บทที่ 4
หยวนสี่ตี้จำต้องอยู่รอไป๋สิงเจี่ยนเข้าเฝ้าต่อ นางจึงได้แต่ต้องทนหิวโหยต่อไป ยามนี้จึงโมโหจนแทบจะล้มโต๊ะอยู่แล้ว ทว่าทันใดนั้นจู่ๆ นางก็ได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคยอย่างหนึ่งโชยมา…เครื่องในหมูต้มเค็ม!
หยวนสี่ตี้เห็นฉืออิ๋งเป็นดั่งเทพธิดาน้อยผู้นำอาหารรสเลิศที่นางโปรดปรานมากที่สุดมาให้ พูดได้ว่าเลี้ยงบุตรสาวได้ดั่งใจโดยแท้ ช่างเป็นลูกรักของแม่ น่ารักจนอยากจะหอมแก้มสักครั้งหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ฉืออิ๋งจึงสามารถออกจากหลังฉากมาอยู่ด้านหน้าได้ นางยืนอยู่ข้างกายมารดา รอคอยให้ไป๋สิงเจี่ยนมารับความตาย
“ไท่สื่อขอเข้าเฝ้าเพคะ” นางกำนัลกราบทูลจากด้านนอก
หลูฉี่รวบรวมสติของตนเอง ฉืออิ๋งเผยรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ไร้พิษสง ขณะที่หยวนสี่ตี้ก็รีบเร่งกินเครื่องในหมูต้มเค็มจนหมด
ไม่นานทุกคนก็มองเห็นไป๋สิงเจี่ยนมือถือไม้เท้าก้าวข้ามประตูตำหนักมา รูปร่างของเขาสูงโปร่ง อาภรณ์เป็นทางการเรียบร้อย ดูตระหง่านประดุจขุนเขาหยกยิ่งนัก
“กระหม่อมไป๋สิงเจี่ยน ถวายบังคมฝ่าบาท!” เขาโค้งตัวเล็กน้อย
“ไม่ต้องมากพิธี” หยวนสี่ตี้รู้ว่าร่างกายไป๋สิงเจี่ยนไม่อำนวย นางจึงงดเว้นการคำนับแบบเต็มพิธีการให้เขา ด้วยเห็นแก่ที่เขามีฐานะเป็นถึงหัวหน้าสำนักหลันไถ นางจึงกล่าวต่อ “นั่งลงได้”
ตรงหน้าหยวนสี่ตี้ไม่มีที่นั่ง เมื่ออนุญาตให้นั่งเช่นนี้ ไป๋สิงเจี่ยนก็ต้องย้ายเก้าอี้มาจากด้านข้างด้วยตนเอง ทว่าเขาไม่อาจย้ายที่นั่งมาเองได้ อีกทั้งหลูฉี่ก็ไม่ยอมช่วย หยวนสี่ตี้จึงมองไปที่บุตรสาวที่รักยิ่งซึ่งอยู่ข้างกาย มีแรงงานที่ไม่ต้องเสียเงินจ้างทั้งที หากไม่ใช้ก็เป็นการเสียเปล่าแล้ว
ฉืออิ๋งรับรู้ได้ถึงสายตาของมารดา นางจึงไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง ทว่าตอนนี้จะดีที่สุดคือนางไม่ควรแสดงท่าทีต่อต้านมารดาที่แสนสูงศักดิ์ของนาง ฉืออิ๋งเบ้ปาก ก่อนค่อยๆ นวยนาดไปย้ายเก้าอี้มาให้ เมื่อเดินมาถึงด้านหลังไป๋สิงเจี่ยนแล้วก็วางเก้าอี้กระแทกลงพื้น
ไป๋สิงเจี่ยนค่อยๆ นั่งลง “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉืออิ๋งส่งเสียงหึอยู่ในใจ ก่อนจะตั้งท่าเดินไปอยู่ข้างกายมารดา
ไป๋สิงเจี่ยนนั่งลงเรียบร้อยแล้วก็จัดแจงเสื้อผ้า “วันนี้องค์หญิงเสด็จไปที่หลันไถมา หากมีสิ่งใดที่กระหม่อมต้อนรับไม่ดีล่ะก็ ขอองค์หญิงโปรดทรงอภัยด้วย”
ฉืออิ๋งราวกับแมวน้อยที่ถูกเหยียบหางจนขนลุกพองชี้ชันในทันใด
หยวนสี่ตี้ส่งเสียงประหลาดใจ “วันนี้ถวนถวนไปที่หลันไถมา? ไปทำอะไรมาหรือ ไม่ใช่ไปขโมยอ่านบันทึกมาหรอกนะ”
ไป๋สิงเจี่ยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หามิได้พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงเพียงออกมาจากสำนักตรวจการ คงคิดว่าเป็นทางเดียวกัน จึงอยากมาชมดอกไม้ที่หลันไถ แต่จะดีที่สุดหากวันหลังองค์หญิงไม่หักกิ่งดอกไม้อีก”
ฉืออิ๋งพลันไม่สบายไปทั้งร่าง
ไม่นานมานี้ เนื่องจากฉืออิ๋งไปมีส่วนพัวพันกับเรื่องของสำนักตรวจการ นางจึงถูกลงโทษด้วยการกักบริเวณ ครั้งนี้จึงพยายามระแวดระวังยิ่งกว่าเดิม กระนั้นก็คิดไม่ถึงว่าจะถูกไป๋สิงเจี่ยนจับได้…ข้าไม่น่าจะถูกเขาจับได้เช่นนี้สิ!
ฉืออิ๋งจงใจออกจากประตูหลังของสำนักตรวจการ อาศัยต้นไป่เป็นที่กำบัง จงใจเดินกลับไปกลับมารอบหนึ่ง แล้วถึงค่อยเดินตรงไปที่ประตูใหญ่หลันไถ นางเชื่อมั่นอย่างมากว่าในตรอกยามนั้นไม่มีเงาคนอยู่เลยสักคน อย่างไรก็เป็นเส้นแบ่งดินแดนของหลันไถกับสำนักตรวจการ คนทั่วไปที่ใจไม่กล้าพอล้วนไม่มาเดินเที่ยวเล่นในสถานที่อ่อนไหวเช่นนี้แน่
ยิ่งกว่านั้นตอนที่ออกจากหลันไถ นางก็ได้ทำตามที่นัดหมายไว้กับหลูฉี่ หักกิ่งไม้เป็นสัญลักษณ์ แค่เรื่องเล็กน้อยอย่างการเด็ดดอกกล้วยไม้ก็ยังถูกไป๋สิงเจี่ยนตรวจพบอีก แล้วยังจงใจมาฟ้องเรื่องไม่ดีต่อหน้าจักรพรรดินีด้วย ทางเดินสายนี้ช่างไม่ดีเอาเสียเลย ใครจะมาเชื่อถือนางอีกเล่า
ฉืออิ๋งรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงสายตาตำหนิติเตียนของมารดาที่มองมาทางนาง ที่จริงก็เริ่มรู้สึกเจ็บที่หลังขึ้นมาแล้ว ถึงอย่างนั้นฉืออิ๋งก็ยังไม่ยอมแพ้ ยังคงดิ้นรนต่อ “ข้าเลิกเรียนแล้วก็คิดไปเยี่ยมอาจารย์ที่หลันไถ พวกท่านก็รู้นี่ว่าข้ารักสบายเพียงใด จึงคิดหาทางลัดที่ไปหลันไถ ข้าเองก็เพียงแค่ผ่านนอกกำแพงสำนักตรวจการเท่านั้น ไม่ได้เข้าไปข้างในจริงๆ อาจารย์ต้องเข้าใจข้าผิดแน่นอน”
ฉืออิ๋งใช้น้ำเสียงที่ถูกปรักปรำและท่าทางไร้เดียงสาในการบอกกล่าว กระทั่งหยวนสี่ตี้ก็ยังเห็นว่ามีโอกาสที่เรื่องนี้จะเป็นการเข้าใจผิด อันที่จริงไท่สื่อก็มีข้อขัดแย้งกับรัชทายาทมาก่อน
คนที่รู้ความเป็นจริงของเรื่องราวอย่างหลูฉี่ เมื่อเฝ้ามองฉืออิ๋งแก้ต่างให้ตัวเองเช่นนี้แล้ว เขายังเกือบหลงเชื่อตามไปด้วยเลย
ไป๋สิงเจี่ยนเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ “อาจเป็นกระหม่อมที่ดูผิดไป ตอนองค์หญิงเสด็จมาถึงหลันไถ จึงได้เห็นว่าบนเส้นพระเกศาขององค์หญิงมีเกสรของต้นไป่ติดอยู่ และหลายวันมานี้ต้นไป่ที่ออกดอกอยู่ก็มีเพียงต้นเก่าแก่ที่อยู่ทางด้านในกำแพงสำนักตรวจการเท่านั้น”
หลูฉี่เอ่ยค่อนขอดอยู่ในใจ…นี่เจ้ายังรู้จักสำนักตรวจการดีกว่าข้าเสียอีก กระทั่งต้นไหนออกดอกบ้างก็ยังรู้ ช่างสมกับเป็นคู่แค้นเก่าจริงๆ ทุกวันคงเอาแต่จับจ้องสำนักตรวจการของพวกข้า แม้แต่ต้นไม้ออกดอกก็ยังไม่เว้น น่าแค้นใจนักที่ข้าไม่รู้ชนิดของดอกกล้วยไม้ที่หลันไถเลย ไม่ได้การแล้ว กลับไปต้องส่งคนไปตรวจสอบเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ให้ชัดเจน!
