บทที่ 3
ฉืออิ๋งเข้าใจแล้ว ไป๋สิงเจี่ยนกำลังบอกให้รู้ว่าเขาไม่คิดปรานีนางอีก
ตันชิงยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู เขาได้ยินทุกคำพูดที่ทั้งคู่โต้เถียงกันไปมา จึงอดไม่ได้ต้องปาดเหงื่อ ไท่สื่อต้องการเล่นงานรัชทายาทจนถึงที่สุด หรือว่าเจตนาของไท่สื่อคือเปลี่ยนตัวรัชทายาท! ขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ้านอยู่นั้น พลันมีเสียงร้องไห้ดังมาเป็นระลอกจากในหอ สะเทือนจนหูของเขาอื้ออึงไปหมด ผ่านไปครู่หนึ่งแล้วเสียงนั้นก็ยังไม่เงียบ
ตันชิงยื่นหน้าเข้าไปมองข้างในแล้วก็เห็นรัชทายาทนั่งร้องไห้เสียงดังบนพื้น เสียงร้องไห้แต่ละครั้งยาวนานยิ่ง หากยังไม่ร้องจนหมดลมจริงๆ ก็จะไม่ยอมหายใจ มีบ้างที่หายใจไม่ทันจนเกือบขาดใจ แต่หยุดเพียงครู่เดียวก็จะระเบิดเสียงร้องขึ้นมาอีก เสียงร้องไห้ในแต่ละครั้งแทบจะสะเทือนขื่อคานจนฝุ่นผงร่วงกราวทีเดียว
เห็นได้ชัดว่าไป๋สิงเจี่ยนไม่เคยพบเคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ร่างกายเขาพลันสั่นไหว รีบเอามือจับชั้นหนังสือเอาไว้เพื่อพยุงร่างตนเองให้มั่น เสียงร้องไห้นี้ยังคงดังเสียดฟ้า เมื่อก่อนคิดว่าเป็นเพียงการตีโพยตีพายให้ใหญ่โตเกินกว่าเหตุ แต่ตอนนี้เขาไม่คิดว่าเป็นอย่างนั้น
พลังของเสียงร้องไห้ทะลุทะลวงจนแก้วหูสั่นสะเทือนไปหมด สมองของเขามึนงง หน้าอกคล้ายจุกแน่น ไป๋สิงเจี่ยนพลันกระทุ้งไม้เท้าลงที่พื้น “องค์หญิงหยุดร้องไห้ได้แล้ว!”
เสียงร้องไห้พลันถูกกลบลงในทันที
ฉืออิ๋งร้องไห้จนเหงื่อท่วมร่าง เสียงแหบแห้งหมดแรง นางร้องจนแทบจะหมดสติ
ไป๋สิงเจี่ยนพลิกมือหยิบ ’ชีวประวัติสนมชายา’ ออกมาจากชั้นหนังสือ แล้วโยนลงบนพื้นข้างตัวนาง “ทรงรับไปทอดพระเนตรเถิด”
ฉืออิ๋งสะอื้นพลางหยิบหนังสือบนพื้นขึ้นมา นางไม่มีความคิดจะล้มเลิกไปในตอนนี้แน่
“กฎเมื่อครู่นี้ถือว่ายกเลิก” ไป๋สิงเจี่ยนคิดจะหาที่นั่งลง ศีรษะเขามึนงงมาก ทั้งยังแน่นหน้าอกจนเหมือนจะหายใจไม่ออก
เสียงร้องไห้ของฉืออิ๋งเบาลงจนเหลือเพียงแค่เสียงสะอึกสะอื้นเบาๆ นางใช้แขนเสื้อเช็ดใบหน้าจนเปรอะเปื้อนมอมแมม พื้นรอบตัวนางเหมือนว่ามีแต่น้ำ เสื้อผ้าก็เปียกปอนไปด้วยเหงื่อและน้ำตา ไรผมก็เปียกจนทั่ว
เป็นคนตัวเล็กที่เหมือนถูกสร้างขึ้นมาจากน้ำจริงๆ ไป๋สิงเจี่ยนมองดูนาง แล้วหันไปสั่งตันชิงที่ยืนตะลึงอยู่นอกประตู “ไปเตรียมน้ำร้อน แล้ววางไว้ที่ทางเดิน”
ฉืออิ๋งเช็ดน้ำตาป้อยๆ นางเงยใบหน้าเล็กๆ ที่อาบน้ำตาขึ้นมาเอ่ยถาม “ท่านคงไม่ทูลเรื่องนี้กับเสด็จแม่กระมัง”
“อืม” ที่ไป๋สิงเจี่ยนขู่ไปเช่นนั้นก็เพื่อปราม ‘เด็กสามขวบ’ สีหน้าเขาในยามนี้คล้ายปรากฏความอ่อนโยนขึ้นชั่ววูบหนึ่ง
“ท่านอย่าเอาแต่ปั้นหน้าเช่นนี้สิ ทำให้ผู้อื่นเขาหวาดกลัวหมด”
“อืม…องค์หญิงทรงรีบลุกขึ้นมาเถอะ ไปล้างพระพักตร์ที่ข้างนอก”
“ข้าไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว ท่านช่วยพยุงข้าหน่อยสิ”
อย่างไรเสียไป๋สิงเจี่ยนก็ไม่เข้าไปพยุงฉืออิ๋งตามที่นางร้องขอ เขาเพียงยื่นไม้เท้าของตนเองออกไป ฉืออิ๋งก็ฝืนใจยอมรับที่เขาช่วยเช่นนี้ ทันทีที่นางจับไม้เท้าของเขาไว้ก็รู้สึกได้ถึงแรงที่ดึงจนนางยืนขึ้น เรี่ยวแรงของเขามากเกินคาด
ฉืออิ๋งล้างหน้าแล้วก็นั่งลงบนธรณีประตูของหอไท่สื่อ นางวาง ‘ชีวประวัติสนมชายา’ ซึ่งเป็นหนังสือเล่มหนาลงบนตักแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านอย่างเอาจริงเอาจัง มีสะอื้นบ้างเป็นระยะๆ ครั้งสองครั้ง
เพื่อจะได้ปิดประตูใหญ่ของหอไท่สื่อได้ เขาจำต้องรอให้ฉืออิ๋งอ่านจบเสียก่อน ไป๋สิงเจี่ยนจึงรอด้วยการเดินช้าๆ อยู่ภายในหอไท่สื่อ และคอยจัดระเบียบหนังสือไปด้วย ยามที่เดินมาถึงข้างชั้นหนังสือทายาทตระกูลใหญ่ เขาก็หรี่ตามองอย่างละเอียด การจัดเรียงของหนังสือไม่มีผิดเพี้ยน เขามองจากช่องว่างบนชั้นหนังสือไปที่ประตูแวบหนึ่ง เห็นเพียงด้านหลังของฉืออิ๋งที่ก้มหน้าอ่านหนังสือ
ผ่านไปไม่นาน ตอนที่ไป๋สิงเจี่ยนมองผ่านช่องว่างของชั้นหนังสือไปที่ประตูอีกครั้ง เขาก็เห็นศีรษะของฉืออิ๋งพิงประตูนอนหลับไปแล้ว
อ่านหนังสือคืออ่านหนังสือ นอนคือนอน อ่านหนังสือแล้วสัปหงกเป็นเรื่องที่ไป๋สิงเจี่ยนไม่ชอบมากที่สุดเรื่องหนึ่ง
คนที่ไม่มีระเบียบเช่นนี้กลับเป็นถึงรัชทายาท ช่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ไป๋สิงเจี่ยนมีความไม่ชอบใจอยู่เต็มอกขณะเดินไปหาฉืออิ๋งเตรียมริบเอาหนังสือที่ล้ำค่าในหอไท่สื่อคืนมา เขาหยุดยืนตรงธรณีประตู แล้วโน้มตัวลงหยิบหนังสือที่วางอยู่ตรงตักฉืออิ๋ง จึงได้รู้ว่านางอ่านค้างอยู่ตรงหน้าที่เป็นเพียงหนึ่งในสิบของหนังสือเท่านั้น เจ้าเด็กไม่เอาไหน! ช่างน่าโมโหจริงเชียว เสียแรงที่ข้ายืนจัดเก็บหนังสือในหอจนเมื่อยขาเพื่อรอให้เจ้าอ่านจนจบ
การฉีกกฎในครั้งนี้ช่างไร้ความหมายยิ่งนัก ไป๋สิงเจี่ยนลุกขึ้นยืนแล้วปิดหนังสือลงด้วยความขุ่นเคืองใจ ชั่วขณะนั้นพลันรู้สึกว่าที่ขาตนเองมีบางสิ่งมากระทบ เขาก้มหน้าลงมองก็เห็นร่างฉืออิ๋งที่เดิมพิงอยู่ข้างประตูค่อยๆ เอนมาทางข้างหลัง เพียงครู่เดียวทั้งแผ่นหลังของนางก็พิงอยู่ที่ขาสองข้างของไป๋สิงเจี่ยนแล้ว
ความรู้สึกอันยากจะทานทนพลันแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
ทันทีที่ฉืออิ๋งมีที่พิงแล้ว นางก็นอนหลับอย่างผ่อนคลาย สบายเสียจนเกาหลังศีรษะด้วย
อย่างไรเสียไป๋สิงเจี่ยนก็ไม่สามารถใช้ไม้เท้าตีรัชทายาทที่นอนไม่ถูกเวลาได้ เขาจึงได้แต่โน้มร่างลงแล้วใช้หนังสืออันล้ำค่าของหอไท่สื่อตีไปที่หัวไหล่ฉืออิ๋งทีหนึ่ง ตั้งใจปลุกให้นางตื่น ทว่าอาการตอบสนองของฉืออิ๋งกลับมีแค่เอามือไปเกาบริเวณที่ถูกตีครั้งหนึ่ง แล้วนอนหลับต่อด้วยลมหายใจที่สม่ำเสมอยิ่ง
ไป๋สิงเจี่ยนยืนนิ่งค้างไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้หนังสือเล่มนั้นอีกครั้ง โดยครั้งนี้นำมาคั่นระหว่างศีรษะของนางกับขาของเขา ให้ศีรษะของนางพิงกับหนังสือแทน จริงๆ นี่ก็ไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไรนัก
เขามองไปที่ด้านนอกหอไท่สื่อ หวังว่าจะมีใครสักคนผ่านมาช่วยแก้ไขความยุ่งยากนี้ได้ แต่หอไท่สื่อเป็นเขตหวงห้าม หลังจากตันชิงเอาน้ำร้อนมาให้แล้วก็ไปจัดการงานอื่น ทางเจ้าหน้าที่หลันไถคนอื่นๆ ที่ไม่มีธุระสำคัญก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาเฉียดใกล้ที่นี่
เมื่อศีรษะฉืออิ๋งหนุนของแข็งนานเข้าก็รู้สึกไม่สบายตัว นางขยับร่างเล็กน้อย ทว่าขยับไปแล้วก็เจอกับอากาศจนหงายหลัง หากเป็นคนทั่วไป เมื่อหงายหลังไปเช่นนี้ย่อมต้องตื่นในทันทีทันใด แต่องค์หญิงมิใช่คนทั่วไป นางยังคงนอนหลับได้อย่างเต็มที่แม้กำลังหงายหลังอยู่ คงเป็นเพราะนางร้องไห้หนักจนหมดแรงเป็นแน่ ร่างกายจึงต้องการการพักผ่อนมากเพียงนี้
เห็นเช่นนั้นไป๋สิงเจี่ยนจึงวางหนังสือลงกับพื้น แล้วยื่นฝ่ามือออกไปรองรับศีรษะของนางเอาไว้ ฝ่ามือเขาพลันเจ็บจี๊ดๆ ราวกับสัมผัสตัวเม่น นึกอยากขว้าง ‘เจ้าตัวเม่นนี้’ ทิ้งไปเหลือเกิน ดาวหายนะนี้ช่างยุ่งยากเสียจริง!
การรองรับศีรษะได้อย่างเหมาะเจาะนี้ยิ่งช่วยให้ฉืออิ๋งหลับสบายมากขึ้น นางพลิกตัวกลับมากอด ‘หมอน’ เอาไว้พลางหลับอุตุ ไป๋สิงเจี่ยนดึงแขนกลับมาไม่ได้ ด้วยท่อนแขนของนางรัดแขนเขาแน่นเสียเหลือเกิน ร่างเขานิ่งค้างจนเหงื่อท่วมหน้าผาก รู้สึกว่าตนเองตัดสินใจผิดไปเล็กน้อย หากปล่อยให้นางพิงกับขอบประตูต่อไป อีกประเดี๋ยวพอล้มกระแทกพื้นแล้วก็จะตื่นขึ้นมาเอง เขาก็ไม่ต้องมาพบเจอกับความยุ่งยากเช่นนี้
เอวก็เมื่อย ขาก็เมื่อย ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องยืนต่อไป ทีแรกเขาแทบจะหยัดร่างต่อไปไม่ไหว มือข้างหนึ่งถือไม้เท้ายันไว้ที่พื้น ส่วนแขนอีกข้างก็โอบร่างฉืออิ๋งมาไว้ที่ข้างเอว ก่อนจะใช้มือยันกับไม้เท้าเอาไว้ แล้วออกแรงอุ้มตัวเม่นน้อยขึ้นมาบนหลังของเขา
เมื่อไป๋สิงเจี่ยนแบกฉืออิ๋งแล้ว แต่ละย่างก้าวที่ข้ามธรณีประตูไปนั้นก็ล้วนหนักอึ้งกว่าปกติ เขาหันร่างกลับมาปิดประตูหอไท่สื่อทั้งสองบานด้วยความยากลำบาก หลังจากลงกุญแจประตูเรียบร้อยแล้วจึงโล่งอกได้เสียที นับว่าเคราะห์ร้ายได้ผ่านพ้นหอไท่สื่อไปแล้ว
เขาเดินค้ำไม้เท้าโดยที่บนหลังมีฉืออิ๋งไปยังห้องพักส่วนตัวอย่างไม่พอใจนัก เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าทางเดินของหลันไถช่างคดเคี้ยวเลี้ยวลดเช่นนี้ พลันรู้สึกว่าระยะทางจากหอไท่สื่อไปถึงหอเวยเหยียนจะยืดยาวกว่าวันปกติ
เมื่อวางตัวฉืออิ๋งลงบนตั่งในหอเวยเหยียนแล้ว ไป๋สิงเจี่ยนก็เหนื่อยจนหายใจแทบไม่ทัน เขาพิงร่างอยู่ข้างตั่งครู่หนึ่ง ฉืออิ๋งที่นอนตะแคงขวางตั่งอยู่นั้นพลันพลิกตัว ดูเหมือนนางจะไม่เคยชินกับตั่งไม้แข็งนี้
นี่ก็นับว่าไป๋สิงเจี่ยนเมตตามากแล้วที่ไม่โยนฉืออิ๋งลงไปนอนบนพื้น มีหรือที่เขาจะใส่ใจกับท่าทางการนอนที่ไม่สบายของนางอีก
พักจนเรี่ยวแรงคืนมาบ้างแล้ว ไป๋สิงเจี่ยนลากเท้าที่หนักอึ้งเดินเข้าไปที่ห้องด้านใน แล้วเปลี่ยนชุดชั้นกลางที่ชุ่มเหงื่อออก บัดนี้มือทั้งสองข้างของเขาเห่อแดงขึ้นมาจริงๆ กระทั่งหน้าอกก็ไม่พ้นเคราะห์นี้ เขานั่งลงที่เก้าอี้อย่างหมดแรงแล้วเปิดห่อยามาทา
พอเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อย ไป๋สิงเจี่ยนจึงกลับไปที่เบื้องหน้าตั่งอีกครั้ง เขาเพิ่งรู้ในชั่วขณะนั้นเองว่าอะไรที่เรียกว่า ‘ชักศึกเข้าบ้าน’
เพียงไม่นานหมอนแข็งบนตั่งก็ตกไปอยู่ที่ข้างประตู หนังสือที่ข้างหมอนก็ไม่เว้น ถูกปัดหล่นไปกองอยู่บนพื้น ไม่ว่าสิ่งใดกีดขวางการนอนของฉืออิ๋งล้วนไม่รอดพ้นเงื้อมมือนาง ที่สำคัญคือนางยังคงหลับลึกยิ่ง เดิมทีเขาก็พอรู้นิสัยอันโอหังไม่ยอมรับคำตำหนิของผู้ใดของนางอยู่บ้าง แต่นี่ออกจะไร้กฎระเบียบเกินไปแล้วกระมัง ไป๋สิงเจี่ยนโมโหจนอัดอั้นในอก
ไป๋สิงเจี่ยนเดินไปเก็บหมอนเหลี่ยมที่ใช้มาหลายปีตรงข้างประตูขึ้นมาพลางปัดฝุ่นที่เปื้อนหมอนออก แล้วก้มลงเก็บหนังสือบนพื้นทีละเล่ม วันนี้นับว่าเขาใช้งานเอวหนักมาก เขาจึงยืดเอวที่ปวดเมื่อยขึ้น นางมารน้อยที่หลับใหลพลันกลิ้งมาใกล้ขอบตั่ง เขาอยากปล่อยให้นางตกลงมาให้เจ็บตัวเสียบ้าง แต่เมื่อมีความคิดอย่างนี้ในหัวแล้ว ข้างหูก็ราวกับมีเสียงร้องไห้อันแสนบาดจิตบาดใจนั้นลอยตามมาทันที ทำให้ใจเขาประหวั่นพรั่นพรึงยิ่ง ไป๋สิงเจี่ยนไม่อาจยอมรับชะตากรรมนั้นอีกรอบหนึ่ง เขาจึงยื่นมือดันร่างฉืออิ๋งเข้าไปข้างใน
ความรู้สึกสัมผัสอ่อนนุ่มตรงเอวของนางวาบผ่านเข้ามาที่ใจกลางฝ่ามือ ไป๋สิงเจี่ยนพลันหดมือกลับเข้ามา โมโหจนลืมตัวไปแล้วหรือ! เขาเปลี่ยนมาใช้หนังสือดันร่างนางเข้าไปข้างใน แล้วค่อยวางหมอนเหลี่ยมไว้ตรงขอบตั่ง ฉืออิ๋งยังคงพลิกตัวกลิ้งไปมา ประเดี๋ยวก็นอนเป็นรูปอักษร ‘ต้า’ อีกประเดี๋ยวก็นอนเป็นรูปอักษร ‘เหริน’ ไป๋สิงเจี่ยนมองไปที่ตั่งเล็กตัวนี้อย่างทอดถอนใจ อีกไม่นานเขาคงไม่อาจใช้ตั่งตัวนี้ได้อีก
ไป๋สิงเจี่ยนหันร่างกลับไปที่โต๊ะเพื่อจัดการกับหนังสือ เขาค่อยๆ รีดกระดาษให้เรียบทีละหน้า จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังตุบ พอหันไปดูก็เห็นหมอนเหลี่ยมถูกถีบออกไปอีก ไป๋สิงเจี่ยนจึงลุกไปหยิบหมอนมาวางตั้งไว้ที่เก้าอี้ แล้วกลับไปนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะอีกครั้ง แต่ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงดังตุบอีก ทว่าหนนี้ดังกว่าเมื่อครู่ ไป๋สิงเจี่ยนเบือนหน้าไปดู เป็นไปตามคาด…ฉืออิ๋งตกไปกองบนพื้นแล้ว
“โอ๊ย! มีคนร้าย…” ฉืออิ๋งเกาศีรษะอย่างงัวเงียพลางลุกขึ้นจากพื้นแล้วปีนกลับขึ้นไปบนตั่ง ตาปิดอยู่แต่ปากยังคงพึมพำว่า “คิดจะทำร้ายข้า…” ก่อนคว่ำหน้านอนหลับสบายไปอีกหน
เห็นทีคงมีเพียงการนอนหลับที่จะหยุดเสียงร้องไห้อันโหยหวนนั้นได้
ไป๋สิงเจี่ยนไม่สนใจฉืออิ๋งอีก หลังจากฝนหมึกแล้ว เขาก็จับพู่กันเขียนฎีกาทูลต่อจักรพรรดินี พอเขียนเสร็จแล้วก็รู้สึกว่าข้างหูตนเองมีลมโชยมา เขาตกใจหันขวับกลับไปมอง เป็นฉืออิ๋งที่มายืนอยู่ข้างหลังเขา
“อาจารย์ ท่านเขียนอะไรอยู่หรือ” นางกะพริบตามอง พอได้นอนอย่างเต็มอิ่มแล้ว ดวงตาก็ใสแจ๋วเป็นประกาย
ไป๋สิงเจี่ยนปิดฎีกา บังให้พ้นสายตาฉืออิ๋ง “องค์หญิงตื่นแล้ว เชิญกลับวังได้พ่ะย่ะค่ะ หากยังไม่ยอมกลับก็อยู่ช่วยทำงานทั่วไปได้”
“ท่านไม่ได้บอกว่าเรื่องนั้นถือว่าจบกันไปแล้วหรอกหรือ” ฉืออิ๋งถอยไปไกลหลายจั้งในทันที นางพลิ้วตัวพุ่งไปนอกประตู “ข้าไปล่ะ หลันไถไม่ต้องส่งแล้ว!”
ไป๋สิงเจี่ยนไม่มีอารมณ์ออกไปส่งฉืออิ๋งสักนิด ด้วยเชื่อว่านางไม่มีทางกล้าอยู่ต่อแน่ เขาเปิดฎีกาออกอีกครั้ง ที่เขียนทูลเสนอนี้คือบันทึกเหตุการณ์ที่ป๋อหลิงที่เสร็จเรียบร้อย หากไม่มีเหตุอื่นใด พรุ่งนี้เขาก็จะนำผลงานเล่มนี้ทูลรายงานแก่ฝ่าบาท
เขายกมือที่หนักอึ้งฉีกฎีกานั้นทิ้ง ก่อนโยนลงกระถางสำริดจุดไฟเผา ทว่าที่เสียดายมิใช่คุณงามความดีนี้ แต่เป็นหยาดเหงื่อของเซ่าลิ่งสื่อ…ชุยซั่ง
ก่อนหน้านึกว่าเรื่องที่เขียนฎีกาจะยังเหลือโชคได้ทูลจักรพรรดินี แต่เมื่อมาถูกฉืออิ๋งเห็นเข้าเช่นนี้ จากที่มีโชคก็กลายเป็นสูญเปล่า นี่เป็นเพราะเขาคิดมากเองด้วย เดิมทีแค่ฉืออิ๋งเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาไม่จำเป็นต้องคิดในแง่ร้ายเพียงนี้ก็ได้ ทว่านี่ก็เป็นเหตุผลที่หลันไถยังคงยืนหยัดมาได้อย่างมั่นคง ไม่ล้มลงท่ามกลางสายตาของเสือที่จับจ้องมาจากทุกทิศทาง
ฉืออิ๋งออกจากหลันไถ ภายในสำนักตรวจการก็มีคนไปรายงานหลูฉี่
“ใต้เท้าหลู องค์หญิงเสด็จออกมาแล้วขอรับ ที่พระหัตถ์ทรงถือดอกกล้วยไม้ด้วย”
“ดี” หลูฉี่วางพู่กันลงแล้วเป่าหมึก ก่อนจะสะบัดฎีกาที่เพิ่งเขียนเสร็จให้แห้ง “เปลี่ยนชุด”
“ใต้เท้าหลูไม่ใช่ใส่ชุดขุนนางอยู่หรือ”
“เจ้าทึ่ม! ที่ข้าทำก็แค่แสร้งว่ารีบเร่งเข้าวัง เพื่อการนี้ยังจงใจเขียนผิดบางตัวด้วย พวกเราสำนักตรวจการต้องปั้นแต่งเรื่องราวเช่นนี้ เข้าใจหรือยัง”
“ขอรับ…แต่ใต้เท้าหลู หากฎีกาที่ทูลจักรพรรดินีเขียนผิดจะต้องถูกหักเงิน”
“ให้ตายสิ เวลานี้ไม่ต้องมาใส่ใจเรื่องหยุมหยิมเหล่านี้แล้ว”
ฉืออิ๋งที่เป็นถึงรัชทายาทผู้สูงส่ง ยามกลับวังต้องไม่กลับตามเส้นทางปกติธรรมดา
กำแพงของตำหนักหลิวเซียนใครว่าปีนง่ายกัน ทุกครั้งล้วนปีนขึ้นไปอย่างยากลำบาก นี่เป็นเพราะมารดาของฉืออิ๋งเคยกล่าวออกมาว่ากำแพงของตำหนักหลิวเซียนนั้นปีนง่าย ฉืออิ๋งกลับไม่คิดเช่นนั้น เนื่องจากนางมีโอกาสปีนข้ามมาหลายครั้งแล้ว นางจึงสรุปเอาว่าคงเป็นเพราะตอนนั้นบิดาของนางพักที่ตำหนักหลิวเซียน มารดาถึงคิดว่าการปีนกำแพงข้ามมามิใช่ปัญหา
ฉืออิ๋งปีนขึ้นบนกำแพงอย่างยากลำบาก นางถึงกับตระหนกเมื่อพบว่าบิดาของนางยืนอยู่หลังกำแพงและกำลังรอให้นางกระโดดลงมา
พระสวามีของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันและเป็นบิดาของฉืออิ๋งกำลังยืนอยู่หลังกำแพง ชายชุดปลิวไสว ท่วงท่าดูสง่างาม “บอกกี่ครั้งแล้วว่าจงอ่านหนังสือให้มากปีนกำแพงให้น้อย! เลิกเรียนแล้วไปที่ใดมา ปีนกำแพงเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าไปทำเรื่องไม่ดีมาแน่!”
ฉืออิ๋งนั่งยองบนกำแพงด้วยท่าทางโงนเงนคล้ายจะตกลงมา
เฟิ่งจวินเห็นว่าบุตรสาวสุดที่รักถูกขู่จนเสียขวัญมากแล้ว เขาก็รีบปรับน้ำเสียงเสียใหม่ เอ่ยปลอบโยนด้วยเสียงนุ่มนวล “ในเมื่อปีนขึ้นมาแล้วก็รีบกระโดดลงมาเร็วเข้าเถอะ พ่อจะรอรับเป่าเปาเอง”
“บอกแล้วว่าอย่าเรียกลูกว่า ‘เป่าเปา’!” ฉืออิ๋งกระโดดลงมายังร่างของบิดาอย่างชำนาญ
เฟิ่งจวินรับตัวบุตรสาวไว้ได้พอดี เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้คงเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง พวกเขาสองพ่อลูกจึงฝึกกระโดดและรับจนแม่นยำเพียงนี้
เฟิ่งจวินโอบร่างบุตรสาวสุดที่รักเอาไว้แล้วปล่อยลงพื้น พลางชี้ไปที่รูใหญ่ตรงด้านล่างกำแพง “ถวนถวน ไม่เห็นหรือว่าพ่อหาคนมาขุดรูนี้ให้แล้ว เจ้าจะได้ไม่ต้องปีนกำแพง”
ฉืออิ๋งเอ่ยกับบิดาของนางด้วยสีหน้าหยิ่งทะนง “เสด็จพ่อ ลูกเป็นถึงรัชทายาท ไม่มุดรูสุนัขลอดแน่ แล้วก็อย่าเรียกลูกว่า ‘ถวนถวน’!”
เฟิ่งจวินรู้สึกสะเทือนใจยิ่งนัก ใบหน้าคมคายจึงดูเศร้าสร้อยยามเอ่ย “เป่าเปาโตแล้ว ถึงได้ไม่รักพ่อ แล้วก็ไม่ชอบชื่อเล่นที่พ่อตั้งให้”
การทำให้เฟิ่งจวินสะเทือนใจถือเป็นเรื่องร้ายแรง เพราะบิดาของนางสามารถเขียนกลอนได้หลายสิบบทด้วยใจโศก หลังจากนั้นเรื่องก็จะไปเข้าหูมารดา แล้วนางจะถูกส่งไปโบยก้น
“ลูกย่อมรักเสด็จพ่ออยู่แล้ว รักเสด็จพ่อที่สุดเลย!” ฉืออิ๋งร่าย ‘คาถาเอาใจ’ ได้อย่างคล่องปาก เนื่องจากเคยใช้กับบิดาของนางมาตั้งแต่เด็ก ก่อนจะหันมองใบหน้าอันเศร้าสร้อยของบิดาอย่างเอาใจใส่ “ดังนั้นเสด็จพ่อคงไม่ทูลเรื่องที่ลูกปีนกำแพงกลับวังให้เสด็จแม่ทรงทราบใช่หรือไม่”
เฟิ่งจวินถูกบุตรสาวกล่าวเอาใจจนผ่อนคลายมากแล้ว กระนั้นก็ยังอยากจะตอบโต้สักเล็กน้อย “นั่นเท่ากับว่าพ่อมีความผิดฐานปิดบังเบื้องสูง?”
“ลูกต้องไม่ใช่ลูกของเสด็จพ่อแน่ๆ!” ฉืออิ๋งส่งเสียงร้องไห้โฮทันที
สีหน้าของเฟิ่งจวินเริ่มไม่น่าดู “หากเจ้าไม่ใช่ลูกของพ่อแล้วจะเป็นลูกของผู้ใดได้เล่า!”
ทันทีที่ฉืออิ๋งร้องไห้ บิดาของนางก็สามารถเอาของที่บินได้ ของที่เดินบนพื้นได้ และสิ่งที่มีบนใต้หล้านี้มาให้ ขอแค่เอ่ยเพียงคำเดียวบิดาก็จะหามามอบให้ถึงเบื้องหน้า
กลยุทธ์ชนิดนี้เรียกได้ว่าเป็นไม้ตาย ฉืออิ๋งใช้กลยุทธ์นี้ได้เชี่ยวชาญยิ่ง ดังนั้นสำหรับการฟ้องเรื่องปีนกำแพงเมื่อครู่นี้ เพียงชั่วพริบตาก็ไม่เป็นปัญหาแล้ว
เฟิ่งจวินกล่อมบุตรสาวที่รักยิ่งของตนเอง เขากลับมานึกพิจารณาการกระทำของตนเองนับครั้งไม่ถ้วน เขาไม่ควรมีใจคิดตอบโต้ลูกรักเลยแม้แต่น้อย นึกแล้วก็ให้รู้สึกหม่นหมอง ทั้งยังมองว่าตนเองมิใช่พ่อที่ดี เขาจึงตัดสินใจว่าคืนนี้จะเขียนบันทึกการเลี้ยงดูลูกน้อย
ฉืออิ๋งใช้แขนเสื้อของบิดามาเช็ดน้ำตาน้ำมูก บอกเป็นนัยว่าเห็นแก่ที่บิดาไม่นำเรื่องไปฟ้องมารดา นางจะยอมอภัยให้เขาชั่วคราว
“เอาล่ะ หลังจากลูกกินอาหารเย็นแล้ว พ่อจะช่วยลูกทำการบ้านที่สำนักศึกษาเจาเหวินให้มา” เขาเอ่ยประจบประแจงเอาใจต่อหน้าบุตรสาว
“แต่ครั้งก่อนที่เสด็จพ่อทรงเลียนแบบลายมือของลูกก็ถูกอาจารย์จับได้นะเพคะ! หาว่ามีคนเขียนแทนลูก ตัดสินให้ลูกไม่ผ่านเกณฑ์!” ฉืออิ๋งอดเอ่ยกล่าวหาบิดาไม่ได้
“การเลียนแบบลายมือของพ่อไร้ที่ติ อยากรู้นักว่าอาจารย์คนใดของสำนักศึกษาเจาเหวินที่ตาไร้แวว บอกพ่อมา พ่อจะเรียกเข้าเฝ้า!” เฟิ่งจวินกล่าวอย่างขุ่นเคือง
“ก็คือ…ไป๋สิงเจี่ยน!” ฉืออิ๋งยู่ปากเอ่ยนามอันยิ่งใหญ่ของศัตรูคู่แค้น แล้วลอบสำรวจอาการตอบสนองของบิดาไปด้วย
“อ๋อ! เจ้าไป๋สิงเจี่ยนที่ตาไร้แวว…รอก่อน…ไป๋สิงเจี่ยน?” สีหน้าของเฟิ่งจวินเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา “ที่ลูกพูดถึงใช่ไท่สื่อไป๋สิงเจี่ยนหรือไม่”
“ที่ลูกพูดถึงก็คือไท่สื่อไป๋สิงเจี่ยนผู้นั้นล่ะเพคะ!” ฉืออิ๋งจ้องเขม็งไปยังบิดาของนาง ในใจพลันบีบรัดแน่น หรือว่าแม้แต่เสด็จพ่อก็ยังเกรงกลัวไท่สื่อ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็อย่าไปสนใจเขาเลยดีกว่า! กล้าตัดสินไม่ให้ลูกผ่านเกณฑ์ พวกเราก็ยิ่งอย่าไปสนใจเขาเลย หึ!” เฟิ่งจวินกล่าวอย่างทะนงตัว
“แต่ไป๋สิงเจี่ยนมักวางตัวเป็นศัตรูกับลูก เขามีท่าทางไม่ชอบลูก แล้วก็ไม่เห็นลูกอยู่ในสายตา ลูกขอให้เสด็จพ่อทรงลงโทษไท่สื่อด้วย!” ฉืออิ๋งบิดตัวไปมา ก่อนจะกระทืบเท้าอย่างต่อเนื่อง
เฟิ่งจวินเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อมั่นใจว่าบริเวณใกล้ๆ นี้ไม่มีคนจดบันทึกคำพูดของพวกเขาแน่นอน จึงค่อยย่อตัวลงมาอธิบายถึงผลดีผลเสียกับบุตรสาว
“ลูกน้อยยังจำที่พ่อเคยบอกไว้ได้หรือไม่ว่าพวกเราต้องระวังผู้ใดมากที่สุด และเวลาใดบ้าง”
“เวลาที่เสด็จพ่อทรงช่วยลูกทำความผิด คนที่ต้องระวังมากที่สุดก็คือเสด็จแม่” ฉืออิ๋งย่อตัวลงมากระซิบตอบที่ข้างหูของบิดา
“พูดได้ไม่ผิด นอกจากนี้ยังมีอีกหรือไม่” เฟิ่งจวินเลือกใช้ท่าทีที่ให้กำลังใจกับคำตอบของบุตรสาว
“ยังมี…” ฉืออิ๋งขมวดคิ้วใคร่ครวญ “เวลาที่เสด็จพ่อทรงช่วยลูกเสวยยา ต้องคอยระวังหมอหลวงให้ดี”
“พูดได้ไม่ผิด แล้วนอกจากสองเรื่องนี้ยังมีอีกหรือไม่” ทางนี้เฟิ่งจวินยังคงให้กำลังใจบุตรสาวต่อ ส่วนอีกทางหนึ่งก็รู้สึกว่าตนเองคล้ายชี้แนะให้บุตรสาวทำแต่เรื่องไม่ถูกต้องมาตลอด การค้นพบนี้ก็ต้องเขียนลงบันทึกรายวันของการเป็นพ่อและการเลี้ยงดูลูกน้อยด้วย
“ยังมี…” ฉืออิ๋งนำเรื่องที่บิดาของนางเคยทำมาคิดทบทวนรอบหนึ่ง สุดท้ายจึงทำใจกล้าลองพูดออกไปดู “เสด็จพ่อทรงเคยลอบพบกับท่านน้าเซิงมาก่อน ท่านน้าเซิงคือคนที่เสด็จพ่อทรงคบหามาแต่เด็ก ตั้งแต่ตอนอยู่ที่ซีจิง และเคยหมั้นหมายมาก่อน ที่ต้องระวังที่สุดคืออย่าให้ลูกเห็นเข้า…”
เฟิ่งจวินเกือบจะหัวใจหยุดเต้นแล้ว “หยุดพูดเดี๋ยวนี้! ไปฟังเรื่องเลอะเทอะนี้มาจากที่ใด! พ่อไปแอบนัดเจอใครที่ไหนกัน หากให้แม่ของลูกมาได้ยินเข้า ลูกต้องทำให้พ่อตายแน่…รู้หรือไม่”
ฉืออิ๋งไม่ค่อยเห็นบิดามีท่าทางร้อนรนเช่นนี้ นางได้แต่เก็บจำใส่ใจไว้เงียบๆ ลอบนัดเจอกันเป็นจุดตายของเสด็จพ่อ ต่อหน้าเฟิ่งจวินที่มีสีหน้าเคร่งเครียด ฉืออิ๋งก็พยักหน้ารับ “ที่แท้เป็นอย่างไรเพคะ”
เฟิ่งจวินสงบใจลงได้ในที่สุด “ในเวลาที่เราทำเรื่องไม่ดี…ไม่ใช่! เวลาที่เราทำเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ทุกเรื่องต้องระวังอาลักษณ์! คนถือพู่กันล้วนไร้น้ำใจ สามารถจารึกทุกเรื่องราวไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์ ไม่ว่ากี่ชั่วคนก็ล้างมลทินไปไม่หมด หากยังรักชีวิตก็ให้อยู่ห่างอาลักษณ์เอาไว้!”
“ในเมื่อไม่ได้ทำเรื่องน่าอายอะไร เหตุใดจึงต้องกลัวบันทึกของอาลักษณ์ด้วยเล่า” ฉืออิ๋งไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะยามที่คนเป็นบิดาเกรงกลัวอาลักษณ์ถึงเพียงนี้ นี่จะต้องมีเหตุผลบางอย่างแน่ “เสด็จพ่อทรงไม่ได้ลอบพบกับสตรีอื่นจริงหรือเพคะ”
เฟิ่งจวินถูกทิ่มแทงยังจุดตายอีกหน เขาดูกระวนกระวายอย่างมาก “ไม่มีจริงๆ พ่อจริงใจต่อแม่ของลูก รักจนหมดใจ ไหนเลยจะมีใจเหลือให้ไปนัดพบสตรีอื่นอีก ลูกกลับมาสงสัยพ่อเสียได้ เช่นนี้พ่อก็ไม่อยากอยู่แล้ว!”
ฉืออิ๋งคลำที่จมูก “เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อเสด็จพ่อเป็นผู้บริสุทธิ์ไร้มลทินอย่างนี้ ทั่วร่างไม่มีรอยด่างแต่อย่างใด แล้วจะทรงหวาดกลัวอาลักษณ์ด้วยเหตุใดเล่าเพคะ”
เฟิ่งจวินที่ดูชราในชั่วพริบตาพลันทอดถอนใจ “นั่นเป็นเพราะว่ามีครั้งหนึ่งที่ไท่สื่อเคยเปิดเผยว่า…จะนำพ่อ…บันทึกลงใน ‘ชีวประวัติสนมชายา’ ให้ตกทอดจนถึงชนรุ่นหลัง!” เฟิ่งจวินยกแขนเสื้อปิดหน้า “พ่อทั้งเคยพูดดีก็แล้ว พูดร้ายก็แล้วกับไท่สื่อ ว่าที่จริงพ่อก็เคยเป็นถึงไท่ฟู่ ขุนนางขั้นหนึ่งของราชสำนัก อย่างไรก็ควรบันทึกลงใน ‘ประวัติผู้จงรักภักดี’ ใครจะไปคิด เขากลับบอกว่าใช้ความน่านับถือของไท่ฟู่มาทำให้จักรพรรดินีลุ่มหลง นั่นต้องบันทึกเข้า ‘ประวัติขุนนางสอพลอ’ ”
ความหม่นหมองของเฟิ่งจวิน คนอื่นอาจไม่เข้าใจ ทว่าฉืออิ๋งเข้าใจแล้ว นับว่าไป๋สิงเจี่ยนไม่ไว้หน้าบิดาของนางเลย จู่ๆ นางก็รู้สึกเห็นใจบิดาขึ้นมา “แล้วหลังจากนั้นพวกท่านเจรจากันอย่างไร”
“ถึงพ่อตายก็ไม่ยอมเข้าไปอยู่ในประวัติขุนนางสอพลอ ชื่อเสียงของสกุลเจียงแห่งซีจิงนั้นเป็นแค่เรื่องเล็ก ภายหลังเป่าเปาขึ้นครองราชย์แล้ว ถูกบันทึกลงใน ’พระราชประวัติโอรสสวรรค์’ ทว่าพ่อที่ให้กำเนิดกลายเป็นขุนนางสอพลอ คนรุ่นหลังจะหัวเราะเยาะเอาได้ พ่อคิดแล้วก็รู้สึกรับไม่ได้…” เฟิ่งจวินมีสีหน้าเศร้าเสียใจ “แต่ไท่สื่อนั่นร้ายกาจและหัวแข็งยิ่ง มีแค่สนมชายาไม่ก็ขุนนางสอพลอให้พ่อเลือกได้แค่ทางเดียว ต่อให้พ่อจะคว่ำหลันไถทิ้ง เขาก็จะไม่ให้พ่อเข้าประวัติผู้จงรักภักดี ตรงกันข้าม หากพ่อคว่ำหลันไถลงได้จริง เขาก็ยิ่งบันทึกให้พ่อเป็นขุนนางสอพลอได้ในทันที”
“เสด็จพ่อจึงหมดความกล้า…แล้วทรงเลือกสนมชายา?”
เห็นชัดว่าเฟิ่งจวินยอมรับความพ่ายแพ่แล้ว เขาจึงมีท่าทีเยือกเย็น “สนมชายาก็สนมชายาสิ อย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นเหมือนเสด็จตาของลูกที่ต้องแต่งเป็นหญิงอยู่ครึ่งชีวิต อีกอย่าง พ่อเองก็เกิดในตระกูลชั้นสูง เป็นคุณชายจากตระกูลผู้ดี เป็นสนมชายานี่…ถือว่าเป็นครั้งแรก แม้แต่คนอื่นยังไม่กล้าจะอิจฉา!”
ฉืออิ๋งพบว่าบิดาของนางหาเหตุผลมาปลอบประโลมตนเองได้ดี ถึงอย่างนั้นนางก็ยังยอมรับไม่ได้ ยิ่งนึกถึงเรื่องที่ไป๋สิงเจี่ยนไม่เห็นแก่หน้านางและทำตัวไร้มารยาทใส่ด้วยแล้ว นางจึงทำใจกล้าแต่งเติมเรื่องจริงร้องเรียนเสียเลย “เสด็จพ่อทรงถูกหลอกแล้วเพคะ! วันนี้ลูกเลิกเรียนแล้วไปหลันไถ เดิมคิดจะไปยืมหนังสือมาอ่าน ไม่ทันระวังไปเห็นประวัติขุนนางสอพลอที่บันทึกไว้ในหอไท่สื่อเข้า เสด็จพ่อทรงถูกเขียนให้เป็นขุนนางสอพลอลำดับแรกทีเดียว!”
เฟิ่งจวินตะลึงงัน
เพื่อให้บิดาเชื่ออย่างสนิทใจ ฉืออิ๋งจึงท่องบางคำที่ไป๋สิงเจี่ยนเขียนไว้ในชีวประวัติสนมชายาที่เกี่ยวกับบิดาของนางออกมา โดยเลือกใช้คำที่งดงามซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ฉืออิ๋งจะเรียบเรียงออกมาได้ นางแค่ต้องปรับเปลี่ยน ‘สนมชายา’ เป็น ‘ขุนนางสอพลอ’
เฟิ่งจวินฟังจบถึงกับโกรธเกรี้ยวอย่างมาก กระทั่งมองข้ามจุดที่น่าสงสัยว่าเหตุใดฉืออิ๋งถึงเข้าไปในหอไท่สื่อได้
ฉืออิ๋งมีความสุขที่เห็นบิดาของนางเคืองแค้นไป๋สิงเจี่ยนอย่างยิ่งยวด กระทั่งลมโกรธแทบจะล้นทะลักออกมา
ในที่สุดฉืออิ๋งก็ถูกบิดาลากไปยังตำหนักยงหวาที่ประทับของมารดา
หยวนสี่ตี้กำลังตาลายอยู่ต่อหน้ากองฎีกาที่ถูกส่งมา นางหันหน้าไปถามนางกำนัล “นี่ยังไม่ถึงเวลาอาหารค่ำอีกหรือ”
นางกำนัลทูลว่า “ฝ่าบาท แม้จะถึงเวลาพระกระยาหารค่ำแล้ว แต่เฟิ่งจวินกับองค์หญิงยังเสด็จมาไม่ถึง ฝ่าบาททรงถือโอกาสนี้ทอดพระเนตรฎีการออีกสักหน่อยเถิดเพคะ!”
หยวนสี่ตี้ลูบท้องที่ร้องเสียงดังโครกครากพลางใช้พู่กันค้ำคางเอาไว้ “เจ้าคนไม่เอาไหนสองคนนี้เมื่อไรจะรู้จักรักษาเวลาบ้าง แค่กินอาหารยังไม่ตรงเวลา แล้วจะส่งต่อแผ่นดินให้ดูแลได้หรือ โอ๊ย! เราหิวจริงๆ”
บ่นอุบอิบจบแล้ว หยวนสี่ตี้ก็มองไปที่ฎีกากองเท่าภูเขาบนโต๊ะอีกครั้ง นางนึกอยากจะเป็นไท่ซั่งหวง จริงๆ ความคิดนี้เกิดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน ตอนที่เฟิ่งจวินยังไม่ได้เป็นเฟิ่งจวิน เคยหลอกว่าจะช่วยให้นางเป็นไท่ซั่งหวงได้ เจ้าคนร้ายกาจไร้ยางอายผู้นั้นให้นางคลอดลูกติดต่อกันจนได้เด็กซุกซนมาสองคนแล้ว นางต้องยืนกรานว่าจะไม่คลอดลูกให้เขาอีก กระทั่งตอนนี้ฉืออิ๋งอายุสิบห้าปีเข้าไปแล้ว นางก็ยังต้องเหนื่อยแสนเหนื่อยเหมือนเดิม โดยที่ยังไม่เห็นท่าทีว่าฉืออิ๋งจะมาเป็นจักรพรรดินีแทนนางได้เลย นี่ทำให้นางกลัดกลุ้มใจอย่างมาก
ฎีกาที่ประดุจสัตว์ป่าดุร้ายแยกเขี้ยวกำลังกองอยู่ตรงหน้า ในกองนั้นมีกล่องประณีตใบหนึ่งโดดเด่นขึ้นมา บนนั้นคล้ายมีตัวอักษร ‘เร่งด่วน’ สองตัว
เป็นฎีกาเร่งด่วนที่ต้องสะสางก่อนใคร…
หยวนสี่ตี้หยิบกล่องมาถือไว้ เปิดออกแล้วหยิบฎีกาออกมา
“เฟิ่งจวิน องค์หญิงเสด็จเพคะ” สุดท้ายนางกำนัลก็โล่งใจได้เสียทีหลังจากเห็นเฟิ่งจวินและรัชทายาทมาถึง ทั้งสองจะได้ช่วยเหลือจักรพรรดินีได้เสียที
“เสด็จแม่! พระองค์รีบทอดพระเนตรเถิด เสด็จพ่อทรงถูกคนรังแกมาเพคะ!” ฉืออิ๋งก้าวข้ามประตูตำหนักมาก็พุ่งตรงไปที่เบื้องหน้าโต๊ะทันที
“เจ้ากลัวบ้านเมืองจะสงบเกินไปหรืออย่างไร หรือพ่อเจ้าทำตัวไม่มีเหตุผลเหมือนที่เป็นอยู่ประจำทุกเดือนอีกแล้ว” หยวนสี่ตี้วางฎีกาลงแล้วมองไปที่ ‘เจ้าเด็กซุกซน’ ซึ่งนางโชคร้ายคลอดออกมา
เฟิ่งจวินเดินเข้ามาในตำหนักด้วยสีหน้าเศร้าโศกหม่นหมอง มาถึงเบื้องหน้าโต๊ะเขาก็โอบหยวนสี่ตี้ “ฝ่าบาท ข้าถูกคนฝังทั้งเป็น!”
หยวนสี่ตี้พยายามผลักมือเฟิ่งจวินออกแต่ก็ไม่เป็นผล “ปล่อยมือเร็วเข้า ถวนถวนมองอยู่นะ”
‘ถวนถวน’ ยกมือปิดตา “ลูกไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เชิญพวกท่านตามสบายเพคะ”
เฟิ่งจวินโอบภรรยาผู้เป็นถึงจักรพรรดินีเอาไว้พลางถือโอกาสหยอกล้อ “ไม่ต้องห่วง ถวนถวนไม่เห็นหรอก อีกอย่างหากฝ่าบาทไม่ทรงจัดการให้ข้า คืนนี้ข้าจะไม่ยอมจากไป!” พูดแล้วก็นึกถึงเรื่องสำคัญบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงลดเสียงลงเอ่ย” ข้าไม่ได้บรรทมร่วมกับฝ่าบาทมาหลายวันแล้ว ฝ่าบาททรงคิดถึงข้าบ้างหรือไม่”
“ท่านไม่เห็นว่าข้ากำลังยุ่งอยู่หรือ!” หยวนสี่ตี้ค้อนเขาครั้งหนึ่ง “ต่อหน้าถวนถวน ท่านช่วยสำรวมหน่อยได้หรือไม่”
เฟิ่งจวินข่มกลั้นความเจ็บปวดใจเอาไว้แล้วปล่อยมือฝืนทำทีเป็นสำรวม ที่จริงเพียงแค่เห็นภรรยา เขาก็ทำท่าสำรวมไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะเวลาที่นางตรวจฎีกาอย่างจริงจัง เขาแทบจะบังคับตัวเองไม่ได้
ฉืออิ๋งแหวกนิ้วมือเป็นช่องไว้ตั้งแต่แรกแล้ว นางกำลังมองดูบิดาหยอกเย้า มารดาทำเสแสร้งอย่างเงียบๆ
“ที่แท้เป็นเรื่องอะไรกัน” หยวนสี่ตี้จัดอาภรณ์ที่ยับให้เรียบ ขณะเดียวกันก็คอยจับตามองเฟิ่งจวินที่อยู่ใกล้ๆ เผื่อว่าเขาจะลงมือทำอะไรอีก
“ไป๋สิงเจี่ยนดูหมิ่นข้า หาว่าข้าเป็นขุนนางสอพลอ!” เฟิ่งจวินพยายามบังคับตนเองอย่างเต็มที่ไม่ให้น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาคุกรุ่นไปด้วยความโกรธ
“เขาดูหมิ่นท่านพี่ตรงไหน” หยวนสี่ตี้ขมวดคิ้ว
“ในบันทึกประวัติ!” ความโกรธที่ซ่อนเอาไว้ยังคงกรุ่นออกมาอย่างต่อเนื่อง
“เขาเขียนบันทึกของช่วงเวลานี้ แล้วท่านไปรู้มาได้อย่างไร” ในหอไท่สื่อเก็บบันทึกของยุคนี้เอาไว้ ถือเป็นบันทึกลับสุดยอด ไม่แปลกที่หยวนสี่ตี้จะนึกสงสัย
ฉืออิ๋งตระหนกในทันที นางถึงกับลืมกำชับบิดาว่าอย่ากล่าวพาดพิงมาถึงตัวนาง
เฟิ่งจวินเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด “ข้าได้ยินมาว่าไป๋สิงเจี่ยนบันทึกชื่อข้าลงในประวัติขุนนางสอพลอ กล่าวหาว่าข้าทำเสน่ห์ต่อจักรพรรดินี แล้วอย่างนี้ถวนถวนในวันหน้าจะทำตัวเช่นไร ฝ่าบาทต้องให้ความเป็นธรรมกับพวกเราสองพ่อลูกด้วย!”
ฉืออิ๋งถึงกับโล่งอก บิดาฉลาดเกินคนจริงๆ ควรค่าแก่การยกย่อง
“เจ้าไป๋สิงเจี่ยนผู้นี้ถึงกับทำบันทึกรั่วไหล ต้องได้รับโทษสถานใด!” หยวนสี่ตี้คิดได้ว่าพวกเขาจับจุดสำคัญของเรื่องราวนี้ผิดมหันต์
เฟิ่งจวินและฉืออิ๋งต่างเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน “จุดสำคัญไม่ใช่ประวัติขุนนางสอพลอหรือ!”
ระหว่างที่ทั้งสามกำลังถกกันว่าอะไรคือ ‘จุดสำคัญ’ อยู่นั้น นางกำนัลก็แจ้งมาจากหน้าประตูว่า “หัวหน้าสำนักตรวจการหลูฉี่ขอเข้าเฝ้าเพคะ!”
“ค่ำขนาดนี้แล้วยังจะมาทำอะไรอีก เรียกเขาเข้ามา!” หยวนสี่ตี้หยุดโต้เถียงกันเป็นการชั่วคราว แล้วให้สามีกับบุตรสาวที่มาร้องขอความเป็นธรรมหลบไปอยู่ที่ข้างหลัง
ฉืออิ๋งหลบไปอยู่หลังฉากบังลม แล้วฟังหัวหน้าสำนักตรวจการเข้าเฝ้า “ฝ่าบาท กระหม่อมมารบกวนตอนค่ำเช่นนี้เพราะสถานการณ์บังคับจริงๆ กระทั่งเสื้อผ้าก็ยังไม่ทันเปลี่ยน เนื่องจากกระหม่อมพบว่าไท่สื่อไป๋สิงเจี่ยนกระทำผิดต่อหน้าที่ด้วยการรับสินบน บันทึกเรื่องราวอย่างไม่เป็นธรรม ตัดสินความไม่เข้มงวด มีหลักฐานชัดแจ้งแล้ว ขอฝ่าบาททรงโปรดพิจารณาด้วย”
หัวหน้าสำนักตรวจการหลูฉี่ไม่ได้แต่งกายด้วยชุดทางการ เขารีบเร่งเข้าวังมาจนเหงื่อไหลเต็มหน้าผาก ก่อนจะคำนับอยู่เบื้องหน้าโต๊ะของจักรพรรดินีพร้อมทูลถวายฎีกา ด้วยเป็นถึงผู้นำของสำนักตรวจการ เขาย่อมเชี่ยวชาญกฎหมายอย่างทะลุปรุโปร่ง ท่องขึ้นหน้าและย้อนหลังได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังเคยเขียนขยายความมาแล้วหลายเล่ม เขาจึงสามารถวิเคราะห์รายละเอียดบทลงโทษของไป๋สิงเจี่ยนตามข้อกล่าวหาที่ระบุไว้ในกฎหมายจนครบถ้วนแล้ว
ที่ผ่านมาเรื่องที่สำนักตรวจการโจมตีหลันไถนั้นมีความสำเร็จน้อยมาก ในที่สุดก็สามารถหาเรื่องร้องเรียนรุนแรงได้เสียที การเล่นงานของขุนนางรับตำแหน่งใหม่รอบที่หนึ่งกำลังจะเริ่มขึ้น ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องข่มความตื่นเต้นในใจเอาไว้ แล้วรอฟังเสียงสวรรค์ตรงหน้า
หยวนสี่ตี้พลิกอ่านฎีกาของหลูฉี่ พออ่านไปแล้วสีหน้าก็ไม่ดียิ่ง หลูฉี่เฝ้าสังเกตสีหน้าของจักรพรรดินี ในใจก็คิดไปว่า…ทุกสิ่งเป็นไปตามที่ข้าคาดหมายแล้ว
“หลูฉี่ เจ้าถวายฎีกาฉบับที่ร่างผิดๆ มาให้เราหรือ” หยวนสี่ตี้หยิบพู่กันขึ้นมาวงตัวอักษรในฎีกาที่เขียนผิดอยู่เป็นจำนวนมาก
หลูฉี่พลันแข็งทื่อไป ก่อนได้สติรีบร้อนอธิบาย “ตอนที่กระหม่อมเขียนฎีกา อารมณ์ของกระหม่อมร้อนรนจนไม่มีเวลาพอให้ลอกฉบับใหม่ขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนสี่ตี้ปิดฎีกาก่อนจะโยนไปให้หลูฉี่ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คัดลอกใหม่มาหนึ่งชุดก่อนสิ เราอ่านฉบับนี้แล้วปวดตายิ่งนัก”
หลูฉี่ไม่คิดว่าจักรพรรดินีผู้นี้จะเป็นคนรักความถูกต้องของตัวอักษรยิ่งนัก ช่างแตกต่างกับที่ผู้คนพูดๆ กันมา เนื่องจากในหมู่ขุนนางต่างพากันนินทาลับหลังว่าจักรพรรดินีเคยตกยากอยู่ท่ามกลางสามัญชน ไม่ได้เล่าเรียนหนังสือมากนัก ต่อให้ไท่ฟู่ของจักรพรรดินีจะคือคุณชายของสกุลเจียงแห่งซีจิงก็ตาม ซึ่งแม้คนหลังจะมีความรู้ดีมากเพียงใด ทว่าในเวลาต่อมาสองคนนี้ก็แสนจะไม่เอาไหนอย่างยิ่งมิใช่หรือ จะมีเวลาเล่าเรียนหนังสือรึ ถึงขั้นมีคนกล่าวว่าจักรพรรดินีเป็นคนไม่รู้หนังสือเสียด้วยซ้ำ ข่าวลือนี้ช่างให้ร้ายคนแล้ว!
หลูฉี่ปรับอารมณ์ของตนเองแล้วก็ได้แต่น้อมรับคำสั่งพลางหยิบฎีกาขึ้นมา แล้วฟุบที่พื้นคัดลอกฎีกาขึ้นมาใหม่
หยวนสี่ตี้นั่งอยู่ที่หลังโต๊ะมองดูด้วยสายตาเย็นชา ในใจนึกตำหนิว่า คงคิดว่าเราไม่รู้หนังสือสินะ คนที่รับเงินเดือนจากราชสำนักอย่างพวกเจ้าก็ดีแต่ฟังเรื่องติฉินนินทา แล้วก็พูดไปกันเองว่าเราเรียนหนังสือแค่ไม่กี่วัน หาว่าตอนที่เราเรียนหนังสือเอาแต่เกี้ยวพาไท่ฟู่ เห็นรูปโฉมหล่อเหลาก็ยึดมาเป็นเฟิ่งจวินแล้ว ไม่เคารพอาจารย์ผิดคุณธรรม เกิดความรักใคร่ระหว่างศิษย์อาจารย์ซึ่งผิดธรรมเนียม หึ! เราจะให้เจ้ารู้ว่าเราก็เล่าเรียนหนังสือมาหลายวันนะ ส่วนที่เป็นพระราชโองการก็ให้เฟิ่งจวินเป็นผู้เขียนแทน คาดว่าพวกเจ้าคงพอเดาได้อยู่ก่อน แต่ในเมื่อรู้อยู่แล้วก็ควรเงียบปากไม่พูดสิ หากยังกล้านำไปวิพากษ์วิจารณ์อีก เราจะลงโทษให้คัดลอกฎีกาสักหนึ่งร้อยจบ!
