บทที่ 672 เรื่องเล็กเรื่องหนึ่ง
อู๋ไท่เฟยกำลังประทับพักผ่อนอยู่ใต้ชายคาระเบียง ห่อหุ้มพระวรกายไว้ใต้อาภรณ์ผ้าดิ้น มีเสื้อคลุมนกยูงสวมทับอยู่อีกชั้น ปิ่นหยกปิ่นหงส์ประดับอยู่บนพระเกศางดงาม ท่วงท่าอันใดล้วนเป็นธรรมชาติเปี่ยมเสน่ห์ยากเกินบรรยาย
ยามนี้พอได้ยินพระสุรเสียงขององค์ชายสี่ อู๋ไท่เฟยก็สองพระเนตรเรียวโค้งขึ้นมาทันที “ย่าก็นึกว่าผู้ใดเสียอีก ที่แท้ก็เป็นเจ้า รีบเข้ามาเถิด” พระองค์กวักพระหัตถ์พลางรับสั่ง ท่วงทีสนิทสนมเป็นกันเองยิ่ง
จะว่าไปที่ประทับของอู๋ไท่เฟยนี้เรียกได้ว่าพิถีพิถันยิ่งนัก พระเก้าอี้มีเบาะหนาๆ ปูรองไว้ ที่วางอยู่ทางด้านซ้ายคือเตารูปทรงประณีตงดงาม มีบังตาวางอยู่ทั้งสองด้าน อีกทั้งยังมีนางกำนัลกลุ่มใหญ่ช่วยบังลมให้
ส่วนที่อยู่นอกระเบียงคือนางกำนัลตัวน้อยในอาภรณ์แดงเขียวหลายนาง กำลังกระโดดเชือกกันอย่างสุดกำลัง แข่งกันดูซิว่าผู้ใดจะกระโดดได้มากที่สุด ผู้ชนะจะได้รับพระราชทานทองเม็ดถั่ว ส่วนผู้แพ้จะได้รับขนมโก๋ทองคำหนึ่งจาน ทุกคนต่างพากันแย่งกระโดดก่อน ใบหน้าเล็กๆ แดงๆ นั้นเต็มไปด้วยเหงื่อ เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วบริเวณ
พระสุรเสียงกระจ่างชัดแฝงอยู่ท่ามกลางเสียงหัวเราะไม่ต่างอันใดกับเสียงมุกกระทบหยก ทั้งใสกระจ่างทั้งไพเราะเสนาะหู
องค์ชายสี่ทรงขานรับพลางขยับเข้าไปใกล้ พระองค์แย้มพระสรวล “ทางชินหวงจู่หมู่นี้ช่างครึกครื้นยิ่งนัก”
รอยแย้มพระสรวลของอู๋ไท่เฟยลึกล้ำมากยิ่งขึ้น ไม่ต่างอันใดกับลมวสันต์พัดผ่านใบหน้า “ย่าชอบความคึกคักครึกครื้น เด็กดี เจ้าก็รีบนั่งเถิด” หลังจากนั้นก็รับสั่งออกมาอีกครา “รีบไปเอาเตาอุ่นมือมา เอาเก้าอี้มาเพิ่มด้วย ขยับเตาถ่านไปข้างหน้าอีกสักหน่อย เด็กๆ อย่างเจ้ามิควรต้องอากาศหนาว”
เหล่านางกำนัลต่างขานรับและแยกย้ายไปจัดการตามรับสั่ง
อู๋ไท่เฟยทรงจูงองค์ชายสี่ให้ขยับเข้าไปใกล้ ลูบแขนเสื้อของเขา พระขนงดำขลับที่วาดไว้ยาวๆ ขมวดเข้าหากัน สีพระพักตร์วิตกกังวลจางๆ เผยให้เห็นอยู่บนพระพักตร์ที่มีริ้วรอยปรากฏอยู่น้อยๆ “เจ้าเด็กผู้นี้ไฉนถึงใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นนัก ฤดูหนาวอากาศหนาวเหน็บ ป่วยไข้เพราะต้องลมหนาวหาใช่เรื่องเล่นๆ ไม่”
“หลานไม่รู้สึกหนาวแม้แต่น้อย หากมิทรงเชื่อก็ลองจับมือร้อนผ่าวของหลานดูก็ได้” องค์ชายสี่ยิ้มกุมพระหัตถ์ของอู๋ไท่เฟย ทอดพระเนตรดูสายตาของอีกฝ่าย แสดงความรักใคร่อย่างพอเหมาะพอสม
อู๋ไท่เฟยพระสิริโฉมงดงาม พระอุปนิสัยอบอุ่นอ่อนโยน ปฏิบัติต่อหลานชายหลานสาวเฉกเดียวกัน ไม่ว่าผู้ใดมาก็ล้วนทรงเรียก ‘เด็กดี’ เหมือนกันทั้งหมด มิเคยปั้นสีพระพักตร์บึ้งตึง เรียกได้ว่าพระอารมณ์ดียิ่งนัก
ก่อนหน้านี้ทุกคนเพราะมีโอกาสไปมาหาสู่กันไม่มากจึงไม่คุ้นเคยกันสักเท่าใดนัก ทว่ายามนี้ครั้นได้มาเยี่ยมคารวะอยู่บ่อยๆ ทุกคนก็ให้รู้สึกว่าอู๋ไท่เฟยทรงยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดทั้งวัน เป็นกันเองกว่าเซียวไทเฮานัก
เพียงแต่วาจาลบหลู่ดูหมิ่นเยี่ยงนี้ไหนเลยจะพูดกับผู้ใดได้ ทำได้ก็แต่เพียงเก็บมันไว้ในท้องก็เท่านั้น
เพียงไม่นานข้าวของที่พวกนางกำนัลนำมาก็ถูกจัดวางไว้เป็นที่เรียบร้อย ย่าหลานสองคนนั่งอยู่ใต้ชายคาระเบียง กินดื่มชาและของว่าง มองดูเหล่านางกำนัลตัวน้อยแข่งขันกระโดดเชือกพลางพูดคุยสัพเพเหระ
องค์ชายสี่ทรงประคองถ้วยชาถวายให้กับอู๋ไท่เฟยด้วยพระองค์เอง ก่อนจะแย้มพระสรวลกล่าว “หลานซาบซึ้งกับรับสั่งของชินหวงจู่หมู่ยิ่งนักที่ทรงสอนหลานให้รู้จักออกจากวังไปสัมผัสกับชีวิตของผู้คน ไปรับฟังการแสดงที่จวนหย่งเฉิงโหว ดูกายกรรมกินอาหารชาวบ้านที่ไม่เคยกินมาก่อน…”