ฉืออิ๋งตกตะลึงไปทันใด นางโต้แย้งทันที “แล้วจะไม่มีลมพัดดอกไม้จนปลิวจากด้านในออกไปด้านนอกเชียวหรือ”
ไป๋สิงเจี่ยนยังคงเอ่ยด้วยท่าทางที่สุขุมยิ่ง “วันนี้ตอนยามซื่อถึงยามอู่มีลมเหนือพัดมา สำนักตรวจการตั้งอยู่ทางทิศใต้ ทิศทางลมจึงพัดจากด้านนอกเข้าไปหาด้านใน”
ฉืออิ๋งอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก นางคิดไม่ถึงว่าวันนี้ตนเองจะถูกบีบอยู่ในมือของไป๋สิงเจี่ยนเพียงเพราะเกสรดอกไม้เล็กๆ
หลูฉี่ก็แสดงสีหน้าให้เห็นว่า ‘ขอโทษที่กระหม่อมช่วยเหลือท่านไม่ได้’ ออกมา
ฉืออิ๋งเลิกดิ้นรนต่อไป นางหันไปทางหยวนสี่ตี้เตรียมร้องไห้ยอมรับผิด “เสด็จแม่…”
น้ำเสียงเศร้าพลันถูกไป๋สิงเจี่ยนตัดบททันใด “แต่หากมีหมู่ภมรไปเกาะเกสรดอกไม้บ่อยครั้ง ก็อาจเป็นไปได้ว่าหมู่ภมรเหล่านั้นจะขยันขันแข็ง นำพาเกสรด้านในกำแพงออกมาที่นอกกำแพง”
ฉืออิ๋งกลั้นน้ำตาไว้ทันใด “ไม่ผิด! เป็นเช่นนี้จริงๆ!”
ไป๋สิงเจี่ยนยังคงเอ่ยขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง “ทว่าภายใต้สถานการณ์ที่น่าสงสัยนี้ ก็ยังบอกได้ไม่ชัดเจนว่า มาจากทางใดกันแน่ ยังต้องแยกแยะให้ชัดเจน”
“อาจารย์กล่าวได้ถูกต้อง” ฉืออิ๋งก้มใบหน้าลง ดวงตาจ้องตรงไปที่ขาสองข้างภายใต้เสื้อผ้าของไป๋สิงเจี่ยน…เจ้าคนเลือดเย็นมากเล่ห์ เจ้าคงถูกสวรรค์ลงโทษสินะ ขาจึงพิการทั้งสองข้าง
ฉืออิ๋งที่อกสั่นขวัญแขวนพลันรอดพ้นจากโทษหนัก
เฟิ่งจวินที่อยู่หลังฉากบังลมถึงกับโล่งอก เป่าเปาช่างโง่เขลาเสียจริง ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของไท่สื่อได้ หากว่าไป๋สิงเจี่ยนยังกดขี่ข่มเหงคนต่อไปอีก…ข้าคงทนดูต่อไปไม่ไหว ต้องลงมือบ้างแล้ว แต่นี่เป่าเปาก็ช่างใสซื่อเกินไป คนเขากล่าวว่าบนศีรษะเจ้ามีเกสรดอกไม้โดยไร้หลักฐาน ขอเพียงถึงตายก็ไม่ยอมรับก็สิ้นเรื่อง! เป่าเปาคิดจะรับมือกับคนเจ้าเล่ห์อย่างไท่สื่อนั้น ดูไปแล้วช่างไร้หนทางชนะโดยสิ้นเชิง คิดแล้วก็ให้หดหู่ใจเสียจริง
ใจของเฟิ่งจวินล้วนอยู่ที่ตัวบุตรสาว เขาคร้านจะไปนึกถึงคนข้างๆ และไม่กังวลสักนิดหากไป๋สิงเจี่ยนจะรู้ว่าเขาหลบอยู่หลังฉากบังลม
ไป๋สิงเจี่ยนเองก็ไว้หน้าฉืออิ๋ง อย่างไรเสียฉืออิ๋งก็ถือเป็นดวงใจของเฟิ่งจวิน หากเขายังกดดันจนฉืออิ๋งต้องอับจนหนทางขึ้นมา เกรงว่าเฟิ่งจวินคงไม่นั่งดูดายเป็นแน่ หากทำให้เฟิ่งจวินโกรธเกลียด หลันไถคงไม่ได้รับเงินไปอีกหลายเดือน เนื่องจากเหมืองทองแดงที่ซีจิงก็ถือเป็นกำลังสำคัญของท้องพระคลัง
หลูฉี่กลับคิดไว้ว่า พันธมิตรที่ย่ำแย่ถูกตัดสินให้ไร้ความผิดไปแล้ว ข้าก็ได้แต่ต้องเตรียมออกรบเพียงผู้เดียว!
คลี่คลายเรื่องฉืออิ๋งได้แล้ว ไป๋สิงเจี่ยนก็ไม่คิดเปลืองเวลาอีก เอ่ยเข้าประเด็นทันที “ฝ่าบาททรงเรียกกระหม่อมเข้าเฝ้าด้วยเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อปัญหาอ้อมผ่านฉืออิ๋งไปแล้ว หยวนสี่ตี้ก็ตัดสินใจว่าจะจัดการกับบุตรสาวในภายหลัง
“หัวหน้าสำนักตรวจการฟ้องร้องไท่สื่อ กล่าวหาว่าเจ้ารับสินบน ละเลยต่อหน้าที่ บันทึกเรื่องราวอย่างไม่เป็นธรรม มุ่งหมายก่อกบฏ ไป๋สิงเจี่ยน เจ้ามีอะไรจะชี้แจงหรือไม่” หยวนสี่ตี้เอ่ยอย่างเคร่งขรึมในทันใด
ฟังมาถึงตรงนี้ฉืออิ๋งก็รวบรวมสติขึ้นมาอีกครั้ง
ฟังข้อกล่าวหาเหล่านี้แล้ว ใบหน้าของไป๋สิงเจี่ยนก็ไม่มีความรู้สึกใดปรากฏ ราวกับว่าผู้ที่ถูกฟ้องร้องหาใช่ตัวเขา “กราบทูลฝ่าบาท นี่เป็นเพียงข้อกล่าวหาที่แค่ ‘อาจจะมี’ กระหม่อมไม่กล้ารับพ่ะย่ะค่ะ”
“ไป๋สิงเจี่ยน เหตุใดจึงแค่อาจจะมีเล่า” หลูฉี่เงียบอยู่นาน ช่วงเวลาที่เขาเฝ้ารอก็คือในตอนนี้
“สำนักตรวจการมักแต่งเติมข้อกล่าวหา ถนัดเรื่องการกล่าวหาเกินจริง หลายปีมานี้ข้าล้วนฟังมามากจนคล้ายว่าจะคุ้นชินแล้ว” ไป๋สิงเจี่ยนใช้น้ำเสียงที่ไม่สะทกสะท้านกล่าวตอบคู่แค้นเก่า
“หากไม่มีข้อกล่าวหา แล้วจะไปแต่งเติมได้อย่างไร” หัวหน้าสำนักตรวจการเอ่ยตอบโต้ทันควัน
“หากมีโทษเช่นนั้นจริงก็ต้องขอฟังรายละเอียดก่อนแล้ว” ไป๋สิงเจี่ยนเอ่ยขึ้นอย่างสงบ
หลูฉี่ขยับขึ้นหน้าไปอีกก้าวหนึ่ง “ฝ่าบาทเคยได้ยินเรื่อง ‘ฝันเห็นพู่กันผลิดอก’ หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
แม้ชีวิตอันยากลำบากจะทำให้หยวนสี่ตี้ได้เรียนหนังสือมาไม่เท่าไร แต่เรื่องแปลกมากมายก็พอได้ยินเฟิ่งจวินเล่าให้ฟังอยู่บ้าง นางจึงพยักหน้ารับ “เรื่องนี้เราก็ได้ยินมาเช่นกัน รู้มาว่าเป็นพู่กันชนิดหนึ่งที่เล่าลือกันว่าปลายพู่กันออกดอกได้ห้าสี ใช้พู่กันนี้เขียนแล้วตัวอักษรจะออกมางดงามอ่อนช้อย เราเองก็อยากได้พู่กันแบบนี้สักด้ามหนึ่งเช่นกัน แต่เฟิ่งจวินบอกว่ามีเขาอยู่ก็พอแล้ว…”
ได้ยินหยวนสี่ตี้กำลังจะกล่าวออกนอกเรื่อง หลูฉี่จึงรีบตัดบท “ไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ ทว่าฝ่าบาทอาจยังไม่ทราบว่าคำเล่าลือนี้นำมาซึ่งหมึกมีค่าหายากชนิดหนึ่งซึ่งมีนามว่า ‘หมึกวิเศษของพู่กันผลิดอก’ หากใช้หมึกนี้เขียนบทความก็ไม่กลัวไฟเผาไม่กลัวเปียกน้ำแล้ว สามารถรักษาบทความนี้ให้คงอยู่ได้ตลอดไป เหมาะที่อาลักษณ์จะเอาไว้ใช้ประโยชน์” พูดจบแล้วก็ปรายตามองไปยังไป๋สิงเจี่ยนอย่างมาดร้าย แม้ว่าคนถูกมองจะยังไม่มีอาการตอบสนองใดเช่นเดิม
“มีของพิเศษถึงเพียงนี้ด้วยหรือ มิใช่แค่เรื่องเล่าลือหรอกรึ” หยวนสี่ตี้เริ่มนึกสนใจขึ้นมา “เจ้าเคยเห็นหรือไม่ แล้วจะไปหาซื้อได้จากที่ใด เรื่องราคาย่อมมิใช่ปัญหา สามารถให้เฟิ่งจวินช่วยซื้อให้เราได้”
เฟิ่งจวินที่เคยเป็นถึงคหบดีผู้มั่งคั่ง ยามนี้กำลังอยู่หลังฉากบังลมด้วยสีหน้าทุกข์ร้อน จำต้องดีดลูกคิดคำนวณราคาล่วงหน้า
“กระหม่อมยังไม่มีวาสนาที่จะได้เห็น แต่ว่า…” หลูฉี่หรี่ตามองไปที่ไป๋สิงเจี่ยนพลางยกมุมปากขึ้น “ไท่สื่อจะต้องเคยเห็นมาแล้วเป็นแน่ ไม่ทราบว่าท่านจะช่วยชี้แจงให้ฝ่าบาททรงฟังสักเล็กน้อยได้หรือไม่”
ไป๋สิงเจี่ยนขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่มัธยัสถ์ยิ่ง หากเขาเคยพบเห็นหมึกวิเศษของพู่กันผลิดอกที่มีค่าควรเมือง นั่นต้องมีความหมายแฝงเร้นอยู่เป็นแน่
ภายในตำหนักเงียบลงชั่วครู่ ไป๋สิงเจี่ยนจึงเอ่ยขึ้นอย่างเนิบช้า “กระหม่อมมีวาสนาได้เห็นจริง ฝ่าบาทเองก็เคยทอดพระเนตรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนสี่ตี้เอ่ยถามอย่างแปลกใจ “เราได้เห็นเมื่อไรกัน”
“หนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ กระหม่อมได้ให้คนส่งฎีกาเข้าวังอย่างเร่งด่วน ฎีกานั้นก็เขียนด้วยหมึกวิเศษของพู่กันผลิดอกพ่ะย่ะค่ะ”
หลูฉี่และฉืออิ๋งพลันตกตะลึงไปทั้งคู่
หยวนสี่ตี้รีบเร่งหยิบฎีกาเร่งด่วนบนโต๊ะขึ้นมา เป็นฎีกาที่นางเพิ่งหยิบมาดูเมื่อครู่นี้นั่นเอง แต่เมื่อมองทั้งซ้ายทั้งขวา วางตั้งวางขวางแล้วก็ไม่เห็นอะไรที่พิเศษกว่าทั่วไป นางอดสงสัยไม่ได้ ไป๋สิงเจี่ยนใช่ทำให้เราไขว้เขวหรือไม่
โดยไม่สนว่าเป็นของจริงหรือปลอม หลูฉี่เพียงรีบเอ่ยสอบถาม “ขอถามไท่สื่อว่าได้หมึกวิเศษของพู่กันผลิดอกมาอย่างไรกัน ได้รับมาเป็นการส่วนตัว หรือได้รับเพราะเป็นสิ่งของตอบแทนจากการช่วยเหลือผู้อื่นทำบางสิ่งบางอย่าง?”
ไป๋สิงเจี่ยนลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขากำไม้เท้าเอาไว้แน่น ก่อนจะใช้มืออีกข้างรวบชุดแล้วคุกเข่าลง การทำเช่นนี้สำหรับเขาแล้วนับว่ายากลำบากอย่างมาก
ฉืออิ๋งไม่เคยเห็นไป๋สิงเจี่ยนคุกเข่าคำนับเช่นนี้มาก่อน แม้ท่าทางดูลำบากอยู่บ้าง ทว่าแววตาของเขากลับดูแน่วแน่ การให้ผู้ที่ตระหง่านประดุจขุนเขาหยกคุกเข่านั้นดูเหมือนจะเป็นความสวยงามที่โหดร้ายอย่างหนึ่ง ฉืออิ๋งอดกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้
“ฝ่าบาท วันนี้กระหม่อมบังเอิญพบว่าอาลักษณ์ของหลันไถมีการใช้หมึกวิเศษของพู่กันผลิดอก เมื่อทำการตรวจสอบก็ทราบว่าช่วงที่เซ่าลิ่งสื่อชุยซั่งไปบันทึกเรื่องราวอยู่ที่ป๋อหลิง เขาได้รับสินบนจากสกุลชุยแห่งป๋อหลิง ให้ปิดบังเรื่องที่สกุลชุยแห่งป๋อหลิงเปิดกิจการเหมืองทองแดงโดยไม่แจ้งทางการ ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงการลอบทำการค้ากับแคว้นใกล้เคียงด้วย ภายหลังจากที่กระหม่อมตรวจสอบจนทราบเรื่องนี้แล้ว จึงได้ออกคำสั่งให้คนไปจับตัวชุยซั่ง พร้อมสั่งเก็บหนังสือที่เขาทำทั้งหมด แล้วเขียนฎีกาทูลถวายฝ่าบาทอย่างเร่งด่วนพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนสี่ตี้ไม่รู้ว่าควรโกรธหรือควรตระหนกดี หากไม่ใช่เพราะฉืออิ๋งและเฟิ่งจวินมารบกวน นางก็สมควรได้อ่านฎีกาฉบับนั้นจบแล้ว แต่นี่ไม่ใช่จุดสำคัญ จุดสำคัญอยู่ที่สกุลชุยแห่งป๋อหลิงที่สมคบกับศัตรูของอาณาจักร โดยมีอาลักษณ์ของหลันไถช่วยปกปิด การกระทำอันเที่ยงตรงของอาลักษณ์กลับกลายเป็นเครื่องมือให้คนบางคนได้ประโยชน์
“ไป๋สิงเจี่ยน เจ้าช่างบังอาจนัก! โทษของการวางแผนก่อกบฏ เจ้ายังกล้าบอกว่าตนเองไม่ทราบเรื่อง แล้วยังปฏิเสธความรับผิดอย่างหมดจดอีกรึ!” หยวนสี่ตี้เอ่ยขึ้นอย่างกรุ่นโกรธ
หลูฉี่ไม่รีรอที่จะเติมเชื้อไฟอีกระลอก “ทูลฝ่าบาท ผู้ตรวจการที่เดินทางไปป๋อหลิงยังพบว่าช่วงเวลาที่เซ่าลิ่งสื่อชุยซั่งที่ไท่สื่อโปรดปรานที่สุดไปบันทึกเรื่องราวอยู่ที่ป๋อหลิงนั้น ไม่เพียงแค่รับสินบนและปิดบังการค้าที่ไม่ได้แจ้งแก่ทางการเท่านั้น เพราะช่วงเวลาที่ต้องไว้ทุกข์ให้มารดายังไปชอบพอกับสาวใช้สกุลชุยอย่างลับๆ ด้วย จนนางเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา และเพื่อจะกำจัดภัยที่แฝงมา สกุลชุยจึงไม่ลังเลที่จะจับสาวใช้ผู้นั้นถ่วงน้ำเสีย ต้องสูญสิ้นร่างเดียวสองชีวิต!”
