X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน อาจารย์ข้าน่ารังแกที่สุด! บทที่ 7

หน้าที่แล้ว1 of 10

  บทที่ 7

ภายใต้การดูแลเรื่องยาและด้วยความทุ่มเทเอาใจใส่ของหมอหลวง ฉืออิ๋งจึงฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เมื่ออาการดีขึ้นแล้ว นางก็อ้อนวอนเรื่องโต้วเปาเอ๋อร์กับบิดาทันที แต่ไม่ว่านางอ้อนวอนอย่างไร เฟิ่งจวินก็ยังใจแข็งยิ่ง ไม่ยอมเว้นโทษให้โต้วเปาเอ๋อร์ง่ายๆ สำหรับตัวการสำคัญหมายเลขหนึ่งยังคงถูกขังไว้ในคุกหลวงโดยไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน เห็นแก่ที่เหยาจีเป็นถึงองค์หญิงของแคว้นเล็ก จึงไม่อาจสืบสวนเรื่องราวได้โดยตรง จำต้องส่งสาส์นของต้าอิ่นไปให้แคว้นเหยา สั่งให้ทางแคว้นเหยาต้องยอมรับโทษ

ฉืออิ๋งยังไปขอกับหยวนสี่ตี้ด้วย ทว่ามารดากลับให้เหตุผลว่ายกเรื่องนี้ให้เฟิ่งจวินจัดการแล้ว ฉืออิ๋งจึงไม่จำเป็นต้องถามอีก

ในเวลานั้นฉืออิ๋งพลันรู้สึกว่าตนเองที่เป็นถึงรัชทายาทกลับไม่มีอำนาจใดไปแทรกแซงเลย ที่ทำได้อย่างเดียวคือไปห้องเรียน แต่เมื่อไปถึงห้องเรียนกลับได้ข่าวว่าอาจารย์ลา ทั้งยังเป็นการลาป่วย เหล่าสหายก็ยินดีกันเป็นธรรมดา การบ้านไม่ต้องส่งชั่วคราว ทั้งไม่ต้องมีการบ้านใหม่นอกชั้นเรียน

จั่นคุนเผิงคิดชวนฉืออิ๋งหนีเรียนไปตลาดเพื่อดูชนไก่แข่งสุนัข ทว่ากลับถูกฉืออิ๋งปฏิเสธ จั่นคุนเผิงเสียใจมาก เลยหันไปชวนเมิ่งกวงหย่วน อีกฝ่ายกลับอ้างว่ามีธุระ ปฏิเสธข้อเสนอของเขาอย่างละมุนละม่อม ไม่ว่าจั่นคุนเผิงจะโอ้อวดถึงความยิ่งใหญ่ในการแข่งขันชนไก่ครั้งนี้อย่างไร เมิ่งกวงหย่วนก็ไม่คล้อยตามสักนิด ไม่ใช่อะไร เป็นเพราะยามที่อยู่ต่อหน้าฉืออิ๋ง เมิ่งกวงหย่วนไม่สามารถแสดงความร่ำรวยออกมาเหมือนกับจั่นคุนเผิงได้

ฉืออิ๋งมือเท้าคางมองไปยังบริเวณหน้าชั้นเรียน ฉับพลันนางก็เกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง

แม้ฉืออิ๋งจะไม่มีอำนาจที่แท้จริง ทว่าการหาข่าวคราวคนผู้หนึ่งยังมิใช่ปัญหา อย่างเช่นการหาบ้านของหัวหน้าสำนักหลันไถ

ผู้ดูแลสำนักศึกษาเจาเหวินชั่วคราวเมื่อถูกสายตากดดันจากฉืออิ๋งที่ดู ‘นอบน้อม’ และ ‘บริสุทธิ์’ ก็ยอมบอกที่อยู่ไป๋สิงเจี่ยนออกมา

“คุณชายเมิ่ง เจ้าช่วยไปที่หนึ่งเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่ หากยอมไป วันหลังข้าจะให้ลอกการบ้านทั้งหมด” ฉืออิ๋งไม่ค่อยรู้ทาง จำเป็นต้องมีสหายไปด้วย

เมิ่งกวงหย่วนใจเต้นระรัว เขาพยักหน้ารับอย่างไม่คิดชีวิต

ฉืออิ๋งส่งที่อยู่ของบ้านไป๋สิงเจี่ยนใส่มือเมิ่งกวงหย่วนเพื่อให้เขานำทาง

ได้รับคำสั่งที่ร้องขอมา เมิ่งกวงหย่วนย่อมไม่กล้าชักช้า รีบหาตำแหน่งที่ตั้งของตรอกฉางเซิง ก่อนจะพบว่าที่นั่นไม่ใช่แหล่งที่พักของขุนนางใหญ่อะไร

เหมือนจะเป็นตรอกที่พักของพวกชาวบ้าน เมิ่งกวงหย่วนไม่เคยไปบริเวณที่พักชาวบ้านมาก่อน จึงไม่กล้าบอกว่ารู้เส้นทางแน่ชัด กระนั้นก็ไม่ยอมเผยความไม่รู้ออกมาต่อหน้าฉืออิ๋ง

เขายืดอกขึ้น “องค์หญิง กระหม่อมรู้ทางไปดี!”

ฉืออิ๋งเชื่อเมิ่งกวงหย่วน

ทั้งสองคนออกจากสำนักศึกษาเจาเหวิน ออกจากประตูวัง และเช่ารถม้าคันหนึ่ง ก่อนจะเคลื่อนไปตามเส้นทางคดๆ เคี้ยวๆ กระทั่งไปถึงตรอกฉางเซิง

ฉืออิ๋งไม่ค่อยได้ไปเยือนในเขตที่พักของราษฎรเท่าไรนัก นางนั่งเกาะขอบหน้าต่างรถมองซ้ายแลขวา นางรู้สึกแปลกใจกับชีวิตของราษฎร ไม่รู้ว่าสตรีบ้านคนธรรมดาต้องเรียนหนังสือกันกี่ปี

หลังจักรพรรดินีขึ้นปกครองอาณาจักรต้าอิ่น ราษฎรที่มีบุตรสาวสามารถรับเหล้าสองไห หมูหนึ่งตัว และสุนัขหนึ่งตัวจากทางการ มีบุตรชายจะไม่ได้รับอะไร เนื่องจากแผ่นดินนี้ให้การยอมรับบุตรสาว จึงส่งผลให้ฐานะของสตรีทั่วอาณาจักรได้ประโยชน์มากขึ้น ที่ตามมาคือการเพิ่มการศึกษาให้กับสตรี สตรีสามารถแยกเรือนอยู่เองได้ เป็นเจ้าบ้านเองได้ จะขาดก็คือความก้าวหน้าในการรับราชการเป็นขุนนาง ถึงอย่างนั้นประเด็นหลังก็เป็นแค่เรื่องช้าเร็วเท่านั้น

รถม้าคันใหญ่ที่เมิ่งกวงหย่วนจ้างมาเข้าตรอกไม่ได้ ทั้งสองจึงลงจากรถและหยุดยืนอยู่ตรงปากตรอก บนถนนมีเสียงดังจอแจ บรรยากาศของตลาดเผยอยู่ตรงหน้า ฉืออิ๋งไม่รู้ว่าควรไปทางไหนดี ในใจนางยามนี้เปี่ยมด้วยความแปลกใหม่ มิต่างจากนกน้อยที่ถูกปล่อยจากกรง ได้ดื่มด่ำกับอิสระ นางไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย นางเดินอ้อมสุนัขข้างทางตัวหนึ่งอยู่หลายรอบ แล้วย่อตัวลงที่หน้าหาบขายน้ำหวานพลางยกฝาขึ้นมองดูข้างใน

“คุณหนูคงกระหายน้ำ จะรับสักชามหรือไม่” คนขายเห็นเสื้อผ้าที่ฉืออิ๋งใส่เป็นผ้าชั้นดี ใบหน้าขาวผ่อง งดงามกว่าชาวบ้านทั่วไป เพียงแค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นคุณหนูจากตระกูลชั้นสูง ย่อมไม่เคยกินของชาวบ้านมาก่อน ครานี้เขาจะต้องขายได้เงินมากแน่

“รสชาติดีหรือไม่” ฉืออิ๋งหยิบทัพพีคนน้ำหวานในหม้อ

“รสชาติดีแน่นอน! เพราะร้านข้าใช้น้ำแร่จากเขาซีซานมาต้ม ไม่มีสาขาอื่นอยู่ในเมืองหลวง มีขายเฉพาะที่นี่ คุณหนูไม่ควรพลาดเป็นอันขาด หนึ่งชามแค่เงินหนึ่งก้วน เท่านั้น!” คนขายจ้อง ‘แพะน้อยตัวอ้วน’ ด้วยแววตาเป็นประกาย

แพะน้อยตัวอ้วนฉืออิ๋งเลียที่มุมปาก นางใช้นิ้วมือนับเลข “หนึ่งก้วนเท่ากับหนึ่งพันอีแปะ เงินจำนวนนี้สามารถซื้อพ่อหมูได้หนึ่งตัว หรือซื้อหนังสือ ‘รวมบทกวีเฟิ่งจวิน’ ที่แพร่หลายได้หนึ่งเล่ม แล้วยังซื้อดอกโบตั๋นที่มีชื่อเสียงของลั่วหยางหนึ่งดอก เพียงพอที่จะซื้อโลงศพได้หนึ่งโลง ลำพังแค่แอบขึ้นไปบนเขตหวงห้ามบนเขาซีซานก็ต้องรับโทษถูกโบยจนเข็ดหลาบไปอีกนาน”

สองตาของคนขายสิ้นประกายไปทันใด สองขาอ่อนยวบ เกือบจะคุกเข่าลงต่อหน้าแพะน้อยตัวอ้วนแล้ว “ไม่ๆๆ! นี่เป็นความเข้าใจผิด ข้านำน้ำมาจากในบ่อ น้ำไหลมาจากซีซาน น้ำหวานชามละสองอีแปะเท่านั้น แต่เห็นว่าชะตาต้องกันกับคุณหนู ข้าขอยกให้คุณหนูหนึ่งชาม เมื่อครู่นี้เป็นเพียงการพูดเล่น…”

ฉืออิ๋งยกน้ำหวานขึ้นดื่มรวดเดียวไปครึ่งชาม “ยังพอได้ แต่ว่าหวานไปหน่อย”

คนขายน้ำหวานถูกตำหนิว่าน้ำหวานที่ขายหวานเกินไปเสียได้ แต่เขาก็ไม่กล้าเอ่ยโต้แย้ง ด้วยรู้สึกว่าวันนี้มาเจอกับผีตนหนึ่ง เจ้าหนูน้อยนี่เป็นผีอะไรกันแน่

เรื่องทั้งหมดทำให้เมิ่งกวงหย่วนตกตะลึงพูดอะไรไม่ออก จู่ๆ เขาก็ถูกฉืออิ๋งสะกิดเอว บอกให้เขาหยิบเงินส่งไปให้

ฉืออิ๋งรับเงินจากเมิ่งกวงหย่วนมาสองอีแปะ นางวางไว้บนหาบ แล้วใช้ฝ่ามือทับเงินเอาไว้ “ท่านอา ในตรอกฉางเซิงมีคนแซ่ไป๋หรือไม่”

คนขายน้ำหวานปรายตามองไปยังมือเล็กๆ ของฉืออิ๋ง “มีขุนนางยากจนที่แซ่ไป๋อยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าใช่คนที่คุณหนูพูดถึงหรือไม่”

“ยากจนเพียงใด”

“คนขายผักต่างไม่ค่อยอยากไปขายที่บ้านนั้นหรอก ปีทั้งปีไม่ซื้อเนื้อกิน ได้ยินแค่ว่าเป็นขุนนาง แต่ไม่รู้ว่าเป็นขุนนางอะไร ไม่รู้เหตุใดถึงได้จนขนาดนี้ อยู่ได้แค่ตรอกฉางเซิงเท่านั้น”

“แล้วที่บ้านมีคนอยู่กี่คน”

“มีนายบ่าวสองคน กระทั่งนายหญิงก็ไม่มี” คนขายได้โอกาสพูดเสริมขึ้นว่า “แต่ว่าขาของคนแซ่ไป๋มีอาการผิดปกติ คงจะหาภรรยาแต่งยากกว่าคนอื่นสักหน่อย”

ฉืออิ๋งยกมือออก วางเงินสองอีแปะไว้ด้วยความรู้สึกพึงพอใจ ก่อนจะคว้ามือเมิ่งกวงหย่วนที่นิ่งอึ้งหมุนตัวเดินเข้าตรอกไป

“อาจารย์แต่งภรรยาไม่ได้จริงๆ หรือ” เมิ่งกวงหย่วนฟังจากที่คนขายน้ำหวานกล่าวถึงตัวอาจารย์แล้วก็ตกใจอย่างมาก เอ่ยถามฉืออิ๋งเสียงเบา

“แน่นอน” น้ำเสียงของฉืออิ๋งมั่นใจยิ่ง “เจ้าดูเขาปั้นหน้าทั้งวันสิ ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเข้มงวดอีก ขาก็ไม่ปกติ ไหนเลยจะมีคนมาชอบเขาได้”

“แต่ว่า…ใครๆ ก็บอกว่าอาจารย์ตระหง่านดุจขุนเขาหยก อาจารย์ก็รูปงามนะพ่ะย่ะค่ะ!”

“เหลวไหล! รูปงามก็แลกข้าวกินไม่ได้นะ” ฉืออิ๋งเอ่ยสั่งสอนสหายด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง “บุรุษผู้หนึ่งแค่มีรูปงามจะมีประโยชน์อะไร ขาไร้เรี่ยวแรง แล้วก็มากเรื่องช่างเลือก รังเกียจอันนี้ พิถีพิถันอันนั้น หากจะดูบุรุษสักคนต้องดูที่ภายในของเขา คนที่มืดบอดภายใน แม้รูปโฉมงดงามดูดีเพียงใดก็เหมือนเป็นดอกไม้พิษ มิอาจเด็ดดมได้!”

เมิ่งกวงหย่วนเอ่ยในใจว่าฉืออิ๋งเห็นบุรุษมาสักกี่คน ที่เห็นมากก็แค่พวกเพื่อนในชั้นเรียนที่สำนักศึกษาเจาเหวิน ที่นางวิเคราะห์ต้องเป็นเพราะถูกหยวนสี่ตี้และเฟิ่งจวินล้างสมอง

ทั้งสองเดินคุยกันจนมาถึงบ้านอาจารย์

บ้านที่อยู่ตรงหน้ามีสวนแบบชาวบ้านทั่วไป กำแพงบ้านไม่สูงมาก หากไม่ใช่ที่อยู่ในมือเขียนไว้ชัดเจน ฉืออิ๋งก็ไม่มีวิธีเอามาเชื่อมโยงกับหัวหน้าสำนักหลันไถได้ นี่ต้องเป็นแผนร้ายบางอย่างแน่นอน! ฉืออิ๋งยืนยันเห็นว่าอย่างนี้

เมิ่งกวงหย่วนประหลาดใจไม่น้อย อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าอาจารย์ของตนจะมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ เขาเดินหน้าเคาะที่ห่วงประตู รอให้มีการตอบรับ

ฉืออิ๋งแอบมองจากช่องประตู เห็นมีเงาคนมาเปิดประตู นางจึงหลบไปอยู่ด้านข้าง

ตันชิงเปิดประตูด้วยความสงสัยที่มีอยู่เต็มอก กระนั้นก็คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับฉืออิ๋งที่นี่ “องค์หญิง? พระองค์ผ่านมาหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ได้ยินว่าอาจารย์ป่วย ข้าเลยตั้งใจมาเยี่ยมอาจารย์เป็นพิเศษ” ฉืออิ๋งใช้คำพูดที่แม้แต่ผียังไม่เชื่อ นางเดินอ้อมตัวตันชิงเดินเข้าไปในบ้าน ตัวเรือนไม่ใหญ่มากนัก ปลูกผักไว้หลายแปลง มีห้องแบ่งไว้สองสามห้อง เรียบง่ายจนเหมือนไม่มีนายหญิงมาดูแลบ้านจริงๆ

ตันชิงรีบเดินตาม “ทำให้องค์หญิงต้องเสด็จมาถึงที่นี่แล้ว ไท่สื่อไม่ได้ป่วยอะไรมากพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่ต้องเกรงใจ แล้วอาจารย์เล่า” ฉืออิ๋งเริ่มกวาดตามอง นางคล้ายว่าจะเสาะหาไปทีละห้อง

“ไท่สื่อนอนอยู่พ่ะย่ะค่ะ” ตันชิงขวางฉืออิ๋งไว้ทันที

“อ้อ อาจารย์นอนกลางวัน…” ฉืออิ๋งลากเสียงยาวแปลกๆ

เมิ่งกวงหย่วนเหงื่อซึมทั่วศีรษะ ที่แท้องค์หญิงก็มาเพื่อจับผิด ไจ่อวี๋ศิษย์ของข่งจื่อเอาแต่นอนไม่ยอมมาเข้าชั้นเรียน ข่งจื่อกล่าวว่า ‘ไม้ผุไม่อาจแกะสลักได้ ดินไม่ดีไม่อาจฉาบกำแพงได้’

ตันชิงเกิดความทุกข์กังวลขึ้นในใจ เจ้าคนผู้นี้ไม่ได้มาดีจริงๆ ถึงกับตามมาหาเรื่องถึงที่บ้าน นับจากนี้ไท่สื่อจะได้อยู่เป็นสุขหรือ

“องค์หญิง ไท่สื่อเพิ่งจะกินยาไป ตอนนี้ยากำลังออกฤทธิ์ เพิ่งล้มตัวลงนอนได้ไม่นาน องค์หญิงเสด็จมาเยี่ยมวันอื่นดีหรือไม่” ตันชิงคิดดึงเวลาออกไป

“ข้าจะอยู่ในบ้านนี้ล่ะ รอจนกว่าอาจารย์จะตื่น” ฉืออิ๋งเดินไปที่แปลงผัก จ้องมองไปที่ต้นอิงเถา ต้นเล็ก

ตันชิงรู้สึกผิดที่ตนเองเปิดประตูเมื่อครู่นี้ ข้าถึงกับปล่อยให้ดาวหายนะมาเยือนถึงบ้าน จะทำเช่นไรดี ในบ้านไม่มีอาหารรสชาติดีสักอย่าง อิงเถาต้นนี้ก็เป็นต้นที่ไท่สื่อใส่ใจดูแลด้วยตนเอง อิงเถาสักลูกก็ยังไม่ยอมกินเลย ตอนนี้กลับไปเข้าตาองค์หญิงเข้าเสียได้ ตันชิงเบือนหน้าไปทางอื่น ทำเป็นมองไม่เห็นเสีย

ฉืออิ๋งรออยู่นาน ไม่เห็นตันชิงออกมาเสียที นางได้แต่กลืนน้ำลายลงไป ยอมปล่อยอิงเถาไปชั่วคราว แล้วถอยมาหาอย่างอื่นแทน นางย่อตัวลงที่ข้างแปลงผัก ก่อนจะถอนหูหลัวปัวอันเรียวเล็กซึ่งยังโตไม่เต็มที่ขึ้นมา

ตันชิงค่อยผ่อนคลายลงบ้าง เขาไปตักน้ำจากในบ่อมาให้ฉืออิ๋งล้างหูหลัวปัว เมิ่งกวงหย่วนก็ไปย้ายเก้าอี้มาไว้ที่ลานบ้านให้นางได้นั่งพัก

ฉืออิ๋งนั่งบนเก้าอี้ของไป๋สิงเจี่ยน นางยกขาขึ้นมาไขว้พลางงับหูหลัวปัว รอให้ไป๋สิงเจี่ยนตื่นจากนอนกลางวัน ผลก็คือเวลาที่รอนั้นนานเกินไปสักหน่อย ไป๋สิงเจี่ยนยังไม่ทันตื่น นางก็เอนร่างนอนไปบนเก้าอี้แล้ว…

 

ไป๋สิงเจี่ยนตื่นขึ้นมา แต่ด้วยฤทธิ์ยาจึงทำให้เขามึนงงอยู่บ้าง พอยันเตียงลุกขึ้นมาได้ก็คว้าไม้เท้ามาทันที เขาสวมเสื้อคลุมก่อนวางเท้าลงที่พื้นโดยไม่ได้เอ่ยเรียกให้ตันชิงมาช่วย เนื่องจากเขาตั้งใจว่าจะเดินออกไปสูดอากาศด้วยตนเอง

พอเปิดประตูห้อง ไป๋สิงเจี่ยนก็คิดว่าตนเองนอนนานเกินไปจนเกิดภาพลวงตา เขาจึงหลับตาแล้วเปิดตาขึ้นมาใหม่ ลายปักที่รองเท้าช่างละเอียดยิ่งนัก ล่าสุดที่เขาเห็นลายปักนี้ก็คือจากในภาพวาดแย่ๆ หยาบๆ ภาพหนึ่ง เป็นไปไม่ได้เลยที่ภาพลวงตาจะเหมือนจริงได้ถึงเพียงนี้

ไป๋สิงเจี่ยนเดินออกมาจากประตู เขาค่อยๆ ก้าวเดินตรงไปที่ ‘ภาพลวงตา’ ตรงหน้า ยังไม่ทันได้เข้าไปใกล้ก็เห็นมีกองรากหูหลัวปัวกระจายอยู่บนพื้นรอบๆ เก้าอี้ที่นางนอน และยังมีหูหลัวปัวที่กินเหลืออีกครึ่งหนึ่ง เขายกไม้เท้าขึ้นเคาะไปยังขาที่ไขว้กันอย่างไม่หนักไม่เบาเกินไป

ฉืออิ๋งฝันไปว่าถูกคนร้ายโจมตี นางพลันสะดุ้งตื่นขึ้น “คนเลว!”

ลืมตาขึ้นมาฉืออิ๋งก็เห็นไป๋สิงเจี่ยนในชุดอยู่บ้านยืนอยู่ตรงหน้าตนเอง ใบหน้าเขายังคงเงียบขรึมเย็นชาดังเดิม นางที่เพิ่งตื่นยังคงตระหนกจากฝันร้าย และที่น่ากลัวยิ่งกว่าฝันร้ายก็คือตื่นจากฝันร้ายแล้วมาเจอฝันร้ายอีกครั้งหนึ่ง

“ช่วยข้าด้วย!” ฉืออิ๋งกระโดดลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งหนีเอาชีวิตรอด

ไป๋สิงเจี่ยนเดินขึ้นมาข้างหน้าสองก้าว ก่อนจะหมุนตัวนั่งลงบนที่นั่งของตนเอง เขาจัดแต่งเสื้อผ้าให้เรียบร้อย มือถือไม้เท้า ใบหน้ามองไปที่ฉืออิ๋งที่เผ่นไปไกลหลายจั้งโดยไม่แสดงความรู้สึกอะไร

ฉืออิ๋งวิ่งหนีกระทั่งตื่นเต็มตา แล้วก็สงสัยว่าที่แท้ตนเองกำลังหนีอะไรกัน ไม่ใช่หัวหน้าสำนักหลันไถที่ใบหน้าเย็นเยียบเป็นน้ำแข็งหรอกหรือ! เขามีอะไรให้ต้องกลัว! ตอนที่เห็นเขาในฝัน นางก็เอาแต่หนีเขาตลอด โดยไม่รู้ว่าเหตุใดถึงต้องเป็นเช่นนั้น ที่ผ่านมาแล้วอยู่แค่ในฝันร้าย แต่ที่เห็นในตอนนี้ไม่ใช่ความฝันเสียหน่อย ในความเป็นจริงนางไม่ได้กลัวเขานี่!

ฉืออิ๋งปรับสีหน้าให้ดูนิ่งขึ้น ก่อนจะหมุนตัวกลับไปอย่างไม่รีบร้อน พร้อมลากมือของเมิ่งกวงหย่วนที่ยืนงงอยู่ เอ่ยอย่างจริงจัง “ได้ยินว่าอาจารย์ล้มป่วย เสี่ยวเมิ่งยืนยันว่าต้องมาเยี่ยมอาจารย์ให้ได้ ยังบอกว่าต้องมาส่งการบ้านที่บ้านอาจารย์ด้วยตนเอง”

เมิ่งกวงหย่วนแทบหลั่งน้ำตา เหตุใดจึงไม่บอกเรื่องมาส่งการบ้านกันก่อน ข้ายังไม่ได้เขียนเลย ไม่ใช่ว่าอาจารย์ป่วยแล้ว ทุกคนไม่ต้องส่งการบ้านหรอกหรือ!

เมิ่งกวงหย่วนกำลังนึกไปว่าที่ฉืออิ๋งพูดเรื่องส่งการบ้านนั้นเป็นเพียงการเปิดหัวข้อสนทนา กระทั่งฉืออิ๋งเปิดกระเป๋าเจาเหวินที่อยู่ข้างตัว แล้วหยิบสมุดเล่มหนึ่งขึ้นมาจริงๆ ความหวังสุดท้ายของเมิ่งกวงหย่วนพลันดับสูญไปทั้งอย่างนี้

ฉืออิ๋งส่งการบ้านอย่างเป็นจริงเป็นจัง นางยื่นส่งไปถึงเบื้องหน้าไป๋สิงเจี่ยน หยุดลงตรงข้างไม้เท้าของเขาพอดี นางสงสัยว่าตนเองใช่ถูกไม้เท้าของไป๋สิงเจี่ยนตีจนตื่นขึ้นมาหรือไม่ แต่นางไม่มีหลักฐาน จึงไม่อาจกล่าวหาเขาได้ นางหรี่ตามองไปที่ไม้เท้าอันนั้น แล้วนึกสงสัยขึ้นมา หากนางเอาไม้เท้านี้โยนทิ้งไป อยากรู้นักว่าเขาจะยังวางอำนาจได้หรือไม่!

มือที่จับไม้เท้ามีข้อนิ้วที่เกือบเท่ากัน มือที่จับหนังสือ จับพู่กัน และเขียนบันทึกได้น่าตื่นตระหนกยิ่งนี้ ในสายตาฉืออิ๋งแล้วก็เป็นเพียงมือของคนธรรมดาที่รวมมาจากเลือดเนื้อ ดูนิ้วเรียวกว่าคนทั่วไปและขาวซีดกว่า มือที่เขียนคำวิจารณ์อันร้ายกาจในการบ้านของนาง จะมีส่วนใดที่โดดเด่นกว่าผู้อื่นเล่า เหตุใดคนในเมืองหลวงจึงต้องพรั่นพรึงด้วย

ยาที่ไป๋สิงเจี่ยนกินเข้าไปยังออกฤทธิ์อยู่บ้าง สติของเขาจึงไม่ค่อยแจ่มใสนัก เมื่อได้นั่งลงบนเก้าอี้แล้วก็ไม่นึกอยากเคลื่อนไหวอีก การบ้านที่มีคนเขียนแทนเช่นนี้จำเป็นต้องตั้งใจมาส่งถึงที่บ้านคนอื่นด้วยรึ ข้าไม่มีอารมณ์จะไปอ่านและวิจารณ์การบ้านนี้หรอก

“ทรงส่งไว้ที่สำนักศึกษาเจาเหวินก็พอพ่ะย่ะค่ะ” แม้น้ำเสียงที่เขาพูดจะแผ่วเบาดูอ่อนแรงเพียงใด เขาก็ยังปฏิเสธที่จะรับสมุดการบ้านของฉืออิ๋งไว้ด้วยความมุ่งมั่นยิ่ง

ฉืออิ๋งไม่ยอมแพ้ง่ายๆ นางยังคงยื่นสมุดการบ้านของตนเองไปตรงหน้าเขา “ไม่รู้ว่าอีกกี่วันอาจารย์ถึงจะไปสำนักศึกษาเจาเหวิน ศิษย์อยากได้คำวิจารณ์ของอาจารย์เร็วหน่อย”

ส่งมาให้ถึงใบหน้าแล้ว ไป๋สิงเจี่ยนก็ยังไม่รับ “ทรงวางไว้ที่โต๊ะในบ้านก็ได้”

ฉืออิ๋งหาใช่คนที่จะกำราบได้โดยง่าย เมื่อเห็นว่าไป๋สิงเจี่ยนจงใจไม่รับไว้ นางจึงกอดการบ้านไว้กับตัว พลางเดินเข้าไปใกล้ไป๋สิงเจี่ยนขึ้นอีก “อาจารย์ ท่านลาป่วยสักกี่วัน”

“สี่ห้าวันพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋สิงเจี่ยนขมวดคิ้ว เอนร่างไปทางด้านหลัง

“นานเกินไป” ฉืออิ๋งได้คืบจะเอาศอก มือข้างหนึ่งวางลงบนที่เท้าแขนของเขา “ไม่ได้พบอาจารย์ตั้งหลายวันแล้ว…” เพียงก้าวขึ้นมาอีกหนึ่งก้าว เท้าของฉืออิ๋งก็เหยียบหูหลัวปัวที่เหลือครึ่งหัวที่ข้างเก้าอี้เข้า เท้านางพลันไถลไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ศีรษะคะมำลง ร่างล้มไปบนร่างของไป๋สิงเจี่ยนบนเก้าอี้

เมิ่งกวงหย่วนดวงตาแทบถลน

ฉืออิ๋งโผไปอยู่บนร่างของไป๋สิงเจี่ยนเต็มๆ ขาแนบไปที่ขาของเขา ศีรษะพุ่งชนกับหน้าอกของเขา นางสูดกลิ่นยาเข้าไปเต็มจมูก เกือบจะถูกกลิ่นยานี้รมจนเวียนศีรษะ นางคิดว่าร่างกายของบุรุษหนุ่มสักคน ต่อให้ไม่มีกลิ่นหอมหวานของดอกแพรเหมือนกับบิดา แต่อย่างน้อยก็ควรจะมีกลิ่นหอมบ้างสิ ทว่าไป๋สิงเจี่ยนผู้นี้ได้ลบภาพฝันของนางไปแล้ว ที่แท้ยังมีบุรุษที่มีแต่กลิ่นยาเต็มตัวอยู่ด้วย เทียบกับกลิ่นยาจากพวกหมอหลวงแล้ว กลิ่นยาจากตัวเขากลับเข้มข้นกว่ามาก ช่างระคายเคืองจมูกเสียจริง

ฉืออิ๋งไม่รู้ว่านางก็ทำให้ไป๋สิงเจี่ยนเวียนศีรษะไม่น้อยเช่นกัน กลิ่นหอมบนอาภรณ์ที่สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับคนในราชวงศ์ กลิ่นหอมนี้จะโชยไปไกลก่อนถึงตัวในระยะสิบกว่าก้าว เมื่อกลิ่นไปติดตัวใครแล้วก็จะทำให้คนเกิดอาการหายใจติดขัด แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับไป๋สิงเจี่ยน เขาไม่เพียงหายใจได้ยากลำบาก บนร่างก็รู้สึกคันคะเยอขึ้นมา

ทั้งสองต่างถูกอีกฝ่ายทำให้รู้สึกเกือบขาดใจตายไป ต่างรีบแยกตัวออกจากกันโดยไม่รอช้า ฉืออิ๋งลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วกระโดดห่างออกไปหลายก้าว

ใบหน้าของไป๋สิงเจี่ยนแดงระเรื่อ รอจนลมพัดพากลิ่นหอมที่อยู่รอบตัวจางลงแล้ว เขาจึงค่อยสูดลมหายใจได้อย่างวางใจ ทว่ากลิ่นหอมที่ยังติดอยู่ที่เสื้อผ้าเหมือนจะยังไม่จางหาย ลมหายใจจึงเริ่มติดขัดขึ้นมาอีกครั้งทำให้เขายากจะทานทน

ไป๋สิงเจี่ยนถือไม้เท้าแล้วลุกจากที่นั่ง เขาก้าวข้ามกองหูหลัวปัวครึ่งชิ้นบนพื้น เดินอ้อมตัวฉืออิ๋งกลับเข้าห้องไป

ฉืออิ๋งลูบไปที่หน้าอก ครางเสียงออกมายาวๆ “กลิ่นยาทำข้าเกือบตายแล้ว”

เมิ่งกวงหย่วนตัวสั่นเทา “องค์หญิงไม่เป็นไรนะพ่ะย่ะค่ะ อาจารย์ทรงถูกท่านชนจนเจ็บตัวหรือเปล่า ดูเหมือนจะโกรธมากทีเดียว”

“คนขี้ใจน้อย!” ฉืออิ๋งยกแขนเสื้อขึ้นมาสูดดม “กลิ่นหอมของข้ายังต้านกลิ่นยานี้ไม่อยู่เลย น่าหงุดหงิดเสียจริง แล้วก็ไม่มีเสื้อผ้าให้ข้าเปลี่ยนด้วย!”

“เช่นนั้นเสด็จกลับกันดีหรือไม่” เมิ่งกวงหย่วนมีลางสังหรณ์ว่าหากยิ่งอยู่นานไป โอกาสที่ฉืออิ๋งจะก่อเรื่องก็จะยิ่งมีมากขึ้น ลึกๆ แล้วเขาก็รู้ว่าตนเองมิอาจร่วมแบกรับผลที่ฉืออิ๋งจะก่อได้

ฉืออิ๋งก้มตัวลงหยิบสมุดการบ้านที่หล่นลงพื้นขึ้นมา “เรื่องของข้ายังไม่เรียบร้อย เจ้าอยากกลับก็กลับไปเลย”

“องค์หญิงจะทรงทำอะไรหรือ”

“บอกไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ หากเจ้ายังไม่กลับก็ไปแจ้งบ่าวของอาจารย์ ให้เขาเตรียมอาหารเย็นให้ด้วย หากอาจารย์ไม่ยอมให้ข้ากินอาหารเย็นด้วย พวกเราก็พักค้างที่บ้านเขาเลย ทำให้เขาโกรธจนตาย”

ฉืออิ๋งกอดสมุดการบ้านพลางจามออกมาครั้งหนึ่ง นางสะบัดแขนเสื้อด้วยสีหน้ารังเกียจ คิดจะเอากลิ่นยาที่ติดตัวออกจากเสื้อผ้าไปให้หมด พูดงึมงำกับตนเองพลางเดินตามไป๋สิงเจี่ยนเข้าไปในบ้าน

เมิ่งกวงหย่วนลอบหลั่งน้ำตาในใจ องค์หญิงคงไม่ได้ทำเรื่องดีแน่

ฉืออิ๋งเดินเข้ามาในบ้าน นางเหลียวซ้ายแลขวาก็เห็นว่าภายในบ้านนี้จัดวางสิ่งของเอาไว้อย่างเรียบง่าย ของประดับสักชิ้นก็ไม่มี กระทั่งโต๊ะกับเก้าอี้ก็มีอยู่น้อย สมกับชื่อของเขา ‘สิงเจี่ยน’ เดินผ่านโถงหน้ามาแล้วก็เป็นห้องด้านในซึ่งมีบานประตูกั้นอยู่ ไป๋สิงเจี่ยนคงโมโหอยู่ข้างในห้องนั้นเป็นแน่ เพียงฉืออิ๋งนึกถึงยามที่เขาไม่สบายใจ นางก็เบิกบานใจขึ้นมาทันที

ฉืออิ๋งลองยกมือแตะประตู ก่อนจะผลักออกเป็นช่องเล็กๆ อย่างเงียบเชียบ มุดศีรษะเข้าไป พลางเพ่งมองไปข้างหน้า ภายในห้องมีแสงสลัว รอจนตาปรับภาพได้ชัดแล้ว นางก็นิ่งค้างไป

บุรุษผู้หนึ่งนั่งหันหลังให้ประตู ปลดเสื้อผ้าลงมาถึงเอว เปลือยให้เห็นช่วงเอว แผ่นหลัง และสองบ่า เผยให้เห็นรูปร่างที่สมส่วนกำยำ เมื่อมองให้ละเอียดถึงค่อยพบว่าทั้งแผ่นหลังมีผื่นแดงขึ้นเป็นแถบทีเดียว

เมื่อฉืออิ๋งสรุปในใจได้ว่าบุรุษที่เปลือยร่างท่อนบนผู้นี้หาใช่ใครอื่น แต่เป็นอาจารย์ของนางเอง ทั้งตัวก็ให้รู้สึกไม่สบายทันที สมุดการบ้านพลันหล่นตุบลงบนพื้น

ไป๋สิงเจี่ยนกำลังทายาให้ตนเองอยู่ เมื่อเขาได้ยินความเคลื่อนไหวจากทางด้านหลัง เขาก็หันกลับมาดู เห็นฉืออิ๋งกำลังเบิกตามองร่างที่เปลือยท่อนบนของเขาอยู่ ฉับพลันเขาก็รู้สึกหายใจไม่ออก รีบดึงเสื้อขึ้นมาสวม

ฉืออิ๋งรู้ว่าการบุกรุกห้องของผู้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ยิ่งในเวลาที่คนอื่นสวมใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยเช่นนี้ นางจึงดึงประตูปิดเงียบๆ ทว่าเรื่องนี้ไม่สามารถโทษนางได้ทั้งหมด นางจึงผลักประตูออกอีกครั้ง พร้อมพูดกับคนในห้อง “อาจารย์ เวลาที่ท่านถอดเสื้อก็ควรปิดประตูให้ดีสิ”

ไป๋สิงเจี่ยนที่เพิ่งปลดเสื้อลงอีกครั้งรีบดึงเสื้อขึ้นทันที

ฉืออิ๋งไม่ระวังก็เห็นร่างที่เปลือยท่อนบนของอาจารย์อีกหน นางรีบปิดประตูลงอีกครั้ง คิดดูแล้วก็ผลักประตูออกอีก “อาจารย์ ให้ข้าทายาที่หลังของท่านดีหรือไม่”

“ออกไป!” ไป๋สิงเจี่ยนทนไม่ไหวจำต้องดึงเสื้อขึ้นโดยไม่กล้าปลดเสื้อลงอีก

ช่างเป็นคนที่แย่จริงๆ ฉืออิ๋งปิดประตูลงพลางนึกตำหนิเขาในใจ

ฉืออิ๋งหันหลังเดินออกมา เมื่อพ้นโถงหน้าแล้วนางก็ผ่อนลมหายใจออก นั่งลงบนเก้าอี้ เจ้าอาลักษณ์ที่ยากจะคาดเดาผู้นี้ แท้จริงควรจะจัดการเขาอย่างไรดี ที่นางมาวันนี้ก็ด้วยเรื่องของน้องชาย เนื่องจากรู้ดีว่าบิดาต้องไม่ยอมโต้วเปาเอ๋อร์ง่ายๆ แน่นอน แต่หากไป๋สิงเจี่ยนช่วยพูดแทนให้ เฟิ่งจวินอาจยอมให้โต้วเปาเอ๋อร์เพราะเห็นแก่หน้าเขา ฉืออิ๋งคิดไม่ออกว่านอกจากไป๋สิงเจี่ยนแล้วจะมีใครช่วยเรื่องของโต้วเปาเอ๋อร์ได้อีก

จะพูดให้เขาไป๋สิงเจี่ยนที่แสนเจ้าเล่ห์ยอมช่วยเหลือ นอกจากฉืออิ๋งแกล้งโง่แล้วก็ไม่มีวิธีอื่นอีก แต่นี่แม้แต่จะช่วยเขาทายาก็ถูกปฏิเสธมาแล้ว นางจึงนึกไม่ออกว่าต้องทำเช่นไรดี

ไป๋สิงเจี่ยนทายาเสร็จแล้วก็ยังไม่หายโกรธ เพื่อจะได้เห็นบ้านที่สงบสุข เขาจำเป็นต้องรีบเร่งส่งตัวฉืออิ๋งกลับไปโดยเร็ว เนื่องจากรัชทายาทผู้นี้ไร้กฎระเบียบ ไม่รู้มารยาทยิ่ง อาจสร้างปัญหาอะไรให้เขาอีก

เมื่อไป๋สิงเจี่ยนเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้วก็เดินออกมาที่ห้องโถง ไฟโกรธยังกรุ่นอยู่เมื่อมองเห็นดวงตาแวววับของฉืออิ๋ง นี่นางยังมีแผนอะไรอีก เขาเกิดระแวดระวังขึ้นทันที

“บ้านหลังนี้ไม่อาจรับรององค์หญิงได้อย่างเต็มที่ เชิญองค์หญิงเสด็จกลับวังไปเถิด” ไป๋สิงเจี่ยนหยุดยืนที่ประตู

เสื้อผ้าที่เปลี่ยนใหม่นี้ของไป๋สิงเจี่ยนไม่มีกลิ่นที่ทำให้คนเวียนศีรษะอีก ฉืออิ๋งจึงหายใจได้คล่องขึ้น

ฉืออิ๋งใช้ดวงตาที่วาวน้ำมองไปที่ไป๋สิงเจี่ยน รูปร่างของเขาตระหง่านประดุจขุนเขาหยก ดูมั่นคงน่าเชื่อถือ ซึ่งไม่เข้ากับใบหน้าเยือกเย็นนี้ นางสะอื้นในลำคอ “ในลานบ้านของบ้านอาจารย์มีต้นอิงเถา”

“แล้วอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋สิงเจี่ยนเริ่มสงสัย เขาเพิ่มการระวังตัวมากขึ้น

“เอามาทำแป้งม้วนไส้อิงเถาได้นะอาจารย์” ฉืออิ๋งร้องไห้โฮพลางร้องกินอย่างตะกละ

ตันชิงมือคล้องตะกร้าไม้ไผ่ ยืนอยู่ใต้ต้นอิงเถา รอจนไป๋สิงเจี่ยนถลกชุดแล้วปีนขึ้นต้นอิงเถาแล้ว จึงค่อยส่งตะกร้าให้เขา

