บทที่ 7
ลู่ซีฮ่วนในยามนี้กำลังรีบร้อนเดินทางไปพร้อมกับพวกคนจากตระกูลต่างๆ ทำทีเหมือนว่าตนเองก็พลอยตระหนกตกใจไปด้วย
พวกตระกูลใหญ่ฝ่ายเหนือที่เดินทางมาด้วยต่างเย้ยหยันว่าลู่ซีฮ่วนขี้ขลาด เขาก็เพียงตีสีหน้าเย็นชาไม่คิดโต้ตอบ เพียงหันไปสบตากับคุณชายสกุลกู้ ทั้งสองมองหน้าแล้วยิ้ม…ต่างคิดเหมือนกันในใจ
พวกเจ้าเหล่าคนหยาบช้าสามานย์ ดูซิว่าจะยังวางกร่างได้อีกสักเท่าไร
เซี่ยซูในตอนนี้ก็กำลังเดินทางอย่างเร่งรีบเช่นกัน นางถูกชายร่างกำยำจับตัวไว้ จุดหมายปลายทางที่กำลังมุ่งไปนั้นล้วนปิดไว้เป็นความลับ พวกเขาจงใจใช้ทางสายเล็กในการเดินทาง
คนกลุ่มนั้นคงจะนึกดูถูกเซี่ยซูจึงไม่ได้มัดนางเอาไว้ เพียงบีบให้นางอยู่ตรงกลาง นางเองก็แสดงท่าทีอย่างว่าง่าย ไม่ร้องโวยวาย ยอมเดินตามพวกเขาไปแต่โดยดี ไม่มีท่าทีต่อต้านเลยสักนิด
เดินไปได้สี่ห้าหลี่ ทุกคนเห็นใบหน้าของเซี่ยซูซีดขาวและดูเชื่อฟังเป็นอย่างดี ก็รู้ว่าคนผู้นี้กำลังหวาดกลัว ในใจพลันนึกเย้ยหยัน ค่อยๆ ลดการระแวดระวังลงไป
เซี่ยซูแอบสำรวจรอบด้าน นางเหลือบสายตาไปเห็นว่าทุ่งนาข้างหน้ามีหุ่นไล่กาตั้งอยู่ก็ลอบจดจำเอาไว้
เดินไปอีกสักพักก็มีแม่น้ำปรากฏอยู่ในสายตา เซี่ยซูคิดอ่านอย่างฉับไว นางใช้นิ้วหัวแม่มือกดลงไปที่ลำคอแรงๆ ทันใดนั้นก็โก่งคออาเจียน
“เป็นอะไรไปน่ะ!” บุรุษตาเฉี่ยวที่เดินนำหน้ากลับหลังเดินมาหา เห็นเซี่ยซูโก่งคออาเจียนอย่างเอาเป็นเอาตายก็ปิดจมูกพลางร้องด่า “สมเป็นไอ้สวะที่เอาแต่สวาปามทั้งวันทั้งคืน กินจนต้องอาเจียนออกมาเลยเชียวรึ!”
เซี่ยซูหันมองเขาด้วยสีหน้าอิดโรย เอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “ท่านผู้กล้าช่วยพาข้าไปล้างตัวหน่อยได้หรือไม่”
บุรุษตาเฉี่ยวเห็นเซี่ยซูอาเจียนเสียจนเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปหมดก็ร้องด่าอีก “มารดามันเถอะ! น่าขยะแขยงชะมัด!”
เซี่ยซูหดคอแล้วนิ่วหน้าทำทีเหมือนพยายามจะกลั้นอาเจียนไว้อย่างเต็มที่
บุรุษตาเฉี่ยวด่าไม่ออกอีกแล้ว ใบหน้าเซี่ยซูนั้นดูงดงามปานรูปสลัก ดวงตาปิดแน่นเหมือนสะกดกลั้นถ้อยคำเป็นพันเป็นหมื่นเอาไว้ นิ่วหน้าเหมือนเก็บซ่อนความระทมขมขื่นอันแสนสาหัส เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้นกลับน่ามองเสียยิ่งกว่าหญิงสาวคนใดที่เขาเคยได้พบเห็น เดิมทีเขาทำท่ากระโชกโฮกฮาก แต่แล้วกลับตะคอกไม่ออก ได้แต่กระแอมไอทีหนึ่ง ร้องอืมแล้วหันกลับไป โบกมือพลางเอ่ยว่า “ไปซะไป รีบไปแล้วก็รีบกลับ!”
สีหน้าเซี่ยซูตื่นเต้นยินดียิ่ง นางเอ่ยขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่าพร้อมกับเผยรอยยิ้มเจิดจ้า ทำเอาคนมองนัยน์ตาพร่าเลือนทีเดียว บุรุษตาเฉี่ยวแอบก่นด่าแล้วสั่งให้คนสองคนพานางไปที่ริมฝั่งแม่น้ำ กำชับแล้วกำชับอีกว่าต้องคอยจับตาดูให้ดี
สองคนนั้นพาเซี่ยซูไปถึงริมฝั่ง หยุดอยู่ห่างจากนางแค่ไม่กี่ก้าว แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก ทั้งยังหละหลวมไม่คอยระวังให้ดี
เซี่ยซูสบโอกาสก็กระโดดลงไปในแม่น้ำแล้วรีบว่ายตามกระแสน้ำไป
สองคนเพิ่งได้สติก็ขวัญกระเจิงทันที พวกเขาคิดไม่ถึงว่าพวกลูกหลานชนชั้นสูงเหล่านี้จะว่ายน้ำเป็น ทั้งยังว่ายไปอย่างว่องไวอีกด้วย
“พวกเรามานี่หน่อย อัครเสนาบดีหนีไปแล้ว!”
บุรุษตาเฉี่ยวรีบนำคนวิ่งมา ด้านหนึ่งตะคอกสั่งให้พรรคพวกออกตามหา อีกด้านหนึ่งก็ก่นด่าคนทั้งสอง “ให้ตายเถอะ! คิดจะทำให้ชาวบ้านแถบนี้รู้กันหมดหรือว่าเราจับตัวใครมา? อยากตายนักหรือ!”
แถบเจียงหนานมีคนว่ายน้ำได้คล่องแคล่วอยู่มากมาย เพียงไม่นานก็มีชายฉกรรจ์หลายคนกระโดดลงแม่น้ำตามไล่ล่าเซี่ยซู การว่ายตามกระแสน้ำทำให้เคลื่อนตัวไปได้รวดเร็วมากก็จริง แต่พวกเขามากันหลายคน ครึ่งหนึ่งจึงไปดักจับตามเส้นทางลัดริมฝั่งแม่น้ำ อีกครึ่งคอยระวังหลังในแม่น้ำ ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะจับตัวกลับมาไม่ได้
จริงดังคาด หลังว่ายผ่านไปจนถึงที่ที่กระแสน้ำอ่อนลง พวกเขาก็เห็นร่างของเซี่ยซูลอยขึ้นบนผิวน้ำ ทุกคนรีบว่ายตามไป กระโจนเข้าไปหาดุจเสือหิวไล่ตะครุบเหยื่อ ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล
คนหนึ่งฉุดร่างนั้นขึ้นมา ฉับพลันก็หลุดปากร้องด่าทอเป็นการใหญ่ นั่นไม่ใช่อัครเสนาบดี แต่เป็นหุ่นไล่กาที่สวมชุดของเขาต่างหาก มิน่าเล่าจึงลอยตุ๊บป่องบนผิวน้ำราวกับจะตายมิตายแหล่
“มารดามันเถอะ! ถูกหลอกแล้ว รีบตามหาคนเร็วเข้า!”
เซี่ยซูขดตัวอยู่ริมฝั่งแม่น้ำบริเวณแถวคันนา เมื่อได้ยินเสียงคนเดินห่างออกไปแล้วนางก็ค่อยๆ ถอนหายใจโล่งอก นางบิดน้ำที่ชุ่มโชกออกจากเสื้อตัวกลาง แล้วบากหน้าวิ่งไปทางหมู่บ้าน
อาทิตย์อัสดงคล้อยลงทางตะวันตก ควันจากปล่องในครัวลอยฟุ้งเป็นสาย เซี่ยซูวิ่งไปที่ปากทางเข้าหมู่บ้านแล้วมองดู แม้หมู่บ้านนี้จะเล็กแต่ถนนในหมู่บ้านทะลุถึงกันหมด เกรงว่าอีกไม่ช้าคนพวกนั้นจะต้องกลับมาตามหานางแน่
เซี่ยซูเปลี่ยนใจจากที่ว่าจะขอเข้าไปพักในบ้านของชาวบ้าน เป็นตรงไปยังภูเขาที่อยู่ด้านหลังหมู่บ้านแทน แล้วเลือกรออยู่บนที่สูงซึ่งสามารถมองเห็นตำแหน่งที่ตั้งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน นางจะได้ไม่เผลอไปจู่โจมผิดคนเข้า
ภูเขานี้มีพื้นที่เรียบไม่ได้สูงชันนัก ทว่าที่นี่ไม่เหมือนกับที่หลันถิงซึ่งมีคนคอยจัดการดูแล จึงมีพุ่มไม้หนามอยู่ทั่วไปหมด รองเท้าหุ้มข้อที่เซี่ยซูสวมใส่ฉีกขาดแล้ว ข้อเท้านางจึงถูกหนามแหลมทิ่มตำเป็นแผล เจ็บจนต้องร้องโอดเบาๆ นางหันมองซ้ายขวาก่อนจะดึงหญ้าแห้งขึ้นมากำหนึ่งเก็บเอาไว้กับตัว แล้วไต่ขึ้นเขาไปอย่างกะโผลกกะเผลก
ไม่คิดเลยว่าพอไปถึงลาดเขาแล้วคนกลุ่มนั้นก็กลับมาจริงๆ ทั้งยังตรงมาค้นหาบนภูเขา
เซี่ยซูกัดฟันทนแล้ววิ่งต่อไป แต่คนกลุ่มนั้นวิ่งเร็วมาก ไม่ช้าก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา
เซี่ยซูรู้ดีว่าตนเองหนีไม่พ้นแล้ว นางจึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว คลายผมที่เกล้าไว้ลงมาบังครึ่งใบหน้า แล้วถอดรองเท้าโยนไปไกลๆ เหลือสวมไว้เพียงถุงเท้า จงใจลากเท้าให้เลอะโคลนเพื่อปิดบังรอยเลือด
พวกชายฉกรรจ์ก่นด่าตลอดทางที่ไปถึงยอดเขา ก่อนจะเห็นหญิงสาวคนหนึ่งปล่อยผมสยายนั่งคุกเข่ากับพื้นกำลังเก็บฟืนอยู่ ปากยังครวญเพลงเบาๆ ไปด้วย
คนที่มามีจำนวนไม่มาก น่าจะเป็นเพียงสายหนึ่งที่แยกตัวออกมาจากกลุ่มใหญ่ พวกเขาไม่มีแก่ใจจะฟังเพลง เพียงตะคอกถาม “เห็นบุรุษหน้าตาดีเนื้อตัวเปียกโชกวิ่งผ่านมาบ้างหรือไม่!”
