X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักออกจากจวนมาไขคดี

ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 666-668

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 666 บังเอิญพบเจอสองครั้ง

เสียงหัวเราะเสียงพูดจาระคนอยู่ด้วยกัน สุภาพทว่าสำหรับจือสือแล้วหนวกหูยิ่ง

เพราะเคยชินกับการประจบประแจงมานาน จือสือจึงรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างสบายๆ นางยิ้มเอ่ยปากตอบหญิงรับใช้สูงวัยรูปร่างค่อนข้างอ้วนก่อน “หาใช่ไม่ คุณหนูเรียกข้าให้มาเอาของบนรถม้า เอาเสร็จแล้วข้าก็จะกลับไป”

หลังจากนั้นก็หันไปขอบคุณหญิงรับใช้สูงวัยรูปร่างค่อนข้างผอม “ขอบคุณที่ห่วงใย ทว่าคุณหนูข้ารีบร้อนใช้ของ ชาร้อนเชิญมามาดื่มกินตามสบายเถิด พวกท่านลำบากกันมาครึ่งค่อนวันแล้ว จะได้ไม่หนาวจนล้มป่วย”

แม้จะยิ้มพูดอ่อนโยน ทว่าหญิงรับใช้สูงวัยทั้งสองต่างรู้ดีว่าภายใต้ใบหน้าเฉยชานี้ซ่อนความหลักแหลมอยู่หลายส่วน จึงนึกกลัวไม่กล้าเกาะแกะอันใดอีก หลังจากห้อมล้อมกล่าววาจานอบน้อมสองสามประโยคจบ พวกนางก็พากันถอยจากไป

จือสือลอบถอนหายใจโล่งอก หญิงรับใช้สูงวัยพวกนี้พูดมากเป็นที่สุด หากไม่จัดการให้ดีก็อาจตกเป็นขี้ปากของผู้อื่นได้ง่ายๆ ดูเผินๆ เหมือนนางรับมือได้สบายๆ ไม่ลำบากอันใด แต่แท้ที่จริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

ครั้นเห็นพวกนางกลับไปยืนคุยกันอยู่ที่ใต้ชายคาระเบียง จือสือก็ขึ้นไปบนรถม้า หยิบเอาถุงผ้าดิ้นออกมา ทักทายมามาทั้งสองอีกคราหนึ่งก่อนจะหันหลังเดินจากไป

นึกไม่ถึงว่ายังไม่ทันพ้นออกจากประตูลาน ตรงหน้าก็มีเงาคนขยับไหว นางตกใจรีบเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะพบว่าคนผู้หนึ่งกำลังเดินตรงมา

คนผู้นั้นสวมอาภรณ์ตัวนอกเป็นผ้าดิ้นลายกวางกระเรียนคืนวสันต์พื้นดำปักเส้นทอง เผยให้เห็นอาภรณ์แขนเสื้อกว้างสีครามตัวใน บนเอวคาดด้วยสายรัดเอวสีม่วงเข้ม มีหยกประดับแขวนอยู่ทางด้านบน ที่อยู่บนมวยผมคือปิ่นหยกดำ ท่วงทีปลอดโปร่งสุขุม ท่วงท่าแลดูไม่ต่างอันใดกับย่ำเดินอยู่บนเกล็ดหิมะขาว ร่างกายห่อหุ้มไว้ด้วยแสงจันทร์กระจ่าง แม้จะย่างก้าวรวดเร็วแต่กลับดูมิเร่งร้อน สูงส่งสงบนิ่งยากเกินบรรยาย คล้ายมิใช่มนุษย์ปุถุชน

จือสือเงยหน้าขึ้นมองปราดหนึ่งก่อนจะรีบก้มหน้าค้อมกาย แสดงคารวะนอบน้อม “ผู้น้อยคารวะนายท่านเจ้าค่ะ”

คนที่มาคือเฉินเซ่า

เฉินเซ่าคล้ายนึกไม่ถึงว่าจะมาพบนางอยู่ที่นี่ เขาแสดงอาการประหลาดใจเล็กๆ หยุดชะงักเท้าเอ่ยถาม “เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ อาหมานก็ออกมาด้วยกระนั้นหรือ”

เส้นเสียงแจ่มใสอบอุ่นระคนอยู่กับสายลม ฟังดูคล้ายคนดีดสายพิณ

จือสือก้มหน้าตอบ “เรียนนายท่าน คุณหนูไม่ได้ออกมาเจ้าค่ะ มีเพียงผู้น้อยคนเดียวเท่านั้น คุณหนูให้ผู้น้อยมาเอาของบนรถม้า”

เฉินเซ่าส่งเสียง “อืม” ออกมาคราหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไม่ถามอะไรอีก ทำเพียงสะบัดแขนเสื้อกว้าง “ไปเถอะ”

ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็เดินผ่านข้างกายจือสือ มุ่งหน้าไปกลางลาน

จือสือหลบไปยืนอยู่ทางด้านข้าง ครั้นชำเลืองเห็นอาภรณ์ผ้าดิ้นสีดำขยับไกลออกไป นางก็ค่อยๆ ขยับถอยออกนอกลาน ขณะกำลังจะหันหลังเดินต่อไป น้ำเสียงชุ่มชื้นอ่อนโยนก็ดังลอยมาทางด้านหลัง

“ข้ามาหาสิงเหว่ย พวกเจ้าเห็นเขาบ้างหรือไม่”

ตอนคำพูดประโยคนี้ดังลอยมา นางเลี้ยวพ้นออกจากประตูลานไปแล้ว ด้วยเหตุนี้คำพูดหลังจากนั้นจึงถูกกำแพงสูงกั้นขวาง จือสือจึงมิอาจได้ยินอันใด

