บทที่ 5
บนโต๊ะมีกองฎีกาสูงเท่าศีรษะ เฟิ่งจวินทยอยอ่านและลงความเห็นไม่ได้หยุด ทุกความเห็นล้วนเฉียบขาด กระทั่งสะสางฎีกาเสร็จไปกว่าสิบฉบับแล้ว หมึกบนกระดาษของฎีกาฉบับแรกๆ ก็ยังไม่แห้งเลย
ช่วงเวลาที่รายงานแต่ละเล่มถูกเลื่อนออกไปรอให้หมึกแห้งนั้น เฟิ่งจวินก็จะหยิบการบ้านจากสำนักศึกษาเจาเหวินออกมาจากใต้กองฎีกาเพื่อเปิดอ่านหัวข้อเรื่อง ฉับพลันหัวข้อประวัติศาสตร์ศึกษาเรื่องหนึ่งก็กระทบเข้าตา เป็นหัวข้อที่ฉืออิ๋งลอกมาจากอาจารย์ที่ห้องเรียน หัวข้อเรื่องคือ…พูดถึงข้อดีข้อเสียของการอภิเษกของราชวงศ์ที่มีผลกระทบต่อพระคลังของอาณาจักรตั้งแต่โบราณมา ข้อกำหนดคือมีไม่น้อยกว่าห้าพันตัวอักษร
เฟิ่งจวินรู้สึกเหมือนถูกยิงธนูเข้าที่หัวเข่าหนึ่งดอก หัวข้อนี้มิใช่ตั้งขึ้นเพื่อฉืออิ๋งเป็นแน่ เป็นหัวข้อที่ตั้งขึ้นมาเพื่อบิดาของนาง?
ผู้ที่ตั้งหัวข้อคืออาจารย์ ผู้เขียนตอบคือเฟิ่งจวิน ฉืออิ๋งเป็นเพียงผู้ส่งสารกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง ไม่ว่ามีการบ้านหรือไม่ ผู้ส่งสารก็ยังคงลอยตัวได้เสมอ ซึ่งตอนนี้นางก็กำลังนอนอยู่บนตั่งที่อ่อนนุ่ม ประเดี๋ยวก็นอนขวางประเดี๋ยวก็นอนยาว โดยนอนหลับไปพร้อมกับแมวของเฟิ่งจวิน แมวตัวนั้นก็ชื่อ ‘ถวนถวน’ เหมือนฉืออิ๋ง ทั้งอายุยังมากกว่าฉืออิ๋งด้วยซ้ำไป
ตอนนี้เป็นเวลานอนพักกลางวันของฉืออิ๋ง ต่อให้มีฟ้าผ่าลงมานางก็ไม่ตื่น เนื่องจากเป็นการนอนหลับที่ไม่เหมือนใคร จึงต้องสร้างตั่งขึ้นอย่างพิเศษ ขอบนอกของตั่งต้องมีราวกั้น และแน่นอนราวกั้นต้องไม่แข็ง จึงใช้ไม้สนที่พันด้วยไยสำลีแล้วหุ้มด้วยผ้าต่วนอีกที ฉืออิ๋งนอนดิ้นไปทั่ว ยามนี้ขาข้างหนึ่งจึงก่ายอยู่บนราวกั้น มือข้างหนึ่งโอบกอดแมวไว้ มุมปากก็มีคราบน้ำลายอยู่
ทางด้านขวามือของเฟิ่งจวินมีโต๊ะกลมตั้งอยู่ หยวนสี่ตี้กำลังอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง มือถือพู่กันจุ่มหมึกคอยจดบันทึก ทว่าหากถอดปกนอกที่เขียนว่า ‘กษัตริย์และการปกครอง’ ออกก็จะเห็นปกในว่า ‘รวมอาหารอร่อยจิ่วโจว’ เนื้อหาภายในครอบคลุม ‘อาหารรสเลิศ’ ‘คัมภีร์อาหาร’ ‘วิถีแห่งการกิน’ ‘รอบรู้เรื่องอาหาร’ เป็นต้น ถือว่าเป็นสารานุกรมเกี่ยวกับอาหารเล่มหนึ่ง เป็นของล้ำค่าที่รวบรวมได้มาใหม่ของฝ่าบาท
ยามที่จักรพรรดินีกำลังอ่านตำราอาหาร หากไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไรก็ห้ามรบกวน เนื่องจากนางจะลุ่มหลงอยู่ในความเย้ายวนของอาหารอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ดังนั้นเฟิ่งจวินจึงใช้เวลาว่างจากการตรวจฎีกามาทำการบ้านแทนฉืออิ๋งได้อย่างอิสระ เขาเตรียมพู่กันเพื่อจะเขียนเรื่องการอภิเษกของราชวงศ์และพระคลังของอาณาจักร นี่ต้องเป็นเจ้าไป๋สิงเจี่ยนที่ตั้งใจเจาะจงมาที่ข้าแน่ ต้องใช่เป็นแน่
เฟิ่งจวินคิดในใจว่า…ข้าจะใช้คำโบราณจากตำราสะท้อนแสงให้เจ้าอาลักษณ์ตาบอดนั่นอ่านเลย บังอาจมาใช้วิธีกายอกย้อนเพื่อเสียดสีข้า! ห้าพันตัวอักษรจะเท่าไรกันเชียว ห้าหมื่นตัวอักษรก็มิใช่ปัญหา ในปีนั้นที่ข้าแต่งให้กับฝ่าบาท เคยเขียนบทความการปฏิรูปภาษี ‘ว่าด้วยเกลือและเหล็ก’ เพื่อเป็นสินสอด ถึงได้สมหวังตามที่ตั้งใจเอาไว้ แม้จะมีคนนอกพูดกันไปว่าข้าใช้วิธีที่น่าอาย แต่สรุปคือต่อให้เป็นแสนตัวอักษรข้าก็มีปัญญาเขียนได้ นี่มิใช่เรื่องที่อาลักษณ์เช่นเจ้าจะกระทำได้!
ภายในตำหนักยงหวา…ได้ยินเพียงเสียงน้ำลายสอในปาก…เสียงปลายพู่กันของเฟิ่งจวิน…เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของฉืออิ๋ง รวมกันกลายเป็นเสียงที่ฟังแล้วกลมกลืน ในยามนั้นก็มีนางกำนัลเข้ามาแจ้งว่า
“ฝ่าบาท เฟิ่งจวิน องค์หญิง องค์ชายกลับมาแล้วเพคะ”
รอบแรกยังไม่มีคนรับรู้ นางกำนัลจึงใช้น้ำเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม เอ่ยขึ้นอีกรอบ
ครั้งนี้จึงค่อยเห็นผล เฟิ่งจวินหยุดเขียนพลางเงยหน้าขึ้น “หืม เร็วปานนี้? บอกไปว่าพวกข้ากำลังยุ่งกันอยู่ ให้เขามาเข้าเฝ้าเอง”
โต้วเปาเอ๋อร์เดินเร็วมาที่ตำหนักยงหวา เมื่อเห็นว่ามารดาไม่ว่างมาพบหน้าเขา พี่สาวก็หลับใหลไป มีเพียงบิดาที่นั่งรอเขาอยู่ที่หลังโต๊ะ
“ลูกคาราวะเสด็จแม่ เสด็จพ่อ พระวรกายของเสด็จแม่กับเสด็จพ่อทรงแข็งแรงดีหรือไม่” องค์ชายแสดงการคำนับอย่างเต็มพิธี ก้าวย่าง…ยกเสื้อขึ้น…คุกเข่า…คำนับ ทุกสิ่งล้วนดูไหลลื่นเป็นธรรมชาติ มือกับเท้าล้วนเป็นไปตามสิ่งที่กำหนด…หาใช่เด็กน้อยหัวแข็งที่จากเมืองหลวงไปในปีนั้น
ในจดหมายที่พี่ชายเขียนมา เฟิ่งจวินเห็นเขาเอาแต่เรียกโต้วเปาเอ๋อร์ว่า ‘เจ้าเด็กหัวแข็ง’ ทว่าตั้งแต่เห็นเขาเข้าตำหนักมาก็เห็นเพียงบุตรชายที่สง่าผ่าเผย ท่าทางดูเป็นชนชั้นสูง เป็นหนุ่มน้อยใบหน้าคมคาย ดูแล้วคล้ายคลึงกับตนเองตอนเยาว์วัยยิ่งนัก เห็นเช่นนี้แล้วก็ถือว่าน่าพอใจไม่น้อย
“ลุกขึ้นเถิด เสด็จแม่เจ้าทรงอ่านหนังสืออยู่ ไม่มีเวลาออกไปรับเจ้า พ่อเองก็ยุ่งทุกวันจนไม่ได้คิดห่วงเรื่องเจ็บป่วย”
เฟิ่งจวินปิดสมุดการบ้านของฉืออิ๋งแล้ววางพู่กันลง ก่อนจะจ้องมองท่วงท่าที่ยืนขึ้นอย่างสง่างามของโต้วเปาเอ๋อร์ ในใจลองเทียบความต่างของส่วนสูงของบุตรชายกับเมื่อหนึ่งปีครึ่งก่อนหน้า เด็กหนุ่มเติบโตเร็วมาก เพียงพริบตาก็เปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่แล้ว บุตรชายบุตรสาวเติบโตขึ้น บิดามารดาก็ต้องเสื่อมถอย เขาอดรู้สึกว่าตนเองอยู่ห่างจากวัยหนุ่มไปไกลยิ่งกว่าเดิม ถึงกับหลุดปากทอดถอนใจว่า “วันเวลาพุ่งเร็วดุจลูกศร วัยหนุ่มสาวเร่งจากจรแสนอาลัย”
“เสด็จพ่อทรงมาถึงจุดสูงสุด สว่างไสวดุจต้นไม้หยก เปรียบกับคำว่าแก่นั้นยังห่างกันลิบลับ แต่เสด็จพ่อก็อย่าได้ทรงหักโหมงานจนเกินไป” โต้วเปาเอ๋อร์รีบเอ่ยปลอบโยน
บิดายังเศร้าอยู่กับช่วงหนุ่มที่รุ่งโรจน์ ขณะที่ท่านลุงใหญ่กล่าวว่า ‘ผู้รู้ชอบอวดรู้ แต่ชอบเสียใจกับสิ่งที่จากไป เศร้าใจต่อสิ่งที่จะเข้ามา เอาแต่ร่ายกวี’
ท่านลุงรองกล่าวว่า ‘คนเรายิ่งมีรูปโฉมงดงามคมคายเท่าไรยิ่งกลัววันเวลาที่ล่วงผ่านไป เหมือนกับเสด็จพ่อของเจ้า ตั้งแต่อายุสิบกว่าก็เริ่มเป็นห่วงกังวลว่ารูปโฉมและชื่อเสียงของตนเองจะไม่อยู่ยืนยงถึงปัจจุบัน ยังดีที่เสด็จพ่อของโต้วเปาเอ๋อร์เป็นบุรุษที่โดดเด่นเกินพี่น้องคนอื่นของสกุลเจียงแห่งซีจิงในเรื่องของความรู้ความสามารถและท่าทางสง่า เมื่อใดที่เขาเป็นทุกข์ด้วยเรื่องนี้ คนรอบข้างจะไม่รู้ แต่จะเข้าใจได้ชัดเจนจากใบหน้าของเขา ซึ่งทำให้เขารอดพ้นจากการโจมตีของบรรดาพี่น้อง’
“ทางซีจิงเป็นเช่นไรบ้าง ท่านปู่ทวดของเจ้ายังแข็งแรงดีหรือไม่” เฟิ่งจวินได้รับการปลอบประโลมอย่างจริงจังจากโต้วเปาเอ๋อร์ จึงเก็บความเศร้าสลดไว้ชั่วคราว
“ทุกอย่างที่ซีจิงยังดีพ่ะย่ะค่ะ ท่านปู่ทวดยังแข็งแรงและกระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก พาลูกปีนข้ามเขาถงซาน ชื่นชมทิวทัศน์ทั่วซีจิง ท่านปู่ทวดยังบอกว่าท่านเองก็ดูแลเสด็จพ่อมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ทั้งยังบอกว่าลูกคล้ายกับเสด็จพ่อยิ่งนัก พอเห็นลูกก็เหมือนว่ามีเสด็จพ่ออยู่ต่อหน้า”
“ท่านปู่ทวดเจ้าอายุมากแล้ว ในเมื่อพ่อจากเมืองหลวงไปไม่ได้ เจ้ากลับซีจิงไปก็ต้องแสดงความกตัญญูต่อท่านปู่ทวดเจ้าแทนพ่อให้เต็มที่ด้วย อย่าทำให้ท่านปู่ทวดโกรธ” เฟิ่งจวินทอดถอนใจ
“เสด็จพ่อทรงหาเวลาว่างเสด็จกลับซีจิงระยะสั้นสิ ท่านปู่ทวดจะต้องดีใจมากแน่”
“แล้วพ่อจะมีเวลาว่างได้อย่างไร” เฟิ่งจวินมองดูฎีกากองใหญ่ตรงหน้า
“เสด็จพ่อทรงหักโหมงานราชการแผ่นดิน โดยทรงทำแทนทุกสิ่งทุกอย่างจนเกินไป รัชทายาทจึงยากที่จะมารับช่วงต่อได้ มิสู้ทรงแบ่งงานบางส่วนออกไปบ้าง เสด็จพ่อจะได้ไม่ทรงเหน็ดเหนื่อยเกินไป รัชทายาทก็จะได้เรียนรู้งานได้ด้วย”
ในใจโต้วเปาเอ๋อร์พลันรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมแม้แต่น้อย เมื่อเทียบกับฉืออิ๋งที่ใช้ชีวิตอย่างสุขกายสบายใจที่เมืองหลวง ตัวเขากลับอยู่ซีจิงราวกับต้องโทษเพียงคนเดียว แล้วยังต้องต่อสู้กับพวกลูกพี่ลูกน้อง ไม่ว่าแข่งทำการบ้าน แข่งความรู้ แข่งการวางตัว แข่งแทบทุกเรื่อง หากไม่ใช่มีท่านปู่ทวดคอยดูแล แต่ละวันที่เขาอยู่ซีจิงคงนานเหมือนปี
