บทที่ 663 กำไลทอง
เฉินอิ๋งมองดูใบหน้าวาดหวังที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
รีบร้อนใช้เงินเช่นนี้ เฉินหานคิดทำสิ่งใดกันแน่
จากที่เห็น นางต้องไม่ยอมบอกความจริงเป็นแน่ ต่อให้ซักไซ้ไล่เลียงก็คงจะถามไม่ได้คำตอบอันใด
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเฉินอิ๋งก็กล่าวออกมา “บนรถม้าของข้ามีเงินสำรองเผื่อใช้ในยามฉุกเฉินอยู่จำนวนหนึ่ง คาดว่าคงมีสักประมาณร้อยกว่าตำลึง ล้วนแต่เป็นตั๋วเงินปลีกย่อยสามารถฝากถอนได้ง่ายดายพวกนั้น”
นางตัดสินใจให้เฉินหานยืมเงินนี้
เทียบกับคุณหนูสามสกุลเฉินที่เมื่อครู่เอาแต่นิ่งเงียบนั้น เฉินอิ๋งรู้สึกว่าเฉินหานที่กำลังคิดวางแผนอะไรบางอย่างผู้นี้น่าใกล้ชิดสนิทสนมยิ่งกว่า
“เพียงเท่านั้นก็พอแล้ว” เฉินหานดีใจออกนอกหน้าสองตาเป็นประกาย “อีกสักครู่เอาเงินมาให้ข้า ข้าต้องรีบใช้”
พอพูดจบนางก็กุมมือเฉินอิ๋งแน่น มองตาเฉินอิ๋งพูดกำชับหนักแน่น “อีกอย่างเรื่องนี้ห้ามบอกกับผู้อื่นเด็ดขาด ฟ้ารู้ดินรู้ ท่านรู้ข้ารู้ เข้าใจใช่หรือไม่”
เฉินอิ๋งพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว อีกสักครู่ข้าจะเรียกให้สาวใช้ไปเอามา เจ้าจัดการธุระเสร็จเมื่อไรค่อยไปหาข้าที่เรือนรับรอง ข้าจะมอบมันให้กับเจ้า”
“เยี่ยม ยอดเยี่ยมยิ่งนัก” เฉินหานสองตาเรียวโค้ง ร่างทั้งร่างราวกับโปร่งแสงขึ้นมาหลายส่วน งดงามยิ่ง
เฉินหานยิ้มกล่าว มือที่เกาะกุมอยู่บนมือของเฉินอิ๋งแกว่งไกวไปมา “ขอบใจมาก พี่สาม ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านต้องยอมช่วยข้าแน่”
แม้แต่คำเรียกขานในอดีตนางก็ยังหยิบยกขึ้นมาใช้ เรื่องนี้ทำให้เฉินอิ๋งรู้สึกไม่สบายใจ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฉินอิ๋งก็เอ่ยปากเตือนออกมาประโยคหนึ่ง “ข้ารู้สึกว่าหากเจ้าคิดจะระเบิดจวนโหวล่ะก็ มันคงยุ่งยากไม่ใช่น้อย”
นี่เป็นสิ่งที่เฉินอิ๋งกังวลใจที่สุด นางกลัวเฉินหานจะทำการทดลองอยู่ในจวน
และยิ่งกลัวว่าหากเฉินหานโมโหขึ้นมา นางอาจเอาผลการทดลองไปใช้กับสกุลเซี่ย
ต้องรู้ว่าไม่ว่าจะระเบิดสำนักศึกษาหรือจวนโหวล้วนสามารถอ้างว่าเป็น ‘เรื่องซุกซนของพวกเด็กๆ ได้’ แต่หากระเบิดบ้านขุนนางราชสำนักนั้นย่อมกลายเป็นการกระทำความผิดที่แท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้นหากทำทางวังหลวงตื่นตระหนก ผลลัพธ์ที่ตามมาเป็นเช่นไรย่อมยากจะคาดเดาได้ ด้วยเหตุนี้เฉินอิ๋งจึงอดเอ่ยปากเตือนออกมาไม่ได้
เฉินหานตะลึงงันไปกับคำพูดของอีกฝ่าย แต่หลังจากนั้นนางก็หัวเราะออกมา
“อา ท่านคิดไปถึงที่ใดกัน” เฉินหานปิดปาก หลังจากยิ้มอยู่ครู่หนึ่งนางก็พูดสีหน้าเคร่งขรึม “วางใจเถอะ เงินพวกนั้นข้าไม่เอาไปใช้เช่นนั้นแน่ และยิ่งไม่เอาเงินของท่านไปใช้สูญเปล่า อีกเดี๋ยวท่านก็รู้เอง”
พอเห็นนางสีหน้าจริงจังเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็ไม่เอ่ยปากเตือนอันใดอีก ทำเพียงอมยิ้มพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี อีกสักครู่พวกเราค่อยเจอกัน”
เฉินหานอารมณ์ดียิ่งนัก นางเดินจากไปโดยมีรอยยิ้มระบายอยู่เต็มใบหน้า
“คุณหนู สวินเจินกลับมาแล้ว” ครั้นพวกเฉินอิ๋งเดินเลี้ยวออกจากประตูวงเดือน จือสือก็เดินเข้ามาพร้อมกล่าวรายงานแผ่วเบา
เฉินอิ๋งส่งเสียง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง กลอกตามองไปรอบๆ ก่อนจะชี้ไปทางด้านหน้า “ไปหาที่ที่ไม่มีคนแล้วค่อยว่ากันเถอะ ที่นี่ไม่เหมาะจะพูดคุยกัน”
