บทที่ 1
ฮ่องเต้แห่งต้าจิ้นปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก
เซี่ยหมิงกวงขุนนางเจ้าเล่ห์แห่งยุคผู้นั้นแทบจะตายอยู่แล้ว ทว่ายังกอดตำแหน่งอัครเสนาบดีไม่ยอมปล่อย ยิ่งกว่านั้น วันนี้ยังถึงขั้นส่งฎีกาขึ้นมาบอกว่าจะมอบตำแหน่งนี้ให้กับหลานชายของตนเองเป็นผู้สืบทอด!
ไร้ยางอายเป็นเช่นไรน่ะหรือ…ก็เป็นเช่นนี้อย่างไรเล่า!
ทั่วทั้งอาณาจักรต้าจิ้น ใครบ้างไม่รู้ว่าสกุลเซี่ยมีอำนาจคับฟ้าเพียงใด ลูกหลานหลายคนในตระกูลที่เป็นญาติใกล้ชิดของเซี่ยหมิงกวงล้วนแต่ไม่เอาไหน ที่สืบสายเลือดโดยตรงก็มีเพียงบุตรชายคนเดียว ซึ่งคนผู้นั้นก็คิดแต่จะหลอมยาแสวงหาความเป็นเซียนอยู่ทุกวัน ทั้งยังลาโลกไปก่อนเขาเสียอีก มิทันได้มีบุตรชายไว้สืบสกุลเลยด้วยซ้ำ
ฮ่องเต้บีบนวดขมับ แล้วเริ่มอ่านฎีกาอย่างละเอียด จะค้นหาให้ได้ว่าที่จริงแล้วสกุลเซี่ยไปมีหลานชายตั้งแต่เมื่อใด
ที่เซี่ยหมิงกวงเล่ามาในฎีกาก็นับว่ากระจ่างชัด เขาเล่าว่าก่อนบุตรชายของตนเองจะลาโลกก็เป็นคนเจ้าสำราญผู้หนึ่ง ตอนยังหนุ่มเคยลักลอบได้เสียกับสาวชาวบ้านจนให้กำเนิดบุตรชายมาคนหนึ่ง ให้ชื่อว่า ‘เซี่ยซู’ และรับกลับมาอยู่ด้วยกันที่จวนได้แปดปีแล้ว
เดิมทีชาวบ้านทั่วไปแห่งอาณาจักรต้าจิ้นจะไม่มีการแต่งงาน เซี่ยหมิงกวงรู้สึกว่าชาติกำเนิดของหลานชายผู้นี้ออกจะต่ำต้อยไปบ้าง ไม่มีหน้ามีตาเหมือนลูกหลานขุนนางคนอื่นๆ เขาจึงไม่กล้าเปิดเผยให้ฮ่องเต้ทราบ หลังจากอบรมสั่งสอนมาหลายปี ในที่สุดก็นับว่าใช้การได้ จึงให้หลานชายเข้าสู่แวดวงขุนนางเพื่อเรียนรู้ บัดนี้เซี่ยซูได้เป็นซื่อจง ฝ่ายตรวจสอบ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์รอบคอบยิ่ง เขาจึงค่อยกล้าเปิดเผย
กล่าวโดยสรุปก็คือ เซี่ยหมิงกวงรู้สึกว่าบัดนี้ตนเองจำต้องลาจากตำแหน่งแล้ว ทว่าตำแหน่งอัครเสนาบดีนี้ไม่อาจปล่อยให้ว่างเว้นได้ ผู้อาวุโสยึดถือจิตใจที่เปี่ยมด้วยความเสียสละและคิดอุทิศตัวชนิดที่ว่าข้าไม่ลงนรกแล้วผู้ใดจะลง จึงตัดสินใจผลักดันหลานชายขึ้นสืบทอดตำแหน่งนี้ต่อ
เซี่ยหมิงกวงกล่าวขึ้นอย่างถ่อมตัวว่า “ฝ่าบาทโปรดรับคนไว้ใช้สอยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“บังอาจนัก!” อาณาจักรต้าจิ้นให้ความสำคัญเรื่องสายเลือดของสกุลมากที่สุด ฮ่องเต้ก็ไม่อยู่ในข้อยกเว้น พออ่านจบแล้วก็บันดาลโทสะจนปาฎีกาลงกับพื้น “อัครเสนาบดีเซี่ยคิดจะตั้งคนตามอำเภอใจอย่างนั้นรึ! เซี่ยซูผู้นี้ก็แค่บุตรชายนอกสมรสที่มีสายเลือดชาวบ้านผู้หนึ่งมิใช่หรือ ไม่พูดพล่ามอะไรก็ตั้งให้เป็นซื่อจงเสียแล้ว มาบัดนี้ยังคิดจะให้ก้าวพรวดเดียวขึ้นไปเป็นอัครเสนาบดี? หึ! เราว่าคนแก่เช่นเจ้าคงกระดูกเหล็กฟันทองแดง คิดจะฮุบอำนาจในราชสำนักไว้ไม่ยอมปล่อย ยังเห็นฮ่องเต้อย่างเราอยู่ในสายตาอีกรึ!”
ทุกคนต่างก้มหน้า ทั่วท้องพระโรงพลันเงียบกริบ
ฮ่องเต้จึงค่อยตระหนักได้ ตระกูลใหญ่หลายตระกูลในราชสำนักล้วนถูกสกุลเซี่ยกดข่มจนไม่กล้ามีปากมีเสียง บัดนี้ขุนนางกว่าครึ่งล้วนเป็นคนของสกุลเซี่ยแล้ว! ฮ่องเต้กริ้วเสียจนโลหิตแทบเอ่อขึ้นมาในคอ หวิดจะเป็นลมแล้ว
เซี่ยหมิงกวงสมกับเป็นขุนนางเจ้าเล่ห์อันดับหนึ่ง ทั้งที่เหลือลมหายใจอีกแค่เฮือกเดียวก็ยังสามารถบีบบังคับฮ่องเต้ได้ โดยให้ขุนนางที่เป็นพรรคพวกของตนมารบกวนฮ่องเต้อยู่ทุกวันมิได้ขาด ทยอยกันส่งฎีกาขึ้นมาฉบับแล้วฉบับเล่าอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย โดยไม่คิดจะหยุดพักกันเลยสักนิด
เห็นทีหากอัครเสนาบดีคนใหม่ไม่ใช่แซ่เซี่ย เซี่ยหมิงกวงคงนอนตายตาไม่หลับเป็นแน่
“น่าโมโห น่าโมโหจริงๆ!” ฮ่องเต้กริ้วเสียจนหนวดกระตุก จะหาใครสักคนที่พอพึ่งพาได้ในหมู่ขุนนางนั้นไม่มีเลย จะมีก็ต้องไปหาไทเฮาที่วังโซ่วอันเท่านั้น
ไทเฮามองตรงมาที่ฮ่องเต้ มือคลึงเม็ดประคำแล้วถอนหายใจแผ่วเบา “ตามความเห็นของข้า เรียกอู่หลิงอ๋องกลับมาเมืองหลวงเถอะ”
อู่หลิงอ๋องเป็นพระนัดดาของไทเฮา เนื่องจากมีความดีความชอบทางด้านการศึกจึงได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องต่างสกุล* เขามีผลงานด้านการทำศึกอย่างโดดเด่น ทั้งยังมีใจรักต่อราษฎร แล้วมีหรือที่เซี่ยหมิงกวงจะยอมให้คนที่โดดเด่นเช่นนี้อยู่ใกล้ตัวเขาได้ เมื่อสองสามปีก่อนตอนที่ทั่วหล้าสงบสุขดี เซี่ยหมิงกวงก็ยังหาเหตุมาผลักไสเขาไปไกลถึงชายแดน พอไทเฮากล่าวเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็เข้าใจได้ในทันที
“หมายความว่าเสด็จแม่จะให้อู่หลิงอ๋องกลับมาสยบสกุลเซี่ย?”
แต่ก่อนไทเฮาเคยออกว่าราชการหลังม่าน พระนางไม่เคยจัดการงานปกครองด้วยหัวใจที่คับแคบมาก่อนเลย จึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “แม้เซี่ยหมิงกวงใกล้ตาย แต่ก็ยังมากอำนาจอยู่ เวลานี้ยังจัดการเขาอย่างเด็ดขาดมิได้ แผนการในตอนนี้คือหาฝ่ายที่มีอำนาจพอๆ กันมาคอยฉุดรั้งเขาไว้ก่อน ไม่เพียงแค่สกุลเซี่ยเท่านั้น กระทั่งตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นๆ ก็จะได้ยำเกรงด้วย”
ฮ่องเต้ครุ่นคิดอย่างรอบคอบก็รู้สึกว่ามีเหตุผล
วันถัดมาหลังจากเข้าเฝ้าแล้ว เซี่ยหมิงกวงก็ล้มป่วยหนักจำต้องพักรักษาตัว ตำแหน่งอัครเสนาบดีจึงเปลี่ยนไปให้เซี่ยซูหลานชายของตนมารับช่วงต่อแทน ทั้งยังควบตำแหน่งลู่ซั่งซูซื่อ ขณะเดียวกันก็มีราชโองการเรียกตัวอู่หลิงอ๋องเว่ยอี้จือให้กลับมาเมืองหลวง และแต่งตั้งเป็นต้าซือหม่า
เซี่ยหมิงกวงราวกับวางก้อนหินที่ถ่วงอยู่ภายในใจลงได้ เขานอนพักบนเตียงในยามค่ำคืนได้อย่างวางใจพร้อมจะทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้ายแล้ว
เซี่ยซูคุกเข่าอยู่ข้างเตียง คอยฟังคำสั่งเสียสุดท้าย แต่ด้วยปากของท่านผู้เฒ่าอ้าๆ หุบๆ พูดออกมาไม่ชัด เซี่ยซูจึงได้แต่ชะโงกใบหน้าและเอียงหูเข้าไปใกล้
“จงจำไว้…จนตายก็อย่าให้พวกเขารู้ว่า…เจ้าเป็น…เป็น…”
เซี่ยซูกุมมือท่านผู้เฒ่า เอ่ยรับปากด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ท่านปู่วางใจเถอะ หลานจะคอยรัดหน้าอกไว้ทุกวัน”
“เจ้า!” ท่านผู้เฒ่าถลึงตาใส่ด้วยความโกรธ เป็นชนชั้นสูงแล้วยังใช้คำพูดคำจาเช่นนี้อีก ไม่รู้จักอ้อมค้อมเสียบ้างเลย!