เท้าของจือสือหยุดชะงัก นางอดนึกแปลกใจไม่ได้

ว่ากันตามหลักแล้ว ข้างกายของเฉินเซ่าน่าจะมีบ่าวไพร่ตามติดอยู่ด้วยสองสามคน หากต้องการหาคน ก็น่าจะเป็นหน้าที่ของบ่าวไพร่พวกนั้น เหตุใดเฉินเซ่าต้องออกหน้ามาตามหาเองเช่นนี้ด้วย หนำซ้ำคนที่อยู่ในที่จอดรถม้าพวกนี้ก็ล้วนแต่เป็นพวกบ่าวไพร่ระดับล่าง เฉินเซ่าลดฐานะของตนมาตามหาผู้ติดตามเช่นนี้ สิงเหว่ยผู้นี้ช่างหน้าใหญ่ยิ่งนัก

มีเรื่องใหญ่โตอันใดเกิดขึ้นหรือไร หรือว่ามีเรื่องสำคัญที่มิอาจอาศัยมือคนอื่นกระทำได้ จึงได้แต่ต้องวิ่งมาเองเช่นนี้

นอกจากนี้จือสือก็นึกไม่ออกแล้วว่ามีเหตุผลอันใดที่ต้องให้เฉินเซ่าวิ่งมายังลานเรือนอันเป็นที่พักเท้าของพวกบ่าวไพร่

ความคิดดังกล่าววนเวียนอยู่ในใจนาง จือสือคล้ายใจลอย นางเดินไม่พูดไม่จาจนกระทั่งมาถึงประตูบานที่สอง ครั้นพบว่าทัศนียภาพรายรอบเปลี่ยนแปลงเส้นทางต่างจากตอนที่เดินมา นางก็รีบเงยหน้าขึ้นกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะตกใจเมื่อพบว่าเพราะไม่ทันระวังตนเองได้เผลอเดินเลี้ยวเข้ามายังสวนดอกไม้เล็กๆ ของจวนโหวแล้ว

จะว่าไปสวนดอกไม้เล็กๆ นี้ห่างจากประตูที่สองไม่ไกลนัก มีประตูข้างเชื่อมต่อไปถึงห้องหนังสือด้านนอก เดิมมีไว้ให้นายท่านกับคุณชายทั้งหลายใช้พักผ่อนหลังอ่านหนังสือตำราจนเหนื่อย สตรีทั้งหลายหากต้องการมาที่นี่ก็ต้องรอให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดจากไปจนสิ้นก่อนถึงจะเข้ามาได้

พอพบว่าตนเองเดินมาถึงที่นี่จือสือก็รู้ได้ในทันทีว่าเมื่อครู่นางต้องเลี้ยวผิดทางแน่ นางอุทานออกมาคราหนึ่งก่อนจะรีบถอยกลับออกไป

จวนหย่งเฉิงโหวนี้นางเคยมาแล้วหลายครั้ง แม้จะไม่คุ้นทางเท่ากับสวินเจิน แต่จุดตำแหน่งส่วนใหญ่ก็ยังพอรู้อยู่ หากเข้ามาในสวนดอกไม้เล็กๆ นี่ต้องอ้อมห้องหนังสือด้านนอกเพื่อกลับเรือนรับรอง ต้องเดินไปตามทางแคบซึ่งค่อนข้างไกล มิสู้ถอยย้อนกลับไปตามทางเดิม

นางเดินออกจากประตูสวนพลางนึกขันที่ตนเองเลอะเลือนเช่นนี้ นึกไม่ถึงทันทีที่ย่างเท้าขึ้นไปบนเส้นทางหินนอกประตู ด้านข้างก็มีเงาคนผู้หนึ่งโผล่พรวดออกมา

จือสือตกใจ เบี่ยงตัวหมายเปิดทางให้อีกฝ่าย แต่นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็อยู่ห่างกันแค่คืบแทบจะชนกันอยู่รอมร่อ

ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหัน จือสือแม้แต่จะร้องอุทานก็ยังไม่ทัน ทำได้เพียงสองตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ

แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือจู่ๆ เงาร่างของคนผู้นั้นก็หยุดลงกะทันหัน เท้าของอีกฝ่ายพลิกหันเปลี่ยนทาง แฉลบผ่านข้างตัวจือสือไป กระดุมสำริดข้างชุดของอีกฝ่ายกระทบกับชายกระโปรงของจือสือ

จือสือสะดุ้งตกใจ ครั้นประคองตัวนิ่งได้สำเร็จหันมองกลับไปดูอีกที คนผู้นั้นก็ห่างไปสองสามก้าวแล้ว เท้ายังคงเคลื่อนที่ไม่หยุด วาจาคลุมเครือว่า ‘ขออภัย’ ดังลอยตามลม เพียงไม่นานเงาร่างดังกล่าวก็หายลับจากไปอย่างรวดเร็ว ร่างของอีกฝ่ายไม่ต่างอันใดกับภูตผีปีศาจ ทำเอาจือสืออกสั่นขวัญแขวนเหงื่อเย็นไหลพราก

นางยืนมือกุมอยู่ที่อกเสื้อ ใบหน้าซีดเผือด หลังจากผ่านไปสองสามอึดใจนางก็เอ่ยปากน้ำเสียงสั่นสะท้านออกมา “ทำข้าตกใจแทบแย่”

จู่ๆ ก็มีคนโผล่พรวดออกมาจนเกือบชนนางเข้า ถึงปกตินางจะเป็นคนสุขุม แต่อย่างไรก็ยังคงตื่นตระหนกอยู่เล็กๆ หนำซ้ำอีกฝ่ายยังเป็นบุรุษ วิ่งเร็วรี่เช่นนี้ เกิดชนกันเข้าคนที่เสียหายคงไม่แคล้วเป็นนาง

โชคดีที่คนผู้นั้นมือไม้คล่องแคล่ว สามารถหลบหลีกได้พ้น แม้จะตกใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีอันตรายอันใด

จือสือยืนพิงร่างเข้ากับต้นไม้เตี้ยที่อยู่ข้างๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ อยู่สองสามครา ครั้นใจที่เต้นโครมครามอยู่ก่อนหน้านี้เริ่มสงบลง นางก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด

ถึงจะสบตากันแค่เพียงครู่ รูปร่างหน้าตาของชายคนดังกล่าวเป็นเช่นไรก็ยังไม่ทันเห็นชัด ทว่านัยน์ตาเย็นเยียบเรียวยาวไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ นั้นนางกลับจำมันได้แม่น

นางไม่เคยเห็นสายตาชวนประหวั่นเช่นนั้นมาก่อน คล้ายงูพิษที่กำลังรอฉกคนอยู่ท่ามกลางความมืด เฉกสัตว์ร้ายที่กำลังพิจารณาดูเหยื่อ ชวนให้คนรู้สึกขวัญหนีดีฝ่อ หนาวสะท้านไปทั้งใจ

คนผู้นี้เป็นใครกันแน่ จือสืออดหันมองกลับไปไม่ได้

ลมพัดหญ้าแห้ง ลานเรือนหนาวเหน็บต้นไม้สูงตระหง่าน บรรยากาศภายในลานเปล่าเปลี่ยว บนเส้นทางหินที่อยู่ไกลออกไปมีนางกำนัลเดินมาสองคน ฝีเท้าเร่งร้อน ส่วนบุรุษนัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษนั่นกลับคล้ายมลายหายไปเสียเฉยๆ ครั้นพิจารณาครุ่นคิด จือสือก็นึกไม่ออกว่าเขามาจากที่ใด

นางกระชับเสื้อคลุมบนร่าง ข้อกระดูกนิ้วซีดขาว

บางทีอีกฝ่ายอาจเป็นแขกคนใดคนหนึ่งหรือไม่ก็พวกองครักษ์…

นางคิดเช่นนั้น นี่เป็นการอนุมานที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว

คนผู้นี้เสื้อผ้าอาภรณ์แม้จะสะอาดสะอ้าน ถึงผ้าที่ใช้ตัดเย็บจะธรรมดา แต่บนร่างกลับแฝงไว้ซึ่งกลิ่นอายของคนที่อยู่ในยุทธภพ ไม่คล้ายกับผู้เป็นนายท่านทั้งหลาย หนำซ้ำยังเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ท่าทีตอบสนองรวดเร็วฉับไว ฐานะของเขาคงเป็นไปได้ก็แค่เพียงพวกองครักษ์หรือไม่ก็ที่ปรึกษาของนายท่านตระกูลใดตระกูลหนึ่งเท่านั้น

งานเลี้ยงมีองครักษ์ปรากฏตัว หาใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใดไม่

ชนชั้นสูงในเมืองหลวง ยามออกจากเรือนล้วนคุ้นชินกับการมีองครักษ์ข้างกาย เมื่อหลายปีก่อนเมืองหลวงเซิ่งจิงไม่สงบ หากไม่เลี้ยงองครักษ์ดูแลบ้านเรือนไหนเลยจะมีชีวิตสุขสงบได้

หลังจากคิดได้เช่นนั้น อีกทั้งเริ่มหายตกอกตกใจแล้ว จือสือก็ปล่อยวางเรื่องดังกล่าวลง รีบเดินไปที่เรือนรับรอง

ส่วนเฉินเซ่ายามนี้กำลังเดินอยู่บนเส้นทางหินพร้อมกับสิงเหว่ยที่เขาไปตามตัวมาจากลานด้านข้าง พวกเขาคนหนึ่งหน้าคนหนึ่งหลัง คนหนึ่งยโสอีกคนนอบน้อม ไม่ว่าผู้ใดเห็นก็ล้วนบอกได้ว่าพวกเขาเป็นนายบ่าวคู่หนึ่ง

เพียงแต่บนใบหน้าที่ก้มต่ำของสิงเหว่ยนั้นกลับมีก็แต่ความรู้สึกเพิกเฉยเย็นชา ไม่ปรากฏสีหน้าเคารพนับถือผู้เป็นนายแต่อย่างใด

บทที่ 667 บุรุษนัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษ

“ตามหาข้ามีอะไร” หลังจากเดินอยู่ไม่นาน ในที่สุดสิงเหว่ยก็เอ่ยปากถาม น้ำเสียงเย็นชาฝากแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกชิงชัง คล้ายนึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายตามหาตนเองด้วยเรื่องอันใด

ทว่าเฉินเซ่ากลับไม่เหมือนกัน ใบหน้าของเขาประดับไว้ซึ่งรอยยิ้มดั่งลมวสันต์ ผ้ารัดเอวสะบัดไหวคล้ายต้องลม ย่างเยื้องด้วยท่วงท่าสบายๆ คล้ายไม่ได้ยินคำพูดของสิงเหว่ย

“เจ้าเป็นใบ้หรือไร” เมื่อรออยู่ครู่ใหญ่แล้วเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมพูดยอมจาเช่นนั้น สิงเหว่ยก็คล้ายโมโห น้ำเสียงยิ่งเดือดดาลชิงชังคล้ายกัดฟันเค้นมันออกมา

เฉินเซ่ายังคงไม่ใส่ใจ เขาทำเพียงเดินขึ้นหน้า เพียงไม่นานจู่ๆ ภาพตรงหน้าก็กลับกลายเป็นโปร่งโล่ง สระกว้างคลื่นลมสงบนิ่ง แผ่นฟ้าผืนน้ำกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ที่แท้ปลายสุดของเส้นทางที่พวกเขาเดินมาก็คือสระชิงหูนี่เอง

เรือนรับรองใหญ่ที่ใช้รับรองแขกสร้างขึ้นริมสระ แลดูงามวิจิตร เสียงพูดคุยหัวเราะครึกครื้น เสียงสังคีตเสนาะหูดังลอยผ่านผิวน้ำมา ยิ่งต้องกับสายลมก็ยิ่งชวนหนาวสะท้านขึ้นอีกหลายส่วน เทียบกับบทเพลงดั้งเดิมแล้วกลับไพเราะงดงามยิ่งกว่า