หยวนสี่ตี้โกรธเกรี้ยวถึงกับโยนฎีกาของไป๋สิงเจี่ยนทิ้ง “ช่างกำเริบเสิบสานยิ่งนัก! ให้ปลดไป๋สิงเจี่ยนออกจากตำแหน่งหัวหน้าสำนักหลันไถ!”
“ฝ่าบาททรงไม่ดำเนินตามขั้นตอนอีกแล้ว” เฟิ่งจวินเดินอ้อมออกมาจากหลังฉากบังลม ภายใต้แขนเสื้อแอบซ่อนขาหมูที่โชยกลิ่นหอมชิ้นหนึ่งเอาไว้ เขาเดินไปทางหยวนสี่ตี้ด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย “การโยกย้ายขุนนางและปลดออกจากตำแหน่งล้วนต้องผ่านกรมปกครองทั้งสิ้น เกรงว่าขั้นตอนนี้จำต้องใช้เวลาหลายวัน กระหม่อมเคยทูลว่าจะเพิ่มความสามารถในการสะสางงานของทางการ ซึ่งประการแรกจะต้องลงมือปรับปรุงวิธีการภายในหน่วยงานนั้นๆ ทันที!”
สายตาหยวนสี่ตี้ถูกดึงดูดไปที่ใต้แขนเสื้อของเฟิ่งจวินทันทีทันใด “เรารู้อยู่แล้วว่าความสามารถในการสะสางงานของทางการชักช้าเพียงใด ทว่าการปรับปรุงการทำงานของแต่ละหน่วยงานใช่ว่าจะสำเร็จในวันสองวัน เรื่องนี้ส่งให้กรมปกครองไปทำก็แล้วกัน”
“เช่นนั้นก็เรียกเสนาบดีกรมปกครองเข้าเฝ้า” เฟิ่งจวินวางขาหมูลงบนจานอาหารบนโต๊ะ
“ให้เสนาบดีกรมปกครองเข้าเฝ้า” หยวนสี่ตี้ทำตามที่สามีแนะนำมา
“แต่คดีนี้เกี่ยวพันกับหลายข้อกล่าวหา จำเป็นต้องให้ศาลสถิตยุติธรรมและกรมอาญามาร่วมสอบสวน”
“ให้หัวหน้าศาลและเสนาบดีกรมอาญาเข้าเฝ้า!”
“เรื่องนี้เกี่ยวพันกับหลายฝ่าย คดีนี้ถือเป็นคดีใหญ่ อาจจะต้องให้ทั้งสามหน่วยเข้าร่วมตรวจสอบ ตรวจสอบครึ่งเดือนก็ถือว่าเร็วแล้ว ฝ่าบาทต้องทรงเตรียมการพิจารณาคดีรับสินบนและเป็นกบฏนี้ ซึ่งจะยาวนานนับหลายเดือน งดสิ่งรื่นเริงทั้งหมด ตรวจร่างคำวินิจฉัย งานนี้หนักหนาเอาการ ควรเสวยอาหารแบบง่ายๆ รสชาติจืดๆ อย่างอาหารมังสวิรัติ…”
หยวนสี่ตี้หันใบหน้าไปจ้องที่ไป๋สิงเจี่ยน “ไป๋สิงเจี่ยน เจ้าจะยอมรับความผิดหรือไม่ หากไม่ยอมรับผิด เจ้ายังคิดกล่าวอะไร”
ฉืออิ๋งเบิกตามองดูบิดาที่ออกหน้าพลิกสถานการณ์ด้วยความตกตะลึง ผู้ร่วมศึกที่ตนเองออกแรงดึงมานั้นกลับหักหลังกันเสียได้ ดูเหมือนว่าคุณธรรมของบิดานางนั้นจะไม่มีจริง ล้วนเป็นเพียงความว่างเปล่า
“กระหม่อมมีความผิดขาดการตรวจสอบ ส่วนความผิดนอกเหนือจากนี้ กระหม่อมไม่ขอรับไว้พ่ะย่ะค่ะ” ไป๋สิงเจี่ยนเอ่ยขึ้นอย่างไม่ทะนงตนและไม่ถ่อมตัว
“เพียง ‘ความผิดขาดการตรวจสอบ’ ก็คิดจะกลบเกลื่อนความผิดปิดบังเรื่องสกปรกของหลันไถรึ ไท่สื่อช่างรู้ผ่อนหนักเป็นเบา” หลูฉี่เอ่ยปากเสียดสี “การกระทำของเซ่าลิ่งสื่อชุยซั่งยังไม่มากพอแก่การกล่าวโทษไท่สื่ออีกหรือ ไม่พิจารณาคนให้ดีจนเกิดภัยร้าย คุณธรรมเสื่อมสูญคิดปิดบังเรื่องเหมืองเถื่อน คบคิดกับศัตรู เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับไท่สื่อจริงหรือ”
“ชุยซั่งยังไม่ได้ให้ร้ายแก่ชีวิตผู้ใดและไม่ได้คบคิดกับศัตรูของอาณาจักร แม้ฝ่าฝืนกฎหมายและระเบียบด้วยการละเลยหน้าที่ของอาลักษณ์จริง แต่เขาก็ไม่ได้ทำความผิดร้ายแรงอย่างการฆ่าคนอย่างเลือดเย็น เรื่องเปิดเหมืองทองแดงเถื่อน คบศัตรูของอาณาจักร ถือเป็นการกระทำของสกุลชุยแห่งป๋อหลิง ไม่ทราบว่าใต้เท้าหลูใช้ถ้อยคำบิดเบือนเอาความผิดสกุลชุยผลักมาที่หลันไถเช่นนี้ มีความในใจเช่นไรกันแน่”
“หรือว่าชุยซั่งไม่ได้รับน้ำใจและสินบนจากสกุลชุยแห่งป๋อหลิง? เช่นนี้ก็ไม่นับว่าสมรู้ร่วมคิด? หรือเป็นไท่สื่อที่พลิกลิ้น มีใจซ่อนเร้น คิดว่าใช้ฎีกาที่เขียนด้วยหมึกวิเศษของพู่กันผลิดอกมาทูลถวายก่อน แล้วจะสามารถหลุดพ้นมลทินอย่างนั้นหรือ”
“เก็บและนำส่งหลักฐานเพื่อให้มีการพิพากษา มีตรงไหนไม่ถูกเล่า เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนชุยซั่งได้ไปมอบตัวที่ศาลสถิตยุติธรรม ส่งต่อเรื่องราวตั้งแต่ต้นถึงจบ จะเป็นการสมรู้ร่วมคิดได้อย่างไร”
“อะไรนะ!” หลูฉี่ย่อมคิดไม่ถึง
หยวนสี่ตี้พลันรู้สึกว่าตนเองถูกไป๋สิงเจี่ยนหลอกจนสนิทใจ “ไท่สื่อสะสางเรื่องนี้แล้วจริงหรือ”
“กระหม่อมขอลุกขึ้นได้หรือไม่” ไป๋สิงเจี่ยนยืดตัวขึ้น แสดงให้เห็นว่า ‘การยอมรับผิด’ ได้จบลงตรงนี้แล้ว
หยวนสี่ตี้นับว่าใจกว้าง นางโบกมือให้ฉืออิ๋ง “ถวนถวน เจ้าไปพยุงไท่สื่อขึ้นมา”
อย่าว่าแต่ฉืออิ๋งไม่เต็มใจเลย แม้แต่ไป๋สิงเจี่ยนก็ไม่ต้องการตอบน้ำใจนี้ เขาใช้มือค้ำไม้เท้าพยายามลุกขึ้นเอง ทว่าเพราะคุกเข่านานเกินไป สองขาจึงเกิดเหน็บชา ลุกขึ้นได้อย่างยากเย็น ฉืออิ๋งจับไปที่แขนของเขาได้ถูกเวลาพอดี ทำให้เขาได้มีที่เกาะพยุง ไป๋สิงเจี่ยนจึงยืนขึ้นได้อย่างช้าๆ พลางเอ่ยขอบคุณ
ฉืออิ๋งหน้าม่อยคอตก นางลากเก้าอี้มาที่ข้างหลังไป๋สิงเจี่ยน อย่างไรมารดาของนางก็ใช้งานนางเยี่ยงข้ารับใช้แล้ว นางไม่เหลือศักดิ์ศรีเลยสักนิด ยิ่งกว่านั้นมองดูหลูฉี่ที่ไร้ทางชนะแล้ว นางก็ควรปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ดีกว่า
เรื่องจริงเป็นที่ประจักษ์แล้ว ฉืออิ๋งจึงพร้อมลู่ตามลมทันที
ไป๋สิงเจี่ยนนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง แล้วเริ่มต้นตอบโต้หลูฉี่ด้วยความสงบ “หลันไถย่อมไม่ปกปิดเรื่องของชุยซั่งอยู่แล้ว มีศาลสถิตยุติธรรมเป็นผู้สอบสวนคดีนี้ ชุยซั่งล้วนส่งมอบหลักฐานทั้งหมดให้ศาลสถิตยุติธรรมไปทั้งหมดแล้ว เรื่องนี้ฝ่าบาททรงเรียกหัวหน้าศาลมาตรัสถามก็จะทรงทราบได้ ทว่าวันนี้นอกจากกระหม่อมมาทูลเรื่องคดีของชุยซั่งแล้ว ยังมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความบกพร่องของเจ้าหน้าที่ของสำนักตรวจการจะทูลฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หลูฉี่ถึงกับหนังตากระตุก “ไป๋สิงเจี่ยน ความผิดของเจ้ายังไม่ได้ลบล้าง นี่จะรีบมาลากข้าลงน้ำแล้วรึ ใช่รีบร้อนไปหรือไม่”
ไป๋สิงเจี่ยนไม่แยแสหลูฉี่แม้แต่น้อย หลันไถกับสำนักตรวจการปะทะกันมาช้านาน พยายามหาจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามมาตลอด มักทำคดีสำคัญๆ ได้เสมอ ตัวอย่างเช่น…สำนักตรวจการได้หลักฐานการทำผิดเซ่าลิ่งสื่อชุยซั่งของหลันไถก่อน อยากรู้นักว่าทางหลันไถจะเตรียมโต้ตอบอย่างไร หยวนสี่ตี้เฝ้ารอดู
“ใต้เท้าหลูอย่าร้อนใจ ให้ไท่สื่อพูดมาก่อน”
“เรื่องที่สกุลชุยแห่งป๋อหลิงปิดบังทางการ แอบทำเหมืองนั้น หาใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในสองปีมานี้ วันนี้กระหม่อมตรวจดูในบันทึกก็พบว่าพวกเขาทำเหมืองมาตั้งแต่ห้าปีก่อน สำนักตรวจการได้ส่งเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนไปถึงป๋อหลิง จนถึงปีนี้ก็เปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ไปแล้วสามคน แต่กลับไม่เคยมีใครเปิดโปงสกุลชุยแห่งป๋อหลิงมาก่อน กลับทำเหมือนว่าไม่มีเรื่องอะไร กระหม่อมจึงอดนึกสงสัยไม่ได้ ในเมื่อสำนักตรวจการตรวจพบความผิดของชุยซั่งได้ แล้วเหตุใดจึงไม่เคยตรวจพบกิจการของสกุลชุย อีกทั้งยามที่เจ้าหน้าที่สามคนนี้กลับมารายงานก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องเหมืองเถื่อนสกุลชุยเลย ทั้งยังเลื่อนตำแหน่งรวดเร็วมากด้วยเหตุผลมากมาย ต่างทยอยรับตำแหน่งสำคัญในสำนักตรวจการ สาเหตุที่แท้จริงนั้นกระหม่อมคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ไม่ทราบใต้เท้าหลูพอจะอธิบายให้หายสงสัยได้หรือไม่”
หลูฉี่กัดฟันตอบ “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเพิ่งรับตำแหน่งหัวหน้าสำนักตรวจการมาได้ไม่นาน เรื่องเมื่อห้าปีก่อน เกรงว่าต้องถามอดีตหัวหน้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ความผิดของชุยซั่งเกรงว่าจะเป็นผลงานที่ได้รับมาจากอดีตหัวหน้ามาถึงใต้เท้าหลู ใต้เท้าหลูต่อยอดผลงานนี้ได้อย่างรวดเร็ว ทว่ากับเรื่องอื่นๆ กลับทำไม่รู้เรื่องเสียอย่างนั้น”
ภายใต้การกล่าวชี้นำของไป๋สิงเจี่ยน หัวหน้าสำนักตรวจการผู้นี้ได้กลายเป็นคนที่ละเลยต่อหน้าที่ น่าอับอายขายหน้า ท่าทีที่จะกำจัดผู้พบเห็นต่างปรากฏชัด เผยอยู่ชัดแจ้งต่อหน้าหยวนสี่ตี้แล้ว
“หลูฉี่! เมื่อเจ้ารับตำแหน่งหัวหน้าสำนักตรวจการก็ไม่อาจใช้อดีตหัวหน้ามาเป็นข้ออ้างได้ กระทั่งเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาทำอะไรบ้างยังไม่รู้เลย แล้วเจ้าจะอยู่ดูแลสำนักตรวจการได้อย่างไร หลักฐานที่เจ้าว่ามาก่อนหน้ากลายเป็นเชื่อไม่ได้ไปทันที มิสู้ทำในเรื่องที่ควรทำ ทำงานในหน้าที่ให้เต็มกำลังดีกว่า เราให้เวลาเจ้าตรวจหาความจริงสามวัน หากเจ้าหน้าที่ทั้งสามคนปิดบังเรื่องสกุลชุยหรือรู้เห็นกับสกุลชุยจริง การสมรู้ร่วมคิดมีโทษสถานหนัก” หยวนสี่ตี้สั่งสอนอย่างจริงจัง
“กระหม่อมน้อมรับคำสอนสั่งของฝ่าบาท” หลูฉี่พ่ายแพ้ไปด้วยความเจ็บแค้น
“ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องยิ่ง พวกกระหม่อมรับฟังแล้วต่างก็ซาบซึ้ง” เฟิ่งจวินตอบรับได้อย่างเหมาะสม ก่อนกล่าวขึ้นอย่างสรุปเหตุการณ์ทั้งหมด “คราวหลังอย่าได้นำเรื่องเล็กๆ มาทำให้ฝ่าบาททรงระคายพระทัยเลย พวกท่านเพียงดูแลงานของตนเองให้ดี อย่าเอาแต่โต้เถียงกันไปมาที่วาจา ยังมีศาลสถิตยุติธรรมและกรมอาญาอยู่ อย่าให้พวกเขาว่างงานจนเกินไป ดีแล้ว ฝ่าบาททรงฟังพวกท่านโต้แย้งกันมานานมากจนทรงหิวมากแล้ว กระทั่งพระกระยาหารค่ำก็เย็นชืดหมดแล้ว”
“พรุ่งนี้เราจะฟังถ้อยคำจากศาลสถิตยุติธรรมอีกครั้ง ทั้งสองคนกลับไปได้!” หยวนสี่ตี้รีบร้อนลุกจากโต๊ะ เมื่อได้ยินเฟิ่งจวินบอกว่าอาหารค่ำเย็นหมดแล้ว นางก็รู้สึกทนไม่ได้ขึ้นมา
หยวนสี่ตี้กับเฟิ่งจวินจูงมือเดินออกไปด้วยกัน ฉืออิ๋งเดินตามหลังไปใกล้ๆ
ไป๋สิงเจี่ยนและหลูฉี่ทูลลาพร้อมกัน เมื่อทั้งสองมาถึงประตูตำหนักก็ต้องจัดลำดับออกก่อนหลัง หลูฉี่ก้าวช้าลงหนึ่งก้าว แล้วให้ไป๋สิงเจี่ยนเดินออกไปก่อน
“วันนี้ได้ประจักษ์ฝีมือของไท่สื่อแล้ว ทำให้ข้าต้องนับถือแล้ว” หลูฉี่ค้อมกายให้
“ใต้เท้าหลูไม่ต้องมากมารยาท” ไป๋สิงเจี่ยนไม่คิดตอบรับหลูฉี่แต่อย่างใด เพียงใช้ไม้เท้าค้ำร่างเดินออกไปนอกธรณีประตู
“ไท่สื่อใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วยามก็พบเบาะแสและเตรียมการรับมือทั้งหมดได้แล้ว ท่านทำงานไม่เคยมีตกหล่นเช่นนี้มาตลอด แม้พบช่องโหว่ก็แก้ไขสถานการณ์ได้ทันเวลา ทั้งยังหาโอกาสตอบโต้คู่ปรับได้อีก” หลูฉี่เร่งฝีเท้าตามมาหนึ่งก้าว ก่อนจะช่วยประคองไป๋สิงเจี่ยน
“ใต้เท้าหลูกล่าวหนักไปแล้ว หากไม่เป็นเพราะสำนักตรวจการอยากขัดแย้งกับหลันไถให้ถึงที่สุดก่อน แล้วอยากเปิดโปงเรื่องภายในของตนเอง ไม่ว่าใครก็ไม่อาจไร้ช่องโหว่ได้ เพียงแต่ต้องดูว่าหลังคาบ้านใครที่รูใหญ่กว่ากัน เมื่อรูยิ่งกว้าง การแก้ไขย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งจะเกิดเรื่องผิดพลาดได้” ไป๋สิงเจี่ยนแยกแยะต้นตอให้คู่ปรับฟังอย่างใจเย็น เวลาเดียวกันก็ดึงแขนออก เลี่ยงการประคองของหลูฉี่
การกระทำนี้ของไป๋สิงเจี่ยนทำให้หลูฉี่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่สบอารมณ์เขาเพียงใด ไม่คิดเลยว่าไท่สื่อจะใจแคบถึงเพียงนี้ มีแค้นต้องชำระไม่ผิดเลย!
กระนั้นหลูฉี่ก็เป็นคนช่างตอแยผู้หนึ่ง “หลันไถกับสำนักตรวจการถือว่าเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงมาช้านาน ในเมื่อไปทางเดียวกันอยู่แล้ว เช่นนั้นก็ขอให้ข้า…”
“ไม่ต้อง” ไป๋สิงเจี่ยนเอ่ยตัดบทหลูฉี่ “แม้ข้ากับอดีตหัวหน้าสำนักตรวจการจะเป็นเพื่อนบ้านกันมาหลายปี ถึงแม้ไปทางเดียวกัน เกี้ยวทั้งสองหลังก็จะตั้งห่างกันหลายจั้ง ไม่เคยจับมือประคองกันเลย ขอใต้เท้าหลูทำตามธรรมเนียมที่อดีตหัวหน้าเคยทำมาด้วย ข้าเคยชินเช่นนั้นมากกว่า” เขาพลันหยุดพูดลงครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวเสริมขึ้น “ยังมี ข้าไม่ชอบให้ใครมาช่วยประคอง และไม่ชอบให้ใครมาเดินใกล้เกินสามก้าว”
หลูฉี่เบิกตามองแทบถลน แต่ก็ยอมถอยห่างออกไปสามก้าว ปากกล่าวขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ “ไป๋สิงเจี่ยน ท่านดูแคลนข้า และดูแคลนพวกข้าสำนักตรวจการทั้งหมด หรือว่าท่านเป็นพวกที่ชอบข่มเหงผู้อื่นหรือ?”
ไป๋สิงเจี่ยนคร้านจะไปตอแยด้วย เพียงเดินออกจากประตูตำหนักไป
หลูฉี่เดินออกประตูตามไป “เมื่อครู่ตอนองค์หญิงประคองท่าน เหตุใดจึงไม่เห็นท่านมีท่าทีปฏิเสธเช่นนี้? ต้องเป็นเพราะท่านดูแคลนพวกข้าเป็นแน่ ต้องใช่แน่นอน”
ฉืออิ๋งเดินมาถึงข้างประตู สายตามองตามหลังคนทั้งสองที่จากไป พวกที่ชอบข่มเหงผู้อื่น? มันคืออย่างไรกัน ไม่ชอบให้คนเข้าใกล้กระนั้นหรือ มิน่าเล่าทุกครั้งที่ข้าพยุงไป๋สิงเจี่ยน เขาจึงได้แสดงออกว่าไม่ค่อยเต็มใจนัก ฉืออิ๋งรู้สึกลิงโลดในใจ นางรู้ว่าจะทำให้เขารำคาญได้อย่างไรแล้ว
ฉืออิ๋งไปร่วมกินอาหารค่ำกับบิดามารดาด้วยสีหน้าระรื่น นางพบว่าบิดากำลังป้อนอาหารให้มารดาอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย อาหารบนโต๊ะก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว
“แล้วแป้งม้วนไส้ไข่ปูกับบัวลอยของลูกเล่า?” ฉืออิ๋งจ้องไปที่จานว่างเปล่า นางโกรธจนอยากจะพลิกโต๊ะประเดี๋ยวนั้นเลย นางยังมองเห็นคราบไข่ปูที่มุมปากมารดาอยู่เลย
เฟิ่งจวินร้องอ้อคำหนึ่ง “ห้องเครื่องลืมทำแป้งม้วนไส้ไข่ปูของชอบของเป่าเปาอีกแล้ว ช่างน่าโมโหเสียจริง!”
ฉืออิ๋งกอดเก้าอี้พลางนั่งดิ้นไปมาอยู่บนพื้น “อาหารสามมื้อของวันนี้ ลูกไม่ได้กินแป้งม้วนไส้ไข่ปูเลยสักมื้อเดียว ลูกถูกรังแก ลูกจะไปฟ้องเสด็จตา”
หยวนสี่ตี้เคยชินกับวิธีดิ้นไปพลางปากก็ร้องว่าจะฟ้องไปพลางของฉืออิ๋งแล้ว นางทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องพวกนี้ เพียงหันไปหยอกเอินกับเฟิ่งจวิน “ท่านพี่ เหตุใดระยะนี้ข้าจึงรู้สึกหิวอยู่บ่อยครั้งเล่า”
“ต้องเป็นเพราะหยวนเป่าเอ๋อร์ยุ่งกับงานราชการ ทุ่มเทกายใจอย่างหนัก จึงเหนื่อยมากเป็นธรรมดา จากนี้พวกฎีกาก็ให้ข้าดูแทนท่านเถอะ” เฟิ่งจวินทำตาหวานเป็นประกายวิบวับ “ภายหลังจะได้ไม่บอกว่าเหนื่อยมากทุกวัน จนไม่มีรับสั่งเรียกตัวเฟิ่งจวิน”
นี่ทั้งคู่ทำเหมือนไม่รู้ว่ามีคนอยู่ ไม่เกรงใจผู้ใดเอาแต่คุยกะหนุงกะหนิงกันไปมา กับฉืออิ๋งที่ดิ้นปัดป่ายมาพักหนึ่ง พอรู้ว่าถูกเมินจึงลุกขึ้นมาจากพื้นเองแล้วนั่งลงข้างโต๊ะ ด้วยความโมโหจึงยัดของกินใส่ปาก หากนางยังไม่กินอาหารค่ำอีก คงไม่มีอะไรเหลือให้นางได้กินแน่ เลี้ยงข้าเช่นนี้ จะต้องโดนทั้งคนและเทพพิโรธ!