สุดท้ายแล้วท่านผู้เฒ่าก็มิได้เอ่ยถึงเรื่องสำคัญอย่างครอบครัวหรือบ้านเมือง ทั้งไม่ได้เอ่ยถึงความอาลัยอาวรณ์ที่มีต่อคนในครอบครัว แต่กลับใช้ประโยคที่ว่า “จากนี้ไปห้ามเอ่ยถึงการรัดหน้าอกอีก” เป็นคำบอกลาก่อนตาย…
แผ่นดินราวกับเสียแขนไปหนึ่งข้าง ผู้คนต่างร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้าเสียใจ
ฮ่องเต้ร่ำไห้แค่เล็กน้อยพอเป็นพิธี ทั้งยังเขียนคำไว้อาลัยด้วยพระองค์เอง ทุกถ้อยคำแฝงด้วยความสะเทือนใจ ลึกล้ำเสียจนผู้คนต้องหลั่งน้ำตา จากนั้นยังมีรับสั่งให้รีบไปตัดชุดขุนนางให้แก่อัครเสนาบดีคนใหม่ด้วย
เซี่ยซูกัดฟันรัดหน้าอก แล้วหยิบชุดขุนนางสีดำแขนกว้างมาสวม เกล้าผมเรียบร้อยครอบทับด้วยหมวกยศ แล้วเดินไปยังโถงกลางของจวนอัครเสนาบดี สมาชิกสกุลเซี่ยพร้อมด้วยเหล่าที่ปรึกษาของจวนพร้อมใจกันมาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า
“คารวะท่านอัครเสนาบดี!”
นับตั้งแต่สกุลเซี่ยได้ยึดกุมอำนาจราชสำนักแห่งอาณาจักรต้าจิ้นไว้นานหลายปี ในที่สุดก็มาถึงยุคที่จะได้รุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิมแล้ว เพราะยามนี้สกุลเซี่ยถึงกับมีอัครเสนาบดีที่อายุน้อยที่สุดคนหนึ่งนับแต่ก่อตั้งอาณาจักรมา
รอบข้างเงียบงัน ทว่าไหล่ของอัครเสนาบดีคนใหม่กลับลู่ลง
แรงกดดันช่างมากมายเหลือคณา…
รัชศกหยวนเหอปีที่ยี่สิบหก อาณาจักรต้าจิ้นเกิดอาเพศฟ้าดินวิปริตแปรปรวน ทั้งที่ยังวสันต์อยู่แท้ๆ ทั่วเมืองเจี้ยนคังกลับร้อนระอุราวกับอยู่ในเตาไฟอย่างไรอย่างนั้น กลางท้องฟ้าดุจมีตะวันถึงแปดดวงแผดแสงแรงกล้าจนดวงตาพร่ามัว
เล่าลือกันหนาหูว่านี่เป็นประหนึ่งคำเตือนจากสรวงสวรรค์ เนื่องจากมีคนหลอกลวงเบื้องสูงหวังกุมอำนาจเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งล้วนแต่ชี้นิ้วไปที่อัครเสนาบดีคนใหม่นามว่า…เซี่ยซู
ทว่าเซี่ยซูกลับแสดงท่าทีต่อข่าวลือที่ว่านี้ด้วยเสียงหัวเราะฮ่าๆ เท่านั้น
พวกชนชั้นสูงของต้าจิ้นนั้นย่อมแตกต่างจากลูกนอกสมรสที่มาจากครอบครัวยากจน ซึ่งแม้จะผ่านการสอบต่างๆ จนได้เข้าไปสู่แวดวงขุนนางแล้ว ทว่าการจะผ่านเข้าไปยังตำแหน่งต่างๆ ก็ล้วนดูจากชาติกำเนิดทั้งสิ้น ดังคำที่กล่าวกันว่า ‘ขุนนางขั้นสูงไร้ชนชั้นล่าง ขุนนางขั้นต่ำไร้ชนชั้นสูง’ ตำแหน่งขุนนางใหญ่จึงไม่เคยตกไปถึงชนชั้นทั่วไปมาก่อน
ทว่าเซี่ยซูบุตรนอกสมรสที่มีสายเลือดชนชั้นสูงแค่เพียงครึ่งเดียวกลับก้าวพรวดขึ้นถึงตำแหน่งอัครเสนาบดีเช่นนี้เสียได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าในราชสำนักมีคนไม่พอใจมากเพียงไร เพราะแม้แต่ในหมู่ชาวบ้านก็ยังกังขา ดังนั้นเมื่อเรื่องนี้ถูกเล่าลือออกไป จึงไม่แปลกเลยสักนิดที่จะมีผู้คนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก
เซี่ยซูกลับไม่ใส่ใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย นางยังคงเข้าเฝ้าฮ่องเต้ตามปกติ คอยยั่วพระองค์ให้พิโรธอยู่เนืองๆ ทั้งยังคอยรับมือกับคนอื่นๆ ยืนกรานจะรับสืบทอดตำแหน่งขุนนางเจ้าเล่ห์คนต่อไป
ภายใต้แสงแดดแผดเผานี้ ผู้คนบนถนนมีอยู่เพียงบางตา ยามที่รถม้าของจวนอัครเสนาบดีแล่นไปตามถนนย่อมดูโดดเด่นเป็นพิเศษ
ชาวบ้านยืนเฝ้ามองจากบริเวณร่มเงาที่อยู่ข้างทาง ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด
จู่ๆ รถม้าก็ชะลอความเร็วลงอย่างกะทันหัน ผู้คนต่างตกตะลึง คิดไปว่าคนข้างในรถม้าได้ยินคำพูดของตนเข้าแล้วใช่หรือไม่ ต่างก็มีสีหน้าเลิ่กลั่ก ก่อนจะเห็นพัดจีบด้ามหนึ่งเกี่ยวม่านรถแล้วเลิกขึ้น ใบหน้างามล้ำเลิศใบหน้าหนึ่งพลันเผยออกมาให้เห็น
ดวงตาเจิดจ้าคู่นั้นซ่อนประกายขบขันเอาไว้ มองแล้วให้รู้สึกสดชื่นประหนึ่งสายลมวสันต์ของเดือนสอง ฉับพลันก็เปลี่ยนเมืองที่หม่นหมองราวกับภาพวาดน้ำหมึกสีดำให้กลายเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสีสันตระการตา
อาณาจักรต้าจิ้นนิยมชมชอบความสวยความงาม โดยเฉพาะความงามเยี่ยงสตรีเพศ กระทั่งบุรุษก็ยังผัดหน้าทาแป้ง ถึงแม้เซี่ยซูจะแต่งกายเป็นบุรุษ ถึงอย่างนั้นเรือนร่างก็ยังดูเพรียวระหงกว่าบุรุษทั่วไป ประกอบกับที่เซี่ยหมิงกวงตั้งใจอบรมขัดเกลาเป็นอย่างดีตลอดแปดปีนี้ เพียงแปลงโฉมนางเล็กน้อยก็แยกแยะจริงเท็จไม่ออกแล้ว เดิมทีนางก็เกิดมามีใบหน้างดงามอยู่แล้ว พอสวมใส่ชุดขุนนางตัวใหญ่แขนกว้างก็ยิ่งดูดี สง่างามหาใดเปรียบอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว
ผู้คนที่กำลังพูดวิพากษ์วิจารณ์ก่อนหน้าต่างลืมหัวข้อสนทนาไปในทันที บรรดาหญิงสาวต่างเหม่อลอยไปจนหมดสิ้น ไม่ว่าของสิ่งใดอยู่ในมือก็ล้วนโยนส่งไปในตัวรถ
เซี่ยซูยิ้มน้อยๆ แล้วปล่อยม่านรถลง ท่าทางของผู้คนนับไม่ถ้วนซึ่งรำพึงรำพันถึงความงามของนางจึงถูกปิดกั้นไป
พอกลับถึงจวนสกุลเซี่ย คนรับใช้นามมู่ไป๋ก็ตรวจตราข้าวของที่ถูกโยนขึ้นมาบนรถม้าทันที นั่นปะไรเล่า ผ้าเช็ดหน้ามากมายจนเอามาเย็บต่อกันเป็นผ้าปูที่นอนได้ ผลไม้ก็มากมายเสียจนกินไปได้ครึ่งค่อนเดือน
คิดไม่ถึงว่าหลังจากเหตุการณ์นี้เป็นต้นมา เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ลดหายลงไปกว่าครึ่ง เซี่ยซูนับว่าชนะใจหญิงสาวได้มากมายนัก
ความคิดของผู้คนในอาณาจักรต้าจิ้นนับว่าเปิดกว้าง ไม่นานนักก็มีหญิงสาวรวมกลุ่มกันช่วยทำให้ชื่อเสียงของเซี่ยซูเป็นที่น่าเกรงขามอย่างเอาจริงเอาจังยิ่ง บอกว่าใครยังกล้าลือออกไปว่าอัครเสนาบดีของพวกนางชาติกำเนิดไม่ดี เป็นได้เห็นดีกันแน่!
อากาศร้อนจนแทบจะร้องขอชีวิต มู่ไป๋บิดผ้าผืนหนึ่งจนหมาดส่งให้เซี่ยซูเช็ดใบหน้า พลางพูดอย่างกระหยิ่มใจ “ชื่อเสียงคุณชายขจรขจายไปทั่วเมืองหลวงแล้วนะขอรับ ตามความเห็นของบ่าว บัดนี้ผู้ที่มีชื่อเสียงพอสูสีกับท่านได้ เห็นจะมีเพียงอู่หลิงอ๋องผู้เดียวเท่านั้น”
เดิมทีเซี่ยซูยังมีท่าทางกระตือรือร้นอยู่ พอได้ยินชื่อนี้แล้วนางก็ทำหน้าหน่ายทันที
บัดนี้อู่หลิงอ๋องกุมกำลังทหารทั่วหล้าไว้เกือบครึ่งหนึ่ง จู่ๆ ฮ่องเต้ก็มีพระราชโองการเรียกตัวเขากลับมาเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีเจตนาดีแน่
เรื่องนี้ต้องโทษท่านปู่ของนางแล้ว ตอนนั้นไม่ควรขับอู่หลิงอ๋องออกจากเมืองหลวงเลย ทั้งยังจงใจขับคนออกไปตอนที่เขาใกล้จะได้เข้าพิธีแต่งงานด้วย
ด้านหนึ่งอู่หลิงอ๋องถูกขับออกไปไกลถึงชายแดน อีกด้านเจ้าสาวก็มาเจ็บป่วยจนเสียชีวิตไป ใครๆ ต่างก็พูดว่าท่านปู่ของนางทำให้สองคนนั้นต้องพรากจากกันชั่วชีวิต อู่หลิงอ๋องไม่เคียดแค้นสกุลเซี่ยก็แปลกแล้ว!
เซี่ยซูหยิบพัดจีบมาโบกแรงๆ ยามนี้เหงื่อชุ่มโชกศีรษะนางไปหมดแล้ว ก่อนจะพูดกับมู่ไป๋ “อีกประเดี๋ยวให้จัดหาของขวัญส่งไปยังจวนต้าซือหม่าด้วย”
มู่ไป๋เป็นคนที่เซี่ยหมิงกวงเลือกมาด้วยตนเอง มีใจภักดีต่อสกุลเซี่ยเป็นที่สุด แต่ไรมาสกุลเซี่ยล้วนวางอำนาจจนเคยตัวแล้ว พอเขาได้ยินเช่นนี้จึงเบ้ปากทันที “คุณชายจะทำอะไรขอรับ ท่านเกรงกลัวเขาด้วยหรือ”
เซี่ยซูหุบพัดแล้วเคาะศีรษะเขาไปทีหนึ่ง “ด้ามพู่กันหรือจะขวางคมหอกคมดาบได้ อย่าพูดจาเหลวไหล รีบไป!”
เรื่องที่อู่หลิงอ๋องจะกลับเมืองหลวงแพร่สะพัดไปทั่วนานแล้ว บัดนี้กลายเป็นหัวข้อพูดคุยในหมู่ชาวบ้าน หัวใจของหญิงสาวที่ยังไม่เคยถูกเซี่ยซูขโมยไปจึงจดจ่ออยู่กับเรื่องนี้ เวลานี้ทั่วทั้งเมืองหลวงพากันตื่นเต้น
ไม่กี่วันมานี้ จู่ๆ ดวงอาทิตย์อันร้อนแรงหาใดเปรียบก็เคลื่อนคล้อยหลบเร้นไป เมืองเจี้ยนคังพลันได้รับสายลมเย็นสบายแห่งวสันต์กลับคืนมา คณะเดินทางของอู่หลิงอ๋องก็จำเพาะต้องเดินทางมาถึงนอกเมืองในช่วงเวลานี้อย่างพอดิบพอดีอีก
ชาวบ้านต่างพากันสรรเสริญ สมแล้วที่เป็นอู่หลิงอ๋อง เพียงเหยียบย่างกลับมา แม้แต่อากาศก็ยังกลับมาสดใส!
เซี่ยซูที่พอได้ยินเรื่องนี้ก็กางพัดจีบในมือแล้วโบกพัดแรงขึ้น จะบ้าตาย เจ้าอู่หลิงอ๋องผู้นี้ครองใจชาวเมืองไปก็ช่างเถอะ นี่เขายังกลับมาได้ถูกเวลาอีก ยิ่งทำให้ข้าดูเป็นขุนนางเจ้าเล่ห์จอมอันธพาลมากขึ้นไปอีก แรงสนับสนุนจากชาวเมืองพลันลดน้อยถอยลงไปด้วย!
วันที่อู่หลิงอ๋องเข้าเมืองมา ถนนหนทางในเมืองล้วนถูกสาดด้วยสุราจนสะอาดสะอ้าน สองข้างทางต่างมีผู้คนมายืนออเบียดเสียดจนแน่นขนัด
มีคนและม้ากลุ่มหนึ่งมุ่งเข้าเมืองมาก่อน ธงมังกรและธงอักษร ‘เว่ย’ ชูขึ้นสูงเพื่อเปิดทาง จากนั้นจึงตามมาด้วยกองทหารที่ยิ่งใหญ่เป็นระเบียบ ผู้ที่ขี่ม้านำหน้าสวมชุดชาวหู แขนกระชับ คิ้วเข้มดวงตาวาววาม เบื้องหลังมีรถเทียมม้าอย่างดีสี่ตัวตามมา
ชาวบ้านต่างคาดเดากันไปว่าคนบนหลังม้าน่าจะเป็นอู่หลิงอ๋อง ส่วนคนที่นั่งในรถม้าก็คงเป็นเซียงฮูหยินมารดาของเขา ทว่าเหตุใดมองดูแล้วกลับรู้สึกว่าคนบนหลังม้ากลับไม่น่าใช่อู่หลิงอ๋องเล่า
อู่หลิงอ๋องเว่ยอี้จือเกิดมาหล่อเหลางดงามดุจไข่มุกคล้ายหยก ยามเยื้องย่างผ่านตามทางล้วนดึงดูดผู้คนให้เหลียวมอง แล้วก็พากันชื่นชมไม่ขาดปาก ทว่าคนบนหลังม้าตรงหน้านี้แม้จะดูดีไม่น้อย แต่เจี้ยนคังแห่งนี้ถือเป็นเมืองหลวง มีชายงามประเภทใดบ้างที่ไม่มี เขาจึงดูไม่งามสมกับที่เล่าลือกันสักนิด
ชาวบ้านรวมกลุ่มกันวิพากษ์วิจารณ์…
“หรือว่าบัดนี้ร่างกายของอู่หลิงอ๋องทรุดโทรมเสียแล้ว”
“จะเป็นไปได้อย่างไร! ข้าว่าอู่หลิงอ๋องคงจะหวาดกลัวต่ออำนาจของท่านอัครเสนาบดีแน่ๆ จึงไม่กล้ากลับมา”
“ผู้ใดกัน!” ทันใดนั้นก็มีเสียงตวาดของหญิงสาวดังขึ้นมา “ใครกล้าว่าร้ายท่านอัครเสนาบดีของข้า! ข้านี่แหละจะเชือดมันให้ตายเลย!”
ฝ่ายที่หนุนข้างอู่หลิงอ๋องก็ตวาดกลับมาทันที “ที่พูดถึงก็คืออัครเสนาบดีที่ไม่คู่ควรผู้นั้นน่ะสิ! ทำไมเล่า เขามีอะไรเทียบเคียงอู่หลิงอ๋องของพวกเราได้หรือ อู่หลิงอ๋องต่างหากถึงจะสง่างามจนผู้ใดก็ไม่อาจเทียบได้!”
“เจ้ามันตาไร้แวว! ไหลฝู กัดนางซะ!”
“มาสิ คิดว่าข้ากลัวรึ!”
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต่อสู้กันเป็นพัลวัน
ทางนี้สู้กันอุตลุด ทางนั้นก็มีคนอยากรู้อยากเห็นคิดชะเง้อคอเข้ามาดูใกล้ๆ จึงไม่ทันระวังถูกคนข้างหลังผลักออกมา ก่อนชนทหารองครักษ์ที่กั้นถนนนายหนึ่งจนล้มกลิ้งไปด้วยกัน หอกยาวในมือทหารองครักษ์พุ่งเข้าไปขัดในซี่ล้อรถม้าอย่างพอดิบพอดี ทว่าม้ากลับไม่ได้หยุดวิ่ง รถม้าจึงถูกกระชากจนแล่นแฉลบออกข้าง ตัวหอกครูดไปกับผืนดิน เห็นๆ อยู่ว่าจะแทงถูกคนเข้าให้แล้ว
ชายสวมชุดชาวหูรีบควบม้ามาหมายรั้งม้าเทียมรถเอาไว้ ทว่ากลับเห็นคนในรถชะโงกหน้าออกมาเสียก่อน เขาตวัดแส้คราหนึ่งก็เกี่ยวหอกเล่มนั้นหลุดออกไปจากซี่ล้อ
คนทั้งหลายมองภาพเหตุการณ์ไม่วางตา สายตาเคลื่อนไปตามการขยับของแส้นั้นอย่างไม่รู้ตัว กระทั่งหอกเล่มนั้นกระเด็นไปปักพื้นดินแล้วจึงค่อยได้สติ แต่เมื่อหันไปมองที่รถม้าอีกครั้งหนึ่ง คนผู้นั้นก็กลับเข้าไปนั่งตามเดิมแล้ว แม้แต่ชายเสื้อก็ไม่โผล่ออกมาให้เห็น
ชายในชุดชาวหูลงจากหลังม้า มือข้างหนึ่งกุมกระบี่เดินอาดๆ ไปยังทหารองครักษ์และชาวบ้านที่ล้มกลิ้ง ทั้งสองตกใจจนใบหน้าเผือดสี ต่างคุกเข่าขออภัยไม่หยุด
“ช่างเถอะ ฝูเสวียน” มีเสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังออกมาจากในรถ น้ำเสียงทุ้มต่ำเนิบช้า ฟังแล้วมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
บุรุษที่ชื่อฝูเสวียนจึงต้องถอยกลับมาแล้วพลิกร่างขึ้นหลังม้า เปิดทางใหม่อีกครั้ง
“ท่านผู้นั้นคงเป็นอู่หลิงอ๋องกระมัง” ชาวบ้านนึกรู้ได้ในทันที
เซี่ยซูนั่งดื่มชาอยู่ในห้องหนังสือ พอฟังรายงานจากมู่ไป๋แล้วก็เลิกคิ้วประหลาดใจ “อู่หลิงอ๋องผู้นี้ช่างลึกลับเสียจริง”
มู่ไป๋ยังคงมีท่าทีดูแคลนอยู่ “ทำตัวลึกลับไปอย่างนั้นเองแหละขอรับ!”
เซี่ยซูเดาะลิ้นแล้วเอ่ยว่า “เห็นทีน่าจะเป็นบุรุษรูปงาม”
“ชิ! เทียบกับขนสักเส้นของคุณชายไม่ได้เลย!”
เซี่ยซูหันไปมองมู่ไป๋อย่างชื่นชม “เจ้านี่ตาถึง”
อู่หลิงอ๋องกลับเมืองหลวงมาคราวนี้เป็นที่ปลาบปลื้มของฮ่องเต้ยิ่งนัก ว่ากันว่าวันนั้นพระองค์มีรับสั่งเรียกเขาเข้าวังไปสนทนาอย่างสนิทสนม พูดคุยกันยาวนานตลอดทั้งคืนเลยทีเดียว
พวกเขาไม่ได้หลับไม่ได้นอน เซี่ยซูก็ไม่ดีกว่ากันสักเท่าไรนัก ในเมื่อฮ่องเต้เห็นนางเป็นดั่งหนามตำตา อู่หลิงอ๋องเองก็มีความแค้นกับสกุลเซี่ย เมื่อสองคนที่เห็นนางเป็นศัตรูมารวมตัว เกรงว่าคงคิดหาวิธีเข่นฆ่านางได้หลายสิบวิธีแล้วกระมัง
เฮ้อ! แย่จริง จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรกันเล่าครานี้
ฮ่องเต้สนทนาจนเหนื่อยล้ามาทั้งคืนแล้ว วันต่อมาจึงงดการเข้าเฝ้ายามเช้า เซี่ยซูรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก อย่างน้อยนางก็ไม่ต้องตื่นแต่เช้าตรู่มารัดหน้าอก
ทว่าเพิ่งจะลิงโลดอย่างตื่นเต้นยินดีไม่ทันไร มู่ไป๋ก็ปรี่เข้ามาหาแต่ไกลแล้ว “คุณชาย อู่หลิงอ๋องเพิ่งจะให้คนเอาของกำนัลของท่านมาคืนขอรับ”
มู่ไป๋ถูกล้างสมองนานแล้วว่า ‘สกุลเซี่ยเป็นที่หนึ่งในต้าจิ้น’ เขาไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าการส่งของกำนัลไปให้อู่หลิงอ๋องเป็นการผูกสัมพันธ์แต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับมองว่าเป็นการทำทานเสียมากกว่า เมื่อคนผู้นั้นส่งของมาคืนเช่นนี้ เขาย่อมรู้สึกไม่พอใจ จนนึกอยากจะยุให้เซี่ยซูไปปะทะกับอู่หลิงอ๋องสักรอบหนึ่งด้วยซ้ำ
เซี่ยซูนึกสงสัยครามครัน เห็นทีอู่หลิงอ๋องคงหาทางขีดเส้นแบ่งแยกกับนางสักแปดส่วน นางจึงเบ้ปากแล้วเอ่ยว่า “ช่างเถอะ แล้วแต่เขาก็แล้วกัน”
“คุณชาย…” มู่ไป๋ร้องเสียงหลง ท่านทำอะไรมากกว่านี้สักหน่อยเถอะ!
หลังจากนั้นมาอู่หลิงอ๋องก็เก็บตัวอยู่ในจวนมาตลอด ไม่ได้มาเข้าเฝ้ายามเช้าหลายวันโดยอ้างว่าต้องการพักผ่อน เดิมทีเซี่ยซูคิดว่าช่วงนี้คงยังไม่ต้องพบหน้าเขาไปก่อนสักพักหนึ่ง ทว่าฮ่องเต้ช่างเป็นคนชอบโอ้อวดเสียจริง เพียงไม่นานก็ไม่อาจสะกดกลั้นความคิดที่จะแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตนเองมีมือดีมาช่วยเหลือได้ จึงมีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับอู่หลิงอ๋องผู้เดินทางตรากตรำมา เหล่าขุนนางทั้งหลายล้วนต้องมาร่วมงานด้วย
ขณะที่เซี่ยซูกำลังเตรียมตัวอยู่ที่จวนนั้น เดิมทีนางคิดจะสวมชุดขุนนางทางการไปร่วมงาน แต่พอคิดว่าอู่หลิงอ๋องได้ขีดเส้นแบ่งกับตนเองแล้ว ไยต้องให้เกียรติเขาด้วย ถึงเวลาควรจะวางท่าก็จงวางท่าเสีย นางจึงเรียกมู่ไป๋ให้ไปหยิบเสื้อผ้าสามัญมาให้
มู่ไป๋จึงกุลีกุจอแสดงท่าทีเห็นด้วยอย่างเต็มที่เมื่อเห็นเซี่ยซูพยายามจะลุกขึ้นสู้
งานเลี้ยงจะจัดขึ้นในยามโหย่ว เซี่ยซูจงใจไปถึงให้ใกล้เวลางานเริ่มสักเล็กน้อย เพิ่งมาถึงประตูวัง เหล่าขุนนางต่างก็ยืนเรียงแถวกันอย่างพร้อมเพรียงแล้ว และหันมาคำนับให้นางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ผู้ที่เป็นอัครเสนาบดีได้รับอนุญาตเป็นพิเศษ สามารถนั่งรถม้าเข้ามาถึงประตูวังชั้นแรกได้ เซี่ยซูนั่งอยู่ในรถม้า ยามที่เคลื่อนผ่านเหล่าขุนนางไป แม้แต่ใบหน้านางก็ไม่โผล่ออกมา สิ่งที่ท่านปู่อุตส่าห์สร้างไว้ให้ หากไม่ใช้ก็เสียเปล่าน่ะสิ เวลาเช่นนี้ย่อมต้องฉวยโอกาสเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์ สักหน่อย
มาถึงประตูวังชั้นที่สอง เซี่ยซูจึงลงจากรถม้า พอมีนางกำนัลออกมารับช่วงต่อแล้ว มู่ไป๋จึงได้ถอยออกไป
เซี่ยซูเพิ่งจะยกเท้าก็มีรถม้าแล่นมาจากทางตำหนักในเสียก่อน คิดแล้วน่าจะเป็นองค์ชายองค์ใดองค์หนึ่ง ไม่นานก็มีเด็กชายอายุราวสิบเอ็ดสิบสองปีเดินลงมาจากรถ คนผู้นั้นก็คือองค์ชายเก้า…พระโอรสของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนั่นเอง
เซี่ยซูจัดแจงดึงเสื้อผ้าตนเองให้เรียบร้อย “คารวะ…”
“ถุย!” องค์ชายเก้าถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างแรง ขัดไม่ให้เซี่ยซูได้คำนับ “ก็แค่ลูกนอกสมรส ทำท่าวางโตเข้าออกในวังหลวง เจ้าคู่ควรแล้วหรือ!”
ผู้คนทั้งซ้ายขวาพากันตกตะลึง องค์ชายเก้าได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้มากที่สุด ปกติจึงยิ่งเย่อหยิ่งไม่เกรงกลัวใคร แต่ถึงขั้นกล้าหยามเกียรติอัครเสนาบดีต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ ช่างน่าแปลกใจเสียจริง
เซี่ยซูหยุดครุ่นคิดครู่หนึ่ง ฉับพลันก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนฮ่องเต้เคยออกปากว่าจะปลดองค์รัชทายาทแล้วเปลี่ยนเป็นองค์ชายเก้าแทน แต่ถูกเซี่ยหมิงกวงขัดขวางไว้เสียก่อน
มิน่าเล่า…คนผู้นี้ก็ถือเป็นศัตรูอีกคน
องค์ชายเก้ายังไม่สาแก่ใจ ยามเดินผ่านจึงกระแทกเซี่ยซูอย่างแรง นางไม่ทันระวังจึงสะดุดล้ม ชายเสื้อไปเกี่ยวกับตะปูตรงล้อรถเข้าพอดี
นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ตกใจแทบแย่ รีบตรงเข้าไปหมายประคอง แต่จู่ๆ ก็ถอยหลบไปกะทันหัน
ขณะที่เซี่ยซูกำลังนึกประหลาดใจก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาประคองนางให้ยืนขึ้น เนื่องจากชายเสื้อนางถูกตะปูบนล้อรถเกี่ยวไว้จึงเกิดเสียงขาดแควกดังขึ้นในจังหวะที่นางยืนขึ้นพอดี
เซี่ยซูไม่รู้จะพูดอย่างไรดี แต่พอหันไปมองคนผู้นั้นนางก็เห็นประกายกระบี่วาบขึ้น นางตกใจจนต้องหดคอหนี
จากนั้น…ชายเสื้อของนางที่ติดกับตะปูตรงล้อรถก็ขาดออก
“คารวะอู่หลิงอ๋อง” นางกำนัลทั้งซ้ายขวาต่างคุกเข่าเสียงพึ่บพั่บ
นั่นปะไร เซี่ยซูกระตุกมุมปาก เพิ่งก้าวขึ้นมาไม่ทันไรก็ตัดเสื้อสะบั้นสัมพันธ์ กันเสียแล้ว ทำดีจริงนะ!
บทที่ 2
อู่หลิงอ๋องไม่ได้สวมชุดเครื่องแบบขุนนาง แต่สวมชุดยาวสีขาวกระจ่างกุ๊นลายดอกไม้เล็กๆ สีขาวที่ชายแขนเสื้อ เกล้าผมประดับหมวกสีทอง รูปร่างสูงสง่า ท่าทางสง่าผ่าเผยและดูผ่อนคลาย ที่เอวยังคาดฝักกระบี่ยาวไว้ด้วย
ฮ่องเต้ดูจะลำเอียงมากไปแล้ว ถึงกับอนุญาตให้เขาพกกระบี่เดินไปมาในวังได้ด้วย เซี่ยซูเพิ่งจะแอบบ่นว่าในใจเสร็จ อู่หลิงอ๋องก็เก็บกระบี่เข้าฝักเรียบร้อย เมื่อเห็นใบหน้าเขาชัดเจน นางก็ตกตะลึงไปทันที
ผู้คนเอ่ยกันว่าอู่หลิงอ๋องเว่ยอี้จือผู้นี้หน้าตาดีมาตั้งแต่เด็ก เดิมทีนางคิดว่าก็แค่คำพูดเยินยอเท่านั้น เวลานี้ได้มาเห็นตัวจริงแล้วจึงค่อยรู้สึกว่าเป็นเช่นที่ว่ากันมา
ประโยคที่ว่า ‘ดวงตาดำขลับดั่งแต้มครั่ง คิ้วดำคมคายดุจวาด’ ยังไม่พอจะใช้อธิบายคนผู้นี้ได้ด้วยซ้ำ เพียงแค่เขายืนอยู่ก็สามารถทำให้ผู้คนไม่อาจเหลียวไปมองทางอื่นได้ ยามสายลมพัดมาชายแขนเสื้อกว้างจะโบกไหว ดูช่างพลิ้วไหวสง่างาม เพียงเขาชายตามองก็ทำให้คนหลงใหลเคลิ้มฝันราวกับล่องลอยไปไกลแล้ว
ได้ยินมาว่าในเจี้ยนคังเคยมีคนเอ่ยชื่นชมเขาว่า ‘ตระหง่านดุจยอดผาเห็นแต่ไกล รูปโฉมดุจจันทร์อำไพไร้เมฆา’ ช่างสมกับที่ว่ามาจริงๆ
“คารวะท่านอัครเสนาบดี” เว่ยอี้จือยกมือขึ้นประกบกันด้วยท่าทางสง่างาม
สายตาเซี่ยซูกวาดมองทั่วใบหน้าเขา นางจำต้องกล้ำกลืนโยนคำพูดของมู่ไป๋ทิ้งไป แล้วทักทายกลับ “คารวะอู่หลิงอ๋อง”
องค์ชายเก้าที่อยู่ข้างๆ มีสีหน้าไม่พอใจ เขาปราดเข้าไปดึงแขนเว่ยอี้จือ “พี่จ้งชิง ไปช่วยเขาทำไมกัน ขุนนางเจ้าเล่ห์พรรค์นี้…”
“องค์ชาย รีบไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยอี้จือหันไปขยิบตาให้นางกำนัลข้างๆ องค์ชายเก้า นางจึงเข้ามาประคององค์ชายเก้าแล้วพาตัวไปทันที
เว่ยอี้จือหันมาดูเสื้อผ้าของเซี่ยซู ก่อนจะเอ่ยยิ้มแย้มด้วยสีหน้าอ่อนโยน “เมื่อครู่ข้าก็ทำไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น ท่านอย่าได้ถือสาเลย ไม่ทราบว่าท่านได้เตรียมเสื้อผ้ามาหรือไม่ ในรถม้าข้ามีอยู่ชุดหนึ่ง เพียงแต่เกรงว่าท่านจะรังเกียจ”
“จะรังเกียจได้อย่างไรเล่า” เซี่ยซูฝืนยิ้ม “ขอเพียงอู่หลิงอ๋องไม่รังเกียจ ข้าเองก็ยินดี”
“ท่านอัครเสนาบดีเกรงใจเกินไปแล้ว” เว่ยอี้จือสีหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา เขารีบสั่งให้นางกำนัลเชิญเซี่ยซูไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่รถม้าของเขา
เซี่ยซูเอ่ยปากขอบคุณแล้วจากไป ยอมรับความช่วยเหลือของเว่ยอี้จือไว้ด้วยสีหน้าท่าทางที่สงบ
รถม้าของนางสง่าภูมิฐานยิ่ง ไม่คิดเลยเว่ยอี้จือซึ่งบัดนี้มีฐานะเป็นอู่หลิงอ๋องควบตำแหน่งต้าซือหม่ากลับนั่งยานพาหนะของขุนนางขั้นห้าเท่านั้น
เฮอะ! หากมิใช่เพราะนิสัยแท้จริงเป็นคนสูงส่งน่านับถือล่ะก็ คงต้องจงใจทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับข้าแน่ หนึ่งอ๋องผู้เที่ยงธรรมกับหนึ่งขุนนางโฉดชั่ว จะได้เห็นกันชัดๆ ว่าใครที่สูงส่ง ใครกันที่ต่ำช้า
ช่างเจ้าเล่ห์เสียจริง!
เซี่ยซูสั่งให้นางกำนัลรออยู่นอกรถ ก่อนจะก้าวขึ้นรถไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ภายในรถมีเสื้อผ้าเตรียมไว้จริงๆ ทั้งยังใหม่เอี่ยมเสียด้วย ทว่าเนื้อผ้านั้นกลับธรรมดาสามัญ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ พอเทียบกับตอนที่นางยังไม่ได้กลับเข้าสกุลเซี่ยแล้วก็ยังดีกว่ามาก
นางยิ้มน้อยๆ แล้วรีบเปลี่ยนมาสวมใส่ชุดใหม่อย่างไม่ลังเล
เมื่อมาถึงตำหนักทงกวงสถานที่จัดเลี้ยง ขันทีน้อยที่ทำหน้าที่ประกาศชื่อแขกเหรื่อก็แทบจะจำเซี่ยซูไม่ได้
เว่ยอี้จือสูงกว่าเซี่ยซูถึงครึ่งศีรษะ ทั้งไหล่ยังกว้างกว่าด้วย พอเสื้อผ้าชุดนี้สวมบนร่างนางแล้วจึงหลวมโพรก กลายเป็นทำให้นางยิ่งดูโดดเด่นกว่าเดิม ทว่าเนื้อผ้าและฝีมือการตัดเย็บนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงเสื้อผ้าของชาวบ้านเท่านั้น
เซี่ยซูกลับไม่ได้ใส่ใจสายตาของรอบข้าง นางเพียงก้าวเดินอาดๆ เข้าไปในตำหนัก
การมาสายในครั้งนี้ ทำให้ขุนนางคนอื่นๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังตามหลังนางมาล้วนรุดมาถึงกันหมดแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันหาที่นั่ง เวลานี้เมื่อเห็นนางเข้ามาก็พากันอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงพรึงเพริด
เซี่ยซูไม่รีบร้อนเลยสักนิด นางยกมือข้างขวาขึ้นป้องปากแดงแล้วกระแอมเบาๆ ผู้คนทั้งซ้ายขวาจึงค่อยได้สติ ลุกขึ้นยืนหันไปคำนับนาง
ฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์ ยามที่มองเห็นเซี่ยซูแต่งกายด้วยชุดเช่นนี้ ก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “อัครเสนาบดีเซี่ย เจ้ามาสายก็ช่างเถอะ แต่เหตุใดจึงแต่งกายไม่สำรวมเพียงนี้ อู่หลิงอ๋องเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง เจ้าที่เป็นถึงหัวหน้าขุนนางทั้งหลายกลับต้อนรับแขกของเจ้าเช่นนี้หรือ”
เซี่ยซูย่อมเข้าใจว่าพระองค์กำลังยั่วยุนาง นางจึงยิ้มแย้มด้วยดวงตาเป็นประกาย กวาดมองเว่ยอี้จือปราดหนึ่ง เขาเองก็กำลังเงยหน้าขึ้นมองนางจากหลังโต๊ะของตนเอง ใบหน้าเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม มองไม่เห็นความเป็นศัตรูแม้แต่น้อย เป็นองค์ชายเก้าที่นั่งอยู่ข้างกายเขาที่อดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ขอพระราชทานอภัยโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ ขณะที่กระหม่อมเดินทางมาเข้าเฝ้าเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน ไม่ทันระวังจนทำให้เสื้อผ้าฉีกขาด จึงได้มาสายเช่นนี้ เสื้อผ้าชุดนี้เป็นอู่หลิงอ๋องมอบให้ กระหม่อมซาบซึ้งใจยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยซูโคลงศีรษะไปมา “อู่หลิงอ๋องบัดนี้มีฐานะเป็นถึงต้าซือหม่า ทั้งที่มีตำแหน่งอันส่งสูงและเปี่ยมด้วยอำนาจแล้วแท้ๆ ทว่ากลับดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่เพียงรถม้าจะสามัญ แม้แต่เสื้อผ้ายังไม่ต่างจากของชาวบ้าน ไม่เสียทีที่เป็นขุนนางน้ำดีแห่งต้าจิ้นเรา ยิ่งคิดกระหม่อมก็ยิ่งชื่นชม เห็นควรให้ฝ่าบาทพระราชทานทองคำพันตำลึงแก่เขาเพื่อแสดงการยกย่องด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้งุนงงไปในทันใด เห็นๆ กันอยู่ว่าเซี่ยซูเป็นคนเอ่ยชื่นชม เหตุใดจึงกลายเป็นเราที่ต้องจ่ายด้วย!
“ไม่จำเป็นต้องพระราชทานทองคำพันตำลึงหรอกพ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่ฝ่าบาททรงแสดงความชื่นชม กระหม่อมก็ขอจดจำไว้ในใจแล้ว” เว่ยอี้จือรีบแก้ไขสถานการณ์
ฮ่องเต้คลายความอึดอัดในใจลงได้ทันที
เว่ยอี้จือมองเซี่ยซูอยู่ครู่หนึ่ง แววขบขันในดวงตายิ่งเพิ่มขึ้นเท่าทวี “พอชุดเสื้อผ้าชาวบ้านมาอยู่บนร่างท่านอัครเสนาบดีแล้วช่างดูเหมาะสม เข้ากับท่านยิ่งนัก”
รอบด้านเงียบกริบโดยพลัน องค์ชายเก้าอดกลั้นต่อไปไม่ไหว ถึงกับหัวเราะร่าออกมาเสียงดังลั่น พอเขาหัวเราะ ในหมู่ขุนนางก็มีบางคนกลั้นไม่อยู่เช่นกัน เพียงแต่รีบกลั้นหัวเราะไว้ได้ทันควัน
เซี่ยซูรู้นานแล้วว่าการที่ตนเองรับตำแหน่งอัครเสนาบดีไม่เพียงทำให้ฮ่องเต้และชนชั้นสูงจากหลายสกุลไม่พอใจ แม้แต่ผู้ใต้บัญชาบางคนของเซี่ยหมิงกวงก็ยังไม่พอใจด้วย ดังนั้นการกลับมาของเว่ยอี้จือครั้งนี้จึงมีบางคนเริ่มเคลื่อนไหวและคอยจับตาดูนางมากขึ้นแล้ว
เรื่องฐานะของนางนั้นถือเป็นปัญหาหนึ่ง ทว่าเรื่องที่นางเป็นสตรีแต่กล้าแต่งกายเป็นบุรุษนั้น ปัญหาเรื่องสายเลือดที่ว่านี้ย่อมกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปทันใด
“จริงหรือ” เซี่ยซูไม่เพียงไม่โกรธกลับยังดูตื่นเต้น “ใครบ้างไม่รู้ว่าข้าคือคนเจ้าสำราญชื่อดังแห่งราชวงศ์ต้าจิ้นเรา นอกจากหวังจิ้งจือแห่งหลางหยาที่มีชื่อเสียงแล้ว ก็มีอู่หลิงอ๋องนี่แหละ บัดนี้ข้าสวมเสื้อผ้าของท่านแล้วได้รับคำชมเช่นนี้จากตัวท่านเอง ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ ไม่คิดว่าคนสามัญเช่นข้ายังเข้าตาท่านได้ รู้สึกละอาย…ละอายจริงๆ”
ทุกคนจึงไม่อาจล้อเลียนนางได้อีก
เซี่ยซูพูดจบก็เดินตรงไปยังที่นั่งหัวโต๊ะทางด้านซ้ายมือ นางก้าวเดินอย่างช้าๆ ไม่คล้ายกำลังเดินอยู่ในท้องพระโรงแต่เหมือนเดินอยู่ในป่าไผ่รายล้อมด้วยบุปผานานาพรรณที่มีระยะทางเป็นสิบจั้ง นางดูผุดผาดไร้ราคีแปดเปื้อน เหมือนว่าเป็นเซียนหลุดพ้นแล้วอย่างไรอย่างนั้น
เว่ยอี้จือมีชื่อเสียงมาตั้งแต่วัยเยาว์ สายตาย่อมสูงส่ง เวลานี้จึงอดปรายตามองเซี่ยซูอยู่บ่อยครั้งไม่ได้ รอจนอีกฝ่ายหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าที่นั่งเขา ทันใดนั้นเขาก็ต้องตะลึงงัน เมื่อเห็นเซี่ยซูยกพัดจีบในมือขึ้นมาปิดบังมุมปากที่หยักขึ้นน้อยๆ เผยออกมาเพียงดวงตาที่เป็นประกายระยิบระยับ เขาถึงกับมองอย่างเหม่อลอยไปชั่วครู่
สมกับเป็นลูกหลานสกุลเซี่ยแห่งเฉินจวิ้น เว่ยอี้จือหลุบตาลงมองจอกสุราของตนเอง รอยยิ้มประดับที่มุมปาก
สุราเวียนไปสามรอบ ฮ่องเต้ก็ยังแค้นใจไม่หายที่เซี่ยซูเสนอให้มอบทองคำแก่เขา จึงเสนอให้หาเรื่องเพลิดเพลินใจออกมา โดยให้เซี่ยซูเป็นผู้ออกหน้าคนแรก
คราวนี้องค์ชายเก้าย่อมไม่ปล่อยเซี่ยซูไป เขากับเว่ยอี้จือมีน้ำใจไมตรีต่อกัน จึงฝังใจว่าเมื่อครู่เซี่ยซูฉวยโอกาสใช้เว่ยอี้จือหาผลเอาประโยชน์ เขานึกอยากช่วยระบายแค้นแทน จึงเสนอขึ้นว่า “เมื่อสองวันก่อน เสด็จพ่อเพิ่งตรัสไม่ใช่หรือว่าทุกปีเหล่าขุนนางล้วนพูดคุยกันถึงผลงานที่ทำสำเร็จ ลูกว่าวันนี้มาพูดเรื่องนี้ดีหรือไม่ อย่างไรวันนี้เหล่าขุนนางก็ล้วนอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว อู่หลิงอ๋องก็กลับมาเมืองหลวงพอดี พวกเรามาตัดสินกันเถิดว่าผู้ใดในราชสำนักที่คู่ควรกับคำว่า ‘ขุนนางดี’ บ้าง”
คำพูดนี้จะให้ฮ่องเต้หรือขุนนางคนใดเป็นผู้เสนอก็ล้วนไม่เหมาะ แต่องค์ชายเก้าอายุยังเยาว์นัก ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานมาโดยตลอด ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นย่อมไม่กล้าพูดอะไร
เหล่าขุนนางต่างมีความคิดในใจ วันนี้ผู้ที่มีบทบาทโดดเด่นก็คืออู่หลิงอ๋อง ชื่อเสียงของเขาดีงามยิ่ง เวลานี้ไม่เลวเลยที่จะเสนอชื่อของเขา
ทว่าข้างหน้ายังมีอัครเสนาบดีเซี่ยนั่งอยู่…จะทำอย่างไรดี
เซี่ยซูพลันรู้สึกขบขัน ขุนนางทั่วราชสำนักทั้งบู๊และบุ๋นใครบ้างไม่รู้ว่านางเป็นลูกหลานขุนนางเลว วันนี้ยังแสดงท่าทีหยาบคายอย่างไม่ครั่นคร้ามใดๆ อีก คำว่า ‘ดี’ นี้ย่อมห่างไกลจากตัวนางมากนัก เห็นทีองค์ชายเก้าคงหาทางกลั่นแกล้งนางไม่เลิกแน่
แม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ปล่อยให้เซี่ยซูได้ผ่อนคลายจิตใจ พระองค์เป็นคนแรกที่เอ่ยถามขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ “ในเมื่ออัครเสนาบดีเซี่ยเป็นหัวหน้าของเหล่าขุนนาง เช่นนั้นก็ให้เจ้าบอกแล้วกัน ทั่วทั้งราชสำนักนี้ ใครกันที่คู่ควรกับคำว่า ‘ดี’ ”
เหล่าขุนนางพากันโล่งอก เรื่องเช่นนี้ใครเป็นคนตอบก็ถือเป็นคราวเคราะห์ของคนผู้นั้นเอง ให้เซี่ยซูตอบนั่นแหละดีแล้ว
เซี่ยซูไม่ได้ลุกขึ้น นางเพียงหันไปประสานมือคารวะฮ่องเต้ แล้วเอ่ยตอบอย่างสุภาพ “กระหม่อมรู้สึกว่าท่ามกลางข้าราชสำนักทั้งหมด คนที่คู่ควรกับคำนี้เห็นจะมีเพียงตัวกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”
“พรืด!” องค์ชายเก้าถึงกับสำลักสุราออกมาจนหมด สีหน้าประเดี๋ยวแดงก่ำประเดี๋ยวซีดขาว
เว่ยอี้จือกลับเพียงยิ้มน้อยๆ เขาวางจอกสุราในมือลง แล้วจ้องมองเซี่ยซูอย่างละเอียด ราวกับนึกสนุกขึ้นมากระนั้น
ฮ่องเต้ถึงกับตกตะลึงกับความหน้าหนาไม่รู้จักอายของเซี่ยซูแล้ว “ว่าอย่างไรนะ…”
เซี่ยซูถือพัดไว้ในมือ ชายแขนเสื้อยกขึ้น สีหน้าไม่ยี่หระเลยสักนิด “ฝ่าบาททรงทราบอยู่แล้วว่าตัวกระหม่อมมีฐานะต่ำต้อยเพียงใด ตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาในราชสำนักก็ถูกมองด้วยสายตาดูหมิ่นดูแคลนแล้ว ส่วนกระหม่อมน่ะหรือ…นอกจากไม่หวั่นไหวต่อข่าวลือไร้ที่มาเหล่านั้น กลับยังยึดมั่นต่อตำแหน่งอัครเสนาบดีมิเสื่อมคลาย ทำหน้าที่อย่างจงรักภักดียิ่ง เช่นนี้มิใช่ต้นแบบของการยืนหยัดเพื่อเป้าหมายหรอกหรือ ไยจะไม่คู่ควรกับคำว่า ‘ดี’ อีกเล่า”
เซี่ยซูพูดได้สั่นคลอนจิตใจคนฟังยิ่ง ดวงตาเปล่งประกายวาววามไปด้วยหยาดน้ำตา แทบจะทำให้ฮ่องเต้นึกสงสารเลยทีเดียว
แทบไม่เคยพบเห็นผู้ใดหน้าด้านหน้าทนเช่นนี้มาก่อนเลย ฮ่องเต้ถึงกับเอ่ยอะไรไม่ออก
จู่ๆ เซี่ยซูก็ผุดลุกขึ้นยืน “เพื่อป้องกันคนกล่าวครหาว่ากระหม่อมพูดจาพล่อยๆ วันนี้ก็มาลองหยั่งเสียงกันเถิด ทุกท่านไม่ต้องเขียนทั้งชื่อแซ่ลงไป หากรู้สึกว่าใครที่คู่ควรกับคำว่า ‘ดี’ ก็ให้เขียนเพียงชื่อของคนผู้นั้นลงในกระดาษ ครั้งนี้ให้องค์ชายเก้าเป็นผู้ขานชื่อของแต่ละใบออกมาด้วยตัวเอง และฝ่าบาททรงประกาศผลอย่างเป็นทางการ ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงมีความเห็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้กระแอมไอ อย่างไรพวกขุนนางก็ต้องเห็นแก่หน้าอู่หลิงอ๋องบ้างแหละน่า พระองค์พยักหน้ารับในที่สุด “เช่นนั้นก็จงจัดการตามนี้เถอะ”
นางกำนัลต่างเดินเรียงแถวยกพู่กัน กระดาษ หมึกแท่ง และจานฝนหมึกเข้ามา ทุกอย่างผ่านไปเร็วมาก เพียงไม่นานผลการหยั่งเสียงก็ออกมา
องค์ชายเก้าหยุดยืนอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้พลางขานชื่อในกระดาษทีละแผ่น เสียงกงกงที่อยู่ข้างพระวรกายฮ่องเต้ทำหน้าที่จดบันทึก สุดท้ายก็พบว่า…น่าประหลาดแท้ เป็นเซี่ยซูจริงเสียด้วย ทั้งยังชนะอู่หลิงอ๋องไปเพียงคะแนนเดียวเท่านั้น
“เป็นไปไม่ได้!” องค์ชายเก้าโกรธจนสะบัดชายแขนเสื้อแล้วเดินกลับไปนั่งตามเดิม
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว
มีเพียงเว่ยอี้จือและเซี่ยซูที่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ราวกับว่าที่ถกเถียงกันอยู่ในตอนนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกตน
ตอนนี้บรรยากาศเปลี่ยนเป็นเปราะบางยิ่ง ฮ่องเต้รู้สึกหมดสนุกแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้นอกจากพระองค์ไม่ได้ประโยชน์อะไรแล้ว ยังทำให้เซี่ยซูได้หน้าไปอีก จึงรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง ไม่ช้าก็อ้างว่าเวียนศีรษะขอตัวออกจากงานเลี้ยงไปก่อน
เซี่ยซูเห็นสถานการณ์เป็นไปเช่นนี้ก็รีบกล่าวลาเช่นกัน นางเป็นถึงอัครเสนาบดี หากยังอยู่ต่อจะยิ่งทำให้คนวางหน้าไม่ติด มีแต่ทำให้องค์ชายเก้ายิ่งอารมณ์เสียมากขึ้นเท่านั้น
“ลูกหลานพวกชั้นต่ำก็ไม่รู้ธรรมเนียมเช่นนี้แหละ!” องค์ชายเก้ากล่าวออกมาอย่างขุ่นเคือง
เว่ยอี้จือยกจอกสุราขึ้นพลางมองตามด้านหลังเซี่ยซูที่รีบร้อนจากไป เขาเพียงยิ้มโดยไม่พูดอะไร
เซี่ยซูเดินเร็วออกมา ไม่ว่าเหล่านางกำนัลจะส่งสายตาให้มากมายเพียงไรก็ไม่คิดสนใจ นางเพิ่งพ้นจากประตูวัง มู่ไป๋ก็ตรงเข้ามาหาทันที นางรีบออกคำสั่ง “เตรียมพู่กันกับหมึกไว้ด้วย”
“ขอรับ” มู่ไป๋ไม่กล้าชักช้า เขารีบประคองผู้เป็นนายขึ้นรถ จุดตะเกียงให้ ก่อนจะหาพู่กัน กระดาษ หมึก และจานฝนหมึกมาให้อย่างพร้อมสรรพ
เซี่ยซูกางพัดออก เอากระดาษปูทับลงไปบนพัดแล้วเริ่มตวัดพู่กัน เขียนไปได้สักพักก็จะมีหยุดนึกบ้างเป็นครั้งคราว หลังจากเขียนพู่กันขยุกขยิกอยู่พักใหญ่แล้วจึงได้หยุดมือ
“เอาล่ะ คัดลอกชื่อที่ข้าเขียนไว้ออกมา”
มู่ไป๋รับกระดาษมา จนถึงตอนนี้จึงค่อยกล้าเอ่ยถาม “คุณชายรีบร้อนเพียงนี้ เขียนอะไรไว้หรือขอรับ”
“ก็ข้าร้อนใจน่ะสิ เวลากระชั้นชิดมาก เกรงจะหลงลืมสิ่งที่จดจำเอาไว้” นางกางพัดจีบออกโบกไปมา หัวใจที่เต้นรัวค่อยๆ สงบลง
วันนี้ฉวยโอกาสตอนที่องค์ชายเก้าเสนอให้มีการหยั่งเสียง นางก็ลอบจดจำตำแหน่งที่นั่งของขุนนางทั้งหลายเอาไว้ ซึ่งนางกำนัลจะคอยเดินเก็บใบเสนอชื่อตามลำดับ ยามที่องค์ชายเก้าขานชื่อก็ทำตามลำดับเช่นเดียวกัน ขอเพียงสามารถเทียบชื่อที่ขานกับตำแหน่งที่นั่งของคนเหล่านั้นได้ นางก็จะรู้ว่าใครบ้างที่เลือกนาง และใครบ้างที่ไม่ได้เลือก…
หากคนผู้นั้นไม่ใช่คนของสกุลเซี่ยก็ไม่มีอะไรให้ว่ากล่าวได้ แต่หากเป็นคนของสกุลเซี่ยแต่ไม่เลือกนาง เช่นนั้นคงต้องจัดการกับพวกเขาบ้างแล้ว
เซี่ยซูหลับตาคิดคำนวณในใจอย่างถี่ถ้วน ทันใดนั้นก็ตกตะลึง นางหยิบกระดาษในมือมู่ไป๋มาดูแล้วดูอีก มุมปากถึงกับกระตุก “ไม่น่าเป็นไปได้กระมัง…”
เว่ยอี้จือเลือกข้า?!
นี่…ความจำของข้าเพี้ยนไปแล้วหรือไร!