จือสือขานรับ ทุกคนต่างเดินออกจากประตูวงเดือนไป ที่ยืนตระหง่านอยู่ทางด้านหน้าห่างออกไปไม่ไกลคือภูเขาจำลองลูกหนึ่ง ด้านบนมีศาลาหกเหลี่ยมสีเขียวอยู่หลังหนึ่ง เหมาะจะใช้เป็นสถานที่พูดคุยกันยิ่งนัก
“พวกเราไปที่นั่นกันเถอะ” เฉินอิ๋งเอ่ยปากแผ่วเบา นางเดินนำอยู่ทางด้านหน้าก่อนจะเข้าไปนั่งอยู่ในศาลา จือสือพาสาวใช้ตัวน้อยสองคนไปสำรวจดูรอบๆ ภูเขาจำลอง ครั้นมั่นใจว่าไม่มีคน นางก็เรียกสวินเจินให้เข้าไปหาเฉินอิ๋ง ส่วนตัวนางกลับคอยเฝ้าอยู่ที่นอกศาลา
“คุณหนู ผู้น้อยกลับมาแล้ว” สวินเจินค้อมกายแสดงคารวะ ครั้นเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่มีเม็ดเหงื่อผุดพรายอยู่เล็กๆ ก็ปรากฏให้เห็นต่อสายตา
เฉินอิ๋งยิ้มน้อยๆ กล่าว “ลำบากเจ้าแล้ว ครั้งนี้คงเหน็ดเหนื่อยไม่ใช่น้อยถึงได้มีเหงื่อออกเต็มไปหมด”
“หามิได้ ผู้น้อยชอบวิ่งตะลอนเจ้าค่ะ” สวินเจินยิ้ม หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาซับมุมหน้าผาก
นางจากไปตามคำสั่งของเฉินอิ๋ง
ดูเผินๆ เหมือนเฉินอิ๋งสั่งให้นางไปเอาของที่เรือนรับรอง แต่ความจริงแล้วเฉินอิ๋งกลับทิ้งนางไว้ให้คอยจับตาดูเซี่ยเหยียน
หลังมีปากเสียงกับเซี่ยเหยียนอยู่บนระเบียง เพราะเฉินอิ๋งกลัวอีกฝ่ายจะก่อเรื่องถึงได้ทิ้งสวินเจินไว้ ให้นางคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายให้ดี หากมีอันใดจะได้กลับมารายงานได้ทันการณ์
ยามนี้สวินเจินกลับมารายงานตามคำสั่ง
หลังปาดเช็ดเหงื่อเป็นที่เรียบร้อย สวินเจินก็เก็บผ้าเช็ดหน้า เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินอิ๋งพลางกระซิบกล่าว “คุณหนู ตอนคุณหนูห้าตกน้ำ ผู้น้อยอยู่ใกล้ๆ มองเห็นสถานการณ์ได้แทบทั้งหมดเจ้าค่ะ”
“อืม ข้าก็คิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่กลับมาช้าเช่นนี้” เฉินอิ๋งพยักหน้าท่าทีสงบนิ่ง น้ำเสียงราบเรียบ
เมื่อครู่ชิวสุ่ยเองก็บอกชัดว่าเรื่องนี้เซี่ยเหยียนต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแน่ สวินเจินจับตาดูอีกฝ่ายอยู่ลับๆ เห็นเฉินหยวนตกน้ำกับตา คำพูดของนางย่อมเชื่อถือได้
สวินเจินยิ้มกล่าว “คุณหนูฉลาดเฉลียวยิ่งนัก อันที่จริงผู้น้อยควรกลับมานานแล้ว แต่เพราะเรื่องนี้ทำให้เสียเวลาจนถึงตอนนี้ถึงเพิ่งจะกลับมาได้”
เฉินอิ๋งชี้นิ้วไปยังที่นั่งใต้ขื่อ “นั่งลงก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
สวินเจินกล่าวขอบคุณก่อนจะเบี่ยงกายนั่งลงข้างเฉินอิ๋ง เอียงศีรษะครุ่นคิดพลางกล่าว “เช่นนั้นผู้น้อยจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นให้คุณหนูฟัง”
ร่างกายของนางเอนโน้มมาทางด้านหน้า น้ำเสียงกดต่ำลงกว่าเดิม “ตอนกลับไปถึงศาลาหลังคาฟางหญ้า ผู้น้อยเห็นคุณหนูห้าเฉินกับคุณหนูรองสกุลเซี่ยกำลังพูดคุยกัน หลังจากนั้นไม่นานพวกนางสองคนก็เข้าไปในศาลา คุณหนูรองสกุลเซี่ยจูงคุณหนูห้าเฉินไม่ปล่อยมือ มีพูดคุยมีหัวเราะคล้ายไม่มีเรื่องบาดหมางอันใด แต่หลังจากนั้นไม่นาน คุณหนูรองสกุลเซี่ยก็บอกว่าเหนื่อยแล้ว อยากกลับไปพักผ่อน คุณหนูห้าเฉินเอ่ยปากพูดสองสามประโยคหลังจากนั้นก็ปล่อยนางไป ผู้น้อยสะกดรอยตามนางออกจากสวนอิ๋นซิ่ง”
“นางไปที่อื่นใช่หรือไม่ หรือไปพบเจอกับผู้อื่นอันใด” เสียงของเฉินอิ๋งฝากแฝงอยู่กับสายลมคล้ายถูกลมพัดลอยจากไป
เรื่องนี้แทบจะเห็นชัดอยู่แล้ว
เซี่ยเหยียนสองพี่น้องสนิทสนมกับหลิ่วซื่อยิ่งนัก เรื่องของหลิ่วซื่อพวกนั้นสกุลเซี่ยสองพี่น้องไหนเลยจะไม่รู้ หลิ่วซื่อเป็นคนทะเยอทะยาน หมายใจให้เฉินลี่ขึ้นมาแทนเฉินซวิน นางอยู่ในจวนกั๋วกงมานาน ย่อมเพาะบ่มเขี้ยวเล็บไว้ไม่น้อย
