บทที่ 678 นัดหมายยามสายัณห์
“แม่ทัพเสิ่น การเดินทางในครั้งนี้อันตรายยิ่งนัก ข้าเองก็ไม่รู้ว่าสถานที่ที่ข้าเขียนนี้จะช่วยให้ท่านหาพวกหลี่เอ๋อร์พบหรือไม่” พระชายาคังอ๋องพับจดหมาย สายตาแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกกระวนกระวาย “ครั้งสุดท้ายที่ข้าได้รับจดหมายจากหลี่เอ๋อร์คือตอนเทศกาลจงชิวเดือนแปดปีนี้ หากคนผู้นั้นคิดอ่านเป็นอื่น ท่านไปในตอนนี้เกรงว่าอาจคว้าน้ำเหลว”
น้ำเสียงของนางแผ่วเบายิ่ง ดวงตาแม้จะฉายแววกลัดกลุ้ม แต่ถึงกระนั้นนางก็พยายามปลุกเร้าตนเอง เอ่ยปากใบหน้าสุขุม “พวกเราตกลงนัดหมายกันที่สองเดือน ไม่ว่าท่านแม่ทัพจะหาหลี่เอ๋อร์พบหรือไม่ ถึงวันนั้นข้าก็จะไปรอท่านยังที่นัดหมาย”
เสิ่นจิ้งจือตะลึงงัน ก่อนจะพรวดพราดเงยหน้ามองดูนาง “พระชายาตั้งใจจะไปจากเมืองหลวง?”
“ใช่แล้ว” พระชายาคังอ๋องสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “สถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะจะอยู่นาน ชักช้าอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอันใดขึ้น”
เสิ่นจิ้งจือสองตาหรี่เล็กลง กลิ่นอายบนร่างพลันเย็นยะเยือก “หรือว่าพระชายารับรู้เรื่องอันใดมา”
“ก็หามีอันใดไม่ ข้าแค่มีลางสังหรณ์เท่านั้น” พระชายาคังอ๋องยิ้มพราย เพียงแต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่ปรากฏอยู่ในดวงตา ตรงกันข้ามกลับเผยให้เห็นถึงความวิตกกังวลชัดแจ้ง “แต่ไหนแต่ไรลางสังหรณ์ข้าก็ไม่เคยพลาด ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นั้นยามนี้ก็อกสั่นขวัญแขวนแล้ว หากยังอยู่ต่อ ดีไม่ดีอาจเป็นภาระให้กับเขา มิสู้ตัดสินใจเด็ดขาดเลยจะดีกว่า”
สีหน้าของเสิ่นจิ้งจือกลับกลายเป็นเคร่งขรึม แต่ถึงกระนั้นเขาก็มิได้พูดอันใด
เขายินดีสนับสนุนการตัดสินใจของนาง ในเมื่อคนผู้นั้นมีชีวิตต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เช่นนั้นก็คงทำได้เพียงสังหารทิ้งเท่านั้น จะได้ไม่เป็นภัยในภายภาคหน้า
เพียงแต่เรื่องนี้ยังต้องวางแผนให้ดี คนผู้นั้นมีองครักษ์ข้างกายไม่ใช่น้อย หนำซ้ำมีอยู่หลายคนที่ฝีมือไม่เลว
“ทางแม่ทัพไป๋ยังมีกำลังคนอยู่ น่าจะเพียงพอสำหรับจัดการเรื่องนี้” พระชายาคังอ๋องคล้ายเข้าใจความคิดอ่านของเขาได้แต่เนิ่นๆ น้ำเสียงของนางเฉยชา “ยิ่งไปกว่านั้นข้าเองก็ไม่คิดจะฆ่าล้างตระกูลพวกเขา แค่จัดการตัดสิ่งที่ควรตัดเท่านั้น เรื่องนี้หาได้ยุ่งยากไม่”
เสิ่นจิ้งจือพึ่งตระหนักขึ้นได้ พระชายาคังอ๋องก็คิดลงมือแล้ว
ไม่แน่ว่าอาจเป็นแผนโฉมสะคราญ
“พระชายาปราดเปรื่องยิ่งนัก” น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งราบเรียบ ไม่อาจบอกได้ว่ารู้สึกเช่นไร
“วันเวลาและสถานที่นัดหมายรวมถึงเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ ข้าล้วนเขียนไว้ในจดหมายชัดแจ้งแล้ว ท่านแม่ทัพกลับไปอ่านดูก็จะรู้เอง” พระชายาคังอ๋องกล่าวขึ้นมาอีก นิ้วมือแตะกระดาษเขียนจดหมายเบาๆ สีหน้าฝากแฝงไว้ซึ่งความหมายลึกล้ำ “เรื่องนี้มีแต่ท่านกับข้าเท่านั้นที่รู้ จะให้บุคคลที่สามล่วงรู้มิได้เป็นอันขาด”
“ผู้น้อยรับทราบ” เสิ่นจิ้งจือตอบรับ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พูดเสริม “ผู้น้อยจะทิ้งคนเอาไว้สองสามคน หากพระชายามีความจำเป็นอันใด แค่ทำตามที่เคยตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ ทิ้งเครื่องหมายไว้เท่านั้นก็ได้แล้ว”
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านแม่ทัพโปรดวางใจ” พระชายาคังอ๋องพยักหน้า มอบจดหมายให้กับเขา ก่อนจะหยิบเอาแผลปลอมบนโต๊ะนั่นขึ้นชำเลืองมองพลางยิ้ม “ข้ายังมีเรื่องต้องรบกวนท่านแม่ทัพอีกเรื่อง แผลปลอมนี้เกรงว่าคงต้องเปลี่ยนใหม่แล้ว อันเก่าจวนเจียนติดไม่อยู่เต็มที”
รอยยิ้มของอีกฝ่ายทำเสิ่นจิ้งจือใจเต้นระส่ำ เขาพยายามสงบจิตสงบใจอย่างสุดกำลัง เอ่ยปากกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “คืนนี้ผู้น้อยจะรีบไปจัดการให้”
“รบกวนท่านแม่ทัพแล้ว” พระชายาคังอ๋องพยักหน้าขอบคุณก่อนจะกล่าววาจาอ่อนโยนออกมาอีกครั้ง “พอได้แผลเป็นปลอมมา ท่านแม่ทัพก็วางมันไว้ที่เดิมเหมือนเช่นเคยเถิด ข้าจะหาเวลาไปเอาเอง ท่านแม่ทัพเองก็รีบเดินทางเถอะ ทุกอย่างจะได้เป็นไปตามนัดหมายของพวกเรา”
เสิ่นจิ้งจือขานรับ อารมณ์แปลกประหลาดปรากฏขึ้นภายในใจ คล้ายปลาบปลื้มยินดี คล้ายผิดหวังห่อเหี่ยว และคล้ายเฝ้ารออะไรบางอย่าง
ความรู้สึกดังกล่าวเกิดขึ้นเช่นไรและจะไปที่ใด เขาไม่ปรารถนาจะนึกและไม่กล้าคิด
ครั้นผลักประตูออกจากห้อง เขาก็พบว่านอกระเบียงทางเดินยามนี้หิมะโปรยละออง ลมทะเลสาบที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลพัดมา ลมหนาวแทรกผ่านเสื้อผ้าอาภรณ์ อากาศสดใสชุ่มชื้น
เสิ่นจิ้งจือหันหน้ามองกลับมาช้าๆ
เรือนฝั่งตะวันตกเงียบสงัด ไม่ปรากฏแสงเทียนอันใด ไร้ซึ่งรอยยิ้มเสียงหัวเราะของอิสตรี มีเพียงหิมะถาโถมหล่นร่วงลงมาไม่หยุด
อารมณ์ความรู้สึกไม่ชัดแจ้งเล็กๆ ปรากฏอยู่ภายในดวงตาเยี่ยงอสรพิษเย็นเยียบของเขา
เสิ่นจิ้งจือกระชับเสื้อคลุม ผลักประตูไม้เปิดก่อนจะเดินหายเข้าไปท่ามกลางทุ่งหิมะเวิ้งว้าง…
หลังหิมะโถมถาผ่านพ้น เมืองเซิ่งจิงก็มิหนาวเหมือนก่อนหน้านี้อีก ตรงกันข้ามกลับเริ่มอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ฝนน้อยแดดมาก แสงอาทิตย์เจิดจ้า เป็นฤดูหนาวที่ไม่หนาวจัดซึ่งหาได้ยากยิ่ง
ฤดูกาลเช่นนี้ชาวบ้านยากจนทั้งหลายย่อมเป็นคนกลุ่มแรกที่นึกยินดี เพราะสามารถประหยัดถ่านฟืนได้ ต่อให้กินไม่อิ่มก็ไม่ต้องทนลำบากทั้งหนาวทั้งหิวโหย เสื้อผ้าอาจบางไปสักหน่อย ผ้าห่มผ้านวมเก่าไปสักนิดก็ไม่เป็นไร แค่อดทนอีกไม่นานทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไปเอง
ส่วนบรรดาชนชั้นสูง จะหนาวจะอุ่นสำหรับพวกเขาแล้วล้วนหาเป็นไรไม่ หนาวก็มีความสนุกสนานของมัน อุ่นก็มีข้อดีเช่นกัน อย่างเช่นเหมยวสันต์ที่ยามนี้ผลิดอกเบ่งบาน ต้นไม้ใบหญ้าบางชนิดก็ชิงกันกระจายกลีบเกสร เพียงชื่นชมดูก็สุขใจได้เช่นกัน
บางทีอาจด้วยเพราะความคึกคักของฤดูหนาวที่ไม่หนาวสักเท่าใดนี้ ตอนปลายปีดอกไม้รับวสันต์ในเมืองหลวงจึงเบ่งบานกันค่อนข้างมาก แต้มสีเหลืองอ่อนตกแต่งอยู่ทางด้านล่างของกำแพงวัง ในอุทยานหลวง ราวกับฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้วก็ไม่ปาน
ฮ่องเต้หยวนจยาเบิกบานพระทัยยิ่ง งานเลี้ยงปลายปีทรงเปลี่ยนไปจัดที่เรือนอุ่นทิศตะวันออก สถานที่แห่งนั้นบุปผารับวสันต์เบ่งบานงดงามเป็นที่สุด ทั้งยังใช้ตี้หลง ฮ่องเต้ขุนนางบอกลาสิ่งเก่าต้อนรับสิ่งใหม่ ดื่มสุราชมบุปผา ปีใหม่มิได้ผ่านพ้นไปอย่างเงียบเหงา
มีเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้ฮ่องเต้หยวนจยารู้สึกร้อนพระทัยอยู่เล็กๆ นั่นก็คืออู๋ไท่เฟยประชวร
เดิมเป็นการส่งท้ายปลายปี พระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลายต้องอยู่เฝ้าปีตามธรรมเนียม* ต้อนรับปีใหม่ไม่ต่างอันใดกับชาวบ้านร้านตลาด
เพียงแต่ปีนี้ช่วงสิ้นปีเซียวไทเฮาปิดประตูกักตน ในเมื่อนี่เป็นความปรารถนาของพระองค์ แล้วผู้ใดไหนเล่าจะกล้าขัด ส่วนอู๋ไท่เฟยเองก็ประชวร นอนพักรักษาตัวอยู่ในตำหนักฉางสี่ มิได้ออกมาร่วมงานเลี้ยง นับเป็นเรื่องที่น่าเสียใจยิ่ง
แม้จะย่างเข้าเดือนหนึ่งแล้วแต่อาการประชวรของอู๋ไท่เฟยก็มิได้ดีขึ้น อาการป่วยเกาะกุมรุมเร้าอยู่ไม่ขาด หลังสิบวันผ่านไปพระองค์ก็ประชวรจนแทบลุกไม่ขึ้น
ฮ่องเต้หยวนจยาร้อนพระทัยยิ่ง สั่งให้หมอหลวงรักษาอย่างสุดกำลัง ทว่าไม่ว่าจะถวายโอสถวิเศษสักเพียงใดก็แทบจะไม่เห็นผลอันใด ฮ่องเต้หยวนจยายิ่งร้อนพระทัย ทุกครั้งที่ออกว่าราชกิจพระองค์ก็มักใจลอยอยู่เป็นประจำ ครั้นเลิกราชกิจพระองค์ก็ทรงวิ่งตรงกลับมา พระทัยล้วนอยู่บนตัวอู๋ไท่เฟย เรื่องอื่นอันใดล้วนไม่ทรงใส่ใจ
ทว่าเรื่องราวภายในวังเหล่านี้ชาวบ้านร้านตลาดกลับไม่รับรู้
กว่าจะพบกับฤดูหนาวอบอุ่นก็ไม่ใช่ง่าย แผ่นดินหรือก็สงบสุขรุ่งเรือง ด้วยเหตุนี้วันที่สิบห้าเดือนหนึ่งงานเทศกาลโคมไฟจึงคึกคักครึกครื้นกว่าปีที่แล้ว
คืนวันงานเทศกาลโคมไฟ ฟ้ายังไม่ทันมืดสนิท เมืองเซิ่งจิงก็เต็มไปด้วยโคมไฟหลากสี สายรัดเอวผ้าดิ้นไหวสะบัด พระจันทร์สุกสว่างเหนือท้องนภาสาดแสงสดใสสะอาดสะอ้าน อากาศหรือก็อุ่นสบาย นับเป็นวันเวลาดีๆ ที่ตลอดหลายสิบปีมานี้ไม่เคยปรากฏมาก่อน ชาวบ้านร้านตลาดในเมืองต่างพากันออกมาเดินเล่นอยู่ข้างนอก ทั่วท้องถนนมีก็แต่ผู้คน
เพราะเฉลิมฉลองเทศกาล ดังนั้นเมืองหลวงจึงไม่มีการห้ามออกจากเคหสถานในยามค่ำคืน ประตูเมืองทั้งสี่ด้านเปิดกว้าง ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ แต่งกายกันอย่างเต็มที่ เดินทางเข้าเมืองมาดูพลุชมโคมไฟ ขณะเดียวกันก็มีพวกลูกผู้ลากมากดีควบม้าออกจากเมืองไปหาทัศนียภาพงดงามแปลกตาสูงๆ จัดวางสุราอาหารแหงนหน้าชมจันทร์กระจ่างก้มหน้ามองโคมไฟดุจทางช้างเผือกเป็นที่สนุกสนาน
แน่นอนว่าช่วงเวลาเช่นนี้ย่อมไม่อาจขาดบุรุษสตรีที่ต่างมีใจให้แก่กัน จันทร์เหนือกิ่งหลิว คนนัดหมายกันหลังสายัณห์ เดินเคียงคู่อย่างบริสุทธิ์เปิดเผย ให้สัตย์สาบานต่อจันทร์กระจ่างเหนือท้องนภาต่อโคมไฟบนพื้นปฐพี ก่อเกิดเรื่องราวชวนประทับใจจำนวนนับไม่ถ้วน
ในลานเรือนที่อยู่นอกเมืองเองก็มีโคมไฟงดงามประดับอยู่ สตรีในอาภรณ์ธรรมดาๆ นางหนึ่งนั่งอยู่เพียงลำพังข้างสระน้ำ เหม่อมองดูฝั่งน้ำที่อยู่ด้านตรงกันข้าม ลึกลงไปในดวงตางดงามผ่านโลกมามากนั้นแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ คล้ายกำลังคิดถึงสหายเก่า
ริมสระมีต้นไม้ขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก ยามนี้กำลังผลิหน่อแตกใบ ท่ามกลางกิ่งก้านเหล่านั้นไม่รู้ผู้ใดแขวนโคมไฟ เปลี่ยนป่าที่มืดดำทุกครั้งยามรัตติกาลมาเยือนให้กลับกลายเป็นงดงามขึ้นหลายส่วน
ครั้นพิจารณาดูโดยละเอียดก็จะพบว่าอันที่จริงโคมไฟพวกนั้นมิได้มีอยู่มากสักเท่าใดนัก แท้จริงแล้วก็มีอยู่แค่เพียงสิบกว่าดวงเท่านั้น แต่เพราะผิวน้ำส่องสะท้อนอยู่กับพระจันทร์เต็มดวง ครั้นสายลมพัดผ่าน พวกมันก็ไหวพลิ้วระยิบระยับเกิดเป็นทัศนียภาพงดงาม
บทที่ 679 น้ำใสใจจริง
“ข้ามาแล้ว” จู่ๆ เสียงของบุรุษผู้หนึ่งก็ดังขึ้น
ทันใดนั้นทัศนียภาพงดงามตรงหน้าก็จางหาย เหลือก็แต่เพียงอากาศเหน็บหนาวยามค่ำคืน สายลมคมกริบดุจมีดเย็นเยียบเสียดกระดูก
สตรีนางนั้นคล้ายไม่ได้ยิน นางยังคงมองไปยังฝั่งน้ำด้านตรงกันข้าม น้ำเสียงเล็กละเอียดระคนอยู่กับสายลมเหน็บหนาว ลอยละล่องไปทางด้านหลัง “ในที่สุดท่านก็ยอมมา”
ความรู้สึกคับแค้นหลงใหลระคนอยู่ในน้ำเสียงดังกล่าว
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังลอยมาจากทางด้านหลัง ชายหนุ่มเจ้าของเสียงเดินออกมาจากป่า เงาร่างแข็งแกร่งกำยำ หน้าตาธรรมดาๆ ปรากฏ ห่มห่อเรือนร่างไว้ใต้อาภรณ์ประณีตงดงามสีดำ ปลายแขนเสื้อกุ๊นขอบเงิน ส่องประกายเล็กๆ ยามสะท้อนอยู่กับแสงจันทร์
“เจ้าตามหาข้ามีธุระอะไรกระนั้นหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่เคยเปลี่ยน ขณะเดียวกันก็ระแวดระวังไม่เคยเปลี่ยนเช่นกัน “กว่าข้าจะออกมาได้ก็ไม่ใช่ง่าย โชคดีที่วันนี้เป็นวันเทศกาล การคุ้มกันหละหลวม หาไม่แล้วข้าคงไม่อาจปลีกตัวมาได้”
สตรีคนดังกล่าวคล้ายได้ยินเรื่องน่าขันอะไรบางอย่าง นางหัวเราะเบาๆ ออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะผินหน้ากลอกตาชำเลืองมองมาคราหนึ่ง
นั่นเป็นใบหน้าที่ปราศจากรอยแผลเป็น สง่างามเป็นหนึ่ง งดงามหยาดเยิ้ม ทว่าสีหน้าแววตากลับเย็นเยียบเสียดกระดูก บุคลิกลักษณะสองอย่างระคนอยู่ด้วยกันอย่างน่าประหลาด เต็มไปด้วยความขัดแย้ง แต่ขณะเดียวกันก็แลดูเย้ายวนยิ่ง
ที่แท้ก็คือพระชายาคังอ๋อง
นางในวันนี้มิได้ปลอมตัวหากกลับปรากฏกายด้วยรูปโฉมแท้จริง
“ยากเย็นถึงเพียงนั้น? ก็แค่ออกจากเมืองเท่านั้น ใช่ต้องต่อกรกับแม่ทัพผู้กล้าอันใดไม่” นางปิดปากยิ้ม ใบหน้างดงามไม่พบอารมณ์โกรธขึ้งเดือดดาลอันใด เพียงเอ่ยปากตำหนิ “คำพูดของนายท่านนี้ ผู้น้อยหาเชื่อไม่”
คำว่า ‘ผู้น้อย’ นี้อ่อนหวานละมุนละไม อ้อยอิ่งมิรู้สิ้น เย้าหยอกใจคนไม่ต่างอันใดกับกรงเล็บแมว
ชายผู้นั้นเคลิบเคลิ้ม สองตาที่เพ่งมองดูนางนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ เขายกเท้าเดินตรงเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว
เพียงแต่เพิ่งเคลื่อนไหวได้ไม่ทันไร จู่ๆ เขาก็ชะงักเท้า สีหน้าท่าทางกลับกลายเป็นตึงเครียด สายตากวาดมองไปรอบๆ อย่างเป็นกังวลคล้ายกลัวถูกผู้ใดพบเห็นเข้า เขาไม่ขยับเข้าไปอีก ทำเพียงเอ่ยปากอย่างอ่อนโยน “เอาล่ะ เจ้าว่ามาเถอะ ตามหาข้ามีธุระอันใด”
พระชายาคังอ๋องหันหน้ากลับไป จ้องมองดูโคมไฟที่อยู่อีกฝั่ง สีหน้าผิดหวังปรากฏขึ้นแวบหนึ่งก่อนจะจางหายไป
แน่นอน สีหน้าท่าทางเช่นนั้น นอกจากโคมไฟที่อยู่อีกฝั่งกับเงาจันทร์เหนือผิวน้ำแล้วก็ไม่มีผู้ใดเห็นอีก
นางเงยหน้าขึ้น แหงนหน้ามองจันทร์กระจ่าง ถอนหายใจออกมาเงียบๆ เอ่ยปากอย่างยากลำบาก “หลังจากกันตอนเทศกาลจงชิวครานั้น พวกเราก็ไม่ได้พบเจอกันเลยถึงห้าเดือนเต็ม ยามนี้กว่าจะได้พบเจอกันสักครั้งนายท่านกลับเอ่ยปากเข้าเรื่องทันที ไม่แม้แต่จะถามผู้น้อยสักคำว่าช่วงนี้เป็นเช่นไร”
นางลุกขึ้นยืน ท่าทีคล้ายเจ็บปวดใจ กระโปรงผ้าพลิ้วไหวตามลม สายรัดเอวไหวสะบัด เส้นผมขยับไหวน้อยๆ แสงจันทร์สาดลงบนอาภรณ์สีเขียว อาบไล้อยู่ทั่วทั้งร่าง แลดูงดงามชวนให้คนที่ได้เห็นสติสัมปชัญญะเลอะเลือน
สายตาของชายผู้นั้นกลับกลายเป็นหลงใหลขึ้นมาอีกคราว คล้ายถูกนางดึงดูดไว้จนสิ้น แต่ถึงกระนั้นเท้าของเขาก็ราวกับถูกตรึงไว้ ร่างกายหยุดนิ่งไม่ขยับ
“ข้าเองก็คิดถึงเจ้า กลัวว่าฤดูหนาวนี้เจ้าจะโดดเดี่ยวเดียวดาย เกรงว่าเจ้าจะทนทำงานหนักไม่ไหว กลัวเจ้าจะเจ็บหลังเจ็บเอวขึ้นมาอีก” เขาถอนหายใจออกมายาวๆ สีหน้ากลัดกลุ้มลำบากใจอยู่หลายส่วน “เพียงแต่ยามนี้มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย องค์หญิงใหญ่กับซิงจี้ป๋อก็ต่างล้วนกระทำความผิด คิดดูว่าพวกเขาก่อนหน้านี้มีชื่อเสียงเกียรติยศมีอิทธิพลเพียงใด ยามนี้จู่ๆ ก็ล้มลงเสียดื้อๆ เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาททรงจัดการกับพวกเขารุนแรงฉับพลันยิ่ง”
พอพูดถึงตรงนี้เขาก็ถอนหายใจออกมาอีกคราว น้ำเสียงแผ่วเบายิ่งกว่าเดิม “ยามนี้ผู้คนในราชสำนักต่างพากันระวังตัวแจ การตรวจสอบจากทางด้านนอกหรือก็เป็นไปอย่างเข้มงวดกวดขัน ที่ข้าระมัดระวังเช่นนี้ก็เพราะกลัวทำเสียเรื่อง”
เขาเงยหน้ามองจันทร์ประหนึ่งทอดถอนใจไม่รู้สิ้น หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็หันมองมาทางพระชายาคังอ๋อง สายตาฝากแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกลึกล้ำ “เจ้าเองก็รู้ใจข้ามาตลอด ข้าหาได้กลัวว่าจะเกิดเรื่องกับตนเองไม่ ต่อให้เกิดเรื่องกับตระกูลข้าทั้งตระกูล ข้าก็หาได้ใส่ใจ ที่ข้ากลัวที่สุดคือพลอยทำเจ้าลำบากไปด้วยต่างหาก”
เขาขยับเท้าขึ้นหน้าครึ่งก้าวคล้ายไม่อาจควบคุมอารมณ์ความรู้สึกที่มีอยู่เต็มอกนั้นได้อีกต่อไป
นั่นเป็นครึ่งก้าวที่ระแวดระวังอย่างยิ่งยวด คล้ายกลัวเหยียบถูกกับระเบิด แต่ถึงกระนั้นน้ำเสียงของเขากลับจริงจังยิ่งคล้ายต้องการควักหัวใจออกมาให้อีกฝ่ายดู “นับแต่พบเจอเจ้าในยามนั้น เจ้าก็อยู่ในใจข้ามาโดยตลอด ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่อาจลืมเลือน ข้าไม่ปรารถนาจะให้มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับเจ้า หากเพราะข้าทำให้เจ้าต้องลำบากไปด้วย เช่นนั้นแม้ตายหมื่นครั้งข้าก็คงไม่อาจปฏิเสธความผิดได้”
เงาร่างของพระชายาคังอ๋องขยับไหว
จากจุดที่ชายผู้นั้นยืนอยู่ นางในยามนี้คล้ายหวั่นไหวไปกับคำพูดของเขา เนื้อตัวสั่นสะท้านด้วยเพราะปลื้มปีติยินดี
ทว่าหากเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้านางจะเห็นได้ว่ามุมปากของนางกำลังยกโค้งเผยให้เห็นรอยยิ้มเหยียดหยัน
“ความรู้สึกลึกล้ำของนายท่านเช่นนี้ผู้น้อยไหนเลยจะรับไหว” นางกล่าว เห็นได้ชัดว่าดวงตาของนางเต็มไปด้วยสายตาหยอกเย้า ทว่าน้ำเสียงกลับแฝงไว้ซึ่งน้ำตาคล้ายซาบซึ้งเจียนร่ำไห้
น้ำเสียงของชายผู้นั้นอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม “ขอเพียงเจ้ารู้ใจข้า เท่านั้นข้าก็พอใจแล้ว”
เมื่อพูดจบเขาก็เงยหน้ากวาดตามองไปรอบๆ ใบหน้ายังคงปรากฏริ้วรอยวิตกกังวลทว่าน้ำเสียงกลับละมุนละไม “ช่างเถอะ เจ้าว่ามา เจ้าตามหาข้ามีเรื่องอันใด”
คล้ายกลัวพระชายาคังอ๋องไม่พอใจ เขาจึงรีบกล่าวอธิบายเพิ่มออกมาอีกประโยค “ไม่ใช่ว่าข้าเร่งพระชายา ทว่าข้ายังมีนัดอีก หากไปสายย่อมไม่ใช่เรื่องดี พระชายามีเรื่องอันใดก็กล่าวออกมาเถิด ขอเพียงข้าทำได้ ข้าย่อมต้องจัดการให้”
“จริงกระนั้นหรือ” จู่ๆ พระชายาคังอ๋องก็หันหน้ากลับมา ใบหน้าคล้ายตกตะลึงคล้ายยินดี คล้ายหลงใหลคล้ายลุ่มหลง ดวงตางดงามอ่อนโยนนั้นคล้ายสามารถทำคนใจละลายได้
ชายคนดังกล่าวคล้ายถูกนางทำสติสัมปชัญญะเลอะเลือนสิ้น เขาเอ่ยวาจาด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม “เจ้าข้าคบหากันมานานปี ข้าเคยโกหกหลอกลวงเจ้าหรือไร”
พระชายาคังอ๋องครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้าพึงพอใจ “ที่ท่านพูดมาก็จริง ท่านไม่เคยโกหกข้ามาก่อน”
นางพูดพลางเดินขึ้นหน้าคล้ายปรารถนาจะเข้าใกล้
ชายคนดังกล่าวกลับตกใจหน้าถอดสี เขาชักเท้าถอยหลังสองก้าว ซ่อนเงาร่างอยู่ท่ามกลางความมืด เอ่ยวาจาอย่างร้อนรน “อยู่ให้ห่างข้าสักหน่อย”
พระชายาคังอ๋องยั้งเท้า ชายหนุ่มเอ่ยปากร้อนรน “คืนนี้มีงานเฉลิมฉลอง ฝั่งกระโน้นหรือก็มีโคมไฟ หากพวกเฝ้าสวนมาดูโคมไฟ เห็นพวกเราเข้าคงยุ่งยากไม่ใช่น้อย”
เขาพูดพลางชะโงกมองไปรอบๆ คล้ายหากเกิดเรื่องอันใดขึ้นเขาจะได้วิ่งหนีเข้าไปในป่าได้ทัน
พระชายาคังอ๋องยกมือแตะจอนผม ปิดบังความรู้สึกอับจนที่ปรากฏอยู่ในสายตา
หลังจากนั้นนางก็ลดมือลง ที่สะท้อนอยู่ภายใต้แสงจันทร์คือใบหน้ากลัดกลุ้ม หัวคิ้วขมวดอยู่ด้วยกัน นัยน์ตาเปียกชื้น ชวนให้คนนึกเอ็นดูสงสาร
“เป็นความผิดของผู้น้อยเอง ด้วยเพราะอารมณ์ชั่ววูบทำให้ลืมนึกถึงความลำบากของนายท่าน ในเมื่อเป็นเช่นนี้นายท่านก็ตามผู้น้อยเข้าไปในห้อง นั่งพูดคุยกันอยู่ที่นั่นดีหรือไม่” นางเอ่ยวาจาอ่อนโยนพลางยิ้มขื่น เอ่ยปากเย้ยหยันตนเอง “ผู้น้อยไม่มีหนทางใดรั้งนายท่านไว้ ได้แต่หวังว่าจะสามารถอาศัยการพูดคุยนี้ปลอบประโลมความคิดคำนึง”
คำพูดนี้ความหมายชัดแจ้งยิ่งนัก ทว่านางกลับกล่าวออกมาได้เหมาะเจาะเหมาะสมยิ่ง อีกทั้งยังเป็นธรรมชาติยากจะบรรยาย รู้สึกได้ก็แต่อารมณ์ปฏิพัทธ์ ยากเกินกว่าจะยั้งใจไม่ให้คิดไปต่างๆ นานา
ชายคนดังกล่าวในที่สุดก็หวั่นไหว สายตากวาดมองไปยังเรือนร่างงดงามของอีกฝ่ายพลางพยักหน้าชื่นชม “น้อยนักที่เจ้าจะมีอารมณ์สนุกสนานเช่นนี้ ก็ดี เช่นนั้นพวกเราก็เข้าห้องไปกันเถอะ”
เขาพูดพลางหันหลังมุ่งหน้าไปยังเรือนหลังเล็ก ฝีเท้าเร่งร้อนคล้ายกระวนกระวายใจยิ่ง
พระชายาคังอ๋องสองตาเป็นประกาย เดินตามอีกฝ่ายไป
เรือนหลังเล็กนั่นอยู่ห่างจากริมฝั่งไปไม่ไกล แค่เดินตามเส้นทางหินเขียวครามไปจนสุดก็ถึงแล้ว
ทั้งสองคนหนึ่งหน้าคนหนึ่งหลัง เดินตามกันไปเงียบๆ เพียงไม่นานก็มาถึงหน้าประตูไม้ ขณะที่ชายผู้นั้นยื่นมือผลักประตู พระชายาคังอ๋องก็เดินช้าลง รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ภายใต้แสงจันทร์เย็นยะเยือกงดงามรอยยิ้มดังกล่าวแลดูแปลกประหลาดอยู่หลายส่วน
บทที่ 680 การแสดงจบผู้คนแยกย้าย
บุรุษที่เดินอยู่ทางด้านหน้าไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทางด้านหลังแม้แต่น้อย และยิ่งไม่เห็นรอยยิ้มเย้ยหยันของพระชายาคังอ๋อง
มือของเขายามนี้วางอยู่บนประตูไม้ แค่ออกแรงเพียงน้อยก็สามารถผลักประตูเดินเข้าไปด้านในได้
ทว่าในตอนนั้นเองจู่ๆ ทุกอย่างก็หยุดนิ่ง
มือของเขาวางอยู่บนประตูไม้ แต่กลับไม่ออกแรงผลัก ไม่แม้แต่จะหันร่างกลับมา ทำเพียงยืนหันหลังให้พระชายาคังอ๋อง เงาไม้บดบังใบหน้าไม่อาจเห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกอันใด
เขายืนอยู่เช่นนั้นคล้ายถูกคนสกัดจุดไม่อาจเคลื่อนไหว
พระชายาคังอ๋องอยู่ห่างจากเขาไปทางด้านหลังสองสามก้าว ยามนี้นางเองก็ชะงักเท้าลงเช่นกัน สีหน้าเคลือบแคลงสงสัย หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งนางก็อ้าปากหมายกล่าวอะไรบางอย่าง
นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายกลับชิงเปิดปากขึ้นก่อน
“พระชายา หลายปีมานี้ข้านับว่าปฏิบัติต่อท่านไม่เลว” เขากล่าวพลางชักมือกลับ ยืนกุมหมัดแน่น เงาร่างสูงใหญ่ครึ่งหนึ่งอาบอยู่ใต้แสงจันทร์ครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ใต้เงาไม้แลดูเย็นชาอยู่หลายส่วน
พระชายาคังอ๋องสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กๆ
เสียงของชายผู้นั้นดังขึ้นอีก ท่ามกลางค่ำคืนเงียบเหงาฟังดูทุ้มต่ำอย่างบอกไม่ถูก “ข้าปฏิบัติต่อท่านด้วยใจจริง ไม่ว่าพระชายาจะคิด พูด หรือปรารถนาสิ่งใดข้าล้วนพยายามช่วยให้ท่านสามารถบรรลุความต้องการอย่างสุดความสามารถ พระชายาว่าใช่หรือไม่เล่า”
ดวงตาของพระชายาคังอ๋องเปล่งประกายวับวาว คำพูดที่ออกจากปากกลับอ่อนโยนคล่องแคล่ว ไม่มีทีท่าหวาดหวั่นแม้แต่น้อย “แน่นอนอยู่แล้ว หลายปีมานี้หากไม่มีนายท่านคอยสอดประสาน พวกเราแม่ม่ายลูกกำพร้าเกรงว่าคงตายไปนานแล้ว นายท่านเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิต ผู้น้อยชาตินี้ย่อมระลึกถึงน้ำใจของนายท่านไม่มีวันลืม”
“เอ๋?” เขาย้อนถาม ลากหางเสียงยาวเหยียดแฝงไว้ซึ่งน้ำเสียงเย้ยหยันรุนแรง กลิ่นอายบนร่างจู่ๆ ก็กลับกลายเป็นหนาวสะท้าน
“ในเมื่อข้าเป็นผู้มีพระคุณ เช่นนั้นในสายตาของพระชายาคงไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ที่คิดจะฆ่าก็ฆ่ากระมัง” เขาเอ่ยปากเน้นทุกถ้อยคำก่อนจะหันกลับมาช้าๆ ใบหน้าที่แลดูธรรมดาๆ นั้นไม่ทั้งทุกข์ไม่ทั้งสุข ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกลุ่มหลงหัวปักหัวปำก่อนหน้านี้ ทั้งหมดเป็นก็แค่การแสดงฉากหนึ่งเท่านั้น
เขาเล่นละคร ส่วนนางก็สมัครใจร่วมเล่นเป็นเพื่อน
ทว่าละครที่เล่นมาสิบกว่าปีนี้ ยามนี้ถึงคราแยกย้ายแล้ว
เขาส่งเสียงหัวเราะแผ่วเบา เสียงหัวเราะนี้เย็นยะเยือกเสียดกระดูกไม่คล้ายเสียงคน
ชายหน้าตาธรรมดาๆ ผู้นี้ยามนี้แลดูเปล่าเปลี่ยวอยู่หลายส่วน
ทว่านั่นก็แค่เรื่องประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น
แค่ชั่วระยะเวลาเพียงอึดใจ เสียงหัวเราะนั่นก็หยุดลง เสียงพูดดังขึ้นอีกครั้ง
“หรือบางทีด้วยเพราะพระชายารักข้าล้ำลึก ก่อนจากไปจึงจำเป็นต้องแทงข้าสักหน่อยก่อน ตอบแทนมิตรภาพตลอดหลายปีมานี้ของพวกเรา” เขาสะบัดแขนเสื้อ ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง กุ๊นขอบสีเงินบริเวณปลายแขนส่องประกายระยิบระยับ แลดูไม่ต่างอันใดกับระลอกน้ำกระเพื่อมไหวสับสน
เขาในยามนี้สุขุม สงบนิ่ง ไม่รีบไม่ร้อน
ใบหน้าของพระชายาคังอ๋องกลับกลายเป็นซีดเผือดอย่างรวดเร็ว นางตะลึงมองดูเขา หลังจากผ่านไปสองสามอึดใจ จู่ๆ ร่างกายของนางก็ค่อยๆ ผ่อนคลาย
“ที่แท้ท่านก็รู้อยู่แต่แรกแล้ว” นางยิ้มส่ายหน้าคล้ายเย้ยหยันตนเองคล้ายดูแคลน คิ้วเลิกขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ชื่นชอบสนุกสนาน “ท่านรู้ได้เช่นไร”
“พระชายาตอบคำถามข้าก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า” ชายคนดังกล่าวไม่สนใจนาง สายตาที่มองมานั้นเย็นชาไม่ต่างอะไรกับเสียงพูดของเขา
“เจ้าต้องการฆ่าข้าใช่หรือไม่”
“ถูกแล้ว” พระชายาคังอ๋องแย้มยิ้มงดงาม ใบหน้าของนางอาบไล้อยู่ใต้แสงจันทร์ ขาวสล้างไร้ตำหนิ แต่กลับเย็นชาดั่งฉาบไว้ด้วยเกล็ดน้ำแข็ง
“หากไม่มีใจข้าย่อมขอเลิกรา ในเมื่อนายท่านมีใจเป็นอื่น เช่นนั้นข้าก็ต้องชิงลงมือก่อน” นางเก็บรอยยิ้มและมองดูอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา “ยิ่งไปกว่านั้น นายท่านเองก็เตรียมทางหนีทีไล่ไว้เช่นกันไม่ใช่หรือไร”
“ข้าทำเช่นนั้นก็เพื่อป้องกันตัว!” ชายผู้นั้นระเบิดเสียงคล้ายสิ้นความอดทน แม้จะไม่ดังนักแต่ก็ยังคงเรียกว่าตวาดได้อยู่ “ข้าก็แค่เตรียมการเท่านั้น แต่เจ้ากลับคิดลงมือเอาชีวิตข้า”
“แต่ตอนนี้ท่านก็ยังไม่ตายมิใช่หรือไร” พระชายาคังอ๋องยกแขนเสื้อขึ้น สีหน้าแน่วแน่มุ่งมั่น “อีกอย่างทางหนีทีไล่ที่ท่านพูดถึงนั่นคือเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า นายท่านไม่รู้หรือไร”
จู่ๆ นางก็สีหน้าเคร่งขรึม สายตาคมกริบดั่งมีด “ท่านเอาพวกหลี่เอ๋อร์ไปซ่อนไว้ที่ใด ท่านกักตัวลูกของข้าไว้เพราะประสงค์สิ่งใดกันแน่ แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวท่านก็สมควรถูกฆ่าแล้ว”
“ก็เพราะเจ้าเป็นเช่นนี้ข้าถึงไม่อาจไม่ป้องกันตัว!” ชายคนดังกล่าวหน้าตาแดงก่ำ สองตาโกรธเกรี้ยวเดือดดาล “ดูท่าข้าคิดไม่ผิดจริงๆ หากข้าไม่รู้จักระแวดระวังป่านนี้ข้าคงตายไปนานแล้ว เจ้าอดทนพร่ำพูดอยู่กับข้าเช่นนี้ คงคิดล่อข้าเข้าไปในเรือนน้อย บีบบังคับให้ข้าพูด หลังจากนั้นค่อยฆ่าข้าปิดปากกระมัง! ที่เจ้ายอมให้ข้ามีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้มิใช่เพราะข้าเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ก่อนหรือไร”
ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งเดือดดาล หูตาจมูกคิ้วคางแทบจะบิดเบี้ยวไปพร้อมกัน
พระชายาคังอ๋องจ้องเขาเขม็งคล้ายกำลังชื่นชมสีหน้าที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่าย
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่นางก็หลุดหัวเราะออกมาคราหนึ่ง เอ่ยปากเกียจคร้าน “ช่างเถอะ ถกเถียงกันถึงเรื่องนี้ตอนนี้ออกจะเร็วเกินไปหน่อย ท่านตอบคำถามที่ข้าถามก่อนหน้านี้เถอะ ท่านรู้ได้เช่นไร”