“เอ๊ะ!” จู่ๆ หญิงสาวก็ร้องเสียงดังแล้วผุดลุกขึ้นมา นางชี้ไปที่ตีนเขา สีหน้าราวกับตระหนกตกใจอย่างไรอย่างนั้น
คนผู้นั้นมองไปตามทางที่นางชี้ รองเท้าของเสนาบดีข้างหนึ่งห้อยต่องแต่งอยู่บนกิ่งไม้นั่นเอง
“วิ่งจากที่นี่ไปจริงๆ ด้วย!” ชายฉกรรจ์ตัดสินใจเด็ดขาด ไม่สนใจว่าทางจะชันหรือเต็มไปด้วยพุ่มไม้หนามอย่างไร เพียงตวัดดาบเปิดทางลงจากเขา หลายคนเกือบจะล้มหน้าคว่ำลงกับพื้นเลยทีเดียว
เซี่ยซูมองส่งพวกเขาเดินลงเขาไป ก่อนจะทิ้งท่อนฟืนในมือแล้ววิ่งไปอีกทางหนึ่ง
ในช่องเขาแคบมีบึงน้ำตื้นๆ อยู่แห่งหนึ่ง น่าจะเกิดจากน้ำฝนที่ไหลมารวมกันจึงดูไม่ค่อยใสสะอาดนัก แต่เวลาเช่นนี้นางไม่อาจพิถีพิถันอะไรมาก จึงนั่งลงถอดถุงเท้าออกแล้วล้างแผล
เสื้อผ้ายังเปียกชื้นอยู่ แต่เซี่ยซูจำต้องใช้ห่มตัวไปพลางพยายามพัดให้แห้งไปพลาง เมื่อครู่คนเหล่านี้ไม่ทันได้สังเกต และไม่ทราบว่าหลังจากนี้จะนึกรู้ตัวขึ้นมาหรือไม่ หากพวกเขากลับมาก็คงได้แต่โทษว่านางโชคร้ายยิ่งนักแล้ว
นางถอนหายใจ พอใช้น้ำล้างหน้าสักพักหนึ่งก็เกล้ามวยผมไว้ดังเดิม
หวังจิ้งจืออาจส่งคนออกมาตามหาก็ได้ เซี่ยซูต้องคอยระวังตัวไว้ว่าอาจไม่ได้มีแต่คนร้ายคอยออกตามหานาง
เมื่อไม่มีรองเท้าแล้ว เซี่ยซูก็ได้แต่ใช้ฟางที่เก็บมาก่อนหน้านี้ถักเป็นรองเท้าฟางใส่ไปก่อน
ตอนเด็กๆ มารดาเคยสอนนางมาก่อน แต่นั่นก็นานมาแล้ว นางจึงเริ่มร้างวิชา ถักไปข้างหนึ่งรองเท้าก็ดูหลวมโพรกไม่เป็นทรง ถึงกระนั้นก็ยังเอามาสวมเท้าพลางเหลือบมองเงาในน้ำ นางยิ้มพลางกระซิบบอก “ข้าจะใช้ชีวิตต่อไปให้ดี ท่านแม่”
เพิ่งสวมรองเท้าทั้งสองข้างได้ไม่ทันไร หูก็แว่วเสียงฝีเท้าอีกครั้ง เซี่ยซูใจเต้นไม่เป็นส่ำ นางนวดหว่างคิ้วด้วยความเครียด คราวนี้คงหนีไม่รอดแล้วสินะ
แต่ที่มากลับมีคนเดียว
เว่ยอี้จือยืนอยู่ต่อหน้าเซี่ยซูพลางส่งยิ้มให้ “ตามคนกลุ่มนี้อยู่นานเชียวกว่าจะหาเจ้าพบ คนมากมายเช่นนั้นยังจับตัวเจ้าคนเดียวไม่ได้ ไม่เห็นจะต้องให้ข้ามาตามหาเลยนี่”
พอเซี่ยซูเห็นเขาก็รีบทำท่าสะเทือนใจทันที “อา จ้งชิง เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าแทบจะต้านคนพวกนั้นต่อไปไม่ไหวแล้ว”
เว่ยอี้จือกลั้นยิ้มแล้วเอ่ยว่า “พูดอะไรเช่นนั้น เจ้าคนเดียวต้านร้อยคนได้เชียวนะ”
เซี่ยซูรู้แล้วว่าเว่ยอี้จือคิดอย่างไร ทั้งแน่ใจว่าตนเองปลอดภัยแน่แล้ว นางก็ถอนหายใจออกมาทันที ไม่คิดพูดเย้าเขาเล่นอีก รีบสอบถามสถานการณ์ทางมู่ไป๋กับตระกูลใหญ่อื่นๆ พอรู้ว่าหวังจิ้งจือน่าจะมาถึงในอีกไม่ช้า นางก็แอบนั่งขัดสมาธิอย่างแนบเนียน ซ่อนเท้าไว้ใต้ท่อนขา
ไม่มีทางอื่นแล้ว บัดนี้สวมแค่เพียงเสื้อตัวกลาง ไม่มีชายเสื้อที่พอจะคลุมปิดเท้าได้เลย
เว่ยอี้จือเห็นว่าพลบค่ำแล้วจึงหยิบหินไฟออกมาก่อไฟกองหนึ่ง แล้วเรียกให้เซี่ยซูถอดเสื้อผ้ามาผิงไฟให้แห้ง
เซี่ยซูมีหรือจะยอม นางบอกแค่เพียงว่าเสื้อผ้าแห้งนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องผิงไฟอีก
“เจ้ายังมากธรรมเนียมเช่นเคย”
เว่ยอี้จือไม่รู้เรื่องที่เซี่ยซูเป็นหญิง จึงไม่นึกสงสารนางหรือคิดว่าต้องดูแลนางเป็นพิเศษ ไม่เช่นนั้นอย่างน้อยก็จะต้องถอดเสื้อนอกออกมาให้นางสวมกันลมแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเซี่ยซูเองก็ไม่ทำตัวเป็นหญิง ทั้งไม่ทำทีไว้ตัวเฉกเช่นหญิงสาว นางหันมองรอบๆ แล้วพูดกับเขาว่า “ไม่รู้ว่าในป่าเขานี้มีเหยื่อให้ล่าบ้างหรือไม่ ข้าหิวแล้ว”
เว่ยอี้จือส่ายหน้า “ต่อให้มีก็ย่างกินไม่ได้ เจ้าอยากให้กลิ่นเรียกคนพวกนั้นมาอีกหรือ ถึงตอนค่ำถ้าหวังจิ้งจือยังไม่มาอีก ก็ต้องดับไฟกองนี้ก่อน”
“ที่ว่ามาก็ถูก” เซี่ยซูถอนหายใจอย่างผิดหวัง
เว่ยอี้จือลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะลองออกไปดูว่าพอมีอะไรที่กินได้บ้าง”
ภูเขากันดารห่างไกลผู้คน ไหนเลยจะมีอะไรให้กินได้ ตอนที่เว่ยอี้จือกลับมา ในมือจึงมีเพียงรากบัวสองราก เขาพูดกับเซี่ยซูว่า “ที่ตีนเขามีท่านลุงคนหนึ่งปลูกไว้ รากต้นบัวที่แห้งตายแล้วน่ะ ดีกว่าไม่มีอะไรกิน”
เซี่ยซูรับไปอย่างยินดียิ่ง นางยิ้มให้แล้วเอ่ยว่า “สิ่งนี้อร่อยนัก”
เว่ยอี้จือนั่งลงข้างๆ เซี่ยซู “เจ้าเคยกินมาก่อนหรือ”
“แน่นอน ตอนนั้นข้าอยู่ที่จิงโจว กินเจ้านี่ประทังชีวิตอยู่ครึ่งปี เคยกินมาสารพัดรูปแบบ แม้แต่เปลือกก็ยังเอามาทำอาหารได้หลายอย่าง”
เว่ยอี้จือฟังนางพูดจนอดหัวเราะไม่ได้ ทันใดนั้นก็ตกตะลึง “จิงโจวรึ ข้าจำได้ว่าแปดปีก่อนหลังเกิดภัยแล้งก็มีตั๊กแตนระบาด พืชผลเก็บเกี่ยวไม่ได้ ชาวบ้านอดอยากไปทั่ว เจ้ากลับมาบ้านสกุลเซี่ยตอนนั้นเองหรือ”
เซี่ยซูตะลึงงัน มุมปากยังกระตุกด้วย “แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็รู้ด้วยรึ”
“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าจิงโจวอยู่ติดกับเมืองอู่หลิง”
“อ้อ จริงด้วย” เซี่ยซูก้มหน้าล้างรากบัว ไม่พูดไม่จาอะไรอีก
นั่นเป็นความทรงจำเมื่อนานมาแล้ว ผืนดินแตกระแหงมีแต่ตั๊กแตนบินว่อนไปทั่ว และเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความหิวโหย…
นางไปขโมยของกินในพื้นที่ห่างไกลกับสหายกลุ่มหนึ่ง ทุกครั้งที่ไปล้วนเหมือนเคลื่อนพลออกรบ ตอนนั้นถือเป็นภารกิจที่สูงส่ง เนื่องจากทุกคนต่างก็แบกความเป็นความตายของคนทั้งครอบครัวเอาไว้
ภายหลังพวกสหายก็ค่อยๆ หายหน้าไปทีละคนสองคน บางคนอดตาย บ้างก็ถูกขายออกไป ยังมีบางคนถูกทุบตีเสียน่วมหลังจากออกไปขโมยของกินแล้วถูกจับได้ บาดเจ็บจนล้มป่วย ยื้อได้ไม่กี่เดือนก็ป่วยตาย
ชีวิตคนไร้ค่า…สิ่งที่มีค่าคืออาหาร
ความทรงจำช่วงนั้นโหดร้ายยิ่งนัก นางไม่อยากหวนกลับไปคิดอีกแล้ว
จำต้องบอกว่าคนสกุลเซี่ยปรากฏตัวได้ประจวบเหมาะพอดี ขณะที่นางและมารดาไร้ทางออก พวกเขาก็ส่งทางรอดมาให้
“หรูอี้ เหมือนข้าจะไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงมารดาของเจ้ามาก่อนเลย” เว่ยอี้จือเห็นเซี่ยซูล้างรากบัวอยู่นานแล้วก็ยังล้างไม่เสร็จ จึงต้องพูดขึ้นมาเพื่อดึงนางออกจากห้วงความคิด
“มารดาข้า…” นางนั่งยืดหลังตัวตรง แล้วหันมายิ้มให้เขา “ตายไปแล้วเมื่อแปดปีก่อน”
เว่ยอี้จือตกตะลึงกับรอยยิ้มของเซี่ยซู นั่นมิใช่รอยยิ้มแบบที่เขาเคยเห็น
“ข้าล่วงเกินเจ้าแล้ว ขออภัยด้วย”
“ไม่เป็นไร เรื่องก็ผ่านมานานแล้ว” เซี่ยซูไม่คิดจะถือสา
แม้เว่ยอี้จือจะไม่เคยได้เห็นภัยพิบัติจากการระบาดของตั๊กแตนด้วยตาตนเอง แต่เขาก็เคยได้ยินมาบ้าง เมื่อมองดูเซี่ยซูอีกครั้ง จะมากน้อยก็มีอะไรบางอย่างที่ดูแตกต่างออกไป
“ว่ากันว่าหากรอดชีวิตจากเหตุเภทภัยครั้งใหญ่มาได้ ย่อมต้องประสบสุขในภายหลัง ต่อจากนี้ไม่ว่าเจ้าจะทำการสิ่งใดย่อมราบรื่น”
เซี่ยซูส่งรากบัวรากหนึ่งให้เขา นางหัวเราะร่าแล้วเอ่ยว่า “ข้าขอแค่ให้เรื่องเฉพาะหน้านี้ผ่านไปได้ก็พอใจแล้ว”
เว่ยอี้จือรับมากัดคำหนึ่งแล้วค่อยๆ เคี้ยวชิมลิ้มรส เขาพบว่ารากบัวนี้มันทั้งกรอบและหวาน สิ่งนี้น่ะหรือที่เลี้ยงดูปากท้องของคนผู้นี้มาก่อน
เขามองดูเซี่ยซูแวบหนึ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตนเองราวกับไม่เคยเข้าใจเกี่ยวกับคนผู้นี้เลย
ทว่าการรอคอยของพวกเขายังไม่ประสบผล หวังจิ้งจือยังไม่ทันมา ทหารที่ไล่ตามก็เป็นฝ่ายหวนกลับมาก่อน
กลุ่มคนที่มาตามหาก่อนหน้านี้อาจจะโง่เขลา แต่บุรุษตาเฉี่ยวมิใช่คนที่จะหลอกลวงได้ง่ายๆ พอหาหลายรอบแล้วไม่พบก็คาดเดาได้ว่าตนเองถูกหลอกแล้ว ดังนั้นจึงนำกำลังคนหวนกลับมาอีกรอบทันที
เซี่ยซูได้ยินเสียงคนก็รีบวักน้ำดับไฟ อาทิตย์อัสดงจวนลับตาไปหมดแล้ว รอบด้านมืดครึ้มลง เว่ยอี้จือกลับยังกัดกินรากบัวอย่างไม่รีบไม่ร้อน ดูเหมือนเขาเพิ่งจะพบความยอดเยี่ยมของเจ้าสิ่งนี้ จึงกินเอาๆ ด้วยความเอร็ดอร่อย
ทางบนภูเขาค่อนข้างราบ จึงบุกฝ่าขึ้นไปได้เร็ว ไม่ช้าบุรุษตาเฉี่ยวก็มาถึง
“อยู่ที่นี่นั่นเอง รีบไปจับตัวมา!”