หลูฉี่ในใจร้อนรนยิ่งนัก การจะกล่าวหาผู้ใดนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือช่วงเวลา คิดไม่ถึงว่าที่เขาตั้งใจเขียนอักษรผิดบางตัวเพื่อให้เห็นว่ารีบร้อนเข้ามานั้นกลับให้ผลไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาจะทำไปเพื่ออะไรเล่า ควรที่จะถามก่อนว่าจักรพรรดินีรักชอบอะไร เขาเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ย่อมไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติในหมู่แวดวงขุนนาง
ฉืออิ๋งที่อยู่หลังฉากบังลมหิวจนต้องหยิบขนมขึ้นมาบิกินไปพลางก่นด่าพึมพำไปพลาง “เจ้าสหายไม่เอาไหนผู้นี้”
เฟิ่งจวินเขยิบเข้ามาใกล้บุตรสาว ก่อนจะจิ้มไปที่ตัวนาง
“ลูกรัก พวกเจ้าเป็นพวกเดียวกันหรือ”
ฉืออิ๋งเอาขนมที่เหลือเพียงครึ่งชิ้นยัดเข้าไปในปากของบิดาพร้อมกับพูดข่มขู่ว่า “หากเสด็จพ่อทูลฟ้องเสด็จแม่เรื่องนี้ ลูกจะหนีออกจากวัง ไม่ให้เสด็จพ่อเสด็จแม่พบเจออีก!”
เฟิ่งจวินเคี้ยวขนมที่ลูกรักกินเหลือก่อนกลืนลงคอไป เขาเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “พ่อเพียงจะช่วยคิดหาวิธีให้เป่าเปาเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าเป่าเปาจะไม่เชื่อถือพ่อเพียงนี้ น่าชอกช้ำใจจริงๆ”
ฉืออิ๋งหันหน้ามามองอย่างรวดเร็ว แววตายังไม่ค่อยเชื่อถือนัก “จริงหรือเพคะ”
“แน่นอนสิ! เจ้าไป๋สิงเจี่ยนผู้นั้นกล้ามามีเรื่องกับพ่อ พ่อต้องให้มันได้เห็นดีแน่ ตอนนี้มีหัวหน้าสำนักตรวจการมาฟ้องร้องเขา คนอย่างพ่อที่เป็นคนมีหลักการจะต้องฉวยโอกาสซ้ำเติมมันอีกที เจ้าไม่เชื่อพ่อเลยหรือ”
ฉืออิ๋งพยักหน้ารับอย่างแรง “ลูกเชื่อเพคะ! ดังนั้น…เสด็จพ่อจะช่วยลูกคิดหาวิธีอย่างไร”
อีกด้านหนึ่ง ในที่สุดหลูฉี่ก็คัดลอกฎีกาใหม่จนเสร็จ เอวเขาในตอนนี้แทบจะยืดตรงไม่ได้แล้ว
“ฝ่าบาท กระหม่อมคัดลอกใหม่เสร็จแล้ว เชิญพระองค์ทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนสี่ตี้ที่แทะขาหมูพะโล้ชิ้นหนึ่งอยู่หลังโต๊ะลอบฉีกฎีกาฉบับก่อนหน้าของหลูฉี่มาเช็ดมือให้สะอาด แล้วรับฉบับที่คัดลอกใหม่มาเปิดอ่านอย่างไม่เต็มใจนัก ดูฎีกาฟ้องร้องทั้งที่ท้องหิวเช่นนี้ ช่างทำร้ายร่างกายและจิตใจโดยแท้
หลังจากกวาดตาอ่านฎีกาไปจนจบ หยวนสี่ตี้ก็ตบโต๊ะพลางลุกขึ้นยืน กระดูกหมูที่แทะจนเกลี้ยงชิ้นหนึ่งพลันตกลงบนพื้น ก่อนจะกลิ้งหลุนๆ ไปหยุดที่ข้างเท้าหลูฉี่ ชั่วขณะนั้นหลูฉี่ก็นึกถึงข่าวลือเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เกี่ยวกับความช่างกินของจักรพรรดินี เห็นทีคำเล่าลือนี้ใช่ว่าจะไร้ที่มา
ที่หยวนสี่ตี้ตบโต๊ะลุกขึ้นยืนก็เป็นเพราะหลูฉี่กล่าวหาว่าไป๋สิงเจี่ยนข้องเกี่ยวกับการก่อกบฏ ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยนั้นก็คือรูปแบบการทำงานที่ผ่านมาของสำนักตรวจการที่ดูกล่าวหาผู้อื่นเกินความเป็นจริง…เมื่อกล่าวว่าไป๋สิงเจี่ยนกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมา ก็ยิ่งยากที่จะเชื่อได้ว่าเป็นความจริง
“เจ้าเขียนคำร้องกล่าวโทษไป๋สิงเจี่ยนเช่นนี้ มีหลักฐานยืนยันหรือไม่”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีฐานะเป็นถึงหัวหน้าสำนักตรวจการ หากไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนจะกล้าฟ้องร้องหลันไถได้หรือ”
“ดี เราจะรอดูหลักฐานนั้น” หยวนสี่ตี้หันไปสั่งนางกำนัล “ตามไท่สื่อไป๋สิงเจี่ยนมา เราอยากดูว่าเขามีอะไรจะพูดหรือไม่!”
หลังฉากบังลม เฟิ่งจวินส่งชามเครื่องในหมูต้มเค็มให้กับฉืออิ๋ง “รีบๆ ส่งต่อให้เสด็จแม่ของลูกเร็วเข้า เสด็จแม่ผู้น่าสงสารคงหิวมากเป็นแน่ ถึงได้โกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้”
ฉืออิ๋งที่ยังคงไม่ส่งชามไปให้มารดาเพียงมองไปที่บิดา “เสด็จพ่อ ที่เสด็จแม่โกรธเกรี้ยวเช่นนี้ไม่ดีหรอกหรือ จะได้จัดการกับไป๋สิงเจี่ยนได้อย่างไรเล่า”
“ถวนถวน! เสด็จแม่หิวจะแย่แล้วนะ” เฟิ่งจวินหยิกที่แก้มฉืออิ๋งเพื่อเป็นการสั่งสอน
“ทั้งที่กล่าวว่าจะช่วยหาวิธีรับมือ แต่ดูสิ เสด็จพ่อกลับปวดพระทัยแต่เรื่องของเสด็จแม่ ไม่เห็นปวดพระทัยเรื่องลูกบ้างเลย” ฉืออิ๋งหยิกที่แก้มบิดากลับไปเช่นกัน
“โอ๊ย! มือหนักเหมือนกันนะ เจ้าเด็กโง่ นี่ไม่ใช่ว่าพ่อกำลังช่วยเจ้ารับมืออยู่หรือ ยามที่แม่เจ้าหิวแล้วจัดส่งเครื่องในหมูต้มเค็มของโปรดของนางไปให้ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีความหมายว่าอะไร”
“มีความหมายว่าอะไรเพคะ”
“มีความหมายว่าได้ป้ายทองเว้นโทษตาย หมายความว่ายามที่เจ้าอยู่ข้างตัวนาง ไม่ว่าเจ้าทำหรือพูดอะไรล้วนไม่ถูกจำกัดน่ะสิเจ้าเด็กโง่ นี่ล้วนเป็นข้อสรุปจากประสบการณ์ชั่วชีวิตของพ่อ วันนี้ล้วนแต่มอบต่อให้เจ้าแล้ว”
“เสด็จพ่อจึงสรุปรวมจากที่ผ่านมาว่าเสด็จแม่ชอบเสวยอะไร และเวลาใดจะนำมาถวายเสด็จแม่? เสด็จพ่อ ลูกหวังว่าตนเองจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของท่าน”
“ถวนถวน! เจ้าทำพ่อโกรธแทบตายแล้ว!”
ฉืออิ๋งถือชามเครื่องในหมูต้มเค็มให้มั่นแล้ววิ่งออกจากหลังฉากบังลมอย่างรวดเร็ว
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.