หลังหลิ่วซื่อแพ้พ่าย คนสนิทของนางย่อมถูกสวี่ซื่อกำจัดไปก่อนหน้าแล้วแน่ๆ แต่ถึงกระนั้นก็ยากจะบอกได้ว่านางไม่มีหมากลับอันใดทิ้งไว้
เซี่ยเหยียนกล้าก่อเรื่องในจวนสกุลเฉินเช่นนี้เชื่อว่าต้องมีคนที่คอยสอดประสานอยู่ภายใน
ได้ยินเฉินอิ๋งพูดเช่นนั้นสวินเจินก็พยักหน้าเต็มกำลัง พูดออกมาติดๆ กันว่า “คุณหนูฉลาดเฉลียวยิ่งนัก ฉลาดเฉลียวจริงๆ แค่เอ่ยปากก็ทายถูกหมดสิ้นแล้ว”
ขณะพูดนางก็กวาดตามองไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณก่อนจะเอ่ยปากแผ่วเบาคล้ายกลัวมีคนแอบฟัง “คุณหนูรองสกุลเซี่ยผู้นั้นทำตัวลับๆ ล่อๆ เดินวกวนไปมา ไม่รู้ว่านางรู้จักลู่ทางได้เช่นไร นางเดินไปไกลมาก จนมาถึงที่ลับตาแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีสตรีแต่งกายเหมือนสาวใช้นางหนึ่งรออยู่ พวกนางสองคนคล้ายรู้จักกัน พอเห็นหน้าก็เริ่มเอ่ยปากพูดคุย ผู้น้อยเพราะไม่กล้าเข้าไปใกล้จึงได้แต่ซ่อนตัวอยู่ห่างๆ คอยจับตาดูพวกนางอยู่หลังต้นไม้”
นางกลืนน้ำลายคล้ายนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ในเวลานั้นก่อนจะเอ่ยปากกล่าวต่อ “เพราะผู้น้อยอยู่เหนือลม นางพูดอันใดผู้น้อยจึงมิอาจได้ยิน เห็นก็แต่คุณหนูรองสกุลเซี่ยจู่ๆ ก็ถอดกำไลทองออกจากข้อมือ ส่งมอบให้กับสาวใช้นางนั้น”
ดวงตาของนางเบิกกว้างเล็กน้อย บรรยายถึงกำไลข้อมือนั่น “กำไลนั่นสีทองเป็นประกาย ด้านบนมีอัญมณีฝังอยู่หลายเม็ด ดูล้ำค่ายิ่งนัก สาวใช้นางนั้นรับไว้ด้วยท่าทีปีติยินดี สวมใส่มันไว้บนข้อมือตลอด หลังจากนั้นพวกนางก็แยกย้ายกันไป”
บทที่ 664 บุรุษหนุ่มเกี้ยวทอง
เฉินอิ๋งส่งเสียง “อืม” ออกมาคราหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามว่า “หลังจากนั้นเล่า คุณหนูรองสกุลเซี่ยก็กลับโถงใหญ่ไป?”
สวินเจินพยักหน้า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ คุณหนูรองสกุลเซี่ยย้อนกลับไปทางเดิม มุ่งหน้าไปที่โถงใหญ่โดยใช้ทางแยกนอกสวนอิ๋นซิ่ง ผู้น้อยสะกดรอยตามไป ไม่เห็นนางพบเจอกับผู้ใดอีก หลังกลับไปถึงโถงใหญ่ นางก็นั่งดูการแสดงอยู่ข้างเซี่ยฮูหยิน ผู้น้อยจับตาดูอยู่เป็นนาน ครั้นเห็นว่านางไม่มีทีท่าว่าจะออกมาอีก อีกทั้งกลัวคุณหนูจะรอจนร้อนใจ จึงให้หญิงรับใช้สูงวัยพรมน้ำกวาดพื้นไปตามต้าจ้วนที่เรือนรับรอง ชี้คุณหนูรองสกุลเซี่ยให้นางดู บอกให้นางจับตาดูไว้ หลังจากนั้นผู้น้อยก็รีบมุ่งหน้าไปที่สวนเหมย”
“ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก ต้าจ้วนผู้นี้เจ้าก็เลือกมาได้ไม่เลว” เฉินอิ๋งยิ้มเอ่ยปากชื่นชม
บางทีสวินเจินอาจไม่สุขุมฉลาดเฉลียวเท่าจือสือ แต่ปฏิภาณไหวพริบอย่างไรก็ยังคงมีอยู่ และยังมีประเด็นสำคัญอยู่อีกอย่างคือนางจดจำหนทางได้แม่น
ขอเพียงเป็นเส้นทางที่นางเคยเดินผ่าน นางย่อมไม่มีทางเดินผิด
แน่นอนว่าความสามารถทางด้านเส้นทางของเฉินอิ๋งเองก็ดียิ่งเช่นกัน แต่นั่นเป็นเพราะนางมักให้ความสำคัญกับการสังเกตรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ไม่เหมือนกับสวินเจินที่เป็นพรสวรรค์
และก็ด้วยเพราะเหตุนี้ เฉินอิ๋งถึงสั่งให้สวินเจินไปจับตาดูอีกฝ่าย
พอได้รับคำชื่นชมเช่นนั้นสวินเจินก็รู้สึกได้ใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกขัดเขิน นางหัวเราะคิกคักกล่าว “ผู้น้อยจำได้ คุณหนูเคยบอกว่าไม่ว่าจะทำอันใดต้องมีแผนการ แผนของผู้น้อยนี้ไม่ได้ทำคุณหนูเสียการใหญ่ เท่านี้ก็นับว่าดียิ่งแล้วเจ้าค่ะ”