“ใช่แล้ว น้องชายลูกใกล้จะเข้าวังแล้วนะ” เฟิ่งจวินหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ วางลงที่โต๊ะแล้วดันไปที่ฉืออิ๋งซึ่งกำลังสวาปามอย่างหิวโหย “หลายวันนี้เจ้าก็ไปจัดเตรียมให้ที”
ปากฉืออิ๋งยังคาบผักที่มารดากินเหลือไว้ นางเช็ดมือแล้วเปิดจดหมายอ่าน “ได้บอกว่ามีของเล่นจากซีจิงหรือไม่”
หยวนสี่ตี้ฉวยโอกาสนี้คีบเนื้อก้อนสุดท้ายบนโต๊ะมา ปากก็ไม่ลืมเอ่ยคำพูดแสดงความห่วงหาของคนเป็นมารดา “แม่เองก็ไม่ได้เห็นโต้วเปาเอ๋อร์มานานแล้ว น่าจะหลายเดือนแล้วกระมัง”
เฟิ่งจวินเอ่ยแก้ให้ “หนึ่งปีครึ่งแล้ว”
ฉืออิ๋งพี่น้องสองคนเคยร่วมชั้นเรียนเดียวกันที่สำนักศึกษาเจาเหวิน ทั้งสองทำตัวเป็นหัวหน้าห้อง ร่วมกันรังแกข่มเหงสหายร่วมชั้นเรียน ทำให้อาจารย์โกรธจนเตลิดหนีไปหมด ทำท่าวางโตอยู่ได้หลายปี จนถึงตอนที่โต้วเปาเอ๋อร์ยังไม่สิบสามปีเต็มก็ถูกส่งไปรับการอบรมที่ซีจิง เข้าเรียนในชั้นเรียนของลูกหลานที่มีฐานะของสกุลเจียง หล่อหลอมมาเป็นเวลาแรมปี ถึงตอนนี้จึงได้รับอนุญาตจากประมุขสกุลเจียง…พี่ชายคนโตของเฟิ่งจวิน…ท่านลุงใหญ่ของโต้วเปาเอ๋อร์ให้หยุดเรียนได้สองเดือน กลับเมืองหลวงมาเยี่ยมญาติ
ที่จริงแล้วเฟิ่งจวินได้รับจดหมายจากพี่ใหญ่มาสองฉบับ
ฉบับหนึ่งใช้ภาษาทางการเปิดหัวว่า ‘ทูลฝ่าบาทและเฟิ่งจวิน’ เนื้อความที่เขียนกล่าวว่า…
‘ไม่เสียความตั้งใจที่พระองค์ทรงสั่งสอนองค์ชายมาเป็นอย่างดี ตอนนี้มีความสำเร็จให้เห็นบ้างแล้ว สมควรเสด็จกลับวังเยี่ยมญาติได้เสียที จึงได้จัดทหารรับใช้สามพันนายอารักขามาเช่นนี้’
อีกฉบับเปิดหัวเป็นภาษาธรรมดาว่า ‘น้องผู้น่าอิจฉาของข้า’ เนื้อความมีเช่นนี้…
‘เจ้าลูกหัวแข็งของเจ้าทำอาจารย์ในสกุลเจียงของข้าเจ็ดแปดคนโกรธจนหนีเตลิดไปหมด หากไม่ใช่ว่าข้าตอบแทนอย่างหนักและเอ่ยขออภัยแทน เกรงว่าฎีกาที่เหล่าอาจารย์อาวุโสร่วมกันลงชื่อคงถึงเมืองหลวงนานแล้ว แต่เจ้าวางใจได้ ฎีกาฉบับนั้นถูกสกุลเจียงแห่งซีจิงของข้าทุ่มเงินซื้อมาทำลายไปแล้ว พวกอาจารย์อาวุโสต่างก็ยอมถอย จะทำอย่างไรได้เล่า ท่านปู่เห็นเจ้าลูกหัวแข็งของเจ้าประดุจดวงใจล้ำค่า ตามใจจนเสียคน ไม่ยอมให้พวกข้าว่ากล่าวสักคำ ครั้งก่อนข้าเผลอกล่าวสอนไปสองคำโดยไม่ทันระวังก็ถูกท่านปู่ลงมืออย่างโหดเหี้ยม ไล่ตีข้าไปถึงครึ่งเมืองซีจิง เป็นเพราะร่างกายท่านปู่ไม่ไหวแล้วจึงได้เลิกตาม แต่ว่าเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล สุดท้ายเป็นข้าที่ยอมรับผิดขออภัย จึงระบายความโกรธของท่านปู่ได้
ระบายความทุกข์ในใจมามากแล้ว ที่จริงก็ไม่มีอะไรแย่กว่านี้หรอก เจ้าก็ไม่ต้องว่ากล่าวเขาอีก มิเช่นนั้นต่อให้ห่างกันเป็นพันหลี่* ท่านปู่ก็ไม่ให้อภัยเจ้าแน่ ลูกเจ้าเองก็คิดถึงพ่อแม่มาก อยากกลับวังเต็มทีแล้ว ปีแรกก็ขออนุญาตข้าลาเรียนแล้ว แต่ข้ายังไม่อนุญาต มาถึงครึ่งปีหลังเขาดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาก ความรู้ก็ก้าวหน้าไม่น้อย ค่อยวางตัวตามแบบอย่างลูกหลานของสกุลเจียงข้าหน่อย ขอแต่ว่าอย่าเป็นแค่การเสแสร้งก็แล้วกัน พอก่อน ขอบ่นแต่เพียงเท่านี้ ส่งลูกเจ้ากลับคืนให้เจ้า ส่วนเรื่องที่เหลือเจ้าก็รับไปเองแล้วกัน’
ฉบับที่สองเป็นจดหมายส่วนตัว เกี่ยวพันถึงหน้าตาของสกุลเจียง เฟิ่งจวินจึงไม่ยอมให้หยวนสี่ตี้ได้อ่าน…เฟิ่งจวินใช้จดหมายปิดใบหน้าอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพับเก็บไว้อย่างดี แล้ววิ่งไปปรึกษากับหยวนสี่ตี้ถึงเรื่องพระราชทานยศแก่โต้วเปาเอ๋อร์ โต้วเปาเอ๋อร์เริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทว่ายังไม่ได้แต่งตั้งเขาอย่างเป็นทางการเลย ทั้งสองจึงคิดใช้โอกาสที่โต้วเปาเอ๋อร์กลับมาเมืองหลวงในครั้งนี้ทำเรื่องแต่งตั้งนี้ให้เป็นเสร็จสิ้น รอโต้วเปาเอ๋อร์กลับไปที่ซีจิงอีกครั้ง ยามบุตรชายไปเรียนรู้การสืบทอดกิจการของสกุลเจียง ฐานะของเขาก็นับว่าสูงส่ง
เพราะต้าอิ่นยึดถือการปฏิบัติว่าจะให้สตรีเป็นจักรพรรดินี ในเมื่อหยวนสี่ตี้มีบุตรชายบุตรสาวอย่างละคน นางจึงให้บุตรสาวสืบทอดตำแหน่งจักรพรรดินี แล้วใช้แซ่ตามมารดา ขณะที่บุตรชายก็รับช่วงดูแลสกุลเจียงที่ซีจิง และใช้แซ่ตามบิดา ดังนั้นโต้วเปาเอ๋อร์จึงถูกส่งไปอบรมที่ซีจิง
ระยะนี้กรมพิธีการกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องแต่งตั้งองค์ชาย
ทว่ากับองค์หญิงที่เป็นถึงรัชทายาทนั้น กำลังเฝ้ารอน้องชายร่วมสายโลหิตที่จากกันมานาน นางกับน้องชายจะสามารถจับกันเป็นคู่ได้อีกครั้ง นี่เป็นเรื่องที่คุ้มสมการรอคอยจริงๆ อีกอย่างโต้วเปาเอ๋อร์จะต้องเอาของเล่นแปลกใหม่มากมายมาฝากนางแน่นอน
“องค์หญิง ได้ยินว่าองค์ชายจะเสด็จกลับเมืองหลวงมาแล้วหรือ” ในสำนักศึกษาเจาเหวิน บุตรชายเสนาบดีกรมอาญาจั่นคุนเผิงกำลังก้มหน้าก้มตาลอกการบ้านของฉืออิ๋งสุดชีวิต แต่ก็ยังหาโอกาสเอ่ยนินทาไปด้วย
“เจ้าก็ได้ยินมาด้วย? ไม่รู้ว่าโต้วเปาเอ๋อร์จะเอาของเล่นอะไรมาฝากข้าบ้าง” ฉืออิ๋งเอนร่างพิงกับพนักเก้าอี้ กำหมัดแตะคาง นั่งไขว้ขา พู่สีแดงที่ปักบนรองเท้าคู่เล็กสั่นไหวตามเท้าที่แกว่งไปมา ชายกระโปรงเลิกขึ้นมาแล้วก็ไม่ทันได้ใส่ใจ
“บิดาของกระหม่อมบอกมา เขายังบอกอีกว่ากรมพิธีการกำลังจัดเตรียมเรื่องนี้” จั่นคุนเผิงหยุดพูดไปทันใด เขาเพ่งมองอักษรตรงหน้า “องค์หญิงนี่คือตัวอักษรอะไรกัน ไม่เหมือนกับที่ท่านเคยเขียนเลย” จั่นคุนเผิงผู้สนใจในความรู้บ้างนั้น ยามที่ลอกถึงอักษรที่ตนเองไม่รู้จัก จำต้องถามให้เข้าใจเสียหน่อย
ฉืออิ๋งเอี้ยวตัวมาหยิบสมุดการบ้านบนโต๊ะกลับหัวมาดูแล้วขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “เสด็จพ่อทรงคิดทำให้ง่ายขึ้น จึงเขียนเป็นตัวอักษรหวัด ทว่าข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นตัวอักษรอะไร!”
จั่นคุนเผิงดูแล้วดูอีก ก่อนใช้มือป้องที่ข้างปากเอ่ยเสียงเบา “ครั้งก่อนอาจารย์ก็จับเรื่องที่เฟิ่งจวินทรงทำการบ้านให้องค์หญิงได้แล้ว หากถูกอาจารย์จับได้อีก…”
“จับได้ข้าก็ไม่ยอมรับ เสด็จพ่อก็ไม่ทรงยอมรับ!” ฉืออิ๋งมองใบหน้าจั่นคุนเผิง พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว เสี่ยวจั่น เจ้าได้ยินพ่อเจ้าพูดถึงเรื่องที่มีเจ้าหน้าที่ของหลันไถไปมอบตัวรับผิดเมื่อเร็วๆ นี้บ้างหรือเปล่า”
จั่นคุนเผิงกัดที่ด้ามพู่กันก่อนแลกเปลี่ยนข่าวคราวในราชสำนักกับฉืออิ๋ง “ได้ยินมาจริง อาลักษณ์ที่ทำผิดเป็นคนที่อาจารย์ไว้วางใจมากที่สุด ข้าแทบไม่อยากจะเชื่อเลย ได้ยินมาว่าอาจารย์เกือบจะถูกดึงเข้าไปในเรื่องนี้ด้วย สำนักตรวจการที่เกือบกล่าวหาสำเร็จ สุดท้ายกลายเป็นหัวหน้าสำนักตรวจการเกือบเอาตัวไม่รอดแทนเสียได้ องค์หญิง ท่านว่าเรื่องนี้จะกระทบมาถึงตัวอาจารย์หรือไม่ หากอาจารย์โกรธขึ้นมา ก็จะมีอาการป่วย พวกเราก็ไม่ต้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์ใช่หรือไม่ และไม่ต้องทำการบ้านมากมายเช่นนี้ คิดๆ ดูก็อยากรอดูสักหน่อย”
“เจ้าโง่! เจ้ายังไม่เห็นฝีมือของอาจารย์เลย ยากนักที่เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้จะทำให้เขาป่วย อีกอย่างหลันไถยังมีเจ้าหน้าที่อีกจำนวนมาก ลดไปหนึ่งคนก็ยังมีคนอีกนับไม่ถ้วน ไม่ได้ส่งผลเสียอะไรเลย”
ขณะที่ทั้งสองกำลังปรึกษากันอย่างออกรส คุณชายบ้านเสนาบดีกรมกลาโหมเมิ่งกวงหย่วนก็มาปรากฏตัวที่ข้างตัวฉืออิ๋งด้วยท่าทางที่น่าสงสัย “องค์หญิง ชั้นเรียนวันนี้ พระองค์ยังจะทรงเปลี่ยนที่นั่งกับกระหม่อมหรือไม่” เขารู้สึกว่าหากตนเองเป็นผู้เสียสละเองก่อนก็น่าจะทำให้ฉืออิ๋งยอมรับในตัวเขาขึ้นมาบ้าง
พู่สีแดงบนรองเท้าของฉืออิ๋งยังคงแกว่งไม่หยุด “อะไรกัน นี่เจ้าคิดจะยึดที่นั่งพิเศษแถวหน้าของข้ารึ อยากใกล้ชิดอาจารย์?”
เมิ่งกวงหย่วนตกใจยิ่งยวด “ไม่! มะ…ไม่! กระ…กระหม่อมไหนเลยจะกล้ายึดที่นั่งพิเศษขององค์หญิงมาได้เล่า ยิ่ง…ยิ่งไม่กล้าใกล้ชิดอาจารย์”
“อาจารย์มาแล้ว!” ในชั้นเรียนมักมีคนรู้ความเคลื่อนไหวของศัตรูล่วงหน้า
ชั่วขณะนั้นร่างกายของเมิ่งกวงหย่วนพลันกระตุก เขาวิ่งอย่างรวดเร็วไปยังที่นั่งแถวสุดท้าย เขาเป็นคนที่ขี้ระแวงยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก สำหรับเขาแล้ว การมีอาจารย์อยู่ก็เหมือนกับมีเสือร้ายอยู่ด้วย
จั่นคุนเผิงรีบทำการบ้านให้เสร็จ
ฉืออิ๋งหยิบสมุดการบ้านของตนกลับมาไว้กับตัว แล้วจัดท่านั่งให้เรียบร้อย
ไป๋สิงเจี่ยนมาสอนที่สำนักศึกษาเจาเหวินอย่างตรงเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม ทันทีที่เงาร่างของเขาปรากฏ ไม่สิ เพียงแค่เสียงไม้เท้ากระทบพื้นดังมาให้ได้ยิน เสียงจอแจในห้องเรียนก็เงียบลงในฉับพลัน กระทั่งฉืออิ๋งยังนั่งตัวตรง
“การบ้านของครั้งก่อนให้นำมาส่งได้” ไป๋สิงเจี่ยนวางไม้เท้าลงพลางกวาดตามองไปทั่ว
ฉืออิ๋งลุกขึ้นยืนก่อนใคร นางถือสมุดการบ้านของตนเองพลางเยื้องย่างมาที่เบื้องหน้าโต๊ะอาจารย์ ยืนตรงตำแหน่งที่พวกผู้เรียนมักยืนกัน ทว่านางกลับไม่ได้วางสมุดการบ้านลงบนโต๊ะ กลับเดินอ้อมโต๊ะไปหยุดอยู่ที่ข้างกายของไป๋สิงเจี่ยน
สหายในชั้นเรียนต่างตกตะลึงพรึงเพริด
จู่ๆ ข้างกายก็มีกลิ่นหอมวนเวียนเช่นนี้ ไป๋สิงเจี่ยนพลันขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
ฉืออิ๋งทำท่าจะวางสมุดการบ้านลงบนโต๊ะอย่างเคารพนอบน้อม มุมแขนเสื้อที่บางเบาพลิ้วผ่านหัวไหล่ของไป๋สิงเจี่ยน ไป๋สิงเจี่ยนจึงเบี่ยงตัวออกข้างๆ หมายจะหลบเลี่ยง ทว่าฉืออิ๋งกลับทำทีเป็นลังเล ไม่รู้ว่าควรวางสมุดการบ้านลงบนโต๊ะของอาจารย์ทางซ้ายหรือทางขวาดี หรือจะเป็นข้างหน้าหรือข้างหลัง ดังนั้นนางจึงลองวางทุกตำแหน่ง ตำแหน่งละหนึ่งรอบ แต่ละครั้งแขนเสื้อสีชมพูก็จะพลิ้วผ่านด้านข้าง ส่งกลิ่นหอมอบอวล
ไป๋สิงเจี่ยนทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว เขาคว้าสมุดการบ้านมาจากฉืออิ๋ง พลางวางแรงๆ ลงบนโต๊ะทางด้านซ้ายมือตนเอง “ทรงถอยกลับไป!”
“ได้เจ้าค่ะ อาจารย์” ฉืออิ๋งเผชิญหน้ากับไป๋สิงเจี่ยนพลางโค้งคำนับอย่างงดงาม ปอยผมข้างจอนก็ย้อยลงที่กระทบหลังมือของไป๋สิงเจี่ยน
สุดท้ายเหล่าผู้เรียนในสำนักศึกษาเจาเหวินก็พบว่าวันนี้อาจารย์ทำการสอนอย่างเย็นชายิ่ง โดยเฉพาะยามที่สายตากวาดมองผ่านมายังที่ที่หนึ่งในแถวหน้าสุด หลังเลิกชั้นเรียนก็ยังมอบหมายการบ้านให้อีกจำนวนมาก
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.