เฉินเซ่าปัดเสื้อตัวนอก เดินขึ้นหน้าช้าๆ จนกระทั่งมาถึงลานชมทัศนียภาพริมสระ เขาหยุดชะงักเท้า ยังคงไม่พูดไม่จา

“เฮอะ” สิงเหว่ยเงยหน้าขึ้นน้อยๆ กวาดตามองไปรอบๆ พลางส่งเสียงหยามเหยียดออกมาคำหนึ่ง สายตาจ้องอยู่ที่แผ่นหลังของอีกฝ่าย ปากกล่าววาจาเย็นชาว่า “เจ้าเป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก เดิมควรเห็นปวงประชาเป็นสำคัญ ห่วงใยทั่วหล้าอยู่เป็นนิตย์ ทว่าพวกเจ้ากลับไม่คิดถึงบ้านเมือง ไม่สนใจความรู้สึกของพวกชาวบ้าน ทั้งหมดเป็นก็แต่ขุนนางละโมบโลภมาก วันๆ รู้จักก็แต่ทำตัวเหลวไหลไร้สาระ”

พอพูดถึงตรงนี้จู่ๆ เขาก็เลิกคิ้ว สีหน้าเย้ยหยัน “ข้าว่าที่เจ้ารีบร้อนตามหาข้าคงไม่ใช่ต้องการให้ข้ามาชมทัศนียภาพฟังการแสดงอันใดกระมัง”

สิงเหว่ยขมวดคิ้วส่ายหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหยียดหยาม “หากเป็นเช่นนี้ก็หาจำเป็นไม่ ข้ายินดีผิงเตาดื่มชาอยู่กับคนชั้นต่ำพวกนั้นมากกว่าจะมาเสวนาอยู่กับชนชั้นสูงอย่างพวกเจ้า”

แม้จะได้ยินคำพูดยาวเหยียดของอีกฝ่ายเช่นนั้น เฉินเซ่าก็ยังคงหน้าไม่เปลี่ยนสี เขาลดแขนลง แขนเสื้อกว้างสีครามตกอยู่ข้างกาย ลายปักเมฆาบนแขนเสื้อสอดรับกับจะงอยปากสีแดงของนกกระเรียน

“เสียงเห่าหอนของสุนัขรบกวนความสงบของคน” เขายิ้มกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว ทว่าน้ำเสียงกลับราบเรียบราวกับไร้ซึ่งความรู้สึก

สิงเหว่ยสีหน้าเย็นชา เขากวาดตามองไปรอบๆ อีกครา ไม่กล้าทำอันใดเกินเลย ได้แต่ก้มหน้าค้อมเอว ท่าทางต่ำต้อยยิ่งยวดคล้ายน้อมรับคำสั่งสอนของผู้เป็นนาย แต่คำพูดที่หลุดออกจากปากกลับไม่สอดคล้องกับฐานะเลยแม้แต่น้อย “เลิกพูดเหลวไหลได้แล้ว เจ้าเรียกข้ามามีธุระอันใด”

น้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายออกมาจากใต้พื้นดินกระนั้น

เฉินเซ่ามองไปรอบๆ อย่างไม่นึกกังวล ทุกท่าทีล้วนงามสง่าชวนให้คนนึกเลื่อมใส

เพียงแต่คำพูดของเขากลับตรงกันข้ามกับท่วงทีนี้โดยสิ้นเชิง เส้นเสียงกระจ่างใสชุ่มชื้นดั่งอาบไว้ด้วยยาพิษ เย็นเยียบประดุจน้ำแข็ง ทุกตัวอักษรล้วนชวนให้รู้สึกหนาวสะท้าน “คนเป็นนายตามหาสุนัข ย่อมต้องการเรียกใช้มัน แต่เจ้ากลับดื้อด้านดึงดัน ต้องการกินมูลคำโตก่อนสองสามคำถึงจะยอมฟังคำคน คำพูดที่ว่าสุนัขไม่อาจเลิกกินอาจมนั้นเหมือนจะแนบแน่นอยู่กับตัวเจ้ายิ่งนัก”

“มีอะไรก็รีบว่ามา” สิงเหว่ยต่อความอย่างรวดเร็ว เขาเงยหน้าขึ้น บนใบหน้าจืดชืดเต็มไปด้วยรอยยิ้มจอมปลอม ก่อนจะเค้นคำพูดออกมาสี่คำ “มีลมรีบผาย”

เฉินเซ่ากวาดตามองปราดหนึ่ง จู่ๆ มุมปากก็ยกขึ้น

ทันใดนั้นก็คล้ายลมหนาวพัดปะทะใบหน้า ไอน้ำเย็นเยียบปะทะเข้ากับร่างกาย อุณหภูมิโดยรอบลดต่ำลง รอยยิ้มเย็นเยียบเคร่งขรึมจริงจังนั่นเหมือนจะแทรกลึกถึงกระดูก

สิงเหว่ยรูม่านตาหดเล็ก อารมณ์กลับกลายเป็นโกรธขึ้งอย่างรวดเร็ว คล้ายเดือดดาลกับความรู้สึกขี้ขลาดชั่วแวบนั้น

เขาเงยหน้าขึ้น มองตรงมาทางเฉินเซ่า ดวงตาคล้ายมีเปลวไฟลุกโชน ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็คล้ายหมายฉีกทึ้งอีกฝ่ายออกเป็นชิ้นๆ

จู่ๆ เขาก็เลิกแสดงละคร ไม่ยอมทำตัวต่ำต้อยเหมือนอย่างที่คนภายนอกเห็นอีก

สถานที่แห่งนี้ว่างเปล่าเงียบเหงา ด้านหน้าผืนน้ำกว้างเชื่อมต่อถึงท้องนภา ด้านหลังกกเหลืองอ้อขาว คำพูดการเคลื่อนไหวสีหน้าท่าทางของเขาทั้งหมดล้วนไม่มีผู้ใดมองเห็น สิงเหว่ยปลดหน้ากากออก เผยให้เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริง

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดเขาก็ปริปากเอ่ยวาจายากลำบากออกมาประโยคหนึ่ง “เจ้ากับเฉียนอวี้ผิงพบกันแล้วใช่หรือไม่”

เฉินเซ่าไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับ เขาทำเพียงส่งเสียง “อืม” ออกมาคำหนึ่งแทนคำตอบ สีหน้าท่าทางไม่ต่างอันใดกับเมฆจางสายลมแผ่วพัด

สีหน้าของสิงเหว่ยหม่นหมองลงทันใด

หลังจากนั้นเพียงชั่วอึดใจสีหน้าหม่นหมองนั่นก็กลายกลับเป็นเจ็บปวด แม้แต่น้ำเสียงก็ยังไม่ต่างกัน ใบหน้าเศร้าสร้อยขมขื่น “เขาบอกความประสงค์ของนายท่านกับเจ้าแล้ว?”

คำตอบที่อีกฝ่ายมอบให้ยังคงเป็นเพียงคำว่า “อืม” พยางค์เดียว คล้ายเกียจคร้านยิ่งนัก ไม่ปรารถนาจะพูดมากแม้เพียงครึ่งคำ

“นายท่านมอบหมายเรื่องอันใดบ้าง แล้วบอกหรือไม่ว่าจะลงมือเมื่อใด” สิงเหว่ยถามออกมาอีกครั้ง สองตาแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกวาดหวัง สีหน้ากลับกลายเป็นเร่งร้อนขึ้นมาทีละน้อย

“เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วย” ในที่สุดเฉินเซ่าก็หันหน้ากลับมา กวาดตามองอีกฝ่ายอย่างไม่พึงพอใจ

สายตาเพิกเฉยไม่ต่างอันใดกับเหล่าเทพเซียนค้อมกายมองดูมดปลวกต่ำต้อย เขามองพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉื่อยเนือยจืดจางของเขา “ข้าจำได้ว่าตำแหน่งของเฉียนอวี้ผิงในสมาคมนั้นสูงกว่าเจ้า ว่ากันตามหลักแล้ว เรื่องของเขาเจ้าแทบจะไม่มีสิทธิ์สืบรู้ ยิ่งเป็นแผนการของนายท่านของเจ้าด้วยแล้วก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ข้าพูดไม่ผิดกระมัง”

เส้นเสียงราบเรียบไม่ฝากแฝงอารมณ์ความรู้สึกอันใด คล้ายเสียงพิณสุดท้ายที่ดังอ้อยอิ่งก่อนจะลับหายไปกับสายลม

สิงเหว่ยพลันสีหน้าเปลี่ยนแปลง แววตาเร่งร้อนวาดหวังดับมอดลงทีละน้อย

สุดท้ายเขาก็คล้ายสูญสิ้นกำลัง ศีรษะค้อมตกอย่างคนไร้เรี่ยวแรง เอวค้อมไปทางด้านหน้า เอ่ยวาจาราบเรียบว่า “ไม่ทราบนายท่านมีบัญชาอันใด”

ในที่สุดท่าทางของเขาก็กลับกลายเป็นเยี่ยงที่บ่าวไพร่พึงมี

“ข้านึกเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้” เฉินเซ่าสีหน้าสงบนิ่ง เขายกมือขึ้นลูบแขนเสื้อ ท่วงท่างดงามสุขุมทว่าน้ำเสียงกลับเคร่งเครียด รุนแรง กลัดกลุ้มอยู่เลาๆ “ไม่ ควรต้องบอกว่าข้าจำคนผู้หนึ่งได้แล้ว”

สิงเหว่ยเงยหน้าขึ้นทันที “เจ้าจำผู้ใดได้ หนึ่งในฝูง ‘กระรอกดิน’ พวกนั้น?”

“ใช่” เฉินเซ่าพยักหน้าน้อยๆ ไปทางสระ เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คนผู้นั้นแฝงตัวลอบสังหารข้าตอนข้าอยู่ที่หนิงซย่า ใบหน้าของเขาข้าจำได้ไม่ชัดแจ้งนัก ทว่าดวงตาของเขานั้นข้าไม่มีวันลืม นัยน์ตาของเขาไม่ต่างอันใดกับงูพิษยากจะลืมเลือนได้ เมื่อครู่ตอนเห็นดวงตาคู่นั้น ข้าก็มั่นใจได้ทันทีว่าเขาคือคนที่ทำร้ายข้าในยามนั้น”

สิงเหว่ยสีหน้าเย็นยะเยือก ชักเท้าเดินขึ้นหน้าสองก้าวอย่างไม่รู้ตัวพร้อมกระซิบถาม “เจ้าพบเจอคนผู้นั้นที่ใด แล้วยามนี้เขาอยู่ที่ไหน”

เฉินเซ่าสองมือไพล่อยู่ทางด้านหลัง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันน้อยๆ “ก่อนจะมาหาเจ้า เพราะต้องการแกะจดหมายลับที่เฉียนอวี้ผิงส่งมาออกอ่าน ข้าจึงไปที่สวนดอกไม้เล็กๆ ที่นั่นสงบเงียบไกลหูไกลตาผู้คน หลังข้าอ่านจดหมายจบก็เผาทำลายมัน ครั้นเดินพ้นออกจากประตู เพราะบังเอิญมีคนเดินผ่านมา ข้าจึงไปหลบอยู่ที่หลังประตู บังเอิญคนผู้นั้นหันหน้ามา ทันทีที่ใบหน้าของเขาปรากฏต่อสายตาข้า ข้าก็จำได้ทันที คนผู้นี้ก็คือชายนัยน์ตาเหมือนงูในยามนั้น”