เฉินอิ๋งแย้มยิ้ม ก่อนที่ใบหน้าจะกลับกลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กๆ นางเอ่ยถาม “หลังจากนั้นเจ้าก็พบคุณหนูห้าเข้าระหว่างทางใช่หรือไม่”
“ถูกต้องเจ้าค่ะคุณหนู” พอเห็นเฉินอิ๋งสีหน้าจริงจังเช่นนั้นสวินเจินก็ไม่กล้าหัวเราะอีก นางกระซิบตอบต่อว่า “ตอนผู้น้อยเดินมาถึงครึ่งทางก็สังเกตเห็นคุณหนูห้าเฉินถูกสาวใช้นางหนึ่งลากจูง มุ่งหน้าไปที่ทางแยกนั่น เดิมผู้น้อยคิดจะไม่ใส่ใจ แต่หลังจากนั้นผู้น้อยก็จำได้ว่าสาวใช้ที่จูงคุณหนูห้าเฉินนางนั้นที่แท้ก็คือคนที่ไปแอบพบเจอกับคุณหนูรองเซี่ย ผู้น้อยจึงนึกเอะใจสงสัย”
“เจ้าจำรูปร่างหน้าตาของสาวใช้นางนั้นได้?” เฉินอิ๋งถามแทรก
สวินเจินส่ายหน้า สีหน้านึกละอายปรากฏอยู่บนใบหน้าสองสามส่วน “ขอคุณหนูได้โปรดให้อภัย ผู้น้อยหาได้มองเห็นใบหน้าของนางชัดแจ้งไม่ เพียงแต่ผู้น้อยจำกำไลบนข้อมือของนางได้ กำไลนั่นสะดุดตาคนยิ่งนัก”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เฉินอิ๋งพยักหน้าพลางอมยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร เอาล่ะ เจ้าว่าต่อเถิด”
สวินเจินเล่าต่อ “ตอนผู้น้อยเห็น พวกนางสองคนเดินออกจากประตูข้างที่เชื่อมต่อกับลานด้านนอกไปแล้ว ผู้น้อยคิดอยากตะโกน แต่เพราะอยู่ไกลเกินไป อีกทั้งไม่ควรทำให้ผู้อื่นรู้ตัว ผู้น้อยจึงได้แต่วิ่งไล่ตามไป ก่อนจะเห็นพวกนางเลี้ยวมุ่งหน้าไปทางสระชิงหู”
จวนหย่งเฉิงโหวมีสระน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ใช้อักษรคำว่า ‘ชิง’ เป็นชื่อ ทัศนียภาพยอดเยี่ยมงดงามยิ่ง
ยามนี้สวินเจินกำลังขมวดคิ้ว ใบหน้าคล้ายฝากแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกร้อนรน “ตอนนั้นผู้น้อยรู้สึกผิดปกติ เรือนรับรองที่ท่านโหวใช้รับรองแขกบุรุษมิใช่ตั้งอยู่ริมสระน้ำหรือไร ผู้น้อยร้อนอกร้อนใจยิ่ง พยายามวิ่งขึ้นหน้าอย่างสุดกำลัง ใครจะไปนึก จู่ๆ ที่ด้านหน้าก็มีเสียงตูมดังลั่น หลังจากนั้นก็มีคนตะโกนว่า ‘ช่วยด้วย’ ผู้น้อยตกใจเหงื่อเย็นแตกพลั่ก วิ่งตรงไปที่หัวมุมนั่นก่อนจะมองเห็นคุณหนูห้าเฉินตกลงไปในน้ำ ส่วนสาวใช้รายนั้นหายตัวไปแล้ว ที่ริมฝั่งมีขันทีน้อยสองคนคอยฉุดคุณหนูห้าขึ้นมา…”
“ขันที?” เฉินอิ๋งเอ่ยปากตัดบทอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ใบหน้าตื่นตระหนกยากจะปิดบัง “เจ้าหมายถึงขันทีในวัง?”
สวินเจินเอ่ยปากยืนยันหนักแน่น “เรียนคุณหนู เป็นขันทีจากในวังจริงๆ เจ้าค่ะ ผู้น้อยจำเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของพวกเขาได้”
มิผิด เพราะสวินเจินเคยตามเฉินอิ๋งเข้าวังไปหลายต่อหลายครั้ง เสื้อผ้าอาภรณ์การแต่งตัวของคนในวังนางย่อมรู้จักดี
เห็นได้ชัดว่าแขกที่มาในวันนี้มีชนชั้นสูงจากในวังมาร่วมงานด้วย
หรือว่าที่เฉินหานหน้าเปลี่ยนสีเมื่อครู่ก็ด้วยเพราะเหตุนี้
เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้สูงศักดิ์คนใดถึงได้มีฐานะสูงส่งเช่นนั้น
หรือจะเป็นองค์รัชทายาท? พอคิดถึงจุดนี้เฉินอิ๋งก็นึกประหวั่นใจขึ้นมาทันที
ยามนี้เองเสียงของสวินเจินดังขึ้นอีกครั้ง นางยังคงเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในยามนั้น “ผู้น้อยเห็นขันทีหลายคนยืนอยู่ริมฝั่ง มีอยู่สองสามคนที่ดูเหมือนจะเป็นพ่อบ้าน ท่ามกลางคนเหล่านั้นมีผู้สูงศักดิ์สวมใส่อาภรณ์ผ้าดิ้น มีเกี้ยวทองประดับศีรษะอยู่ทางด้านบน อายุราวๆ สิบสองสิบสามปี ผู้น้อยได้ยิน…”
นางขยับขึ้นหน้ากระซิบเสียงแผ่วเบาลง “…ผู้น้อยได้ยินขันทีน้อยเรียกเขาว่า ‘องค์ชาย’ ”
องค์ชาย?