ความที่เป็นปีศาจก่อความวุ่นวายให้แก่ใต้หล้าเหมือนกันแท้ๆ ทว่าขณะที่ฉืออิ๋งอยู่ในสถานที่ที่ผ่อนปรนต่อความเอาแต่ใจมาอย่างต่อเนื่อง โต้วเปาเอ๋อร์กลับต้องโดนไม้แข็งดัดนิสัย เขาจำเป็นต้องเรียนรู้กฎธรรมเนียมและมารยาทของชนชั้นสูง กฎเกณฑ์ทั้งหมดรวมถึงเรื่องของการกินข้าว นอนหลับ ย่างก้าว และพูดจา อีกทั้งยังต้องเรียนความรู้ขั้นสูงที่คนส่วนใหญ่ในรุ่นเดียวกันเกือบทั้งหมดไม่คิดเรียน
ตัวอย่างเช่น ขณะที่คนรุ่นราวคราวเดียวกันล้วนแต่ท่องจำ ‘คัมภีร์หลุนอวี่’ ทว่าอาจารย์ที่สอนเขากลับร้องขอให้เหล่าศิษย์ผู้เป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่วิเคราะห์การแย่งชิงอำนาจที่เป็นฉากหลังในสมัยนั้นจาก ‘คัมภีร์หลุนอวี่’ ผู้เรียนได้เรียนรู้อะไรจากคำสอนเหล่านั้นเพื่อไม่ให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายเหมือนที่ผ่านมา
การศึกษาของตระกูลที่อยู่มาเป็นร้อยปีเทียบกันแล้วย่อมยากกว่าสำนักศึกษาเจาเหวินหลายเท่า เมื่อตอนที่เขาเริ่มเรียนในชั้นเรียนที่ตระกูลจัดให้โต้วเปาเอ๋อร์ฟังที่อาจารย์สอนไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย หากให้ฉืออิ๋งที่อยู่ระดับต้นๆ ของสำนักศึกษาเจาเหวินไปถึงซีจิง เทียบกับลูกหลานของตระกูลใหญ่แล้ว ในเวลาอันสั้นนางต้องถูกลดเป็นเพียงผู้เรียนทั่วไปแน่
ที่จริงเฟิ่งจวินก็คิดให้ฉืออิ๋งมาแบ่งเบาภาระแต่แรก แต่เป่าเปาในสายตาของเขาอย่างไรก็ยังเป็นเป่าเปา เขาไม่อาจทนเห็นบุตรสาวที่รักยิ่งต้องเหน็ดเหนื่อยเพียงนั้นได้ แม้แต่การบ้านเขายังกลัวว่านางจะเหนื่อยเลย ย่อมมิต้องกล่าวถึงการแบ่งเบาภาระของอาณาจักร บุตรสาวเป็นดังของวิเศษในมือ ต้องเอาไว้รักใคร่ในอุ้งมือเท่านั้น ต่อให้นางกลายเป็นรัชทายาท และเป็นจักรพรรดินีของราชสำนักในอนาคต บุตรชายก็ต้องสืบทอดกิจการของที่บ้าน หากไม่ฝึกหนักก็ไม่อาจกลายเป็นคนที่ทำอะไรสำเร็จได้
ยิ่งนึกเฟิ่งจวินก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองลำเอียงอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงเปลี่ยนเรื่องเสีย “มู่จือ ครั้งนี้เจ้ากลับเมืองหลวงมา ทางกรมพิธีการกำลังจัดเตรียมพิธีการแต่งตั้งตำแหน่งเซียงอ๋องให้แก่เจ้า หลายวันนี้ให้ระมัดระวังความคิด คำพูด และการกระทำให้ดี อย่าให้ผู้อื่นครหาเอาได้ หากปล่อยให้ผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ก็ล้วนมีผลกระทบต่อการแต่งตั้งทั้งสิ้น”
มู่จือ…ชื่อของโต้วเปาเอ๋อร์ เจียงมู่จือ…ใช้แซ่ตามบิดา
“ลูกจะจดจำไว้ให้มั่นพ่ะย่ะค่ะ” โต้วเปาเอ๋อร์รู้ซึ้งถึงนิสัยของบิดาดี ว่าบิดานั้นไม่อาจต้านทานต่อเรื่องน่ารักหรือสวยงามได้ เช่นท่านแม่ในอดีต หรือตัวฉืออิ๋ง พี่สาวจะแสดงท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูต่อหน้าบิดาได้ช่ำชองอย่างมาก ทำให้บิดาพึงพอใจยิ่ง เมื่อเอาเขาไปเทียบกับพี่สาวแล้ว ตัวเขาย่อมไม่สามารถจะท้าสู้ได้เลย จึงขอยอมแพ้ดีกว่า
โต้วเปาเอ๋อร์นำขนมวุ้นดอกสาลี่ซึ่งเป็นขนมขื้นชื่อของซีจิงกลับมาด้วย และขนมนี้ก็ทำให้หยวนสี่ตี้รู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของเขาในตอนนี้
“อ้าว ลูกชายของข้า!” หยวนสี่ตี้ยกมือลูบไล้ไปที่ใบหน้าของโต้วเปาเอ๋อร์พลางขมวดคิ้ว “เหตุใดถึงผอมลงเล่า ที่ซีจิงเลี้ยงดูลูกข้าให้อดอยากหรือ ผอมเช่นนี้จะหาเจ้าสาวได้อย่างไรกัน”
จักรพรรดินีช่างให้ค่าความงามอย่างบิดเบือนจากความจริง
“แต่งเจ้าสาว?” เฟิ่งจวินได้ยินเรื่องที่รับไม่ได้จึงเอ่ยคัดค้าน “คนหนุ่มที่อายุยังไม่เต็มยี่สิบไม่อนุญาตให้แต่งเจ้าสาว!”
โต้วเปาเอ๋อร์ลอบนับนิ้วมือ พลางทอดถอนใจเงียบๆ ว่า…ยังมีเวลาดีๆ เหลืออยู่หลายปี
ยามราตรี ฉืออิ๋งก็หยิบตะกร้อไฟที่โต้วเปาเอ๋อร์นำมาให้นางจากซีจิง ก่อนจะเข้าไปในอุทยานหลวงเพื่อลองของเล่นใหม่ ตะกร้อนี้ออกแบบมาได้ฉลาดยิ่ง ได้ยินว่าเป็นของเล่นชนิดใหม่ที่นิยมกันอย่างมากในซีจิง สามารถเตะหรือโยนเล่นก็ได้ โดยที่ตะเกียงข้างในจะไม่ดับ มันจะกลิ้งไปบนพื้นหญ้ายามค่ำคืน ส่องกระทบใบหญ้าทำให้สะท้อนแสงได้หลากสี
เรื่องจะเลือกซื้อของขวัญให้ฉืออิ๋งนั้น โต้วเปาเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายนัก ซีจิงกับเมืองหลวงห่างไกลกันพันหลี่ ความเป็นอยู่ของชาวบ้านย่อมแตกต่างกัน ของเล่นยิ่งไม่เหมือน สามารถเลือกเอาสักชิ้นที่เป็นของเล่นพิเศษที่มีในซีจิงได้ตามใจ เพียงแค่นี้ของเล่นชิ้นนั้นก็สามารถให้ความเพลิดเพลินแก่ฉืออิ๋งได้พักหนึ่ง ดังนั้นโต้วเปาเอ๋อร์จึงนำตะกร้อไฟกลับมาลูกหนึ่งและนิยายที่แพร่หลายในซีจิงอีกเล่มหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ฉืออิ๋งได้พลิกอ่านนิยายไปหลายหน้า ในเรื่องกล่าวถึงบุรุษหนุ่มที่ตระกูลล่มสลายผู้หนึ่ง เขาถูกคู่แค้นทรมานอย่างหนักจนตายไป แล้วก็ฟื้นกลับมาเกิดใหม่ บุรุษหนุ่มตั้งมั่นว่าจะชำระแค้นให้ได้ จู่ๆ สติปัญญาของเขาก็พลันขึ้นไปถึงขีดสูงสุด เขาต่อสู้กับคู่แค้น เดินย่ำไปบนซากศพมากมาย ในที่สุดก็ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของชีวิต
ฉืออิ๋งคล้ายถูกเหน็บแนมอย่างเจ็บแสบ ทว่าตามที่โต้วเปาเอ๋อร์พูดมา นี่ถือเป็นแนวเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปของนิยายที่ตายแล้วเกิดใหม่ซึ่งแพร่หลายอย่างมากในซีจิง ทว่าเรื่องที่ใช้โครงเรื่องตายแล้วเกิดใหม่เช่นนี้ พอตัวละครนั้นเกิดใหม่แล้วสร้างชื่อเสียง ก็จะทำให้คนซื้อที่อ่านมัวแต่ไขว่คว้าหาสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ไล่ตามสิ่งที่ยังไม่มีไปกันหมด ฉืออิ๋งไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้เลย ชีวิตคนจะประสบแต่เรื่องที่ดีเลิศจนไปถึงจุดสูงสุดอย่างนั้นได้หรือ ไปถึงจุดสูงสุดแล้วก็ต้องมีคนชั่วคิดร้ายต่อตนเองอีกสิ
ดังนั้นฉืออิ๋งจึงโยนนิยายเรื่องนั้นทิ้งไป นางอุ้มของเล่นวิ่งเข้าไปในอุทยานหลวง เนื่องจากโต้วเปาเอ๋อร์ถูกบิดารั้งตัวไว้เพื่อตรวจสอบความรู้ ฉืออิ๋งจึงต้องมาเล่นเองคนเดียว ยามที่เตะตะกร้อเล่น ฉืออิ๋งก็นึกไปว่าหากตนเองตายแล้วเกิดใหม่ จะต้องเที่ยวเล่นอย่างเพลิดเพลินให้ได้เป็นสองเท่า เพราะว่าทุกวันนี้นางยังเล่นสนุกได้ไม่เต็มอิ่มเลย
ท้องฟ้ามืด ในอุทยานหลวงยามค่ำแทบหาเงาคนไม่ได้ ฉืออิ๋งเล่นสนุกอย่างมีความสุข นางวิ่งตามตะกร้อไปเรื่อยๆ ยิ่งนานก็ยิ่งไกล ตะกร้อไฟกลิ้งไปบนพื้นหญ้าจนออกไปไกลจากจุดที่เริ่มเล่นในทีแรกอย่างมาก ก่อนหายเข้าไปในกลุ่มต้นไม้ ฉืออิ๋งตามเข้าไป ฉับพลันก็ได้ยินเสียงดังขึ้น
“เจ้าหนุ่มน้อยหน้าตาน่าเอ็นดู ยั่วยวนเสียจนไฟในกายข้าลุกโชนแล้ว เช่นนั้นก็แสดงท่าทางชายบำเรอของเจ้าออกมาเถิด หากปรนนิบัติถูกใจ ข้าจะตกรางวัลให้! ” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งกำลังหอบหายใจหนัก
“ชายบำเรอ? น่าสนุกไม่น้อย แต่ต้องทำอย่างไรบ้างนั้น นายท่านคงต้องเป็นผู้สอนข้าแล้ว” น้ำเสียงอ่อนหวานของบุรุษหนุ่มกล่าวตอบอย่างยั่วเย้า
ฉืออิ๋งย่อตัวลงที่หลังต้นไม้พลางแอบมอง ยามค่ำในอุทยานหลวงกลับมีคนมาเกี้ยวพากันเช่นนี้ ใช่ดูอุกอาจเกินไปหรือไม่ ไม่รู้ว่าทั้งสองใช่พูดจาผิดหูแล้วจะตีกันหรือเปล่า เหตุใดพวกเขาจึงเหมือนพร้อมกระชากอาภรณ์เช่นนี้ ข้าสมควรออกไปห้ามศึกนี้ดีหรือไม่
ฉืออิ๋งโผล่ใบหน้าออกมา นางเห็นบุรุษสูงใหญ่ผู้หนึ่งยกบุรุษหนุ่มรูปร่างอ้อนแอ้นพิงหลังกับต้นไม้ใหญ่ ตั้งท่าจะฉีกอาภรณ์ท่อนล่างของบุรุษหนุ่มทิ้งไป ยามที่ไฟราคะกำลังลุกโหมรุนแรงอยู่นั้น จู่ๆ เท้าเขาก็เหยียบลื่นไถล “โอ๊ย! ใครเอากงล้อไฟนี่มาไว้ที่เท้าข้า ข้าไม่ใช่เทพเหนอจานะ!”
บุรุษหนุ่มที่ถูกยกติดกับต้นไม้เมื่อครู่นี้หันใบหน้าไปยังทิศทางที่มาของ ‘กงล้อไฟ’ ก่อนจะชี้นิ้วไปยังฉืออิ๋งซึ่งนั่งยองอยู่หลังพุ่มไม้ใกล้ๆ นี้ ใบหน้านางมีแต่ความงุนงง “นายท่าน ตรงนั้นมีสตรีกำลังมองพวกเราอยู่”
“ใครกัน?!” บุรุษผู้นั้นผละจากบุรุษหนุ่ม เขาก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็มาถึงต้นไม้ที่ฉืออิ๋งหลบอยู่ มือหนึ่งก็หิ้วคอเสื้อนางขึ้นมา อีกมือก็หยิบตะกร้อไฟบนพื้นขึ้นมา พลางยกส่องไปที่ใบหน้าของนาง ใบหน้าของบุรุษผู้นั้นพลันเปลี่ยนไปทันใด “ท่าน…ท่านคงไม่ใช่…”
จังหวะที่บุรุษผู้นั้นตกใจทำอะไรไม่ถูกก็เผลอปล่อยมือจากฉืออิ๋ง สองเท้าของนางพลันกระทบลงพื้น นางจึงยื่นสองมือไปรับตะกร้อไฟมาจากมือของบุรุษผู้นั้น “ขอบใจ ลาก่อน” ฉืออิ๋งหันตัวจะผละจากไป
“นางเป็นใครกัน” บุรุษหนุ่มเอ่ยถาม
“ระ…รัชทายาท…” บุรุษผู้นั้นเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“เจ้าโง่ แล้วเจ้าจะยังให้นางจากไปอีกหรือ ปล่อยนางไปเช่นนี้ เจ้าได้ตายแน่!”
“นี่…นี่กล่าวได้อย่างไร” บุรุษผู้อยู่ในภวังค์พลันตระหนก
“เจ้าเป็นถึงองครักษ์วังหลวง กลับล่อลวงคนของเฟิ่งจวิน เรื่องนี้ยังถูกรัชทายาทพบเห็นเข้าอีก เจ้ายังจะมีทางรอดหรือ!”
ฉืออิ๋งหันร่างกลับมา “อย่าไปฟังที่เขาพูด เขาพูดจาเหลวไหล เสด็จพ่อข้าไหนเลยจะมีชายบำเรอได้ อีกอย่างข้ากับเจ้าก็ต้องชะตากัน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน ดังนั้นข้าจะไม่เปิดโปงเจ้า ข้าจะกลับไปนอนให้สบาย ลาก่อน!”
เห็นชัดว่าบุรุษผู้เป็นองครักษ์หลวงหลงเชื่อคำของบุรุษหนุ่ม เพียงก้าวไม่กี่ก้าวก็ไล่ตามฉืออิ๋งทัน แล้วหิ้วตัวนางกลับมาอีกครั้งพลางเอ่ยถามบุรุษหนุ่มเสียงสั่น “จะ…จะจัดการนางเช่นไรดี เฟิ่งจวินทรงรักทะนุถนอมนางยิ่ง พวกเราจะต้องโทษหรือไม่”
“เจ้าโง่!” บุรุษหนุ่มสวมอาภรณ์ให้เรียบร้อยแล้วเดินมาหา ย่างก้าวล้วนอ้อนแอ้น ใบหน้างดงาม คิ้วตาเปี่ยมด้วยความยั่วยวนมากเสน่ห์ เขายกมือเกลี้ยงเกลาชี้ไปที่สระน้ำที่อยู่ท่ามกลางหมู่ต้นไม้ “รัชทายาทเดินเที่ยวยามค่ำคืนจนไม่ระวังพลัดตกไปในน้ำ เรื่องนี้ไม่ถือว่าเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา” เพื่อไม่ประมาท บุรุษหนุ่มจึงหรี่ตามองฉืออิ๋ง “ท่านว่ายน้ำเป็นหรือไม่”
ฉืออิ๋งผงกศีรษะ “ต้องว่ายเป็นสิ ตัวข้าเป็นถึงรัชทายาท แน่นอนว่าต้องป้องกันไว้เผื่อถูกคนผลักตกน้ำ จะได้ช่วยเหลือตนเองได้ นี่เป็นความฉลาดของพวกข้าคนในราชวงศ์ ยิ่งกว่านั้น ข้ายังว่ายน้ำได้เก่งมากด้วย!”