มือที่ไพล่อยู่ทางด้านหลังของเฉินเซ่ากุมเข้าหากันแน่น หัวคิ้วขมวดเป็นอักษร ‘ชวน’* พลางพูดต่อว่า “เขาคล้ายกำลังมองหาคน สายตากวาดซ้ายกวาดขวาตลอดทาง จากรูปร่างของเขา คนผู้นั้นเหมือนกับชายนัยน์ตาเฉกอสรพิษในความทรงจำของข้าไม่ผิดเพี้ยน ข้าว่าเขาน่าจะเป็นองครักษ์ของจวนใดสักแห่ง อาภรณ์กระชับทะมัดทะแมงบนเขียวล่างดำ บริเวณชายขอบมีกระดุมสำริดติดอยู่สองแถว รูปร่างสูงประมาณเจ็ดฉื่อห้าชุ่น ดูแข็งแรงปราดเปรียว เท่าที่ข้ารู้คนผู้นี้เชี่ยวชาญวิทยายุทธ์ไม่ใช่น้อย”

พอพูดถึงจุดนี้เฉินเซ่าก็หันมองสิงเหว่ยคราหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็เผยรอยยิ้ม

จู่ๆ แผ่นฟ้าผืนปฐพีก็เปิดออก ลมพัดผ่านผิวน้ำ รอยยิ้มนี้ทำเอาแผ่นฟ้าผืนปฐพีกลับกลายเป็นจืดชืดหมดสิ้น

“ที่ข้ารู้ก็มีเพียงเท่านี้ หลังจากนี้ทั้งหมดก็เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว” เขาพูด น้ำเสียงราบเรียบนั้นแฝงไว้ซึ่งอารมณ์เย้ยหยันเล็กๆ “ข้ารู้ว่าเจ้ามีลูกน้องอยู่เพียงไม่กี่คน เพราะฉะนั้นข้าจะช่วยจัดเตรียมคนเอาไว้ให้ หากยังหาไม่พบ เช่นนั้นเจ้าก็คงต้องไปรายงานต่อนายท่านของเจ้าเองแล้ว”

พอพูดจบเขาก็โบกมือเอื่อยเฉื่อย “เจ้าไสหัวไปได้แล้ว”

บทที่ 668 ในใจยังคงนึกหวั่น

สิงเหว่ยจ้องเฉินเซ่านิ่ง สายตาเคียดแค้นพุ่งตรงออกมาคล้ายต้องการเสียบร่างเขาให้ทะลุเป็นรู กล้ามเนื้อบริเวณข้างแก้มกระตุกไม่หยุด ฟันกระทบกันดังกึกๆ

ความรู้สึกเกลียดชังที่เขามีต่อเฉินเซ่าพุ่งขึ้นถึงขีดสุด

ทว่าหลังจากนั้นอีกหนึ่งอึดใจ จู่ๆ เขาก็ชักสายตากลับ ก้มหน้า ฝืนเก็บอารมณ์ความรู้สึก ทำเพียงแสดงคารวะ

“สิ่งที่นายท่านมอบหมาย ผู้น้อยต้องทำให้สำเร็จลุล่วง” น้ำเสียงแผ่วเบาเย็นชาเหมือนเช่นทุกครั้ง ไม่ฝากแฝงอารมณ์อันใดเยี่ยงก่อนหน้านี้อีก

เฉินเซ่าไม่หันหน้ากลับไปและไม่ตอบอันใดแม้เพียงครึ่งคำ

สิงเหว่ยไม่กล้าชักช้าเสียเวลาอีก เพียงค้อมกายแสดงคารวะและหันหลังเตรียมเดินจากไป

“อา ข้าเกือบลืมไป” จู่ๆ เฉินเซ่าก็เรียกให้เขาหยุด สีหน้าเอ้อระเหยลอยชาย คล้ายกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ “ก่อนข้าจะไปตามหาเจ้า ข้าได้บอกเรื่องนี้กับเฉียนอวี้ผิงแล้ว เขาบอกว่าเขาจะรายงานข่าวสำคัญนี้ให้นายท่านทราบ”

เส้นเสียงกระจ่างชัดไม่ต่างอันใดกับเสียงดนตรีที่ลอยข้ามผ่านผิวน้ำมา หนึ่งร้องหนึ่งสอดประสาน เกิดเป็นท่วงทำนองแปลกประหลาด

จู่ๆ เขาก็ยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าก็ทำตัวให้ดีๆ ก็แล้วกัน”

สิงเหว่ยหันหลังให้เฉินเซ่า ไม่แม้แต่จะหันมองกลับมา แผ่นหลังโค้งงอคล้ายมีภูเขาสูงใหญ่หนาหนักทาบทับอยู่ทางด้านบน

หลังจากผ่านไปสองสามอึดใจ ในที่สุดเขาก็เหยียดตัวตรง ร่างกายโงนเงนอยู่น้อยๆ ก่อนจะเดินจากไป

ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าจากทางด้านหลังค่อยๆ ห่างออกไปไกล เฉินเซ่าที่ยืนอยู่ริมสระก็เหยียดตัวตรง ท่วงทีแลดูหงอยเหงาอยู่สองสามส่วน

ผืนน้ำกว้างดั่งคันฉ่อง ยามนี้กลางสระกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว นกนางนวลนกกระสาที่ไม่กลัวความเหน็บหนาวกระพือปีกอยู่เหนือผืนน้ำแข็ง จะงอยปากแดงปีกขาว แผ่นฟ้าเขียวเมฆจางส่องสะท้อนอยู่เหนือแผ่นน้ำแข็ง งดงามเสมือนภาพวาด

เฉินเซ่าทอดสายตามองไกลออกไป สีหน้าไม่อาจบอกได้ว่าทุกข์หรือสุข สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจออกมา

 

ขณะเดียวกันกับที่เขากำลังทอดถอนใจ เฉินอิ๋งก็ยกชายกระโปรงขึ้นน้อยๆ ย่างเท้าเดินออกจากเรือนรับรอง

ที่อยู่ไกลออกไปหน้าประตูฉุยฮวามีแขกยืนจับกลุ่มกันอยู่บ้างก็สองคนบ้างก็สามคน ต่างกำลังกล่าวคำอำลาอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ หลี่ซื่อเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