หนุ่มน้อยอายุสิบสองสิบสาม?
ความรู้สึกหวาดประหวั่นก่อนหน้านี้จางหายไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าชายหนุ่มสูงศักดิ์ผู้นี้ต้องเป็นนายน้อยของขันทีพวกนั้นแน่
เฉินอิ๋งใคร่ครวญโดยละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง เพียงไม่นานก็ได้คำตอบ บุรุษผู้นั้นหากไม่ใช่องค์ชายสามก็ต้องเป็นองค์ชายสี่
เมื่อตอนที่เดินทางไปล่าสัตว์ที่เขาเสี่ยวสิง เฉินอิ๋งเคยพบเจอพวกเขามาก่อน คนทั้งสองล้วนอายุสิบกว่าปี หากมองดูเผินๆ ทั้งคู่ต่างล้วนอ่อนโยนเปี่ยมเมตตายิ่ง ทว่าในเขตวังหลวงมีคนที่อ่อนโยนเปี่ยมเมตตาอยู่จริงกระนั้นหรือ
เฉินอิ๋งครุ่นคิด หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ถอนหายใจเงียบๆ
ไม่ว่าเช่นไรเฉินหยวนก็โชคดียิ่งนัก บังเอิญพบเจอกับองค์ชาย อีกทั้งยังได้รับการช่วยเหลือจากขันที จึงยังสามารถรักษาความบริสุทธิ์ของชื่อเสียงเอาไว้ได้อยู่
นอกจากนี้ต่อให้ชื่อเสียงของนางมัวหมอง จำเป็นต้องยุติเรื่องนี้ด้วยการแต่งงาน คู่ของนางไม่ว่าจะองค์ชายสามหรือองค์ชายสี่ก็ล้วนนับเป็นเขยขวัญได้ทั้งคู่ อย่างไรก็ดีกว่าลูกผู้ดีมีเงินกเฬวรากพวกนั้น
เพียงแต่หากงานแต่งงานนี้สำเร็จ เช่นนั้นชีวิตขุนนางของเฉินซวินก็เกรงว่าคงต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงขึ้นเป็นแน่ ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นจวนหย่งเฉิงโหวจะมีท่าทีเช่นไร
ยังมีฮ่องเต้หยวนจยาอีก พระองค์จะทรงยินดีเห็นองค์ชายพระองค์หนึ่งเกี่ยวดองเป็นญาติกับขุนนางที่กุมอำนาจทางการทหารไว้ในกำมือกระนั้นหรือ
พอคิดมาถึงจุดนี้เฉินอิ๋งก็ไม่อยากนึกคิดต่อ นางไม่เชี่ยวชาญเรื่องการบริหารแผ่นดิน ขอเพียงเฉินหยวนไม่มีอันใดเสียหาย นั่นย่อมนับเป็นโชคดีใหญ่หลวงแล้ว
เฉินอิ๋งเอ่ยปากถาม “หลังจากนั้นเจ้าก็กลับมา? พวกเขาสังเกตเห็นเจ้าบ้างหรือไม่”
สวินเจินส่ายหน้า “ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นผู้น้อย ในเวลานั้นผู้น้อยซ่อนอยู่ตรงหัวเลี้ยวห่างจากริมสระค่อนข้างไกล ทุกคนต่างกำลังยุ่งอยู่กับการช่วยคนจึงไม่มีผู้ใดมองมาทางผู้น้อย”
หลังจากหยุดอยู่ครู่หนึ่งนางก็เอ่ยปากต่อ “เพราะเห็นคุณหนูห้าถูกช่วยขึ้นมาแล้ว อีกทั้งยังมีขันทีวิ่งไปตามคน ผู้น้อยจึงย้อนกลับมาตามเส้นทางเดิมไม่กล้ารั้งรอโอ้เอ้ เพียงแต่ตอนเดินมาได้ครึ่งทาง เพราะบังเอิญพบคุณหนูสี่เฉินพาคนมุ่งหน้ามาจึงได้แต่อ้อมไปทางอื่นทำให้กลับมาถึงช้าไปบ้าง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็ค้อมกายแสดงคารวะ เอ่ยปากแผ่วเบา “เรื่องที่ผู้น้อยทราบก็มีเพียงเท่านี้”
“ดีมาก ลำบากเจ้าแล้ว” เฉินอิ๋งยิ้มกล่าว นางรู้สึกโล่งอกขึ้นมาเล็กๆ
เรื่องนี้จำเป็นต้องรายงานต่อสวี่ซื่อ ทว่ารายละเอียดทั้งหลายกลับต้องตัดทอนบางอย่างออก อย่างน้อยเรื่องเฉินหยวนได้รับการช่วยเหลือจากองค์ชายก็ไม่อาจพูดได้
ครั้นไตร่ตรองถึงจุดนี้ เฉินอิ๋งก็กำชับสวินเจิน “อีกสักครู่ตอนกลับไปถึงเรือนรับรอง จงบอกเล่าเรื่องนี้ต่อฮูหยินหย่งเฉิงโหว นางอาจเรียกเจ้าไปสอบถาม เจ้าก็บอกถึงแค่เรื่องที่เจ้าให้ต้าจ้วนคอยจับตามองคุณหนูรองเซี่ยกับเรื่องที่เจ้ารีบกลับมารายงานต่อข้าเท่านั้นก็พอ เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นห้ามบอกกล่าวต่อผู้ใดเป็นอันขาด จำได้หรือไม่”
สวินเจินเองก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นางตอบสีหน้าจริงจัง “ผู้น้อยทราบแล้ว ผู้น้อยจะไม่เอาเรื่องนี้ไปพูดกับคนอื่นเจ้าค่ะ”
