเสียงของนาง แต่นึกไม่ถึงว่าความสามารถในการล่วงรู้ข่าวสารของอีกฝ่ายจะยอดเยี่ยมจนน่าตกใจ สามารถล่วงรู้เรื่องนี้จากเส้นทางอื่น หลังจากนั้นก็ให้ลวี่อีนำตั๋วเงินสองพันตำลึงมาให้ ตอนเฉินอิ๋งเขียนจดหมายหาเผยซู่เป็นครั้งที่สอง เผยซู่ก็บอกไว้ในจดหมายว่าสกุลหานยามนี้ได้กลายเป็นผู้รับเหมารายใหญ่ของสำนักศึกษาสตรีเฉวียนเฉิงแล้ว
ผลลัพธ์เช่นนี้อันที่จริงก็อยู่ในความคาดหมายของเฉินอิ๋งแต่แรกแล้ว เพียงแต่นางนึกไม่ถึงว่าสกุลหานจะสนอกสนใจเรื่องนี้มากมายถึงเพียงนี้ หานตวนหลี่ถึงกับลงทุนซื้อโรงไม้โรงหินอย่างละหนึ่งเพื่อการนี้โดยเฉพาะ หนำซ้ำยังยอมจ่ายเงินก้อนโตว่าจ้างช่างฝีมืออีกจำนวนมาก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 มี.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.