ทรงเลือกบอกเล่าเรื่องราวสนุกสนานน่าสนใจที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้อู๋ไท่เฟยฟัง
ก่อนหน้านี้เพราะองค์ชายสี่พระวรกายมิสู้แข็งแรงจึงมิได้เสด็จออกจากวังไปที่ใด อู๋ไท่เฟยทรงสงสาร กลัวพระองค์จะเบื่อหน่ายจนล้มป่วย ดังนั้นพอทรงหายจากอาการประชวร อู๋ไท่เฟยเลยเสด็จไปทูลขออนุญาตต่อฮ่องเต้หยวนจยาด้วยพระองค์เอง ถึงทำให้วันนี้องค์ชายสี่มีโอกาสเสด็จออกจากวัง
เพราะทรงตระหนักถึงพระเมตตาของอู๋ไท่เฟย องค์ชายสี่ถึงได้พยายามบอกเล่าอย่างสุดกำลัง ครั้นเล่าถึงตอนสนุกๆ พระองค์ก็ทรงวาดมือวาดไม้ นิสัยเยี่ยงเด็กหนุ่มอันใดล้วนเผยออกมาหมดสิ้น
อู๋ไท่เฟยฟังพลางแย้มพระสรวล มิได้รับสั่งตัดบทอันใด พระเนตรงดงามที่ถูกริ้วรอยเล็กๆ ห้อมล้อมแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกรักใคร่เอ็นดู
ในวังหลวงนี้ผู้ใดบ้างที่มีจิตพิสุทธิ์ องค์ชายสี่ถึงจะพระชนมายุยังน้อย แต่การรักษาจิตใจให้ยังคงบริสุทธิ์เยี่ยงนี้ได้หาใช่เรื่องง่ายดายไม่
ขณะพระองค์ครุ่นคิดถึงจุดนี้ จู่ๆ นอกตำหนักก็ดังลั่นไปด้วยเสียงเอะอะมะเทิ่ง
อู๋ไท่เฟยพระขนงกระตุก แต่ถึงกระนั้นสีพระพักตร์กลับสงบนิ่ง พระองค์ยกผ้าซับพระพักตร์กดลงบนมุมพระโอษฐ์
ครั้นเห็นเช่นนั้นเก่อเฉาอี้ที่ยืนอยู่อีกด้านก็ค้อมกายน้อยๆ ถอยจากไปเงียบๆ
หลังจากนั้นเพียงไม่นานเสียงเอะอะเอ็ดตะโรก็ยุติลง เสียงพูดคุยหัวเราะทั่วทั้งพระตำหนักดังขึ้นอีกคราว
ตลอดชั่วระยะเวลาดังกล่าว พระสุรเสียงขององค์ชายสี่ดังอยู่มิได้ขาด คล้ายมิทรงได้ยินทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นนอกพระตำหนัก พระองค์สนพระทัยก็แต่บอกเล่าเรื่องราวสนุกสนานน่าสนใจให้อู๋ไท่เฟยฟังเท่านั้น
อู๋ไท่เฟยแย้มพระสรวลทอดพระเนตรดูอีกฝ่าย สายพระเนตรเอ็นดูรักใคร่ฝากแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกเห็นดีเห็นชอบอยู่ส่วนหนึ่ง
อุปนิสัยจริงใจ รู้อะไรหนักอะไรเบา องค์ชายสี่ผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
ทว่าโตอยู่ในวัง หากเป็นคนเรียบง่ายจริง จะรักษาชีวิตอยู่รอดได้กระนั้นหรือ
อู๋ไท่เฟยยกพระหัตถ์ขึ้นแตะริมพระโอษฐ์ที่ทาชาดสีชมพูไว้แผ่วเบา สายพระเนตรแบบเดิมจางหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันมีผู้ใดสังเกตเห็น
เพียงไม่นานเก่อเฉาอี้ก็กลับเข้ามา เขายืนค้อมกายอยู่ที่นอกระเบียง ไม่พูดไม่จาอันใด
อู๋ไท่เฟยหยิบเอาแคะพระทนต์เงินขึ้นมาจิ้มผลไห่ถังในจาน ยื่นส่งให้กับองค์ชายสี่พลางรับสั่งอ่อนโยน “เด็กดี กล่าววาจาประจบประแจงย่ามากมายเช่นนี้คาดว่าคงเหนื่อยแล้ว กินผลไม้ดื่มชาสักหน่อยเถิด พักผ่อนสักนิดก่อนแล้วค่อยว่าต่อ”
องค์ชายสี่รีบรับมันไว้ด้วยสองมือ ที่ปรากฏอยู่บนพระพักตร์คือรอยแย้มพระสรวลสว่างไสว “ขอบพระทัยชินหวงจู่หมู่ เช่นนั้นหลานก็ไม่เกรงพระทัยแล้ว” ตรัสจบก็ส่งผลไห่ถังเข้าปากเคี้ยว ก่อนจะหันไปเลือกของว่างด้วยพระทัยแน่วแน่ ประหนึ่งทรงมองไม่เห็นเก่อเฉาอี้
อู๋ไท่เฟยแย้มพระสรวลอยู่น้อยๆ ก่อนจะทรงหันไปหาเก่อเฉาอี้ พระขนงขมวดเข้าหากันน้อยๆ “ด้านนอกมีเรื่องอันใดกระนั้นหรือ”
เก่อเฉาอี้ค้อมกายกล่าว “ขันทีน้อยตำหนักจินหวาหกล้มหัวแตกหมดสติพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ให้คนพาไปพักที่เรือนบ่าวไพร่ด้านหลังแล้ว หมอหลวงจะมาถึงในอีกไม่ช้าพ่ะย่ะค่ะ”
จู่ๆ องค์ชายสี่ก็เงยหน้าขึ้น
ตำหนักจินหวา?
นั่นมิใช่ที่ประทับของพระสนมหนิงผินเสด็จแม่ผู้ให้กำเนิดของเขาหรือไรกัน
ที่แท้เสียงเอะอะเมื่อครู่ก็เพราะขันทีผู้หนึ่งหกล้มได้รับบาดเจ็บนั่นเอง
“ชินหวงจู่หมู่ หลานขอตัวไปดูสักครู่” องค์ชายสี่ทรงวางไม้จิ้มฟันเงินลง ขยับชายอาภรณ์ลุกขึ้น
“ช้าก่อน” อู๋ไท่เฟยแย้มพระสรวลรับสั่งรั้งองค์ชายสี่ ก่อนจะโบกพระหัตถ์เป็นสัญญาณบอกให้พวกบ่าวไพร่ถอยออกไปพลางรับสั่งว่า “เด็กดี เหตุใดเจ้าต้องไปด้วยเล่า เพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น หกล้มก็แค่พักสักครู่ หลังจากนั้นค่อยให้หมอหลวงไปตรวจดูอาการ กินยาสักเทียบสองเทียบ รีบร้อนวิ่งไปเช่นนี้รังแต่จะทำให้ทุกฝ่ายตกอกตกใจ สมควรแล้วกระนั้นหรือ”
องค์ชายสี่ทรงหยุดชะงักด้วยความลังเล
รับสั่งของอู๋ไท่เฟยนี้เป็นการสนับสนุนตำหนักจินหวา
พระสนมหนิงผินฐานะชาติกำเนิดต่ำต้อย ไม่มีผู้มีอำนาจคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ต่อให้ตำหนักในของราชสำนักต้าฉู่สงบนิ่ง แต่ผู้ใดจะรับรองได้ว่าวันหน้าจะไม่ถูกคนหลอกใช้หาผลประโยชน์ หากต้องตกเป็นขี้ปากผู้อื่นเพียงเพราะเหตุนี้ เช่นนั้นย่อมไม่งามแน่
มีอู๋ไท่เฟยออกหน้า ด้วยฐานะในตำหนักในของนางในเพลานี้ไหนเลยจะพ่ายแพ้ให้กับผู้ใดได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วยังจะมีผู้ใดกล้าเล่นเล่ห์เพทุบายอันใด
“เด็กโง่ ยังไม่รีบนั่งลงอีก” พอเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งไม่ขยับเช่นนั้นอู๋ไท่เฟยก็แย้มพระสรวล ยกผ้าซับพระพักตร์ขึ้นปิดพระโอษฐ์ “เอาล่ะๆ เจ้าก็เลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้ว อยู่กับย่าที่นี่เจ้าก็วางใจเถอะ ย่าไม่ปรารถนาอันใด ต้องการก็แค่ความบันเทิงเริงใจเท่านั้น เจ้ายังจะกริ่งเกรงสิ่งใด”
รับสั่งของอู๋ไท่เฟยนี้ลึกล้ำยิ่งนัก หลังจากยืนนิ่งรับฟังอยู่เป็นนาน ในที่สุดองค์ชายสี่ก็แสดงคารวะ ตรัสด้วยพระสุรเสียงเคร่งขรึมว่า “ชินหวงจู่หมู่ทรงเมตตา หลานรู้สึกละอายใจยิ่งนัก”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายปั้นหน้าขึงขังเช่นนั้น อู๋ไท่เฟยก็อดแย้มพระสรวลไม่ได้ “ช่างเถอะ แทนที่จะรู้สึกละอายใจมิสู้ทำตามที่ย่าบอก นั่งลงกินของว่างของเจ้าไปเถอะ”
องค์ชายสี่ทรงพระสรวลออกมาคราหนึ่ง พระองค์ลูบหลังพระเศียรอย่างขัดเขิน มิได้ตรัสวาจาปฏิเสธอันใดอีก หากกลับทรงนั่งลงเสวยพระสุธารสชาพลางสนทนากับอู๋ไท่เฟยต่อ
บทที่ 673 หิมะเต็มเมือง
ครั้นเห็นเช่นนั้นเก่อเฉาอี้ก็รับรู้ได้ทันที เขารีบออกไปจัดการ
หลังจากนั้นราวๆ หนึ่งถ้วยชาก็มีขันทีน้อยรายหนึ่งเข้ามารายงาน บอกว่าขันทีที่หกล้มได้รับบาดเจ็บรายนั้นกินยาแล้ว หมอหลวงบอกว่าเพราะบาดเจ็บบริเวณศีรษะ ทางที่ดีอย่าเพิ่งเคลื่อนไหว ให้นอนพักดูอาการสักคืนก่อน
พอได้ยินเช่นนั้นองค์ชายสี่ก็หันไปแสดงความขอบคุณต่ออู๋ไท่เฟย
อู๋ไท่เฟยแย้มพระสรวลกล่าวกระเซ้า “ดูเจ้าทำเข้า คำก็ขอบพระทัยสองคำก็ขอบพระทัย ใครไม่รู้จะคิดไปว่าย่ากำลังสอนบัณฑิตเฒ่าพูดจา ทำตัวไม่เหมือนเด็กเลยแม้แต่น้อย” ก่อนจะแสร้งรับสั่งตำหนิออกมาอีกประโยค “หากยังเป็นเช่นนี้อีก ย่าจะโกรธไม่อนุญาตให้เจ้ากินของว่างอีก”
ยังไม่ทันตรัสจบ อู๋ไท่เฟยก็ทรงกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ คนอื่นๆ จึงพลอยหัวเราะตาม
องค์ชายสี่เองก็ลูบพระเศียรหัวเราะ
หลังจากหัวเราะพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง อู๋ไท่เฟยก็สีพระพักตร์อ่อนล้า องค์ชายสี่ไหนเลยจะยังฝืนประทับอยู่ได้อีก จึงทรงลุกขึ้นประคองอู๋ไท่เฟยกลับห้องบรรทมด้วยพระองค์เอง ก่อนจะกล่าวทูลลา
องค์ชายสี่แย้มพระสรวลเดินออกจากตำหนัก ตัดผ่านเส้นทางหินขาว ก้าวข้ามประตูใหญ่ตำหนักฉางสี่ขึ้นไปอยู่บนเส้นทางแคบที่เชื่อมต่ออยู่กับตำหนักจินหวา
ทันใดนั้นรอยแย้มพระสรวลบนสีพระพักตร์ก็จางหาย
ท่าทีขึงขังจริงจังปกคลุมพระวรกายขององค์ชายสี่อีกคราว
ทรงหยุดยืนอยู่ที่ปากทาง พระเศียรก้มต่ำมองดูแผ่นอิฐใต้พระบาท
แผ่นอิฐสีเทาขนาดใหญ่ เพราะต้องลมฝนมาเป็นเวลานานปี ถูกผู้คนย่ำกลับไปกลับมานับครั้งไม่ถ้วน ยามนี้จึงมิได้ราบเรียบเหมือนเก่า ช่องว่างระหว่างแผ่นอิฐแผ่กว้างมากขึ้น เต็มไปด้วยหลุมบ่อ หญ้าแห้งส่ายไหวไปมาอยู่ท่ามกลางสายลม ครั้นฝนตกอิฐที่ถูกขัดมันเป็นเงาพวกนั้นล้วนส่องสะท้อนให้เห็นเงาคน
ทรงจ้องอิฐพวกนั้นอยู่เป็นนานคล้ายเหม่อลอย ขณะเดียวกันก็เหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านเส้นทางแคบยาว ฉลองพระองค์ไหวสะบัด ชายอาภรณ์ตลบม้วน
ทุกคนต่างพากันนิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดอันใด แม้แต่เสียงลมหายใจก็ราวกับถูกสายลมกลบไปจนสิ้น
องค์ชายสี่หันพระพักตร์กลับมาช้าๆ มองดูจ้าวอันคังที่อยู่ทางด้านหลัง พระองค์แย้มพระสรวลคราหนึ่ง
ลักยิ้มเยี่ยงเด็กน้อยบัดเดี๋ยวโผล่บัดเดี๋ยวจางหาย
“ขันทีที่ได้รับบาดเจ็บผู้นั้นเป็นใคร” พระองค์ตรัสพร้อมปัดแขนเสื้อคราหนึ่ง
จ้าวอันคังรีบเดินขึ้นหน้าตอบ “ทูลองค์ชาย ขันทีที่ได้รับบาดเจ็บเป็นขันทีชั้นผู้น้อยรายหนึ่ง ชื่อเฉียนอวี้ผิงพ่ะย่ะค่ะ”
“เฉียนอวี้ผิง?” องค์ชายสี่ขมวดพระขนงคล้ายนึกไม่ออกว่ามีคนผู้นี้อยู่ด้วย “เขาทำงานอยู่ที่ใด เหตุใดเราถึงจำไม่ได้”
“ทูลองค์ชาย เขาเพิ่งถูกส่งเข้ามาตอนเดือนเก้าปีนี้” จ้าวอันคังตอบเสียงแผ่ว เอวค้อมต่ำจนเกือบแนบติดพื้น “เดิมเขาปรนนิบัติรับใช้ฮองเฮาอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งเจ่า ตอนเดือนเก้าเพราะตำหนักฉางสี่ต้องการคนเพิ่ม ฮองเฮาจึงทรงแบ่งคนมาเพิ่มให้อีกรอบ และด้วยเหตุนี้เขาจึงมาทำงานอยู่ที่ตำหนักจินหวาพ่ะย่ะค่ะ”
พอพูดถึงตรงนี้จ้าวอันคังก็ทำมือทำไม้สองสามครา “ใต้คิ้วของเขามีไฝอยู่เม็ดหนึ่ง อายุน่าจะสักราวๆ สิบแปดสิบเก้าเห็นจะได้ สูงประมาณนี้ สูงกว่ากระหม่อมราวๆ ครึ่งหัว เพราะตัวสูง พระสนมเลยให้เขาดูแลจุดตะเกียงทุกคืน”
พระสนมที่เขาพูดถึงย่อมหมายถึงพระมารดาขององค์ชายสี่ พระสนมหนิงผิน
องค์ชายสี่ทรง “อา” ออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะผงกพระเศียร “ที่แท้ก็เป็นเขา”
ถึงจะรับสั่งเช่นนี้แต่สีพระพักตร์กลับยังคงงุนงง เห็นได้ชัดว่าทรงนึกไม่ออกว่าเป็นผู้ใด
จ้าวอันคังเองก็มิได้พูดถึงเรื่องนี้อีก ก็แค่ขันทีชั้นต่ำผู้หนึ่งเท่านั้น อย่าว่าแต่ผู้เป็นนายเลย แม้แต่พ่อบ้านอย่างเขาบางครั้งก็ไม่แน่ว่าจะเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาได้ถูก
เฉียนอวี้ผิงผู้นั้นมาอยู่ที่นี่ไม่ถึงสามเดือน นิสัยชอบหมกตนเองอยู่แต่ในห้องไม่ต่างอันใดกับน้ำเต้าไม่มีปาก นอกจากก้มหน้าก้มตาทำแล้ว อย่างอื่นอันใดล้วนไม่รู้ มิน่าอยู่มาจนอายุเท่านี้แล้วแม้แต่ระดับสี่ก็ยังไม่ได้เป็น ยังคงเป็นก็แต่เพียงขันทีปลายแถว
ไม่เอาไหนเลยจริงๆ
จ้าวอันคังลอบเบ้ปาก จู่ๆ บนเส้นทางคับแคบก็มีลมพัดมา มุดลอดตามปกเสื้อเข้าไปภายใน
เขาเนื้อตัวสั่นสะท้าน หลังชำเลืองมองสีพระพักตร์ขององค์ชายสี่คราหนึ่ง เขาก็กระซิบเตือนออกมาเบาๆ “องค์ชาย ที่นี่ลมแรงยิ่งนัก พระองค์เพิ่งหายประชวรได้ไม่นาน ไม่ว่าเช่นไรก็ต้องถนอมพระวรกายด้วย”
เมื่อพูดจบเขาก็กอดอกเงยหน้ามองฟ้า ก่อนจะเอ่ยปากเตือนออกมาอีกคราว “ฟ้าเหมือนจะครึ้มลงไม่น้อย คิดว่าอีกไม่นานก็คงจะมีฝนตกหรือหิมะโปรย พระสนมคงรอองค์ชายอยู่ องค์ชายรีบเสด็จกลับเถิด พระสนมจะได้วางพระทัย”
องค์ชายสี่เป็นบุตรกตัญญู แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยขัดพระทัยพระสนมหนิงผิน
คำพูดของจ้าวอันคังทำพระองค์ได้สติ ทรง “อืม” ออกมาคราหนึ่งพลางสะบัดแขนเสื้อ “ไปกันเถอะ”
พระองค์ชักพระบาทออกเดินขึ้นหน้า จ้าวอันคังรีบนำคนตามเสด็จ
ไม่รู้ว่าเศษใบไม้ร่วงจากที่ใดถูกลมหนาวพัดม้วนลอยละล่องขึ้นๆ ลงๆ ตามสายลม
ทุกคนต่างพากันเดินอยู่เงียบๆ
ตรอกยาวเงียบสงัดที่ถูกขนาบอยู่ระหว่างกลางกำแพงแดงตลอดทั้งสองข้างนี้ไม่ต่างอันใดกับด้ายแดงแสบตาสองเส้น บังคับควบคุมผู้คนที่กำลังเดินอยู่ทางด้านบนกลุ่มนี้มิให้พวกเขาข้ามผ่านขอบเขตออกไปแม้เพียงครึ่งก้าว
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่อาจมองเห็นเมฆบางเคลื่อนไหว มีก็แต่เพียงแผ่นฟ้าสีเทาขนาดใหญ่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาทับซ้อนอยู่ด้วยกันชั้นแล้วชั้นเล่า ปกคลุมอยู่เหนือวังต้องห้าม แม้แต่ทั่วทั้งเมืองหลวงก็ยังถูกปกคลุมอยู่ใต้ปีกของมัน
ครั้นถึงยามพลบค่ำ ละอองหิมะก็เริ่มโปรย เพราะอากาศเหน็บหนาว แม้จะตกลงพื้นแล้วแต่พวกมันก็ยังคงไม่ละลาย กลับทับถมอยู่ด้วยกันทีละเล็กละน้อย เพียงไม่นานทั่วทั้งเมืองหลวงก็ถูกปูด้วยเกล็ดหิมะสีเงิน ก่อนจะกลายกลับเป็นเสื้อคลุมสีขาวอาภรณ์สีเงินงดงามในชั่วระยะเวลาไม่นาน
พอถึงตอนจุดโคม หิมะก็โปรยปรายเต็มฟ้า ปลิวว่อนไม่ต่างอันใดกับปุยต้นหลิวลอยละล่องหล่นร่วง ไม่รู้กระตุ้นความรู้สึกของเหล่าปราชญ์เมธีบัณฑิตกี่มากน้อย พวกเขาถึงออกมาถือเทียนหาดอกเหมย เตาแดงชมหิมะ บ้างก็ต้มสุราลากพู่กัน สะบัดน้ำหมึกหน้าไหสุรา ไม่ปล่อยให้วันเวลางดงามผ่านเลย
ลานเรือนนอกเมืองหลวงแห่งหนึ่ง สตรีในอาภรณ์กันหนาวเนื้อหยาบ ใบหน้ามีแผลเป็นชวนประหวั่นอยู่รอยหนึ่ง อาศัยจังหวะที่แสงสายัณห์อบอุ่นสุดท้ายยังคงอยู่แบกจอบผลักเปิดประตูเรือน
นางคล้ายทำงานเหนื่อยมาแล้วทั้งวัน ต่อให้มีบาดแผลกินพื้นที่เกือบครึ่งหน้าก็ไม่อาจบดบังความรู้สึกอ่อนล้าบนหว่างคิ้วนั้นได้
นางวางจอบลงที่มุมระเบียง ยกมือทุบไหล่ เยื้องย่างเชื่องช้าเดินขึ้นไปตามบันไดตรงเข้าไปยังห้องข้างฝั่งตะวันตกเหมือนคนชำนาญเส้นทาง
เพราะไม่มีคนพักอาศัยมาเป็นเวลานาน ข้าวของเครื่องใช้อันใดล้วนมีฝุ่นจับอยู่บางๆ ชั้นหนึ่ง พื้นอิฐไม่มีคนขัดถูทำความสะอาดมาเป็นเวลาช้านาน ครั้นย่ำเท้าลงไป รอยเท้าก็พลันปรากฏชัด
สตรีผู้นั้นกวาดตามองไปรอบๆ สีหน้าหม่นหมองก่อนจะยิ้มหยันตนเองออกมาคราหนึ่ง
“ช่างเถอะ ใช่ว่าเป็นครั้งแรกที่ต้องทำตัวเป็นบ่าวไพร่เสียเมื่อไร” นางพึมพำกับตนเองพลางส่ายหน้าเดินออกไปนอกห้อง หาไม้กวาดผ้าขี้ริ้วมาเก็บกวาดทำความสะอาดห้องข้างฝั่งตะวันตก ครั้นเห็นว่าไม่มีรอยเท้ารอยนิ้วมืออันใดหลงเหลือ นางก็เอาข้าวของต่างๆ เก็บกลับไปยังห้องเก็บของ หลังจากนั้นก็กลับมายังห้องข้างฝั่งตะวันตกอีกครั้ง
ยามนี้แสงตะวันกลุ่มสุดท้ายถูกความมืดกลืนกินหมดสิ้นแล้ว โชคดีที่บนพื้นมีแสงสะท้อนจากกองหิมะ จึงไม่รู้สึกมืดอันใดนัก
นางชะโงกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมเงี่ยหูฟัง
รอบๆ ไร้เสียงคน หิมะตกหนักเยี่ยงนี้ คนที่อยู่ประจำยามเหล่านั้นต่างล้วนพากันหลบเข้าไปผิงไฟอยู่ในห้องกันหมดสิ้น เวรยามกะดึกที่ปกติก็ไม่เข้มงวดสักเท่าใดอยู่แต่เดิม คืนนี้เกรงว่าจะยิ่งไม่มีผู้ใดสนใจทำงาน
ครั้นคิดเช่นนั้นนางก็ปิดประตูเรือนไว้หลวมๆ หยิบเอาผ้าดำหนาๆ สองสามผืนบนชั้นออกมาด้วยความคุ้นเคย ใช้มันคลุมทับบานประตูไว้อีกชั้น
จากห้องที่แลดูสลัวๆ อยู่แต่เดิม ยามนี้กลับถูกความมืดครอบงำหมดสิ้น ยื่นมือมิอาจเห็นห้านิ้ว
ทว่านางกลับไม่มีทีท่าลนลานแม้แต่น้อย สตรีคนดังกล่าวหยิบเอาเทียนสีแดงเล่มหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากนั้นก็จุดมันขึ้น ถือมันเดินเลี้ยวตรงไปยังห้องเชื่อม หยิบเอาเชิงเทียนดอกโบตั๋นงดงามออกมา ปักเทียนลงไปทางด้านบน
เพียงชั่วพริบตาทั่วทั้งห้องก็เต็มไปด้วยแสงเทียนสีแดง เทียนนั้นแม้จะเรียวเล็ก แต่ก็ไม่รู้ว่าทำจากอันใด แสงของมันถึงได้สุกสว่างเป็นพิเศษ เครื่องเรือนทั่วทั้งห้องล้วนมองเห็นได้ถนัดตา แม้แต่ดวงตาเส้นผมของนางก็ยังปรากฏชัดทุกรายละเอียด
บทที่ 674 ไม่ยอมมาพบ
สตรีคนดังกล่าวถือเชิงเทียนไว้ในมือ รอยยิ้มแทบจะเรียกว่าเย้ยหยันนั้นแขวนประดับอยู่บนใบหน้า นางก้าวเดินช้าไปๆ ที่โถงหลัก วางเชิงเทียนลงบนโต๊ะ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่มีที่เท้าแขนซึ่งอยู่อีกด้าน หลังจากนั้นนางก็ไม่ขยับตัวอีก
ในลานมีก็แต่ความเงียบสงัด หากตั้งใจฟังจะพบว่าคล้ายสามารถได้ยินเสียงหิมะโปรยละออง
นางนั่งตัวตรง ใบหน้าร้างไร้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับดินปั้นหุ่นไม้แกะสลัก สายตาซึมกะทือ เวิ้งว้างว่างเปล่า คล้ายทะลุผ่านกำแพงผ่านความมืดมิดที่ครอบคลุมอยู่ทั่วเรือน ทะลุผ่านหิมะที่โถมกระหน่ำอยู่เต็มฟ้า ลอยห่างออกไปยังดินแดนแสนไกล
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด จู่ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ก๊อก…ก๊อกๆ
เสียงนั้นแผ่วเบายิ่งนัก แฝงไว้ซึ่งจังหวะจะโคนแปลกประหลาด ประเดี๋ยวดังประเดี๋ยวหยุด ซ้ำอยู่สามครั้งสามครา
ดวงตาของสตรีคนดังกล่าวขยับไหวคล้ายในที่สุดก็กลับมามีชีวิตชีวา นางเอนร่างพิงเข้ากับพนักเก้าอี้ รอยยิ้มสุขุมไม่สะทกสะท้านปรากฏอยู่บนมุมปาก นางกล่าวออกมาช้าๆ “เข้ามาเถิด”
แอ๊ด…
ประตูถูกผลักเปิด เงาร่างของคนสองคนมุดลอดเข้ามาภายใน ครั้นเห็นสตรีคนดังกล่าวนั่งอยู่บนเก้าอี้ พวกเขาก็รีบเดินขึ้นหน้าค้อมกายแสดงคารวะ
“ผู้น้อยเสิ่นจิ้งจือคารวะพระชายา ขอพระชายาอายุยืนพันปีพันๆ ปี”
“ผู้น้อยไป๋เหล่าเฉวียนคารวะพระชายา ขอพระชายาอายุยืนพันปีพันๆ ปี”
“รีบลุกขึ้นเถิด นั่งลงก่อนแล้วค่อยว่ากัน” พระชายาคังอ๋องยามนี้รอยยิ้มอาบเต็มใบหน้า สีหน้าเย้ยหยันซึมกะทือก่อนหน้านี้เหมือนจะไม่เคยมีมาก่อน
คนทั้งสองลุกขึ้น ชายรูปร่างผอมสูงแปลกประหลาดเอ่ยปากน้ำเสียงหยาบกระด้าง “ขอพระชายาได้โปรดให้อภัย ผู้น้อยจำต้องแกะผ้ารัดเท้าออกก่อน ขาปลอมนี้ทรมานบัดซบยิ่งนัก”
คนที่กำลังพูดที่แท้ก็คือคนแคระที่ชื่อว่าไป๋เหล่าเฉวียนผู้นั้น
ทันทีที่คำพูดดังกล่าวหลุดออกจากปาก เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าตนเองพลั้งปากแล้ว จึงรีบกล่าวขออภัยออกมาติดๆ “ผู้น้อยเป็นคนหยาบช้า ขอพระชายาอย่าได้ถือสา”
ชายนัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษเจ้าของสมญานามเสอเหยี่ยนหรือก็คือเสิ่นจิ้งจือที่อยู่อีกด้านค้อมกายกล่าว “ปกติเหล่าไป๋ก็เป็นเช่นนี้ ขอพระชายาอย่าได้ใส่ใจ”
พระชายาคังอ๋องยิ้ม รอยแผลเป็นบนใบหน้าบิดเบี้ยวชวนประหวั่น ทว่าน้ำเสียงของนางกลับอ่อนโยนอย่างยิ่งยวด “ท่านแม่ทัพทั้งสองเกรงใจเกินไปแล้ว ต่อหน้าข้าหาจำเป็นต้องมากพิธีไม่” พูดจบนางก็ชี้นิ้วไปที่ห้องฝั่งตะวันตก “ที่นั่นสะอาดเรียบร้อย เชิญแม่ทัพไป๋ตามสบาย”
ไป๋เหล่าเฉวียนกล่าวขออภัยก่อนจะรีบถอยจากไป เพียงไม่นานเสียงความเคลื่อนไหวเล็กๆ ก็ดังลอยออกมาจากที่นั่น เขากำลังแกะผ้ารัดเท้าอยู่
พระชายาคังอ๋องสองตาขยับไหวอยู่น้อยๆ หันมองไปทางเสิ่นจิ้งจือ หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง พระชายาคังอ๋องก็ถามเขาเสียงแผ่วเบา “ท่านกับเขา…เคยพบเจอกันกระนั้นหรือ”
คำว่า ‘เขา’ ในที่นี้คือผู้ใด นางรู้ และเสิ่นจิ้งจือก็รู้เช่นกัน
เขาสีหน้าเย็นชาขึ้นมาทันที ก่อนจะตอบเสียงขรึม “เรียนพระชายา ผู้น้อยเคยพบเขาจริงขอรับ”
“เอ๋?” พระชายาคังอ๋องเงยหน้า สายตาวับวาวคล้ายดวงดาวส่องประกาย น้ำเสียงคล้ายรอคอยวาดหวัง “เช่นนั้นเขาพูดว่ากระไรบ้าง แล้วเขาจะมาที่นี่เมื่อใด”
“เขาบอกว่ายังต้องรอก่อน” เสิ่นจิ้งจือสีหน้าบึ้งตึงยิ่งกว่าเดิม “ผู้น้อยให้เขากำหนดวันเวลาที่แน่ชัด แต่เขากลับตอบคลุมเครือ อีกทั้งยังให้ผู้น้อยบอกกับพระชายาว่าครั้นปีนี้สิ้นสุด ข่าวลือที่แพร่สะพัดอยู่ในเมืองหลวงสงบลง ถึงตอนนั้นเขาน่าจะพอปลีกตัวมาได้”
เขาหัวเราะออกมาคราหนึ่งพลางเอ่ยวาจาเย้ยหยัน “หึ ผู้น้อยว่าเขาน่าจะกลัวจนหัวหดแล้วมากกว่า ในระยะเวลาสั้นๆ นี้คงไม่อาจมาได้”
พระชายาคังอ๋องพยักหน้า ไม่ทั้งประหลาดใจไม่ทั้งเดือดดาล แม้แต่ท่าทีผิดหวังอันใดก็ไม่มี นางทำเพียงแตะจอนผมเบาๆ “เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว”
อันที่จริงนางพอจะเดาเรื่องนี้ได้แต่แรกแล้ว
คนผู้นั้นมาหรือไม่มา อันที่จริงนางหาได้นึกใส่ใจไม่ ที่นางใส่ใจคือข่าวคราวของบุตรธิดาทั้งสองที่อยู่แดนไกลนั่นต่างหาก
ทว่าครั้นพิจารณาดูจากในเวลานี้ ตลอดระยะเวลาหนึ่งถึงสองเดือนที่ผ่านมา นางไม่ได้ยินข่าวคราวพวกลูกๆ เลยแม้แต่น้อย
ทว่าขอเพียงคนผู้นั้นปลอดภัย ลูกๆ ของนางก็ย่อมปลอดภัยด้วยเช่นกัน
นางถอนหายใจออกมาเบาๆ เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน นางเองก็จะได้จิตใจสงบ
พูดกันตามตรง ทุกครั้งที่ต้องมอบกายให้กับคนผู้นั้น ความบันเทิงทางร่างกายที่นางได้รับแน่นอนว่าทำให้นางรู้สึกอาลัยอาวรณ์ แต่ถึงกระนั้นนางก็อดนึกไม่ได้ นอกจากคำว่า ‘พระชายา’ ว่างเปล่านั่นแล้ว นางต่างอันใดกับหญิงงามเมืองที่ขายตัวอยู่ข้างถนนเหล่านั้น
ล้วนแต่อาศัยความงามใช่ร่างกายล่อลวงใจคน ไม่ว่าจะเพื่อเงินหรือเพื่ออำนาจ ทั้งสองฝ่ายล้วนไม่มีอันใดแตกต่าง
“ดูท่านเข้า ไหนๆ ก็พูดเช่นนี้เหตุใดจึงมิเอามีดเสียบเจ้า ‘ขี้ขลาด’ นั่นเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว” ไป๋เหล่าเฉวียนไม่รู้เดินออกมาตั้งแต่เมื่อใด ใบหน้าดุดันกล่าว “เจ้านั่นหามีประโยชน์อันใดไม่ สมควรฆ่าทิ้งไปนานแล้ว”
“หากมิใช่เพราะไม่มีคนให้เรียกใช้ ข้าไหนเลยจะร่วมมือกับเขา” พระชายาคังอ๋องถอนหายใจออกมาคราหนึ่งพลางยกมือนวดหว่างคิ้ว “แต่ถึงเขาจะไม่เอาไหนสักเพียงใด แต่อย่างน้อยก็ยังเป็นลูกหลานขุนนางชั้นสูง มีเส้นสายมิตรสหายอยู่ทั่วราชสำนัก ข่าวคราวอันใดล้วนเปี่ยมประสิทธิภาพ หลายปีมานี้จะมากน้อยเช่นไรเขาก็นับว่าช่วยพวกเราไว้ไม่ใช่น้อย แค่เรื่องอันอ๋องก่อกบฏ อาวุธพวกนั้นหากไม่ใช่เพราะเก็บซ่อนไว้ในที่ของเขา ร่องรอยของพวกเราคงถูกสืบรู้สิ้นแล้ว ไหนเลยจะรอดมาถึงยามนี้ได้”
ไป๋เหล่าเฉวียนสองตาปูดโปน มือประสานอยู่ด้วยกันพร้อมเอ่ยว่า “ผู้น้อยเหล่าไป๋เป็นคนหยาบ ในเมื่อพระชายาบอกไม่ฆ่า เช่นนั้นผู้น้อยย่อมไม่ฆ่า”
พอพูดจบเขาก็ไม่รอให้คนอื่นได้พูดอันใด คว้าเก้าอี้มานั่งตามอำเภอใจก่อนจะกวักมือไปทางเสิ่นจิ้งจือ “นั่งลงคุยกัน”
เสิ่นจิ้งจือมองดูเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ อีกทั้งยังไม่ยอมนั่ง แต่ถึงกระนั้นก็มิได้พูดอันใดออกมา
พระชายาคังอ๋องยิ้ม โบกมือไปทางเขา “ช่างเถอะ แม่ทัพเสิ่น ท่านก็นั่งลงคุยกันเถิด แม่ทัพไป๋เองก็เช่นกัน”
ใบหน้าบัดเดี๋ยวกลัดกลุ้มบัดเดี๋ยวยินดีนั้นงามสง่าชวนให้คนแทบจะมองข้ามรอยแผลบนใบหน้านั่น รับรู้ได้ก็แต่บุคลิกของนางนั้นโดดเด่นเหนือผู้ใด ยิ่งไปกว่านั้นบนร่างยังมีกลิ่นอายเข้มงวดกวดขันอีกหลายส่วน
ไป๋เหล่าเฉวียนเดิมยืดเหยียดขานั่ง ทว่ายามนี้เพราะถูกอำนาจของนางกดทับไว้ทำให้กลับกลายเป็นสำรวมเอวหลังเหยียดตรง ท่านั่งเรียบร้อยถูกต้องอย่างไม่รู้ตัว
เสิ่นจิ้งจือกล่าวขอบคุณก่อนจะนั่งตัวตรง สองขาแยกออกเล็กน้อย สองมือวางอยู่บนเข่า เส้นสายจากเอวถึงไหล่จากไหล่ถึงลำคอเหยียดตรงสมบูรณ์งดงาม เห็นได้ชัดว่าได้รับการอบรมมาอย่างเคร่งครัด ทุกการเคลื่อนไหวล้วนเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ
ครั้นนั่งเป็นที่เรียบร้อยเขาก็เอ่ยปากขึ้นอย่างรวดเร็ว “ผู้น้อยเดินทางมาครานี้ เพราะต้องการรายงานให้พระชายาทราบถึงสถานการณ์ที่เขาเสี่ยวสิง”
ต่อหน้าพระชายาคังอ๋อง กลิ่นอายพาลพาโลชั่วร้ายบนร่างของเขาเหมือนจะจางไปหมดสิ้น วาจาอันใดล้วนสำรวมระมัดระวังเยี่ยงขุนน้ำขุนนางราชสำนัก
“เช่นนั้นก็เชิญแม่ทัพเสิ่นว่ามาเถิด ข้าล้างหูรอฟังอยู่” พระชายาคังอ๋องเปลี่ยนท่านั่ง รอยยิ้มชวนประหวั่น ทว่าน้ำเสียงกลับใกล้ชิดสนิทสนมยิ่ง
เสิ่นจิ้งจือกล่าวต่อ “พวกผู้น้อยเดินทางมุ่งหน้าไปซานตง จัดการสังหารคนที่เคยมีสัมพันธ์กับองค์หญิงใหญ่หมดสิ้น โชคดีที่พวกเขาล้วนก็แค่พวกปลายแถว มิเคยได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องลับสำคัญอันใด ส่วนทางจวนองค์หญิงใหญ่เองก็ไม่รู้เรื่องของพวกเรากระจ่างชัด เพราะตามหาพวกเราสุ่มสี่สุ่มห้า สุดท้ายก็ตกอยู่ในสายตาของราชสำนัก พวกผู้น้อยจึงได้แต่ต้องลงมือด้วยความสุขุม ถอนตัวออกมาโดยสิ้นเชิง ยามนี้ในเมื่อคนตายไปแล้ว ความวิตกกังวลอันใดย่อมพลอยหมดสิ้นไปด้วย พระชายาวางใจได้”
“ลำบากแม่ทัพเสิ่นแล้ว แม่ทัพไป๋เองก็ลำบากไม่ใช่น้อยเช่นกัน” พระชายาคังอ๋องอมยิ้มกล่าว สีหน้าคล้ายปลดเปลื้องภาระหนาหนักหมดสิ้น
การติดต่อของจวนองค์หญิงใหญ่นั้นจะว่าไปก็พิลึกพิลั่นยิ่งนัก ไม่มีใครรู้ว่าเพราะเหตุใดต้องส่งข่าวบอกให้มุ่งหน้าไปซานตงด้วย แม้แต่หลังเซียงซานเซี่ยนจู่ถูกลอบสังหาร การติดต่อของฝ่ายนั้นก็ยังคงไม่หยุด
เพราะไม่รู้ถึงสายสนกลใน อีกทั้งยังกลัวว่าจะมีแผนการร้ายอันใดซุกซ่อน ด้วยเหตุนี้การสนับสนุนทางซานตงจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า หลังจากใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่างฝ่ายต่างลองหยั่งเชิงซึ่งกันและกัน จนกระทั่งถึงเดือนหกเดือนเจ็ด ครั้นมั่นใจว่าทางองค์หญิงใหญ่ยินดียอมลดวางความแค้นในการสังหารเซี่ยนจู่ (แต่ไม่สำเร็จ) ลงแล้ว พระชายาคังอ๋องถึงได้ยอมร่วมมือกับทางนั้น
ทว่าใครจะไปนึก ขณะที่การติดต่อในขั้นต่อไปยังไม่ทันได้ลุล่วง จวนองค์หญิงใหญ่กับจวนซิงจี้ป๋อก็ต่างพากันล่มสลาย จนถึงยามนี้พระชายาคังอ๋องยังคงนึกยินดีที่ยามนั้นเรื่องราวทางซานตงดำเนินการไปอย่างระมัดระวัง หาไม่แล้วผลลัพธ์เป็นเช่นไรคงยากจะจินตนาการได้
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 มิ.ย. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.