เฉินอิ๋งยิ้มพยักหน้า หยิบเอาถุงน้อยใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อก่อนจะยื่นส่งออกไป “อา นี่เป็นตั๋วชุดสำหรับเข้าชมการแสดงเรื่องใหม่ของชุมนุมการแสดงในราชสำนักเรื่อง ‘หัวใจทระนง’ รอบละสี่ใบ เจ้าไปดูเองก็ดี หรือจะมอบให้กับผู้อื่นก็ได้ แล้วแต่เจ้าเลย”
สวินเจินแทบจะกระโดดออกจากที่นั่งใต้ขื่อ ใบหน้าแดงระเรื่อเพราะตื่นเต้น
‘หัวใจทระนง’ เป็นการแสดงเรื่องใหม่ของชุมนุมการแสดงในราชสำนัก เป็นการแสดงที่นางอยากดูแต่กลับไม่อาจได้ดูสักที พอได้ยินเช่นนี้นางถึงได้ตื่นเต้นมากมายเยี่ยงนี้
บทที่ 665 แผ่นฟ้าผืนปฐพี
จะว่าไป หลัง ‘จนศพสุดท้าย’ โด่งดัง เฉินอิ๋งก็ไตร่ตรองถึงละครเรื่องต่อไปมาโดยตลอด หลังจากพินิจพิจารณาโดยละเอียด ในที่สุดนางก็ตัดสินใจจะดัดแปลงบทประพันธ์ชั้นยอดของจินยง* เรื่อง ‘หัวใจทระนง’
นางนำบทละครไปทูลเกล้าถวายต่อฮ่องเต้หยวนจยา ก่อนจะได้รับพระราชทานอนุญาตจากพระองค์อย่างง่ายดาย เรียกได้ว่าแทบไม่ต้องเปลืองแรงอันใด
ไม่ว่าจะยุคสมัยใดแผ่นดินใด ผลงานการประพันธ์เกี่ยวกับความรู้สึกของพวกชาวบ้าน กระตุ้นจิตใจรักชาติจำพวกนี้ล้วนได้รับการสนับสนุนอย่างยิ่งยวด อีกทั้งยังมีตลาดรองรับ
ภาพยนตร์สเกลใหญ่ๆ ของฮอลลีวูดทั้งหลายไม่ว่าจะละครแฟนตาซี ละครเกี่ยวกับสงคราม หรือไม่ก็ละครประกอบเพลงทั้งหมดล้วนพยายามฝากแฝงการขายค่านิยม ขับขานอรรถบทของพวกเขาไว้ด้วยกันทั้งสิ้น
การพระราชทานอนุญาตของฮ่องเต้หยวนจยารวมถึงความโด่งดังของมันในภายหลังล้วนแต่เป็นสิ่งที่สามารถคาดเดาได้
เทียบกับละครเล็กๆ ที่มีตัวละครไม่มากนัก เต็มไปด้วยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่าง ‘จนศพสุดท้าย’ แล้ว ‘หัวใจทระนง’ เรียกได้ว่าเป็นวรรณกรรมที่มีขอบเขตกว้างขวางกว่ามาก มีเส้นเรื่องแตกแขนงยุบยับเต็มไปหมด อุดมไปด้วยตัวละคร ไม่อาจเล่าได้หมดในองก์เดียว
ด้วยเหตุนี้เฉินอิ๋งจึงตัดสินใจแบ่งมันออกเป็นตอนๆ แบบเดียวกับในยุคศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด แบ่งบทละครออกเป็นทั้งหมดห้าตอน แต่ละตอนจะใช้เวลาแสดงประมาณสองชั่วโมงครึ่ง รวมทั้งหมดยาวสิบสองชั่วโมงครึ่ง หากต้องการดูให้ครบถ้วนสมบูรณ์ วิธีการที่ง่ายที่สุดคือดูตามลำดับเป็นระยะเวลาห้าวัน วันละตอน
ทว่าเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของชาวบ้านที่เป็นชนชั้นกลางจนถึงล่าง ตั๋วจึงได้แต่ต้องขายเป็นตั๋วแยก ตั๋วชุดถึงจะมีจำหน่าย แต่เพราะมีจำนวนจำกัดหนำซ้ำราคาหรือก็สูงลิบลิ่ว เรียกได้ว่าเป็นธรณีประตูที่ทำไว้สำหรับคนมีเงินโดยเฉพาะ
นอกจากนี้เหล่านักแสดงหรือก็จำต้องพักผ่อน ฝึกซ้อม เสื้อผ้าอุปกรณ์การแต่งกายต่างๆ ก็ต้องการเวลาสับเปลี่ยน ดังนั้นทุกเดือน ‘หัวใจทระนง’ จึงแสดงได้แค่ยี่สิบวันเท่านั้น ซึ่งนั่นก็หมายความว่าหนึ่งเดือนจะมีโอกาสเพียงสี่ครั้งเท่านั้นที่จะสามารถดูละครเรื่องนี้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์
ดังนั้นตั๋วชมละครเรื่องนี้จึงจัดเป็นของที่หาได้ยากยิ่ง
โดยเฉพาะตั๋วชุด เพราะนอกจากจะหาได้ยากแล้ว ขนาดราคาพุ่งทะยานขึ้นไปถึงห้าร้อยตำลึงก็ยังขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
ทว่าในเวลานี้เฉินอิ๋งกลับหยิบยื่นตั๋วชุดนั่นให้กับนางถึงสี่ชุด แล้วมีหรือที่สวินเจินจะไม่ตื่นเต้นดีอกดีใจ