ตอนพูดสีหน้าของนางสงบนิ่งราวกับรู้คำตอบอยู่ก่อนล่วงหน้าแล้ว
ชายคนดังกล่าวจ้องดูนางด้วยสายตาเดือดดาล ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นคล้ายตัดสินใจจะไม่เปิดปาก
ทั้งสองสบตากัน ฝ่ายหนึ่งเย็นฝ่ายหนึ่งร้อน ไม่มีใครยอมใคร ในอากาศราวกับจะได้ยินเสียงเผียะผะ
สุดท้ายพระชายาคังอ๋องก็ยิ้มขึ้นก่อน “เอาล่ะๆ ข้าพูดออกมาตรงๆ เลยก็แล้วกัน ไม่เสียเวลาพูดจาวกไปวนมากับท่านแล้ว ไป๋เหล่าเฉวียนเป็นคนบอกให้ท่านรู้ใช่หรือไม่” นางชักสายตากลับ ปัดเสื้อผ้าอาภรณ์แผ่วเบา ทว่าหางตากลับยังคงจับจ้องอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่ายไม่เลิก
ชายผู้นั้นยังคงนิ่งเงียบ รูม่านตาหดลงเล็กน้อย
พระชายาคังอ๋องกับเขาร่วมเรียงเคียงหมอนมานานหลายปี ต่างฝ่ายต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เห็นปุ๊บก็รู้ได้ทันที ไม่ผิดจากที่คาดไว้
ทันใดนั้นความรู้สึกโกรธขึ้งก็ถาโถมขึ้นภายในใจ นางใบหน้าเขียวคล้ำขึ้นมาทันที
ว่ากันตามหลักแล้ว นางไม่ควรนึกโกรธ
แต่ไหนแต่ไรเรื่องนี้ก็อยู่ในความคาดหมายของนาง
ไป๋เหล่าเฉวียนเป็นคนโลภโมโทสัน โหดเหี้ยมอำมหิต ไม่มีคุณธรรมสัจธรรมอันใดให้พูดถึง ก่อนหน้านี้เขาเป็นก็แค่คนที่ทำมาหากินอยู่ในยุทธภพเท่านั้น ต่อมาที่ยอมเข้ามาทำงานรับใช้นางก็ด้วยเพราะเห็นแก่ที่มีคนให้ฆ่ามีเงินให้ใช้ก็เท่านั้น
ยามนี้สถานการณ์ที่ซานตงไม่สู้ดีนัก พวกเขาเองก็ยากจะปกปักรักษาตัวได้ ไป๋เหล่าเฉวียนตีตัวออกหากนั่นก็เป็นไปตามนิสัยของเขา หามีอันใดนอกเหนือความคาดหมายไม่
เพียงแต่คำว่า ‘ไม่นอกเหนือความคาดหมาย’ กับ ‘พบเห็นเองกับตา’ นั้น ไม่ว่าเช่นไรก็ยังมีความต่าง พระชายาคังอ๋องสุดท้ายก็ไม่อาจระงับความรู้สึกโกรธขึ้งเอาไว้ได้
หลายปีมานี้นางใช้เงินไปกับไป๋เหล่าเฉวียนไม่ใช่น้อย ทว่าสุดท้ายเขากลับทำตัวเป็นสุนัขเลี้ยงไม่เชื่อง
หลังจากสูดหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่สองสามที พ่นลมหายใจขุ่นข้องออกมา พระชายาคังอ๋องก็สีหน้าผ่อนคลายยิ้มแย้มเอ่ยปาก “อา ข้านึกอยู่แล้วเชียวว่าต้องเป็นเขา เหล่าไป๋ผู้นี้นั่งไม่ติดเก้าอี้จริงๆ ทว่า…”
นางชำเลืองตามองไปยังบุรุษผู้นั้นด้วยท่าทีงดงามพลางยกแขนเสื้อขึ้นปิดปากกล่าว “ทว่ารายหนึ่งคนถ่อย รายหนึ่งคนขลาด พวกท่านสองคนอยู่ด้วยกันจะว่าไปก็เหมาะสมกันยิ่งนัก”
“คำพูดของพระชายานี้ยกย่องผู้น้อยเหล่าไป๋เกินไปแล้ว” จู่ๆ น้ำเสียงดั่งฆ้องแตกก็ดังขึ้น เงาร่างผอมสูงพิลึกพิลั่นของไป๋เหล่าเฉวียนปรากฏขึ้นไม่ต่างอันใดกับภูตผี
แผนการเดิมของพระชายาคังอ๋องคือให้ไป๋เหล่าเฉวียนนำพาลูกน้องซุ่มซ่อนอยู่ในเรือนน้อย ทันทีที่อีกฝ่ายเข้าไปก็ให้ลงมือจับกุมตัวเขาไว้ ก่อนจะพาไปด้วยแล้วระหว่างทางค่อยๆ บีบบังคับสอบถามเขาถึงที่อยู่ของจวิ้นอ๋องน้อยกับจวิ้นจู่น้อย เสร็จแล้วค่อยฆ่าคนปิดปาก
ยามนี้ไป๋เหล่าเฉวียนกลับทรยศ คนที่ติดกับกลับเป็นพระชายาคังอ๋องเสียเอง
“ในที่สุดท่านก็โผล่หน้าออกมา ไฉนถึงไม่ปล่อยให้ข้าได้ทายต่ออีกสักครู่เล่า” พระชายาคังอ๋องมองดูไป๋เหล่าเฉวียน สีหน้ายังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ดวงตาวับวาวเรียวโค้งอยู่น้อยๆ
* ชาวจีนสมัยโบราณมีความเชื่อว่าในคืนสิ้นปีจะมีสัตว์ประหลาดชื่อว่า ‘เหนียน’ (แปลว่าปี) มาทำร้ายผู้คน จึงไม่ยอมนอนในคืนนี้เพื่อรอขับไล่ตัวเหนียนไป กลายเป็นธรรมเนียมการอยู่โต้รุ่งตลอดคืน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 มิ.ย. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.