เว่ยอี้จือถือกำเนิดในสกุลเว่ยแห่งเหอตง นับว่าเป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
สกุลเว่ยนั้นยิ่งใหญ่มานานแล้ว เพราะแม้แต่ไทเฮาองค์ปัจจุบันก็ยังมาจากสกุลเว่ยเลย ทว่าน่าเสียดาย สกุลเว่ยจำต้องพ่ายแพ้ให้กับสกุลหวังและสกุลเซี่ยที่ร่วมมือกัน ทว่าหลังจากโค่นสกุลเว่ยลงได้แล้ว สกุลหวังและสกุลเซี่ยก็หันมาต่อสู้กันเอง สุดท้ายจึงเป็นสกุลเซี่ยที่ชนะไปในที่สุด และรุ่งเรืองขึ้นมาได้หลายสิบปีแล้ว
ดังนั้นระหว่างเว่ยอี้จือกับเซี่ยซูย่อมมีความแค้นต่อกัน มองด้วยสายตาแคบๆ นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้ผิดใจกันไปตลอดชีวิตได้ แต่หากมองให้กว้างขึ้น นี่ยังถือเป็นภารกิจใหญ่ประจำตระกูลทีเดียว
เทียบกับคนอื่นๆ ในสกุลเว่ยแล้ว เซียงฮูหยินมารดาของเว่ยอี้จือถือเป็นผู้ที่อาจหาญแบกรับชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลไว้มากที่สุด นางเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ มีชื่อเสียงในเรื่องที่มีความรู้มากมาย แม้เป็นสตรีแต่ก็เป็นคนที่โดดเด่นมากคนหนึ่งในอาณาจักรต้าจิ้น ทว่าสิ่งที่เลื่องลือยิ่งกว่าชื่อเสียงของนางก็คือ…อารมณ์อันเกรี้ยวกราดรุนแรง
เว่ยอี้จือเพิ่งกลับมาถึงจวนของต้าซือหม่า เซียงฮูหยินก็รีบปราดเข้ามาถามในทันที “เป็นอย่างไรบ้าง สารเลวแซ่เซี่ยนั่นอับอายขายหน้าจนไปกระโดดแม่น้ำตายแล้วหรือยัง!”
เว่ยอี้จือกุมมือมารดาพลางยิ้มตอบด้วยน้ำเสียงละมุน “ที่แท้เมื่อตอนกลางวันที่ท่านแม่พบกับองค์ชายเก้าก็ถกกันด้วยเรื่องนี้เองหรือ ข้าก็ว่าสิ เหตุใดเสื้อผ้าดีๆ ของข้าจึงกลายเป็นเสื้อผ้าเนื้อหยาบไปได้”
เซียงฮูหยินใบหน้าแดงเรื่อ “ก็แม่ช่วยแก้แค้นแทนเจ้ามิใช่หรือ เจ้าบ้าแซ่เซี่ยนั่นทำร้ายแม่ ทำให้แม่ไม่อาจอุ้มหลานได้ในเร็ววัน แม่หรือจะยกโทษให้หลานของมันได้!”
เว่ยอี้จือยิ้มโดยไม่พูดอะไร เขาเพียงทำทีเป็นเห็นด้วยเพื่อปลอบมารดาให้คลายใจ
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ยังกริ้วจากงานเลี้ยงอยู่ วันรุ่งขึ้นจึงประกาศงดการเข้าเฝ้ายามเช้า ขุนนางคนอื่นๆ ได้รับแจ้งข่าวแต่เนิ่นๆ มีเพียงเซี่ยซูที่มาถึงวังหลวงแล้วจึงค่อยได้รับแจ้ง
มาเสียเที่ยวแท้ๆ เอาเถอะ คิดเสียว่าออกกำลังยามเช้าก็แล้วกัน!
ยังไม่พ้นยามเหม่า ตะวันเพิ่งจะเยี่ยมหน้าออกมาเท่านั้น เซี่ยซูในชุดขุนนางเต็มยศก็เดินกลับไปทางประตูวัง ตามทางเหล่านางกำนัลต่างย่อกายคารวะ แต่ก็มีแอบส่งสายตามาให้ไม่น้อย ใบหน้างดงามประดุจภาพวาด ชุดขุนนางยาวแขนกว้างก็ยิ่งทำให้ดูโดดเด่นชวนมอง ท่าทางการเดินอันสง่างามก็ยิ่งขับให้เซี่ยซูดูมีเสน่ห์มากขึ้น
เซี่ยซูวางท่าใหญ่โตในราชสำนักก็จริง ทว่าอีกมุมหนึ่งนางก็ให้ความเป็นกันเองยิ่ง ยามเหลือบเห็นนางกำนัลแอบมองมา นางก็จงใจขยิบตาให้อีกฝ่าย ถึงกับทำให้สาวน้อยผู้นั้นเขินอายจนต้องก้มหน้างุด รอจนนางจากไปแล้ว นางกำนัลน้อยผู้นั้นก็ดึงดูดสหายอีกคนเข้ามา
“เจ้ามันนางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ หว่านเสน่ห์จนไปเข้าตาท่านอัครเสนาบดีของข้าจนได้!”
“ชิ! ท่านอัครเสนาบดีเป็นของข้าต่างหาก เจ้าหลบไปไกลๆ เลย!”
“เจ้าสิหลบไป! เจ้าเคยบอกว่าชอบอู่หลิงอ๋องชัดๆ!”
ขึ้นรถม้าออกจากวังหลวงมาแล้ว ทันใดนั้นรถม้าของอู่หลิงอ๋องก็ปรากฏขึ้นข้างหน้า กำลังแล่นมาจากทิศทางตรงข้าม เดิมทีเซี่ยซูยังคิดว่าตนเองตาฝาดไปจึงรีบร้องบอกให้หยุดรถ ก่อนเพ่งมองให้แน่ใจ
เว่ยอี้จือพลันเลิกม่านแล้วชะโงกใบหน้าออกมา
“อ้าว เว่ยอี้จือจะไปเข้าเฝ้าหรือ” เซี่ยซูอดทักทายอีกฝ่ายไม่ได้
เว่ยอี้จืออมยิ้มพลางพยักหน้า “พอดีวันนี้มีธุระจึงได้มาสาย ทำไมหรือ เห็นท่านอัครเสนาบดีออกมาเช่นนี้ หรือว่าเข้าเฝ้ายามเช้าเลิกแล้ว”
เซี่ยซูหัวเราะออกมา “ใครว่าล่ะ เมื่อวานฝ่าบาททรงดื่มน้ำจัณฑ์ไปมาก วันนี้จึงงดเข้าเฝ้ายามเช้า ข้ายังคิดว่ามีแต่จวนอัครเสนาบดีที่ไม่ได้รับแจ้งเสียอีก ไม่คิดว่าแม้แต่จวนต้าซือหม่าก็ไม่ทราบเรื่องด้วย”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” สีหน้าเว่ยอี้จือเผยว่าเพิ่งรู้ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็คงต้องกลับทางเดียวกับท่านแล้ว”
“คงต้องเป็นเช่นนั้น” เซี่ยซูปล่อยม่านลง นางหันไปยิ้มกับมู่ไป๋แล้วเอ่ยว่า “ช่างรู้จักวางตัวเสียจริง คงกลัวว่าข้าจะนึกชิงชังฝ่าบาท จึงแสร้งทำเป็นมาที่นี่เช่นนี้ เพื่อพิสูจน์ว่าฝ่าบาททรงไม่มีเจตนาจะเล่นงานข้า”
มู่ไป๋ทำเสียงอาแล้วเอ่ยว่า “บ่าวก็ยังคิดว่าอู่หลิงอ๋องไม่ได้รับแจ้งจริงๆ”
“ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับเขาถึงเพียงนี้ ต่อให้ไม่แจ้ง ขุนนางบู๊บุ๋นทั่วราชสำนักก็ยังต้องแจ้งเขา” เซี่ยซูลูบศีรษะมู่ไป๋ด้วยความเอ็นดู “เจ้าเป็นเด็กดีไร้เดียงสาเสียจริง ต้องรักษาข้อดีนี้ไว้ให้ดีเล่า”
“…”
ยามกลางวสันตฤดู เวลายามเช้า รถม้าอันหรูหราของจวนอัครเสนาบดีกับรถม้าสามัญของอู่หลิงอ๋องเคลื่อนเคียงกันมาบนถนนใหญ่กลางเมือง เรียกความสนใจของผู้คนให้หันมามองได้ในทันที
มู่ไป๋เบ้ปาก “ไร้มารยาทสิ้นดี ต่อให้เป็นจวิ้นอ๋อง และต้าซือหม่า แต่ก็ยังต่ำกว่าตำแหน่งอัครเสนาบดีของคุณชายอยู่หนึ่งขั้น จะมาเคลื่อนเคียงกันเช่นนี้ได้อย่างไร”
เซี่ยซูโบกพัดพลางหัวเราะ
นี่ก็คือความเจ้าเล่ห์ของอู่หลิงอ๋อง ถ้าเขาเอาแต่ทำตัวลับๆ ล่อๆ จะทำให้นางยิ่งระมัดระวังเขา แต่หากจงใจเผยท่าทีอย่างโจ่งแจ้งก็จะทำให้รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่ากลัว ตอนนั้นที่เขาจงใจให้นางยืมเสื้อผ้าก็อาจทำไปเพื่อกลั่นแกล้งนาง ซึ่งมีความเป็นไปได้ถึงแปดส่วน
เซี่ยซูถอนหายใจ คนผู้นี้ลึกล้ำยากจะหยั่งถึง ดูแล้วรับมือได้ยากจริงๆ
ตอนนี้เอง จู่ๆ เว่ยอี้จือก็เรียกนาง เซี่ยซูเลิกม่านขึ้น ก่อนจะเห็นใบหน้ากระจ่างดุจไข่มุกของเขาอาบไล้แสงตะวัน รอยยิ้มที่ประดับมุมปากนั่นแทบจะละลายสายตาของผู้ที่พบเห็นเลยทีเดียว
มีเสียงร้องอุทานดังขึ้นในหมู่หญิงสาวที่อยู่รอบด้าน วันนั้นที่เว่ยอี้จือเข้าเมืองเขาไม่ได้เยี่ยมหน้าออกมา วันนี้จู่ๆ ก็เลิกม่านขึ้นเช่นนี้ จะไม่ให้พวกนางกรีดร้องด้วยความปลาบปลื้มได้หรือ พอเซี่ยซูเยี่ยมหน้าออกมาหลังจากนั้น หญิงสาวอีกกลุ่มก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วย เหมือนประชันกับเสียงกรีดร้องเมื่อครู่
เซี่ยซูหันไปมองเว่ยอี้จือด้วยสีหน้าจนใจ “อู่หลิงอ๋อง จู่ๆ ก็เรียกข้าเช่นนี้ มีอะไรหรือ”
เว่ยอี้จือยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไม่มีอะไรหรอก เพียงแค่อยากจะเห็นว่าท่านอัครเสนาบดีเป็นที่ปลาบปลื้มชื่นชมอย่างที่เขาเล่าลือกันมาหรือไม่ ดูแล้วก็คงจะจริง”
เซี่ยซูหรี่ตานิดๆ “ฟังจากที่ท่านพูดมา หรือว่าอู่หลิงอ๋องอยากจะแข่งประชันกับข้า?” นางใช้พัดแตะที่แก้มตนเองเบาๆ “เพื่อหน้าตานี้น่ะหรือ”
เว่ยอี้จือยังไม่ทันตอบก็ได้ยินเสียงพลั่ก มีคนโยนผลแตงขึ้นไปบนรถของเซี่ยซู เห็นได้ชัดว่าหลงเสน่ห์นางโดยไม่รู้ตัวแล้ว
“ดูสิ ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย การแข่งขันก็เริ่มขึ้นแล้ว” เว่ยอี้จือยิ้มแล้วปล่อยม่านรถลง ทางนั้นก็มีคนโยนผลแตงขึ้นมาบนรถของเขาด้วยเช่นกัน
พักเดียวผู้คนก็ออกมายืนกันจนเต็มสองข้างทาง พากันโยนผลหมากรากไม้มาให้ ยืนรวมกันเป็นกลุ่มๆ ทั้งซ้ายและขวา ประหนึ่งตั้งป้อมแยกกันอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่มู่ไป๋กับฝูเสวียนก็ยังถูกยกเอามาเปรียบเทียบด้วย
แรกเริ่มแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ เริ่มจากถกเถียงกันเบาๆ ไปจนถึงตะคอกใส่กันเสียงดัง ฝ่ายหนึ่งบอกว่าอัครเสนาบดีทั้งรูปงามและเก่งกาจไร้ผู้เทียมทาน อีกฝ่ายก็บอกว่าอู่หลิงอ๋องสง่างามหาใดเปรียบ ทั้งยังเก่งกาจในการรบทัพจับศึก ต่างฝ่ายต่างโอ้อวดคนที่ตนชื่นชอบเป็นการใหญ่
ทว่าคนที่น่ายินดีมากที่สุดเห็นจะเป็นพ่อค้าเร่ขายแตงซึ่งวางขายอยู่ข้างทาง คาดว่าคงค้าขายทำกำไรได้อักโขทีเดียว!
กระทั่งรถม้าแล่นอยู่บนถนนใหญ่มาได้ไกลแล้ว รถม้าของทั้งสองฝ่ายจึงหยุดลงที่ทางแยก ไม่ช้าก็กล่าวลากัน
เซี่ยซูเลิกม่านรถแล้วลงมา นางเดินไปยังข้างรถของเว่ยอี้จือแล้วเอ่ยว่า “เคยได้ยินมาว่าสกุลเว่ยแห่งเหอตงมีชายรูปงามหลายคน วันนี้ได้ร่วมเดินทางด้วยกัน ข้าก็เชื่อว่าจริง อู่หลิงอ๋องช่างรูปงามจนทั่วหล้าหวั่นไหว มีหรือจะไม่ได้รับผลแตงมากำนัลจนเต็มรถเช่นนี้”
เว่ยอี้จือก็ลงจากรถเช่นเดียวกัน ชุดขุนนางราชสำนักสีดำปักลายงดงามบนร่างเขายิ่งขับให้ตัวเขาดูสูงส่ง เขายิ้มแย้มให้อย่างอ่อนโยนแล้วเอ่ยว่า “ท่านอัครเสนาบดีกล่าวผิดไปแล้ว ข้าน่ะหรือจะเทียบกับท่านได้”
ทั้งสองต่างผลัดกันเอ่ยชมไปมาอย่างเสแสร้ง ทันใดนั้นสีหน้าเซี่ยซูก็มีแววละอายพาดผ่าน นางกระแอมทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่ข้าเห็นบนรถท่านมีทับทิมกับหลี่จื่อ มากมาย พูดไปก็น่าอายนัก ของที่ข้าชอบมีน้อยอย่าง จำเพาะต้องมาชอบกินสองสิ่งนี้ ไม่ทราบว่า…”
เว่ยอี้จือหัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ยขึ้นในทันที “ฝูเสวียน เลือกทับทิมกับหลี่จื่อบนรถไปใส่ไว้ในรถม้าอัครเสนาบดีด้วย”
ฝูเสวียนนิ่วหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนไปทำตามคำสั่งแต่โดยดี
ไม่นานนัก ชาวบ้านที่แอบตามพวกเขามาเงียบๆ ก็นำเรื่องที่เห็นนี้ไปขยายความต่อ
“นี่ พวกเจ้าอย่าเอาแต่ทะเลาะกันดีกว่า ยามนี้แม้แต่อู่หลิงอ๋องยังยกผลไม้ของตัวเองให้ท่านอัครเสนาบดีเลย นั่นก็หมายความว่าอู่หลิงอ๋องยอมยกธงยอมแพ้แล้ว!”
“ฮ่าๆๆๆ เช่นนั้นท่านอัครเสนาบดีของข้าก็เป็นชายงามอันดับหนึ่งของต้าจิ้นเรา!” ฝ่ายที่สนับสนุนเซี่ยซูพากันได้ใจ
“ไม่ใช่ๆๆ! ข้าไม่เชื่อหรอก!” ผู้ที่สนับสนุนเว่ยอี้จือถึงกับหมดสติไปสามคน
หลังจากทั้งสองฝ่ายบอกลากันอยู่พักใหญ่ ฝูเสวียนก็กระซิบถามเว่ยอี้จือผ่านม่านกั้น “จวิ้นอ๋อง เหตุใดท่านต้องอ่อนน้อมต่ออัครเสนาบดีด้วยเล่า เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขากำลังวางอุบายหาทางเอาชนะท่าน”
“ช่างเถอะ เดิมทีการแข่งขันนี้ข้าก็แสร้งเกริ่นขึ้นมาอย่างนั้นเอง ชายชาตรีหยัดยืนระหว่างฟ้าดิน ไยต้องอาศัยเพียงหน้าตา” ทันใดนั้นเว่ยอี้จือก็หัวเราะเบาๆ “แต่อัครเสนาบดีผู้นี้ก็น่าสนใจจริงๆ”
ฝ่ายเซี่ยซูที่ดูน่าสนใจผู้นี้ พอกลับถึงจวนแล้วก็นั่งอยู่หลังโต๊ะตั้งอกตั้งใจกินทับทิม มู่ไป๋แกะเปลือกทับทิมให้พลางพูดอย่างกระหยิ่มใจ “บ่าวก็ว่าอู่หลิงอ๋องผู้นั้นเทียบคุณชายไม่ได้หรอก”
เซี่ยซูเบ้ปากอย่างไม่แยแส “อย่าได้พูดจาโอ้อวดเกินไปนัก ในมือเขามีกำลังทหารมากมายเพียงนี้แต่ก็ยังได้รับความชื่นชมจากฝ่าบาทถึงขั้นนี้ได้ คุณชายอย่างข้านึกชื่นชมเขาจริงๆ”
มู่ไป๋กลอกตาใส่อย่างดูแคลน
ในลานบ้านจุดไฟแล้ว พ่อบ้านชราเดินมาถึงหน้าห้องหนังสือ มองเมินกองเปลือกทับทิมราวกับไม่เห็นแล้วเอ่ยรายงาน “คุณชาย มีคนรับใช้จากจวนต้าซือหม่าเอาของมาส่งให้ท่านขอรับ”
“หืม?” เซี่ยซูลุกขึ้นจากหลังโต๊ะ “เอามาดูซิ”
มู่ไป๋รีบเดินไปรับที่ปากประตูทันที ที่แท้ก็เป็นชุดสีขาวชุดหนึ่ง เขาหยิบออกมาดูแล้วพูดอย่างประหลาดใจว่า “คุณชาย นี่เป็นชุดลำลองที่ท่านสวมไปงานเลี้ยงวันนั้นมิใช่หรือขอรับ”
เซี่ยซูรับมาดู ชุดของข้าจริงด้วย
ตอนนั้นพอนางเห็นชุดเนื้อผ้าธรรมดานี้ก็รู้แล้วว่าอู่หลิงอ๋องจงใจชูเรื่องชาติกำเนิดมาตั้งข้อรังเกียจนาง หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนางจึงจงใจทิ้งชุดที่ขาดชุดนี้เอาไว้ ดูเผินๆ เหมือนลืมไว้ แต่ที่จริงเป็นการ ‘ให้ของขวัญตอบแทน’ ต่างหาก
เซี่ยซูหยิบชุดที่ตั้งใจใช้เป็นของขวัญตอบแทนขึ้นมาดูอย่างละเอียด แล้วก็ต้องตกตะลึง
ชายชุดที่ถูกกระบี่แทงจนขาดถูกเย็บติดกลับเป็นเหมือนเดิมแล้ว ตรงที่ผ้าเย็บต่อกันใช้ดิ้นทองคำปักเป็นลวดลายไว้ ดูแล้วประณีตงดงามยิ่ง
“คนที่มาพูดอะไรบ้าง”
พ่อบ้านเอ่ย “คนที่มาบอกว่าอู่หลิงอ๋องกำชับด้วยตนเองว่าต้องส่งเสื้อผ้าให้ถึงมือคุณชาย ดิ้นทองที่ใช้ปักลายนี้เป็นสินสงครามที่ได้จากการสู้รบกับแคว้นถู่อวี้หุน ถือเสียว่าเป็นสิ่งตอบแทนของกำนัลของท่านก็แล้วกัน”
เซี่ยซูรู้สึกขบขันยิ่ง “แต่เขาไม่ได้รับของกำนัลของข้านี่”
“อู่หลิงอ๋องบอกว่านั่นเป็นลาภที่มิควรได้ แต่เสื้อผ้าชุดนี้เขาทำขาดเองกับมือ ย่อมต้องส่งคืนในสภาพสมบูรณ์”
เซี่ยซูพยักหน้า “เข้าใจแล้ว เขามีความคิดละเอียดอ่อนมากทีเดียว”
นางทำเสียงจึ๊กจั๊กสองทีขณะนึกย้อนกลับไป งานเลี้ยงวันนั้น เว่ยอี้จือเริ่มต้นด้วยการทำให้นางขายหน้าก่อนแท้ๆ จู่ๆ ก็มามอบของกำนัลให้ตามหลังเสียอย่างนั้น นี่แสดงให้เห็นว่าศัตรูผู้นี้แข็งแกร่งยิ่งนัก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ใช้อุบายอย่างหนึ่ง ทว่าต่อมาก็ใช้อีกอุบายแล้ว ทำเอานางงุนงงสับสนว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ หากนางไม่ควบคุมสติของตนเองให้ดี นางอาจกลายเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำจนทำอะไรผิดพลาดได้
เซี่ยซูหยิบเสื้อผ้าส่งให้มู่ไป๋ นางเพิ่งจะนั่งลงกินทับทิมต่อ พ่อบ้านที่เพิ่งเดินออกไปก็กลับเข้ามาอีกครั้ง
“คุณชาย คุณชายขอรับ แย่แล้ว บ่าวชราเพิ่งทราบข่าวมาว่าคุณชายหร่านเกิดคิดสั้นเสียแล้วขอรับ!”
เซี่ยซูถึงกับสำลักทับทิมที่กินเข้าไป นางไอแค่กๆ อยู่นาน ได้แต่บ่นอุบในใจ คุณชายหร่านนี่ใครกัน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.