สวินเจินรับเอาถุงน้อยนั่นมาถือไว้ด้วยมืออันสั่นเทา ประคองมันไว้บนอุ้งมือราวกับเป็นอัญมณีล้ำค่าหายาก ความรู้สึกปลาบปลื้มยินดีอัดแน่นอยู่ในอกจนเจียนจะระเบิด นางมองมาทางเฉินอิ๋งด้วยใบหน้าแดงก่ำ ละล่ำละลักถามว่า “คุณหนู…คุณหนู…ให้ผู้น้อยจริงกระนั้นหรือเจ้าคะ”
“อันนี้ข้าตั้งใจจะให้เจ้าอยู่แล้ว เพียงแต่เพราะมัวแต่ยุ่งวุ่นวายเลยไม่สบโอกาสมอบให้เจ้าสักที” เฉินอิ๋งยิ้มกล่าวก่อนจะหยิบถุงน้อยอีกใบออกมาจากแขนเสื้อ ยัดใส่มือนาง “อันนี้ต่างหากถึงจะเป็นรางวัลของเจ้า ด้านในล้วนเป็นเงินเม็ดถั่วครึ่งเฉียน อีกไม่นานก็จะเทศกาลวสันตฤดูแล้ว เจ้าเก็บไว้แจกจ่ายผู้อื่นเถอะ”
สวินเจินรับมันไว้ด้วยสองมือ ดีใจจนทำอะไรไม่ถูก กล่าวขอบคุณเดินลงจากศาลามางงๆ จนกระทั่งถูกดีดหน้าผาก นางถึงได้รู้สึกตัว
นางส่งเสียง “โอ๊ย” ออกมาคำหนึ่งพลางกุมหน้าผาก ครั้นทอดสายตามองไปนางก็พบว่าจือสือกำลังยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าคล้ายยิ้ม
“ดีใจจนเสียสติไปแล้วหรือไร ข้าเรียกแต่เจ้ากลับไม่ขานตอบ ตอนนี้วิญญาณคงกลับเข้าร่างแล้วกระมัง”
สวินเจินรู้ดีว่าตนเองไม่มีเหตุผลข้ออ้างใด นางรีบเก็บถุงน้อยอย่างระมัดระวัง โอบแขนอีกฝ่าย “พี่สาวของข้า พี่สาวผู้แสนดี” นางเอ่ยปากประจบประแจง “ข้าสำนึกผิดแล้ว ก็แค่ดีใจมากเกินไปหน่อยเท่านั้น คุณหนูมอบตั๋วการแสดงให้ข้าสี่ชุด คราวนี้ข้าจะดูให้เต็มอิ่มเลยทีเดียวเชียว”
จู่ๆ นางก็คล้ายนึกอะไรขึ้นได้ สวินเจินมองดูจือสืออย่างระมัดระวัง เอ่ยปากเอาใจอีกฝ่าย “หากพี่ชอบ เช่นนั้นพวกเราก็ไปดูด้วยกันเถิด”
“เจ้าคิดว่าข้าติดดูละครเหมือนเจ้าหรือไร” จือสือพูดราวกับหงุดหงิดโมโห ผลักอีกฝ่าย “พอได้แล้วๆ จะมาเกาะแกะข้าด้วยเหตุใดกัน เจ้าไม่ใช่ขนมหนิวผีถัง* เสียหน่อย ลงไปเฝ้าอยู่ข้างล่าง ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี เช่นนี้ย่อมเหนือกว่าเชิญข้าดูละครร้อยรอบเป็นไหนๆ”
สวินเจินขานรับยินดีและไปยืนเฝ้าอยู่ที่ปากทาง
จือสือส่ายหน้า เพราะรู้ดีว่านิสัยชอบดูละครของอีกฝ่ายยากที่จะแก้ได้ นางจึงไม่พูดอันใดอีก ทำเพียงยกชายกระโปรงเดินขึ้นบันได เข้าไปในศาลา
ยามนี้เฉินอิ๋งลุกขึ้นยืนพิงร่างอยู่กับราวรั้ว
ลมพัดแรงกว่าเมื่อครู่ กระโปรงสีแดงของนางพัดม้วนสะบัดไหว ขับดุนอยู่กับสีหน้าราบเรียบสะอาดสะอ้านราวกับถูกชะล้างด้วยน้ำ
จือสือมองดูผู้เป็นนาย ในใจไม่วายนึกทอดถอนใจ
จือสือจำได้ชัดแจ้ง เมื่อครู่ตอนเฉินหยวนปรากฏตัวอยู่บนระเบียง ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างกลับกลายเป็นจืดชืดซีดเซียว มีก็แต่คุณหนูของพวกนางเท่านั้นที่ยืนสงบนิ่งสุขุม ราวกับทั่วทั้งแผ่นฟ้าผืนปฐพี ไม่ว่าจะต่อหน้าโฉมสะคราญที่งดงามที่สุดหรือวีรบุรุษผู้กล้าอันใด นางก็ยังคงเป็นนาง และเป็นได้ก็แต่นางเท่านั้น
บางทีคำว่า ‘เสน่ห์’ ที่ผู้คนบนโลกกล่าวถึงก็คือเช่นนี้
แม้ในใจจะคิดเช่นนี้ ทว่าจือสือก็ยังคงเก็บงำความรู้สึกไว้ นางเดินขึ้นหน้าค้อมกายกล่าว “คุณหนู ไม่ทราบว่าพวกเราจะกลับเรือนรับรองเลยหรือไม่เจ้าคะ หรือว่าคุณหนูคิดจะเดินเล่นต่ออีกสักพัก”
“กลับกันเถอะ ออกมาเดินเล่นอยู่นานแล้ว พวกเราควรกลับกันเสียที” เฉินอิ๋งผินหน้ายิ้ม เรียกนางให้ขยับเข้ามาใกล้พลางกระซิบสั่ง “ข้ายังมีเรื่องให้เจ้าเหนื่อยอีก ไปที่รถม้าของพวกเรา เอาถุงผ้าดิ้นที่ข้าเก็บไว้ใต้กระดานพื้นรถออกมา ข้ามีเรื่องจำเป็นต้องใช้”
นั่นเป็นเงินที่นางตกลงรับปากจะให้เฉินหานหยิบยืม