บุรุษหนุ่มนิ่งงันไปครู่หนึ่ง
ทว่าบุรุษผู้เป็นองครักษ์หลวงกลับหักล้างคำกล่าวของฉืออิ๋ง “นางโกหก! หากนางว่ายน้ำจะต้องกินน้ำเข้าไปแน่ เฟิ่งจวินรักนางมากเกิน ไม่อาจยอมให้นางฝึกว่ายแน่!”
บุรุษหนุ่มกล่าวอย่างโล่งอก “แล้วเจ้าจะรออะไรอีก”
องครักษ์หลวงหิ้วฉืออิ๋งเดินไปที่ข้างสระน้ำ
ฉืออิ๋งร้องไห้อย่างหนัก “เจ้าคิดดีๆ นะ เสด็จพ่อของข้าทรงเป็นคนฉลาด เคยคลี่คลายคดีแปลกๆ มามากมาย แผนร้ายที่คนอย่างเจ้าสร้างขึ้นให้เหมือนตกน้ำไม่อาจรอดพ้นสายตาที่ฉลาดเฉลียวของเฟิ่งจวินไปได้แน่ เมื่อทรงตรวจสอบได้ว่าเจ้าคิดร้ายต่อข้า โทษของเจ้าคือตัดหัวทั้งตระกูล เจ้าไม่รู้สึกเสียดายชีวิตของตนเองหรือ เจ้าไม่รู้สึกเสียดายชีวิตคนในครอบครัวเจ้าหรือ รีบหยุดการกระทำของเจ้าลงเสีย วางมีดสังหารนี้ลงแล้วกลับตัวกลับใจเถิด ฮือๆๆ”
องครักษ์หลวงผู้นั้นเดินมาถึงข้างสระน้ำแล้วก็เกิดลังเลใจขึ้นมาอีก ฉืออิ๋งกอดแขนของเขาไว้ น้ำตาอาบทั่วใบหน้า หากข้าถูกปองร้ายเช่นนี้ จะได้เกิดใหม่หรือไม่ ข้าอายุยังน้อย ยังเที่ยวเล่นไม่พอเลย กลับต้องมาตายเสียแล้ว! ตัวเอกในนิยายล้วนแต่เปล่งประกายของตัวเอก แล้วประกายตัวเอกของข้าไปอยู่ที่ใดแล้วเล่า หรือว่าข้ามิใช่ตัวเอกตั้งแต่แรก นี่ช่างเป็นการค้นพบที่น่าเศร้าใจยิ่งนัก
“หากยังชักช้าจนมีคนมาพบเห็นเข้า เจ้าไม่ตายก็ต้องตาย ตายอย่างไม่ต้องสงสัย” บุรุษหนุ่มกอดอกมองด้วยสายตาเหยียดหยาม
องครักษ์หลวงผู้นั้นกัดฟันแน่น ก่อนตัดใจคลายมือปล่อยให้ฉืออิ๋งตกลงไปในน้ำ
“ช่วยข้าด้วย!” ฉืออิ๋งร้องขอความช่วยเหลือได้เพียงสั้นๆ
สิ้นเสียงตู้มดังขึ้น ฉืออิ๋งก็ตกลงในสระน้ำ นางดิ้นรนเพียงไม่กี่ครั้งก็จมลงสู่เบื้องล่าง คลื่นระลอกใหญ่พลันขยายออกไปเป็นวงๆ
จู่ๆ ใจของไป๋สิงเจี่ยนก็สะท้านขึ้นมา เขาเดินเข้าไปในเขตตำหนักในยามค่ำคืนด้วยความไม่สบายใจยิ่ง
เขาได้รับข่าวลับมา องค์ชายทำเรื่องไม่ดีงามนักระหว่างทางที่กลับเมืองหลวง ซีจิงกับเมืองหลวงห่างกันเป็นพันหลี่ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ใส่ใจเรื่องการกระทำของราชสำนัก ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงอาณาจักร เขาไม่อาจอยู่เฉยได้ ดังนั้นจึงเข้าวังมาแม้จะเป็นเวลาค่ำแล้ว ต้องการเข้าเฝ้าองค์ชาย
ด้วยชื่อเสียงของหัวหน้าสำนักหลันไถเป็นที่น่าหวาดหวั่น ไม่ว่าเขาเดินไปทางใด คนในวังจะหลีกหนีให้ทั้งสิ้น ดังนั้นเดินมาครู่ใหญ่แล้วจึงก็ไม่อาจหาคนไปแจ้งแก่องค์ชายได้เสียที เขามีโอกาสเข้าวังไม่มาก และสถานที่ที่เข้าเฝ้าบ่อยครั้งก็เป็นที่ตำหนักยงหวา สถานที่พักขององค์ชายองค์หญิงเขาแทบไม่เคยเหยียบย่างเข้ามา
เขาใช้ไม้เท้าค้ำเดินช้าๆ ยิ่งเดินก็ยิ่งเงียบวังเวง กระทั่งมาถึงส่วนหน้าของวังหลวง เข้ามาสู่เขตของอุทยานหลวงแล้ว เขาจึงเพิ่งรู้ว่าตนเองน่าจะมาผิดทาง
ก้าวอยู่บนทางเดิน มองเห็นเพียงแสงอ่อนๆ ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืด โดยที่มาของแสงนั้นอยู่ตรงสระน้ำเบื้องหน้า ฉับพลันความรู้สึกหนาวของต้นฤดูใบไม้ผลิก็แผ่มาอีก เขาหนาวสะท้าน รีบหมุนตัวเดินกลับ
ทว่าตอนที่จะก้าวออกมาจากทางเดิน เพื่อหลบเลี่ยงไอเย็นของสระน้ำในคืนอันหนาวเหน็บนี้ ฉับพลันได้ยินเสียงร้องไห้บางเบาดังขึ้นในยามวิกาล แม้เสียงนั้นจะสั้น แต่ก็คล้ายเป็นเสียงที่เคยผ่านหูมา ช่างคล้ายกับเสียงร้องไห้ที่หลันไถในครานั้นที่ทำให้ผู้คนถึงกับหวาดกลัว
ข้าต้องฟังผิดไปแน่
ไป๋สิงเจี่ยนก้าวเท้าไปตามเส้นทางเดิมเพื่อจะเดินกลับต่อไป แต่จู่ๆ เขาก็เกิดสังหรณ์ใจขึ้นมา จึงหันร่างกลับไป แล้วมองไปยังผืนน้ำในสระ ผิวน้ำที่เงียบสงบคล้ายมีเสียงร้องไห้แว่วมาจากน้ำ เขาหันไม้เท้ากลับ แล้วมุ่งหน้าไปทางสระน้ำ เสื้อของเขาปลิวพลิ้วต้านกับสายลมเย็น เขาก้าวเท้าเร็วขึ้น มองไปจนสุดสายตา ก็เห็นว่าที่ฝั่งตรงข้ามของสระน้ำมีคนสองคนยืนอยู่ ใต้เงาที่ทอดยาวไปในสระของสองคนนั้นเป็นจุดที่มาของวงคลื่น
สายตาของเขาหยุดนิ่งไม่ห่างจากข้างสระน้ำ มีตะกร้อไฟลูกหนึ่งตกอยู่
‘องค์ชายนำของเล่นจากซีจิงมาให้องค์หญิง เป็นตะกร้อไฟลูกหนึ่ง กับนิยายหนึ่งเล่ม’ เมื่อครู่ซูลิ่งสื่อเพิ่งเอ่ยรายงานต่อเขา
‘องค์หญิงต้องรักจนไม่ปล่อยมือแน่’ ไป๋สิงเจี่ยนเอ่ยวาจาเหน็บแนม เมื่อได้ยินเช่นนั้น
ของเล่นอันเป็นที่รัก ไม่ควรมาหล่นอยู่ข้างสระน้ำเช่นนี้กระมัง
ไป๋สิงเจี่ยนก้าวเท้าไปยังจุดกำเนิดของวงคลื่นอย่างรวดเร็ว ในคืนที่หนาวเย็นเช่นนี้ หน้าผากเขากลับมีเหงื่อท่วม รอเมื่อโยนไม้เท้าทิ้ง กระโดดลงน้ำ ในสมองของเขาก็เหลือเพียงความว่างเปล่า อาศัยสัญชาตญาณและสายตาที่เห็นได้รางๆ แล้ว เขาก็ไปถึงตัวฉืออิ๋งได้ มือหนึ่งอุ้มนางไว้ ก่อนจะพานางโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ
ราวกับได้ว่ายน้ำมาตลอดชีวิต ไป๋สิงเจี่ยนอุ้มฉืออิ๋งขึ้นฝั่งด้วยความเหน็ดเหนื่อยยิ่ง กระทั่งจะลุกขึ้นยืนยังยากลำบาก ทั้งสองพลันเปียกปอนไปทั้งร่าง แต่ในช่วงความเป็นความตายนี้ไม่อาจคำนึงถึงอะไรมาก เขาหงายร่างของฉืออิ๋ง แล้วกดฝ่ามือซ้ำๆ ไปที่หน้าอกของนางเพื่อให้นางสำลักน้ำออกมา ทว่าฉืออิ๋งไม่มีอาการตอบสนองใดๆ
ฉับพลันก็มีประกายแสงพุ่งตรงมา ไป๋สิงเจี่ยนมือหนึ่งอุ้มฉืออิ๋ง มืออีกข้างก็จับไม้เท้า เพียงพลิกฝ่ามือก็ฟาดมีดสั้นจนกระเด็นออกไปได้แล้ว ก่อนจะวาดไม้เท้าตีไปยังคนที่ลอบทำร้ายจนต้องล่าถอยออกไป
“หากเจ้าเชือดคอตนเองเสียแต่ตอนนี้ อาจรอดพ้นจากการทนรับความเจ็บปวดตามเนื้อตัว” ไป๋สิงเจี่ยนมองตรงไปที่ฉืออิ๋ง ไม่ได้หันหน้าไปยังคนที่ลอบทำร้าย
“ไท่สื่อ?” เมื่อองครักษ์หลวงมองชัดว่าใครเป็นคนช่วยฉืออิ๋งแล้ว เขาก็พลันอกสั่นขวัญผวาไปทันที และที่น่าตระหนกยิ่งกว่านั้นก็คือ…เจ้าบุรุษหนุ่มใจกล้าเทียมฟ้าผู้นี้ถึงกับกล้าคิดลงมือสังหาร
บุรุษหนุ่มกำฝ่ามือตนเองที่ถูกตีจนเจ็บ พลางจ้องไปที่บุรุษผู้นั้นที่ทางหนึ่งคอยระแวดระวังป้องกันตัว อีกทางหนึ่งก็พยายามช่วยเหลือให้รัชทายาทฟื้น
“เชือดคอตนเอง? ขออภัยด้วยที่ข้าไม่เคยมีความคิดนี้มาก่อน แต่ในเมื่อเจ้าร้อนใจเรื่องนางมากพียงนี้ มิสู้ตายไปพร้อมกันเสียเลย ข้าจะช่วยพวกเจ้าเอง” บุรุษหนุ่มมองออกว่าที่ใช้ตีตนเมื่อครู่นี้ก็คือไม้เท้า เจ้าตัววุ่นวายนี้ขอเพียงขาดไม้เท้าไปก็คงเดินไม่ได้แล้ว ไม่เห็นต้องเป็นกังวลสักนิด
“เขาคือไท่สื่อ เป็นหัวหน้าสำนักหลันไถเชียวนะ ถือเป็นขุนนางใหญ่!” องครักษ์หลวงพลันรู้สึกว่าคืนนี้ช่างโชคร้ายยิ่งนัก เขาก็แค่อยากหาความสำราญกับบุรุษหนุ่มสักคน แล้วเหตุใดต้องให้องครักษ์ตัวเล็กๆ เช่นเขามาเจอกับคนที่ไม่มีใครกล้ามีเรื่องด้วยเช่นนี้
“จะกลัวอะไรกับขุนนางใหญ่เล่า ในเมื่อแม้แต่รัชทายาทเจ้าก็โยนลงในสระมาแล้ว ยังจะไปสนใจว่าเพิ่มอีกคนลดอีกคนด้วยเหตุใด ก็แค่ทำให้เหมือนว่าตายเพราะรักสิ” บุรุษหนุ่มพลันโยนข้อหาไปให้องครักษ์หลวง ก่อนเอ่ยยุแหย่อย่างเหี้ยมโหด
“แต่ว่า…แต่ว่าการให้พวกเขาตายเพราะรักเช่นนี้ คนที่ฉลาดสักหน่อยย่อมไม่เชื่อแน่!”
“เจ้าโง่! ตายเพราะรักนั้นเป็นเพียงวิธีพูดให้ฟังดูดี อาจเป็นเพราะหัวหน้าสำนักหลันไถพบรัชทายาทในยามค่ำคืน ใจจึงไม่อยู่กับร่องกับรอยเท่าไร เมื่อรัชทายาทไม่ยินยอม ตอนที่ปลุกปล้ำ ทั้งสองจึงพลัดตกลงไปในสระ…”
ไป๋สิงเจี่ยนพยายามกดย้ำๆ บนหน้าอกของฉืออิ๋งอยู่ตลอด สุดท้ายฉืออิ๋งที่ฟุบอยู่ข้างกายเขาก็ส่งเสียงเอิ้กครั้งหนึ่ง ฉับพลันก็มีน้ำพุ่งออกจากปาก
หลังจากเงียบงันไปครู่หนึ่ง บุรุษหนุ่มผู้นั้นก็ไม่กล้าลงมืออีกครั้ง จึงได้แต่ใช้การยุแหย่องครักษ์หลวงที่ดูขลาดกลัว
องครักษ์หลวงฟังแล้วก็รู้สึกอับจนหมดหนทาง ยามนี้เขาค่อยๆ มีใจคิดฆ่าไป๋สิงเจี่ยนแล้ว
หากว่ากันด้วยเรื่องของกำลัง ไป๋สิงเจี่ยนกับฉืออิ๋งย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ขององครักษ์ อีกอย่างฉืออิ๋งยังคงสลบไสลอยู่ จะฟื้นขึ้นมาตอนไหนก็ยังไม่รู้เลย ในยามนี้ก็ไม่รั้งรอต่อไปได้อีก
องครักษ์หลวงถูกหว่านล้อมให้คล้อยตามแล้ว เขาจึงเริ่มขยับเท้าก้าวขึ้นมา
หัวหน้าสำนักหลันไถในสภาพเปียกปอนนั่งอยู่ข้างสระ โดยที่มือหนึ่งโอบฉืออิ๋งไว้ รูปร่างของเขายิ่งดูผอมบาง น้ำหยดจากเส้นผมของเขา
เจ้าคนพิการที่แม้แต่ยืนยังยืนไม่ได้ผู้นี้ ขุนนางใหญ่แถวหน้าก็เท่านี้เอง องครักษ์หลวงมองด้วยสายตาเหยียดหยามแล้ว ความเชื่อมั่นพลันเพิ่มขึ้น เขาก้าวเท้าตรงไปหา เตรียมจะผลักคนทั้งสองลงไปในสระ
“เถียนเหลียง” ไป๋สิงเจี่ยนก้มหน้าพลางเอ่ยเสียงออกมา
“หืม?” องครักษ์พลันหยุดลง เขาเผลอตอบรับ
“เจ้าอายุสิบหกเข้าวังหลวง จิตใจสัตย์ซื่อ วรยุทธ์เหนือใคร สามปีได้เลื่อนเป็นผู้บังคับกองพันขุนนางลำดับหลักขั้นสี่ ได้รับคำชมจากฝ่าบาท หากไม่มีเหตุผิดคาดไปจากนี้ ไม่นานเจ้าก็น่าจะได้เลื่อนเป็นขั้นสอง ได้กลับบ้านเกิดอย่างรุ่งโรจน์ นำพาชื่อเสียงไปให้บรรพชน ที่บ้านเจ้ามีมารดาอายุแปดสิบ นางมีบุญคุณที่เลี้ยงดูเจ้ามาอย่างยากลำบาก เจ้าก็สู้มุ่งหวังอยากให้นางได้บรรดาศักดิ์นายหญิงตราตั้ง จะได้ไม่มีคนในตระกูลกล้ารังแกอีก” ไป๋สิงเจี่ยนเล่าออกมาอย่างช้าๆ ซึ่งเป็นจริงทุกคำ ทุกตัวอักษรล้วนกระแทกลงที่ใจเถียนเหลียง
ในค่ำคืนที่แปลกประหลาดนี้ ผลงานกว่าครึ่งชีวิตและความมุ่งหวังหนึ่งเดียวขององครักษ์เถียนเหลียง พลันถูกคนเล่าเป็นฉากๆ ออกมา แม่นยำยิ่ง ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นอย่างที่ขุนนางผู้นี้เห็นมาเองกับตา มารดาเลี้ยงดูเขามาคนเดียว กว่าเขาจะฝ่าฟันจนพบกับความสำเร็จ ไม่รู้ว่าต้องถูกรังแกจากคนในหมู่บ้านมามากเท่าไร วันที่เขาคิดตอบโต้คือวันที่เขาจะกลับมาอย่างรุ่งโรจน์ ทำให้คนในหมู่บ้านต้องไว้หน้าพวกเขาสองคน ให้ประมุขตระกูลผู้เย่อหยิ่งจองหองต้องมาคุกเข่าคารวะที่เท้ามารดา
“เดิมทีทุกอย่างล้วนดูราบรื่น ทว่าเจ้ากลับถูกสตรีที่ชื่นชอบปฏิเสธต่อหน้า ทำให้เกลียดชังสตรีนับแต่นั้นมา แล้วเปลี่ยนไปชอบเด็กหนุ่มแทน หากมารดาเจ้ารู้เรื่องนี้เข้า ไม่รู้ว่าจะเสียใจเพียงใด” ไป๋สิงเจี่ยนกล่าวถึงบาดแผลทางใจของเถียนเหลียงต่อ
เมื่อนึกถึงมารดาอายุแปดสิบปีของตนเองแล้ว เถียนเหลียงก็ยกมือปิดใบหน้าด้วยความเสียใจ เขาทรุดตัวลงต่อหน้าไป๋สิงเจี่ยนราวกับเด็กที่รู้สึกผิด
ทันทีที่บุรุษหนุ่มเห็นฉากนี้เข้า ในใจพลันตระหนก ก่อนมองไป๋สิงเจี่ยนที่ร่างกายมีปัญหาทว่ายังดูสุขุมยิ่ง หรือข้ามาแหย่คนที่ไม่ควรแหย่จริงๆ เขารู้เรื่องราวขององครักษ์หลวงทุกเรื่อง แล้วเขาจะรู้เรื่องของข้า…
ไป๋สิงเจี่ยนเอ่ยปากอีกครั้ง
เรื่องที่บุรุษหนุ่มเป็นกังวลก็เกิดขึ้นจริง…
“ในเมื่อความชอบนี้เปลี่ยนยาก หากทำเรื่องสำราญใจกันอย่างลับๆ ก็พอจะยกโทษได้หรอก แต่เจ้าไม่ควรมาทำเรื่องที่ไร้ยางอายในวังเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้คือใคร” ไป๋สิงเจี่ยนเหมือนกำลังสอนคนรุ่นหลังที่กระทำความผิดมา เขาจึงจะเปิดเผยความจริง
“เขา…เขาเป็นใครกัน” เถียนเหลียงเงยหน้าที่เปื้อนน้ำตาขึ้นมอง ราวกับมองเห็นไป๋สิงเจี่ยนเป็นผู้ช่วยชีวิตเขา
‘บุรุษหนุ่ม’ ค่อยๆ ถอยหลังไปทีละก้าว มือกำแน่น รู้สึกหนักใจยิ่งนัก จบกัน ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว!
“นางเป็นเครื่องบรรณาการที่ผู้ตรวจการมณฑลอวิ๋นโจวถวายให้องค์ชาย องค์หญิงแห่งแคว้นเหยา…เหยาจี”
ไป๋สิงเจี่ยนไม่แม้แต่จะมองเหยาจีที่ผู้คนเล่าลือกันว่าสวยงามหยาดเยิ้มราวเทพธิดา
เถียนเหลียงราวกับถูกสายฟ้าฟาดลงมา เขาทรุดนั่งลงกับพื้น “นาง…นางแต่งกายเป็นบุรุษ ที่จริงกลับเป็นสตรี? ในเมื่อนางเป็นถึงองค์หญิงของแคว้นเหยา เหตุใดถึงยินยอมพร้อมใจให้กับองครักษ์หลวงเช่นข้าเล่า”
“ที่แต่งกายเป็นบุรุษก็เพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจ นางทำตัวเป็นผู้ติดตาม คอยอยู่ข้างกายองค์ชายนั้น ก็เป็นเพราะองค์ชายแอบพามายังเมืองหลวงอย่างลับๆ ไม่กล้าให้ฝ่าบาทและเฟิ่งจวินทราบเรื่องเข้า แต่เจ้ากลับเห็นเขาเป็นชายบำเรอไปเสียได้” ไป๋สิงเจี่ยนช่วยคลายความสงสัยให้เถียนเหลียง “เรื่องที่ว่าเหตุใดนางจึงยอมใกล้ชิดเจ้า นอกจากอยากเล่นสนุกแปลกๆ แล้ว ข้าคิดว่าคงไม่มีเหตุผลอื่น ผลักองค์หญิงลงน้ำจะต้องเป็นความคิดของนางแน่ เพราะนางกลัวเรื่องราวระหว่างนางกับเจ้าจะถูกเปิดเผย ต่อให้องค์ชายทราบเรื่องเข้า แล้วท้ายสุดปลงชีวิตองค์หญิงสำเร็จจริง อย่างไรก็ต้องตรวจสอบเรื่องราวอยู่ดี ถึงอย่างนั้นเบาะแสก็สาวไปถึงตัวเจ้าเพียงผู้เดียว สงสารเจ้าที่ถูกปิดหูปิดตาจนไม่รู้อะไรแล้ว ยังต้องมาขายชีวิตให้นางอีก”
เถียนเหลียงถึงกับตาสว่าง เขาเสียใจที่ตอนแรกเกือบพลาดลงมือไป “ไท่สื่อ เป็นนางมารร้ายนั่นที่ยั่วยวนข้า ข้าไม่ได้คิดทำร้ายองค์หญิงเลย ท่านต้องช่วยข้านะ!”
เหยาจีที่แต่งเป็นบุรุษยิ่งเสียใจมากกว่า แค้นใจนักที่เมื่อครู่มีดสั้นพลาดเป้าไป “เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงรู้ความเป็นมาของข้าได้อย่างชัดเจนเช่นนี้ หรือเจ้าแอบชอบข้า ที่จริง…เจ้าก็ปรารถนาในความงามของข้ารึ!”
“ตามที่เล่าลือมานั้น งามที่สุดในแคว้นเหยาไม่มีผู้ใดเกินเหยาจี ร้ายที่สุดในแคว้นเหยาไม่มีผู้ใดเกินเหยาจี เป็นเพราะแคว้นเหยาไม่มีผู้ใดกล้าตอแยเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงลอบข้ามพรมแดนมา มุ่งหวังหว่านเสน่ห์ให้องค์ชายแห่งอาณาจักรต้าอิ่น” แหล่งข่าวของหัวหน้าสำนักหลันไถนั้น เกรงว่าแม้แต่สำนักตรวจการก็ยังต้องอับอาย คนที่มีความเป็นมาไม่ชัดแจ้ง ดูลึกลับถึงเพียงนี้ ทว่าในสายตาของหัวหน้าสำนักหลันไถกลับล้วนเห็นได้อย่างชัดเจนยิ่ง
เหยาจียังคงไม่ยอมจำนน “ลอบข้ามพรมแดนที่ไหนกัน! ข้าเพียงรักในการท่องเที่ยว อยากจะท่องเที่ยวแบบประหยัดเงินไม่ได้เลยหรือ คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าบุรุษคนต้าอิ่นล้วนแต่เป็นพวกเจ้าเล่ห์ ผู้ตรวจการมณฑลอวิ๋นโจวรับรองข้าด้วยอาหารเลิศรส ด้วยรู้ว่าข้าคือเหยาจี จึงใช้ข้าเป็นบันไดปีนขึ้นตำแหน่งสูง ถวายข้าให้กับองค์ชายที่เดินทางผ่านมาที่อวิ๋นโจว เจ้าที่เป็นถึงไท่สื่อ แยกออกหรือไม่ว่าใครกันที่เป็นคนถูกทำร้ายกับคนให้ร้าย?”
ไป๋สิงเจี่ยนคร้านจะเปลืองน้ำลายกับเหยาจีอีก “เถียนเหลียง จับตัวเหยาจี ทำคุณเพื่อลดโทษ”
“คนที่ปลงชีวิตรัชทายาทก็เป็นเจ้านะ ไม่ใช่ข้าเสียหน่อย ฝ่าบาทไม่ทรงยกโทษให้เจ้าแน่ อย่าฟังเจ้าคนพิการผู้นี้อยู่เลย เขาเพียงใช้แผนหลบหนี” เหยาจีเตรียมหาทางหลบหนี
ทางด้านจิตใจ เถียนเหลียงได้ถูกไป๋สิงเจี่ยนชักจูงกลับมาแล้ว ถึงจุดนี้เขาย่อมไม่คิดเชื่อเหยาจีอีกเป็นแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหยาจีผู้นี้ยังเป็นสตรี สตรีที่หลอกลวงข้าล้วนแต่น่าเคียดแค้น! เมื่อครู่นี้ข้ายังเกือบเสียทีไปยุ่งกับสตรี เพียงคิดขึ้นมาเถียนเหลียงก็รู้สึกรังเกียจ จิตใจถูกทำร้ายอย่างรุนแรง
เหยาจีที่เพิ่งหันหลังวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกเถียนเหลียงตามมาทัน เขาต่อยไปหนึ่งหมัด นางถึงกับสลบเหมือดไปทันที
โต้วเปาเอ๋อร์คุกเข่าอยู่หน้าตำหนักยงหวาได้หนึ่งชั่วยามแล้ว ทว่ากลับไม่มีผู้ใดคิดปลอบใจเขาสักคน…
หยวนสี่ตี้และเฟิ่งจวินล้วนแต่ล้อมอยู่ข้างเตียงของฉืออิ๋ง หมอหลวงมีอยู่กี่คนก็เรียกมาที่นี่ทั้งหมด พวกนางกำนัลที่วิ่งเข้าออกคอยเติมน้ำต้มยาก็ต้องเดินผ่านหน้าตำหนักทั้งสิ้น ทุกคนต้องเดินผ่านโต้วเปาเอ๋อร์
เหยาจีถูกส่งตัวเข้าคุก ส่วนองครักษ์หลวงก็ถูกคุมตัวไว้เพื่อรอสอบสวน ไป๋สิงเจี่ยนมีความชอบให้พักอยู่ในตำหนักยงหวาได้ ทั้งยังส่งหมอหลวงมาช่วยตรวจอาการให้เขา
โต้วเปาเอ๋อร์ขยับหัวเข่าที่ทั้งปวดทั้งเมื่อยไปมา ในใจเขาพลันรู้สึกระทมทุกข์ เดิมทีวันเวลาที่ซีจิงเขาก็พบเจอความยากลำบากไม่น้อย แต่ก็ไม่เคยต้องทนรับการปฏิบัติเยี่ยงนี้มาก่อน ตอนที่เดินทางผ่านอวิ๋นโจว ในคราแรกที่เจอหน้าเหยาจี เขาไม่รู้สึกเสียใจกับการกระทำของตนเองเลย ทว่ายามนี้เขาเสียใจที่พาเหยาจีกลับวังแล้ว รู้ทั้งรู้ว่านางเป็นคนที่อันตราย หากบิดามารดาพบเห็นนางเข้า เขาเป็นได้เจ็บตัวแน่ แต่ใจเขากลับคิดแต่ยอมเสี่ยงพานางกลับมาให้ได้เท่านั้น เขาย่อมคิดไม่ถึงว่านางจะใจกล้าอุกอาจเช่นนี้ ยุ่งเกี่ยวกับองครักษ์หลวงไม่พอ ยังถึงขั้นปลงชีวิตรัชทายาท แค่โต้วเปาเอ๋อร์คิดถึงสองเรื่องนี้ก็ไม่อยากทนอยู่ต่อแล้ว
เหยาจีหนอเหยาจี เจ้าเป็นเทพธิดาหรือนางมารกันแน่
โต้วเปาเอ๋อร์คว้าชายกระโปรงของนางกำนัลที่เดินผ่านมาเอาไว้ “ถวนถวนฟื้นหรือยัง? พวกเจ้าพูดกับข้าบ้างได้หรือไม่”
นางกำนัลตกใจกลัว ทว่าเพียงยิ้มโดยไม่คิดเปิดปาก ทั้งยังส่ายหน้าระรัว
โต้วเปาเอ๋อร์ไม่ยอมถอดใจง่ายๆ “ที่เจ้าส่ายหน้าเช่นนี้หมายความว่าถวนถวนไม่ฟื้นหรือไม่อาจพูดกับข้าได้?”
นางกำนัลตกใจจนแทบจะร้องไห้ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมพูดอะไร
โต้วเปาเอ๋อร์พลันรู้สึกถึงกลิ่นอายอันตราย เขาจึงรีบปล่อยมือ คุกเข่าอย่างเรียบร้อย นางกำนัลจึงรีบวิ่งจากไป
เฟิ่งจวินก้าวเท้าออกมาจากในตำหนักพลางจ้องเขม็งมาที่โต้วเปาเอ๋อร์ เขาเดินมาที่เบื้องหน้าโต้วเปาเอ๋อร์ ยกมือขึ้น ลมตีชายแขนเสื้อจนปลิวพลิ้ว
อารมณ์นี้โต้วเปาเอ๋อร์คุ้นเคยอย่างมาก เขาหลับตา รอฝ่ามือที่จะตบลงมา เวลาที่ถูกลงโทษช่างยาวนาน โต้วเปาเอ๋อร์เหมือนปลาที่ถูกปิ้งบนกองไฟ หลับตาทนทุกข์อยู่นาน ทว่าใบหน้าก็ไม่เห็นจะเจ็บเสียที
เฟิ่งจวินพลันตระหนักว่าบุตรชายโตแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตีอีกฝ่ายไม่ลง
“ถวนถวนฟื้นเมื่อไร เจ้าก็ลุกขึ้นได้!” เฟิ่งจวินสะบัดแขนเสื้อจากไป
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.