ทุกคนกรูกันเข้าไปหา แต่เพิ่งจะเข้ามาถึงตัว จู่ๆ ก็มีเสียงแหวกอากาศวูบหนึ่ง ชายฉกรรจ์สองคนที่อยู่ข้างหน้าก็หน้าหงายล้มลง สาบเสื้อด้านหน้าแหวกออกกว้าง เลือดสดๆ ไหลทะลักออกมา
เว่ยอี้จือกระตุกมือทีหนึ่ง แส้ยาวในมือก็ตวัดกลับมาได้ประดุจงูเลื้อย
บุรุษตาเฉี่ยวเห็นฝีมือเว่ยอี้จือแล้วก็ตกใจกลัว แต่เพื่อรักษาชีวิตตนเองจึงไม่สนใจสิ่งใด เขาโบกมือที่ใหญ่โตแล้วเอ่ยว่า “ลุยเลย!”
เว่ยอี้จือโยนรากบัวทิ้งแล้วผุดลุกขึ้นทันที มือหนึ่งคว้าตัวเซี่ยซูไว้ อีกมือสะบัดแส้ออกไป ชายฉกรรจ์หลายสิบคนถูกเขาฟาดแส้ใส่จนล้มลง เขาเคลื่อนไหวว่องไวราวกับสายฟ้าฟาด สามารถแหวกทางได้อย่างง่ายดาย แล้ววิ่งทะยานลงเขาไป
บุรุษตาเฉี่ยวมือข้างหนึ่งยกกุมใบหน้าที่ถูกแส้ฟาดเสียจนบวมเป่ง อีกข้างกำเป็นหมัดทุบพื้นแล้วตวาดสั่ง “รีบตามไปสิ!”
เซี่ยซูเพิ่งได้สติคืนมาตอนที่ถูกดันร่างขึ้นบนหลังม้า นางประคองร่างที่เกือบร่วงตกลงไปแล้วฝืนยิ้ม “ที่แท้จ้งชิงก็เป็นยอดฝีมือ ไม่คิดเลยว่าวรยุทธ์ที่ไม่มีวาสนาจะได้ยลที่หลันถิงกลับได้มาชมเป็นขวัญตาที่นี่แทน”
เว่ยอี้จือพลิกร่างขึ้นนั่งซ้อนข้างหลังเซี่ยซู “เจ้ายังมีแก่ใจจะพูดล้อเล่นอีกนะ” พูดจบก็ฟาดแส้ใส่ม้าอย่างแรง ม้าวิ่งตะบึงออกไปรวดเร็วราวกับลูกธนูที่พุ่งจากคันธนู
เซี่ยซูแทบจะถูกโอบไว้ในอ้อมอกของเว่ยอี้จือจนมิด นางจึงขยับตัวอย่างเก้ๆ กังๆ
เป็นเพราะกลุ่มที่ไล่ตามไม่กล้าทำตัวให้เป็นจุดเด่น พวกเขาจึงไม่มีทั้งรถและม้าใดๆ ตั้งแต่แรก ย่อมจะตามเว่ยอี้จือไปไม่ทัน
ทว่ายามนี้ลู่ซีฮ่วนพาคนมาหาพวกเขาด้วยตนเองแล้ว
ก่อนหน้านี้ลู่ซีฮ่วนกลับไปถึงที่พัก นานแล้วก็ยังไม่ได้ข่าวคราวอะไรย่อมรู้ว่าเกิดเหตุพลิกผันขึ้น เขาจึงประสานกับสกุลกู้ให้ส่งคนมาช่วย พอเขารู้ว่าเซี่ยซูเพิ่งจะถูกช่วยไปได้ก็โกรธจนใบหน้าดำคล้ำ สั่งคนให้รีบตามไปทันที
คนที่มาคราวนี้ไม่ใช่แค่อันธพาลที่แต่งกายคล้ายคนงานในบ้านก่อนหน้านี้ แต่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ว่องไวประดุจสายฟ้า ควบขี่ม้าอาชาไนย โดยแบ่งเป็นสองกลุ่มแล้วโอบเข้าหาจากทางด้านข้าง ไม่นานก็เข้าล้อมเซี่ยซูและเว่ยอี้จือไว้ได้
“วิ่งไปข้างหน้า อย่าหยุดเป็นอันขาด” เว่ยอี้จือกระซิบที่ข้างหูเซี่ยซู เขายื่นสายบังเหียนให้นาง จากนั้นก็เอาลูกธนูพาดสายแล้วเล็งไปข้างหน้า เขายิงออกไปสามดอกติดๆ กัน สังหารได้สามคน
เซี่ยซูขี่ม้าไม่เก่ง แต่ก็ฝืนควบทะยานผ่านช่องแคบๆ ไปได้ ในใจนางยังนึกกลัวไม่หาย
ทุกคนตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดตรงหน้ายิ่ง ต่างก็ตกใจขวัญหนีดีฝ่อจนเกิดความลังเลขึ้นมา ทำให้ฝีเท้าม้าผ่อนลง
ลู่ซีฮ่วนมองเห็นแต่ไกล เขาคิดจะควบม้าตามไปด้วยตนเอง ทว่ากลับถูกคุณชายกู้ฉ่างจากสกุลกู้รั้งตัวไว้ “คนผู้นี้ฝีมือเก่งกาจนัก ไม่เกรงกลัวเราทั้งสองเลย คาดว่าจะไม่ใช่คนธรรมดา ให้พวกคนรับใช้ตามไปดีกว่า ฉวยโอกาสบอกว่าเกิดเหตุผิดพลาด จะได้เป็นการปัดสวะให้พ้นตัว”
ลู่ซีฮ่วนรู้สึกว่าที่กู้ฉ่างพูดมาฟังดูมีเหตุผล เขาจึงไม่ตามไปด้วยตนเอง เพียงแค่คอยตามอยู่ด้านหลัง แล้วให้ลูกน้องไล่กวดไป
ทุกคนได้แต่พยายามตามต่อ
เว่ยอี้จือควบม้าไม่หยุดตลอดทาง ทหารที่ไล่ตามมาก็ตามติดเหมือนเป็นเงาตามตัว เขากำชับให้เซี่ยซูจับสายบังเหียนให้มั่นแล้วหันกลับไปยิงอีกครั้ง ซึ่งก็ยิงถูกม้าของคนที่วิ่งตามมาพอดี
ม้าทรุดล้มลงไปก่อน จากนั้นคนที่ควบม้าตามมาติดๆ กันก็ชนแล้วล้มคว่ำไปด้วย ทว่าคนที่ไม่ถูกชนก็ยังคงควบตามอย่างไม่ลดละ
“ท่านอัครเสนาบดี!”
มีเสียงเรียกแว่วดังมาแต่ไกล เซี่ยซูหรี่ตาเพ่งมอง ท่ามกลางความมืด คนที่อยู่ข้างหน้าสวมชุดแขนกว้างที่ยังไม่ผลัดเปลี่ยน ไม่ใช่หวังจิ้งจือแล้วจะเป็นผู้ใดได้อีก
“คนแซ่หวังมาถึงแล้ว!” ลู่ซีฮ่วนเห็นกองทหารรักษาการณ์ที่ยกกันมาจำนวนมากก็โกรธจนขว้างแส้ทิ้ง
พ่ายแพ้ในชั่วเวลาสุดท้ายจริงๆ!
กู้ฉ่างสีหน้าเหยเก “ฉิบหายแล้ว เห็นอยู่ชัดๆ ว่าอ่อนแอเหมือนสตรี ไม่มีแรงแม้แต่จะมัดไก่ คนมากมายถึงเพียงนี้กลับจับตัวเขาไม่ได้!”
ยามนี้เซี่ยซูก็ชักม้ากลับมาทันใด แล้วตะโกนเสียงดัง “ตรงนั้นเป็นคุณชายลู่ซีฮ่วนของสกุลลู่มิใช่หรือ ข้าถูกโจรไล่ทำร้ายมา คุณชายลู่โปรดช่วยเหลือด้วย!”
กู้ฉ่างพูดอย่างประหลาดใจ “เขารู้ว่าเป็นฝีมือพวกเราหรือ”
ลู่ซีฮ่วนเองก็ประหลาดใจ แต่ยังไม่ถึงกับลนลาน เขากัดฟันเอ่ยว่า “ช่างเถอะ ทำเอะอะไปก็ไม่เป็นผลดีกับพวกเรา กลับจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นจนเสียเรื่องเปล่าๆ ในเมื่อเขาหาทางลงให้แล้ว พวกเราก็คล้อยตามไปก็แล้วกัน” พูดจบก็ตะโกนลั่น “โจรชั่วจากที่ใดกล้ามาทำร้ายท่านอัครเสนาบดีแห่งต้าจิ้นเรา!” จากนั้นก็ชูมือขึ้น ร้องสั่งให้ลูกน้องที่อยู่ข้างๆ ไปจับคนของตนเอง
เซี่ยซูแสร้งทำทีเป็นซาบซึ้งใจ นางประสานมือคารวะให้ทั้งสองจากที่ไกล “ขอบคุณคุณชายลู่ที่ช่วยชีวิต!”
ลู่ซีฮ่วนฝืนยิ้มแล้วประสานมือรับการคารวะ “ท่านอัครเสนาบดีกล่าวหนักไปแล้ว เป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้ว เราสองคนบังเอิญผ่านมา เห็นคนกำลังจะตาย ไม่คิดช่วยได้หรือ”
หวังจิ้งจือมองออกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจึงเร่งม้าเข้ามาหาแล้วเอ่ยว่า “ทำให้ท่านอัครเสนาบดีต้องตกใจแล้ว จะจัดการ ‘โจรชั่ว’ พวกนี้อย่างไรดี”
“ท่านเจ้าเมืองจัดการเถอะ”
“ได้”
ลู่ซีฮ่วนกับกู้ฉ่างมองดูคนของตนเองถูกทหารรักษาการณ์จับกุมตัวไปโดยทำอะไรไม่ได้ พวกเขาได้แต่กำสายบังเหียนไว้แน่น ผิดหวังอย่างหนัก ลังเลอยู่นาน ในที่สุดก็ไม่ได้ก้าวเข้าไปหา เพียงกล่าวลาแค่พอเป็นพิธีแล้วจากไป
นี่เป็นความคับแค้นที่ไม่อาจเอ่ยออกมา ได้แต่ก้มหน้ารับอยู่เงียบๆ
ฟ้ามืดแล้ว จนถึงบัดนี้หวังจิ้งจือค่อยมองออกว่าคนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังเซี่ยซูเป็นผู้ใด เขาจึงพูดอย่างตกใจว่า “อู่หลิงอ๋องมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร”
“จะว่าไปก็น่าอาย ข้าเล่นสนุกเพลินไปหน่อย ล่าสัตว์จนมาถึงที่นี่ กระทั่งได้พบกับท่านอัครเสนาบดีระหว่างทาง ช่างบังเอิญเสียจริง”
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเว่ยอี้จือจากไปแล้ว แต่จู่ๆ กลับมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่เสียได้ หวังจิ้งจือจึงอดที่จะเคลือบแคลงใจไม่ได้ แต่พอเห็นเขาถือแส้ยาว ทั้งที่หลังก็สะพายแล่งธนูไว้ ดูเหมือนไปล่าสัตว์มาจริงๆ หวังจิ้งจือจึงทำทีไม่ติดใจสงสัยอีก
เมื่อหวังจิ้งจือสังเกตเห็นสีหน้าของเซี่ยซูอ่อนล้าสุดกำลัง เขาจึงรีบสั่งให้คนรับใช้ไปลากรถม้ามา
เว่ยอี้จือพลิกร่างลงจากม้าแล้วประคองเซี่ยซูลงมา ฟ้ามืดแล้วก็จริง ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีสายตาที่ดีมาก จึงเห็นเท้าของอีกฝ่ายซึ่งสวมรองเท้าฟางโดยไม่ได้ตั้งใจ ยามนี้จึงอดจะตกตะลึงไม่ได้
เท้าข้างนั้นดูกลมกลึงขาวผ่อง ยามสวมรองเท้าฟางจึงดูเล็กกว่ายามที่สวมรองเท้าหุ้มข้ออย่างมาก แม้จะมองเห็นเพียงแวบเดียว ก็รู้สึกว่าเท้าคู่นี้แทบไม่ต่างจากเท้าของหญิงสาวเลย
เว่ยอี้จือรีบสะกดความคิดที่ผุดขึ้นมาลงไปทันที หากเซี่ยซูล่วงรู้ว่าเขาคิดอะไร นั่นจะกลายเป็นการล่วงเกินไปได้
กลับถึงจวนสกุลหวัง หวังจิ้งจือก็สั่งว่าห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเป็นอันขาด ทั้งสั่งให้สาวใช้มาช่วยกันอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เซี่ยซู
ทว่าสาวใช้กลุ่มนั้นกลับถูกเซี่ยซูไล่ตะเพิดออกมาจากห้อง
เซี่ยซูเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ นางแทบจะหลับไปในถังอาบน้ำ ต่อมาเพราะเซี่ยหร่านมาขอเข้าพบ นางจึงค่อยลุกจากถังอาบน้ำที่น้ำเริ่มเย็นแล้วได้
เซี่ยซูแต่งกายเรียบร้อยแล้วจึงเปิดประตูให้ เซี่ยหร่านมองสำรวจนางขึ้นๆ ลงๆ หลายครั้งแล้วค่อยเข้าไปกระซิบบอกว่า “ดีที่ท่านรอดมาได้ หากท่านเป็นอะไรไปสกุลเซี่ยต้องประสบเคราะห์ภัยแน่”
ยังมีอีกประโยคหนึ่งที่เซี่ยหร่านไม่ได้พูดออกไป ก็คือ…เขาเองต้องพลอยประสบเคราะห์ไปด้วยเป็นแน่
เซี่ยซูนั่งลงที่ด้านหลังโต๊ะแล้วทำท่าบอกให้เขานั่งลงด้วย “เรื่องนี้ตระกูลใหญ่ทางใต้เป็นตัวการ แต่จุดมุ่งหมายของพวกเขาน่าจะไม่ใช่ต้องการชีวิตข้าหรอก มิเช่นนั้นคงลงมือสังหารข้าไปตั้งแต่แรกแล้ว”
เซี่ยหร่านช่วยรินน้ำชาให้เซี่ยซู หวังจะช่วยปลอบใจนาง “เช่นนั้นท่านคงรู้เป้าหมายของพวกเขากระมัง”
“กลับไปลองสอบถามเล่ออันดูสักหน่อยก็น่าจะได้รู้แล้ว”
“เล่ออันเป็นคนของพวกเขาหรือ!”
“แน่นอน มิเช่นนั้นเรื่องนี้จะเกิดขึ้นอย่างประจวบเหมาะได้หรือ จุดมุ่งหมายของเล่ออันก็คือหมายให้ข้ากับอู่หลิงอ๋องแตกคอกัน รอให้มาที่ไคว่จีแล้วให้พวกฝ่ายใต้ลงมือสำเร็จ อู่หลิงอ๋องย่อมจะกลายเป็นแพะรับบาป ถึงตอนนั้น ขุนนางในราชสำนักทั้งบู๊และบุ๋นถูกกำจัด สกุลหวังถูกลากให้แปดเปื้อนไปด้วย ตระกูลฝ่ายเหนือย่อมต้องวุ่นวาย ตระกูลทางฝ่ายใต้เดิมทีก็มีกำลังกล้าแข็งอยู่แล้ว ไม่ว่าพวกเขาคิดจะทำสิ่งใดย่อมสามารถทำได้ง่ายดายนัก”
เซี่ยหร่านนิ่วหน้า “หากเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งต้องกำจัดท่านไปมิใช่หรือ”
เซี่ยซูส่ายหน้า “ที่พวกเขาไม่ได้ลงมือฆ่าข้าก็เพราะข้ายังมีประโยชน์ เห็นทีคงคิดทำอะไรที่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่”
เซี่ยหร่านเห็นเซี่ยซูวิเคราะห์เรื่องเหล่านี้ให้ตนเองฟังอย่างละเอียดก็พอจะคาดเดาได้บ้าง “ท่านอยากให้ข้าไปสอบสวนเล่ออัน?”
“เจ้าคนเดียวไม่ไหวหรอก” เซี่ยซูกลั้นยิ้ม “พามู่ไป๋ไปด้วย เรื่องเอาฐานะการเป็นคนของสกุลเซี่ยไปกดข่มผู้อื่นน่ะ เขาถนัดนัก”
เซี่ยหร่านกลั้นไม่ไหวหลุดขำออกมา “เขาภักดีทีเดียว เพิ่งรู้ว่าท่านกลับมาก็โวยวายจะขอมาพบท่านให้ได้ หลังจากถูกท่านหมอจับกรอกยาไปหลายชาม ถึงได้เพิ่งหลับไป”
เซี่ยซูถอนหายใจ “เขาไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
มิใช่แค่มู่ไป๋เท่านั้น เมื่อเซี่ยซูกลับมาอย่างปลอดภัย ตระกูลอื่นๆ ก็ล้วนอยากมาเยี่ยมจนแทบจะห้ามปรามไม่ไหว อย่างไรเสียก็เป็นถึงอัครเสนาบดี แม้จะมีชาติกำเนิดไม่สูงส่งเท่าไร ทั้งไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้อื่น ถึงอย่างนั้นเซี่ยซูก็ยังถือเป็นหัวหน้าใหญ่ของขุนนางทั้งหลาย เป็นคนที่แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังทำอะไรไม่ได้ พวกเขามีหรือจะทำอะไรได้
เซี่ยซูกลับมาถึงก็มืดค่ำแล้ว นอนหลับไปได้ไม่กี่ชั่วยามก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังอยู่ด้านนอกเรือนหย่ากวง นางจึงฟาดหมอนลงกับเตียงด้วยความหงุดหงิด แต่พอมาคิดอีกทีหมอนที่นางฟาดอยู่นี้ดูเหมือนจะเป็นของสกุลหวัง นางจึงเก็บหมอนไว้อย่างดีแล้วลงจากเตียงด้วยความขุ่นเคือง ลุกขึ้นยืนสวมเสื้อผ้าอย่างกรุ่นโกรธ
เซี่ยหร่านอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เขาจึงเดินมาขวางกลุ่มคนเอาไว้ให้ก่อน เซี่ยซูอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วก็เปิดประตู เขาจึงจัดการให้ทุกคนที่มาเยี่ยมได้อยู่กันเป็นระเบียบ ซึ่งยามนี้ทุกคนกำลังชื่นชมดอกไม้อยู่ในลานกลางบ้าน
หวนถิงกระตือรือร้นที่สุด พอเห็นเซี่ยซูปรากฏตัวก็พุ่งเข้าไปถามไถ่อย่างรวดเร็วดุจลูกธนู “ท่านพี่ชายอัครเสนาบดี ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
เซี่ยซูถูกเขาเรียกขานเช่นนี้ก็นิ่งอึ้งไป ข้าไปเป็นพี่ชายของเขาตั้งแต่เมื่อใดกัน
เซี่ยหร่านเดินเข้ามากระซิบอะไรสองสามประโยคที่ข้างหูเซี่ยซู
ใช่แล้ว ภรรยาของเซี่ยหมิงกวงก็คือท่านย่าของนาง เป็นบุตรีของสกุลหวน มิน่าเล่าหวนถิงจึงหาทางตีสนิทกับนางตลอดทาง ที่แท้ก็มีสายสัมพันธ์นี้อยู่นี่เอง
สกุลหวนถือเป็นตระกูลใหญ่ หากไม่รักษาสายสัมพันธ์นี้ไว้ก็เสียเปล่าสินะ เซี่ยซูจึงยิ้มให้แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณน้องชายที่เป็นห่วง ข้าไม่เป็นไร”
หวนถิงเป็นคนซื่อๆ พอเห็นเซี่ยซูพูดดีด้วย เขาก็ดึงพวกคุณชายที่ตนเองสนิทสนมด้วยเช่นหยางจวี้เข้ามา แล้วชวนพูดคุยถึงประสบการณ์เสี่ยงอันตรายเมื่อวานอย่างออกรสออกชาติ
หยางจวี้ท่าทีค่อนข้างสุขุม เขาเอ่ยรั้งทุกคนที่กำลังพูดเรื่องเมื่อวานเอาไว้แล้วหันไปพูดกับเซี่ยซู “ข้าว่าท่านน่าจะกลับเมืองหลวงแต่เนิ่นๆ หากคนพวกนั้นยังคงมุ่งร้าย หรือวางแผนจะทำร้ายใครอื่นอีก จะต้องเกิดเรื่องยุ่งยากแน่”
คนที่อยู่ในที่นั้นเมื่อได้ยินว่าตนเองอาจพลอยเดือดร้อนไปด้วยก็แสดงท่าทีว่าเห็นด้วย จึงพากันเร่งให้เซี่ยซูรีบกลับเมืองหลวง
เซี่ยซูพยักหน้า “เช่นนั้นก็กลับกันเถอะ”
พอหวังจิ้งจือได้ข่าวก็ต้องพูดชักจูงให้อยู่ต่อตามมารยาทสักนิด กล่าวโทษตนเองอีกสักหน่อย แล้วค่อยเอ่ยรับรองว่าปีหน้าจะป้องกันให้ดียิ่งขึ้น
เซี่ยซูนั่งอยู่ในห้องโถง นางยิ้มพลางพูดปลอบใจ “ท่านเจ้าเมืองไม่ต้องโทษตนเองหรอก เรื่องนี้เป็นเหตุที่คาดไม่ถึง ยังดีที่สกุลลู่ สกุลกู้ สกุลจาง และสกุลจูอยู่ด้วย จากนี้ไปพวกอันธพาลคงไม่กล้าก่อเรื่องวุ่นวายอีกเป็นแน่”
ลู่ซีฮ่วนและกู้ฉ่างที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งของแขกก็พากันกล่าวเสริม “ย่อมเป็นเช่นนั้น ย่อมเป็นเช่นนั้น!”
เซี่ยซูรีบกลับเช่นนี้ เห็นทีว่าคงต้องสืบสาวจนถึงต้นตอ พวกเขาล้วนมีแผนการในใจแล้ว ย่อมไม่กล้าบุ่มบ่ามก่อเรื่องก่อราวอีกเป็นการชั่วคราว
ทุกคนบอกลาแล้วก็แยกย้ายกันไป หวังจิ้งจือเดินไปอยู่ต่อหน้าเว่ยอี้จือแล้วเอ่ยว่า “อู่หลิงอ๋องกลับไปคราวนี้ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเป็นแขกที่ไคว่จีอีกเมื่อใด ข้าในฐานะคนรุ่นหลังนึกอยากจะได้พบเซียงฮูหยินมาโดยตลอด แต่จนใจที่ไม่อาจปลีกตัวไปได้ เช่นนั้นมิสู้ให้ลั่วซิ่วตามท่านกลับไปเพื่อเยี่ยมท่านผู้อาวุโสด้วยเถิด ท่านคิดเห็นเช่นไร”
เว่ยอี้จือย่อมรู้ว่าหวังจิ้งจือมีเจตนาแอบแฝง ทว่าเขาไม่อาจบอกปัดได้ จึงยิ้มเอ่ยว่า “ในเมื่อท่านเจ้าเมืองหวังมีน้ำใจเช่นนี้ ก็ทำตามที่ท่านว่าเถอะ”
เซี่ยซูเดินผ่านหน้าเขาแล้วเอาพัดจีบป้องปากพลางกลั้นหัวเราะ
เว่ยอี้จือมองไป ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดสายตาเขาจึงได้แต่คอยวนเวียนอยู่ที่เท้าของนาง
ยามนี้เซี่ยซูสวมรองเท้าหุ้มข้อเหมือนอย่างเคยแล้ว เขาถึงขั้นสงสัยว่าเมื่อคืนใช่เขาตาฝาดไปเองหรือไม่
บทที่ 8
คนทั้งหมดเดินทางกลับเมืองหลวงอย่างเอิกเกริก คราวนี้การรักษาความปลอดภัยแน่นหนากว่าตอนที่เดินทางมามากนัก
รถม้าหยุดพักที่เมืองซินอันเป็นการชั่วคราว เซี่ยซูเพิ่งได้ถือถ้วยชานั่งลงในศาลาพักร้อน หวนถิงก็พาอีกสองสามคนกรูกันเข้ามา แต่ละคนแยกนั่งกันคนละมุม อยากจะมาพูดคุยเล่นเป็นเพื่อนอัครเสนาบดี
เซี่ยซูโบกมือ “ข้าคุยไม่เก่งหรอก พวกเจ้าไปหาอู่หลิงอ๋องเถอะ ชื่อเสียงความเจ้าสำราญของเขาก็ไม่แพ้หวังจิ้งจือหรอก”
หวนถิงสีหน้าระรื่นขณะเอ่ยว่า “ท่านคงไม่ทราบอะไร เมื่อก่อนฝีปากของจ้งชิงนับว่าจัดจ้านจริงเชียว หยวนชิ่งซึ่งเป็นสมุหกลาโหมคนก่อนยังเรียกเขาว่า ‘ลิ้นสามชุ่น’ เลย เทียบกับตัวเขาเมื่อตอนเป็นเด็กไว้ผมจุกแล้ว ตัวเขาในยามนี้คงเทียบไม่ติด น่าเสียดายที่ต่อมาเซียงฮูหยินไม่ให้เขาพูดมากอีก เขาจึงค่อยๆ พูดน้อยลงจนบัดนี้แทบไม่ได้พูดคุยกับพวกข้าแล้ว ส่วนมากแล้วจะเป็นคนคอยฟังเท่านั้น”
เซี่ยซูได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกสงสัย “เหตุใดเซียงฮูหยินไม่ให้เขาพูดมากเล่า”
ที่ข้างหลังมีเสียงพูดดังขึ้น “เพราะพูดมากก็อาจพลั้งพลาดเอาได้น่ะสิ”
เซี่ยซูหันไปมองก็เห็นเว่ยอี้จือค่อยๆ เดินมา ข้างหลังยังมีหวังลั่วซิ่วตามมาด้วย
พอเห็นหญิงสาวมาด้วย ทุกคนก็เขยิบเพื่อเปิดทางกว้างขึ้นให้หวังลั่วซิ่วได้นั่งห่างจากที่นั่งของพวกบุรุษออกไป
เว่ยอี้จือนั่งลงข้างเซี่ยซู เขามองไปรอบๆ พลางยิ้มเอ่ยว่า “แต่ละคนรู้จักเล่นงานข้าลับหลังกันดีนักนะ ไม่รู้ว่าคิดวางแผนการอะไรกันอยู่”
หวนถิงฉีกยิ้มกว้างแล้วเอ่ยล้อเลียนเขา “ใครให้เจ้าเอาแต่ดูแลคนอื่นจนไม่ยอมคุยกับพวกข้าเล่า ไม่เล่นงานเจ้าแล้วจะให้เล่นงานผู้ใดกัน” พูดจบก็หันไปมองหวังลั่วซิ่วตั้งใจจะเย้าแหย่
อย่างไรเสียหวังลั่วซิ่วก็เป็นเด็กสาวที่ได้รับการอบรมมาดี นางจึงเพียงหน้าแดงระเรื่อแต่ไม่ถึงกับทำอะไรไม่ถูก นางรับถ้วยชาจากสาวใช้แล้วก้มหน้าจิบช้าๆ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
หยางจวี้หันไปส่ายหน้าแล้วถอนหายใจกับหวนถิง “ข้าว่าเป็นเอินผิงต่างหากที่ควรถูกมารดาเขาเอ็ดให้รู้จักหุบปากเสียบ้าง”
ทุกคนต่างหัวเราะเสียงดัง
หัวเราะแล้วก็พูดคุยเล่นกันต่อ พูดคุยกันไปจนถึงเรื่องที่เซี่ยซูถูกจู่โจม
หวนถิงไม่ทราบถึงต้นสายปลายเหตุจึงพูดด้วยความสงสัยว่า “เขาว่ากันว่าตระกูลใหญ่ทางใต้มีอำนาจมาก ทว่าเหตุใดจึงเกิดเรื่องขึ้นในถิ่นของพวกเขาได้เล่า ข้าว่านะ ที่พูดกันว่าพวกเขามีอำนาจยิ่งใหญ่เห็นทีจะเป็นแค่การคุยโวโอ้อวดเท่านั้นเอง”
เซี่ยซูโบกพัดจีบ เพียงยิ้มโดยไม่พูดอะไร ทันใดนั้นก็ได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนของสตรีดังขึ้น “คุณชายหวนพูดผิดแล้ว หากเจ้าได้ยินเรื่องสมรภูมิพัดขาวมาก่อนก็จะรู้ว่าตระกูลทางใต้เก่งกาจสามารถเพียงใด”
ทุกคนต่างตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เพราะผู้ที่พูดขึ้นมาก็คือหวังลั่วซิ่ว
เซี่ยซูรู้สึกว่าน่าสนใจจึงหันไปยกมือให้นาง “ข้าขอฟังรายละเอียดสักหน่อยเถิด”
หวังลั่วซิ่วมองเซี่ยซูแวบหนึ่ง ใบหน้ายิ่งแดงระเรื่อ นางก้มหน้าช้าๆ แล้วเอ่ยว่า “ตอนนั้นทางเหนือเกิดความวุ่นวายต้องการใช้พืชผลจากทางเจียงหนานไปช่วยอุดหนุน ทว่าเฉินหมิ่นที่ดูแลการลำเลียงเสบียงกลับฉวยโอกาสยึดเอาทั้งเงินและพืชผลเอาไว้ ทั้งยังปลุกปั่นเหล่าทหารให้ก่อการกบฏ ตระกูลใหญ่ทางใต้จึงระดมพลไปปราบเฉินหมิ่น พวกเขาระดมพลได้ห้าหมื่นนาย ตั้งทัพยันไว้คนละฟากของแม่น้ำ เพียงกู้หรงจากสกุลกู้ใช้พัดสีขาวเล่มเดียวโบกไปมาที่ริมฝั่งแม่น้ำ เฉินหมิ่นก็พ่ายแพ้แล้ว ต้องแตกทัพหนีกระจัดกระจาย นี่ก็คือสมรภูมิพัดขาวที่ว่า”
หวนถิงฟังแล้วประหลาดใจ “เก่งกาจอะไรเพียงนี้”
หวังลั่วซิ่วพยักหน้า “กองกำลังของเฉินหมิ่นล้วนแต่เป็นคนในพื้นที่เจียงหนาน ไหนเลยจะกล้าต่อกรกับตระกูลใหญ่ในพื้นที่ ตระกูลทางใต้ไม่เพียงมีอำนาจเท่านั้น พวกเขายังมีบารมีเป็นที่น่าเกรงขามด้วย”
เซี่ยซูพูดกับหวนถิงว่า “คราวนี้ก็รู้แล้วสินะว่านางมีความรู้กว้างขวางเพียงใด ดูซิว่าเจ้ายังจะกล้าพูดจาพล่อยๆ อีกหรือไม่”
หวนถิงรีบลุกขึ้นหันไปคำนับหวังลั่วซิ่ว แสดงท่าทียอมพ่ายแพ้แต่โดยดี ยิ่งทำให้ทุกคนพากันหัวเราะไม่หยุด
พักผ่อนกันพอสมควรแล้วก็ออกเดินทางต่อ
ก่อนจะแยกย้ายไปตามรถม้าก็กล่าวลาเพื่อไปเตรียมตัว เว่ยอี้จือจงใจเดินช้ากว่าคนอื่นแล้วพูดกับเซี่ยซูว่า “ที่หวังลั่วซิ่วเล่านั้นเป็นความจริง ตระกูลทางใต้มีอำนาจมาก ถึงจับตัวพวกเขาไว้ เจ้าก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เจ้าวางแผนว่าจะทำอย่างไรต่อ”
เซี่ยซูทอดถอนใจ “หยั่งรากมานานเป็นร้อยปี ไหนเลยจะถอนรากได้ง่ายๆ คานอำนาจได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว แต่อย่างน้อยก็ต้องรู้ให้ได้ว่าจุดมุ่งหมายของพวกเขาเป็นเช่นไร”
เว่ยอี้จือพยักหน้าน้อยๆ “เจ้าเองก็ไม่ควรเป็นกังวลเกินไป หากต้องการความช่วยเหลืออันใดก็ยังมีข้าอยู่”
สำหรับทั้งสองคนเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกตระกูลทางใต้แล้วก็เปรียบเสมือนลงเรือลำเดียวกันอยู่แล้ว ยิ่งมาได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เซี่ยซูก็รู้สึกพึงพอใจจริงๆ
“อืม ข้าจะจำไว้”
ใกล้จะถึงเมืองเจี้ยนคังแล้ว ทุกคนก็ผ่อนคลายสบายใจ มีคนเสนอให้ยังไม่ต้องกลับเข้าเมืองหลวงสักพัก แล้วไปเที่ยวชมยังเมืองใกล้เคียงเมืองหลวงเสียก่อน
เว่ยอี้จือได้ท่องเที่ยวไปจนทั่วทุกเมืองใกล้เคียงที่อยู่รอบเมืองเจี้ยนคังจนครบตั้งแต่วัยเยาว์แล้ว เขาย่อมไม่อยากไป แต่หยางจวี้พยายามจะพาเขาไปด้วยให้ได้ หวนถิงชักชวนอัครเสนาบดีไม่สำเร็จจึงมาโน้มน้าวเขาแทน ทั้งยังพูดชักแม่น้ำทั้งห้าอยู่นาน ในที่สุดเขาจึงยอมร่วมทางไปเที่ยวเล่นด้วย
เซี่ยซูเห็นว่าที่ยังอยู่ก็มีแต่ผู้อาวุโสที่แทบไม่อยากจะขยับตัวไปไหนก็ได้แต่เอามือกุมหน้าผาก
นางจำต้องกลายเป็นผู้โดดเดี่ยวเสียอย่างนั้น…
คนที่เหลือส่วนมากล้วนเข้าเมืองไปก่อน เว่ยอี้จือเองก็สั่งให้ฝูเสวียนคุ้มกันหวังลั่วซิ่วไปส่งยังจวนต้าซือหม่า ทว่านางคงไม่ค่อยสบายใจนักที่จะเป็นฝ่ายไปหาเซียงฮูหยินด้วยตนเองจึงบอกให้จอดรอเว่ยอี้จือก่อน
เซี่ยซูกำลังจะจากไป หวังลั่วซิ่วก็เลิกม่านแล้วเรียกนางไว้
“ขอถามท่านอัครเสนาบดีสักเรื่อง บัดนี้กวงลู่ต้าฟู ยังอาศัยอยู่ที่ตรอกอูอีหรือไม่”
เซี่ยซูคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “อยู่ที่ตรอกอูอี ไม่ไกลจากจวนสกุลเซี่ยเท่าใด”
หวังลั่วซิ่วเอ่ยขอบคุณแล้วกล่าวต่อว่า “หวังมู่เป็นท่านอาของข้าเอง อีกไม่กี่วันข้าก็จะไปเยี่ยมท่านอาแล้ว แต่ข้าไม่ได้มาเจี้ยนคังนาน จึงไม่ทราบว่าเขาย้ายที่พักไปแล้วหรือยัง”
เซี่ยซูพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางๆ อันที่จริงนางไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เหตุใดจึงต้องมาถามนางด้วย บอกให้คนรับใช้ของตนเองไปสืบถามดูก็ได้นี่ ฝูเสวียนก็ยืนอยู่ตรงนั้นมิใช่หรือ
หวังลั่วซิ่วยังพูดกับเซี่ยซูอีก ล้วนแต่เป็นเรื่องสัพเพเหระที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร เซี่ยซูเห็นแก่หน้าหวังจิ้งจือจึงอดทนคอยตอบคำถาม ในใจยิ่งรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นทุกที เหตุใดจึงรู้สึกว่านางพยายามรั้งตัวข้าไว้ไม่ยอมให้จากไป
ถูกรั้งไว้เช่นนี้ จนในที่สุดกลุ่มที่ออกไปท่องเที่ยวก็กลับมาก่อนเวลา
หวนถิงร้องตะโกนด้วยท่าทางยินดี “จ้งชิงโชคดียิ่งนัก เขาได้เจอกวางป่า ยิงออกไปดอกเดียวทะลุหน้าผากตรงๆ เลย”
คุณชายหยวนเพ่ยหลิงจากสกุลหยวนก็ยิ้มอยู่ข้างๆ “ดูท่าทางเจ้าสิ ใครไม่รู้จะนึกว่าตัวเจ้าเป็นคนล่ามาเอง”
เว่ยอี้จือขี่ม้ามา เขาสวมเสื้อแขนกว้าง ข้างหน้ายังวางซากกวางพ่วงพีตัวหนึ่งมาด้วย
หยางจวี้ก้าวเข้ามาพลางยิ้มเอ่ยว่า “กลับไปเซียงฮูหยินต้องได้รองเท้าหนังกวางเพิ่มมาอีกหลายคู่แน่ เนื้อกวางตัวนี้เจ้าต้องแบ่งให้ทุกคนด้วยนะ”
“แน่นอน”
หวนถิงเห็นเว่ยอี้จือใจกว้างเช่นนี้ก็ทำตาวาว “ข้าก็อยากได้รองเท้าหนังกวางเช่นกัน จ้งชิง ข้าขอหนังกวางสักครึ่งผืนสิ!”
หยวนเพ่ยหลิงรีบรั้งตัวเขาเอาไว้ หันไปทางหวังลั่วซิ่วแล้วขยิบตาบอกเป็นนัย ความหมายก็คือ…ตรงนั้นยังมีลูกพี่ลูกน้องหญิงอยู่อีกคน ไหนเลยจะตกมาถึงเจ้าได้
เว่ยอี้จือไม่ได้ตอบรับในทันที ทันใดนั้นเขาก็หันไปมองเซี่ยซูแล้วเอ่ยว่า “หนังกวางครึ่งผืนให้ท่านแม่ ยังมีอีกครึ่งหนึ่ง เช่นนั้นก็ให้ท่านอัครเสนาบดีเอาไปทำรองเท้าแล้วกัน”
เซี่ยซูถามอย่างแปลกใจ “ให้จริงรึ!”
เว่ยอี้จือพยักหน้ายืนยัน “ท่านเป็นหัวหน้าของเหล่าขุนนาง นี่ก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว”
ใช่สิ อู่หลิงอ๋องให้หนังกวางถูกคนแล้ว ในที่นี้จึงไม่มีผู้ใดเอ่ยคัดค้าน
ตอนที่เข้าเมืองก็เป็นเวลาย่ำค่ำแล้ว ตะวันจวนลับตา ทว่าสองข้างทางกลับมีผู้คนอยู่กันอย่างแน่นขนัด ครึ่งหนึ่งกวาดตาหาอัครเสนาบดีอย่างเบื้อใบ้ อีกครึ่งเหม่อมองหาอู่หลิงอ๋องอยู่เงียบๆ
ไม่ช้าก็มีคนตาดีพบว่าในขบวนม้าของสกุลเว่ยมีรถม้าที่ดูไม่ธรรมดาเพิ่มขึ้นมาอีกคันหนึ่ง ทั้งยังแล่นตามรถม้าของอู่หลิงอ๋องไปติดๆ อีกด้วย ยามม่านรถปลิวไสวไปตามสายลมก็เผยให้เห็นรองเท้าและชายกระโปรงของคนรับใช้หญิงอย่างไม่ได้ตั้งใจ คิดแล้วคนที่นั่งมาจะต้องเป็นญาติฝ่ายหญิงเป็นแน่
ฝ่ายที่สนับสนุนอู่หลิงอ๋องพากันใจหาย
จวิ้นอ๋องไปไคว่จีคราวนี้พาหญิงสาวกลับมาด้วย ใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หัวใจแหลกสลายไม่มีชิ้นดีแล้ว
มู่ไป๋ซึ่งเจ็บหนักยังไม่หายดีหลังชะโงกหน้าออกไปมองข้างนอกแล้วก็พลิกกายกลับเข้ามาในรถด้วยท่าทางปลาบปลื้ม พูดกับเซี่ยซูว่า “คุณชาย บ่าวว่าอีกไม่นานอู่หลิงอ๋องคงไม่อาจโดดเด่นเทียบท่านได้แล้วล่ะ”
เซี่ยซูกำลังคิดเรื่องอื่น เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึง “อะไรนะ”
“ท่านคิดดูสิ เมื่อใดที่อู่หลิงอ๋องแต่งงาน หญิงสาวในเมืองที่หลงใหลในตัวเขาก็จะพากันเปลี่ยนมาสนับสนุนท่านแทนแล้ว”
การสนับสนุนที่ว่าจะมีประโยชน์อันใดเล่า
เซี่ยซูลูบศีรษะมู่ไป๋อย่างนึกเอ็นดู “เจ้าดูแลตนเองให้หายเจ็บเถอะนะ”
มู่ไป๋จึงเบ้ปากแล้วถอยหลังไป
การมาถึงของหวังลั่วซิ่วจะมีใครยินดีเท่ากับเซียงฮูหยินอีก ท่านผู้อาวุโสเอ่ยเรียกนางว่า ‘หลานสาว’ อย่างสนิทสนมรักใคร่
พ่อบ้านเห็นนางทำปากเหมือนจะเรียกหวังลั่วซิ่วว่าลูกสะใภ้อยู่หลายครา แต่จำต้องข่มใจเก็บคำเรียกนั้นไว้ก่อน
เซียงฮูหยินคิดถึงแต่เรื่องอุ้มหลานจนร้อนใจไปหมดแล้ว…
หวังลั่วซิ่วย่อมเป็นที่รักใคร่แน่อยู่แล้ว ด้วยนางมีนิสัยสุขุม ไม่ได้ดูเย่อหยิ่งเช่นพวกลูกหลานตระกูลใหญ่ทั่วไปเลยสักนิด ทั้งยังมีความรู้ดี ยามพูดคุยกับเซียงฮูหยินก็ดูเห็นพ้องกลมกลืนไปกันหมด บางครั้งยังเล่าเรื่องขบขันเย้าแหย่ให้ผู้อาวุโสหัวร่องอหาย
น่าพอใจ น่าพอใจยิ่งนัก!
เซียงฮูหยินคิดไว้ว่าจะหาโอกาสพูดกับเว่ยอี้จือสักหน่อย ว่าเขาเลือกสะใภ้มาได้ดีจริงๆ จะต้องรีบคว้าตัวสะใภ้ผู้นี้ไว้ให้มั่นเชียว
ไหนเลยจะรู้…เว่ยอี้จือกลับพาหวังลั่วซิ่วเข้าวังไปเสียอย่างนั้น
เซี่ยซูไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว ยามที่นางกำลังจะออกจากวังก็บังเอิญได้พบเว่ยอี้จือกับหวังลั่วซิ่วกลางทาง
“คารวะท่านอัครเสนาบดี” หวังลั่วซิ่วคำนับอย่างนอบน้อม
เซี่ยซูประคองให้นางลุกขึ้น แล้วถามเว่ยอี้จือด้วยความสงสัย “อู่หลิงอ๋องจะไปที่ใดกัน”
“ไปพบไทเฮา”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง”
ดูจากชาติกำเนิดของหวังลั่วซิ่วแล้ว การจะไปพบกับไทเฮาซึ่งมาจากตระกูลเดียวกันก็ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เว่ยอี้จือทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการกระทำที่ฉลาด รู้จักปกป้องตนเอง บัดนี้เขามีตำแหน่งสูงมีอำนาจมาก ย่อมจะต้องรอบคอบเรื่องการแต่งงาน เรื่องจะผูกสัมพันธ์กับสกุลหวังยังต้องดูว่าฮ่องเต้จะเห็นชอบด้วยหรือไม่อีก
เซี่ยซูมองหวังลั่วซิ่ว นางดูสุขุมไม่กระโตกกระตาก ไม่รู้ว่านางเข้าใจเจตนาของเว่ยอี้จือหรือไม่
พอลาจากสองคนนั้นมา เซี่ยซูเพิ่งออกจากวัง มู่ไป๋ก็เสนอหน้ามาทันที เขาถามอย่างกระหายใคร่รู้ “คุณชาย คืนนี้ให้บ่าวไปสอบสวนเล่ออันหรือไม่”
เซี่ยซูเห็นเขาทำท่าทางเช่นนี้ก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “อย่าทำให้ถึงตายเล่า”
มู่ไป๋พึมพำว่า “คุณชายโปรดวางใจ บ่าวมีแผนอยู่ในใจแล้ว จะต้องได้ตอบแทนนายท่านผู้ล่วงลับ และให้สาสมกับบาดแผลที่บ่าวถูกฟันสองแผลนั้นทีเดียว”
“…”
บัดนี้เล่ออันมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าสำนักตรวจการ ซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจสอบ ไม่คิดเลยว่าเขายังไม่ทันได้ตรวจสอบการกระทำความผิดของผู้อื่น ตนเองกลับถูกจับตัวไปไว้ในคุกหลวงเสียแล้ว ทั้งยังถูกจับตอนกลางวันแสกๆ อีกด้วย
รอจนเขาถูกขึงพืดบนเครื่องทรมาน ประจันหน้ากับมู่ไป๋ที่ดูกระเหี้ยนกระหือรือ นอกจากจะก่นด่าสกุลเซี่ยที่ใช้อำนาจอย่างชั่วร้ายแล้วก็ไม่อาจทำอะไรอื่นได้อีก
เซี่ยหร่านทำการสิ่งใดล้วนสุภาพ จึงไม่ชมชอบเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ เขาบอกให้มู่ไป๋กับเจ้าหน้าที่ลงทัณฑ์สองคนลงมือไปก่อน ส่วนเขาจะกลับเข้ามาอีกในครึ่งชั่วยาม
เล่ออันแม้จะยังหนุ่มแน่น แต่ก็ใช้ชีวิตอย่างพวกคุณชาย ไหนเลยจะทนการถูกทรมานได้ ไม่ต้องพูดถึงครึ่งชั่วยามเลย แค่หนึ่งถ้วยชา ก็ทนไม่ไหวจนสลบเหมือดไปแล้ว
เซี่ยหร่านเอาผ้าเช็ดหน้าอุดจมูกแล้วเดินเข้าไปหา ลองเปิดเปลือกตาเล่ออันดู แล้วพูดเรียบๆ ว่า “เขายังไม่ตาย ไม่เป็นไรหรอก”
มู่ไป๋ตัวสั่น ภาพคุณชายหร่านในใจเขาพลันดูยิ่งใหญ่เพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว
ในการเข้าเฝ้ายามเช้า เหล่าขุนนางต่างพูดคุยกันเรื่องราชกิจ ยามที่ฮ่องเต้เรียกหัวหน้าสำนักตรวจการแล้วไม่มีเสียงขานรับ พระองค์จึงอดสงสัยไม่ได้ “เล่ออันเล่า”
คนปากมากผู้หนึ่งเดินออกจากแถวพลางกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท เมื่อวานกระหม่อมเห็นใต้เท้าเล่ออันถูกเซี่ย…”
เซี่ยซูกวาดตามองคนผู้นั้นเงียบๆ
“อา แต่พอมาคิดดูอีกที เหมือนกระหม่อมจะตาฝาดไปเองพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางผู้นั้นรีบมุดกลับเข้าแถวไป อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจเลยทีเดียว
ฮ่องเต้จ้องเซี่ยซูเขม็ง เม้มปากไม่ได้กล่าวอะไร
เซี่ยซูมองไปอย่างไม่สะทกสะท้าน นางประสานมือกล่าวว่า “สีพระพักตร์ฝ่าบาทดูไม่ใคร่ดี คงเพราะตรากตรำราชกิจหนักเกินไป ขอทรงถนอมพระวรกายด้วย ให้เลิกเข้าเฝ้าเร็วหน่อย แล้วเสด็จกลับวังไปทรงผ่อนคลายพระอิริยาบถก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ฟังเซี่ยซูพูดแล้วเกือบจะหลุดปากบริภาษออกไป เราอยากจะเลิกให้เข้าเฝ้าเมื่อใดเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย!
ไหนเลยจะรู้ว่าเหล่าขุนนางข้างล่างต่างคุกเข่าลงเกือบครึ่งหนึ่ง ต่างประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียงกัน “ฝ่าบาททรงถนอมพระวรกายด้วย!!!”
ฮ่องเต้ถึงกับหนวดกระตุก พระองค์ลุกขึ้นแล้วเดินอาดๆ ออกไป เสียงกงกงรีบร้องบอกว่า “เลิกเข้าเฝ้าได้” แล้วรีบเดินตามไป
ยามที่เซี่ยซูออกจากวัง มู่ไป๋ก็รออยู่ข้างรถม้าแล้ว สีหน้าเขาดูไม่ค่อยพอใจนัก เดินตรงเข้ามาบอกว่า “คุณชาย เล่ออันผู้นั้นปิดปากแน่นทีเดียว ง้างอย่างไรก็ง้างไม่ออกขอรับ”
“หืม?” เซี่ยซูท่าทางประหลาดใจ “ไม่คิดเลยว่าเขาจะทนไหว ข้าไปดูเองดีกว่า”
เว่ยอี้จือเพิ่งออกจากประตูวังพอดี เห็นรอบด้านไม่มีใครจึงเอ่ยเรียกเซี่ยซูไว้
“เรื่องเล่ออันได้ความอะไรบ้าง”
“ยังไม่ได้เลย ข้าว่าจะไปด้วยตนเองพอดี”
เว่ยอี้จือครุ่นคิดก่อนเอ่ย “เช่นนั้นข้าจะไปกับเจ้าด้วย ดูว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง”
เซี่ยซูยิ้มเอ่ย “เกรงว่าจะทำให้เล่ออันสงสัยเอาได้น่ะสิ”
“แล้วเจ้าว่าข้าจะช่วยอะไรเจ้าได้บ้างเล่า”
เซี่ยหร่านยังคงเพียรให้บทเรียนกับเล่ออันไม่หยุด แม้เล่ออันจะดูเย่อหยิ่งเพียงใด แต่ยามที่เขากระทำการใดล้วนมีความมุ่งมั่น เซี่ยหร่านจึงสั่งให้คนไปจับสมาชิกในครอบครัวเล่ออันซึ่งมีทั้งเด็กและผู้เฒ่ามาข่มขู่ แม้แต่ลูกกระต่ายสองตัวที่บุตรชายเขาเลี้ยงไว้ก็ยังไม่ละเว้น
เล่ออันถูกทรมานด้วยวิธีการอันเจ็บแสบของสกุลเซี่ย จนเหงื่อเย็นไหลชุ่มหน้าผาก ถึงกระนั้นเขาก็ยังกัดฟันแน่นไม่ยอมพูดอะไรสักคำ
เซี่ยซูผู้อยู่หลังม่านค่อยๆ ปรากฏกายออกมาตรงประตูคุก ยังไม่ทันได้เข้าไปข้างใน นางก็เห็นว่าเสื้อผ้าของเขาขาดวิ่นไปทั่ว เต็มไปด้วยคราบเลือด นางจุ๊ปากแล้วส่ายหน้าไปมา “ใต้เท้าเล่อ เจ้าทนเช่นนี้ทำไมกันเล่า”
นางเดินเข้าไปโดยแสร้งทำเป็นโบกพัดให้เขาอย่างใจดี “ข้าเองก็จนปัญญาเช่นกัน เจ้าก็แค่บอกจุดมุ่งหมายของลู่ซีฮ่วนมาแต่โดยดีเถอะ จะได้ทรมานน้อยลงหน่อย”
เล่ออันเห็นเซี่ยซูสวมชุดขุนนางเต็มยศ สีหน้าประดับรอยยิ้ม ขณะที่เขากลับมีสภาพสะบักสะบอมเช่นนี้ เพียงคิดว่าเขาถูกเล่นงานโดยขุนนางเจ้าเล่ห์ที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยจนมีสภาพเช่นนี้ก็อดจะเดือดดาลในใจไม่ได้ เขายื่นมือไปคว้า “ข้าไม่ได้สมคบคิดกับลู่ซีฮ่วน เจ้าจะถามอีกหมื่นครั้งข้าก็ไม่สารภาพ!”
ลำคอเซี่ยซูพลันถูกกระชาก นางรีบถอยหลังหลบออกมา แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บแสบบริเวณลำคอ ดีที่เล่ออันมีโซ่ล่ามเอาไว้ มิเช่นนั้นนางคงถูกเขาบีบคอตายเป็นแน่!
มู่ไป๋ก้าวไปหาทันที กำลังจะลงมือกับเล่ออัน เว่ยอี้จือก็แทรกตัวเข้ามาในห้องขัง
“ใต้เท้าเล่อตกอยู่ในมือของท่านอัครเสนาบดีแล้วจริงๆ” สีหน้าเว่ยอี้จือดูเย็นชา ท่าทางน่าเกรงขามยิ่งนัก “ท่านเป็นหัวหน้าของขุนนางทั้งหลาย จะใช้การลงทัณฑ์ลับๆ ข่มขู่ขุนนางได้อย่างไร”
พอเล่ออันเห็นขุนนางดีปรากฏตัวก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันที เขาร้องเสียงดังว่า “อู่หลิงอ๋องช่วยข้าด้วย! ข้าถูกปรักปรำ!”
“ท่านอัครเสนาบดีได้ยินหรือไม่ เหตุใดยังไม่ปล่อยตัวเขาอีก ไม่กลัวว่าข้าจะไปฟ้องร้องกล่าวโทษเจ้าต่อหน้าพระพักตร์หรือ”
เซี่ยซูหัวเราะเสียงเย็น “เล่ออันสมคบกับลู่ซีฮ่วนลอบทำร้ายข้า ข้าก็แค่เอาตัวเขามาสอบถามดูเท่านั้น อู่หลิงอ๋องไหนเลยจะเห็นว่าเป็นการลงทัณฑ์ลับๆ ไปได้เล่า”
เล่ออันร้องตะโกนด้วยน้ำเสียงร้อนรน “อู่หลิงอ๋องช่วยด้วย ท่านมาดูสิ ข้าบาดเจ็บไปทั้งตัวแล้ว!”
เว่ยอี้จือใช้สายตากล่าวโทษเซี่ยซู
เซี่ยซูได้แต่ไหวไหล่ “ในคุกมีผู้คุมใจร้าย ข้าไม่ได้สั่งให้ทำเสียหน่อย เขาลงโทษคนจนเคยชินแล้ว เห็นคนเพิ่งเข้าคุกมาก็ให้บทเรียนสักหน่อย นี่ก็ถือเป็นเรื่องปกติมากมิใช่หรือ”
เล่ออันฟังแล้วลมแทบจับ ได้แต่อ้อนวอนเว่ยอี้จือทั้งน้ำตา “อู่หลิงอ๋องช่วยข้าด้วย”
เว่ยอี้จือไม่พูดเล่นกับเซี่ยซูอีก เขาเรียกฝูเสวียนเข้ามาเพื่อให้ปล่อยตัวคน
“ข้าจะเอาตัวใต้เท้าเล่อไปแล้ว ท่านอัครเสนาบดีมีอะไรก็มาพูดกับข้าโดยตรงแล้วกัน”
“ก็ได้” เซี่ยซูหัวเราะเสียงเย็น “แต่ขอให้อู่หลิงอ๋องปกป้องเขาได้ตลอดชีวิต และมีปัญญาทำเช่นนั้นไปได้ตลอดก็แล้วกัน”
เล่ออันเพิ่งจะได้แก้มัด พอฟังประโยคนี้แล้วก็เข่าอ่อน เขาแอบร้องโอดครวญกับตนเองว่าแย่แล้ว กลัวก็แต่ว่าสุดท้ายนอกจากจะเอาตัวไม่รอดแล้วยังจะทำให้อู่หลิงอ๋องต้องพลอยลำบากไปด้วย คิดได้เช่นนี้เขาก็อดรู้สึกผิดต่ออู่หลิงอ๋องไม่ได้
เว่ยอี้จือเข้าไปประคองเล่ออันด้วยตนเอง ทั้งยังกระซิบปลอบใจอีกฝ่ายว่า “สกุลเว่ยและสกุลเล่อมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาหลายชั่วรุ่นแล้ว ข้าย่อมต้องช่วยใต้เท้าเล่อเอาไว้ อีกอย่าง ไม่เห็นท่านต้องละอายใจต่อฟ้าดินเลย เหตุใดต้องหวาดกลัวกับคำขู่ของขุนนางฉ้อฉลด้วยเล่า”
เล่ออันได้ฟังเช่นนั้นก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ ในใจหวั่นไหวไม่เป็นสุข
ฝูเสวียนประคองเล่ออันออกไปแล้ว เซี่ยซูก็พูดกับเซี่ยหร่านว่า “เจ้ากลับไปก่อน ในเมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ ก็ให้อู่หลิงอ๋องลองใช้ไม้อ่อนดู”
เมื่อครู่เซี่ยหร่านก็รอดูท่าทีอยู่เช่นกัน เห็นเซี่ยซูไม่แม้แต่จะห้ามปรามเรื่องปล่อยตัวเล่ออันก็ยังนึกสงสัย ถึงตอนนี้จึงเพิ่งเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาจึงโค้งคำนับแล้วออกไป
เซี่ยซูพามู่ไป๋ออกมาด้วย พร้อมเดินออกไปกับเว่ยอี้จือ และกระซิบสั่ง “จ้งชิงต้องคอยจับตาดูเล่ออันไว้ให้ดี เขายอมทนเจ็บถึงเพียงนี้ เกรงว่าลู่ซีฮ่วนคงมีความลับสำคัญซ่อนไว้ หาโอกาสได้เมื่อใดเขาจะต้องหนีไปแน่”
เว่ยอี้จือพยักหน้า ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นรอยแผลที่ลำคอของเซี่ยซู เขาจึงยื่นมือไปรั้งตัวอีกฝ่ายไว้ “ให้ข้าดูหน่อย”
เซี่ยซูยังไม่ทันเข้าใจว่าเขาจะดูอะไร ก็เห็นเขาชะโงกหน้าเข้ามาประชิดแล้ว
ผ่านทางเดินเล็กแคบมาแล้ว เซี่ยซูจึงค่อยๆ หลุบตาลงมองดวงตาที่มีแผงขนตายาวของเว่ยอี้จือซึ่งกำลังเพ่งพิศลำคอของนาง ทันใดนั้นนางก็ตื่นเต้นขึ้นมา ใบหน้าเขาอยู่ใกล้แค่คืบ ลมหายใจอุ่นระลำคอ ขอแค่นางก้มหน้า คางจะต้องไปโดนหน้าผากเขาแน่
“ไม่เป็นไรหรอก แค่แผลเล็กน้อยเท่านั้น” ด้วยกลัวจะเผยพิรุธออกมา เซี่ยซูจึงค่อยๆ ผลักเขาออกไป แล้วดึงคอเสื้อให้เรียบร้อย
“อืม” เว่ยอี้จือรับคำเบาๆ เขามองดูเซี่ยซูด้วยท่าทีครุ่นคิดเหม่อลอย แล้วเดินนำออกไปก่อน
เล่ออันไม่ได้ถูกนำตัวกลับไปที่จวนต้าซือหม่า แต่ถูกนำตัวไปที่บ้านเดิมของสกุลเว่ย บ้านหลังนั้นอยู่ในตรอกอูอี ตั้งแต่บิดาของเว่ยอี้จือลาโลกไป เขาก็ถูกตั้งเป็นอ๋องแล้วถูกส่งตัวออกไปนอกเมือง จึงไม่เคยได้พักอาศัยที่นี่ ยามนี้จึงมีคนรับใช้อยู่ในบ้านนี้ไม่มากนัก เหมาะจะใช้เป็นที่ซ่อนคนได้พอดี
เว่ยอี้จือพาเล่ออันไปกินดื่มดีๆ ทั้งยังบอกเขาว่าอย่าออกไปข้างนอกเป็นอันขาด เนื่องจากตนเองกำลังเสี่ยงชีวิตเพื่อคุ้มครองเขา
เล่ออันซาบซึ้งใจอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าแผนนี้ไม่อาจใช้ได้นาน เขายังเป็นขุนนางอยู่ จะหลบซ่อนเช่นนี้ไปตลอดชีวิตได้อย่างไร
ความจริงกลับยุ่งยากกว่าที่เล่ออันคิดไว้มาก วันต่อมาหลังจากเข้าเฝ้าแล้ว เว่ยอี้จือก็มาพบเขา แล้วขอให้เขาจากไปด้วยความรู้สึกผิด
“อู่หลิงอ๋องบอกมาตามตรงเถิด เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เว่ยอี้จือทอดถอนใจ “ข้าคิดไปว่าใต้เท้าเล่อเพียงถูกปรักปรำอย่างไม่เป็นธรรม จึงสู้เสี่ยงชีวิตเผชิญหน้ากับท่านอัครเสนาบดีเพื่อช่วยท่านออกมา ไหนเลยจะรู้ ลู่ซีฮ่วนกลับให้การซัดทอดเจ้าแล้ว…เฮ้อ เพราะเรื่องนี้ข้าจึงเอาตัวไม่รอด แล้วจะคุ้มครองท่านได้อย่างไร”
เล่ออันตกใจจนหน้าถอดสี เขาปราดเข้าไปคุกเข่ากับพื้น “อู่หลิงอ๋องโปรดช่วยข้าด้วย ข้าไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ อันที่จริงข้าถูกลู่ซีฮ่วนบีบบังคับ มิเช่นนั้นข้าจะทรยศท่านอัครเสนาบดีได้อย่างไร ทางสายนี้ไม่มีทางให้หวนกลับแล้ว”
เว่ยอี้จือประคองเขาลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ข้าก็อยากจะช่วยท่าน แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังทรงเป็นกังวลต่อเรื่องนี้ เกรงว่าคงไม่มีทางเลิกราง่ายๆ แล้ว หากท่านไม่บอกความจริงทั้งหมดกับข้า ข้าก็จำต้องส่งท่านออกไปจากจวน ข้าได้ยินว่าท่านอัครเสนาบดีส่งคนไปที่บ้านท่านแล้วด้วย”
เล่ออันคุกเข่าลงไปอีก ร้อนใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา “ข้าจะบอกท่านตามจริง อู่หลิงอ๋องโปรดช่วยชีวิตคนในบ้านข้าด้วย”
“เอาล่ะ อย่าเป็นกังวลไปเลย”
ตกกลางคืน ฝูเสวียนก็ไปที่จวนเสนาบดี เขานำคำสารภาพที่มีการลงชื่อแล้วไปส่งมอบให้เซี่ยซู
“รวดเร็วดีจริง” เซี่ยซูเปิดออกอ่านพลางยิ้มแย้มพอใจ ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับแข็งค้างไปทันใด
ผ่านไปครู่ใหญ่ นางก็พับเก็บคำสารภาพนั้น แล้วสอบถามฝูเสวียน “จวิ้นอ๋องนายเจ้าตอนนี้ไปอยู่ที่ใด”
“อยู่ที่บ้านเก่าในตรอกอูอีขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะไปพบเขาหน่อย”
เซี่ยซูพามู่ไป๋ไปด้วยเพียงคนเดียว นางไม่ได้ให้องครักษ์ติดตามไปคุ้มกัน ฉวยโอกาสตอนกลางคืนที่มืดมิด เดินเท้าติดตามฝูเสวียนไปยังบ้านเก่าของสกุลเว่ย
เว่ยอี้จือย่อมคาดไม่ถึงว่าเซี่ยซูจะมาเยือน
ดึกดื่นป่านนี้แล้วเว่ยอี้จือกลับยังยืนอยู่ในสวนดอกไม้หลังบ้าน พิงศาลาพักร้อนเฝ้ามองปลาในสระที่ว่ายวนไปมาภายใต้แสงจันทร์
เซี่ยซูเข้ามาในศาลา นางยืนอยู่ข้างหลังเขา แล้วเอ่ยถามเบาๆ “จ้งชิงคิดเห็นเช่นไร”
เว่ยอี้จือเงยหน้าขึ้นมองนาง ใบหน้าครึ่งหนึ่งสะท้อนแสงจันทร์ ดูพร่าเลือนไม่ชัดเจน “เจ้าเล่า? พวกเขาจะก่อกบฏ เจ้าในฐานะอัครเสนาบดีคิดจะทำเช่นไร”
“ย่อมต้องยับยั้ง” เซี่ยซูยกชายเสื้อขึ้นแล้วนั่งลงบนราวกันตก “หรือข้าควรไปตั้งราชสำนักกับพวกฝ่ายใต้แล้วขึ้นเป็นอัครเสนาบดีแทน?”
เว่ยอี้จือยิ้มแล้วเอ่ยว่า “แผ่นดินย่อมจะเป็นของแซ่ซือหม่าอยู่ดี การผลัดเปลี่ยนแผ่นดินมักแลกมาด้วยราคาที่แพงยิ่งยวดเสมอ”
เซี่ยซูพยักหน้าแล้วถอนหายใจ
มีใครจะโชคดีเช่นข้าอีกหรือไม่ ยังไม่ทันจะได้นั่งในตำแหน่งอัครเสนาบดีอย่างมั่นคง ก็มีคนคิดโค่นล้มฮ่องเต้เสียแล้ว!
เว่ยอี้จือเหลือบมองที่ลำคอของเซี่ยซู อีกฝ่ายมักคุ้นเคยกับการสวมเสื้อตัวกลางที่มีปกคอตั้ง ยามที่เผยปกคอเสื้อสีขาวดุจหิมะจะดูเรียบร้อยและมิดชิดเสมอ
“แผลที่คอเจ้าหายดีหรือยัง”
“เกือบหายดีแล้ว” เซี่ยซูยิ้มพลางโคลงศีรษะ “เพียงแค่โดนข่วนเท่านั้น ดีกว่าถูกมีดบั่นคอมากนัก”
“ใช่แล้ว…” เว่ยอี้จือมองไปยังผิวน้ำในสระ “ดียิ่งกว่าถูกประหารยกครัวด้วย”
เซี่ยซูพลันหวนรำลึกถึงเรื่องที่เซี่ยหร่านเล่าให้ฟังได้ บรรพชนของพวกเขาสกุลเว่ยเคยเกือบจะถูกฆ่ายกครัวเมื่อคราวเหตุจลาจลแปดอ๋อง คิดแล้วนี่คงจะเป็นสาเหตุที่เขาไม่อยากให้ความวุ่นวายเช่นนั้นเกิดขึ้นมาอีก
ทั้งสองยังพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง ก่อนที่เซี่ยซูจะพามู่ไป๋กลับไป
ฝูเสวียนเห็นเว่ยอี้จือยังยืนอยู่ที่ศาลา เขาอดไม่ได้ต้องเข้าไปเตือน “จวิ้นอ๋องควรจะกลับย่านคลองขุดชิงซีได้แล้วกระมัง”
เว่ยอี้จือพยักหน้า พอเดินไปถึงข้างตัวเขาจู่ๆ ก็ถามขึ้น “ฝูเสวียน เจ้าเริ่มมีลูกกระเดือกตั้งแต่อายุเท่าใด”
ขณะเดินออกไป เซี่ยซูก็ใคร่ครวญคำพูดของเว่ยอี้จือที่ถามถึงบาดแผลที่คอเป็นพิเศษ ทันใดนั้นนางก็นึกอะไรขึ้นมาได้ รีบลูบที่ลำคอตนเอง ก่อนตระหนกจนเหงื่อเย็นชุ่มแผ่นหลัง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.