เงินนี้เดิมทีเฉินอิ๋งเตรียมไว้เผื่อมีเรื่องจำเป็นอันใดต้องใช้ เก็บซ่อนมิดชิด นอกจากตัวนางเองแล้วก็มีเพียงจือสือเท่านั้นที่รู้ แม้แต่หลี่ซื่อเองก็ยังไม่รู้
พอได้ยินเช่นนั้นจือสือก็รู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กๆ ไม่รู้ว่าเฉินอิ๋งจะเอาเงินพวกนั้นไปทำอะไร เพียงแต่เพราะเป็นคนสุขุมมาแต่ไหนแต่ไร ถึงจะนึกสงสัยแต่นางก็ไม่เอ่ยปากถามมากความอันใด ทำเพียงขานรับก่อนจะเดินจากไป
รถม้าของแต่ละจวนล้วนจอดอยู่ที่ลานด้านหน้าสุดหลังผ่านเข้าจวนมา เพื่อเลี่ยงไม่ให้เหล่าอิสตรีทั้งหลายบังเอิญชนคนเข้า จวนหย่งเฉิงโหวจึงทำทางแยกไว้อีกเส้นทางหนึ่ง สามารถเชื่อมต่อถึงลานเรือนด้านหลังได้ จะได้ไม่ต้องอ้อมไปอ้อมมา
จือสือเดินมาตามทางดังกล่าว นางเดินพลางกวาดตามองด้วยสายตาสงบนิ่งเยือกเย็น
เฉินหยวนตกน้ำ ถูกบุรุษช่วยไว้ เรื่องนี้สำคัญใหญ่หลวงยิ่ง ทว่ายามนี้ในจวนทุกอย่างกลับเป็นปกติ บ่าวไพร่ทั้งหลายต่างทำหน้าที่ของตนเอง ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย คล้ายไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
นี่เห็นได้ชัดว่าสวี่ซื่อปกครองจวนอย่างมีแบบแผนมากขึ้นเรื่อยๆ เหนือกว่าตอนอยู่จวนกั๋วกงเป็นไหนๆ
จือสือเดินพลางมองดูพลาง หัวสมองครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้รู้ตัวนางก็เดินผ่านประตูไปหลายต่อหลายชั้น ในที่สุดลานกว้างก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า บนกำแพงคือประตูดอกเหมยงดงาม นั่นก็คือจุดจอดรถม้า
ที่แห่งนี้นอกจากจะใช้เป็นที่จอดรถม้าแล้ว ซ้ายขวาของระเบียงประสานยังมีเรือนอิฐหลังคากระเบื้องอีกหลายหลัง เพดานกว้างขื่อแดงกว้างโล่งแบบเดียวกัน มีไว้ให้สารถีบ่าวไพร่ที่ติดตามรถได้หยุดพักเท้ากินอาหาร ในห้องมีน้ำชากับของว่างหยาบๆ จัดเตรียมไว้
ตอนจือสือเข้าไปด้านใน นางก็พบกับหญิงรับใช้สูงวัยทำงานจิปาถะของจวนสกุลเฉินสองคนกำลังขบเมล็ดแตงอยู่ใต้ชายคาระเบียง พอเห็นนางเข้าหญิงรับใช้สูงวัยทั้งสองก็โยนเปลือกเมล็ดแตงลงกับพื้น เดินตรงเข้ามาด้วยท่าทีหวาดประหวั่น รอยยิ้มระบายอยู่เต็มใบหน้า ราวกับนึกโมโหที่ไม่อาจบุปผาผลิบานอยู่บนใบหน้าได้
“เหตุใดแม่นางถึงมาที่นี่ได้เล่า คงไม่ใช่เพราะพวกนายท่านฮูหยินทั้งหลายจะไปแล้วกระมัง” หญิงรับใช้สูงวัยรูปร่างค่อนข้างอ้วนเรี่ยวแรงค่อนข้างมากชิงยิ้มถามพลางผลักหญิงรับใช้สูงวัยรูปร่างสูงผอมที่อยู่ข้างๆ ออก
หญิงรับใช้สูงวัยที่รูปร่างผอมกว่ารายนั้นไม่ยอมแพ้ รีบเบียดอีกฝ่ายกลับไป แตะชายเสื้อของจือสือแผ่วเบา จุปากถอนหายใจ “รูปร่างของแม่นางไม่ต่างอันใดกับนักแสดงกายกรรมบนหลังม้า รูปร่างสะโอดสะองเสื้อผ้าอาภรณ์แบบบางยิ่ง ไม่ทราบว่ารู้สึกหนาวบ้างหรือไม่ ข้าจะเข้าไปรินชาร้อนๆ มาให้ ข้างในยังมีขนมโก๋งาอีก แม่นางต้องการกินรองท้องสักชิ้นสองชิ้นหรือเปล่า”
* หลุยส์ จา เหลียงยง นักเขียนนวนิยายจีนที่ทรงอิทธิพลที่สุด เป็นที่รู้จักดีในชื่อนามปากกา ‘กิมย้ง’ หรือ ‘จินยง’
* ขนมหนิวผีถัง เดิมเป็นสุดยอดขนมของเมืองหยางโจว มีรสหวานหอม ส่วนผสมหลักทำจากแป้งข้าวสาลีและน้ำตาล ชั้นนอกคลุกงาสม่ำเสมอกันก่อนตัดเป็นชิ้น แต่ด้วยสัมผัสที่หนึบเหนียว จึงถูกใช้เปรียบเปรยถึงคนที่หน้าหนาตามพัวพันไม่เลิกรา
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 มิ.ย. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.