“ไท่สื่อ ท่านไม่ให้ข้าเป็นคนเด็ดจริงหรือขอรับ ข้ารับรองเลยว่าจะไม่ทำให้กิ่งหักและใบร่วง” ตันชิงมองดูไป๋สิงเจี่ยนบนต้นไม้ ฝ่ามือของผู้เป็นนายมีเหงื่อซึมออกมา ขนาดบนพื้นราบยังเคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวก นี่เขายังดื้อรั้นที่จะปีนต้นอิงเถาเองอีก

หลังของไป๋สิงเจี่ยนพิงกับลำต้นแล้วผ่อนลมหายใจออก พักครู่หนึ่งเพื่อลดการใช้แรงของขา ก่อนจะเอาตะกร้าแขวนไว้บนกิ่งกิ่งหนึ่ง หยิบกรรไกรในนั้นขึ้นมา มองหาและตัดลูกอิงเถาที่สุกเต็มที่แล้ว เขาเด็ดได้ช้าแต่มั่นคงยิ่ง ลูกอิงเถาทุกลูกล้วนสวยงามไม่มีช้ำ ทั้งไม่ได้ทำให้กิ่งหรือใบเสียหาย เด็ดไปแถบหนึ่งก็ย้ายไปอีกแถบ เขาจึงต้องเคลื่อนไหวร่างกาย หาจุดที่สามารถยืนและพิงหลังได้ เห็นได้ชัดว่าการเก็บลูกอิงเถาของเขายากลำบากกว่าคนทั่วไป เหงื่อที่ไรผมหยดลงบนเสื้อ ทำให้ยาที่ทาไว้ทั่วแผ่นหลังเปียกชุ่มไปหมด

ฉืออิ๋งยืนกลืนน้ำลายอยู่ใต้ต้นอิงเถา ที่จริงนางคิดจะปีนต้นไม้เอง อยากจะนั่งบนกิ่ง เด็ดไปกินไป แต่ไป๋สิงเจี่ยนไม่อนุญาต ฉืออิ๋งบอกให้เมิ่งกวงหย่วนไปเตรียมตะกร้าไม้ไผ่ไว้หลายๆ ใบ คล้ายว่าจะเก็บลูกอิงเถาที่บ้านอาจารย์ให้หมดต้นทีเดียว

เมิ่งกวงหย่วนนึกไม่ถึงว่าจะได้กินอิงเถาของบ้านอาจารย์ ยิ่งกว่านั้นคืออาจารย์เป็นผู้ปีนต้นไม้เอง โดยไม่ยอมให้คนข้างๆ เขาเป็นคนปีน

ฉืออิ๋งแหงนหน้าขึ้นมอง คอยสังเกตว่าตะกร้าไม้ไผ่เต็มแล้วหรือยัง สุดท้ายรอจนไป๋สิงเจี่ยนหยิบตะกร้าส่งให้ตันชิง แสงอาทิตย์ยามอัสดงก็เรืองรองระยิบระยับ ส่องลอดผ่านกิ่งใบของต้นอิงเถามาที่บนใบหน้าของเขา เห็นกระทั่งเม็ดเหงื่อที่ปลายจมูก

ตันชิงรับตะกร้าที่มีลูกอิงเถาจนเต็มมาถือไว้ แล้วส่งตะกร้าเปล่าใบใหม่ไปให้ ตะกร้าอิงเถาที่วางบนพื้นทำให้ฉืออิ๋งน้ำลายสอ นางย่อตัวลงที่ข้างตะกร้า เตรียมจะเลือกหาลูกที่ดีมากิน ทว่าจนแล้วจนรอดก็เลือกไม่ได้เสียที เพราะทุกลูกไป๋สิงเจี่ยนล้วนเลือกมาอย่างดี สีแดงเข้มงดงาม สุกทั่วทั้งลูก

นี่ช่วยลดความยุ่งยากในการเลือกแล้ว ฉืออิ๋งหยิบลูกอิงเถาขึ้นมากำมือหนึ่ง ค่อยๆ ยัดใส่ปากไปทีละลูก

“องค์หญิง นี่ยังไม่ได้ล้าง…” เมิ่งกวงหย่วนไม่กล้าห้ามตรงๆ ทำได้เพียงเอ่ยเตือนสติ

ไป๋สิงเจี่ยนอยู่ท่ามกลางกิ่งใบที่มีลูกอิงเถาเต็มไปหมด มองเห็นฉืออิ๋งที่ย่อตัวข้างตะกร้าหยิบลูกอิงเถาเข้าปากทีละลูก เคี้ยวสองสามทีก็พ่นเมล็ดออกมาเมล็ดหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าตะกร้านี้จะเหลือไว้ทำแป้งม้วนไส้อิงเถาได้หรือไม่

เมื่อเด็ดได้เต็มตะกร้า ไป๋สิงเจี่ยนก็ไต่ลงมาบนพื้น เวลานี้ฉืออิ๋งกินจนท้องจวนจะระเบิดแล้ว นางนั่งลงกับพื้นพลางเอนไปทางตะกร้าที่เหลืออิงเถาไม่ถึงครึ่งตะกร้า ชุดสีขาวมีน้ำจากลูกอิงเถาหยดไปทั่วราวกับเป็นลายของดอกอิงเถา ไป๋สิงเจี่ยนเหยียบไปถูกเมล็ดอิงเถาบนพื้นเข้า เขารู้สึกเสียดายยิ่งนัก เขาใช้ไม้เท้าเคาะไปที่ขาฉืออิ๋ง “องค์หญิงยังจะเสวยแป้งม้วนไส้อิงเถาอีกหรือไม่”

“รอข้าย่อยมันก่อน ค่อยกินใหม่” ฉืออิ๋งตบๆ ไปที่ท้องแล้วเรอ คายเมล็ดอิงเถาที่เผลอกลืนลงคอไปออกมา

ตันชิงมองซากอิงเถาแล้วปวดใจมาก แต่ในเมื่อผู้เป็นนายไม่ถือสา เขาก็ไม่ควรพูดอะไร ได้แต่คล้องตะกร้าที่มีอิงเถาอยู่เต็มเดินเข้าห้องครัวไปทำแป้งม้วนไส้อิงเถาของฉืออิ๋ง

เมิ่งกวงหย่วนประคองฉืออิ๋งลุกขึ้น คล้ายว่าเพียงเคลื่อนตัวนาง นางก็จะอาเจียนออกมาอย่างไรอย่างนั้น

ฉืออิ๋งฝืนกลั้นไม่ให้ตนเองอาเจียนออกมาอย่างเต็มที่ มิฉะนั้นนางเป็นได้ถูกไป๋สิงเจี่ยนใช้ไม้เท้าตีตายประเดี๋ยวนั้นแน่

เพื่อให้ฉืออิ๋งได้นำแป้งม้วนไส้อิงเถาที่เป็นความปรารถนาอย่างหนึ่งออกเดินทางไป…ไม่ถูกสิ…กลับวัง ตันชิงจึงเร่งความเร็วสูงสุดในการนวดแป้งย่างแป้งม้วน งานต้องให้เสร็จก่อนเวลาที่ประตูวังจะปิด ไป๋สิงเจี่ยนเด็ดลูกอิงเถามามากพอที่จะทำแป้งม้วนไส้อิงเถาได้หนึ่งกระจาด แม้แต่อิงเถาลูกเดียวตันชิงก็ไม่กล้ากิน เขานำมาใช้ทำขนมจนหมด