สวี่ซื่อจู่ๆ ก็ ‘ปวดหัวรุนแรง’ จำต้องเชิญท่านหมอมาดูอาการ

ผู้เป็นเจ้าบ้านล้มป่วย แขกย่อมไม่อาจนั่งอยู่ต่อได้ ด้วยเหตุนี้งานเลี้ยงนี้จึงได้แต่ต้องยุติก่อนเวลา

เฉินอิ๋งยืนอยู่ทางด้านล่างของบันได ถอนหายใจแผ่วเบา

ควันขาวบางเบาลอยละล่องตามลมหายใจเข้าออกทำให้นางหวนนึกถึงวัยเด็กในชาติภพแรก มันเคยเป็นเกมการละเล่นของเด็กกำพร้าในสถานสงเคราะห์

“คุณหนู คุณหนูสามให้คนมาส่งข่าวเจ้าค่ะ บอกว่านางมาส่งคุณหนูไม่ได้แล้ว” สวินเจินเอ่ยปากเสียงแผ่วเบาอยู่ข้างๆ

เฉินอิ๋งพยักหน้ารับ

เมื่อสองเค่อก่อนหน้านี้ ทันทีที่กลับมาถึงเรือนรับรอง นางก็มอบถุงผ้าดิ้นนั่นให้กับเฉินหานที่กำลังเฝ้ารออยู่

เฉินหานเป็นคนที่ไว้ใจได้ ไม่เคยเอาเงินใครไปเปล่าๆ ปลี้ๆ นางใช้เครื่องประดับศีรษะกล่องเล็กๆ เป็นหลักประกัน ราคาเครื่องประดับเหล่านั้นมีค่ามากกว่าเงินที่นางยืมไปหลายสิบเท่า

เฉินอิ๋งตกตะลึงไปกับการกระทำของอีกฝ่าย นางยืนกรานปฏิเสธ

แค่การยืมเงินเท่านั้น เขียนหนังสือสัญญากู้ยืมก็ได้แล้วมิใช่หรือไร หาจำเป็นต้องใช้เครื่องประดับล้ำค่าเหล่านี้มาเป็นหลักประกันไม่ ที่สำคัญไปกว่านั้นมูลค่าของของทั้งสองฝ่ายก็ไม่เท่าเทียมกัน นางรับไว้มีแต่จะร้อนลวกมือ

เพียงแต่เฉินหานยืนกรานหนักแน่น ไม่ยอมเขียนหนังสือกู้ยืม ขอเลือกใช้เครื่องประดับศีรษะเป็นหลักประกัน หนำซ้ำยังไม่ยอมลดจำนวนลงแม้แต่ชิ้นเดียว ทั้งสองฝ่ายต่างออกตัวไม่ยอมรับ จนสุดท้ายเพราะแทบแตกคอกัน เฉินอิ๋งจึงได้แต่ต้องยอมรับไว้

‘เครื่องประดับศีรษะเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของรักของหวงของข้า ห้ามท่านเอาไปให้ผู้อื่นเด็ดขาดและห้ามทำหายด้วย ถึงตอนนั้นข้าจะเอาเงินมาไถ่คืน’ เฉินหานทิ้งคำพูดดังกล่าวไว้ ก่อนจะรีบร้อนเดินจากไป

เฉินอิ๋งเอาข่าวที่สวินเจินสืบรู้มาบอกกับสวี่ซื่อ สวี่ซื่อยามนี้แสร้งทำเป็นป่วย แต่แท้ที่จริงแล้วกลับให้คนในจวนสืบหาตัวหนอนบ่อนไส้ของเซี่ยเหยียนรายนั้น เฉินหานไปครานี้ก็เพื่อไปช่วยสวี่ซื่อ

แน่นอน สตรีจวนโหวมิอาจหายตัวกันไปหมดสิ้น เพราะทำเช่นนั้นเท่ากับเป็นการเสียมารยาทยิ่ง ดังนั้นจึงให้เฉินชิงอยู่ช่วยส่งแขก

“วันนี้โชคไม่ดีเลยจริงๆ ท่านป้าใหญ่จู่ๆ ก็ไม่สบายทำให้ทุกท่านต่างพลอยหมดสนุกไปด้วย ครั้งหน้าพวกเราจวนโหวย่อมต้องชดเชยให้กับทุกท่าน ถึงตอนนั้นข้าจะส่งเทียบเชิญไปให้กับทุกท่าน หวังว่าทุกท่านจะให้เกียรติมาร่วมงานใหม่อีกครั้ง” เฉินชิงยิ้มไปทางเฉินอิ๋งพลางกล่าว

ถึงทั้งสองฝ่ายจะรู้อยู่แก่ใจดี ทว่าเหตุผลผิวเผินนี้ไม่ว่าเช่นไรก็มิอาจไม่พูดถึง

เฉินอิ๋งเอ่ยปากเกรงอกเกรงใจกับนางสองประโยค ครั้นเห็นมีแขกกำลังจะเดินมากล่าวอำลากับเฉินชิง เฉินอิ๋งก็หันหลังเดินลงจากบันไดไป

จากเรือนรับรองถึงประตูฉุยฮวาคือถนนที่ปูลาดด้วยหินเขียวครามกว้างขวางสายหนึ่ง ต้นหลิวที่ยืนเรียงรายตลอดสองข้างทางยามนี้กิ่งใบเหี่ยวเฉาหมดสิ้น มิอาจรับลมอันใด ภายใต้แสงตะวันยามบ่ายจางๆ ท่ามกลางป่าที่ต้นไม้ขึ้นเรียงรายกันอยู่ห่างๆ สามารถทอดสายตามองไปได้ไกลยิ่งนัก

อาศัยจังหวะที่รอบด้านไม่มีคน จือสือเดินขึ้นหน้ามาสองสามก้าว กระซิบรายงานว่า “คุณหนู เมื่อครู่ผู้น้อยพบเจอเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง ถึงจะไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โต แต่ผู้น้อยก็รู้สึกไม่สบายใจ คิดไปคิดมาไม่ว่าเช่นไรก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ผู้น้อยควรรายงานให้คุณหนูทราบ…”

นางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ออกมาหมดสิ้น นับแต่เจอเฉินเซ่าจนกระทั่งเกือบชนเข้ากับชายนัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษ ทุกรายละเอียดล้วนไม่มีตกหล่น

พอพูดถึงตอนท้ายนางก็กระซิบแผ่วเบาออกมาอีก “…ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลังจากเกือบชนกับองครักษ์นัยน์ตาเหมือนงูผู้นั้น ผู้น้อยก็รู้สึกเนื้อเต้นใจสั่นอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังไม่อาจลืมดวงตาคู่นั้น เรียนคุณหนูตามตรง นับแต่โตมาผู้น้อยยังไม่เคยกลัวอะไรเช่นนี้มาก่อน จนถึงตอนนี้แผ่นหลังของผู้น้อยก็ยังคงหนาวสะท้าน”

ใบหน้าของนางซีดขาวอยู่น้อยๆ ริมฝีปากไร้สีเลือดสั่นระริก ความรู้สึกหวาดประหวั่นที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนใบหน้าคล้ายยังคงหวาดผวาต่อดวงตาเยี่ยงอสรพิษในความทรงจำนั้น

นางไม่ได้สังเกตว่าสีหน้าที่สงบนิ่งเป็นนิสัยของเฉินอิ๋งนั้นยามนี้เปลี่ยนแปลงกลับกลายอยู่เล็กๆ

บุรุษนัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษ

พรรคพวกของคนแคระที่ชื่อ เหล่าไป๋ มิใช่บุรุษนัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษหรือไร

จากปากคำให้การของโม่จื่อจิ้ง บุรุษนัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษผู้นี้ทำการใดล้วนร้ายกาจ รอบคอบระมัดระวัง แม้แต่โม่จื่อจิ้งเขาก็ยังไม่ไว้วางใจ จนกระทั่งโม่จื่อจิ้งช่วยเขาสังหารคน เขาถึงยอมบอกเล่าความจริงให้อีกฝ่ายฟังสองสามประโยค

นอกจากนี้โม่จื่อจิ้งยังเคยบอกว่าบุรุษนัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษเคยโอดครวญกับเขาว่าชนชั้นสูงในเมืองหลวงผู้หนึ่งเป็นคนยักยอกอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพและเรียกอีกฝ่ายว่า ‘ขี้ขลาด’

ส่วนเซียงซานเซี่ยนจู่ยามนั้นซ่อนตัวอยู่ข้างสระบัว ได้ยินคนสองคนพูดคุยกัน หนึ่งในนั้นเป็น ‘คนร้าย’ ใจโหด ส่วนอีกคนท่วงทีอ่อนแอ คนที่สังหารคน ทำลายศพ แกะรอยตามหาตัวนางล้วนแต่เป็นบุคคลแรก

คนทั้งสองล้วนสามารถปรากฏตัวอยู่ในงานเลี้ยงวันเกิดจวนป๋อได้ สถานะของพวกเขาต้องเป็นที่ยอมรับของผู้คน

ส่วนวันนี้ ในงานเลี้ยงชมบุปผา จือสือบังเอิญพบเจอองครักษ์นัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษผู้หนึ่ง

คนที่โม่จื่อจิ้งพูดถึงกับคนที่จือสือพบเจอ รวมถึงเจ้าของเสียงพูดที่กัวหว่านได้ยิน เป็นไปได้หรือไม่ว่า…จะเป็นคนผู้เดียวกัน

นี่เป็นการอนุมานอันเกิดจากข่าวสารทั้งหมดที่เฉินอิ๋งมีตอนนี้

นับแต่การลอบปลงพระชนม์ที่ตำหนักฉางชิวเป็นต้นมา การเคลื่อนไหวของพวกกากเดนคังอ๋องก็อ่อนแรงลงเรื่อยๆ ยิ่งต่อมาภายหลังคดียักยอกที่ซานตงถูกคลี่คลาย พวกเขาก็ยิ่งสูญเสียแหล่งสนับสนุนทางการเงิน หนำซ้ำการลอบสังหารที่เขาเสี่ยวสิงก็ยังทำให้เส้นทางลับที่ซ่อนงำอยู่เนิ่นนานหลายปีถูกเปิดเผย การลงมือถึงสองครั้งของเหล่าไป๋ผู้นั้นยิ่งทำให้เห็นชัดว่าพวกเขาไม่เพียงขาดแคลนเงินทอง หากยังขาดแคลนกำลังพลด้วย

เมื่อรวมข้อมูลต่างๆ เข้าด้วยกัน สิ่งที่โม่จื่อจิ้ง กัวย่วน และจือสือพูด ความเป็นไปได้ที่ข้อมูลทั้งหมดจะบ่งชี้ไปยังคนผู้เดียวกันนั้นนับว่ามีอยู่สูงยิ่ง

“แล้วต่อมาคนผู้นั้นไปที่ใด เจ้าเห็นหรือไม่” หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฉินอิ๋งก็เอ่ยปากถาม

จือสือส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “คุณหนูได้โปรดให้อภัย ผู้น้อยเองก็คิดจะหาตัวเขา แต่คนผู้นั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งนัก เพียงชั่วพริบตาก็หายตัวไปเสียแล้ว ไม่ต่างอันใดกับภูตผี”

พอพูดถึงคำว่า ‘ภูตผี’ ร่างของจือสือก็ไม่วายสั่นสะท้านขึ้นอีกครา

 

* อักษร ‘ชวน’ แปลว่าสายน้ำ ลักษณะคล้ายรอยย่นตรงหว่างคิ้ว

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 มิ.. 66 เวลา 12.00 .

 

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: