บทที่ 5
เซี่ยซูกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับรายงานบนโต๊ะ ไล่ดูความเป็นมาของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเล่ออันทีละคนๆ ทว่าตำแหน่งอัครเสนาบดีก็มีข้อจำกัด แม้ตรวจสอบได้แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ต่อให้มีเงื่อนงำให้ไปตามสืบต่อก็ยังต้องมอบหมายให้ผู้อื่นเป็นคนไปทำ
ประตูห้องถูกผลักเปิดออกเบาๆ มู่ไป๋เข้ามากระซิบว่า “คุณชาย อู่หลิงอ๋องมาขอพบขอรับ”
“ไปซะ ข้ากำลังยุ่ง อย่ามาล้อเล่น” เซี่ยซูไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ
จู่ๆ ก็มีเงาทาบลงมาเบื้องหน้า เซี่ยซูจำต้องหยุดเขียน พอเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องตะลึงงัน “เป็นความจริงหรือนี่!”
เว่ยอี้จือหัวเราะน้อยๆ “รบกวนท่านแล้ว”
“ที่ไหนกันเล่า มู่ไป๋ จัดที่นั่งซิ”
มู่ไป๋ปูเสื่อไว้เบื้องหน้าโต๊ะ จากนั้นจึงปิดประตูแล้วออกไป สีหน้าท่าทางของเขาไม่อ่อนน้อมและไม่เย่อหยิ่ง
เว่ยอี้จือนั่งพับขาลงต่อหน้าเซี่ยซู แล้วพูดกับคนที่อยู่ข้างหลัง “ฝูเสวียน ยังไม่เข้ามาขอบคุณผู้มีพระคุณอีก”
ฝูเสวียนสวมชุดชาวหูยืนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้นก็ไม่รอช้าก้าวมาข้างหน้า ก่อนจะยกชายเสื้อแล้วคุกเข่าลงกับพื้น ทำการคารวะอย่างเป็นทางการ “ขอบคุณท่านอัครเสนาบดีที่มีบุญคุณช่วยชีวิต”
เซี่ยซูประหลาดใจ “เอ๋? ที่พูดนี้หมายความว่าอะไรหรือ”
ฝูเสวียนเอ่ยว่า “บ่าวกำเนิดมาจากราชวงศ์ของแคว้นฉินจริง บิดาบ่าวนามว่าฝูหยาง เดิมทีเป็นราชเลขาธิการและเป็นผู้ตรวจการมณฑล เป็นเหลนของกษัตริย์แคว้นฉิน ภายหลังติดตามจ้าวกงฝูตาน น้องชายผู้เยาว์วัยของกษัตริย์แคว้นฉินซึ่งวางแผนเป็นกบฏ แต่ถูกอัครเสนาบดีเปิดโปงแผนการเสียก่อนจึงถูกสังหาร โลหิตหลั่งไหลท่วมเรือนชาน มีบ่าวเพียงผู้เดียวที่หนีรอดมาได้ ก่อนจะแฝงตัวเข้าสู่ค่ายทหารแคว้นจิ้น จวิ้นอ๋องถือเป็นผู้มีพระคุณอันใหญ่หลวง เปลี่ยนชื่อบ่าวเป็นเสวียนและรับมาไว้ข้างกาย แต่เพราะบ่าวดื้อรั้นไม่ยอมเปลี่ยนแซ่ ถึงเกือบทำให้จวิ้นอ๋องต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย วันนี้ต้องขอบคุณท่านอัครเสนาบดีที่ช่วยเหลือโดยเห็นแก่คุณธรรม พระคุณอันยิ่งใหญ่นี้ยากจะลืมเลือน” พูดจบก็หมอบคำนับอีกสามครั้ง
เซี่ยซูฟังจบก็ซาบซึ้งใจ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ช่างเถอะ นับแต่นี้ไปเจ้าก็จงลืมเลือนฐานะเก่าไปเสียเถิด จดจำแค่เพียงว่าตนเองเป็นทหารหาญของต้าจิ้นก็หมดเรื่องแล้ว”
เว่ยอี้จืออยู่ข้างๆ พลันพูดขึ้นว่า “ยังมีเรื่องล่านกกระเรียนเซียนด้วย คราวนี้ข้าติดค้างน้ำใจของท่านครั้งใหญ่แล้ว”
เซี่ยซูยิ้มอย่างสนิทชิดเชื้อ “แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น อู่หลิงอ๋องถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม ตัวข้าจะนิ่งดูดายได้หรือ”
“แต่นี่เป็นการทำลายชื่อเสียงอันดีงามของท่านเชียวนะ” การฆ่านกกระเรียนเซียนเป็นเรื่องที่ทำให้เสียชื่ออย่างที่สุด มีเพียงคนต่ำช้าเท่านั้นที่จะทำ เว่ยอี้จือจึงได้พูดเช่นนี้ เขามีท่าทีกล่าวโทษตนเองอย่างมาก จากนั้นจึงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านอัครเสนาบดีมีคุณธรรมสูงส่ง ไม่นิ่งดูดาย นับจากนี้ข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าดุจดั่งพี่น้อง” แม้แต่คำเรียกก็ดูเปลี่ยนไป
เซี่ยซูเดิมทีอยากจะช่วยเขาเพื่อไม่ให้เขาต้องเสียทีให้แก่พวกมีใจทะเยอทะยาน ไม่คิดว่ายังจะได้สิ่งตอบแทนเช่นนี้ นางจึงแสร้งพูดอย่างปลาบปลื้มใจว่า “หวังว่าท่านอ๋องจะไม่รังเกียจ”
เว่ยอี้จือจึงเอ่ยว่า “เวลานี้ไม่มีใครอยู่ด้วย น้องชายไม่ต้องเกรงอกเกรงใจ เรียกข้าตรงๆ ว่าจ้งชิงก็ได้”
“เช่นนี้นับว่าดีเหลือเกิน ยามพวกเราอยู่กันส่วนตัวจ้งชิงก็เรียกข้าด้วยชื่อเล่นว่าหรูอี้ก็ได้”
เว่ยอี้จือยิ้ม “อดีตฮ่องเต้ฮั่นเกาจู่มีพระราชโอรสที่โปรดปรานมาก ทรงเรียกเขาว่าหรูอี้ เห็นทีข่าวลือข้างนอกจะเชื่อถือไม่ได้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสกุลเซี่ย”
เซี่ยซูกระตุกมุมปากพักหนึ่งเป็นเชิงว่ายอมรับ ทว่าแท้จริงแล้วชื่อเล่นนี้มารดาของนางเป็นคนตั้งให้ต่างหาก ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสกุลเซี่ยเลยแม้แต่น้อย
“เอาล่ะ เรื่องการเดินทางไปไคว่จี…” เว่ยอี้จือลากหางเสียง แววรื่นเริงเปี่ยมล้นในดวงตา “ข้าตอบตกลงก็แล้วกัน ได้หรือไม่”
เมื่อสกุลเว่ยมาร่วมชุมนุมด้วย เหล่าตระกูลชั้นสูงที่ก่อนหน้านี้ยังสงวนท่าทีก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ดังนั้นงานชุมนุมจึงถูกกำหนดจัดขึ้นได้อย่างราบรื่นเช่นนี้
ฮ่องเต้จำใจยอมรับเพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเป็นคนใจแคบ พระองค์ย่อมไม่อาจแทรกแซงการตัดสินใจของเว่ยอี้จือได้ เพียงแต่ให้องค์ชายเก้าพระราชโอรสคนโปรดไปลองสอบถามดูเท่านั้นว่าเขาทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร
เว่ยอี้จือจึงบอกว่า “กระหม่อมปรารถนาจะเป็นดวงตาทั้งคู่ให้ฝ่าบาท”
องค์ชายเก้ารีบกลับไปรายงานต่อฮ่องเต้ว่า “ที่แท้อู่หลิงอ๋องภักดียิ่ง บอกว่าต้องการจะคอยช่วยจับตาดูตระกูลชั้นสูงเหล่านี้อย่างใกล้ชิดแทนเสด็จพ่อ!”
นั่นจึงทำให้ฮ่องเต้พอใจอย่างยิ่ง
หลังจากเหตุการณ์นั้น ฝูเสวียนก็แอบถามเว่ยอี้จือว่า “จวิ้นอ๋องคิดจะจับตาดูตระกูลเหล่านั้นแทนฝ่าบาทจริงหรือ”
เว่ยอี้จือตีสีหน้าเรียบเฉย “ข้าไปพูดเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อใด”
“ท่านไม่ได้บอกหรือว่าปรารถนาจะเป็นดวงตาให้ฝ่าบาท”
“อ้อ ข้าแค่บอกว่าจะชมทิวทัศน์อันงดงามที่ไคว่จีแทนฝ่าบาท…ก็เท่านั้นเอง”
ฝูเสวียนสูดลมหายใจเฮือกอย่างตื่นตระหนก ภาษาของชาวฮั่นช่างลึกล้ำ ข้ายังต้องศึกษาอีกมากนัก!
เซี่ยซูไม่มีเวลาจะจัดการเรื่องการเดินทางไปไคว่จี นางจึงยกหน้าที่ในเรื่องนี้ให้เซี่ยหร่านเป็นผู้ดูแล ยามนี้นางตั้งใจว่าจะจัดการเรื่องของเล่ออันก่อน
สกุลเล่อไม่ได้มีอะไรมากนัก อยากจะสืบหาให้ถึงแก่นนั้นง่ายดายมาก ทว่านางไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น จึงเรียกเล่ออันมาแล้วบอกว่า “ข้าเห็นว่าเจ้าเหมาะกับงานผู้ตรวจการ อย่าทำงานที่กรมปกครองอีกเลย ไปทำงานตำแหน่งหัวหน้าสำนักตรวจการเถอะ”
เล่ออันประหลาดใจยิ่ง “คำพูดนี้ของท่านมีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่”
“อ้าว ฎีกาฟ้องร้องกล่าวโทษอู่หลิงอ๋องของเจ้าไม่ใช่หน้าที่ของหัวหน้าสำนักตรวจการหรอกหรือ ข้ารู้สึกว่าเจ้าทำงานได้ดีมาก เมื่อเก่งก็จงอย่าถ่อมตัว รีบไปรับตำแหน่งนี้เสียเถอะ”
หลังจากนั้นหัวหน้าสำนักตรวจการก็ถูกโยกย้ายไปรับหน้าที่ยังกรมปกครอง เล่ออันก็ยอมไปสำนักตรวจการแต่โดยดี ทว่าสำนักตรวจการนั้นอยู่ภายใต้การดูแลของเซี่ยซูนานแล้ว เขาไปที่นั่นจึงเหมือนเข้าไปอยู่หลังผนังทองแดงกำแพงเหล็ก นอกจากทำงานตามหน้าที่แล้วก็ไม่อาจทำอะไรอื่นได้
การจัดการเยี่ยงนี้ช่างทารุณยิ่งนัก!
ไม่มีใครช่วยพูดเกลี้ยกล่อมแทนเล่ออันสักคน และไม่มีใครกล้าถามซอกแซกเรื่องการโยกย้ายครั้งนี้ แม้แต่คนในสกุลเล่อเองก็ยังยอมรับชะตากรรมอยู่เงียบๆ
ดูแล้วอีกฝ่ายคงระวังตัวไม่น้อย เซี่ยซูจึงต้องพักเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว
มาถึงวันหนึ่ง เซี่ยหร่านก็เข้ามารายงานต่อเซี่ยซูว่าทุกอย่างได้ตระเตรียมไว้เรียบร้อย พร้อมจะออกเดินทางไปไคว่จีแล้ว
เขาทำการอย่างละเอียดรอบคอบดีมาก ไม่เพียงจัดการเรื่องวันเดินทางและจำนวนคนอย่างชัดเจนเท่านั้น เขายังทำหนังสือในนามอัครเสนาบดีแจ้งต่อหวังจิ้งจือซึ่งเป็นเจ้าเมืองไคว่จีและแม่ทัพฝ่ายขวาก่อนแล้ว
เซี่ยหร่านล้วนจัดการได้อย่างดี รอเพียงแค่วันออกเดินทางเท่านั้น
เซี่ยซูนั่งอยู่ในห้องหนังสือ นางตรวจดูรายการเรื่องที่จัดแจงซึ่งเซี่ยหร่านส่งมาให้ จู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ส่วนมากสกุลหวังจะไปร่วมงานที่ไคว่จีด้วย การเดินทางไปครั้งนี้ ทุ่ยจี๋คิดเห็นเช่นไร”
เซี่ยหร่านนั่งพับขาอยู่ต่อหน้าเซี่ยซู แผ่นหลังเหยียดตรง “ตอนนั้นที่มีคำกล่าวอ้างว่า ‘หวังและหม่าครองใต้หล้า’ เพราะอำนาจของสกุลหวังเคยรุ่งโรจน์ไม่แพ้เชื้อพระวงศ์ ทว่าบัดนี้กลับเป็นสกุลเซี่ยที่เป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว สกุลหวังก็คงไม่สยบยอมแต่โดยดี ท่านอัครเสนาบดีจะทำการใดล้วนต้องคอยระวังตัวด้วย”
เซี่ยซูคิดถึงตรงนี้ก็เงยหน้าขึ้นถามอีก “เช่นนั้นเจ้าคิดเห็นเกี่ยวกับสกุลเว่ยเช่นไร”
“สกุลเว่ยก็เคยรุ่งโรจน์ แต่ที่ทำให้พวกเขาเสื่อมถอยลงก็เพราะมีคนในตระกูลน้อยเกินไป เมื่อคราวเกิดเหตุจลาจลแปดอ๋อง* บรรพชนสกุลเว่ยเกือบถูกสังหารไปจนสิ้น จากนั้นมาจำนวนสมาชิกในตระกูลก็เทียบกับสกุลหวังไม่ได้ คนที่เก่งก็เทียบกับสกุลเซี่ยไม่ได้ ย่อมยากที่จะกลับมารุ่งเรืองได้อีก บัดนี้เห็นจะมีอู่หลิงอ๋องที่โดดเด่น ทว่าก็มีเขาเพียงคนเดียว ต่อให้ฝ่าบาททรงโปรดปรานและทรงเชื่อในตัวเขาเพียงใด ก็ให้เขากุมกำลังทหารทั่วหล้าไว้แค่เกือบครึ่งเท่านั้น”
เซี่ยซูพยักหน้า “พูดมีเหตุผล ฝ่าบาทมีพระประสงค์จะให้อู่หลิงอ๋องมาเพื่อคานอำนาจเหล่าตระกูลชั้นสูง เราสกุลเซี่ยก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย” นางปิดหนังสือ หันไปยิ้มให้เซี่ยหร่าน “เจ้าก็ไปไคว่จีกับข้าด้วยเถอะ”
เซี่ยหร่านตกตะลึง “ให้ข้าไปด้วยอย่างนั้นหรือ”
“ย่อมต้องไปสิ งานนี้เจ้าเหนื่อยที่สุด ต้องได้ไปอยู่แล้ว”
“แต่ฐานะข้า…”
มู่ไป๋ซึ่งยืนอยู่ข้างเซี่ยซูยืดคอขึ้นอย่างทะนง “ช่วงนี้คุณชายดูมีบารมีน่าเกรงขามนัก ดวงวิญญาณของนายท่านบนสวรรค์จะต้องดีใจแน่ จวนสกุลเซี่ยถึงคราวรุ่งโรจน์ขึ้นแล้ว!”
