X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักออกจากจวนมาไขคดี

ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 669-671

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 669 เล็งเป้าผู้ต้องสงสัย

ถึงหน้าจะซีดขาว จิตใจเต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดประหวั่น แต่จือสือก็ยังคงบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างราบรื่นไม่มีสะดุด คิดอ่านอันใดล้วนกระจ่างแจ้ง

“คุณหนู คนผู้นี้อันตรายยิ่ง ผู้น้อยเพราะรู้สึกไม่สบายใจจึงเอาเรื่องนี้มาบอกกับคุณหนู หากคุณหนูต้องการสืบ ไม่ว่าเช่นไรก็ต้องระวังตัวให้มาก จะปล่อยให้อีกฝ่ายพบเห็นเบาะแสร่องรอยไม่ได้เด็ดขาด” เสียงของนางแผ่วเบาราวกับเสียงยุง ทว่าสีหน้ากลับหนักแน่นจริงจังยิ่ง

เฉินอิ๋งไหนเลยจะยอมบอกความจริงกับอีกฝ่าย นางทำเพียงเอ่ยปากปลอบ “ข้าคงไม่ไปสืบเรื่องนี้ ก็แค่องครักษ์หน้าตาแปลกประหลาดผู้หนึ่งเท่านั้น ข้างกายท่านโหวน้อยหรือก็มีคนจำพวกนี้อยู่มาก หาได้เป็นเรื่องแปลกใหม่อันใดไม่”

พอได้ยินเช่นนั้นจือสือก็ครุ่นคิด นางรู้สึกว่าที่เฉินอิ๋งพูดมาก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน

ทหารกองกำลังสกุลเผยภายใต้บังคับบัญชาของเวยหย่วนโหวเผยซู่ล้วนแต่เคยออกรบ เป็นทหารแม่ทัพผู้กล้าที่เคยบั่นหัวศัตรูมาแล้วด้วยกันทั้งสิ้น คุณหนูของพวกนางไปมาหาสู่กับท่านโหวน้อยอยู่บ่อยๆ ย่อมไม่รู้สึกแปลกประหลาดอันใด

“เรื่องนี้มิใช่เรื่องใหญ่ พูดไปก็หามีประโยชน์อันใดไม่ เพราะฉะนั้นหยุดมันไว้เท่านี้เถิด” น้ำเสียงดุจสายน้ำดังขึ้นอีกครา ยามดังลอยเข้าหูฟังดูไม่ต่างอันใดกับเสียงสังคีต ขับกล่อมใจของจือสือให้กลับกลายเป็นสงบนิ่ง

นางรีบพยักหน้ากล่าว “คุณหนูได้โปรดวางใจ เรื่องนี้ผู้น้อยจะเก็บไว้ในท้อง ไม่เอ่ยปากกับผู้ใด”

นางเป็นคนปิดปากสนิทมาแต่ไหนแต่ไร สุขุมระมัดระวัง เรื่องใดควรพูดเรื่องใดควรเก็บงำ นางล้วนรู้ดี

เฉินอิ๋งพยักหน้าก่อนจะเอ่ยปากสั่งออกมาอีกครา “ท่านแม่คงอยู่พูดคุยกับคนอื่นๆ ต่ออีกสักพัก เจ้ากลับไปที่รถเตรียมเตากับน้ำชาให้พร้อม บอกกับเจิ้งโซ่วให้เตรียมม้าไว้ พอท่านแม่เสร็จธุระ พวกเราก็จะขึ้นรถม้ากลับกันทันที”

จือสือขานรับ ก่อนจะเดินไปถ่ายความที่ด้านหน้า

เฉินอิ๋งทอดสายตามองไกลออกไป ครั้นเห็นหลี่ซื่อกับเหล่าสตรีชั้นสูงทั้งหลายยังคงพูดคุยอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ นางก็รู้ได้ทันทีว่ายังต้องรออีกสักพัก นางจึงก้าวเท้าออกจากเส้นทางที่ปูลาดไว้ด้วยหินเขียวคราม มุ่งหน้าเข้าไปยังป่าต้นหลิว

แสงตะวันไม่ต่างอันใดกับกระดาษเนื้อบางแผ่นหนึ่ง ปกคลุมอยู่ท่ามกลางผืนป่า กิ่งไม้อันใดล้วนส่องประกายขาวอยู่จางๆ พื้นดินเต็มไปด้วยกองใบไม้ร่วง ไม่มีคนเก็บกวาด ก่อเกิดสำเนียงกระจ่างชัดยามย่างกรายอยู่ทางด้านบน

ไม่ต่างอันใดกับใบบัวเหี่ยวเฉาสดับเสียงฝน ใบไม้โรยร่วงสำเนียงสารทฤดู

เฉินอิ๋งเดินช้าๆ คล้ายไม่มีเป้าหมาย ทว่าในหัวสมองกลับครุ่นคิดไม่หยุด เรียบเรียงข่าวสารข้อมูลมากมาย สรุปรวบยอด คัดกรองตัดทิ้ง

นี่เป็นสิ่งที่นางทำอยู่เป็นประจำ เพียงแต่ก่อนหน้านี้เพราะไม่มีจุดสอดคล้องที่จะทำให้นางเรียบเรียงข่าวสารจำนวนมหาศาลได้ชัดแจ้ง ดังนั้นทุกครั้งที่ครุ่นคิดจึงมักเกิดความสับสน ยากจะจับต้นชนปลายได้

ทว่าวันนี้หลังได้ยินรายงานของจือสือ ภาพตรงหน้าของเฉินอิ๋งก็กลับกลายเป็นเปิดโล่ง นางรู้สึกว่าในที่สุดจุดที่ถูกนางมองข้ามไปนั้นที่แท้ก็อยู่ใกล้แค่คืบ

นางเดินช้าๆ ภาพเหตุการณ์และเรื่องราวมากมายปรากฏวนเวียนอยู่ในหัวของนาง ตำหนักฉางชิว สระบัวมรกต ค่ายผู้อพยพ เขาเสี่ยวสิง…แม้แต่คำพูดที่เคยได้ยินมาเมื่อนานแสนนานพวกนั้น เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก็ถูกเรียบเรียงออกมาหมดสิ้น

