บทที่ 681 หนึ่งธนูจากประจิม
ไป๋เหล่าเฉวียนพลิกข้อมือ มีดสั้นพลันปรากฏอยู่ในกำมือ
เขายกมันขึ้นแตะริมฝีปาก แลบลิ้นเลียอยู่สองสามทีก่อนจะฉีกปากกล่าว “พูดกันจนถึงเพียงนี้แล้ว ข้ายังจะซ่อนตัวอีกเพื่ออันใด!”
เขา “ทุด” ถ่มน้ำลายข้นๆ ลงพื้นคราหนึ่ง ประสานมือเยี่ยงอันธพาล “ต้องขออภัยด้วย นับแต่วันนี้เป็นต้นไป นายท่านของข้าก็คือคนผู้นี้ ใครใช้ให้ชาวบ้านยอมจ่ายเงินมากกว่าเล่า”
เขายิ้มจนเห็นฟันเหลืองเต็มปากพลางโบกมือ
พึ่บ
เสียงแขนเสื้อสะบัดดัง ชายในอาภรณ์ทะมัดทะแมงเจ็ดแปดนายกระโจนออกมาจากในลาน ประสานมือแสดงคารวะต่อชายผู้นั้น “คารวะนายท่าน”
ชายคนดังกล่าวสีหน้าเรียบเฉย ยกแขนเสื้อขึ้นอย่างไม่อินังขังขอบ
ภายใต้การนำของไป๋เหล่าเฉวียน พวกเขาขยับกายรุกคืบขึ้นหน้าตรงไปทางพระชายาคังอ๋อง
“ถึงพระชายาจะทรยศข้า แต่ข้าก็จะไม่ทำอันใดท่าน” ชายคนดังกล่าวพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สองแขนไพล่อยู่ทางด้านหลังท่วงทีสุขุม “เพียงแต่คงต้องให้พระชายาลำบากสักสองสามวันเพื่อล่อคนผู้หนึ่ง”
จู่ๆ เขาก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่งคล้ายจนใจ “เจ้าตาเยี่ยงอสรพิษนั่น…อา…ควรต้องเรียกเสิ่นจิ้งจือ แม่ทัพเสิ่นสินะ คนผู้นี้ไม่ต่างอันใดกับเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง* ไม่ว่าจะพยายามควานหาตัวเช่นไรก็หาตัวเขาไม่พบ หากไม่เห็นเขาตายกับตาข้าเกรงว่าจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ”
เขาส่ายหน้ายื่นมือออกมาลูบแขนเสื้อ มุมปากยกยิ้มน้อยๆ “โชคดีที่ในมือข้ายังมีพระชายา มีท่านอยู่ ข้าไหนเลยจะยังต้องกังวลว่าเขาจะไม่ปรากฏตัว”
พระชายาคังอ๋องมองดูเขาด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้าขาวสะอาด ดวงตาฝากแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกเดือดดาล แต่ถึงกระนั้นนางก็มิได้พูดอันใด
ยามนี้พวกไป๋เหล่าเฉวียนห้อมล้อมนางไว้เป็นที่เรียบร้อย ทว่านางกลับไม่มีท่าทีตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น ไม่แม้แต่จะหลีกหนีหรือหลบเลี่ยง ทำเพียงยืนตัวตรง สายรัดเอวปลิวไสว เสมือนเทพธิดาอาบไล้แสงจันทร์
ไป๋เหล่าเฉวียนจ้องนางเขม็ง จู่ๆ เขาก็รู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งแผ่นหลังขนลุกตั้งชัน
เพียงชั่วพริบตา ยังไม่ทันจะได้คิดอะไร ร่างของเขาก็พุ่งทะยาน กดบุรุษในอาภรณ์ผ้าดิ้นลงกับพื้น เอ่ยปากเสียงแผ่ว “ศัตรู”
แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงปล่อยสายธนูแผ่วเบาก็ดังลอยมาจากป่าลึก
ฟุ่บ…
ใต้แสงจันทร์ท่ามกลางสายลม ธนูเหล็กดอกหนึ่งพุ่งผ่านหนังหัวของไป๋เหล่าเฉวียนไป
ฉึก!
ปักตรึงอยู่บนต้นไม้ ตัวธนูจมหายเข้าไปกว่าครึ่ง ขนสีขาวที่ปลายธนูกระเพื่อมไหวไม่หยุด
ไป๋เหล่าเฉวียนตกใจเหงื่อเย็นไหลท่วมทั่วทั้งร่าง
หากมิใช่เขาการตอบสนองรวดเร็ว เกรงว่าธนูดอกนั้นคงปลิดชีวิตเขาไปแล้ว
“เหล่าไป๋ฝีมือดียิ่งนัก” พระชายาคังอ๋องยิ้มเอ่ยปากชื่นชมออกมาประโยคหนึ่ง สายตาแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกเสียดาย
หากสามารถสังหารหัวหน้าศัตรูได้ภายใต้ธนูดอกเดียว เช่นนั้นยามนี้นางต้องเป็นฝ่ายกำชัยแล้วแน่ๆ น่าเสียดาย เหล่าไป๋ฝีมือไม่ธรรมดาจึงหลบรอดไปได้
ในใจถึงจะคิดเช่นนี้ ทว่าสีหน้าของนางกลับไม่ปรากฏความรู้สึกอันใด มีก็แต่เพียงรอยยิ้มจางๆ สงบนิ่งไม่มีทีท่าหวาดหวั่น ยิ่งกว่าเดินเล่นอยู่ในลานใหญ่
ส่วนชายในอาภรณ์ผ้าดิ้นผู้นั้นยามนี้ตกใจจนหน้าถอดสี ขดกายเนื้อตัวสั่นสะท้านอยู่ข้างไป๋เหล่าเฉวียน เงาร่างสูงใหญ่งอค้อมหมดสิ้น ไหนเลยจะยังมีกำลังแรงใจอันใดอีก
“คุ้มครองนายท่าน!” ไป๋เหล่าเฉวียนกระชากอีกฝ่ายไปทางด้านหลัง ดวงตาสามเหลี่ยมคว่ำกลับกลายเป็นดุดัน พลิกมือกุมมีด มืออีกข้างยื่นไปที่ข้างเอว ก่อนที่ดาบโค้งเล่มหนึ่งจะปรากฏ
ดาบโค้งนี้ขนาดไม่ยาว ปลายแหลม ส่องประกายสีดำเข้มอยู่ใต้แสงจันทร์ แค่ดูก็รู้แล้วว่าอาบยาพิษไว้
ดูท่ามีดสั้นหนึ่งตรงหนึ่งโค้งนี้จะเป็นอาวุธประจำกายของเขา
ยามนี้กำลังคนของเขากำลังถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว ห้อมล้อมชายในอาภรณ์ผ้าดิ้นไว้ตรงกลาง
“เหล่าไป๋ หากเมื่อครู่เจ้าตาย ยามนี้คงไม่ยุ่งยากเช่นนี้แล้ว” พระชายาคังอ๋องเอ่ยปากติติง สีหน้าคล้ายดรุณีน้อยไร้เดียงสา ท่าทีตระหนกตกใจเมื่อครู่คล้ายเป็นก็แค่ละครบทหนึ่งเท่านั้น
“ฮ่าๆ” ไป๋เหล่าเฉวียนหัวเราะพิลึกพิลั่น “คิดเอาชีวิตข้าไป๋เหล่าเฉวียนหาได้ง่ายดายเช่นนั้นไม่”
แม้จะพูดเช่นนั้นทว่าดวงตาสามเหลี่ยมคว่ำของเขากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกระแวดระวัง สีหน้าท่าทางมิได้ผ่อนคลายดั่งคำพูด
“ช่างเถอะ ผู้คนล้วนบอกว่า ‘คนดีอายุสั้น คนชั่วอายุยืน’ เหล่าไป๋ได้รับความเอ็นดูจากสวรรค์เยี่ยงนี้ ข้าเองก็จนปัญญา” พระชายาคังอ๋องยิ้มแย้มงดงาม นางปรบมือเบาๆ คราหนึ่ง
แม้จะแผ่วเบา ทว่าท่ามกลางราตรีเงียบสงัด มันกลับคล้ายดังลอยออกไปไกล
ทันทีที่เสียงปรบมือดังขึ้น เสียงฝีเท้าสวบสาบก็ดังตามมา เพียงไม่นานชายชุดดำปิดหน้าปิดตาก็กรูกันออกมาจากป่า คุ้มกันพระชายาไว้ทางด้านหลัง
จู่ๆ สถานการณ์ก็พลิกผันกลับกลายเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่ชายในอาภรณ์ผ้าดิ้นรุกอยู่เพียงฝ่ายเดียว ทว่ายามนี้ทั้งสองฝ่ายกลับคุมเชิงซึ่งกันและกัน
“ที่แท้เจ้าก็เตรียมการไว้เพียงนี้” ชายคนดังกล่าวกัดฟันพูด ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเคียดแค้นชิงชัง
“ใช่แล้ว” พระชายาคังอ๋องสะบัดแขนเสื้อยิ้ม สายตากวาดมองไปทางไป๋เหล่าเฉวียน เอ่ยวาจาเย้ยหยันกลายๆ “เหล่าไป๋ ข้าไม่เคยเชื่อถือไว้วางใจเจ้าเลยแม้แต่น้อย รู้สึกอยู่ตลอดว่าคนเช่นเจ้าไม่อาจเชื่อใจ ดังนั้นถึงเผยแผนการให้เจ้าล่วงรู้ หลังจากนั้นก็ให้คนคอยจับตาดู สุดท้ายเจ้าก็ทรยศหักหลังข้าจริงๆ ไม่ผิดจากคำพูดที่ว่าคนชั้นต่ำย่อมกระทำเรื่องน่าละอายเลยแม้แต่น้อย”
ไป๋เหล่าเฉวียนหัวเราะพิลึกพิลั่นออกมาอีกสองครา ทว่าดวงตากลับฉายแววระแวดระวัง เขาไม่สนใจนาง ทำเพียงหันไปกระซิบบอกกับบุรุษผู้นั้นอย่างรวดเร็ว “นายท่าน ด้านในมีคนของเสิ่นจิ้งจืออยู่กว่าครึ่ง ตะลุยฝ่าออกไปไม่ง่าย”
นี่เป็นคำพูดของคนในยุทธภพ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังฟังเข้าใจ ชายผู้นั้นสีหน้าย่ำแย่ลงทุกที
พระชายาคังอ๋องยามนี้เป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบอยู่ ไม่ว่าจะจำนวนคนหรือทักษะล้วนเหนือกว่าเขาทั้งสิ้น
ใบหน้าของเขาเขียวคล้ำ สายตากระวนกระวายกวาดมองไปรอบๆ คล้ายกำลังมองหาลู่ทางฝ่าออกไป
เห็นใบหน้าตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูกของอีกฝ่าย รอยยิ้มบนใบหน้าของพระชายาคังอ๋องก็ยิ่งปรากฏชัด
นางย่างเท้าขึ้นหน้าเชื่องช้า ยืนอยู่หน้าชายปิดหน้าปิดตาเหล่านั้น เชิดคางชี้ไปทางไป๋เหล่าเฉวียน “เหล่าไป๋เอ๋ยเหล่าไป๋ เจ้าคิดว่าด้วยกำลังพลเพียงน้อยนิดพวกนั้นเจ้าจะสามารถเอาชีวิตรอดออกไปจากป่านี้ได้กระนั้นหรือ”
ไป๋เหล่าเฉวียนกลอกตาวุ่นวาย สองมือที่ถือมีดกางออกก่อนจะกุมกลับเข้าอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัวหลายครั้งหลายคราว ใบหน้าบัดเดี๋ยวมืดบัดเดี๋ยวสว่างไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“เหล่าไป๋ ข้าจะให้โอกาสเจ้า ให้เจ้ากับคนของเจ้าสามารถถอยออกไปได้อย่างปลอดภัย ไม่รู้ว่าเจ้ายินดีจะตกลงทำการค้านี้กับข้าหรือไม่” พระชายาคังอ๋องพูดเนิบๆ แต่ในเวลาเดียวกันก็คอยจับจ้องมองดูท่าทีของเขาไม่วางตา
ไป๋เหล่าเฉวียนมองดูนางด้วยสีหน้าอึมครึม จู่ๆ กล้ามเนื้อใต้คางก็กระเพื่อมไหว เห็นได้ชัดว่าตื่นเต้นยิ่ง หรือบางทีอาจบอกได้ว่ากำลังครุ่นคิด
พระชายาคังอ๋องมีแผนอยู่แต่แรกแล้ว พอเห็นเช่นนี้นางก็เอ่ยปากเตือนสติอีกฝ่ายต่อ “ข้อเสนอของข้านั้นง่ายมาก อีกทั้งยังคุ้มค่ายิ่ง แค่ใช้ชีวิตของเจ้ากับคนของเจ้าทั้งหมดพวกนั้นแลกกับเขาผู้เดียว”
นางยื่นแขนออกชี้ไปยังชายในอาภรณ์ผ้าดิ้นที่กำลังขดตัวสั่นสะท้านอยู่อีกด้าน สีหน้ากลับกลายเป็นอำมหิต “ข้าต้องการแค่เขาผู้เดียวเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ สำหรับข้าแล้วหามีความสำคัญไม่ ขอเพียงถอยจากไปเสียตอนนี้ ข้ารับรองว่าจะไม่มีผู้ใดไล่ตามเอาชีวิตพวกเจ้า”
พอพูดถึงตรงนี้นางก็ยิ้มออกมาอีกคราว ท่าทางกลับกลายเป็นผ่อนคลาย น้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนกำลังพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ “เหล่าไป๋ เจ้าเองก็รู้ หลังได้ตัวคนผู้นี้ข้าก็จะไปจากเมืองหลวงและจะไม่กลับมาอีกชั่วนิรันดร์ เพราะฉะนั้นการค้านี้เจ้าไม่ขาดทุนแม้แต่น้อย ขอเพียงเจ้าพาคนของเจ้าไปเสียแต่ตอนนี้ อาศัยฝีมือของเจ้า ชนชั้นสูงในเมืองหลวงเจ้าย่อมเลือกได้ตามสบาย”
“เหลวไหล!” ในที่สุดเหล่าไป๋ก็ปริปาก เขาร้องด่าออกมาทันที “คนในมือข้ามีเท่าใดเจ้ารู้อย่างนั้นหรือ ชนชั้นสูงในเมืองหลวงคนใดจะกล้ารับข้าไว้ หากมิใช่เขา” เขาใช้ศอกชี้ไปยังชายในอาภรณ์ผ้าดิ้นที่อยู่ข้างๆ พลางฉีกปากยิ้ม “สตรีเน่าเหม็นเช่นเจ้าเอ่ยวาจาเหลวไหลจนเคยชิน หากข้าเชื่อเจ้า แค่ชั่วพริบตาเจ้าก็ทรยศหักหลังข้าแล้ว”
บทที่ 682 คนที่น่าขัน
“เหล่าไป๋ ไฉนเจ้าถึงได้เหมือนกับนายของเจ้าเยี่ยงนี้ ขี้ขลาดไม่ต่างอันใดกับไก่เลยแม้แต่น้อย” แม้จะถูกคนด่า แต่พระชายาคังอ๋องกลับไม่นึกแยแสใส่ใจ ใบหน้างดงามเย็นชายังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
“เจ้ากล้าเดิมพันกับข้าหรือไม่” นางขยับเท้าขึ้นหน้าครึ่งก้าวปรือตาเย้ายวน น้ำเสียงหรือก็เช่นกัน “ได้ยินว่าเจ้าชอบเดิมพันสูงต่ำ เงินในมือส่วนใหญ่ล้วนหมดไปกับการพนัน ยามนี้เหตุใดไม่ลองพนันดูเล่า พนันดูซิว่าข้าจะลงมือกับเจ้าหรือไม่ พนันดูซิว่าเสิ่นจิ้งจือจะปล่อยเจ้าหรือเปล่า พนันดูซิว่าเจ้าจะหานายใหม่ขายชีวิตให้เขาได้หรือไม่”
นางสะบัดแขนเสื้อช้าๆ คิ้วดำเลิกขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากแดงระเรื่อขยับ “หากไม่กล้า เช่นนั้นก็ทิ้งชีวิตของเจ้าไว้”
แค่คำพูดแผ่วเบาเพียงประโยค ครั้นลอยเข้าหูไป๋เหล่าเฉวียน ทุกตัวอักษรกลับไม่ต่างอันใดกับอสนีบาต ระเบิดจนหนังหัวเขาชาด้านหมดสิ้น
เขาหมอบต่ำ มีดกุมอยู่ในมือ ท่าทางคล้ายพร้อมจะออกอาวุธอยู่ทุกเมื่อ ทว่าปลายเท้ากลับขยับไหวน้อยๆ ยากจะสังเกตเห็น
เขานึกลังเล หรือบางทีอาจเข้าใจได้ว่าเขาอยากมีชีวิตรอด
แน่นอน หากว่ากันตามปณิธานเดิม เขาไม่ปรารถนาเป็นคนทรยศสองครั้งสองครา
ยุทธภพเองก็มีธรรมเนียมของยุทธภพ ทรยศหักหลังผู้เป็นนายย่อมมิใช่ชื่อเสียงดีงาม
หากแค่เพียงครั้ง ยังพอยกเรื่อง ‘ออกจากโลกมืดกลับเข้าสู่ทางสว่าง’ ขึ้นมากล่าวอ้างได้ ทว่าถ้ามีครั้งที่สอง ต่อให้ไป๋เหล่าเฉวียนไม่เคยนึกสนใจเรื่องพวกนั้น ไม่ว่าเช่นไรก็ต้องครุ่นคิดพิจารณาให้ถ้วนถี่
แต่ให้ใช้ชีวิตปกป้องผู้เป็นนาย เขาก็รู้สึกว่าทำเช่นนี้ออกจะขาดทุนเกินไปหน่อย
ยังไม่ทันได้เสวยสุขกับลาภยศสรรเสริญแต่กลับต้องมาเสี่ยงตายเสียก่อน หากรู้เช่นนี้เขาจะหักหลังผู้เป็นนายเพื่ออะไร ยอมเป็นแม่ทัพใหญ่เช่นเดิมไม่ดีกว่าหรือไร
ทรยศหรือว่าไม่ทรยศ
พนันหรือไม่พนัน
ไป๋เหล่าเฉวียนสายตาจ้องนิ่งไปที่เบื้องหน้า สีหน้าแววตาเหม่อลอย มือที่กุมมีดไว้บัดเดี๋ยวก็คลายบัดเดี๋ยวก็กุมกลับไปกลับมา ปลายจมูกเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อผุดพราย
“ฮ่าๆๆ” จู่ๆ เสียงหัวเราะแผ่วเบาก็ดังขึ้น เย็นเยียบทอดยาวไม่ต่างอันใดกับเสียงภูตผีร่ำไห้
ไป๋เหล่าเฉวียนสะดุ้ง
อย่าว่าแต่เขา ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั่นล้วนต่างตกใจ
คืนค่ำเงียบสงัด จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะชวนสะพรึงดังลอยมาเช่นนี้ ใครเล่าจะไม่อกสั่นขวัญแขวน
มีเพียงพระชายาคังอ๋องเท่านั้นที่หน้าไม่เปลี่ยนสี
“ท่านหัวเราะอันใด” นางขมวดคิ้ว สายตาทอดมองไกลไปทางชายในอาภรณ์ผ้าดิ้น
เจ้าของเสียงหัวเราะที่แท้ก็คือเขานั่นเอง
“คำพูดของพระชายา ข้ามิอาจไม่ตอบ” ชายคนดังกล่าวเอ่ยปากคล้ายไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เขาไพล่มือทั้งสองข้าง เดินออกมาหยุดอยู่หน้าขบวนช้าๆ ประจันหน้าอยู่กับพระชายาคังอ๋อง
พลังอำนาจบนร่างมิได้อ่อนด้อยไปกว่านาง
“ที่ข้าหัวเราะก็เพราะรู้สึกว่าคนต่ำทรามล้วนมีเรื่องให้ขบขัน” เขาพูดขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
พระชายาคังอ๋องนึกประหวั่น
ชายที่อยู่ตรงหน้าจู่ๆ ก็คล้ายกลับกลายเป็นคนอีกผู้!
นางคล้ายไม่รู้จักเขา
ใบหน้าธรรมดาๆ คุ้นตานั้นรวมถึงดวงตาที่ร้างไร้ความรู้สึกนั่น ไม่รู้ด้วยเพราะเหตุใด ยามนี้ถึงได้ชวนขนลุกตั้งชัน นางรู้สึกเหมือนถูกสัตว์ร้ายจับจ้อง
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กุมแขนเสื้อไว้ในกำมือแน่น ช้อนตามองดูอีกฝ่าย
นางไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน สงบเยือกเย็น ไม่สะทกสะท้าน
นางถึงกับรู้สึกว่าเขาในยามนี้ต่างหากถึงจะเป็นตัวตนที่แท้จริง ส่วนชายขี้ขลาดลังเลไม่เด็ดขาดในอดีตผู้นั้นเป็นก็แค่ ‘หน้ากาก’ ของเขาเท่านั้น
เป็นหน้ากากที่ใช้หลอกลวงนางและทุกผู้คน
ฝ่ามือของพระชายาคังอ๋องเย็นยะเยือก
“พระชายาไม่รู้สึกตัวบ้างหรือไรว่าตนเองดีใจเร็วเกินไปหน่อย” ชายผู้นั้นเอ่ยปากขึ้นเป็นครั้งที่สาม สีหน้าสงบนิ่ง น้ำเสียงยิ่งเรียบเฉย
หลังจากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อ เอ่ยปากแผ่วเบาออกมาสองคำ “จัดการ”
ฟุ่บๆๆ
เสียงวัตถุแหลมๆ เล็กละเอียดดังแหวกอากาศ เพียงชั่วพริบตาลูกดอกเหล่านั้นก็ไม่ต่างอะไรกับฝูงตั๊กแตนมืดฟ้ามัวดิน พุ่งตรงเข้าใส่พวกไป๋เหล่าเฉวียน!
พระชายาคังอ๋องตกตะลึง
คนที่อยู่ด้านหลังนางก็ต่างพากันทำอะไรไม่ถูก
ลูกดอกพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนไม่มีใครได้ทันตั้งตัว ไม่ต่างอันใดกับฝนเหล็กเย็นเยียบมืดดำถาโถมเข้าใส่ฝูงชน
ฉึกๆๆ
เสียงลูกดอกแหลมๆ เสียบทะลุเนื้อดังอยู่ไม่ขาดสาย ทึบทว่ากระจ่างชัด
หน้าไม้!
พระชายาคังอ๋องรูม่านตาหดเล็กลงทันที ในที่สุดนางก็ตระหนักได้ถึงอันตราย รีบหันหลังกลับไปซ่อนตัวอยู่หลังกองกำลัง เหงื่อเย็นชุ่มโชกเต็มเสื้อ
ชายหนุ่มผู้นั้นยืนเอ้อระเหย แม้จะเห็นนางถอยออกไปแล้วแต่เขาก็ยังคงไม่ขยับ ทำเพียงไพล่มือยืนมองอยู่ไกลๆ ท่าทางอิ่มเอมใจ
แสงจันทร์ดั่งเกล็ดหิมะสาดส่องจับอยู่บนชายคาบันไดหิน ผืนน้ำที่อยู่ไกลออกไปดั่งคันฉ่อง สายน้ำใสกระจ่าง โคมไฟส่องสะท้อนอยู่เหนือผิวน้ำระยิบระยับไม่ต่างอันใดกับแสงดาว
คืนค่ำงดงาม สายลมเย็นสบาย พระจันทร์สุกสว่าง ทว่าบนทางเดินหินหน้าเรือนน้อยกลับเต็มไปด้วยศพเกลื่อนกลาด
ไป๋เหล่าเฉวียนที่เมื่อครู่ยังคุยโวโอ้อวดท่าทีเหมือนกุมสถานการณ์ทุกอย่างไว้ในกำมือ ยามนี้ร่างกลับพรุนไม่ต่างอันใดกับเม่น นอนตายอยู่กับพื้นไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องอันใดออกมาแม้แต่คำเดียว ส่วนคนของเขาก็ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตเช่นกัน
กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกสารทิศ ดุเดือดรุนแรง เลือดสีแดงฉานอุ่นร้อนหนาข้นถูกใช้ขับขานสรรเสริญต่อจันทร์กระจ่างเทศกาลโคมไฟ
“ยามนี้พระชายาคงรู้แล้วกระมังว่าเหตุใดข้าถึงได้หัวเราะ” ชายคนดังกล่าวยิ้มออกมาน้อยๆ ศพที่อยู่ทางด้านหลังเกลื่อนพื้น กลิ่นเลือดทะยานสู่ฟ้า ที่ขับดุนอยู่บนตัวเขาไม่ใช่ใบหน้ายิ้มระรื่นหล่อเหลางดงาม แต่เป็นความชั่วร้ายยากจะบรรยาย
พระชายาคังอ๋องใบหน้าซีดขาว สายตาตื่นตระหนกยากจะปิดบัง
นี่ไม่ใช่คนที่นางรู้จักผู้นั้น
ทว่าดวงตาทั้งคู่ รูปร่างนั่น น้ำเสียงที่เขาเปล่งออกมานางล้วนคุ้นเคยสนิทสนมยิ่ง
ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา คนผู้นี้เคยแนบเนื้อหนังอยู่กับนาง พลิกไปมาอยู่บนตั่งเตียง ฟังนางฉอเลาะออดอ้อน อาลัยอาวรณ์หลงใหลในตัวนาง
นางคุ้นเคยกับลมหายใจ สีหน้าท่าทาง รวมถึงความอบอุ่นอ่อนโยนยามออดอ้อน ล่วงรู้ถึงการเคลื่อนไหวเล็กๆ ตามความคุ้นชินของเขาเหล่านั้น
ยามนี้เขากำลังลูบสายรัดเอว นิ้วมือที่เปี่ยมด้วยพละกำลังนั่นกางออกหุบเข้าเหมือนอย่างที่นางคุ้นเคย
เขาเป็น ‘ชู้รัก’ ของนางมาเนิ่นนานหลายปี
ในบางแง่มุมเขาเองก็เป็นผู้ปกป้อง ใช้ฐานะต่ำต้อยแหงนเงยอ้อนวอนขอความเห็นอกเห็นใจจากนาง
ส่วนนางเองก็ใช้ร่างกาย ใช้ท่วงทีอ่อนโยนผิวเผินกับวิธีการลับๆ ล่อลวงเขา ให้เขายอมทำงานให้นาง
มีอยู่หลายต่อหลายครั้งที่นางเผลอมอบความจริงใจให้กับเขา
ยามที่เขาครุ่นคิดพิจารณาเพื่อลูกของนาง ยามเขาจัดการทำเรื่องต่างๆ ให้ นางคิดว่าความรู้สึกชอบที่นางมีให้กับเขากับความรู้สึกชื่นชอบที่เขามีต่อนางนั้นล้วนเหมือนกัน
ดังนั้นนางจึงหยิบยื่นสิ่งที่พอจะหยิบยื่นได้ออกมา ไม่ทำร้ายทำลายความอ่อนโยนเล็กๆ เหล่านั้น นางชอบเขา อาลัยอาวรณ์เขา ขณะเดียวกันก็ระแวดระวังในตัวเขา
ดวงตาของนางเบิกกว้าง เสียงที่ลั่นดังอยู่ข้างหูไม่ต่างอันใดกับภูเขาคำรามทะเลคลุ้มคลั่งกลบกลืนทุกอย่างจนหมดสิ้น
บางทีอันที่จริงนางอาจหวังอยู่เล็กๆ ว่าตนเองจะถูกความรู้สึกสับสนนี้ห่อหุ้ม ให้กาลเวลาทั้งหมดหยุดลงตรงนี้ ให้ทุกสิ่งอย่างหยุดอยู่ ณ ช่วงเวลาใกล้แจ้งแต่ยังไม่แจ้งนี้
ทว่าเสียงของเขากลับดังขึ้นอีกครั้ง
ราบเรียบไร้ความรู้สึก เขากล่าววาจาออกมาตรงๆ ราวกับที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเป็นก็แค่เพียงกระดาษโปร่งแสงแผ่นหนึ่ง ไม่อาจพลิกแพลงเป็นอื่น
“สีหน้าเช่นนี้ของพระชายา เป็นเพราะตกใจมากเกินไปหรือกำลังแสดงละครให้ข้าดูกันแน่ หรือพระชายาคิดว่าสตรีวัยกลางคนเช่นท่านจะสามารถล่มเมืองล่มแผ่นดินได้จริงๆ” ชายคนดังกล่าวเลิกคิ้วคล้ายกำลังยิ้ม สายตาที่ไม่อาจเรียกได้ว่าดุดันรุนแรงนั้นวิ่งผ่านฝูงชนก่อนจะไปหยุดอยู่บนตัวนางอย่างแม่นยำ
* เทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง หมายถึงคนที่ทำตัวลึกลับ ไม่เผยโฉมหน้าที่แท้จริง หรือว่าเห็นหน้าอยู่แวบเดียวก็หายไปแล้ว
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนมิถุนายน 66)
Comments
comments
No tags for this post.