เซี่ยหร่านพอใจยิ่งนัก แต่เพราะเป็นคนเย่อหยิ่งจึงไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมาให้เห็นมากนัก หลังจากกล่าวขอบคุณเซี่ยซูแล้วก็กลับไปเตรียมตัวที่เรือนหลิวอวิ๋น
กวงฝูคนรับใช้ที่เรือนหลิวอวิ๋นจัดเตรียมหีบเดินทางไว้พร้อมแล้ว เมื่อเห็นผู้เป็นนายกลับมาด้วยสีหน้าเบิกบาน ก็ทราบว่าเขาได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว
“เห็นทีท่านอัครเสนาบดีจะยังให้ความสำคัญกับคุณชายอยู่”
เซี่ยหร่านหัวเราะ “นี่ค่อยคุ้มกับที่ข้าทำตนเองบาดเจ็บในตอนนั้นสักหน่อย”
เขาเข้าใจว่าฐานะของตนเองย่อมไม่อาจวาดหวังถึงอนาคตได้ มีเพียงเรียกร้องความสนใจจากเซี่ยซูเท่านั้น จึงจะทำให้นางมอบโอกาสให้เขาได้ใช้ความสามารถ
ทว่าเรื่องเหล่านี้เขาไม่อาจบอกออกไปได้ มิเช่นนั้นคงจะขายหน้าแย่
ก่อนออกเดินทางสองสามวัน เกิดเรื่องที่ไม่เล็กไม่ใหญ่แทรกขึ้นมา…เว่ยอี้จือส่งรองเท้าไม้คู่หนึ่งมาให้เซี่ยซู
รองเท้าไม้ทำขึ้นอย่างประณีต ดูภายนอกเหมือนจะหนัก ทว่าพอถือไว้ในมือแล้วกลับเบาสบายยิ่ง เซี่ยซูวางรองเท้าไว้บนโต๊ะพลางจ้องมองอยู่นาน กระทั่งอดใจไม่ไหวหยิบไปวางเทียบกับฝ่าเท้าอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจถามมู่ไป๋ด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าว่าอู่หลิงอ๋องมีเจตนาใด”
มู่ไป๋ใคร่ครวญดูแล้วจึงเอ่ยตอบ “คงหวังประจบคุณชายน่ะขอรับ”
เซี่ยซูเบะปาก ก่อนส่งรองเท้าไม้ให้มู่ไป๋ “เจ้ารับเอาไว้เถอะ ข้าใส่ไม่ได้หรอก”
ถึงตอนนี้มู่ไป๋จึงพูดขึ้นอย่างลังเล “อันที่จริง…บ่าวรู้สึกว่าการไปไคว่จีคราวนี้น่าจะได้ใช้สิ่งนี้นะขอรับ ลูกหลานชนชั้นสูงมักจะรักสนุก มีหรือจะไม่สวมเสื้อบางเบาสวมรองเท้าไม้ ดื่มสุราจนเต็มคราบ แม้แต่อู่หลิงอ๋องที่ขึ้นเขาฟู่โจวเมื่อคราวก่อนก็ยังแต่งกายเช่นนี้มิใช่หรือ ใครๆ ก็ทำเช่นนี้กันทั้งนั้นขอรับคุณชาย”
แววตาเซี่ยซูดูหวาดหวั่น “จะต้องแต่งกายเช่นนั้นด้วยหรือ”
มู่ไป๋พยักหน้าหงึกๆ
เซี่ยซูรู้สึกว่าหากต้องแต่งกายเช่นนั้นคงไม่ดีแน่ มิน่าเล่า กระทั่งเว่ยอี้จือยัง ‘อุตส่าห์’ ส่งรองเท้าไม้มาให้ คงจะพิจารณาแล้วว่านางเพิ่งได้เข้าร่วมงานชุมนุมพวกนี้เป็นครั้งแรกจึงช่วยเตือนข้าเช่นนี้
เหล่าลูกหลานชนชั้นสูงล้วนชอบปล่อยตัวตามสบายโดยไม่ยึดกรอบธรรมเนียม พอถึงช่วงอากาศอบอุ่นจึงไม่สวมเสื้อผ้ารัดกุม ข้างในไม่สวมเสื้อตัวกลาง ห่มแต่เสื้อนอกที่เปลือยแขนเพียงตัวเดียว บ่อยครั้งยังเผยทั้งแขนและหน้าอกด้วย ต่างคนต่างหลงใหลคลั่งไคล้ในรูปโฉมของตนเอง
ทว่าเซี่ยซูกลับทำไม่ได้ เสื้อนอกจะหลวมอย่างไรก็ได้ แต่เรื่องไม่สวมเสื้อตัวกลางนี่ถึงกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ยังไม่ต้องพูดถึงงานชุมนุมที่ไคว่จีเลย ตอนนี้ปลายฤดูวสันต์กำลังจะผ่านไป คิมหันตฤดูใกล้เข้ามา ถึงตอนนั้นหากนางยังแต่งตัวมิดชิดอีกคงต้องถูกมองว่าแปลกประหลาดเป็นแน่
นางเดินไปเดินมาอยู่ที่เดิม ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วก็พูดกับมู่ไป๋ว่า “เตรียมชุดชาวหูให้ข้าชุดหนึ่ง”
“อ๊ะ?” มู่ไป๋ได้ยินเช่นนั้นก็อยากร้องไห้ คุณชาย ท่านเติบโตจนป่านนี้ยังไม่รู้ธรรมเนียมอีกหรือ ท่าน…ท่าน…ท่าน…ทำเช่นนี้ดีต่อใครกัน!
เวลานี้เว่ยอี้จือกำลังเตรียมตัว เมื่อเซียงฮูหยินรู้ว่าบุตรชายจะไปไคว่จีก็รีบมาพูดกับเขาอยู่หลายประโยค เขาได้ฟังแล้วทั้งรู้สึกจนปัญญาทั้งขบขัน
“ท่านแม่คิดอย่างไรจึงได้พูดเช่นนี้”
เซียงฮูหยินถลึงตามองเขาอย่างโกรธเกรี้ยว “ไปไคว่จีคราวนี้เจ้าจะได้พบลูกพี่ลูกน้องสกุลหวัง เป็นโอกาสที่ดีนัก ถึงตอนนั้นเจ้าต้องคอยดูว่ามีลูกพี่ลูกน้องหญิงที่ผ่านพิธีปักปิ่น บ้างหรือไม่ หากไม่มีก็คอยสังเกตลูกสาวจากตระกูลชั้นสูงตระกูลอื่นๆ ให้มากหน่อย เจ้าจะให้แม่ต้องรออุ้มหลานจนสายตาฝ้าฟางเลยหรือไร”
เว่ยอี้จือยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้อย่ารีบร้อนนักเลย”
เซียงฮูหยินกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ “จะไม่รีบได้อย่างไร เจ้าจะหลบเลี่ยงชัดๆ! แม่อยากจะฟ้องต่อหน้าป้ายวิญญาณพ่อเจ้าเหลือเกินว่าเจ้ามันอกตัญญู!”
เว่ยอี้จือรีบเข้าไปดึงแขนมารดาไว้ “เอาเถอะๆ ข้าจะลองมองหาก็แล้วกัน…ดีหรือไม่”
เซียงฮูหยินจึงค่อยมีท่าทีพอใจ นางแสร้งหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดหางตาด้วยความซาบซึ้งแล้วเอ่ยว่า “แม่ไม่ได้บีบบังคับเจ้าหรอกนะ เป็นเพราะพ่อเจ้าอายุสั้น มีแค่ซื่อจือกับเจ้าเป็นบุตรชายสองคนเท่านั้น ตอนนั้นแม่หวงเจ้าจึงไม่ให้มีภรรยา บัดนี้รู้สึกผิดนัก มีแต่ได้เห็นครอบครัวเจริญรุ่งเรือง ร้อยปีให้หลังจึงค่อยไปพบบรรพชนสกุลเว่ยอย่างสบายใจเสียที”
เว่ยอี้จือได้ฟังมารดาอ้างถึง ‘บรรพชน’ แล้วก็เวียนศีรษะยิ่ง “ก็ได้ๆๆ ท่านแม่กล่าวได้ถูกต้องแล้ว”
เซียงฮูหยินสะบัดผ้าเช็ดหน้า แล้วพูดอย่างเศร้าสร้อย “หากพี่ชายเจ้ายังสบายดี ก็ดีอยู่หรอก เฮ้อ…”
เว่ยอี้จือนึกถึงพี่ใหญ่แล้วก็ทอดถอนใจทันที
เมื่อเซียงฮูหยินเห็นว่าตนเองบรรลุเป้าหมายแล้วก็พูดคุยเรียบๆ อีกสองสามประโยคก่อนจะกลับออกไป ในใจเริ่มวาดหวังถึงหลานในอนาคต
เมืองเจี้ยนคังห่างจากไคว่จีไม่ไกลมาก ใช้เวลาไม่นานหวังจิ้งจือก็มีหนังสือตอบกลับมา สำบัดสำนวนสละสลวย ลายมือพลิ้วไหว สรุปใจความได้ในประโยคหนึ่งว่า ‘ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมสรรพแล้ว พวกเจ้ามากันได้’
เซี่ยซูเพิ่งได้เรียนอ่านเขียนตอนที่เข้ามาในจวนอัครเสนาบดี เนื่องจากลายมือของนางแย่มากจึงถูกเซี่ยหมิงกวงทำโทษลงมาไม่น้อย จนบัดนี้ลายมือจึงนับว่าพอใช้ได้แล้ว แต่พอได้เห็นลายมือหวังจิ้งจือ นางก็นึกอยากจะขุดรูเข้าไปหลบเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“มานี่สิ มู่ไป๋ เอาจดหมายนี้ไปแขวนให้ข้าที”
มู่ไป๋นั้นชื่นชมสกุลเซี่ยมากอย่างไม่ลืมหูลืมตา ดังนั้นจึงพลอยเทิดทูนเซี่ยซูอย่างไม่ลืมหูลืมตาตามไปด้วย เขาพูดอย่างเหยียดหยามว่า “คุณชาย ท่านใช้เท้าก็ยังเขียนได้งามกว่าลายมือนี้เลย ไยต้องให้ค่าลายมือพวกสกุลหวังถึงเพียงนี้ด้วย”
เซี่ยซูนึกถึงรองเท้าไม้ขึ้นมาพอดี นางจึงพูดเสียงเศร้าว่า “อย่าได้พูดเรื่องเท้ากับข้า…”
และแล้ววันออกเดินทางก็มาถึง
ตระกูลดังในต้าจิ้นมีกว่าร้อยตระกูล ที่ตั้งรกรากอยู่ในเมืองเจี้ยนคังก็แทบจะเกินครึ่งแล้ว แถวรถม้ายาวเหยียดติดต่อกัน แทบจะทอดยาวจากประตูเซวียนหยางไปถึงคูเมืองทางทิศใต้ที่อยู่นอกเมืองเลยทีเดียว