นางเงยหน้าขึ้น สายตาคล้ายเหม่อลอยอยู่เล็กๆ ใบหน้าสงบนิ่ง มีเพียงแต่ดวงตาเท่านั้นที่ส่องประกายระยิบระยับคล้ายดวงดาว

ในที่สุดนางก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่นางมองข้ามไปนั้นคือสิ่งใด

คือคน

หรือบางทีอาจเรียกให้เฉพาะเจาะจงลงไปอีกเป็นรายชื่อคน

ใช่แล้ว รายชื่อ

แน่นอน ปัญหาข้อนี้อันที่จริงนางก็เคยครุ่นคิดถึงมาก่อน โดยเฉพาะตอนได้รับรายชื่อของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของอาวุธยุทธภัณฑ์ นางเคยขอมันกับฮ่องเต้หยวนจยามาก่อน

กองทัพใหญ่เคลื่อนพล เกิดเหตุสลับซับซ้อนสับสนได้ง่าย โดยปกติแล้วจะมีขุนนางแนวหลังคอยตรวจนับวัตถุปัจจัย จัดการเรื่องรถม้าเรื่องไพร่พลต่างๆ นอกจากนี้บนเอกสารก็ยังต้องมีการลงนามกำกับไว้ ขอเพียงมีเอกสารในยามนั้น คิดหาตัว ‘หนอนบ่อนไส้ที่เป็นขุนนางชั้นสูง’ ผู้นั้นออกมาย่อมง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ

ทว่าเอกสารเหล่านั้นกลับสูญหายหมดสิ้น

ยามนั้นทหารคังอ๋องประชิดกำแพงเมือง เมืองหลวงวุ่นวายหนัก การสูญหายของข้อมูลเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือคน ยามนี้คิดสืบค้นคงช้าเกินการแล้ว

ทว่าเรื่องนี้ใช่ว่าจะไร้ความหมาย หมดหนทางสืบหา

ตรงกันข้าม ยามนี้ครั้นลองพิจารณาดูดีๆ อันที่จริงยังมีรายนามอีกชนิดหนึ่งซึ่งมีค่ายิ่งเช่นกัน นั่นก็คือรายนามแขกในงานเลี้ยง

บทสนทนาที่กัวย่วนได้ยินมาพวกนั้นเกิดขึ้นในงานเลี้ยงครบรอบวันเกิดของเฉิงซื่อฮูหยินในซิงจี้ป๋อ ส่วนกระดิ่งเจียระไนที่กัวย่วนพกติดตัวเป็นประจำปรากฏขึ้นบนโลกอีกคราในงานเลี้ยงชมบุปผาจวนเจิ้นหย่วนโหว ยังมีวันนี้งานเลี้ยงชมบุปผาจวนหย่งเฉิงโหว จือสือก็บังเอิญพบกับบุรุษนัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษ

เมื่อรวมเรื่องทั้งสามเข้าด้วยกันก็จะพบกับกฎเกณฑ์ข้อหนึ่งได้ไม่ยาก นั่นก็คือเรื่องต่างๆ ล้วนเกิดขึ้นในงานเลี้ยงของชนชั้นสูง

ด้วยเหตุนี้จึงพออนุมานได้ว่าบุรุษนัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษที่อาจปลอมตัวเป็นองครักษ์ของ ‘ขุนนางสูงศักดิ์ขี้ขลาด’ ด้วยเพราะมีฐานะสูงส่งช่วยกลบเกลื่อนปิดบังทำให้สามารถปรากฏตัวอยู่ในงานเลี้ยงเช่นนี้ได้โดยไม่เป็นที่สะดุดตาคน อีกทั้งยังใช้สถานที่จัดงานเหล่านั้นเป็นที่พบปะนัดหมาย

ตอนคิดถึงจุดนี้ในหัวของเฉินอิ๋งจู่ๆ ก็มีความคิดประการหนึ่งวาบผ่าน

รายชื่อที่มีโอกาสซ้ำกันสูงอีกทั้งยังถูกนางพักวางไว้อีกด้านเหล่านี้ หากพิจารณาเพียงเดี่ยวๆ มันย่อมไม่มีคุณค่าอันใด แต่หากเอาไปเชื่อมโยงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน การคัดตัวผู้ต้องสงสัยออกมาย่อมทำได้ไม่ยาก

เฉินอิ๋งยกยิ้มให้กับอากาศที่ว่างเปล่า รอยยิ้มบนสองแก้มคล้ายมีคล้ายไม่มี

นางหันมองกลับไปช้าๆ ที่ปรากฏต่อสายตาคือป่าเหี่ยวเฉา ดอกไม้ใบไม้สะเปะสะปะ ภายใต้ท้องฟ้าสีครามมีเพียงแสงตะวันจางๆ เนื่องจากก้อนเมฆถูกสายลมพัดล่องลอยบดบัง คนที่พูดคุยยิ้มหัวอยู่ข้างประตูฉุยฮวากำลังเอ่ยปากกล่าวลากันด้วยไมตรีจิต

เฉินอิ๋งหรี่ตา ใจลอยพินิจพิจารณาดูสตรีสองสามนางนั้น

คนพวกนั้นนางล้วนรู้จักมักคุ้น ไม่ว่าจะงานเลี้ยงใดพวกนางล้วนเข้าร่วมด้วยเสมอ

บางทีอาจเพราะเหตุนี้นางถึงได้เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ทั้งๆ ที่คนผู้นั้นอยู่ตรงหน้า แต่นางกลับไม่เคยใส่ใจ

ยามนี้ครั้นจับตามองโดยละเอียด ที่แท้คนที่ยักยอกอาวุธยุทโธปกรณ์ไปก็ปรากฏตัวอยู่ต่อสายตานางนานแล้ว แต่กลับต้องรอจนถึงยามนี้นางถึงเพิ่งจะตระหนัก

โชคดีที่ยังไม่สายเกินไปนัก…

เฉินอิ๋งชักเท้าเดินขึ้นหน้าพลางสั่งสวินเจินที่อยู่ข้างๆ “ข้ารู้ว่าเจ้ารู้จักผู้คนมากมาย มีสหายอยู่แทบทุกจวน โดยเฉพาะกับจวนโหวแห่งนี้ ข้าอยากให้เจ้าไปสืบอะไรบางอย่าง”

พอพูดถึงตรงนี้นางก็ชะงักไปชั่วขณะก่อนจะเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “ไม่ใช่ ข้าต้องการให้เจ้าไปสืบเรื่องคนผู้หนึ่ง ถามดูซิว่าวันนี้เขามาเป็นแขกหรือไม่”

“เจ้าค่ะคุณหนู ไม่ทราบว่าคุณหนูอยากถามถึงผู้ใด” สวินเจินยังคงไม่รู้เรื่องอันใด นางแย้มยิ้มถาม

เฉินอิ๋งกวักมือเรียกให้นางเข้ามาใกล้ กระซิบลงที่ข้างหูสวินเจินสองสามประโยค ก่อนจะตบมือนางเบาๆ “อย่าได้เจาะจงถามออกมาตรงๆ ให้ทำเหมือนแค่ถามดูเล่นๆ เท่านั้น อีกอย่างห้ามบอกกับคนอื่นว่าข้าสั่งให้เจ้ามาถาม จำได้ใช่หรือไม่”

สวินเจินพยักหน้าเต็มกำลัง คล้ายนึกโมโหที่ไม่อาจถอดหัวลงมาได้

วันนี้ได้รับตั๋วชุดสี่ใบ ความรู้สึกดีอกดีใจของนางพุ่งทะยานถึงขีดสุด โตมาจนป่านนี้นางยังไม่เคยเบิกบานใจอะไรเช่นนี้มาก่อน ยามนี้นางหวังก็แต่ว่าเฉินอิ๋งจะมอบหมายงานให้นางมากขึ้นอีกสักหน่อย ยิ่งเยอะก็ยิ่งดี จะได้สามารถแสดงความจงรักภักดีต่อผู้เป็นนายได้ มิใช่รับของของผู้อื่นมาเปล่าๆ ปลี้ๆ

“เอาล่ะ รีบไปเถอะ ถามจบแล้วก็รีบกลับมา” เฉินอิ๋งพูดเร่งเร้าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

สวินเจินยิ้มขานรับก่อนจะวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

เฉินอิ๋งเดินออกจากป่าต้นหลิว ลัดเลาะไปตามเส้นทางที่ปูลาดไว้ด้วยหินเขียวคราม สายตายังคงทอดมองไปไกล

ท้องฟ้าสีคราม แสงตะวันสาดส่องไปทั่วบริเวณ เงาร่างในอาภรณ์หรูหราข้างประตูฉุยฮวาแลดูเล็กกระจิ๋วหลิวแสบตา ทำลายความงดงามเงียบเหงาแห่งเหมันตฤดู ขัดแย้งกันอย่างเห็นได้ชัด

เฉินอิ๋งชำเลืองมอง มุมปากปรากฏรอยยิ้มอยู่จางๆ ไม่ต่างอันใดกับแสงตะวันเรืองรองสว่างไสว

ในเมื่อพวกนางมาถึงแล้ว เช่นนั้นเขาก็น่าจะอยู่ด้วยเช่นกัน

ดวงตาใสกระจ่างของนางเรียวโค้ง รอยยิ้มลึกล้ำ…

บทที่ 670 องค์ชายน้อย

บรรดาอิสตรีในเรือนในกำลังกล่าวอำลา แขนเสื้อกว้างโบกสะบัด ท่วงทีอาลัยอาวรณ์เปี่ยมล้ำด้วยท่วงทำนอง ส่วนแขกบุรุษที่อยู่ยังเรือนรับรองด้านหน้ากลับแตกต่างกันออกไป

เพราะองค์ชายสี่เสด็จมาเงียบๆ อีกทั้งยังไม่ยอมให้เฉินซวินทำฮูหยินผู้เฒ่าสวี่หรือสตรีในจวนคนอื่นๆ แตกตื่นตกใจ ดังนั้นไม่ว่าจะเสด็จมาหรือเสด็จกลับก็ล้วนไม่เอิกเกริก มีเพียงเฉินซวินกับคนอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่น้อมส่งเสด็จ

“เฉินโหว วันนี้ข้าสำราญใจยิ่งนัก ขอบคุณสำหรับการต้อนรับเป็นอย่างดีของท่าน ฝากความปรารถนาดีของข้าไปยังกั๋วกงกับฮูหยินผู้เฒ่าด้วย” องค์ชายสี่ประทับอยู่ในรถม้า ที่อยู่ใต้เกี้ยวทองคือพระพักตร์พระโอษฐ์แดงพระทนต์ขาว พระขนงเรียวยาวแทบจะจรดพระกรรเจียก แม้จะไม่สะดุดตาเท่าองค์รัชทายาท แต่ก็นับว่าหล่อเหลาไม่ธรรมดา

ถึงพระชนมายุจะยังน้อย พระหนุกลมมนอวบอิ่มคล้ายเด็กทารก ทว่าท่วงท่ากลับเคร่งขรึมสุขุม การเคลื่อนไหวอันใดล้วนไม่สอดคล้องกับอายุขัย

เฉินซวินรีบกล่าวขอบพระทัย

องค์ชายสี่ยกพระหัตถ์ขึ้นน้อยๆ รับสั่งพระสุรเสียงราบเรียบ “เฉินโหวไม่จำเป็นต้องส่ง ข้าขอตัวก่อน”

ครั้นรับสั่งเสร็จ รถม้าก็เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ พวกเฉินซวินค้อมกายอยู่ข้างทาง ครั้นเห็นขบวนขององค์ชายสี่เคลื่อนพ้นประตูใหญ่ไป เขาก็ถอนหายใจโล่งอกและเดินไปทักทายแขกเหรื่อคนอื่นๆ

หลังพ้นออกจากตรอกอันเป็นที่ตั้งของจวนโหว องค์ชายสี่ก็มีรับสั่งให้ตั้งกองขบวน เสียงล้อรถม้าลั่นดังระคนอยู่กับเสียงอาภรณ์ชุดเกราะ ปลายทวนของทหารกองกำลังอวี้หลินเกือบร้อยส่องประกายระยิบระยับน่าเกรงขามเคลื่อนผ่านเขตการค้า

“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าว่ามาได้แล้ว” เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังลอยมา องค์ชายสี่รับสั่ง สายพระเนตรทอดมองไปที่มุมหนึ่งของรถม้า

ขันทีน้อยรายหนึ่งคุกเข่าอยู่ที่นั่น พอได้ยินรับสั่งก็กล่าวถวายรายงานทันที “ทูลองค์ชาย เมื่อครู่กระหม่อมได้ให้คนไปสืบถามดูแล้ว คุณหนูห้าสกุลเฉินมิได้เป็นอันใดมาก แค่ตกใจนิดหน่อยเท่านั้น ทางฮูหยินท่านโหวมียาสงบใจอยู่ หลังจากต้มให้นางดื่ม เพียงไม่นานคุณหนูห้าก็หลับไป”

“อย่างนั้นหรือ” องค์ชายสี่ผงกพระเศียร แย้มพระสรวลอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นลักยิ้มบนพระพักตร์ซ้ายก็จางหาย

รอยแย้มพระสรวลที่ว่านั้นแลดูไม่ต่างอันใดกับเด็กน้อย

คล้ายรู้พระองค์ดี องค์ชายสี่เก็บรอยแย้มพระสรวลอย่างรวดเร็วก่อนจะตรัสถาม “เราจำได้ว่าตอนคุณหนูห้าสกุลเฉินเดินไปถึงริมสระ ยามนั้นข้างกายนางเหมือนจะมีสาวใช้อยู่ผู้หนึ่ง ทว่าต่อมาหลังนางพลัดตกน้ำ สาวใช้ผู้นั้นก็ไม่รู้หายตัวไปที่ใด เจ้ารู้หรือไม่ว่านางไปที่ใด”

“ขอองค์ชายได้โปรดประทานอภัย เรื่องนี้กระหม่อมมิได้ถามพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีน้อยรายนั้นหน้าตาคล้ายจวนเจียนร่ำไห้ คิ้วตาลู่ตก ไม่มีชีวิตชีวา “เพราะกระหม่อมมิกล้าเอ่ยปากถามตรงๆ เลยได้แต่แอบถามคนที่อยู่แถวนั้น แล้วก็เพราะพวกเขาไม่รู้ถึงฐานะของกระหม่อมจึงมิได้ให้ความสนใจ กระหม่อมปฏิบัติตามรับสั่งอย่างเคร่งครัด ไม่กล้าใช้อำนาจข่มเหงผู้คน จึงได้แต่ถอยกลับออกมา”

องค์ชายสี่พระพักตร์บึ้งตึงขึ้นมาทันที “เฮอะ เราสั่งให้เจ้าไปทำงาน เหตุใดถึงทำงานไม่ได้เรื่องเยี่ยงนี้ เช่นนี้เจ้ายังนับเป็นคนของเรา ยังฟังคำของเราอีกกระนั้นหรือ”

ขันทีน้อยรายนั้นรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจนแทบร้องไห้หลั่งน้ำตา “องค์ชาย กระหม่อมเป็นก็แค่ขันทีตัวน้อยๆ เท่านั้น เรื่องราวในจวนโหว กระหม่อมไหนเลยจะสืบความมากมายอันใดได้ เกิดผู้อื่นรู้ว่ากระหม่อมช่วยองค์ชายสืบ…”

“หุบปาก!” องค์ชายสี่รับสั่งตัดบทเขาอย่างรวดเร็ว ถึงพระองค์จะปั้นพระพักตร์ขึงขัง แต่ถึงกระนั้นพระกรรณของพระองค์ก็ยังคงแดงระเรื่อ ก่อนจะขยายวงไปถึงพระปราง จนพระพักตร์แดงก่ำหมดสิ้น

พระองค์ในยามนี้ยิ่งแลดูคล้ายเด็กตัวน้อย…เด็กตัวน้อยที่หน้าตาแดงก่ำ

ทรงลุกลี้ลุกลนยิ่ง โชคดีที่ขันทีน้อยรายนั้นกำลังหมอบราบอยู่กับพื้นมิได้เงยหน้าขึ้น ดังนั้นจึงมองไม่เห็นพระพักตร์แดงก่ำของพระองค์ในยามนี้

องค์ชายสี่กลอกพระเนตรไปมา ยื่นพระหัตถ์หยิบเปิดหนังสือบนโต๊ะเล่มหนึ่ง บดบังสายพระเนตร

หนังสือใหญ่โตเล่มนั้นบดบังพระพักตร์ไปกว่าครึ่ง พระองค์ถอนพระปัสสาสะอยู่หลังหนังสือคล้ายครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง สีพระพักตร์ขัดเขิน สองพระปรางแดงก่ำมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า ลามไปจนถึงพระศอ

“อะแฮ่ม” ทรงแกล้งไอออกมาคราหนึ่ง พยายามเปล่งพระสุรเสียงออกจากลำคอจนเส้นเสียงทุ้มต่ำลง ฟังดูเปี่ยมอำนาจบารมี “จ้าวอันคัง เจ้าทำงานไม่เอาไหน เราขอลงโทษให้เจ้ากวาดห้องหนังสือสิบวัน”

องค์ชายสี่ขมวดพระขนง หนังสือที่ถืออยู่ในพระหัตถ์ไม่ขยับแม้แต่น้อย ทั้งนี้ก็ด้วยเพราะทรงเกรงว่าจะเผยพระพักตร์แดงก่ำออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็น

ขันทีน้อยที่ชื่อจ้าวอันคังก้มหน้าเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “พ่ะย่ะค่ะ”

องค์ชายสี่แย้มพระโอษฐ์ลอบมองเขาผ่านด้านบนของหนังสือ

เพราะไม่มีผู้ใดเห็น รอยแย้มพระสรวลนี้จึงแขวนประดับเหนือพระพักตร์อยู่เป็นนานสองนาน ที่ปรากฏอยู่บนหว่างพระขนงคือท่วงทีเปิดเผยเยี่ยงเด็กน้อย

พระองค์กลั้นพระสรวลอย่างสุดกำลังพลางกล่าว “นอกจากนี้เจ้ายังต้องคัด ‘ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร’* สิบจบมาส่งให้เราภายในระยะเวลาครึ่งเดือนด้วย”

จ้าวอันคังร้อง “หา?!” ออกมาคำหนึ่งพลางคลานเอ่ยปากขอร้องอยู่กับพื้น “องค์ชาย กระหม่อมขอร้อง ทรงให้เวลากระหม่อมอีกสักหลายๆ วันได้หรือไม่ เห็นแก่ที่กระหม่อมเพิ่งหัดเขียนตัวหนังสือยังไม่ทันถึงครึ่งปีด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเขียนตัวหนังสือได้เชื่องช้ายิ่งนัก หาไม่แล้วพระองค์ก็ทรงโบยกระหม่อมเถิด องค์ชาย…”

คำว่า ‘องค์ชาย’ ที่เขาเอ่ยปากออกมาเป็นคำสุดท้ายนั้นออดอ้อนยิ่งนัก ไม่ต้องพูดถึงว่าน้อยเนื้อต่ำใจน่าเวทนาเพียงใด

องค์ชายสี่ลอบแย้มพระสรวลอยู่หลังหนังสือ ถึงจะไม่เปล่งพระสุรเสียงออกมาแต่สีพระพักตร์เบิกบานกลับสว่างไสวเจิดจ้า

หลังจากนั้นพระองค์ก็แสร้งปั้นพระพักตร์บึ้งตึงขึ้นมาอีกครา รับสั่งพระสุรเสียงเคร่งขรึมจริงจัง “เอาล่ะ เห็นแก่ที่เจ้าเพิ่งหัดคัดตัวหนังสือได้ไม่นาน น่าเวทนาสงสาร เราจะลงโทษให้เจ้าคัดมาห้าจบ ไม่อาจน้อยกว่านี้”

จ้าวอันคังยิ้มทั้งน้ำตา เพราะกลัวอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจจึงรีบหมอบลงกับพื้นเอ่ยปากเสียงดัง “พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย รับสั่งขององค์ชายหนักแน่น กระหม่อมย่อมต้องทำตาม”

“เอาล่ะๆ เจ้าไปได้แล้ว เราต้องการคิดเรื่องอะไรบางอย่างตามลำพัง” ครั้นรับสั่งด้วยพระสุรเสียงหนักแน่นมั่นคงจบ พระพักตร์ขององค์ชายสี่ก็มิได้แดงเช่นนั้นอีก ทรงโยนหนังสือไปอีกด้าน

การเคลื่อนไหวทั้งหมดทั้งมวลล้วนกลับไปเคร่งขรึมเหมือนอย่างเช่นในตอนแรก

จ้าวอันคังลิงโลดดีใจ ถอยจากออกไปอย่างรวดเร็ว

ม่านรถม้าเลิกเปิด สายลมเย็นกลุ่มหนึ่งพัดโชยเข้ามา หลังจากนั้นเพียงไม่นานม่านก็ปิดกลับลงไปอีกครั้ง

พระวรกายที่เขม็งตึงเหยียดตรงมาโดยตลอดยามนี้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย พระองค์งอพระกรค้ำยันพระหนุ เหม่อมองม่านรถม้าสีดำปักลายเส้นทอง ในความคิดคำนึงเต็มไปด้วยใบหน้างดงามยิ่งยวดดวงนั้น

ที่แท้โลกใบนี้ก็มีสตรีที่เรียกว่า ‘งามล่มเมือง’ อยู่จริง ก่อนหน้านี้ตอนอ่านพบในหนังสือพระองค์มักไม่ทรงนึกเชื่อ ยามนี้ครั้นได้เห็นเองกับตา พระองค์ไหนเลยจะปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้อีก

ดูท่าเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ก็คงเป็นเช่นนี้เอง

ทันใดนั้นพระกรรณก็เริ่มแดงระเรื่อขึ้นอีกคราว เสียงขอบคุณแผ่วเบาของดรุณีผู้นั้นลอยละล่องอยู่ข้างพระกรรณ

‘ขอบพระทัยองค์ชายที่ทรงช่วยชีวิต’

คนงดงาม น้ำเสียงหรือก็ไพเราะอ่อนโยนละมุนละไม แม้แต่เสียงของพระมารดาก็มิอาจทัดเทียม

หลังจากนั้นพระองค์ทรงกลับมาได้เช่นไร

องค์ชายสี่ขมวดพระขนง ครุ่นคิดไปมา แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ทรงจำไม่ได้ว่ายามนั้นพระองค์รับสั่งเช่นไร ที่ทรงจำได้ก็มีเพียงเสียงใจเต้นดั่งกลองรัวนั่นเท่านั้น

ยามนั้นพระองค์กังวลพระทัย เกรงว่าเสียงหัวใจเต้นนั้นจะมีคนได้ยิน ทำให้พระเกียรติยศของพระองค์ต้องเสื่อมเสีย

โชคดีที่นางคล้ายไม่ได้ยินอันใดทั้งสิ้น ทำเพียงก้มหน้านั่งอยู่ที่ข้างสระ จนกระทั่งมีคนมารับตัวไป ศีรษะของนางค้อมต่ำอยู่ตลอดเวลา

อา!

องค์ชายสี่ประทับตัวตรง ความรู้สึกเสียพระทัยปรากฏอยู่บนพระพักตร์แดงระเรื่อ

ลืมถามชื่อของนาง

พระองค์เคาะพระเศียรเต็มแรง พระพักตร์ยับย่นขึ้นมาทันที

เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางนั่งอยู่ข้างสระ ห่างจากพระองค์ไปไม่ไกล ทรงสามารถเรียกขันทีให้ไปถามไถ่ได้ทุกเมื่อ คิดแล้วก็น่าจะไม่เสียมารยาทอันใด ในเมื่อพระองค์ทรงช่วยนางขึ้นมาจากน้ำ ถามชื่อนางสักคำก็น่าจะได้มิใช่หรือไรกัน

องค์ชายสี่ยืดอกแย้มพระสรวล พระพักตร์ราวกับสว่างไสวขึ้นทันตา

บทที่ 671 ทุกข์ร้อนกับผลได้ผลเสียของตน

ม่านรถถูกลมพัดม้วนเกิดเป็นเสียงแผ่วเบา

จู่ๆ รอยแย้มพระสรวลบนพระพักตร์ขององค์ชายสี่ก็พลันชะงักค้าง ความรู้สึกกลับกลายเป็นตำหนิติติงตนเองอย่างรวดเร็ว

ไม่ถูก พระองค์หาควรคิดเช่นนั้นไม่ ชายชาติอาชาไนย จิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ไหนเลยจะทำเรื่องเสียมารยาทเพียงเพราะบุญคุณเล็กน้อยที่มีต่อผู้อื่น

ต่อให้ทรงช่วยคุณหนูห้าสกุลเฉินไว้ อายุอานามของนางหรือก็ยังน้อย อีกทั้งไม่ว่าเช่นไรผู้อื่นก็เป็นคุณหนูในเหย้าเรือน พระองค์ไหนเลยจะควรเสียมารยาทถามไถ่ชื่อแซ่ของอีกฝ่าย

การกระทำเลินเล่อเช่นนี้ไม่ต่างอันใดกับเติงถูจื่อ* บ้าตัณหาแม้แต่น้อย หากทรงถามออกมาจริงๆ นั่นก็เท่ากับทรงศึกษาคัมภีร์อริยชนเสียเปล่าแล้ว

องค์ชายสี่ผงกพระเศียรเต็มแรง พระหนุกลมมนยับย่นขึ้นมาทันที

“ข้าทำถูกแล้ว” ทรงพึมพำบอกกับตนเอง สีพระพักตร์เคร่งขรึมปลื้มปีติ คล้ายปลาบปลื้มที่สามารถควบคุมสำนึกเหลวไหลชั่ววูบนั้นได้สำเร็จ

ทว่าหลังจากนั้นเพียงอึดใจ พระองค์ก็พระพักตร์แดงก่ำขึ้นมาอีกครา

ยามนั้นใบหน้างดงามของดรุณีน้อยปรากฏชัดอยู่ในพระทัย ยิ่งปรารถนาจะลืมเลือนมากเท่าใดมันก็ยิ่งฝังลึกอยู่ในความทรงจำมากเท่านั้น ต่อให้พระองค์หลับพระเนตร ทุกการขมวดคิ้ว ทุกรอยยิ้ม ทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายก็ยังปรากฏชัดขึ้นทีละน้อย

หลังจากประทับนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง องค์ชายสี่ก็ถอนพระปัสสาสะ วางพระกรกลับลงบนโต๊ะอีกครั้ง ทรงเท้าคางเหม่อลอย

ไม่รู้ว่าคุณหนูห้าเฉินจะจำพระองค์ได้เฉกเดียวกับที่ทรงจำนางได้หรือไม่

ทรงเหม่อมองดูม่านรถม้าขยับไหวไปมา บัดเดี๋ยวก็ขมวดพระขนงถอนพระปัสสาสะออกมายาวๆ บัดเดี๋ยวก็สีพระพักตร์กลัดกลุ้มถอนพระปัสสาสะสั้นๆ บัดเดี๋ยวก็ฉีกพระโอษฐ์แย้มพระสรวลโง่งม บัดเดี๋ยวก็เบิกพระเนตรกว้างเหม่อลอย ครั้นคิดว่าพบเจอกันในวันนี้ไม่รู้ว่าเมื่อใดถึงจะได้พบเจอกันอีก องค์ชายสี่ก็ทรงลอบเป็นทุกข์ หมดอาลัยตายอยาก

จิตใจของเขาว้าวุ่นมิอาจสงบ ตลอดทางเฝ้าทุกข์ร้อนอยู่กับผลได้ผลเสียของตนมิได้หยุด

รถม้าเคลื่อนตัวผ่านถนนทะลุตรอกยาวไปอย่างช้าๆ ก่อนจะเข้าเขตวังหลวงผ่านทางประตูไท่ผิง หลังจากผ่านไปได้ประมาณหนึ่งถ้วยชารถม้าก็หยุดลง

“องค์ชาย ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงรายงานของจ้าวอันคังดังลอยมาจากทางด้านนอก

ในที่สุดองค์ชายสี่ก็คล้ายตื่นจากฝัน พระองค์กวาดสายพระเนตรไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณ

ม่านรถม้ายังคงปิดอยู่ รอบด้านล้วนแต่เป็นผนัง ไม่อาจมองเห็นทัศนียภาพนอกรถอันใด

ทรงกระแอมกระไอออกมาคราหนึ่งพลางจัดฉลองพระองค์ก่อนจะตรัสด้วยสีพระพักตร์เคร่งขรึม “เรารู้แล้ว”

ทันทีที่สิ้นเสียง องค์ชายสี่ผู้เคร่งขรึมก็กลับมาอีกครั้ง รอยแย้มพระสรวลจางหายไปจากพระพักตร์หล่อเหลางดงาม จะมีก็แต่เพียงสีพระพักตร์สงบนิ่งเรียบเฉย ไม่ต่างอันใดกับนักปราชญ์เฒ่า

ได้ยินเช่นนั้นจ้าวอันคังก็รีบขึ้นหน้าตรงเข้าไปเลิกม่าน ขันทีน้อยอีกคนวางแท่นวางพระบาทสีทองลงกับพื้น องค์ชายสี่เสด็จลงจากรถม้า สายพระเนตรกวาดมองไปทางด้านข้าง เห็นรถกำลังจอดอยู่นอกประตูวังต้องห้าม ทรงสะบัดแขนเสื้อ “ไป ไปตำหนักหย่งเล่อ”

ตรัสจบก็ย่างพระบาทขึ้นหน้ายาวๆ อาภรณ์มังกรทองสีดำขยับไหวตามจังหวะย่างก้าว ถึงลมหนาวจะถาโถม อากาศหนาวเหน็บ แต่ท่วงท่าของพระองค์ก็ยังทรงงามสง่าเปี่ยมอำนาจ

จ้าวอันคังรีบพาคนตามเสด็จอยู่ทางด้านหลัง เพราะรถม้าไม่ได้รับอนุญาตให้วิ่งอยู่ในวังต้องห้ามจึงได้แต่จอดทิ้งไว้อยู่ที่นั่น ส่วนผู้คุ้มกันก็ต้องเปลี่ยนจากทหารกองกำลังอวี้หลินมาเป็นองครักษ์วังหลวง

หลังเสด็จไปตามเส้นทางคุ้นเคยอยู่ครู่หนึ่ง เพียงไม่นานขบวนขององค์ชายสี่ก็มาถึงยังตำหนักหย่งเล่อ

เซียวไทเฮาทรงลงโทษพระองค์เองด้วยการกักตน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้า ขนาดฮ่องเต้หยวนจยาพระองค์ก็ไม่ทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้า ด้วยเหตุนี้ยิ่งองค์ชายสี่แล้วจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึง หลังจากที่หยุดยืนอยู่นอกตำหนักไม่นาน พ่อบ้านชั้นสองของตำหนักหย่งเล่อผางอวี้เหวินก็ยิ้มตาหยีออกมารับหน้า

นี่ก็ด้วยเพราะคนที่มาเป็นองค์ชายเขาถึงต้องโผล่หน้าออกมา หากคนที่มาถึงที่นี่เป็นองค์หญิง คนที่จะออกมาต้อนรับคงไม่แคล้วเป็นขันทีชั้นสาม หากฐานะต่ำต้อยลงมาอีกหน่อยอย่างเหล่าพระสนม เกรงว่าคนที่จะได้พบก็คงเป็นแค่พวกขันทีน้อยในตำหนักหย่งเล่อแล้ว

ส่วนพ่อบ้านใหญ่อย่างเจี่ยงอวี้เซิงนั้นรับผิดชอบก็แต่ฮ่องเต้กับฮองเฮา องค์รัชทายาทกับพระชายาเอกในองค์รัชทายาทเท่านั้น คนอื่นๆ อย่าได้หวังจะให้เขาโผล่หน้าออกมาช่วยถ่ายความให้

จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าถึงจะทรงเก็บพระองค์อยู่ในวัง ทว่าตาชั่งในพระหทัยของเซียวไทเฮานั้นก็ยังคงตั้งตรงอยู่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ความแตกต่างระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นสองนี้เรียกได้ว่าชัดเจนกว่าเก่าก่อนเสียด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าในวังยังมีข่าวลืออีกอย่าง ว่ากันว่าเป้าหมายที่เซียวไทเฮาทรงทำเช่นนี้นั่นก็เพื่อหลังสิ้นสุดการกักตน พระองค์จะทรงสามารถจัดการตำหนักในกับตำหนักบูรพาไปพร้อมๆ กัน หากมีผู้ใดกล้าทำตนขัดต่อธรรมเนียมปฏิบัติ ไม่เคารพกฎ พระองค์ก็จะทรงนำตัวไปไว้ตำหนักเย็น มิอาจออกมาได้ชั่วชีวิต

ปลายกระบี่นี้หันชี้ใส่ผู้ใด ขอเพียงมีสมองอยู่บ้างย่อมสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก

แน่นอนว่าองค์ชายสี่ย่อมเข้าพระทัย

ทว่าเรื่องระหว่างตำหนักบูรพากับตำหนักหย่งเล่อนั้นหาใช่เรื่องที่องค์ชายสี่อย่างพระองค์จะสอดแทรกอันใดได้ และพระองค์เองก็ไม่ปรารถนาจะทำเช่นนั้นด้วย

พระองค์รับสั่งถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของเซียวไทเฮาด้วยมารยาทอยู่ที่นอกประตู ก่อนจะตรัสวาจาเกรงอกเกรงใจกับผางอวี้เหวินสองสามประโยค สุดท้ายก็ทิ้งขันทีน้อยช่างจำนรรจารายหนึ่งไว้ ให้เขาช่วยรายงานสิ่งที่พบเห็นในวันนี้ต่อเซียวไทเฮา การกระทำขององค์ชายสี่ในวันนี้นับได้ว่าเป็นการแสดงความกตัญญูครึ่งหนึ่ง

ส่วนอีกครึ่งหนึ่งกลับอยู่ที่ตำหนักฉางสี่

ดังนั้นหลังออกจากตำหนักหย่งเล่อ ทุกคนจึงมุ่งหน้าไปยังตำหนักฉางสี่

เทียบกับความเข้มงวดกวดขันของตำหนักหย่งเล่อแล้ว บรรยากาศของตำหนักฉางสี่กลับสงบนิ่งมากกว่า ทุกคนเพิ่งยืนอยู่นอกประตูตำหนักได้ไม่เท่าใด พ่อบ้านใหญ่ตำหนักฉางสี่เก่อเฉาอี้ก็ตรงเข้ามารับหน้า ยิ้มกล่าวว่า “พระองค์ทรงกำลังบ่นถึงองค์ชายสี่อยู่พอดี นึกไม่ถึงว่าองค์ชายจะเสด็จมาเช่นนี้ พระองค์พระทัยตรงกันโดยแท้”

องค์ชายสี่แย้มพระสรวลถามไถ่ทักทายอีกฝ่าย ก่อนจะเสด็จตามเขาเข้าไปภายในพลางตรัสถาม “ชินหวงจู่หมู่ทรงทำอันใดอยู่”

คำว่า ‘ชินหวงจู่หมู่’ นี้ย่อมหมายถึงอู๋ไท่เฟย

นับแต่ตำหนักฉางเล่อแบ่งออกเป็นสอง ฮ่องเต้หยวนจยาก็ทรงเรียกขานเซียวไทเฮาว่า ‘เซิ่งหมู่หวงไท่โฮ่ว’ และเรียกอู๋ไท่เฟยว่า ‘หมู่โฮ่วหวงไท่เฟย’

คนแรกสูงศักดิ์กว่าเล็กน้อย ทว่าคนหลังกลับฟังดูสนิทสนมมากกว่า ฮ่องเต้หยวนจยามีพระทัยโอนเอียงไปทางใด แค่ฟังก็รู้ได้ชัดแจ้งแล้ว

การเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียกขานของฮ่องเต้หยวนจยานี้แน่นอนว่าพระบรมวงศานุวงศ์คนอื่นๆ ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนตามเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เซียวไทเฮาจึงกลายเป็น ‘เซิ่งหวงจู่หมู่’ อู๋ไท่เฟยเป็น ‘ชินหวงจู่หมู่’

ยังคงเป็นคำพูดประโยคนั้น พระทัยของฮ่องเต้หยวนจยาหาได้โอนเอียงแค่เพียงเล็กๆ ไม่

ได้ยินองค์ชายสี่ถามเช่นนั้นเก่อเฉาอี้ก็รีบยิ้มค้อมกาย “ทูลองค์ชายสี่ พระองค์กำลังทอดพระเนตรการละเล่นพ่ะย่ะค่ะ”

องค์ชายสี่สองพระเนตรเป็นประกาย “วันนี้เล่นอะไรกัน เตะลูกหนัง?”

ครั้งที่แล้วตอนเสด็จมาถวายพระพร พระองค์ทอดพระเนตรเห็นขันทีน้อยสิบกว่าคนแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเตะลูกหนังกันพอดี อู๋ไท่เฟยลงสนามเป็นผู้ตัดสินด้วย อีกทั้งยังทรงกำหนดกฎเกณฑ์การแข่งขันไว้คร่าวๆ ด้วยพระองค์เอง หากมีการทำผิดกฎ ย่อมสามารถร้องเรียนได้ เรียกได้ว่าน่าสนใจยิ่ง ยามนั้นพอองค์ชายสี่ทอดพระเนตรเห็นก็ให้นึกสนพระทัยยิ่ง จนเกือบลืมทำการบ้าน ยามนี้พอได้ยินว่ามีการละเล่นจัดขึ้นอีก ในพระทัยก็ให้นึกอยากร่วมสนุกด้วย

เก่อเฉาอี้แย้มยิ้ม “องค์ชายสี่ วันนี้มิได้เตะลูกหนังพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ให้พวกนางกำนัลน้อยเล่นกระโดดเชือกพ่ะย่ะค่ะ หากองค์ชายสี่สนพระทัยก็ไปตรัสกับพระองค์เองเถิดพ่ะย่ะค่ะ เชื่อว่าต้องทรงอนุญาตแน่”

พอได้ยินว่ากระโดดเชือก องค์ชายสี่ก็หมดความสนพระทัย ทรงอุทานออกมาคราหนึ่ง และรับสั่งพระสุรเสียงเคร่งขรึม “กระโดดโลดเต้นหาใช่เรื่องของบุรุษไม่ เรามิอาจกระทำ”

“องค์ชายสี่ทรงสุขุมคัมภีรภาพยิ่งนัก กระหม่อมเสียมารยาทแล้ว” เก่อเฉาอี้ค้อมกาย วาจากลับกลายเป็นจริงจังขึ้นมาเช่นกัน

มุมพระโอษฐ์ขององค์ชายสี่ยกขึ้นน้อยๆ ก่อนจะเหยียดตรงออกอย่างรวดเร็ว พระองค์ผงกพระเศียร “เราเป็นฝ่ายถามท่านถึงเรื่องการละเล่นเอง หากมีความผิดก็หาใช่ความผิดของท่านไม่ ท่านไม่จำเป็นต้องตำหนิตนเอง”

“ขอบพระทัยองค์ชายที่มิทรงถือโทษพ่ะย่ะค่ะ” เก่อเฉาอี้เอ่ยวาจาอยู่ในกรอบ ไม่มีประมาทแม้แต่น้อย

องค์ชายสี่ผงกพระเศียร ในพระทัยปลาบปลื้มยินดี ทว่าสีพระพักตร์กลับไม่ปรากฏชัด ท่าทีของพระองค์ยังคงราบเรียบจริงจัง

เพียงแต่หลังเข้าไปในโถงตำหนัก สีพระพักตร์เช่นนั้นก็หายลับหมดสิ้น ไม่ต่างอันใดกับลมวสันต์ละลายหิมะ

“ชินหวงจู่หมู่ หลานมาเยี่ยมแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่ย่างเท้าผ่านประตูตำหนัก พระองค์ก็แย้มพระสรวลรับสั่ง ลักยิ้มข้างพระปรางปรากฏชัด ผนวกกับพระฉวีขาวสล้างพระโอษฐ์แดงระเรื่อ ไม่ว่าผู้ใดพบเห็นก็ล้วนต่างเอ่ยปากชื่นชมว่าทรงเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม

 

* ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร คือหนึ่งในพระสูตรสำคัญของพุทธศาสนานิกายมหายาน

* เติงถูจื่อ คำเรียกเปรียบเปรยคนเจ้าชู้ ในสมัยโบราณมีขุนนางแคว้นฉู่นามว่าเติงถูจื่อ เขาอิจฉาซ่งอวี้ ราชเลขาของฉู่ไหวอ๋องที่เป็นบุรุษรูปงามและมีปัญญา จึงกล่าวหาว่าซ่งอวี้เป็นคนเจ้าชู้ ซ่งอวี้จึงบอกว่าตนมีสาวงามข้างบ้านมาเสนอไมตรีทุกวันยังไม่สนใจ แต่เติงถูจื่อมีภรรยาขี้ริ้วและดุร้ายกลับมีบุตรกับนางถึงห้าคน ใครกันแน่ที่เจ้าชู้มักมาก นับแต่นั้นมาผู้คนจึงเรียกคนเจ้าชู้ว่าเติงถูจื่อ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 มิ.. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: