บทที่ 6
ตอนที่หมอหลวงกู้ไหวถูกส่งตัวมาดูอาการของไป๋สิงเจี่ยน พวกหมอหลวงรุ่นเดียวกันต่างหัวเราะเสียงเบาๆ แววตาเย้ยหยัน กู้ไหวรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังถูกลงโทษ
อาจเพราะครั้งก่อนเขาไม่ได้จัดยาตามใบสั่งยาของหมอหลวงใหญ่ แต่ใช้ยาที่ตนเองคิดขึ้นมา แม้เขาจะอธิบายเหตุผลของตนเองอย่างเต็มที่ ทว่าสุดท้ายยาตำรับนั้นที่เขาทำขึ้นมาก็ไม่รอดพ้นต้องถูกเททิ้งลงในบ่อละลายยาอยู่ดี ก่อนหน้าที่มีการสอบประจำเดือนของสำนักหมอหลวง ทั้งที่กระดาษคำตอบของเขาไม่มีรอยหมึกเลอะเปื้อน ทั้งไม่เคยมีร่องรอยแก้ไขก็ยังถูกสงสัยว่าเขาทุจริตในการสอบ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังหาหลักฐานไม่พบ
พอได้ยินว่ารัชทายาทจมน้ำจนบัดนี้ก็ยังสลบอยู่ สำนักหมอหลวงจึงถูกเรียกตัวเข้าวังในคืนนี้ กู้ไหวรีบเตรียมยาบางตัวที่เขาเชื่อว่าช่วยให้รัชทายาทฟื้นขึ้นมาได้ แต่ตามความเป็นจริงที่ปรากฏนั้น…ความคิดที่จะรักษากับการลงมือจริงนั้นช่างห่างไกลเหลือเกิน เขาไม่มีทางได้เฉียดใกล้รัชทายาทเลยด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโอกาสในการถวายยา
เขาได้ยินหมอหลวงที่รอรับการเรียกตัวอยู่ที่นอกตำหนักกล่าวว่าหากใบสั่งยาของพวกหมอหลวงฝีมือดี ใช้ไม่ได้ผล อาจจะถึงคราวของตนเองได้ ในช่วงที่เขากำลังคิดพิจารณาอยู่นั้น หมอหลวงใหญ่ก็สั่งให้หมอหลวงบางคนไปดูอาการของใครอีกคนที่ตำหนักข้าง เมื่อถามจนรู้ว่าคนที่อยู่ในนั้นก็คือหัวหน้าสำนักหลันไถแล้วก็ไม่มีผู้ใดยอมสมัครใจไปสักคน
เล่ากันว่าหมอหลวงใหญ่เคยได้รับการไหว้วานจากจักรพรรดินีให้จัดส่งหมอหลวงอาวุโสที่มีวิชาแพทย์อันล้ำเลิศของสำนักหมอหลวงหลายคนไปรักษาขาของไป๋สิงเจี่ยน ผลก็คือหมอหลวงอาวุโสหลายคนล้วนถูกฉีกหน้าอย่างไร้น้ำใจยิ่ง ยิ่งหลันไถด้วยแล้ว การฉีกหน้านั้นย่อมต้องถูกเล่าลือออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า…แตกออกมาเป็นหลายฉบับ
จุดร่วมของบันทึกทั้งหลายก็คือหัวหน้าสำนักหลันไถห้ามไม่ให้ใครแตะต้องร่างกายเขา…แม้แต่จะจับชีพจรก็อย่าได้คิด ให้ยกเสื้อคลุมขึ้นดูขาก็ไม่อาจทำได้ ทำตามหลักการของแพทย์ไม่ได้สักอย่าง เจอคนป่วยเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดินีขอให้พวกเขามา พวกหมอหลวงอาวุโสก็คงทิ้งขว้างไป๋สิงเจี่ยนไปแล้ว และด้วยแรงกดดันนี้ พวกหมอหลวงจึงได้แต่เขียนใบสั่งยาโดยเลือกตามตำรับยารักษาโรคให้เขา โดยไม่สนใจว่าจะได้ผลหรือไม่ ขอเพียงรักษาแล้วไป๋สิงเจี่ยนไม่ตายก็พอ พวกตนจะได้ไม่ต้องแบกรับโทษของการรักษาผิดพลาด
แต่แล้วใบสั่งยาตามตำรับยาเหล่านี้ก็ถูกไป๋สิงเจี่ยนวิพากษ์วิจารณ์อย่างโหดร้ายยิ่ง เขาพูดว่าสำนักหมอหลวงไม่คิดจะก้าวหน้า หมอหลวงได้แต่คัดลอกคำที่น่าเบื่อจากตำรายาเก่าแก่ ทำงานแบบขอไปที มุ่งหวังเพียงรักษาคนแล้วไม่ตาย การรักษาเช่นนี้ยังสู้หมอยาในชนบทไม่ได้เสียด้วยซ้ำ ตัดใจขอเกษียณลากลับบ้านเกิดไปดีกว่า จะได้เป็นการไม่ทำร้ายคนอื่น ตนเอง และอาณาจักร ตอนนั้นถึงกับมีหมอหลวงอาวุโสโกรธจนเส้นเลือดสมองแทบแตกทีเดียว
จากนั้นมาก็ไม่มีหมอหลวงคนใดยอมไปรักษาหัวหน้าสำนักหลันไถอีก คนป่วยไม่เพียงไม่ยอมรับการรักษา ทั้งยังเย้ยหยันหมอหลวงด้วย หมอหลวงใหญ่แสดงให้เห็นว่าไม่เคยเจอคนที่ไม่ละอายใจเช่นนี้มาก่อน
ทว่าคราวนี้หัวหน้าสำนักหลันไถซึ่งเป็นคนป่วยคนสำคัญก็มาปรากฏอยู่ต่อหน้าแล้ว จักรพรรดินีให้หมอหลวงมาทำการรักษาเขา หมอหลวงใหญ่เห็นไม่มีใครตอบรับ พอดีกับที่หันไปเห็นคนที่ขึ้นชื่อในเรื่อง ‘หัวดื้อ’ เข้าพอดี ‘กู้ไหว เห็นแก่ที่ผลสอบประจำเดือนของเจ้าออกมาดีเยี่ยม ให้เจ้าไปช่วยดูอาการหัวหน้าสำนักหลันไถเป็นกรณีพิเศษแล้วกัน ยังไม่รีบไปอีก!’
กู้ไหวจึงสะพายล่วมยาเข้าไปหาไป๋สิงเจี่ยนเช่นนี้ โดยที่มีพวกหมอหลวงหัวเราะเยาะกันอยู่เบื้องหลัง
กู้ไหวเดินเข้าไปในตำหนักข้างก็เห็นผู้ที่สำนักหมอหลวงขึ้นบัญชีดำชั้นหนึ่งเอาไว้ มีแสงสว่างของตะเกียง กระนั้นทั้งตำหนักก็ยังดูสลัวมัวอยู่ หัวหน้าสำนักหลันไถนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ ในมือเล่นตะกร้อไฟ บนเข่าทั้งสองมีผ้าห่มขนสัตว์ปิดคลุมอยู่ ไม้เท้าวางพิงอยู่ข้างขา
“ข้าน้อยหมอจากสำนักหมอหลวง ขออนุญาตตรวจชีพจรของไท่สื่อขอรับ” กู้ไหวคำนับทำความเคารพ
ไป๋สิงเจี่ยนเลื่อนสายตามองมาที่ไหวกู้ “ไม่ต้อง” กล่าวจบแล้วก็เบนสายตากลับไป
กู้ไหวไม่ตอบอะไร หลังจากคำนับเสร็จแล้วเขาก็ยืดตัวตรงขึ้น ประคองล่วมยาเดินเข้ามาด้านในตำหนัก เมื่อเข้าใกล้จึงพบว่าแสงตะเกียงที่ไป๋สิงเจี่ยนถือเล่นอยู่ในมือนั้นเป็นแหล่งที่มาเดียวของแสงสว่างในตำหนัก ลักษณะของตะเกียงเหมือนว่าจะใช้เล่นได้ ไม่ใช่มาให้แสงสว่าง มิน่าเล่าในตำหนักจึงสลัวเช่นนี้
“ไม่คิดว่าในวังจะมีตะกร้อไฟของเล่นที่เด็กตามชนบทเล่นกันด้วย” กู้ไหวจำที่หนังสือเขียนไว้ได้ การจะรักษาคนป่วยที่หัวดื้อและเจ้าปัญหานั้น จะต้องเริ่มจากการเปลี่ยนความคิดของคนป่วยที่เห็นหมอเป็นศัตรู รูปแบบที่ดึงมาใช้ได้คือการหาหัวข้อสนทนาเดียวกัน แต่การจะหาหัวข้อสนทนาได้นั้นจะต้องสังเกตได้ว่าคนป่วยมีความชอบเรื่องใดบ้าง วิธีที่ง่ายที่สุดคือดูว่าความสนใจระยะยาวของผู้ป่วยอยู่ที่สิ่งใด
ไป๋สิงเจี่ยนเอาแต่มองตะกร้อไฟที่แสนจะธรรมดานี้ กู้ไหวจึงคาดเดาว่าคนป่วยน่าจะชื่นชอบพวกงานฝีมือ
ไป๋สิงเจี่ยนจำได้ว่าตนเองไม่คิดข้องแวะกับสำนักหมอหลวงมาแต่แรกแล้ว ในสายตาเขาหมอหลวงพวกนั้นล้วนมีฝีมือวิชาแพทย์ไม่เท่าไร วันๆ เอาแต่ทำงานแบบขอไปที ยามเห็นเขาเป็นต้องเดินอ้อมไปร้อยก้าว นี่ยังจะมีหมอหลวงเล็กๆ มาคิดตีสนิทกับเขาอีก แล้วอย่าโทษว่าคืนนี้เขาอารมณ์ไม่ดี ลงมือต่อหมอหลวงเล็กๆ อย่างไม่ปรานีแล้วกัน
กู้ไหวไม่ได้รู้เลยว่าตนเองกำลังจะถูกพิพากษาโทษตาย เขาเดินไปถึงข้างตัวหัวหน้าสำนักหลันไถ วางล่วมยาลงบนโต๊ะ หมุนตัวไปจุดไฟตะเกียงของในวังที่ตั้งอยู่ ภายในตำหนักพลันสว่างขึ้นทันใด แสงพุ่งแยงตาไป๋สิงเจี่ยนจนต้องหรี่ตา
ตอนที่กู้ไหวหมุนตัวกลับมา มือข้างหนึ่งก็พลิกเปิดผ้าห่มขนสัตว์ที่ขาของไป๋สิงเจี่ยนออก มืออีกข้างฝังเข็มลงบนหัวเข่าเขาอย่างว่องไว จนไม่มีเวลาให้เขาได้ทันตอบโต้
พอเข็มฝังเข้าไปแล้ว ทั้งสองต่างก็ตกตะลึง
ไป๋สิงเจี่ยนไม่เคยเห็นผู้ใดฝังเข็มได้คล่องแคล่วเช่นนี้มาก่อน แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะหลายปีมานี้เขาไม่เคยให้ผู้ใดเข้าใกล้และมีโอกาสฝังเข็มเช่นนี้ ทั้งที่มีผ้าคั่นอยู่แต่ก็ยังใช้ความเร็วดังสายฟ้าฝังเข็มที่หัวเข่าในจุดเฮ่อติ่งอย่างแม่นยำยิ่ง…ไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่น้อย
ฝังเข็มที่จุดเฮ่อติ่งครึ่งชุ่น ช่วยทะลวงข้อต่อ ไล่ลมขับความชื้น กระตุ้นการไหลเวียนระงับปวด บรรเทาอาการปวดข้อเข่า แข้งขาไม่มีแรง ร่างกายท่อนล่างขยับไม่ได้ ทีแรกกู้ไหวเพียงคิดว่าฝังแค่ไม่กี่เข็มอาการก็น่าจะดีขึ้น ทว่าตอนที่เข็มฝังลงไปนั้น ปลายเข็มเจอกับแรงต้านและความรู้สึกที่ส่งผ่านมาที่มือบอกความจริงอันน่าตกใจให้เขารู้…หัวเข่าของคนผู้นี้ถูกทำลายไปแล้ว เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบปี!
กู้ไหวเหงื่อไหลเต็มหน้าผาก เขาตกตะลึงอยู่กับที่ตรงนั้น
เรื่องจริงตามคำเล่าลือพวกนั้นค่อยๆ เผยยอดภูเขาน้ำแข็งออกมา…
ไป๋สิงเจี่ยนไม่ยอมรับหมอหลวง ตำหนิหมอหลวงว่าขาดความลึกซึ้งในวิชาการแพทย์ ต่างจากหมอหลวงในอดีต พวกเขาดีแต่คัดลอกเนื้อหาจากตำรายาเก่าๆ
กู้ไหวที่มาจากสำนักหมอหลวงรู้อยู่แล้วว่าใบสั่งยาที่ใช้รักษาขาให้หัวหน้าสำนักหลันไถนั้นไม่มีทางใช้ได้ผลกับหัวเข่านี้ได้เลย ดังนั้นเขาจึงขัดแย้งกับหมอหลวงคนอื่น มองว่าพวกเขาเป็นหมอหลวงธรรมดา ถึงตอนนี้มาประสบด้วยตนเอง กู้ไหวก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้วเช่นกัน เขาเศร้าใจที่พบว่าตนเองก็เป็นแค่หมอหลวงธรรมดาคนหนึ่งที่หัวหน้าสำนักหลันไถติเตียน
เห็นหมอหลวงตรงหน้าตกตะลึง ไป๋สิงเจี่ยนก็ไม่ได้ใส่ใจกับเหตุการณ์นี้เลย หากมีฝีมือขนาดนี้แล้ว การตรวจพบปัญหาที่เข่าของเขาและตระหนักว่าเข่าเขาไม่มีทางรักษาแล้วย่อมไม่ใช่เรื่องยาก
เรื่องที่เหนือความคาดหมายของกู้ไหวพลันเกิดขึ้นอีกครั้ง ไป๋สิงเจี่ยนจับไปที่เข็มเงินด้วยตนเอง พลางขยับเข็มอย่างช้าๆ กะเวลาที่พอเหมาะแล้วค่อยถอนเข็มออก ก่อนจะฝังเข็มลงที่เข่าอีกข้างหนึ่ง ความเร็วของมือไม่ได้เป็นรองกู้ไหวเลย
กู้ไหวจ้องตาแทบถลน นี่ไม่เหมือนกับที่เล่าลือเอาไว้เลย! พวกเขาเล่าลือกันว่าหัวหน้าสำนักหลันไถร่างกายพิการ จิตใจมืดมัว ปิดบังอาการป่วย ไม่รู้วิชาการแพทย์ เป็นแต่ชี้นิ้ววาดเท้าพูดจาน่าขบขัน กู้ไหวรับรู้แล้วว่าหากยังเชื่อคำเล่าลือพวกนั้นอีก เขาจะต้องทั้งโง่และเสียสติเป็นแน่!
เมื่อประสบกับเหตุการณ์นี้ กู้ไหวก็รู้สึกผิดอยู่ในใจ ภายใต้แสงตะเกียงของวัง ขุนนางที่สง่างามและตระหง่านประดุจขุนเขาหยกผู้นี้แท้ที่จริงเป็นหมอมากฝีมือ และที่เขาประสบเหตุถูกคนทำลายหัวเข่า…จะต้องมีลับลมคมในแน่นอน
เมื่อฝังเข็มเสร็จแล้ว ไป๋สิงเจี่ยนก็ส่งเข็มคืนให้กู้ไหว เขาปิดผ้าห่มขนสัตว์ที่เข่าอีกครั้ง จะเพิ่มยาอีกก็เหมือนไร้ประโยชน์ เขาจึงไม่คิดทำเรื่องที่ไม่เกิดผล ได้แต่ฝังเข็มช่วยขับไล่ความเย็นภายในร่างได้ชั่วคราว
ไป๋สิงเจี่ยนอยู่กับความพิการนี้มาสิบหกปีแล้ว การฝังเข็มนี้ไม่อาจช่วยอะไรได้แล้ว ทว่าที่เขายอมรับการฝังเข็มของหมอหลวงผู้นี้ หนึ่งคือเขาห้ามปรามไม่ทัน และสองคือเมื่อเข็มฝังลงแล้ว เขาก็ยอมรับความปรารถนาดีของหมอหลวงหนุ่มคนนี้
“เจ้าชื่ออะไร” ไป๋สิงเจี่ยนมองไปที่เขาด้วยสายตาราบเรียบ
“กู้ไหวขอรับ”
“คนไหวอินหรือ” คนทั่วไปจะไม่ใช้ชื่อสถานที่เป็นชื่อคนโดยไร้ที่มา
เห็นไป๋สิงเจี่ยนมีท่าทางเหมือนคุยเล่นกันเช่นนี้ กู้ไหวก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยที่ได้รับความเอ็นดู “ขอรับ”
“อาจารย์ของเจ้าเป็นใคร”
“อาจารย์ของข้าก็คือท่านพ่อ” กู้ไหวเอ่ยตอบ ใคร่ครวญแล้วก็เอ่ยเพิ่มเติมว่า “แต่อาจารย์ของท่านพ่อข้าเป็นตระกูลหมอชื่อดังที่เมืองก่วงหลิง แต่น่าเสียดายที่ตระกูลใหญ่นั้นได้ล่มสลายไปแล้ว ท่านพ่อยังเล่าเรียนไม่จบ”
“แต่ก็ถือว่าเก่งกว่าสำนักหมอหลวงมากนัก” ไป๋สิงเจี่ยนอารมณ์สงบลงแล้วจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “เหตุใดเจ้าจึงถูกคนในสำนักหมอหลวงผลักไสเล่า”
“เหตุใดไท่สื่อถึงรู้…” กู้ไหวแปลกใจ
“เจ้าถูกไล่ให้มารักษาข้า ไม่ใช่เป็นเพราะถูกเขาผลักไสมารึ” ไป๋สิงเจี่ยนราวกับไม่ใส่ใจความคิดที่ผู้อื่นมีต่อตนเอง สายตาเขามองตะกร้อไฟที่ส่องแสงสลัวพลางเอ่ยปากถามอย่างไม่ตั้งใจ “อาการขององค์หญิงเป็นอย่างไรบ้าง”
“ได้ยินมาว่ายังไม่ฟื้นคืนสติขอรับ”
“เจ้ามีวิธีหรือไม่” ไป๋สิงเจี่ยนหันไปถาม
“ข้ามีใบสั่งยาใบหนึ่ง แต่ไม่ได้ถูกใช้” น้ำเสียงกู้ไหวเต็มไปด้วยความหดหู่
“ข้าจะทำให้ใบสั่งยานั้นได้ใช้”
เวลาเคลื่อนผ่านไป ไม่มีสัญญาณใดบอกกล่าวว่าฉืออิ๋งจะฟื้นคืนสติมา ในใจเฟิ่งจวินร้อนรนดั่งมีกองไฟสุม เขามองไปที่เหล่าหมอหลวงพวกนี้ที่ยังหาทางรักษาบุตรสาวของตนไม่ได้ เขาขุ่นเคืองจนกัดฟันกรอดๆ แล้ว
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ตระหนักว่ามีโอกาสมากที่ฉืออิ๋งอาจประสบเรื่องร้าย แต่สำหรับคนที่ให้กำเนิดมานั้น ตั้งแต่ฉืออิ๋งเล็กๆ เฟิ่งจวินก็เคยฝันว่าเป่าเปาถูกคนร้ายลักพาตัวไป เวลาผ่านไปฝันร้ายของเฟิ่งจวินก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ไม่ว่าเหตุการณ์ร้ายใดๆ ที่ฉืออิ๋งอาจประสบได้นั้น เฟิ่งจวินล้วนนำไปฝันถึงรอบหนึ่ง ซึ่งในฝันก็มีเรื่องตกน้ำอยู่ด้วย ทว่าวิธีที่เขาเลือกใช้คือการปกป้องเป่าเปา ยินดีทำแทนนางไปเสียทุกเรื่อง ขอเพียงให้นางอยู่ภายใต้ปีกของเขา นางก็จะสามารถพ้นภัยร้ายได้ทั้งปวง
ความจริงเห็นได้ชัดเจนแล้ว เป็นเขาที่แบกรับทุกอย่างไว้เองมากเกินไป และเพราะที่เขาแบกรับไว้แทน จึงกลายเป็นการทำร้ายต่อเป่าเปา
หยวนสี่ตี้เห็นเฟิ่งจวินทั้งร้อนใจทั้งขุ่นเคืองทั้งแบกรับเองเช่นนี้ราวกับจิตใจได้แหลกสลายไปแล้ว ในฐานะภรรยา นางจึงรู้สึกว่าตนเองต้องเข้าไปปลอบโยนสามีเสียหน่อย “ข้าว่าถวนถวนโตขนาดนี้แล้ว เดิมทีสมควรจัดการกับคนร้ายได้ด้วยตนเอง ตกน้ำแค่นี้จะเป็นอะไรไปได้เล่า แต่ดูที่ท่านเลี้ยงลูกของข้าออกมาสิ นางเป็นอย่างไรไปแล้ว ตอนที่ข้าให้นางหัดว่ายน้ำ ให้นางได้กินน้ำบ้างก็ช่างปะไร แต่ท่านกลับห้ามข้าเหมือนว่าข้าเป็นแม่เลี้ยงใจร้าย ทั้งยังแอบไปขอยันต์ที่ศาลเจ้ามาเพื่อกันตกน้ำอีก คิดหรือว่าพกยันต์ติดตัวแล้วจะแคล้วคลาดได้ เอาเถิด ท่านก็อย่าได้หมดอาลัยตายอยากเช่นนี้เลย ข้านับเรื่องแย่ๆ ที่ท่านทำไว้ทุกเรื่องแล้ว ข้าให้กำเนิดถวนถวนมาเอง…บุตรที่ข้ามู่หยวนเป่าคลอดออกมาต้องไม่ใช่คนไม่เอาถ่าน ปัญหาสำคัญอยู่ที่หมอหลวงพวกนี้ใช้การไม่ได้ต่างหากเล่า หากว่าพี่มู่อวิ๋นอยู่…”
เดิมทีเฟิ่งจวินแทบขาดใจตายอยู่รอมร่อ ทว่าทันทีที่ได้ยินคำพูดในตอนท้ายกล่าวตัดจบก็คล้ายได้เปิดปมในใจเขาขึ้นมาฉับพลัน ดวงตาที่หมดอาลัยตายอยากเปลี่ยนเป็นแววตาฮึดสู้ในทันใด “ในที่สุดท่านก็หาโอกาสจนได้ คิดจะรับสั่งให้เขากลับมารึ คิดได้ดีนี่ ข้าก็ยังยืนยันคำเดิม มีเขาไม่มีข้า มีข้าไม่มีเขา! ข้าเคยพูดไว้ว่าพักหลังท่านเอาแต่บ่ายเบี่ยงข้ามาตลอด ที่แท้ก็มีใจเป็นอื่น รู้สึกเบื่อหน่ายในตัวข้า คิดได้แล้วทิ้งหรือไร!”
หยวนสี่ตี้คิดตอนแรกแล้วว่าไม่ควรเอ่ยเช่นนั้น แต่นางไม่ทันระวังปากเผลอเอ่ยกระแทกใจคนขี้หึงเข้าจนได้ ยิ่งคิดไปถึงเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นฉืออิ๋งยังเล็ก นางได้รับจดหมายที่หวานจนน่าขนลุกจากอดีตหมอหลวงหลิ่วมู่อวิ๋น ทว่ากลับถูกเฟิ่งจวินพบเห็นเข้าจนเกิดหึงหวงขึ้นมา ยามนั้นเขาก็กลับหลังแล้วพาฉืออิ๋งกลับซีจิงไปทันที เฉยเมยกันสามเดือนเต็ม สุดท้ายเป็นนางที่พกจดหมายแสดงความในใจซึ่งให้พวกบัณฑิตที่ชอบแสดงละครแต่งขึ้นมา โดยนางเดินทางไปซีจิงด้วยตนเอง ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งจึงหลอกล่อพาเฟิ่งจวินกลับมาได้
เฟิ่งจวินเกิดอาการหึงหวงขึ้นมาเมื่อไร ตั้งแต่วังหลังจนถึงโถงว่าการของราชสำนักล้วนไม่เป็นอันสงบสุข หยวนสี่ตี้นึกแล้วก็ให้ประหวั่นใจยิ่ง
“ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ใครจะไปคิดเรียกตัวเขากลับมากัน ในเมื่อเขาตั้งใจจากเมืองหลวงไปตระเวนทั่วใต้หล้าแล้ว ข้าจะไปบังคับอะไรเขาได้เล่า ท่านยังจะมากล่าวหาว่าข้าเอาแต่บ่ายเบี่ยงท่านอีก อายุขนาดนี้แล้วยังจะคิดอะไรเช่นนี้ ปากก็พร่ำบ่นแต่ว่าจะมีลูกเจ็ดคนแปดคน! ขณะที่ทุกวันข้าต้องคอยรับมือกับพวกขุนนางที่มีแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องจนแทบไม่ไหว ไหนจะต้องมารับมือกับคนไม่อยู่กับร่องกับรอยอย่างท่านอีก ข้าต้องเหนื่อยแทบขาดใจ ยังจะมาปรักปรำข้าอีกรึ ข้าอยู่ไปก็ไม่มีความหมายแล้ว”
เฟิ่งจวินกับจักรพรรดินีโต้เถียงกันราวกับไม่มีผู้ใดอยู่ข้างๆ เดิมทีหมอหลวงในตำหนักต่างก็มีแรงกดดันราวภูเขาทับอยู่จากเรื่องที่องค์หญิงไม่ฟื้นคืนสติเสียที ตอนนี้ยังถูกบังคับให้ต้องมาฟังเรื่องราวของตำหนักในเป็นฉากๆ อีก ในนี้ยังมีคนหนุ่มอายุไม่เต็มสิบเจ็ดสิบแปดที่เพิ่งเข้ามาในสำนักหมอหลวงอยู่ด้วย สำหรับหมอหลวงแล้ว ชีวิตในตอนนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน
ตอนนั้นเองไป๋สิงเจี่ยนก็เข้ามาในตำหนัก กู้ไหวกอดล่วมยาเดินนำอยู่ด้านหน้า เขาใช้ร่างกายตนเองเปิดทางให้เส้นหนึ่งก่อน เพื่อให้ไป๋สิงเจี่ยนไม่ต้องถูกผู้คนมากมายในตำหนักกระแทก และเขาก็ไม่คิดสนใจแววตาของเหล่าหมอหลวงที่ทั้งแปลกใจและรังเกียจพวกนั้นสักนิด
ไป๋สิงเจี่ยนเดินผ่านเหล่าหมอหลวงไป แน่นอนว่าสีหน้าเขาเย็นเยียบยิ่ง ทุกที่ที่เขาผ่านราวกับมีไอเย็นเยือกแผ่ออกมา เหล่าหมอหลวงที่มีหมอหลวงใหญ่เป็นหัวหน้าพอเห็นหัวหน้าสำนักหลันไถที่ถูกขึ้นบัญชีดำไว้เป็นลำดับแรกมาอยู่ในที่นี้แล้ว พวกเขาต่างก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า พากันหลีกทางให้ด้วยตนเอง กระทั่งเว้นเป็นทางกว้างสำหรับเขาโดยเฉพาะ
ไป๋สิงเจี่ยนเดินไปที่หน้าฉากบังลม เขายืนคำนับแล้วเอ่ยตัดบทการโต้เถียงของสามีภรรยาที่อยู่ข้างหลังฉาก “ฝ่าบาท หากรัชทายาทยังไม่ฟื้นคืนสติ กระหม่อมมีคนผู้หนึ่งเป็นตัวเลือก ขอให้เขาได้ลองทำการรักษาดูพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสองที่กำลังโต้เถียงพลันหยุดความขัดแย้งภายในลงได้เป็นการชั่วคราว ก่อนจะนึกได้ว่าฉืออิ๋งยังไม่ได้สติ เมื่อได้ยินไป๋สิงเจี่ยนเอ่ยขึ้นเช่นนี้ก็ราวกับมีดาวเทพมาช่วยเหลือ
“เป็นผู้ใดกัน รีบพาเข้ามา!” เฟิ่งจวินไม่ห่วงเรื่องปะทะคารมแล้ว ในเมื่อไป๋สิงเจี่ยนเป็นคนเอ่ยขึ้นมาเอง นั่นก็หมายความว่าคนผู้นั้นจะต้องเชื่อถือได้แน่นอน
ตั้งแต่เห็นกู้ไหวนำหน้าไป๋สิงเจี่ยนเข้ามาในตำหนัก หมอหลวงใหญ่ก็เกิดรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีแล้ว เจ้าหมอหลวงหนุ่มที่ไม่แยกแยะดีชั่วไม่ได้ถูกไป๋สิงเจี่ยนหมิ่นเกียรติจนเกิดเพี้ยนไปแล้วหรอกนะ นี่ไม่เหมือนอย่างที่คิดไว้เลย!
เมื่อกู้ไหวได้รับการอนุญาตทางสายตาจากไป๋สิงเจี่ยน เขาก็เดินอ้อมฉากบังลมไปด้านในด้วยความตื่นเต้น
หมอหลวงใหญ่เห็นเช่นนั้นก็ตระหนักได้ว่า…เรื่องราวเริ่มจะไม่เข้าทีแล้ว
และที่ทำให้หมอหลวงใหญ่ตระหนกมากยิ่งขึ้นก็คือไป๋สิงเจี่ยนเดินตามกู้ไหวเข้าไปด้วย เขาจะเข้าไปทำไม หมอหลวงใหญ่แทบอยากตามเข้าไปดูด้วยตาตนเอง
หยวนสี่ตี้และเฟิ่งจวินหลีกทางให้และยกพื้นที่ข้างเตียงของฉืออิ๋งแก่กู้ไหว ทั้งสองร้อนใจคิดแต่จะช่วยบุตรสาว…จึงไม่ทันได้สงสัยถึงเรื่องที่ไป๋สิงเจี่ยนเดินตามหมอหลวงมาที่นี่ด้วย เนื่องจากที่นี่เป็นตำหนักบรรทมของรัชทายาท ห้องบรรทมของฉืออิ๋งนี้ นอกจากหมอหลวงแล้วก็ไม่เคยมีผู้ใดเข้ามาได้โดยเฉพาะบุรุษอื่น นี่จึงถือเป็นครั้งแรกที่ไป๋สิงเจี่ยนได้มาเยือนที่นี่
กู้ไหวเดินไปที่ข้างเตียง ทั้งยังแอบขยับที่ให้ไป๋สิงเจี่ยนได้เข้ามาใกล้อย่างแนบเนียน
เดิมทีไป๋สิงเจี่ยนเคยเห็นแต่ภาพขององค์หญิงวิ่งวุ่นไปที่นั่นที่นี่ตลอดทั้งวัน ทว่ายามนี้กลับเห็นสองตาของนางปิดสนิท นอนราบอยู่ภายใต้ผ้าต่วนที่นุ่มสบายอย่างสงบ หมอนก็ดูนุ่มสบายยิ่ง เขาพลันหวนนึกถึงหมอนและตั่งนอนแข็งๆ ของตนเอง
นับเป็นครั้งแรกที่กู้ไหวได้อยู่ใกล้จักรพรรดินี เฟิ่งจวิน และรัชทายาทถึงเพียงนี้ เขาตื่นเต้นเพียงใดนั้นไม่ต้องพูดถึง ตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาหลังฉากบังลม กระทั่งมองเห็นฉืออิ๋งแล้ว กู้ไหวก็ตกตะลึงอย่างมาก เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกว่าตนเองถูกคำเล่าลือหลอกจนหลงเชื่อผิดๆ ไป ต่างพูดกันไปว่าองค์หญิงเป็นดาวหายนะ เป็นจอมมารสะท้านโลกา เป็นคนที่หาสามีไม่ได้จนจักรพรรดินีและเฟิ่งจวินปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่ง
ใบหน้างดงามนี้ผสมผสานส่วนที่ดีจากทั้งจักรพรรดินีและเฟิ่งจวินเอาไว้ งดงามกว่าที่เล่าลือไว้มากมายหลายเท่านัก เป็นไปได้อย่างไรที่คนรูปโฉมงดงามเช่นนี้ถูกครหาว่าเป็นฝันร้ายของราชสำนัก เป็นไปได้อย่างไรว่าจะหาสามีไม่ได้
กู้ไหวหัวใจเต้นตุบๆ เขาเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว พลิกมุมผ้าห่มขึ้นอย่างระมัดระวังราวกับเกรงว่าจะทำให้เทพธิดาต้องแปดเปื้อน เมื่อผ้าห่มถูกเลิกขึ้น ก็เผยให้เห็นชุดที่ปักลายบัวลอยที่กลมๆ อ้วนๆ น่ารักเสียจนหัวใจของกู้ไหวแทบจะกระโดดออกมาแล้วหลอมละลายไป
ไป๋สิงเจี่ยนมองดูองค์หญิงในชุดนอนลายบัวลอยลูกกลมใหญ่แล้ว…ในใจเขาก็นึกสงสัยถึงความชอบของหยวนสี่ตี้และเฟิ่งจวินยิ่ง ทั้งที่รัชทายาทโตเพียงนี้แล้ว แต่พวกเขาทั้งสองกลับเลี้ยงดูนางมิต่างจากเด็กน้อย มิน่านางจึงมักทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ไตร่ตรองให้ดี หลายครั้งการกระทำก็ดูไร้เดียงสาเกินไป
หยวนสี่ตี้และเฟิ่งจวินไม่รู้ว่าชุดที่พวกเขาสั่งทำให้บุตรสาวคนโตนั้นจะสะดุดตาคน เมื่อเห็นสองคนที่อยู่ด้านหน้าตกอยู่ในภวังค์ไปเช่นนี้ จึงอดกังวลใจขึ้นมาไม่ได้ หรือว่า…โรคนี้จะรักษาได้ยาก?
“หมอหลวงกู้” ไป๋สิงเจี่ยนเอ่ยเตือนสติกู้ไหว พวกเขาเสียเวลาไปกับลายปักรูปบัวลอยนานพอควรแล้ว ไม่อาจชักช้าได้อีก
กู้ไหวรีบเอาหัวใจของตนที่หลอมละลายไปแล้วกว่าครึ่งดวงเก็บกลับมา พยายามเลื่อนสายตาไม่มองใบหน้าของฉืออิ๋งอีก ถึงอย่างนั้นก็ยังหลบเลี่ยงลายปักบนชุดนั้นไม่ได้เสียที เหตุใดถึงน่ารักได้เพียงนี้ ข้าแทบจะถือเข็มไว้ไม่ได้แล้วนะ
ไป๋สิงเจี่ยนไม่อาจไม่กดดันกู้ไหว แต่เพื่อให้อีกฝ่ายสงบใจลงได้ เขาก็ต้องทำอะไรสักอย่าง เมื่อเงยหน้าขึ้นไปเห็นม่านที่ปักเป็นลายกิเลนของเตียงนี้ โดยไม่คิดอะไรให้มากเขาก็ยกมือปลดม่านลงมา แล้วคลุมไปที่ร่างของฉืออิ๋งเพื่อปิดลายของชุด
ทว่ายามที่ดวงตาของทั้งสองมองตรงไป หัวใจของกู้ไหวก็ยิ่งหลอมละลายเร็วขึ้น ช่าง…ช่างน่ารักเสียจริง เหตุใดจึงมีคนปักลายกิเลนได้น่ารักเพียงนี้! กิเลนเป็นถึงสัตว์เทพ กลับทำออกมาน่ารักถึงเพียงนี้!
กิเลนหัวโตตัวอ้วนเกาะอยู่ที่ตัวฉืออิ๋ง เหมือนกำลังเฝ้ามองบัวลอยลูกกลมๆ ที่แสนโอชา…
ความชมชอบของคนในราชวงศ์นี้ช่างไม่เอาไหน!
ไป๋สิงเจี่ยนไม่กล้าคาดหวังส่วนอื่นๆ ของห้องบรรทมรัชทายาทอีก แขนเสื้อเขาขยับ ฉับพลันก็ฉวยเอาเข็มเงินในมือของกู้ไหวมา ก่อนปักลงไปที่ข้างท้องของฉืออิ๋งอย่างรวดเร็ว หมุนเข็มเบาๆ หลายครั้ง ขณะเดียวกันก็เปิดแขนเสื้อฉืออิ๋งขึ้น จับมือที่อ่อนละมุนของนางไว้ หยิบเข็มปักลงยังตำแหน่งชีพจร นิ้วมือของฉืออิ๋งพลันกระตุกไปถูกนิ้วของเขาเข้า ก่อนนิ้วของนางจะกุมนิ้วเขาเอาไว้
กู้ไหวแอบมองใบหน้าด้านข้างของไป๋สิงเจี่ยน เขายังคงมีสีหน้าเย็นชา ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ บางทีหัวหน้าสำนักหลันไถคงไม่ได้ใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ก็ได้
ไป๋สิงเจี่ยนไม่คิดรับรู้ เพียงหมุนเข็มเงินอย่างต่อเนื่อง กระทั่งฉืออิ๋งมีเสียงสะอื้นดังขึ้นมา เขาจึงเก็บเข็มเงินเข้าไปในแขนเสื้ออย่างรวดเร็วประดุจสายฟ้าฟาด
ตลอดขั้นตอนนี้ทั้งหมด ทั้งคู่ต่างบังสายตาของหยวนสี่ตี้และเฟิ่งจวินไว้ กู้ไหวกลับค้อมกายทำตัวราวกับเป็นหมอใหญ่ที่ทำการรักษา ร่างกายอยู่ติดฉืออิ๋งยิ่งกว่า แต่ไป๋สิงเจี่ยนกลับยืนห่างออกมาเล็กน้อย ไม่มีท่าทางของการฝังเข็มรักษาแต่อย่างใด เสมือนว่าแค่มองดูหมอหลวงทำการรักษาเท่านั้น
หยวนสี่ตี้และเฟิ่งจวินเดินเข้ามาใกล้เมื่อได้ยินเสียงร้องสะอื้นของฉืออิ๋ง ต่างมาหยุดอยู่ที่ข้างตัวนาง และคิดว่าเป็นฝีมือของหมอเทวดากู้ไหว
“ถวนถวนฟื้นแล้วใช่หรือไม่” เฟิ่งจวินเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
“ยัง…ยังไม่ฟื้นคืนสติพ่ะย่ะค่ะ ยังต้องบำรุงด้วยยา!” กู้ไหวกล่าวตอบอย่างตื่นเต้น และเอ่ยต่อในใจว่า…ที่แท้องค์หญิงก็มีชื่อเล่นว่าถวนถวนนี่เอง ช่างน่ารักเสียจริง
“เจ้า…เขียนใบสั่งยามา ” หยวนสี่ตี้ชี้สั่งกู้ไหว
กู้ไหวเปิดล่วมยา แล้วหยิบยาที่เตรียมไว้หลายอย่างออกมาพลางค้อมตัวน้อมถวาย “กระหม่อมจัดยามาจากสำนักหมอหลวง เตรียมเผื่อใช้ในยามจำเป็น ยานี้ปรุงขึ้นอย่างพิเศษ ขอให้ฝ่าบาททรงเชื่อในตัวกระหม่อม…”
“เจ้าไปต้มยามา รักษาถวนถวนด้วย” หยวนสี่ตี้ชี้ไปที่กู้ไหวอีกครั้ง ทั้งยังเอ่ยชมหมอหลวงหนุ่มผู้นี้อย่างมาก “อายุยังน้อยก็มีฝีมือการรักษาดีแล้ว ตอนนี้เจ้าเป็นหมอหลวงขั้นใดกัน”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเป็นหมอหลวงขั้นที่หกพ่ะย่ะค่ะ!” จิตใจของกู้ไหวพลันกระวนกระวายยิ่งกว่าเดิม
“ต่อไปให้เจ้าเป็นหมอหลวงขั้นที่สี่แล้วกัน” คำพูดของหยวนสี่ตี้ถือเป็นคำสั่ง โดยแต่งตั้งข้ามขั้นจากกฎระเบียบภายในของสำนักหมอหลวง
แม้แต่เฟิ่งจวินก็ไม่ได้ให้เอ่ยเตือนหยวนสี่ตี้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ
หมอหลวงใหญ่และเหล่าหมอหลวงของสำนักหมอหลวงที่รออยู่นอกฉากบังลมต่างตกตะลึงกันทั้งสิ้น หมอขั้นหกกระโดดข้ามไปเป็นหมอขั้นสี่โดยตรงเช่นนี้ ในสำนักหมอหลวงไม่เคยมีมาก่อน ทั้งคนที่ข้ามขั้นนี้ยังเป็นคนใหม่ที่ไม่เข้าตาเสียด้วย แล้วจะให้เหล่าหมอหลวงทนรับได้อย่างไร! เรื่องนี้จักรพรรดินีได้กระทำการก้าวก่ายอย่างก็ไม่กลัวอาลักษณ์บันทึกไว้เลย…ไม่ถูก อาลักษณ์ก็ยืนอยู่ด้านข้างนี่
อาลักษณ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างทำเหมือนไม่รับรู้เรื่องที่หยวนสี่ตี้ก้าวก่าย เขาไม่ได้เอ่ยอะไร และที่หน้าผากของเขาก็มีเหงื่อไหลออกมา
กู้ไหวผู้ที่สวมบทบาทนั้นตกตะลึงจนลืมกล่าวขอบคุณผู้มีคุณ รอจนนึกขึ้นได้ก็ไม่เห็นหัวหน้าสำนักหลันไถแล้ว
หมอหลวงใหญ่ย่อมไม่ละเว้นหัวหน้าสำนักหลันไถอยู่แล้ว เขามองตามอาลักษณ์ที่ผู้คนเล่าลือกันว่าตรงไปตรงมาและเจ้าเล่ห์แสนกลออกจากตำหนักไป เขาเคียดแค้นจนกัดฟันกรอด ที่แท้ไป๋สิงเจี่ยนก็คิดจะใช้กู้ไหวแทรกแซงสำนักหมอหลวง อาจถึงขั้นข้ามศีรษะของหมอหลวงใหญ่ ช่างน่าโมโหจริงๆ
ไป๋สิงเจี่ยนที่ถูกคนทั้งสำนักหมอหลวงกล่าวโทษอยู่นั้น เพียงแค่พ้นจากสายตาของคนทั้งหลายแล้ว กระดูกขาของเขาก็แสนปวดเมื่อย มือยันกับกำแพงตำหนักไว้แล้วก็ยังแทบจะยืนไม่อยู่
โต้วเปาเอ๋อร์ที่คุกเข่าอยู่นอกประตูตำหนักจนทั้งปวดทั้งเมื่อยหัวเข่าไปหมดแล้วพลันตกใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้าเข้า “อาจารย์”
ทว่าเมื่อเห็นนางกำนัลเดินเข้าออกตำหนักด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายมากขึ้น โต้วเปาเอ๋อร์ก็พลอยโล่งอก ถวนถวนคงปลอดภัยแล้ว ข้าก็เลิกรับโทษได้เสียที
ตอนที่ไป๋สิงเจี่ยนพาหมอหลวงหนุ่มเข้าตำหนักไปนั้น โต้วเปาเอ๋อร์ก็นึกแปลกใจอยู่แล้ว พออีกฝ่ายเดินออกจากตำหนักเพียงคนเดียว ดูไปแล้วเหมือนอาการที่ขาจะกำเริบด้วย เขาก็ยิ่งแปลกใจ แต่เมื่อเห็นว่าขุนเขาจวนจะล้มลงเต็มที โต้วเปาเอ๋อร์จึงยืนขึ้น อดทนกับความปวดเมื่อยที่เหมือนกับมีเข็มมาจิ้มเป็นพันเป็นหมื่นเอาไว้ รีบขยับขาก้าวไปพยุงไป๋สิงเจี่ยนที่จะล้ม
“อาจารย์ ต้องเรียกหมอหลวงหรือไม่” โต้วเปาเอ๋อร์ไม่เคยเห็นอาจารย์ดูเจ็บปวดเช่นนี้มาก่อน คิดว่าคนผู้นี้จะแข็งแกร่งไม่มีวันล้มเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะมาล้มต่อหน้าเขาเช่นนี้ โต้วเปาเอ๋อร์รู้สึกตื่นตระหนกยิ่ง
“ไม่ต้องพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋สิงเจี่ยนเหงื่อออกเต็มศีรษะ เขาพยายามฝืนหยัดกายเอาไว้ อย่างไรก็ต้องไม่ล้ม นี่เป็นเรื่องของศักดิ์ศรี
“เช่นนั้นก็เรียกคนมาช่วยเถิด” โต้วเปาเอ๋อร์เดาใจไป๋สิงเจี่ยนไม่ถูก จึงลองหาวิธีที่เขาพอยอมรับได้ออกมา
“ไม่จำเป็นเลย” ริมฝีปากของไป๋สิงเจี่ยนแทบไม่มีสีเลือด กระนั้นก็ยังปฏิเสธข้อเสนอของโต้วเปาเอ๋อร์ข้อแล้วข้อเล่าด้วยความแน่วแน่เช่นเดิม
โต้วเปาเอ๋อร์เพิ่งพบว่า…ท่านช่างเอาใจยากยิ่งนัก เข้าใจยากยิ่งกว่าสตรีเสียอีก! ทั้งที่เห็นว่าเจ็บปวดอย่างมาก แต่กลับไม่ต้องการหมอหลวง ทั้งไม่ต้องการให้คนมาช่วย สรุปแล้วท่านต้องการอย่างไรกันแน่เล่า
เหมือนว่าได้ยินเสียงในใจของโต้วเปาเอ๋อร์ ในที่สุดไป๋สิงเจี่ยนก็ยอมบอกความต้องการของตนเองออกมา “องค์ชายพอจะมีสถานที่ที่สงบเงียบและปลอดคนหรือไม่”
โต้วเปาเอ๋อร์ความคิดฉับไว “มีขอรับ”
โต้วเปาเอ๋อร์เดินไปผลักประตูตำหนักออกแล้วหลบไปอยู่ด้านข้าง ดูเหมือนไป๋สิงเจี่ยนจะไม่ชอบให้ใครมาพยุง แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า โต้วเปาเอ๋อร์คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก หรือว่าท่านไม่ชอบให้บุรุษเข้าใกล้ แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นท่านมีสตรีเข้าใกล้เหมือนกัน!
แม้จะเป็นย่างก้าวที่ยิ่งเดินยิ่งลำบาก กระนั้นไป๋สิงเจี่ยนก็ยังอดทนที่จะก้าวเดินไปด้วยตนเอง ความทะนงนี้ไม่จำเป็นต้องให้เขาพูดออกมา เพียงแค่สีหน้าท่าทางที่เขาแสดงออกมาก็ชัดเจนพอแล้ว เนื่องจากสีหน้าเขาได้กีดกันผู้อื่นให้ห่างไกล
โต้วเปาเอ๋อร์อยู่ข้างๆ เห็นแล้วก็รู้สึกทุกข์ทรมานยิ่ง เขารู้สึกว่าตนเองใจร้ายที่ไม่ได้ช่วยเหลือไป๋สิงเจี่ยน หากช่วยแล้วทำให้อีกฝ่ายรำคาญก็จะยิ่งดูใจร้ายมากขึ้น
ตลอดทางที่เดินนั้น โต้วเปาเอ๋อร์จะคอยเดินนำหน้า เดินอยู่สักพักก็จะหยุดคอย และตอนนี้เขาก็เพิ่งข้ามธรณีประตูมา มองเห็นธรณีประตูแล้วก็อดปาดเหงื่อไม่ได้ เมื่อก่อนไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้เขากลับพบว่าธรณีประตูนี้สูงเกือบเท่าหัวเข่าทีเดียว อาจารย์จะก้าวข้ามได้อย่างไรเล่า! ทางสายนี้สูงๆ ต่ำๆ ไม่ราบเรียบอยู่ด้วย ทั้งข้ายังเป็นคนนำทางอาจารย์มาเองอีก!
เห็นว่าตนเองทำเรื่องโง่เขลาลงไป จิตใจของโต้วเปาเอ๋อร์ตึงเครียดจนยกนิ้วขึ้นมากัด จะทำอย่างไรดี
ดูสิ อาจารย์หยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าธรณีประตูชั่วครู่หนึ่งแล้ว! โต้วเปาเอ๋อร์ถึงกับอยากร้องไห้ในความคิดน้อยของตนเอง!
ในใจโต้วเปาเอ๋อร์ว้าวุ่นไปหมด หากตอนนี้เขาพูดว่า…
‘อาจารย์ พวกเราไปที่อื่นดีกว่า’ นั่นเท่ากับเขามองว่าอาจารย์เอาชนะไม่ได้แม้แต่ธรณีประตูกระมัง นิสัยของอาจารย์จะทนได้หรือ
แต่หากพูดว่า… ‘นี่เป็นแค่ธรณีประตูธรรมดาทั่วๆ ไป ท่านข้ามมันได้อยู่แล้ว’ ถ้าหากอาจารย์ก้าวไม่พ้นเล่า นั่นจะไม่ยิ่งแย่ไปกันใหญ่หรือ
โต้วเปาเอ๋อร์มาถึงจุดที่ว่า…จะเดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้แล้ว และยามที่สมองกำลังคิดไปถึงขั้นหาคนมาเลื่อยธรณีประตูทิ้งนั้น ภาพที่เขาเห็นก็ทำให้ต้องเบิกตาค้าง หากเข้าใจไม่ผิด นี่ไม่ใช่ภาพฝันกระมัง มือหนึ่งของอาจารย์ค้ำไม้เท้า อีกมือจับชายอาภรณ์ เท้าซ้ายก้าวข้ามธรณีประตูที่สูงเทียมเข่าได้อย่างพอดิบพอดี ราวกับวัดความสูงมาก่อนแล้ว ชายเสื้อก็กวาดผ่านไปบนธรณีประตู เท้าขวาพลันก้าวข้ามตามมาด้วย
โต้วเปาเอ๋อร์ขยี้ตาเพื่อยืนยันว่าไป๋สิงเจี่ยนได้ก้าวเข้ามาข้างในด้วยตนเองแล้วจริงๆ แม้จะก้าวข้ามได้ไม่เร็วนัก ไม่สิ จริงๆ กลับเชื่องช้าและระมัดระวังยิ่ง ถึงอย่างนั้นก็ครั้งเดียวผ่าน เห็นชัดว่าสำหรับไป๋สิงเจี่ยนแล้ว ธรณีประตูนี้ถือเป็นความท้าทายที่ไม่เบาทีเดียว เขาเม้มริมฝีปากแน่น มีเหงื่อไหลลงมาตามไรผม แสดงให้เห็นว่าเขาได้ใช้พละกำลังไปจนสุดแล้วจริงๆ
โต้วเปาเอ๋อร์ที่ตื่นเต้นจนรับไม่ไหวสุดท้ายก็โล่งใจได้แล้ว แต่สิ่งที่ตามมาคือความจริงที่อยู่ตรงหน้านี้ต่างหาก ทำให้เขาเพิ่งรู้ว่าตนเองนั้นไร้เดียงสาเกินไป
ไป๋สิงเจี่ยนก้าวข้ามธรณีประตูได้อย่างยากลำบากแล้ว ชั่วขณะนั้นเท้าก็ไปเหยียบลงบนกลองป๋องแป๋ง
โต้วเปาเอ๋อร์ได้แต่กัดนิ้วตนเอง ไม่กล้าหายใจแรงนัก ด้วยกลัวว่าอาจารย์จะสะดุดกลองป๋องแป๋งล้มลง
ไป๋สิงเจี่ยนได้แต่ชักเท้าขวาขึ้น แล้วใช้ไม้เท้าเขี่ยกลองป๋องแป๋งออกไปด้านข้าง ทว่าพอเงยหน้าขึ้นแล้วก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็นในตำหนัก…บนพื้นนี้?
บนพื้นห้องมีของเล่นวางกระจัดกระจายอยู่ทั่ว ทั้งกรงนก ตะกร้าสานไม้ไผ่ ถุงหอม ตุ๊กตาล้มลุก รูปปั้นดินเผา เตาไฟจิ๋ว กาน้ำจิ๋ว ขวดโหลจิ๋ว แจกันจิ๋ว ชามจิ๋ว กังหันหกแฉก ขนไก่ฟ้า กลองจิ๋ว ธงกระดาษ ตะกร้าดอกไม้จิ๋ว กระชอนจิ๋ว ขลุ่ยไม่ไผ่ ปี่ไม้ไผ่ กระดิ่งลม กระดานแปดเหลี่ยม ดาบหกห่วง งูไม้ไผ่ หน้ากาก ตะเกียงจิ๋ว ว่าวรูปนก ว่าวรูปกระเบื้อง สายป่านว่าว เก้าอี้ไม้ไผ่ ไม้ตีกลอง ไม้ทุบเสื้อด้ามยาว แตรยาว…
ราวกับเป็นที่แสดงของเล่น แทบไม่มีที่ว่างพอให้วางเท้าเลย
“องค์ชายทรงคิดว่า…นี่มัน…เป็นที่อะไรหรือ” ไป๋สิงเจี่ยนเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
“เป็น…เป็นห้อง…ห้องหนังสือของพี่สาวข้า” โต้วเปาเอ๋อร์ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรนัก
จบกัน! โต้วเปาเอ๋อร์ลืมไปเสียสนิทว่าตอนนี้ไป๋สิงเจี่ยนเป็นอาจารย์ของฉืออิ๋ง พาอาจารย์ของพี่สาวมายัง ‘ห้องหนังสือ’ ของพี่สาว ได้มาเห็นสมบัติล้ำค่าของพี่สาว ซึ่งของเหล่านี้แม้แต่บิดาก็แตะต้องไม่ได้ ทั้งไม่มีนางกำนัลคนใดกล้าเอาไปเก็บ ที่สำคัญที่สุดคือเขาได้ยินมาว่าการบ้านวิชาประวัติศาสตร์ที่ไป๋สิงเจี่ยนให้ฉืออิ๋งทำนั้นคะแนนก็ไม่ดีเท่าไรด้วย เมื่อคิดเรื่องนี้ได้ โต้วเปาเอ๋อร์ก็อยากจะร้องไห้ด่าว่าตนเองว่าโง่เขลาอีกสักหน
ด้วยเป็นห้องของเล่นควบคู่กับเป็นห้องหนังสือจึงไม่ค่อยมีใครมาเยือน ที่นี่เงียบสงบไร้ผู้คน เพราะฉืออิ๋งกังวลว่าของเล่นอันเป็นที่รักของตนจะมีคนอื่นมาอยากได้แล้วหยิบฉวยขโมยไป แค่หายไปสักชิ้นก็สามารถทำให้นางร้องไห้ได้ตลอดทั้งบ่าย ดังนั้นบิดาจึงสั่งห้ามไม่ให้คนในวังเข้าใกล้ห้องหนังสือของรัชทายาทอีก คนไม่รู้ยังคิดไปว่าห้องหนังสือของรัชทายาทอาจจะเก็บความลับของอาณาจักรเอาไว้
จากชุดนอนของรัชทายาทจนมาถึงห้องหนังสือของรัชทายาท ไม่มีสักอย่างที่ไม่ทำให้คนต้องตกตะลึงจนตาค้าง ไม่มีสักอย่างที่เชื่อมโยงคนกับ ‘รัชทายาท’ คำนี้ได้เลย ไป๋สิงเจี่ยนไม่มีเรี่ยวแรงไปใส่ใจว่าจะเป็นห้องหนังสือหรือห้องของเล่นอีก เขาเพียงคิดจะหาที่นั่งลงได้โดยเร็ว
“ต้องระวังอะไรบ้างหรือไม่” เขาฝืนทนกับร่างกายที่เจ็บปวดมากขึ้นทุกที พลางเอ่ยถามอย่างอดกลั้น
“อย่าไปโดนของเล่นพวกนี้ อย่าไปขยับหรือย้ายตำแหน่งพวกมัน” โต้วเปาเอ๋อร์ตอบตามตรงถึงเรื่องที่ต้องระวังในห้องหนังสือของฉืออิ๋ง
“อืม กระหม่อมขอพักตรงนี้สักครู่หนึ่ง องค์ชายวางพระทัยได้” ไป๋สิงเจี่ยนคิดที่จะอยู่คนเดียว “วันนี้ต้องรบกวนองค์ชายแล้ว กระหม่อมเองก็ต้องขอบังอาจแสดงความเห็นต่อองค์ชายสักหน่อย…ทรงอย่าทูลขอความเห็นใจให้เหยาจี”
โต้วเปาเอ๋อร์ถึงกับตะลึง เดิมทีเขาคิดว่าพอพี่สาวพ้นอันตรายแล้ว บางทีเขาอาจขอให้บิดาละเว้นโทษให้เหยาจีได้ “หากข้าไม่ช่วยจัดการเรื่องเหยาจีให้ มิใช่ว่านางมีแต่ต้องตายสถานเดียวหรอกหรือ”
“นางคิดฆ่ารัชทายาท มิใช่ว่าคำพูดเพียงไม่กี่คำขององค์ชายจะช่วยละเว้นโทษนางได้ อีกทั้งตัวองค์ชายเองก็ถือว่ามีส่วนพัวพันกับเรื่องนี้ด้วย แม้เป็นพี่น้องกัน แต่พระองค์ก็ใช้แซ่ของซีจิง ย่อมมีความแตกต่างกับรัชทายาทในฐานะผู้ปกครองกับผู้ใต้ปกครอง ยิ่งไปกว่านั้นสาเหตุที่รัชทายาทต้องประสบภัยก็เป็นเพราะท่านนำตะกร้อไฟจากซีจิงมาให้นาง ไม่ว่าเป็นเพราะเหตุผลเรื่องน้ำใจหรือใดๆ ท่านก็ไม่อาจปฏิเสธการรับโทษนี้ได้ หากองค์ชายยังทูลขอชีวิตแทนมือสังหารอย่างขาดความยั้งคิดอีก คนที่จะถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องเพิ่มด้วยก็คือคนที่ซีจิง” ไป๋สิงเจี่ยนแยกแยะให้เห็นข้อดีข้อเสียทั้งหมดเพื่อเป็นการตอบแทนเรื่องในวันนี้
โต้วเปาเอ๋อร์ถึงกับเหม่อลอยเมื่อได้ยินจนจบ เขาไม่ได้คิดถึงจุดสำคัญของเรื่องนี้ว่าจะเกี่ยวพันกับผู้คนมากมาย การวิเคราะห์ของไป๋สิงเจี่ยนคล้ายกับที่อาจารย์ในชั้นเรียนของตระกูลซีจิงสอนเอาไว้ ให้วิเคราะห์ถึงผลที่จะเกิดขึ้นและผลกระทบจากจุดกำเนิดของเรื่องราว ความเป็นเหตุเป็นผล ความต่างของผู้ปกครองและผู้ใต้ปกครอง กระทั่งตระกูลใหญ่ที่มีรากฐานเป็นร้อยปีก็ยังอาศัยสติที่แจ่มชัดเช่นนี้มารักษาความอยู่รอดของตระกูลเลย แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องของการหาเหตุและผล ได้เปรียบเสียเปรียบ กลับไม่มีเรื่องของจิตใจหรือความเห็นใจใดๆ มีเพียงความเย็นชาเช่นนี้ เขายอมรับไม่ได้
“ไม่ว่าจะต้องสงสัยอย่างไร ข้าก็ไม่มีทางทอดทิ้ง ไม่มีทางไม่ห่วงใยคนที่รัก! อีกทั้งนางยังต้องจากบ้านเมืองมาไกลด้วย ข้าไม่คำนึงถึงเรื่องผู้ปกครองกับผู้ใต้ปกครองหรอก!” โต้วเปาเอ๋อร์แสดงออกถึงการแบกรับภาระของบุรุษ นั่นคือปฏิเสธข้อเสนอของไป๋สิงเจี่ยน ขณะเดียวกันก็เอ่ยถามขึ้น “อาจารย์เคยรักใครสักคนหรือไม่”
ไป๋สิงเจี่ยนมองตรงไปที่บุรุษหนุ่มผู้นี้ “องค์ชายทรงไม่เคยพบเจอคลื่นลมในชีวิต จึงมีพระดำริว่าความรักสามารถแทนที่ได้ทุกสิ่ง”
โต้วเปาเอ๋อร์พูดสวนกลับมาในทำนองเดียวกัน “อาจารย์เองก็ไม่เคยรักใคร ถึงได้เห็นว่าในใต้หล้านี้มีแต่วัดกันที่ข้อดีข้อเสียเท่านั้น”
พูดจบโต้วเปาเอ๋อร์ก็จากไปอย่างขุ่นเคือง
นี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋สิงเจี่ยนถูกคนหนุ่มซึ่งยังอ่อนต่อโลกคนหนึ่งกล่าวโต้แย้ง
เขาก้าวเดินอยู่ในห้องอย่างเงียบเชียบ หลบหลีกของเล่นที่เกลื่อนอยู่บนพื้นอย่างระวัง รอจนลอดผ่าน ‘เขตแดนอ่อนไหว’ แล้ว เขาก็มาถึงเบื้องหน้าโต๊ะเขียนหนังสือได้เสียที เขาลากเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง เหงื่อไหลทั่วแผ่นหลังนานแล้ว
วางไม้เท้าไว้ที่ด้านข้างแล้ว เขาก็หยิบเข็มเงินออกมาจากในแขนเสื้อสิบกว่าเล่ม เข็มแต่ละเล่มยาวกว่าเข็มเงินของกู้ไหวถึงสองเท่า หมอทั่วไปไม่อาจใช้เข็มยาวเพียงนี้ได้ นอกจากนี้ยังมีห่อผงฝิ่นชื้นๆ ห่อหนึ่ง ที่ทุกคนต่างมองว่าดอกฝิ่นเป็นดอกไม้ให้โทษ ถึงอย่างนั้นมันก็สามารถใช้เป็นยาระงับความเจ็บปวดได้
ไป๋สิงเจี่ยนใช้เข็มเงินจุ่มไปที่ผงฝิ่น ก่อนปักเข็มลงไปที่เข่า แทงเข็มลงไปสิบกว่าเล่มโดยไม่ยอมออมมือ หากมีคนอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นเขาในตอนนี้แล้ว จะต้องคิดว่าเขากำลังทารุณตนเองเป็นแน่
สำหรับไป๋สิงเจี่ยนแล้ว ความเจ็บปวดที่มีเข็มแทงเข้ากระดูกเทียบไม่ได้กับตอนที่อาการของโรคกำเริบเลยด้วยซ้ำ และทุกครั้งที่อาการเขากำเริบ หากไม่ใช้ผงฝิ่นช่วยอาการก็จะไม่ทุเลา ดังนั้นเขาจึงพกผงฝิ่นติดตัวไว้เสมอ ทว่าครั้งนี้ผงฝิ่นที่เปียกน้ำมีเหลือใช้ไม่มากแล้ว ฤทธิ์ของยาย่อมลดลงไปมาก
เขาพิงไปที่พนักเก้าอี้ ใช้นิ้วมือจับที่ชายเสื้อ ข้อนิ้วเขียวคล้ำ หน้าผากเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาเงยหน้ามองไปที่ขื่อคานและเพดานในตำหนัก ซึ่งเต็มไปด้วยลวดลายของมังกรคู่เล่นไข่มุก มีดอกบัวโอบล้อม สิบหกเทพธิดาโปรยดอกไม้บรรเลงดนตรี ตอนที่เยาว์วัยเขาก็เคยเห็นดอกบัวและเทพธิดามาก่อน
ไป๋สิงเจี่ยนไม่ยอมจมอยู่กับเรื่องในอดีต เขาหันมามองดูที่โต๊ะ แล้วเลื่อนมือไปที่หนังสือเล่มที่อยู่ใกล้ที่สุด พลิกเปิดออกดู กลับเป็น ‘ว่าด้วยเกลือและเหล็ก’ ที่เฟิ่งจวินเขียนขึ้นเอง ซึ่งเกี่ยวพันกับภาษีของอาณาจักร เมื่อเห็นของเล่นเกลื่อนเต็มพื้นแล้ว ช่างรู้สึกไม่เข้ากันเลยสักนิด ไป๋สิงเจี่ยนเคยอ่าน ‘ว่าด้วยเกลือและเหล็ก’ มาก่อน เขารู้สึกว่าเฟิ่งจวินเป็นคนเก่งที่ไม่ได้จะมีในทุกยุค แต่เห็นอีกฝ่ายยอมรับเป็นเฟิ่งจวินเช่นนี้ เขาไม่อาจเข้าใจได้เลย
‘อาจารย์เองก็ไม่เคยรักใคร ถึงได้เห็นว่าในใต้หล้านี้มีแต่วัดกันที่ข้อดีข้อเสียเท่านั้น’
เสียงของโต้วเปาเอ๋อร์คล้ายยังวนเวียนอยู่ข้างหู
ความรักคืออะไร ใช่การหลงผิดที่เกิดจากความสับสนหรือไม่ แล้วจะเก็บรักษาได้นานเพียงใด มีแต่หนุ่มๆ สาวๆ ที่พร่ำเพ้อถึงความรักตราบฟ้าดินมลาย อย่างตัวเขาไป๋สิงเจี่ยน คงมีแต่ความโกรธแค้น…ชั่วฟ้าดินสลายแล้ว
เขาเตรียมจะโยน ‘ว่าด้วยเกลือและเหล็ก’ ทิ้งไป รัชทายาทผู้ดื้อรั้นจะอ่านหนังสือเช่นนี้ได้หรือ น่าจะมองว่าหนังสือเล่มนี้เป็นของเล่นชิ้นหนึ่งเสียมากกว่า ฉับพลันสายตาเขาก็มองเห็นหน้าที่มีการจดขยายความเข้าพอดี มือชะงักหยุดตรงหน้านั้น เขายกหนังสือขึ้นอ่านตัวอักษรตัวเล็กที่อยู่ด้านข้าง…เป็นการตั้งข้อสงสัยและความเห็นเพิ่มเติมจากการวิเคราะห์เรื่องเกลือและเหล็กในหนังสือ แม้บทวิเคราะห์จะไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่วิธีคิดนั้นกลับไม่ธรรมดาเลย ดูจากลายมือบรรจงและงดงาม รูปแบบของตัวอักษรมีต้นแบบมาจากเฟิ่งจวิน อาจเห็นความต่างกันอยู่ เพราะเทียบกับลายมือของการบ้านทุกสิบวันแล้ว ตัวอักษรตรงหน้านี้ก็ไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไรนัก
ไป๋สิงเจี่ยนรู้สึกแปลกใจระคนสงสัย จนลืมอาการเจ็บที่ขาไปโดยสิ้นเชิง เนื้อหาและลายมือที่จดขยายความนี้ไม่ใช่เฟิ่งจวินเขียนเอาไว้ และทั้งหมดก็ล้วนพุ่งไปที่เจ้าเด็กหัวดื้อคนนั้น จะเป็นไปได้อย่างไร!
จู่ๆ ก็มีกระดาษใบหนึ่งปลิวออกจากหนังสือแล้วหล่นลงที่พื้น ไป๋สิงเจี่ยนหยุดมองครู่หนึ่ง ก่อนก้มตัวลงไปหยิบขึ้นมา ทำให้เขารู้สึกเจ็บหัวเข่าขึ้นมาอีก ทว่าสิ่งที่เขียนเล่นในกระดาษกลับทำให้เขาไม่เจ็บในทันใด
กระดาษอย่างดีแผ่นหนึ่งวาดรูปแย่ๆ หยาบๆ ของคนตัวเล็กหลายคนบนนั้น คนตัวโตหน่อยที่มีลายเส้นไม่กี่เส้นถือไม้เท้ายืนอยู่หลังโต๊ะตัวหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แสดงออกด้วยมุมปากที่ย้อยลง ด้านล่างจากโต๊ะมีคนตัวเล็กๆ กลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ วาดด้วยลายเส้นไม่กี่เส้นแทนกลุ่มคน แต่ในจำนวนนั้นมีคนตัวเล็กคนหนึ่งที่วาดลายเส้นโดยใส่รายละเอียดที่เด่นชัดอย่างชัดเจน มีนัยน์ตากลมใหญ่ ปากเล็กมีเสน่ห์ แล้วยังวาดลายที่รองเท้าคู่เล็ก สิ่งที่แสดงตัวตนได้ดีคือบนเสื้อมีบัวลอยลูกกลมๆ วาดไว้ เจ้าคนผู้นี้เพิ่งจะเขียนคำว่า ‘คนเลว’ เสร็จ
ไป๋สิงเจี่ยนไม่เคยเห็นรูปวาดที่เรียบง่ายทว่าหยาบคายเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกขัดตาอย่างมาก วาดภาพไม่เก่งแล้วจะฝืนวาดไปไยกัน สิ้นเปลืองหมึกและกระดาษเสียจริง! เขาทนไม่ไหวจำต้องมองอีกครั้ง แม้แต่บัวลอยยังวาดได้กลมดี แต่กลับวาดอาจารย์แบบขอไปทีสักหน่อย วาดแล้วยังไม่ดีเท่าภาพรองเท้าของนางเลย! แล้วคนเลวที่ว่านี่หมายถึงผู้ใดกัน!
มองไปเห็นที่ด้านข้างของกระดาษเขียนว่าหนึ่ง น่าจะเป็นเลขหน้า ไป๋สิงเจี่ยนจึงพลิกหนังสือ ‘ว่าด้วยเกลือและเหล็ก’ แล้วก็ไปเจอรูปวาดหยาบๆ อีกหนึ่งแผ่น เขียนเลขหน้าสอง เนื้อหากลับแย่หนักกว่าเดิมอีก คนตัวเล็กถือไม้เท้าซึ่งวาดด้วยลายเส้นไม่กี่เส้นกำลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าสตรีที่ใส่เสื้อลายบัวลอย
บนศีรษะคนตัวเล็กมีวงกลม ในวงกลมมีตัวอักษร ‘ถวายบังคมจักรพรรดินี!’
บนศีรษะของนางก็มีวงกลมเช่นกัน ในวงกลมมีตัวอักษร ‘เหล่าไป๋ เจ้าก็มีวันนี้!’
เส้นที่ขมับของไป๋สิงเจี่ยนเต้นตุบๆ ไม่พูดถึงว่าจากหนึ่งไปสองมีเหตุผลอย่างไร ในเมื่อไม่มีความเชื่อมโยงแล้วจะเรียงหน้าด้วยเหตุใด หรือว่าระหว่างกลางมีเนื้อเรื่องอะไรที่ตกหล่น เส้นที่วาดไม่ค่อยละเอียดก็ช่างเถิด แต่เนื้อเรื่องยังไม่ละเอียดอะไรเลย เห็นได้ชัดว่ากระทำไปตามอารมณ์อันไร้เหตุผล แม้เนื้อหาของหน้าที่หนึ่งจะยังพอมีความเป็นจริงอยู่บ้าง ทว่าเนื้อหาในหน้าที่สองนั้นกลับ…ฝัน! กลางวัน!
พลิกไปก็ไม่เจอหน้าที่สาม ไป๋สิงเจี่ยนจึงเสียบภาพวาดที่ไม่เข้าตาเหล่านี้กลับคืน ก่อนจะโยนหนังสือลงบนโต๊ะ
ไป๋สิงเจี่ยนหางตาเหลือบไปเห็นว่าใต้โต๊ะมีถังทิ้งกระดาษอยู่ ข้างในถังคล้ายมีหนังสือทิ้งอยู่ สำหรับคนเรียนหนังสือแล้ว การทิ้งหนังสือลงถังถือเป็นการหมิ่นเกียรติของนักปราชญ์ในอดีต ที่จริงแล้วไป๋สิงเจี่ยนก็มิใช่คนเรียนหนังสือหัวเก่า สำหรับเขาแล้วคนที่ถูกเรียกว่านักปราชญ์นั้นมีอยู่ไม่น้อยที่ทำเพื่อชื่อเสียงและสิ่งตอบแทน ไม่ควรค่าแก่การให้พูดถึง แต่สำหรับอาลักษณ์คนหนึ่งแล้ว การทำลายคนและงานเขียนถือเป็นการดูถูก การโยนหนังสือทิ้งอย่างไร้เหตุผลก็ทำให้คนไม่ชื่นชอบได้เหมือนกัน
ดังนั้นเขาจึงก้มตัวลงไปหยิบหนังสือขึ้นมาจากในถัง เมื่ออ่านชื่อหนังสือ ‘คุณชายล้างแค้น’ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น แล้วเหตุใดจึงถูกทิ้งลงในถังเล่า สำหรับเขาแล้วงานเขียนเช่นนี้ควรเป็นที่ถูกใจองค์หญิงผู้ดื้อรั้นเช่นนางจึงจะถูก
แต่ไรมาไป๋สิงเจี่ยนไม่เคยคิดอ่านนิยาย หากไม่ใช่เพราะวันนี้อาการที่เข่าของเขากำเริบ และยาระงับความเจ็บปวดไม่เพียงพอ เขาก็ไม่มาเปิดนิยายเล่มนี้อ่านแน่ แล้วก็ต้องพลาดโอกาสอ่านนิยายฟื้นคืนชีพแนวนี้ไป
หลังพลิกอ่านไปหลายหน้า สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนในทันใด ก่อนจะพลิกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ดวงตาพลันหรี่ลง ลมหายใจถี่กระชั้น
นิยายแนวตายแล้วฟื้นกลับมาแก้แค้นแม้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ที่แปลกก็คือเนื้อเรื่องของนิยาย แม้จะสร้างจากความนึกคิดของผู้เขียน…แต่มีจุดน่าติดตามที่ชวนให้วางไม่ลง ที่เล่ามานี้ก็คือตระกูลหมอดังแห่งเจียงหนาน เพราะเจ้าบ้านเข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องของการแก่งแย่งอำนาจบ้านใหญ่บ้านรองของตระกูลใหญ่ที่นั่นเข้า แอบฆ่านายท่านผู้เฒ่าแทนลูกบ้านรอง เมื่อเรื่องราวถูกเปิดโปง เจ้าบ้านของตระกูลหมอมีชื่อจึงถูกทางการตัดสินประหารชีวิต บุตรชายคนโตของบ้านใหญ่ไม่ยอมปล่อยบ้านหมอไป หาข้อกล่าวหามาทำให้ล่มสลายทั้งบ้าน นำสตรีบ้านหมอไปกักขัง แล้วยังนำคุณชายคนเดียวของบ้านหมอไปทรมานจนตาย คุณชายตายแล้วฟื้นคืนมา ตั้งมั่นว่าจะแก้แค้นให้ได้ เขาลอบวางแผนด้วยการเข้าเมืองหลวงมาเป็นขุนนาง เมื่อตำแหน่งใหญ่โตขึ้นก็จะบีบคู่แค้นให้เข้าสู่ทางตันทีละก้าว หมัดต่อหมัด กระทั่งแก้แค้นสำเร็จในที่สุด
ไป๋สิงเจี่ยนราวกับถูกฟ้าผ่า ช่างเหมือนจริงๆ
เหมือน? ข้อนิ้วมือของไป๋สิงเจี่ยนขาวซีด หลังจากผ่านความเดือดดาลในตอนแรกแล้ว จิตใจของเขาก็สงบลง ใครกันหนอที่เรียบเรียงเรื่องนี้แล้วเขียนเป็นนิยาย ขายอย่างแพร่หลายในซีจิง กระทั่งมาถึงที่เมืองหลวง ช่างบังเอิญเกินไปแล้ว ไม่น่าเป็นไปได้!