เซี่ยซูวางท่าใหญ่โตเหมือนที่เคยเป็นมา ขณะที่คนอื่นมาถึงกันแล้ว รถม้าของนางกลับค่อยๆ แล่นมาอย่างเชื่องช้า ถึงอย่างนั้นก็ยังรักษาเวลา ไม่ได้มาสายแต่อย่างใด ในบรรดาตระกูลชั้นสูงในที่แห่งนั้น มีไม่น้อยที่เป็นผู้อาวุโสผู้ทรงภูมิและมีชื่อเสียง แม้ไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ไม่อาจพูดอะไรได้
เซี่ยซูเลิกม่านแล้วเดินออกมา ทุกคนพากันคำนับ ตระกูลชั้นสูงแต่ละตระกูลเมื่อเห็นท่าทางของนางเปี่ยมด้วยมารยาทและดูสง่างาม ไม่มีข้อใดให้ตำหนิได้ ความไม่พอใจต่อการเดินทางครั้งนี้จึงลดลงมาก
พูดทักทายตามมารยาทสองสามประโยค และไม่ลืมที่จะเอ่ยชื่นชมคุณธรรมและอัจฉริยภาพของฮ่องเต้อีกสักหน่อยแล้ว เซี่ยซูก็ร้องสั่งให้ออกเดินทางได้
ลูกหลานจากหลายตระกูลพากันกระโดดขึ้นรถม้าของเว่ยอี้จือ ด้วยอยากจะร่วมเดินทางไปกับเขา เซี่ยซูเห็นเข้าก็ประหลาดใจ ปกติแล้วเว่ยอี้จือดูเหมือนจะไปไหนมาไหนตามลำพัง นางย่อมคิดไม่ถึงว่าเขาจะให้ความเป็นกันเองกับผู้อื่นถึงเพียงนี้
บัดนี้นางก็เรียกขานเขาว่าพี่น้องเป็นการส่วนตัวมิใช่หรือ
เจ้านี่มีฝีมือเก่งกาจไม่เบา…
มือเว่ยอี้จือเลิกม่านขึ้น ก่อนพูดกับพวกเขาสองสามประโยค ในรถก็มีเสียงหัวเราะครืน คุณชายวัยหนุ่มหนึ่งในนั้นที่ชื่อว่าหยางจวี้ชี้ออกไปนอกรถแล้วเอ่ยว่า “ท่านอัครเสนาบดีกำลังมองมาทางนี้ หรือว่าพวกเราส่งเสียงดังจนเกินไป”
ทุกคนหันขวับมามองโดยไม่ได้นัดหมาย เว่ยอี้จือก็ไม่ต่างกัน เขาหันไปยิ้มให้เซี่ยซู จากนั้นจึงยกมือประสานคำนับ คุณชายคนอื่นๆ จำต้องหันไปคำนับทักทายเซี่ยซูทีละคนๆ
เซี่ยซูพยักหน้ารับการคำนับ ก่อนจะหันไปยิ้มให้เว่ยอี้จือด้วย
ทุกคนต่างพากันมองจนเคลิบเคลิ้ม คุณชายหวนถิงจากสกุลหวนนั้นอาการหนักกว่าใคร เขามองดูกระทั่งเซี่ยซูปล่อยม่านลงแล้วจึงค่อยได้สติ เนื่องจากเขาเพิ่งได้เข้าสู่แวดวงขุนนาง ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ได้พบเซี่ยซูบ่อยครั้ง วันนี้ได้พินิจดูหน้าตาของอีกฝ่ายอย่างละเอียดก็พลันตกตะลึงพรึงเพริดยิ่ง “หากท่านอัครเสนาบดีเป็นสตรีล่ะก็ จะต้องทำให้ขุนนางทั้งหลายพากันแย่งชิงกันอย่างเอาเป็นเอาตายแน่นอน”
หยางจวี้รู้ว่าหวนถิงยังหนุ่มแน่น จึงเอ่ยเตือนเขาด้วยความหวังดี “เอินผิง อย่าพูดไปเรื่อยเปื่อย หากไปเข้าหูท่านอัครเสนาบดีขึ้นมา เกรงว่าจะทำให้เจ้าเดือดร้อนเอาได้”
เว่ยอี้จือยิ้มแล้วเอ่ยว่า “หากเขาเป็นสตรีจริง มิใช่ว่าต้องเปลี่ยนให้ผู้อื่นมาเป็นอัครเสนาบดีแทนหรอกหรือ”
ทุกคนตกตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะพากันหัวเราะร่า เรื่องนี้เพียงแค่หยอกเย้ากันเล่นเท่านั้น
ยังไม่ทันสิ้นเสียงหัวเราะก็มีเสียงม้าร้องฮี้ยาว เด็กรับใช้พากันร้องตะโกนบอกให้คนเดินเท้าหลีกทาง ทหารที่ทำหน้าที่คุ้มกันเดินแถวอย่างเป็นระเบียบ นักขับร้องหญิงที่ตระกูลชั้นสูงพาร่วมเดินทางไปด้วยคอยส่งเสียงพูดคุยหัวเราะคิกคักเป็นที่สนุกสนาน เหล่าคุณชายก็พูดคุยกันอย่างเบิกบานใจ
รถม้าของเซี่ยซูแล่นอยู่ตรงกลาง ข้างหน้ามีแม่ทัพเชอจี้นำขบวนคอยคุ้มกัน ข้างหลังมีรถม้าของเซี่ยหร่านแล่นตามติดไปด้วยทุกที่
ระหว่างการเดินทางอันแสนจะน่าเบื่อนั้น เซี่ยซูก็กินทับทิมที่มู่ไป๋คอยแกะให้ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายเสียเหลือเกิน นางจึงกางพัดออกบังใบหน้า
“มู่ไป๋ ถึงแล้วปลุกข้าด้วย” กล่าวจบนางก็หลับไปทันที
มู่ไป๋รีบปิดม่านไว้อย่างดี หากมีใครมาเห็นอัครเสนาบดีหลับใหลอยู่ในรถม้าล่ะก็ ข้าคงต้องปลิดชีพตนเองไปพบท่านเซี่ยหมิงกวงเป็นแน่
ไคว่จีมีทัศนียภาพที่งดงามไม่เหมือนใคร ขุนเขาสูงผืนน้ำงดงาม เป็นสถานที่ที่คนมีชื่อเสียงและบัณฑิตมากมายล้วนชื่นชอบ คนสกุลหวังส่วนมากมักจะอาศัยอยู่ที่นี่ ในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีหวังจิ้งจือที่เป็นคนสำคัญ
ประมุขสกุลหวังในตอนนี้ก็คือหวังจิ้งจือ อายุเพิ่งสามสิบก็มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือไปทั้งในและนอกราชสำนัก ว่ากันว่าตอนนั้นเขาหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมออกมาเป็นขุนนาง ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของเขาคือการอยู่บ้านนั่งเขียนอักษรและวาดภาพ ฮ่องเต้จะมอบตำแหน่งให้เขาอยู่หลายครั้ง เขาก็ล้วนปฏิเสธไม่ยอมรับ ทั้งยังพาอนุภรรยาโฉมงามออกท่องเที่ยวไปทั่ว เดินทางครั้งหนึ่งก็ใช้เวลาร่วมครึ่งปี
บิดาเขาโกรธมากจนถึงกับลาโลกไปด้วยเหตุนี้ หวังจิ้งจือจึงค่อยรู้สึกผิด จากนั้นก็เข้ารับราชการ ไม่ถึงสามปีก็ขึ้นระดับหัวหน้าที่ไคว่จี ทั้งยังได้รับตำแหน่งแม่ทัพฝ่ายขวามาอีกด้วย
บัดนี้สกุลเซี่ยกำลังรุ่งเรืองในราชสำนัก หวังจิ้งจือเองก็ทราบข่าวนานแล้ว ดังนั้นเมื่อเซี่ยซูออกปากว่าจะมาจัดงานชุมนุมที่ไคว่จี เขาจึงรีบตอบรับในทันที
เทียบกับความโกรธแค้นของสมาชิกสกุลหวังคนอื่นๆ สำหรับเขาแล้ว ความอยากรู้อยากเห็นกลับมีมากกว่า อัครเสนาบดีที่มีเลือดของสามัญชนครึ่งหนึ่งผู้นี้…แท้ที่จริงเป็นคนเช่นไรกันแน่
เซี่ยซูที่อยู่ในรถม้าถึงกับจามติดๆ กันหลายหน แล้วหลับต่อ
พวกเขาเดินทางผ่านเขตพื้นที่ของเมืองซินอันมานานแล้ว สามารถมองเห็นเมืองไคว่จีได้แต่ไกล ด้านหนึ่งมู่ไป๋คอยป้องกันสายตาผู้คนที่มองสอดส่องมา อีกด้านก็ต้องคอยเอ่ยเตือนเซี่ยซูอย่างขมขื่น “คุณชาย รักษากิริยาด้วย นั่งให้ดีๆ ขอรับ!”
เซี่ยซูยังคงใช้พัดจีบปิดหน้าทำเป็นไม่ได้ยิน ท่าทางราวกับจะนอนชดเชย หลังจากไม่ได้นอนเต็มอิ่มเพราะต้องเข้าเฝ้ายามเช้าติดๆ กันหลายวันอย่างไรอย่างนั้น
วันที่ไปถึงไคว่จี อากาศขมุกขมัว เมฆลอยต่ำ ขอบฟ้าราวกับถูกละเลงด้วยโคลนเลน เห็นเพียงแสงสีเหลืองจางๆ ด้านล่างคือภาพอันงดงามของทุ่งหญ้าเขียวขจีและดอกไม้นานาพรรณ มองเห็นหอคอยสูงตั้งตระหง่านราวกับเป็นส่วนหนึ่งในภาพวาดน้ำหมึก ดูเรียบง่ายงดงามไม่เหมือนใคร
ทหารบนหอคอยเห็นขบวนรถม้าและผู้คนก็รีบไปรายงานทันที
ไม่นานหวังจิ้งจือก็นำกลุ่มคนออกมาต้อนรับอย่างเอิกเกริก
คนในตระกูลชั้นสูงที่คุ้นเคยกันนานแล้วต่างทักทายเขา เทียบกับเซี่ยซูที่มีชื่อเสียงด่างพร้อยแล้ว หวังจิ้งจือต่างหากที่สมกับเป็นลูกหลานจากชนชั้นสูงจริงๆ ท่าทางของเขาโดดเด่น วางตัวสง่างาม มีความสามารถแต่ไม่เย่อหยิ่ง มีคุณธรรมแต่ไม่โอ้อวด
ส่วนเสนาบดีเซี่ยนั้นเล่า…ก็เป็นเจ้าคนที่กล้าจับนกกระเรียนมาต้มกินน่ะสิ!
มู่ไป๋เห็นหวังจิ้งจือเดินมุ่งมาหาก็รีบปลุกเซี่ยซู ทว่าอีกฝ่ายกลับยังคงหลับเป็นตาย ทั้งยังรำคาญมู่ไป๋ ถึงขั้นออกปากขู่เข็ญ “ถ้ายังเอะอะโวยวายอีก ข้าจะโยนเจ้าให้เต่ากิน!”
มู่ไป๋แทบหลั่งน้ำตาอาบหน้า “เบาๆ หน่อยขอรับคุณชาย รักษากิริยา รักษากิริยาด้วย!”
เซี่ยหร่านรู้สึกว่าสถานการณ์ด้านหน้าดูแปลกพิกล เขาไม่สะดวกจะออกหน้า จึงเรียกกวงฝูให้ถ่ายทอดคำสั่งไปถึงคนรับใช้ใกล้ชิดของสกุลเซี่ย ให้พวกเขาช่วยกันไปขวางหวังจิ้งจือที่ด้านหน้าไว้ก่อน แล้วค่อยมาแจ้งแก่มู่ไป๋ว่าต้องปลุกเซี่ยซูให้ตื่นให้ได้…ต่อให้ต้องใช้น้ำสาดก็ต้องทำ
มู่ไป๋ไหนเลยจะกล้าสาดน้ำใส่เจ้านาย สาดแล้วก็ต้องเปียกม่อล่อกม่อแล่ก มิยิ่งดูแย่กว่าเดิมหรือ
เว่ยอี้จือลงจากรถม้า เขาเห็นหวังจิ้งจือเดินตรงมาแต่ไกลแล้ว เขาจึงหันไปมองรถม้าของเซี่ยซู เดิมทีคิดว่าที่อีกฝ่ายนิ่งเฉยอยู่นานคงแค่คิดจะทำท่าวางโตเท่านั้น ใครเลยจะรู้ ทันทีที่ลมพัดจนม่านรถมุมหนึ่งพะเยิบพะยาบขึ้น เขาจึงเห็นว่ามู่ไป๋กำลังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่แล้ว
เขาคิดว่าคงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเซี่ยซูแต่ไม่อาจบอกออกมาได้ จึงสั่งให้ฝูเสวียนไปคอยกันคนอื่นๆ เอาไว้ก่อน ส่วนตนเองลอบเดินไปทางรถม้าของเซี่ยซู
เวลานี้ทุกคนต่างก็หันไปสนใจหวังจิ้งจือกันหมด จึงไม่มีใครสนใจทางด้านเซี่ยซูสักนิด เว่ยอี้จือเดินเร็วมาก จากนั้นก็ขึ้นไปบนรถม้าของเซี่ยซูได้อย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
“หรูอี้”
เซี่ยซูที่ถูกมู่ไป๋กวนอยู่นานจนใกล้จะตื่นอยู่แล้ว ทันใดนั้นก็ได้ยินคนเอ่ยเรียกชื่อ ตอนแรกนางนิ่งงันไปก่อน จากนั้นจึงค่อยได้สติกลับมา
นานแล้วที่ไม่มีใครเรียกนางด้วยชื่อนี้
เซี่ยซูลดพัดจีบที่ปิดหน้าลงก็เห็นเว่ยอี้จือในชุดลำลองสีดำเหลือบเขียวนั่งอยู่ต่อหน้า ทว่าสีชุดที่ดูมืดคล้ำนั้นไม่อาจข่มสง่าราศีของเขาลงได้เลย ในดวงตาเขามักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ พอมองตาเขาก็เหมือนได้เห็นอัญมณีส่องประกายวับวาวอยู่ในนั้น
“ที่แท้ก็หลับอยู่นี่เอง หวังจิ้งจือมาถึงแล้ว หากเจ้ายังไม่ตื่นอีกจะเป็นการเสียมารยาท”
เซี่ยซูรีบผุดลุกขึ้นนั่งพลางจัดแต่งเสื้อผ้าให้เข้าที่ นางแอบป้ายตาด้วย เมื่อไม่เห็นขี้ตาติดเกรอะกรังก็ถอนหายใจโล่งอก
“ข้าจะลงไปแล้ว” เซี่ยซูเอ่ยขึ้นมา
เว่ยอี้จือยกมือขึ้นห้าม “ช้าก่อน รอให้ข้าลงไปก่อน แล้วเจ้าค่อยลงจากรถ ผู้คนจะได้ไม่ครหา”
เซี่ยซูทำสีหน้าสลด ไยเจ้าต้องขึ้นมาด้วยเล่า
เว่ยอี้จือลงจากรถ คราวนี้มู่ไป๋ยืนอยู่ข้างๆ เขา พูดด้วยความรู้สึกผิด “โชคดีที่อู่หลิงอ๋องมา ไม่เช่นนั้นบ่าวคงถูกโยนให้เต่ากิน ไม่ก็คุณชายต้องขายหน้าแน่”
เซี่ยซูมองมู่ไป๋ด้วยสายตาปลอบประโลม “เอาเถอะๆ ข้าก็แค่ขี้โมโหไปหน่อยเวลาที่ถูกปลุกเท่านั้นเอง”
หวังจิ้งจืออยู่นอกรถ เห็นว่านานแล้วแต่เซี่ยซูยังไม่ลงมา ก็คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่พอใจนึกว่าเขาดูถูก จึงไม่มัวแต่ทักทายคนอื่นๆ อีก เดินไปคำนับเซี่ยซูที่เบื้องหน้ารถม้า “เจ้าเมืองไคว่จีหวังจิ้งจือ ขอต้อนรับท่านอัครเสนาบดี”
มู่ไป๋เลิกม่านขึ้น สารถียกหินรองเท้ามาวางเรียบร้อย เซี่ยซูก็ปรากฏกายออกมา ชุดสีแดงเห็นแล้วแสบตายิ่ง นางยืนได้มั่นแล้วจึงมองสำรวจหวังจิ้งจือขึ้นๆ ลงๆ วางท่าอย่างสง่างามแล้วพูดว่า “ท่านเจ้าเมืองหวัง ตามสบายเถอะ”
หวังจิ้งจือยืนตัวตรง เขาสวมหมวกผ้าโปร่งสีดำทรงสูง สวมชุดพิธีการสีน้ำเงินเข้ม คาดเข็มขัดหยกที่เอว การแต่งกายดูสุภาพเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่าให้ความเคารพต่อเซี่ยซูเป็นอย่างมาก
สมาชิกสกุลหวังล้วนตามมาข้างหลัง ส่วนใหญ่แต่งกายเต็มยศ ต่างพากันมาคำนับเซี่ยซู ก้มหน้าหลุบตา ท่าทางนอบน้อม ซึ่งถือเป็นตระกูลที่มีความพร้อมเพรียงกันอย่างมาก โดยมีหวังจิ้งจือเป็นผู้นำ
หวังจิ้งจือพูดทักทายตามมารยาทอีกสักหน่อย จำพวกว่าทุกท่านเดินทางตรากตรำมาอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้ว จากนั้นก็เดินนำทุกคนเข้าเมือง
ในตัวเมือง ตลอดสองข้างทางล้วนมีชาวบ้านมารวมตัวกันอย่างเนืองแน่น ครึ่งหนึ่งถามกันว่าอัครเสนาบดีนั่งรถม้าคันใด อีกครึ่งถามว่าอู่หลิงอ๋องนั่งรถม้าคันใด ดวงตาหลุกหลิกพิกลด้วยไม่ทราบจะหันไปมองรถม้าคันใดดี
หวังจิ้งจือขี่ม้านำหน้า เขาเห็นท่าทางเช่นนี้ของชาวบ้านแล้วก็สะบัดแส้พลางชี้ไปที่ผู้คนตามถนนหนทาง ก่อนจะหัวเราะแล้วเอ่ยเย้าว่า “ตอนแรกพวกเจ้าต่างบอกกันมิใช่หรือว่าข้ารูปงามที่สุด พอท่านอัครเสนาบดีมาถึง เหตุใดจึงพากันคืนคำเช่นนี้เล่า!”
ทุกคนพากันหัวเราะร่า ต่างก็กระเซ้าเย้าแหย่เขาว่า “วันๆ เห็นแต่ท่านเจ้าเมืองจนรู้สึกเบื่อแล้วนี่”
“ชิ! เจ้าพวกโลเลกลับกลอกเอ๊ย!”
ชาวบ้านพากันหัวเราะครืนใหญ่
ชาวบ้านต่างก็เรียกหวังจิ้งจือว่า ‘บัณฑิตเจ้าสำราญอันดับหนึ่งแห่งต้าจิ้น’ ทว่ารูปร่างหน้าตาของเขากลับไม่ได้ดูอ่อนโยนเฉกเช่นเซี่ยซู ทั้งความโดดเด่นสะดุดตาก็ยังห่างไกลจากเว่ยอี้จือนัก ความเจ้าสำราญของเขาอยู่ตรงที่นิสัยใจคอ ประหนึ่งสุราชั้นดีไหหนึ่งที่หมักบ่มมานานปี เพียงมองดูด้วยตาไม่อาจเห็นความแตกต่าง แต่หากวันใดได้สูดกลิ่นก็แทบจะเมามาย ความเจ้าสำราญของเขานั้นไม่มีใครทาบติด และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ชาวบ้านต่างรักและนับถือเขา
เซี่ยซูหันออกไปมองข้างนอกแล้วพูดด้วยความประหลาดใจ “หวังจิ้งจือผู้นี้ช่างวางตัวเป็นกันเองเสียจริง มิน่าจึงสนิทสนมกับชาวบ้านได้ถึงเพียงนี้”
มู่ไป๋กลอกตาแล้วเอ่ยว่า “พวกสกุลหวังก็เล่นลูกไม้เก่งเช่นนี้แหละขอรับ!”
คนที่มาด้วยมีจำนวนมาก ที่พักจึงเป็นปัญหาสำคัญ ถึงอย่างนั้นหวังจิ้งจือก็ได้เตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว เขาจัดแจงที่พักให้ทุกคนอย่างเหมาะสม บางคนพักในบ้านของสมาชิกสกุลหวัง พอกำลังจะนึกรังเกียจว่ามีตำแหน่งหน้าที่ที่ต่ำกว่า ทว่าพอเห็นว่าที่แท้เป็นคนคุ้นเคยก็ต่างปลาบปลื้มยินดี บางคนรังเกียจว่าที่พักไม่ค่อยดี แต่พอเห็นอีกฝ่ายเป็นญาติสายตรงกับหวังจิ้งจือก็รู้สึกอยากจะสานสัมพันธ์ด้วยเสียอย่างนั้น
เพียงแค่ดูจากเรื่องนี้ก็เห็นได้ชัดว่าหวังจิ้งจือเก่งกาจเพียงใด ไม่ใช่ว่าใครก็ได้ที่จะสืบดูเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังของตระกูลใหญ่เหล่านี้ได้กระจ่างชัดถึงเพียงนี้
จวนของหวังจิ้งจือใช้ต้อนรับขับสู้เซี่ยซูเพียงผู้เดียว เซี่ยหร่านเพียงติดสอยห้อยตามเท่านั้น แม้แต่องครักษ์ก็ไม่ได้อยู่ด้วย ทั้งที่จริงๆ แล้วจวนของเขาออกจะกว้างใหญ่ แต่ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการให้เกียรติเซี่ยซูเท่านั้น
สถานที่กว้างขวางที่สุดก็คือสวนดอกไม้ของหวังจิ้งจือ ยามพลบค่ำเขาจึงจัดเลี้ยงต้อนรับทุกคน โดยจัดวางโต๊ะเลี้ยงขนาดเล็กกว่าร้อยโต๊ะไว้ในสวนดอกไม้แห่งนี้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ดูแออัดเลยแม้แต่น้อย กลับดูยิ่งใหญ่
เซี่ยซูย่อมนั่งที่หัวโต๊ะ มีหวังจิ้งจือนั่งเป็นเพื่อนด้วยตนเอง ทุกคนต่างก็ได้ที่นั่งอันเหมาะสมแล้ว เห็นจะมีเพียงที่นั่งของเว่ยอี้จือที่ทำให้ผู้คนตกตะลึง บัดนี้ฐานะของเขาเป็นรองก็แค่เซี่ยซูขั้นเดียวเท่านั้น แต่กลับถูกจัดให้นั่งตรงมุม หากเซี่ยซูไม่ตั้งใจมองหาก็คงจะหาเขาไม่พบ
แต่พอเซี่ยซูหันไปมองดูหวังจิ้งจือที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วกลับดูเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว
ไม่น่าจะเป็นเช่นนี้ได้ ดูจากความสามารถในการจัดการของหวังจิ้งจือแล้วไม่น่าจะสะเพร่าถึงเพียงนี้ นอกเสียจากว่าเป็นการจงใจ?
เซี่ยซูย่อมไม่สะดวกจะพูดเตือนหวังจิ้งจือ อย่างไรเสียโดยเปิดเผยนางก็ยังเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับเว่ยอี้จืออยู่ แต่หากไม่ทำอะไรเลยจริงๆ ก็เกรงว่าถึงตอนนั้นในใจเว่ยอี้จือจะนึกเคลือบแคลงนางได้ จากนี้คงจะเป็นพี่น้องกันยากเสียแล้ว
ดังนั้นเซี่ยซูจึงคอยเหลือบมองไปทางเว่ยอี้จือเป็นครั้งคราว ความหมายก็คือ…แม้น้องชายผู้โง่เขลาได้นั่งที่นั่งอันทรงเกียรติ ทว่าในใจยังเป็นห่วงกังวลถึงเจ้าที่นั่งตรงมุมนั้น ดังนั้นจงอย่าได้คิดแค้นข้าเลยนะ
เว่ยอี้จือกลับพูดคุยหัวเราะกันอย่างออกรสกับคนข้างๆ ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่นั่งแม้แต่น้อย บางครั้งยังหันมาสบตากับนางพลางส่งยิ้มให้ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
หวังจิ้งจือเห็นเซี่ยซูคอยมองเหม่อไปไกลเป็นครั้งคราวจึงพูดขึ้นว่า “ท่านคงจะเบื่อเสียแล้วกระมัง จะให้นักขับร้องหญิงมานั่งเป็นเพื่อนหรือไม่ขอรับ”
เซี่ยซูรีบบอกปัด “วันนี้นั่งรถม้าจนเหนื่อยแล้ว เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ”
คนอื่นๆ ต่างพากันผิดหวัง หวังจิ้งจือชมชอบหญิงงามจนเป็นที่เลื่องลือ นักขับร้องหญิงในจวนเขาย่อมต้องเป็นหญิงชั้นดี ทุกคนต่างกระเหี้ยนกระหือรือนานแล้ว กลายเป็นว่าเซี่ยซูทำเป็นคนดีบอกปัดไปเสียอย่างนั้น
ช่างไม่รู้จักหาความสำราญบ้างเลย ไม่มีสาวงามข้างกายไหนเลยจะกินข้าวลง!
กินข้าวไม่ลงก็พานให้งานเลี้ยงต้องเลิกรา
พอกินข้าวแล้วทุกคนก็นั่งลงพูดคุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศ ต่างพูดคุยกันอย่างไม่เป็นเรื่องเป็นราว
ชาวต้าจิ้นมีความสุนทรีย์ ผู้ที่เรียกว่า ‘หนุ่มเจ้าสำราญ’ ไม่เพียงต้องหน้าตาดีเท่านั้น ยังต้องมีฝีปากคมคายอีกด้วย ยามที่นั่งลงแล้วจะต้องพูดเสียจนคนอื่นๆ ต่อปากต่อคำด้วยไม่ได้จึงจะนับว่าเก่งกาจ
ดังนั้นสายตาทุกคู่จึงรวมอยู่ที่หวังจิ้งจือ
หวังจิ้งจือกำลังพูดคุยอย่างสนุกสนาน เขาสามารถยกถ้อยคำจากคัมภีร์โบราณได้ลื่นไหลประหนึ่งสายน้ำ พูดคุยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลซึ่งมีชื่อเสียงที่อยู่ในที่นั้น แต่กลับไม่มีเรื่องของสกุลเว่ยเลย เขายังคงทำทีประหนึ่งว่าไม่ได้ใส่ใจต้าซือหม่าคนปัจจุบันซึ่งอยู่ในที่แห่งนั้นด้วย กระทั่งจะเอ่ยถึงเว่ยอี้จือสักครึ่งคำก็ไม่มี
เซี่ยซูแหงนหน้าขึ้นมองดวงดาว คืนนี้ทางช้างเผือกส่องแสงสว่างเรืองรองยิ่งนัก เหมาะจะเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวเรื่องที่เว่ยอี้จือถูกเมิน
วันถัดมายังต้องเดินทางไปที่หลันถิงอีก ทุกคนที่เพิ่งมาถึงย่อมต้องไปพักผ่อนให้หายเหนื่อย ดังนั้นเมื่อฟังหวังจิ้งจือคุยฟุ้งอยู่พักใหญ่แล้วก็พากันแยกย้าย
หวังจิ้งจือเพิ่งจะนั่งลงในห้องพัก ลูกพี่ลูกน้องที่ชื่อหวังเฉียนก็วิ่งมากระซิบกระซาบกับเขา “ข้าเห็นท่านอัครเสนาบดีส่งสายตากับอู่หลิงอ๋องหลายครั้งระหว่างงานเลี้ยง ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะต้องไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอกแน่ๆ”
หวังจิ้งจือยกถ้วยชาขึ้นแล้วเอ่ยถาม “ไม่ธรรมดาอย่างไรหรือ”
“หากไม่ใช่มีการผูกมิตรเป็นการส่วนตัว ก็จะต้องมีสัมพันธ์สวาทเป็นการลับ”
“พรืด…” หวังจิ้งจือถึงกับสำลักชาที่เพิ่งดื่มไปอึกหนึ่งออกมาทั้งหมด
หวังเฉียนเองก็นิยมชมชอบในบุรุษเพศจึงยากที่จะไม่คิดนอกลู่นอกทาง เขาปาดคราบน้ำชาที่เปรอะเสื้อด้านหน้าตนเองออกราวกับไม่เห็นเป็นสำคัญ แล้วเอ่ยขึ้นอีก “จะว่าไป เหตุใดพี่ชายจึงจงใจเพ่งเล็งอู่หลิงอ๋องเล่า ครอบครัวทางมารดาของเขาก็เป็นญาติกับสกุลหวังเรานี่นา”
หวังจิ้งจือเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ ขอให้เว่ยอี้จือเข้าใจก็พอแล้ว”
บทที่ 6
ขณะที่เว่ยอี้จือกำลังก้าวขึ้นรถม้าเพื่อไปยังที่พัก จู่ๆ เซี่ยหร่านก็ปรากฏตัวขึ้น
เขายืนอยู่หน้าปากประตู ไม่สนใจสายตาทุกคนที่มองมา เอ่ยปากเสียงดังว่า “ท่านอัครเสนาบดีขอเชิญต้าซือหม่าไปพักยังเรือนเฟยเซียน ส่วนตัวท่านจะย้ายไปพักที่เรือนหย่ากวงขอรับ”
หวังจิ้งจือจัดให้เซี่ยซูพักในสถานที่ใหญ่โตกว้างขวาง ในนั้นรวมถึงเรือนพักชื่อดังในจวนสกุลหวังที่ชื่อเฟยเซียนด้วย เซี่ยซูเข้าไปพักแล้ว เรือนเฟยเซียนย่อมจะเป็นห้องพักของนาง แต่นางกลับจะย้ายไปพักที่เรือนหย่ากวงซึ่งอยู่ห่างออกไป แล้วให้เว่ยอี้จือพักที่เรือนเฟยเซียนแทน
ทุกคนเข้าใจว่าอัครเสนาบดีกำลังจะดึงต้าซือหม่ามาเป็นพวก ช่างเจ้าเล่ห์นัก พอเห็นสกุลหวังไม่เทิดทูนต้าซือหม่า เจ้าก็รีบเอาใจเสียเอง
เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน เว่ยอี้จือย่อมต้องทำแบ่งแยกเราเขากับเซี่ยซูให้ชัดเจน “ไม่ได้เด็ดขาด ตำแหน่งข้าไม่ได้ทัดเทียมกับท่านอัครเสนาบดี ไม่อาจรับน้ำใจนี้ได้”
เซี่ยหร่านหัวเราะ พอหัวเราะแล้วก็พูดตัดบทอย่างเฉียบขาด “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะตัดสินใจเองได้ ข้ามาเพียงเพื่อจะถ่ายทอดคำสั่งเท่านั้น ต้าซือหม่า เชิญ!”
เซี่ยซูให้เว่ยอี้จือมาเข้าพักด้วยเพราะมีเหตุผล หวังจิ้งจืออาจแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ว่าเว่ยอี้จือมาร่วมชุมนุมที่ไคว่จีด้วยได้ แต่นางทำไม่ได้
โดยเปิดเผยแล้ว นางกับเว่ยอี้จือถือเป็นศัตรูกันก็จริง แต่เพื่อแสดงความใจกว้างของผู้เป็นอัครเสนาบดีแล้ว นางย่อมต้องไว้หน้าเว่ยอี้จือบ้าง และโดยส่วนตัวก็ล้วนเรียกขานกันเป็นพี่น้องแล้วนี่
พอเว่ยอี้จือเข้ามาพัก เขาก็พาฝูเสวียนมาที่เรือนเฟยเซียนด้วย ก่อนจะพบว่าเซี่ยซูไม่อยู่ในเรือนจริงๆ พอออกไปหาที่เรือนหย่ากวง มู่ไป๋ซึ่งเฝ้าอยู่ด้านนอกก็บอกเขาว่าเซี่ยซูกำลังอาบน้ำเตรียมตัวจะเข้านอนแล้ว
เว่ยอี้จือดูประหลาดใจ “เหตุใดเจ้าไม่คอยอยู่รับใช้”
มู่ไป๋พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนดูถูกเขาว่าช่างเป็นคนที่ไม่รู้ประสีประสา “คุณชายข้าทำเช่นนี้มาตลอดนั่นแหละ เขาไม่คุ้นกับการมีคนคอยอยู่ดูแลรับใช้ ทุกครั้งก็ล้วนอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยตนเอง”
เว่ยอี้จือได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจได้ เขาได้ยินว่าเซี่ยซูเพิ่งเข้ามาในจวนสกุลเซี่ยเมื่อแปดปีก่อน น่าจะคุ้นเคยกับการทำอะไรๆ ด้วยตนเองแต่แรกแล้ว
หวังจิ้งจือเพิ่งทราบข่าวในคืนนั้น ว่ากันตามตรงแล้ว เรื่องนี้ทำเขาสลดเลยทีเดียว
เพราะเรื่องที่เขาตั้งใจจะไม่สนใจเว่ยอี้จือนั้นถือเป็นกลยุทธ์ถอยเพื่อรุกอย่างหนึ่ง ในความเห็นของเขา เว่ยอี้จือกับเซี่ยซูล้วนถือเป็นศัตรูกัน สองฝ่ายเก่งกาจพอๆ กัน จำต้องมีฝ่ายที่สามเพิ่มเข้ามาเพื่อทำลายสภาพคานอำนาจของทั้งสองฝ่ายนี้ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าสกุลหวังนี่เองที่เป็นฝ่ายที่สาม
หากเขาเป็นฝ่ายเข้าหาเว่ยอี้จือก่อน เจรจาจะร่วมมือด้วย ย่อมจะต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ดีที่สุดคือให้เว่ยอี้จือเป็นฝ่ายเข้าหาเขา ดังนั้นเขาจึงจงใจทำทีเป็นสนิทสนมกับเซี่ยซู แล้วทำเป็นเย็นชาต่อเว่ยอี้จือ รอให้อีกฝ่ายทนไม่ไหวแล้วเป็นฝ่ายเข้ามาหาในฐานะที่เป็นญาติกัน
ทว่าเว่ยอี้จือกลับทำนิ่งเฉย ทั้งยังรับไมตรีจากเซี่ยซูเสียอย่างนั้น ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ
หรือว่าที่หวังเฉียนพูดมาจะเป็นความจริง
หวังจิ้งจือนั่งอยู่ที่หัวเตียงพลางครุ่นคิดท่ามกลางแสงเทียนวูบไหว สุดท้ายก็สวมเสื้อคลุมแล้วเรียกคนรับใช้ให้ไปตามน้องสาวร่วมอุทรมา
เช้าตรู่วันถัดมา ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นเต้นที่จะได้ไปเยือนหลันถิง คณะเดินทางก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา
หวังจิ้งจือเดินนำคนหลายคนมาด้วย ซึ่งก็คือญาติฝ่ายหญิงของเขา แต่ละคนล้วนงดงามดุจบุปผา ตระกูลอื่นๆ ก็พาเหล่าภรรยารูปโฉมงดงามมาด้วยเช่นกัน นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลก กระนั้นก็ยังกวาดตามองเรือนร่างหญิงสาวเหล่านี้ไม่วางตา
หนึ่งในนั้นดูโดดเด่นเป็นพิเศษ ดวงตาเฉี่ยวประดุจหงส์ ริมฝีปากแดงระเรื่อ ใบหน้างามดังดอกบัว เกล้ามวยสูง เอวบอบบางดูอรชรอ้อนแอ้น สวมกระโปรงสองชั้นสีสันสดใส ประดับกายด้วยปิ่นหยกและป้ายหยก ทุกสิ่งล้วนดูหรูหราราคาแพง ตัวคนย่อมจะมีฐานะไม่ธรรมดา
ที่แคว้นจิ้นไม่ได้เคร่งครัดเรื่องที่ชายหญิงจะใกล้ชิดกันนัก หญิงสาวผู้นี้เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่ายังมิได้ออกเรือน แต่สามารถติดสอยห้อยตามหวังจิ้งจือได้นั้นย่อมจะต้องเป็นญาติของเขา
พวกผู้นำของแต่ละตระกูลรีบส่งสายตาบอกบุตรหลานในตระกูลที่ยังไม่ได้แต่งงานให้คอยจับตาดูหญิงสาวผู้นี้ไว้ให้ดี จะให้ดีที่สุดก็ต้องพานางกลับไปเป็นสะใภ้ให้ได้
ทว่าน่าเสียดาย หวังจิ้งจือกลับพานางมุ่งไปยังรถม้าของอู่หลิงอ๋องโดยไม่คิดหันไปมองผู้ใดเลย
ดูเหมือนว่าในที่สุดหวังจิ้งจือก็รับรู้เสียทีว่าต้าซือหม่ามาด้วย เขายืนอยู่นอกรถด้วยท่าทางสำนึกผิด เริ่มอารัมภบทจากเซียงฮูหยินมารดาของเขาก่อน คุยฟุ้งว่าสองตระกูลมีความสัมพันธ์ที่สนิทชิดเชื้อกันมากเพียงใด ร้องขอให้ช่วยรำลึกถึงความหลัง ตั้งมั่นกับปัจจุบันแล้วทอดสายตามองไปสู่อนาคต
จากนั้นเขาก็โน้มกายไปหาพลางเอ่ยแนะนำว่า “นี่คือลั่วซิ่วน้องสาวร่วมอุทรของข้าเอง ข้าคิดๆ ดูแล้วก็เห็นว่าเป็นญาติกันทั้งนั้น จึงเรียกนางให้มาพบท่านผู้เป็นลูกผู้พี่ทางมารดา”
แต่ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากรถม้าของเว่ยอี้จือเลย ผ่านไปนานพักใหญ่ ฝูเสวียนก็โผล่หน้าออกมาจากในรถ แล้วพูดอย่างเก้อเขินว่า “ขออภัยท่านเจ้าเมือง จวิ้นอ๋องบอกว่าจะมารถม้าคันเดียวกับท่านอัครเสนาบดี คงจะยังไม่มาขอรับ”
“…” หวังจิ้งจือถึงกับมุมปากกระตุก
เวลานี้เอง รถม้าของเซี่ยซูเจ้าแห่งการวางท่าก็มาถึง ม่านรถถูกเลิกขึ้น เว่ยอี้จือลงจากรถม้ามาก่อน เขาสวมเสื้อตัวใหญ่แขนกว้าง รัดสายคาดเอวแถบกว้าง เรือนร่างสูงโปร่ง เกล้าผมแล้วคาดไว้ด้วยผ้าแพร ไร้ซึ่งกลิ่นอายสังหารอันเยือกเย็นของนักรบ กลับดูปล่อยตัวตามสบายเฉกเช่นบัณฑิต
เซี่ยซูตามลงมาติดๆ นางสวมชุดชาวหูสีดำซึ่งขับให้ตัวนางดูเยือกเย็น มีเพียงชายแขนเสื้อและคอเสื้อที่ปักลายกลีบบัวเอาไว้ การแต่งกายเช่นนี้ช่วยเสริมให้ใบหน้าขาวริมฝีปากแดงที่ดูอ่อนโยนของนางดูคมคายสมบุรุษมากขึ้น มองดูเป็นนักรบยิ่งกว่าเว่ยอี้จือเสียอีก
เดิมทีเซี่ยซูที่มีฐานะสูงกว่าจะต้องลงจากรถก่อน แล้วเว่ยอี้จือค่อยตามหลังลงมา ดังนั้นหวังลั่วซิ่วจึงเข้าใจผิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าการแต่งกายของทั้งสองช่างชวนให้ผู้คนสับสนเรื่องฐานะด้วย
นางจ้องมองเซี่ยซูไม่วางตา ยิ่งมองก็ยิ่งหวั่นไหว ในใจนึกยินดียิ่งนักที่พี่ชายจัดแจงให้เช่นนี้
เวลานี้หวังจิ้งจือจึงพาหวังลั่วซิ่วเดินเข้าไปหา โดยหันหน้าไปทางเซี่ยซูแล้วเอ่ยว่า “รีบมาคำนับท่านอัครเสนาบดีเสียสิ”
“…” หวังลั่วซิ่วมองดูเซี่ยซู แล้วหันไปมองเว่ยอี้จือ ก็รู้ว่าตนเองเข้าใจผิดแล้ว ใบหน้าจึงแดงก่ำทันที แม้แต่ตอนคำนับก็ยังอดเหม่อลอยไม่ได้
จากนั้นหวังจิ้งจือจึงรีบพาน้องสาวของตนไปหยุดอยู่ต่อหน้าเว่ยอี้จือทันที แล้วกล่าวคำพูดที่พล่ามใส่รถม้าเปล่าๆ ก่อนหน้านี้อีกครั้งหนึ่ง เว่ยอี้จือจึงค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ฝ่ายเซี่ยซูที่อยู่ข้างๆ เพียงเอาพัดจีบป้องปากหัวเราะคิกจนไหล่สั่น
“ท่านเจ้าเมืองเกรงใจไปแล้ว แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก ข้าไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด”
“อู่หลิงอ๋องใจคอกว้างขวาง ข้ารู้สึกละอายใจเหลือเกิน”
เว่ยอี้จือพูดได้ดี ขณะที่หวังจิ้งจือก็เป็นคนเปิดเผยเป็นกันเองอยู่แล้วจึงไม่มีการคิดมากแต่อย่างใด พวกเขาทำทีพูดจาเกรงอกเกรงใจไม่กี่ประโยค สำหรับเรื่องเมื่อวานนั้นก็ให้ถือว่าแล้วๆ กันไป
ทุกคนออกเดินทาง ตอนที่หวังลั่วซิ่วเดินออกไปพร้อมกับพี่ชาย นางก็ยังหันมามองเซี่ยซูแวบหนึ่ง แล้วก้มหน้าจากไป
หากพูดถึงหน้าตาแล้ว ทั้งเซี่ยซูและเว่ยอี้จือล้วนดูสูสีกัน เมื่อพูดถึงนิสัยท่าทางแล้ว ต่างคนต่างก็มีดีคนละแบบ ต่างกันเพียงแค่ความประทับใจเมื่อแรกพบเท่านั้น
หลันถิงอาจมิใช่สถานที่ที่งดงามที่สุดในเมืองไคว่จี แต่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการมาเที่ยวชมทัศนียภาพและพักผ่อนหย่อนใจ
ปลายวสันต์เหล่าบุปผาเริ่มโรยรา ทอดสายตามองไปแล้วเห็นแต่พืชพรรณเขียวขจีขึ้นอย่างแน่นขนัด บ้างเขียวเข้มเขียวอ่อน บ้างหนาแน่น…บ้างก็บางตา ล้วนเลื้อยปกคลุมไปทั่วภูเขาหิน ด้านหน้าเป็นป่าไผ่ กิ่งไผ่ไหวเอนเสียดสีเสียงดังแซ่กซ่าท่ามกลางสายลม ล้อมรอบด้วยลำธารตื้นไหลริน สายน้ำเขียวใสไหลวนเวียนประดุจเข็มขัดหยก งดงามดั่งเป็นงานฝีมือชั้นครูที่รังสรรค์ขึ้นโดยเทพเซียน
รถม้าของทุกตระกูลต่างเข้ามาจอด ทุกคนลงเดินเท้า ยามเดินต่างก็เอ่ยชมไม่ขาดปาก เหล่าคุณชายหนุ่มน้อยทั้งหวนถิงและหยางจวี้ถือเป็นพวกแรกๆ ที่มาถึง ยิ่งแสดงความปลาบปลื้ม ตลอดทางร้องชมว่าช่างเป็นบุญตาที่ได้เห็น
เซี่ยซูประเมินไว้ก่อนหน้านั้นไม่ผิดเลย คุณชายเหล่านี้ล้วนไม่ชอบสวมใส่รัดกุม หวนถิงกับหยางจวี้สองคนนี้รูปร่างหน้าตาไม่เลว เรือนร่างสูงเพรียว เรื่องเปลือยแขนเผยหน้าอกนางยังรับไหว แต่บรรดาผู้เฒ่าผู้แก่วัยเจ็ดสิบแปดสิบที่รายล้อมนั่นช่วยระวังตัวหน่อยมิได้หรือ พอเห็นพุงพลุ้ยๆ ที่ยื่นย้อยออกมาแล้วนางสะเทือนใจจริงๆ
หวังจิ้งจือเป็นแขกประจำของหลันถิง เขาสั่งให้คนมาปูเสื่อสาดไว้สองข้างลำธารที่ไหลริน และที่เล่นกันทุกปีก็คือการละเล่นที่เรียกว่า ‘ไหลจอกตามน้ำ’
ทุกคนแยกกันนั่งสองฟากของลำธารโดยไม่แบ่งแยกฐานะสูงหรือต่ำ ไม่แยกตำแหน่งหลักหรือรอง เซี่ยซูเพิ่งนั่งลง ด้านซ้ายก็ถูกหวนถิงจับจอง ขณะที่ด้านขวากำลังมีคนมาแย่งก็ถูกนางยื่นมือไปขวางไว้ แล้วหันไปบอกกับเซี่ยหร่านที่อยู่ข้างๆ ว่า “เจ้ามานั่งตรงนี้สิ”
คนผู้นั้นแค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นญาติของอัครเสนาบดี เขาจำต้องเดินออกมาด้วยสีหน้าขุ่นเคือง
หวนถิงเก็บอาการตื่นเต้นไว้แทบไม่อยู่ ยิ่งได้พินิจดูเซี่ยซูใกล้ๆ ก็ยิ่งพบว่าอีกฝ่ายช่างงดงามหาใครเสมอเหมือนได้ยาก เขายังหนุ่มแน่นจึงไม่ค่อยสำรวม เอ่ยปากขึ้นว่า “วันนี้ได้นั่งอยู่ข้างๆ ท่านอัครเสนาบดีเช่นนี้รู้สึกราวกับได้อยู่ข้างอัญมณีล้ำค่าปานนั้น”
เซี่ยซูหันไปยิ้มให้หวนถิงแล้วเอ่ยว่า “คุณชายหวนชมเกินไปแล้ว”
ยามที่หวนถิงอยากจะพูดอะไรอีก หยางจวี้ที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งก็หันมาขยิบตาให้เขาอย่างเอาเป็นเอาตาย หวนถิงจำต้องระมัดระวังปาก ไม่กล้าพูดพล่ามไปเรื่อยเปื่อยอีก
เว่ยอี้จือนั่งอยู่ข้างๆ หยางจวี้ ส่วนหวังจิ้งจือก็นั่งข้างเว่ยอี้จือ เซี่ยซูเงยหน้าขึ้นเห็นสองคนพูดคุยหัวเราะกันสนุกอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้ว นางก็รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ
เซี่ยซูหันไปมองสาวน้อยที่นั่งอยู่ด้านหลังหวังจิ้งจือแวบหนึ่ง การแต่งงานผูกสัมพันธ์ในหมู่ตระกูลชั้นสูงถือเป็นเรื่องปกติ ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้หากลองชี้นิ้วไปมั่วๆ ล้วนพบว่ามีสัมพันธ์ทางเครือญาติกันทั้งสิ้น แต่ถ้าเว่ยอี้จือกับหวังจิ้งจือเกี่ยวดองกันผ่านการแต่งงานจริงๆ ไม่เพียงนางที่ต้องตระหนก แม้แต่ฮ่องเต้ก็ต้องพลอยแตกตื่นไปด้วย
สาวใช้สกุลหวังเดินไปมาอย่างขวักไขว่ในที่จัดเลี้ยง สุราชั้นดีไหแล้วไหเล่าถูกยกมาแจกจ่าย จอกสุราฝังทองลงรักอย่างงดงามประณีตถูกวางลงในสายน้ำ เสียงหัวเราะรื่นเริงลอยไปตามลม ผสมปนเปไปกับเสียงกอไผ่เสียดสีแผ่วเบา…คล้ายกับอยู่บนสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน
เซี่ยซูไม่สนใจการประชันกลอนสักเท่าใด นางเพียงต้องการจะสำแดงทั้งพระเดชและพระคุณเมื่อคนเหล่านี้ได้เล่นสนุกกันจนเต็มที่แล้วเท่านั้น เพื่อจะได้บรรลุเป้าหมายในการสร้างความมั่นคงให้แก่อำนาจของสกุลเซี่ย การหยั่งเสียงสกุลหวังก็ถือเป็นอีกส่วนสำคัญของการเดินทางครั้งนี้ด้วย
เมื่อเซี่ยซูไม่ขอร่วมประชันกลอนกับผู้อื่น เซี่ยหร่านจึงไม่อาจบอกปัดได้ ขณะที่นางกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น เขาก็ได้แต่งกลอนไปแล้วสามบท ร่ำสุราไปแปดชาม ท่าทางคล้ายจะเมามายแล้ว
เซี่ยซูเห็นเซี่ยหร่านลิ้นแข็งไปหมดแล้วก็รีบเรียกมู่ไป๋ให้มาพาตัวเขาออกไป พอเขาไปแล้ว ที่นั่งตรงนั้นจึงมีคนมานั่งแทนที่อย่างรวดเร็ว
“ท่านอัครเสนาบดี ข้าลู่ซีฮ่วน โชคดีนักที่ได้มาพบท่าน ไม่ทราบว่าจะร่วมดื่มกับข้าสักจอกได้หรือไม่”
คนผู้นี้ใบหน้าคมคาย เพียงแต่ตัวเตี้ยไปสักหน่อย หากไม่ได้ยินเสียงเขาพูด นางคงคิดว่าเขาเป็นหนุ่มน้อยผู้หนึ่ง เมื่อพบว่าเขามีสำเนียงของชาวอู๋ ก็รู้ว่าเขาเป็นลูกหลานจากตระกูลชั้นสูงทางใต้ นางจึงยิ้มแย้มพลางยกจอกสุราขึ้นมา “ย่อมได้สิ คุณชายลู่ เชิญ”
เห็นได้ชัดว่าลู่ซีฮ่วนประหลาดใจ ด้วยไม่คิดว่าเซี่ยซูจะให้เกียรติเขาถึงเพียงนี้
เรื่องนี้ย่อมมีเหตุผลเบื้องหลัง
ตอนนั้นทั่วหล้ารวมเป็นหนึ่ง เมืองหลวงของต้าจิ้นคือลั่วหยาง เหล่าตระกูลชั้นสูงแต่ละตระกูลล้วนเป็นตระกูลชื่อดังจากทางเหนือ ภายหลังดินแดนทางเหนือถูกผู้อื่นยึดครองไป ราชสำนักจึงถูกบีบให้ต้องย้ายมาตั้งรกรากยังเมืองเจี้ยนคัง เหล่าตระกูลดังจากทางเหนือจึงพาครอบครัวอพยพลงมาทางใต้จนเกิดเป็นสภาพเช่นทุกวันนี้
ถึงกระนั้นตระกูลใหญ่ทางใต้ก็ต่อต้านการอพยพครั้งนี้ เนื่องจากพวกเขาสร้างอำนาจมาตั้งแต่ยุคตงอู๋แล้ว มองตระกูลดังจากทางเหนือเหล่านี้เป็นเพียงพวกอพยพลี้ภัย มาถึงทางใต้แล้วนอกจากจะรวบตำแหน่งระดับสูงในราชสำนักไว้ไม่พอ ยังยึดครองที่ดินของพวกเขาไว้ด้วย ทำให้พวกเขาเคียดแค้นจนต้องก่นด่าว่าเป็นพวก ‘ต่ำช้าสามานย์’ เลยทีเดียว
ตระกูลใหญ่ของทางใต้มีสกุลลู่ สกุลกู้ สกุลจาง และสกุลจูเป็นแกนนำ ลู่ซีฮ่วนเป็นบุตรชายคนโตจากภรรยาเอกของประมุขสกุลลู่ บิดาเขามีตำแหน่งอยู่ในเมืองเจี้ยนคัง ทว่าคราวนี้ไม่ได้มาด้วย เขาจึงมาแทนบิดา ตลอดทางเขาล้วนถูกกีดกันจากพวกตระกูลใหญ่จากทางเหนือ ยิ่งได้เห็นการใช้ชีวิตอย่างแสนสบายของพวกสกุลหวังด้วยตาตนเองเช่นนี้ อีกทั้งดินแดนแถบไคว่จีนี้ก็เคยเป็นถิ่นของสกุลลู่ด้วย ทำให้เขาแค้นเคืองใจยิ่งนัก
ตระกูลใหญ่ทางใต้จนกระทั่งบัดนี้มีก็แต่บิดาเขาผู้เดียวที่มีตำแหน่งขุนนางระดับสูง นั่นก็เป็นเพราะถูกสกุลหวังยึดครองที่ดิน ฮ่องเต้จึงหมายปลอบประโลมตระกูลเขาด้วยการแสดงความเมตตา แต่จะมีใครทนต่อความอัปยศนี้ได้เล่า ลู่ซีฮ่วนนึกอยากให้บทเรียนแก่พวกต่ำช้าสามานย์เหล่านี้มานานแล้ว
เซี่ยซูที่เป็นถึงอัครเสนาบดีย่อมต้องเป็นตัวแทนของพวกคนต่ำช้าสามานย์อย่างไม่ต้องสงสัย เขาทำทีมาขอคารวะดื่มสุรา แต่ที่จริงแล้วต้องการมาท้าทายต่างหาก ย่อมคิดไม่ถึงว่าเซี่ยซูจะให้เกียรติดื่มสุรากับเขาเช่นนี้ ทั้งไม่ได้ดูแคลนเขาเฉกเช่นที่ผู้อื่นทำ
เซี่ยซูไม่เพียงดื่มสุราด้วย ดื่มแล้วยังเอ่ยชมว่าสุราดีด้วยสำเนียงชาวอู๋อีกต่างหาก
ลู่ซีฮ่วนนิ่วหน้า พวกคนสามานย์เหล่านี้รังเกียจสำเนียงชาวอู๋จะแย่ บัดนี้ยังสอนสั่งบุตรหลานทั้งชายหญิงให้ใช้ภาษากลางที่ลั่วหยางอยู่เลย หากบอกว่าก่อนหน้านี้เซี่ยซูแสร้งดื่มสุรากับเขาพอเป็นพิธี บัดนี้ก็ต้องบอกว่านางแสดงท่าทีเป็นมิตรอย่างมีเป้าหมายแอบแฝงแล้ว
เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งจู่ๆ ก็พูดขึ้น “วันนี้ท่านอัครเสนาบดีอยู่ด้วย ขอให้ท่านช่วยเป็นพยานให้ข้าที ข้าจะขอหญิงสกุลหวังมาแต่งงานด้วย ซึ่งก็คือน้องสาวร่วมอุทรของท่านเจ้าเมืองหวังที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม”
ทุกคนในที่นั้นต่างตกตะลึง หวังจิ้งจือมีสีหน้าเคร่งเครียดในทันที
เซี่ยซูรู้ได้ทันทีว่าตนเองถูกผลักให้ตกที่นั่งลำบากแล้ว หากนางไม่ช่วยลู่ซีฮ่วนก็จะผิดใจกับตระกูลทางใต้ แต่ถ้าไม่ช่วยหวังจิ้งจือก็จะผิดใจกับตระกูลทางเหนือ ลู่ซีฮ่วนช่างมีความสามารถในการยุแยงจนได้เรื่องจริงๆ
นางหัวเราะร่าแล้วเอ่ยว่า “ชายหนุ่มขอหญิงสาวแต่งงานนี่เป็นเรื่องดี แต่คนนอกไม่อาจแทรกแซง คุณชายลู่ช่างกล้าหาญนักที่แสดงความในใจออกมาต่อหน้าธารกำนัล ไหนเลยจะต้องให้ข้าออกปากแทน มิสู้ไปเอ่ยปากขอกับท่านเจ้าเมืองหวังเองจะดีกว่า”
หวังจิ้งจือรีบพูดขึ้น “สกุลลู่ร่ำรวยและมีเกียรติ สกุลหวังไหนเลยจะกล้าอาจเอื้อม”
ลู่ซีฮ่วนได้ยินหวังจิ้งจือกล่าวเช่นนั้นก็ไม่พอใจ พวกตระกูลใหญ่ทางเหนือเอาแต่พูดถึงตระกูลทางใต้ว่าร่ำรวยและมีเกียรติ ทว่าพวกเขามิได้มีแต่ความร่ำรวยและมีเกียรติเท่านั้น พวกเขายังมีคนที่มีความสามารถและสง่างามด้วย แต่เหตุใดจึงไม่ได้ไปเป็นขุนนางกับเขาบ้างเล่า เจ้าพวกต่ำช้าสามานย์นี่ช่างตลบตะแลงเก่งนัก!
เซี่ยซูรู้ดีว่าตนเองจะมากน้อยก็ได้ผิดใจกับลู่ซีฮ่วนเสียแล้ว ถึงกระนั้นยามนี้เขาย่อมจะเกลียดชังหวังจิ้งจือยิ่งกว่า ทันใดนั้นนางก็ฉุกคิดถึงบางอย่างขึ้นมาได้ เรื่องที่เป็นอุปสรรคที่เจี้ยนคัง บัดนี้กลับคลี่คลายอยู่ตรงหน้าแล้ว
มีคนมองเซี่ยซูมาจากฝั่งตรงข้าม นางเงยหน้าขึ้นมองไปก็เห็นหวังลั่วซิ่วรีบหลบตาเป็นพัลวัน เว่ยอี้จือที่อยู่ข้างๆ สีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่เชิง สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยแววขบขันยั่วเย้า
ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ เซี่ยซูไม่ได้แสดงความสนใจในตัวหวังลั่วซิ่วผู้นี้เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงความสับสนในแววตาของอีกฝ่าย ส่วนเว่ยอี้จือนั้นนางรู้สึกว่าเขากำลังล้อเลียนที่นางถูกลู่ซีฮ่วนจ้องเล่นงาน
การละเล่นไหลจอกตามน้ำเป็นอันต้องสะดุดเพราะการขอแต่งงานของลู่ซีฮ่วน เซี่ยซูรู้สึกว่าน่าจะหาเรื่องอื่นมาเบี่ยงเบนความสนใจจากเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงจงใจพูดกับเว่ยอี้จือที่อยู่ตรงหน้าราวกับอยากจะเอาคืนเขา “ได้ยินว่าอู่หลิงอ๋องเก่งกาจในวิชาบู๊เหนือใคร แต่ก็ไร้วาสนาจะได้ชมกับตาตนเองมาโดยตลอด วันนี้แขกผู้มีเกียรติมารวมตัวกันเช่นนี้ ท่านจะช่วยแสดงฝีมือให้พวกเราเปิดหูเปิดตาได้หรือไม่”
เว่ยอี้จือยิ้มแล้วเอ่ยว่า “วันนี้อยู่ในหมู่บัณฑิต ไม่สะดวกจะรำดาบรำทวน ท่านอัครเสนาบดีอย่าทำให้ข้าต้องลำบากใจเลย”
เซี่ยซูยังอยากจะตอแยเขาอีก ทว่าตอนที่หันไปมองเขา จู่ๆ นางก็เหลือบเห็นลู่ซีฮ่วนมีสีหน้าดูลนลาน ทั้งยังคอยลอบมองเว่ยอี้จือเป็นครั้งคราว ท่าทางเหมือนหวาดกลัวเขามากทีเดียว
หืม…หรือว่าเขาจะกลัวเว่ยอี้จือ?
เวลานี้ท่านผู้อาวุโสจากสกุลหลิวก็ทนเห็นลูกหลานขุนนางเจ้าเล่ห์มาบังคับกะเกณฑ์ขุนนางดีไม่ได้ จึงพูดแทรกขึ้นด้วยใจกระหายความเป็นธรรม “อู่หลิงอ๋องพูดถูกแล้ว ในเมื่ออยู่ท่ามกลางบัณฑิตก็ควรที่จะทำการเยี่ยงผู้มีความรู้ ข้าพกยาเซียนมาด้วยหลายเม็ด ขอเชิญทุกท่านลองกินด้วยกัน”
พูดว่า ‘ยาเซียน’ แต่อันที่จริงเป็นผงห้าศิลา ที่กินแล้วทำให้เคลิบเคลิ้มเมามาย ในอาณาจักรต้าจิ้นมีคนมากมายที่แสวงหาการเป็นเซียน เมื่อบอกว่ากินสิ่งนี้แล้วจะได้กลายเป็นเซียน ดังนั้นทุกคนจึงยินดีกิน แม้แต่คนหนุ่มอย่างหวนถิงก็ยังทำสีหน้าคาดหวังรอคอย
สาวใช้รับยาลูกกลอนแล้วนำออกมาแจกจ่าย ท่านผู้อาวุโสหลิวยิ้มจนตาหยีแล้วพูดเสริมว่า “กินแล้วตัวเบาดุจนางแอ่น ราวกับล่องลอยดั้นเมฆได้ เหมือนได้เกิดใหม่เลยทีเดียว”
ทุกคนต่างร้องชมท่านผู้อาวุโสทันทีว่าช่างเป็นคนดีนัก แม้เป็นเซียนก็ยังไม่ลืมผู้อื่น
ลู่ซีฮ่วนไม่นึกอยากจะไว้หน้าพวกสามานย์เหล่านี้อยู่แล้ว เขาจึงปฏิเสธไม่ขอร่วมด้วย แม้หวังจิ้งจือจะไม่นึกอยากเป็นเซียน แต่เขาตั้งตัวเป็นศิษย์นิกายเทียนซือเต้าแล้ว จึงขอไว้เม็ดหนึ่ง คนที่เหลือต่างได้รับแบ่งสันปันส่วนกันไป หวนถิงมีความสามารถมาก หลังกินยาลูกกลอนเข้าไปสองเม็ดแล้วยังซดเหล้าลงไปอีกชามหนึ่ง ไม่นานเขาก็หน้าแดงก่ำ ผิวหน้าอิ่มจนเนียนตึง ทั้งยังดึงคอเสื้อให้คลายออกด้วย
มีเพียงสองคนที่แม้จะรู้สึกขอบคุณความเอื้ออารีนี้แต่ก็ไม่ได้กิน หนึ่งคือเซี่ยซู และอีกหนึ่งคือเว่ยอี้จือ
เซี่ยซูไม่กินนั้นพอจะเข้าใจได้ เนื่องจากบิดาของนางตายไปเพราะเจ้าสิ่งนี้ เซี่ยหมิงกวงเคยกำชับกับนางเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าสิ่งอื่นล้วนกินได้ แต่ห้ามกินผงห้าศิลาเป็นอันขาด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางเคยได้ยินมาว่าของสิ่งนี้กินแล้วร่างกายจะร้อนผ่าวจนต้องคลายเสื้อจนหลุดลุ่ยจึงค่อยสบายตัวขึ้น นางย่อมไม่กล้ากินอยู่แล้ว นอกเสียจากว่าอยากจะตายเท่านั้น
ส่วนเว่ยอี้จือนั้นเหตุใดจึงไม่กินนางก็ไม่รู้ อาจเป็นเพราะไม่ถูกปากกระมัง
ทุกคนกินดื่มจนเต็มคราบ เล่นสนุกกันจนหนำใจแล้ว เซี่ยซูจึงโบกพัดแล้วกล่าว ในนั้นย่อมต้องมีการสรรเสริญเยินยอฮ่องเต้และชื่นชมเหล่าตระกูลชั้นสูงทั้งหลาย ทั้งต้องกล่าวยืนยันถึงความมุ่งมั่นบากบั่นของสกุลเซี่ย จากนั้นนางก็เริ่มถกกับทุกคนในเรื่องกิจสำคัญของแผ่นดิน
เดิมทีการเดินทางมาที่นี้ก็เพื่อพูดคุยถกเถียงถึงกิจสำคัญของแผ่นดิน กลับไปแล้วก็จะถวายรายงานต่อฮ่องเต้อย่างละเอียด แจ้งต่อท่านอาวุโสผู้นั้นว่าทุกคนต่างมีใจจงรักภักดีและทำเพื่อแผ่นดินจริงๆ ดังนั้นนี่จึงเป็นภารกิจที่สำคัญยิ่ง ยิ่งกว่านั้นเซี่ยซูยังจะได้ใช้โอกาสนี้รับฟังแนวคิดทางการเมืองของทุกคนด้วย
ทว่าทุกคนในยามนี้ราวกับกำลังไต่ขึ้นชั้นเมฆ อารมณ์เคลิบเคลิ้ม พูดคุยอะไรไปก็บอกแต่ว่า…ดีๆๆ อัครเสนาบดีกล่าวได้ดียิ่งแล้ว!
ส่วนแนวคิดทางการเมืองนั้น…ก็คือไม่มีความเห็นนั่นเอง
เซี่ยซูทอดถอนใจ ท่านผู้เฒ่าเซี่ยกล่าวไว้ไม่ผิดเลย ห้ามกินผงห้าศิลาเป็นอันขาด!
เวลานี้เว่ยอี้จือก็หันไปจับจ้องจอกสุราที่ลู่ซีฮ่วนซึ่งนั่งข้างๆ เซี่ยซูถือเล่นอยู่ในมือ เขาเห็นอีกฝ่ายทอดสายตามองไกลออกไป คอยหันมามองเซี่ยซูเป็นครั้งคราว และหันมองหวังจิ้งจือไปด้วย ราวกับกำลังวางแผนจะทำอะไรสักอย่าง
สายตาเยี่ยงนี้สำหรับคนที่ผ่านสมรภูมิมาแล้วย่อมไม่นึกแปลกใจอะไร ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้น “ทุกคนเชิญพูดคุยกันตามสบาย ข้าคงต้องขอตัวลาไปก่อน”
เซี่ยซูมองตามไปด้วยสายตาประหลาดใจ ก็พอดีสบตาเว่ยอี้จือเข้า ทว่าเขาก็รีบเบือนหน้าหลบ เพียงหันมองลู่ซีฮ่วนแวบหนึ่งแล้วสะบัดชายแขนเสื้อจากไป
ทุกคนถึงค่อยได้สติคืนมาจากอาการเคลิบเคลิ้มใกล้เป็นเซียนมากกว่าครึ่ง
ฝูเสวียนคอยอยู่ข้างรถม้า เมื่อเห็นเว่ยอี้จือเดินออกมาคนเดียวก็นึกแปลกใจ
“จวิ้นอ๋องออกจากงานเลี้ยงก่อนเวลาหรือขอรับ”
เว่ยอี้จือโบกมือให้เขาเงียบปาก แล้วเรียกมากระซิบสั่งการอย่างละเอียด
ฝูเสวียนรับคำสั่งแล้วจากไป ไม่ช้าก็กลับมารายงานว่า “มีคนแอบซุ่มอยู่ที่นี่จริงๆ ขอรับ มีกว่าร้อยคนทีเดียว”
เว่ยอี้จือพยักหน้า เขาขึ้นรถม้าแล้วออกคำสั่ง “ไปกันเถอะ”
ฝูเสวียนแปลกใจ “ไปเลยหรือขอรับ จวิ้นอ๋องจะไม่ไปเตือนคนเหล่านั้นก่อนหรือ”
“ไม่ต้องหรอก หวังจิ้งจือมีคำสั่งให้กองทหารรักษาการณ์เมืองไคว่จีคอยคุ้มกันแถบนี้อยู่แล้ว กำลังแค่หลักร้อยไม่เกินมือเขาหรอก”
“แต่ท่านอัครเสนาบดียังอยู่ในนั้นนะขอรับ”
“แล้วจะเป็นไรไปเล่า”
ฝูเสวียนถึงกับอ้าปากค้างกับคำพูดของเว่ยอี้จือ “พวกท่าน…พวกท่านเป็นพี่น้องกันมิใช่หรือ”
เว่ยอี้จือหลุดขำ “คำพูดนี้แม้แต่เซี่ยซูยังไม่เชื่อ เจ้าจะต้องเชื่อด้วยหรือ”
สถานที่จัดงานเลี้ยงในยามนี้พลันเงียบสงบ
เซี่ยซูเม้มปากไม่พูดอะไร นางครุ่นคิดถึงแต่สายตาที่เว่ยอี้จือมองไปยังลู่ซีฮ่วนก่อนจะออกจากงาน ทันใดนั้นนางก็นึกออกว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ตนเองขอให้เว่ยอี้จือแสดงการรำดาบรำทวนนั้น ลู่ซีฮ่วนมีสีหน้าตื่นตกใจเพียงใด ฉับพลันนางก็เข้าใจได้ในทันที
เว่ยอี้จือเก่งกาจในสมรภูมิ แม้แต่กองทัพอันแข็งแกร่งของแคว้นฉินก็ยังต้านทานเขาไม่อยู่ ที่ลู่ซีฮ่วนหวั่นเกรงก็คือวิชาการต่อสู้ของเขานี่กระมัง
“หึ! อู่หลิงอ๋องทำอวดเก่งนัก ข้าสู้ปฏิบัติต่อเขาอย่างดีกลับทำเป็นไม่รู้คุณคนเสียอย่างนั้น!” นางผุดลุกขึ้นอย่างโกรธเคือง ขว้างจอกสุราแตกโดยไม่สนใจสีหน้าประหลาดใจของทุกคน ก่อนจะสะบัดหน้าจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา
ทุกคนพากันตะลึง ลู่ซีฮ่วนก็เช่นกัน พอเห็นปลาใหญ่กำลังจะหลุดมือไปแล้ว เขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป หันไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้กับคนที่แอบซุ่มอยู่ในป่าไผ่
เริ่มมีการเคลื่อนไหวแล้ว
หวังจิ้งจือเห็นว่างานเลี้ยงไม่อาจดำเนินต่อไปได้แล้วก็ได้แต่ยิ้มแล้วกล่าวขออภัยต่อทุกคน ผู้คนจึงลุกขึ้นเตรียมจะแยกย้ายกันไป ทว่าคนอื่นๆ กลับเป็นฝ่ายเอ่ยปลอบใจเขาแทนว่ายามที่อัครเสนาบดีอยู่เมืองหลวงก็ดื้อรั้นเอาแต่ใจเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่ต้องรู้สึกละอายใจอะไรกับพฤติกรรมของเขาในวันนี้
“ท่านเจ้าเมืองหวังคงไม่ทราบ ท่านอัครเสนาบดีเคยกระทั่งจับนกกระเรียนมาต้มกินเสียด้วยซ้ำ!”
หวังจิ้งจือตกใจทันทีที่ได้ยิน “จริงรึ!”
“จริงแท้แน่นอน! เขามันก็แค่คนสันดานหยาบอีกคนเท่านั้น!”
เซี่ยซูพามู่ไป๋เดินไปถึงครึ่งทางแล้วก็เอ่ยเร่งให้เขารีบเดินไปขึ้นรถม้า
มู่ไป๋ไม่กล้าชักช้า เขาพูดอย่างตื่นเต้นว่า “มีคนซุ่มวางแผนร้ายหรือ คุณชายวางใจเถอะ ท่านเจ้าเมืองหวังส่งทหารมาคุ้มกันที่นี่แล้ว”
“กลัวก็แต่จะต้านทานไว้ไม่อยู่ คนพวกนั้นเตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ แล้วนะ”
พูดยังไม่ทันขาดคำ คนงานกลุ่มใหญ่ก็เดินมุ่งมาหาเซี่ยซู ดูท่าทางก็รู้แล้วว่าไม่ได้มาคอยรับใช้แน่
“รีบไป!” เซี่ยซูยกชายเสื้อขึ้นแล้วออกวิ่ง
หน้าตาจะสำคัญอะไรอีก ในอดีตนางเคยอดอยากข้นแค้นจนถึงกับต้องไปขโมยของกินเสียด้วยซ้ำ ถูกคนไล่ล่าไปไกลตั้งห้าหลี่ วิ่งจนเหนื่อยหอบหายใจแทบไม่ทันก็ยังทำได้ นับประสาอะไรกับการวิ่งเพื่อเอาชีวิตรอดในตอนนี้
ทว่าน่าเสียดายนัก แปดปีที่ใช้ชีวิตอย่างอู้ฟู่กับการพร่ำสอนเรื่องจรรยามารยาททำให้นางเปลี่ยนจากเด็กสาวจอมแก่นกลายเป็นอัครเสนาบดีผู้งามสง่า แม้แต่วิ่งก็ยังวิ่งได้ไม่เร็วเท่าเก่า
เซี่ยซูหวนนึกถึงวัยเด็กที่เคยกระฉับกระเฉงกว่าตอนนี้เหลือเกิน
มู่ไป๋มีวรยุทธ์ แต่ปกติแล้วเขามักจะแต่งกายเป็นเด็กรับใช้ในห้องหนังสือ ทำให้มองไม่ออก เขาคอยคุ้มกันด้านหลังเซี่ยซู ต่อสู้ฟาดฟันจนพวกนั้นล้มลงไปหลายคน กระทั่งเห็นคนงานคนอื่นๆ ชูอาวุธขึ้นมาจึงได้ลนลานรีบวิ่งหนี
เสร็จกัน ไม่ได้พกอาวุธมาด้วย เป็นเด็กรับใช้ห้องหนังสือจนชินเสียแล้วสิ!
เซี่ยซูร้องตะโกนลั่น แต่เสียงนั้นกลับไม่พอจะเรียกทหารมาคุ้มกัน
ที่นี่เป็นถิ่นของสกุลหวัง จึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาทำอะไรบุ่มบ่าม พวกเขาที่ไม่ใช่คนของสกุลหวังจึงได้แต่คอยหลบซ่อนตัวปีแล้วปีเล่า ทุกปีล้วนอยู่อย่างเบื่อหน่าย ได้แต่วิ่งไล่ผีเสื้อไปวันๆ ขาดความตื่นตัวไปนานแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนงานชุมนุมของพวกชนชั้นสูง พวกเขาจึงล้วนเฝ้ามองอยู่จากที่ไกลๆ ย่อมคิดไม่ถึงว่าในกลุ่มชนชั้นสูงจะเกิดสถานการณ์ความขัดแย้งขึ้นในวันนี้
เดิมทีพลซุ่มราวร้อยคนกลุ่มนี้ก็เป็นเพียงแค่ตัวล่อ ทันทีที่เห็นพวกคนงานลงมือ พวกเขาก็จะปรากฏตัวขึ้นเพื่อดึงดูดความสนใจของพวกทหาร พวกคนงานจะได้ลงมือกับเป้าหมายได้สะดวกมากขึ้น
เซี่ยซูไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ นางวิ่งไปเรื่อยๆ จนค่อยๆ หมดแรงลง ในที่สุดคนงานกลุ่มนั้นก็มาอยู่เบื้องหน้าแล้ว
มู่ไป๋ถูกฟันจนล้มลง ดาบใหญ่หลายเล่มพุ่งมาจ่อที่คอนางทันที
พวกลูกหลานชนชั้นสูงเดินทางมาด้วยความกระตือรือร้น แต่ต้องกลับไปด้วยความผิดหวัง ไม่มีใครใส่ใจว่าบัดนี้เซี่ยซูไปอยู่ที่ใดกัน
เดินไปได้ครึ่งทางจู่ๆ ก็มีเสียงร้องตะโกนดังขึ้นรอบด้าน ราวกับว่ามีคนกลุ่มใหญ่ก่อเรื่องขึ้น ทุกคนตกใจจนสะดุ้งโหยง ต่างหยุดยืนแล้วคอยมองดู พวกเขาหวาดกลัวจนต้องกระจุกตัวรวมกันเป็นกลุ่ม
หวังจิ้งจือสั่งให้คนออกไปตรวจสอบ เพียงไม่นานหัวหน้าทหารที่เฝ้าคุ้มกันก็เข้ามารายงานว่าเป็นกลุ่มคนเร่ร่อนมาก่อความวุ่นวาย ซึ่งตอนนี้ล้วนถูกขับไล่ออกไปหมดแล้ว
ทุกคนพากันถอนหายใจโล่งอก แต่แล้วก็เห็นคนผู้หนึ่งวิ่งมาด้วยร่างที่มีเลือดโซมกาย
มู่ไป๋พยายามเสแสร้งว่าตายจนสำเร็จ รอจนคนงานกลุ่มนั้นจากไปแล้ว เขาจึงฝืนทนต่อความเจ็บปวดวิ่งมาขอความช่วยเหลือ ส่งเสียงร้องตะโกนมาแต่ไกล “ท่านเจ้าเมือง รีบไปช่วยคุณชายของข้าที!”
หวังจิ้งจือได้ยินก็ตกใจ เขาตรงเข้าไปประคองมู่ไป๋ด้วยตนเองแล้วสอบถามเรื่องราวอย่างละเอียด
อัครเสนาบดีมาเกิดเรื่องขึ้นในถิ่นของสกุลหวังก็ว่าแย่แล้ว นี่ยังถูกคนแต่งกายเป็นคนงานสกุลหวังลักพาตัวไปอีก เห็นได้ชัดว่าเป็นการส่งหนอนบ่อนไส้เข้ามาหวังจะใส่ร้าย หวังจิ้งจือไม่ทันซักถามให้ละเอียดก็รีบรวบรวมกำลังทหารแล้วออกตามหาเซี่ยซูเพื่อช่วยชีวิตทันที
รถม้าของเว่ยอี้จือยังแล่นไปได้ไม่ไกลนัก ทันทีที่ได้ยินเสียงร้องโหวกเหวกจากทางเบื้องหลัง เขาจึงให้หยุดรถก่อน
เหมือนจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว หากจุดมุ่งหมายของลู่ซีฮ่วนคือกลุ่มคนทั้งหมดในที่นั้น ก็ไม่น่าจะทำเอิกเกริกเช่นนี้
“ฝูเสวียน เจ้าไปดูสถานการณ์ทางนั้นหน่อย แล้วไปดูว่าลู่ซีฮ่วนยังอยู่หรือไม่”
“ขอรับ” ฝูเสวียนรับคำสั่งแล้วออกไป
เพียงไม่นานหวังจิ้งจือก็นำกลุ่มคนออกเดินตามหาคนด้วยตนเอง เมื่อเห็นรถม้าของเว่ยอี้จือยังจอดอยู่กลางทางก็รีบเข้าไปถามไถ่ “อู่หลิงอ๋องรีบกลับไปเถอะ ท่านอัครเสนาบดีถูกโจรจับตัวไปแล้ว ที่นี่ไม่เหมาะจะรั้งอยู่นาน”
เว่ยอี้จือดูตกใจอยู่บ้าง ด้วยไม่คาดคิดว่าเป้าหมายของลู่ซีฮ่วนจะเป็นเซี่ยซูเพียงผู้เดียว ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังทำสีหน้าเรียบเฉยเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านเจ้าเมืองที่เตือนให้รู้ เช่นนั้นข้าก็ขอตัวกลับแล้ว”
หวังจิ้งจืออยากจะให้แบ่งกำลังคนคอยคุ้มกันส่งเว่ยอี้จือกลับ แต่เขาโบกมือปฏิเสธ “ข้ายังปกป้องตัวเองได้ ท่านเจ้าเมืองรีบไปตามหาท่านอัครเสนาบดีเถอะ”
“ที่อู่หลิงอ๋องว่ามาก็ถูกต้องแล้ว เช่นนั้นก็ขอให้ท่านระวังตัวให้มากหน่อย” หวังจิ้งจือรั้งสายบังเหียนแล้วหันหัวม้ารีบนำกลุ่มคนจากไปทันที
ฝูเสวียนกลับมารายงานว่า “ท่านเจ้าเมืองหวังให้คนคอยคุ้มกันใต้เท้าทุกคนกลับไปโดยใช้เส้นทางลัดแล้วขอรับ ลู่ซีฮ่วนก็รวมอยู่ในนั้นด้วย”
เว่ยอี้จือพยักหน้าพลางถอยกลับไปขึ้นรถเปลี่ยนไปสวมชุดชาวหูแขนกระชับและรองเท้าหุ้มข้อที่ดูทะมัดทะแมง ก่อนจะหยิบคันธนูและแส้ยาวออกมา โดดลงจากรถม้าแล้วสั่งให้สารถีปลดม้าเทียมรถออกมาให้เขาตัวหนึ่ง
ฝูเสวียนรีบเอ่ยถาม “จวิ้นอ๋องจะไปที่ใดหรือขอรับ”
“หากมีผู้ใดถามก็บอกว่าข้าไปล่าสัตว์แล้วกัน” เว่ยอี้จือจัดชายแขนเสื้อให้ดี แล้วเหน็บแส้ยาวไว้ที่เอว “เรื่องนี้จะให้แพร่งพรายออกไปไม่ได้ ข้าคำนวณเวลาดูแล้ว อีกสองชั่วยาม หากข้ายังไม่กลับมาก็ไปขอให้หวังจิ้งจือมาช่วย ข้าจะทิ้งสัญลักษณ์ไว้ตามรายทาง”
“ขอรับ”
เว่ยอี้จือพลิกร่างขึ้นหลังม้าแล้วควบม้าตะบึงไปทางหลันถิง
หากว่ากันตามที่เห็น ใครๆ ก็รู้ว่าเขากับเซี่ยซูถือเป็นศัตรูกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อครู่เขาเพิ่งจะหักหน้าอีกฝ่ายต่อหน้าผู้คนด้วยการออกจากงานเลี้ยงก่อนงานจะเลิก ดูแล้วน่าสงสัยเป็นอย่างมาก
แต่หากว่ากันให้ลึกซึ้งแล้ว เกิดเรื่องขึ้นกับเซี่ยซูเช่นนี้ สกุลหวังย่อมถือเป็นฝ่ายเสียหาย เหลือเขาเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว จะช้าหรือเร็วฮ่องเต้ย่อมต้องนึกกลัว ในที่สุดก็จะต้องหาทางกำจัดเขาในท้ายที่สุด
มีเพียงถ่วงดุลอำนาจเอาไว้จึงจะเป็นหนทางในการรักษาชีวิตเอาไว้ได้
แต่ต่อให้เว่ยอี้จืออยากจะไปช่วยเซี่ยซูเพียงใดก็จำต้องกระทำการอย่างลับๆ แม้ตระกูลทางฝ่ายใต้จะถูกกีดกัน แต่เรื่องของอำนาจกลับไม่อาจดูแคลนได้ อย่างไรเสียแถบไคว่จีนี้ก็ถือเป็นถิ่นเก่าของสกุลลู่ อำนาจย่อมจะหยั่งรากลึกอย่างซับซ้อน ทั้งยังมีสกุลกู้ สกุลจาง และสกุลจูอีกสามตระกูลคอยซุ่มรอจังหวะในการลงมืออยู่ใกล้ๆ อีก เขาเองก็ไม่นึกอยากดึงผู้คนมากมายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.