มีคนจงใจให้เขาได้เห็นนิยายเรื่องนี้ หรือว่าทำให้คนอื่นๆ ได้เห็นนิยายเรื่องนี้กันแน่ หากไม่ใช่คนที่เคยผ่านคดีใหญ่เมื่อสิบหกปีก่อนมา ใครบ้างที่จะมองเค้าโครงของเรื่องดั้งเดิมออก
ต้องเสาะหาต้นตอด้วยการตามหาให้พบว่าใครเป็นคนทำขึ้นมา จึงจะเปิดโปงเป้าหมายของคนผู้นั้นได้
ไป๋สิงเจี่ยนโยนนิยายเล่มนั้นทิ้งลงในถังอีกครั้ง นิยายที่มีเรื่องราวโหดร้ายแบบฟื้นคืนมาแก้แค้นนี้ ใครจะคิดถึงความจริงที่อยู่เบื้องหลัง เพียงถือว่าเป็นนิยายที่แต่งขึ้นมาเล่มหนึ่ง แม้แต่องค์หญิงผู้ดื้อรั้นยังรู้สึกทนอ่านไม่ได้ และทิ้งให้เป็นขยะไป
ไป๋สิงเจี่ยนลุกขึ้นแล้วออกจากห้องหนังสือขององค์หญิง ทำเหมือนว่าเขาไม่เคยมาเยือน
กู้ไหวต้มยาเสร็จแล้ว สองมือจึงประคองอาหารผสมยาเดินเข้ามาในห้องพักของฉืออิ๋ง หลายวันนี้เป็นเขาที่รับผิดชอบต้มยาให้นางและคอยดูแลให้กินยา ซึ่งนางกินยายากเย็นยิ่ง ทำให้เขารู้ว่าเหตุใดหยวนสี่ตี้และเฟิ่งจวินจึงไม่มาปรากฏตัวตอนที่บุตรสาวกินยา กู้ไหวจึงคิดค้นอาหารผสมยาเพื่อเอาไว้ใช้กับนางโดยเฉพาะ
วันหนึ่งส่งยามาสามรอบ ทุกครั้งกู้ไหวอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น ไม่ใช่เพราะยาที่ปรุง แต่เป็นตัว ‘ถวนถวน’
หลังฟื้นคืนสติมาแล้ว แม้ฉืออิ๋งจะไม่ค่อยร่าเริงนัก ถึงอย่างนั้นยามที่ดวงตามีประกายของนางมองกู้ไหว หัวใจของเขาก็แทบจะทานทนไม่ไหวแล้ว ยิ่งนางไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก ทุกวันให้อยู่แต่ในห้องพัก ใส่แต่ชุดนอนที่สบายๆ บนชุดมีบัวลอยลูกกลมๆ…ใจของกู้ไหวก็แทบละลายกลายเป็นน้ำ มีหลายครั้งที่เกือบถูกลวงให้กินยาแทนนาง
เข้ามาในห้องแล้ว กู้ไหวก็เห็นฉืออิ๋งใช้สองมือเท้าคางอยู่บนโต๊ะ บัวลอยบนชุดนอนประเดี๋ยวเห็นชัดประเดี๋ยวไม่ชัด
“องค์หญิง พระกระยาหารมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” กู้ไหววางถาดอาหารลงบนโต๊ะ
“อย่าคิดว่าเปลี่ยนวิธีการแล้วข้าจะไม่รู้ว่านี่เป็นยาที่ทั้งขมทั้งเหนียวทั้งกินยากนะ!” ฉืออิ๋งไม่แสดงสีหน้าใดๆ ตาก็ไม่กะพริบ เสมือนว่านางได้ใจสลายไปแล้ว “เสด็จพ่อไม่ทรงมาช่วยเสวยยาเช่นนี้ ข้ารู้สึกว่าชีวิตนี้ช่างไม่มีความหมายเลย”
จู่ๆ กู้ไหวก็นึกภาพเม็ดบัวลอยที่ดิ้นอยู่กับพื้นพลางบอกกับตนเองว่าชีวิตนี้ช่างไม่มีความหมาย เขาแทบกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ จำต้องเบือนหน้าไปทางอื่น
ฉืออิ๋งปรายตามองเขาด้วยความไม่พอใจ “เจ้าแอบหัวเราะเยาะข้าหรือ”
กู้ไหวปรับสีหน้าให้เรียบเฉยแล้วหันใบหน้ากลับมา “หามิได้พ่ะย่ะค่ะ”
“หึ! เห็นแก่ที่เจ้าช่วยข้าไว้ ข้าที่เป็นถึงรัชทายาทจะไม่ถือสาเจ้า!” ฉืออิ๋งยกข้อมือขึ้น แล้วเป่าลมใส่ข้อมือที่มีรูเข็มให้เห็น ทำเหมือนว่ายังเจ็บอยู่ “เจ้ากล้าเอาเข็มมาปักที่ตัวข้าเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่เป็นโทษหนักเพียงใด ข้าไม่ให้อภัยเจ้าง่ายๆ แน่!”
ตอนที่ฉืออิ๋งยังไม่ได้สติ นางราวกับรู้สึกว่าตนเองถูกเข็มแทงไปสองครั้ง ตอนที่หลับใหลอยู่นั้นนางโกรธมาก พอฟื้นขึ้นมาก็เห็นว่าที่ข้างท้องและที่ข้อมือล้วนมีรูเข็มเล็กๆ อยู่ ก่อนจะรู้ว่ามีหมอหลวงหนุ่มช่วยชีวิตนางไว้ นางจึงเตรียมคิดบัญชีนี้กับกู้ไหว
กู้ไหวไม่อาจโต้แย้งใดๆ ได้ เขายอมที่จะให้ฉืออิ๋งคิดบัญชีกับตน แล้วก็ยินยอมพร้อมใจที่จะให้นางเล่นงานเขา เพียงนึกภาพตัวเขาได้เข้าไปอยู่ในใจของนางแล้ว เขาก็รู้สึกพอใจอย่างมาก
“หากองค์หญิงทรงไม่ให้อภัยกระหม่อม กระหม่อมก็จะไม่ช่วยองค์หญิงดื่มยา” ใบหน้ากู้ไหวเพียงเฝ้ารออยู่เงียบๆ
กู้ไหวเพียงคิดว่าฉืออิ๋งจะแค่พูดจาเหลวไหลครู่เดียวเท่านั้น
ทว่าวันนี้เห็นได้ชัดว่านางดูไม่ค่อยแจ่มใสเท่าไร เพียงหยิบช้อนคันใหญ่คนยา “ไม่ดื่มก็ไม่ดื่มสิ ไม่รู้ว่าโต้วเปาเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง ได้ยินมาว่าเสด็จพ่อกริ้วเขามาก ถึงกับมีรับสั่งขังเขาไว้”
“รอให้เฟิ่งจวินทรงคลายพระพิโรธลงแล้ว คงคลี่คลายเรื่องราวได้ องค์หญิงทรงอย่าเป็นกังวลมากเกินไปเลย” กู้ไหวเอ่ยปลอบโยน
“จะไม่มีเรื่องได้อย่างไรเล่า ครั้งนี้โต้วเปาเอ๋อร์กลับมาเพื่อรับการแต่งตั้ง แต่เขากลับแอบพาองค์หญิงแคว้นเหยากลับมา เจ้าเหยาจีนี่ก็ช่างร้ายกาจ กล้าคิดร้ายต่อข้า โต้วเปาเอ๋อร์ก็มาร้องขอให้เหยาจีอีก ช่างโง่เขลาเสียจริง! เสด็จพ่อกริ้วเขาแย่แล้ว! ฟังมาว่าอาลักษณ์ผู้นั้นทราบเรื่องนี้มาแต่แรก แต่กลับไม่ยับยั้ง แล้วยังคิดอ่านจะบันทึกเรื่องนี้ลงในบันทึกอีก ช่างน่าแค้นใจจริงเชียว!”
“อาลักษณ์ผู้นั้นคือ…”
“จะเป็นใครไปได้อีก คนที่ชอบจับผิดผู้อื่น แอบบันทึกเรื่องราวเงียบๆ เป็นไท่สื่อไป๋สิงเจี่ยนน่ะสิ!”
“ไท่สื่อ?” กู้ไหวงุนงงกับท่าทีที่ฉืออิ๋งมีต่อไป๋สิงเจี่ยน จึงลองสอบถาม “องค์หญิงทราบหรือไม่ว่าผู้ใดเป็นคนช่วยท่านไว้”
“ไม่ใช่เจ้าหรือ” ฉืออิ๋งอารมณ์ไม่สู้ดีนัก “อะไรรึ บุญคุณที่เจ้าช่วยข้า ต้องให้ข้ามอบตัวให้เจ้าด้วยหรือไร”
กู้ไหวอ้าปากค้าง “ไม่…ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จแม่ทรงเลื่อนตำแหน่งเจ้าเป็นหมอหลวงขั้นสี่ แค่นี้ยังไม่พอหรือ”
“ไม่…ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ” กู้ไหวรู้สึกว่าเรื่องที่นางกับเขาพูดมาทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรื่องเดียวกัน “ใครเป็นคนบอกว่ากระหม่อมช่วยองค์หญิงไว้หรือ”
“ก็พวกหมอหลวงอย่างไรเล่า!”
“ไท่สื่อทราบเรื่ององค์หญิงแคว้นเหยาอยู่ก่อนแต่ไม่ยับยั้งเอาไว้ แล้วยังคิดเขียนลงในบันทึก คำพูดนี้ก็เป็นคำที่หมอหลวงใหญ่ทูลแก่องค์หญิงหรือพ่ะย่ะค่ะ” กู้ไหวคล้ายได้พบเห็นอะไรบางอย่าง
“ใช่สิ แล้วเหตุใดถึงไม่ควรบอกข้าเล่า หรือว่าเจ้ารู้แล้วจงใจไม่บอกข้า” ฉืออิ๋งพลันเกิดความสงสัย เมื่อจับสีหน้าผิดปกติของกู้ไหวได้
กู้ไหวพลันนิ่งอึ้ง มิน่าเล่า หลายวันนี้จึงไม่มีใครในสำนักหมอหลวงทำเรื่องยุ่งยากให้เลย เหมือนว่าจะมีไมตรีที่ดีต่อเขาไม่น้อย เขาคิดว่าตนเองเข้าใจผิดไปเองเสียอีก เพราะแม้แต่หมอหลวงใหญ่ก็วิจารณ์ผลงานของเขาในขั้นดีเลิศ เขายังคิดไปเองว่าในที่สุดวิชาแพทย์ของเขาก็ได้รับการยอมรับจากหมอหลวงใหญ่
ที่แท้เขาก็ตกอยู่ในวังวนการต่อสู้ระหว่างหมอหลวงใหญ่กับหัวหน้าสำนักหลันไถโดยไม่รู้ตัว
“กู้ไหว หรือว่าที่หมอหลวงใหญ่พูดไม่เป็นความจริง”
“ไม่…” กู้ไหวพลันเคว้งคว้าง หากฉีกหน้าสำนักหมอหลวง แล้วตัวเขาเองล่ะ “ไหนเลยหมอหลวงใหญ่จะกล้าทูลเรื่องโกหกแก่องค์หญิง”
แล้วเหตุใดฝ่าบาทกับเฟิ่งจวินจึงไม่ตรัสเรื่องจริงกับองค์หญิงเล่า
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.