ฉืออิ๋งเดินเล่นเพื่อย่อยอิงเถาในท้องไปพลางรอแป้งม้วนไส้อิงเถาไปพลาง ชั่วขณะนั้นนางก็เห็นไก่ตัวใหญ่เนื้อแน่นที่ดูเปี่ยมไปด้วยเลือดนักสู้ยืนอยู่บนกำแพง

ในเมื่อมันส่งตัวมาถึงประตูบ้านทั้งที เช่นนั้นก็เพิ่มรายการอาหารเสียเลยสิ ช่วยเพิ่มเนื้อสัตว์ให้กับจานผักของอาจารย์ด้วย อาจารย์จะได้มีเนื้อกินเขากับเสียที

“เสี่ยวเมิ่ง เจ้าไปจับไก่เนื้อตัวนั้นมา”

แน่นอนในเวลานั้นพวกเขาย่อมไม่รู้ว่าไก่ตัวนี้มีที่มาที่ไม่ธรรมดา และยิ่งไม่ใช่ ‘ไก่เนื้อ’ อย่างที่เข้าใจด้วย

 

แป้งม้วนไส้อิงเถากับไก่นึ่งอิงเถาถูกยกขึ้นบนโต๊ะ

ไป๋สิงเจี่ยนที่เพิ่งออกมาจากห้องนอนก็พบกับความประหลาดใจ “อาหารพวกนี้มาจากที่ใดกัน”

ฉืออิ๋งพูดเอาหน้า “ข้าจับไก่มาเพิ่มในรายการอาหาร!”

“ทรงจับมาจากที่ใดกัน” ไป๋สิงเจี่ยนยิ่งรู้สึกสงสัย

“บนกำแพง นับว่าเป็นลาภปากที่ส่งมาถึงที่เชียวนะ” ฉืออิ๋งกัดแป้งม้วนไส้อิงเถาคำหนึ่ง “ตันชิงทำได้อร่อยมาก!”

ดูไปแล้วคงเป็นไก่ของบ้านใครสักคนที่บินมาหยุดบนกำแพง แต่ดันมาผิดที่ เผลอไปตกอยู่ในสายตาของฉืออิ๋งเข้าจนมีจุดจบที่น่าสงสาร เจ้าหนูน้อยที่ไร้กฎระเบียบ ไม่มีสักวันที่จะไม่ก่อเรื่องเลย

เมิ่งกวงหย่วนที่ช่วยฉืออิ๋งจับไก่ตัวนี้ไม่ได้รู้สึกสงบใจเหมือนกับฉืออิ๋ง เขานั่งตัวลีบ รอไป๋สิงเจี่ยนนั่งลงแล้วจึงค่อยกล้าหยิบตะเกียบขึ้นมา ตันชิงที่ช่วยฉืออิ๋งนึ่งไก่ก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก อย่างไรเสียหากไม่มีเขาทำในขั้นตอนสุดท้าย เจ้าไก่โชคร้ายตัวนี้ก็คงไม่กลายเป็นอาหารบนโต๊ะเช่นนี้ นี่ล้วนเป็นเพราะองค์หญิงพูดจาล่อหลอก คล้ายว่าหากเขาไม่ฆ่าไก่ตัวนี้ก็จะต้องผิดต่อนางอย่างมาก เขาถูกคะยั้นคะยอว่านี่จะเป็นการเพิ่มอาหารให้อาจารย์ แต่ที่แท้เป็นการเพิ่มลาภปากให้กับตัวนางเองต่างหากเล่า

มาถึงขั้นนี้แล้ว ไป๋สิงเจี่ยนจึงไม่คิดเปลืองเรี่ยวแรงไปสั่งสอนอีก

ฉืออิ๋งนั่งข้างๆ ที่นั่งประจำของไป๋สิงเจี่ยน มือยกแป้งม้วนกินอย่างลืมตัว

ไป๋สิงเจี่ยนกินแต่ส่วนที่เป็นผักของตน ซึ่งมีหูหลัวปัวที่ถูกฉืออิ๋งทำลายจนเหลือเพียงไม่กี่หัว กับผักกาดขาวที่เหลือรอดมาเพราะกินสดๆ ไม่ได้

ขณะที่ไป๋สิงเจี่ยนก้มหน้ากินอย่างช้าๆ จู่ๆ ก็มีน่องไก่อันหนึ่งวางลงในชามของเขา เขาเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก

ฉืออิ๋งถือตะเกียบด้วยความภาคภูมิใจ “อาจารย์ชิมไก่ที่ข้าจับมาสิ!”

จับไก่มาได้ก็กลายเป็นผลงานของนาง

ตันชิงรีบก้มหน้ากินข้าวในชามตนเอง เมิ่งกวงหย่วนก็เอาแป้งม้วนบังหน้าเอาไว้

ตะเกียบของไป๋สิงเจี่ยนไม่แม้แต่จะแตะน่องไก่ “ข้าไม่กินเนื้อสัตว์”

“หา?” ฉืออิ๋งนิ่งอึ้งไป เพราะมีมารดาเป็นยอดนักกิน นางย่อมไม่รู้ว่าจะมีคนทั่วไปที่ไม่กินเนื้อสัตว์อยู่ด้วย ที่รู้มาก็น่าจะมีแค่ผู้ออกบวช “อาจารย์ ท่านจะเลือกกินไม่ได้ กินเนื้อสัตว์แล้วร่างกายถึงจะแข็งแรง แม้ว่าตอนท่านถอดเสื้อรูปร่างจะดูดี แต่ไม่ใช่ว่าท่านจะดูแลรูปร่างโดยที่ไม่กินเนื้อสัตว์”

หาเหตุผลที่บิดาสอนว่าไม่ให้เลือกกินขึ้นมา ทว่าในคำพูดกลับผสมปนเปยกเรื่องแปลกๆ เข้าไปด้วย

ตันชิงเอ่ยในใจว่า…ไม่นะ!…นี่ข้าได้ยินอะไรไป! พลางก้มหน้าพุ้ยข้าวอย่างไม่คิดชีวิต

คุณชายเมิ่งก็ตกตะลึง เพิ่งมาบ้านอาจารย์ได้พักเดียว เกิดเรื่องที่ในนิยายก็ไม่สามารถมาบรรยายได้!

วาจาที่หลุดออกมาโดยไม่คิดของฉืออิ๋งพาให้คนฟังตะลึงงัน ตะเกียบในมือไป๋สิงเจี่ยนค้างไปชั่วครู่ ให้แล้วกันไปเถอะ กับมารร้ายถล่มปฐพีจะถือเป็นจริงจังได้อย่างไร แล้วกินหูหลัวปัวต่อไป

การที่ไป๋สิงเจี่ยนเพียงกินผักอย่างเงียบๆ โดยไม่ปฏิเสธ คล้ายเป็นการยอมรับประโยคเมื่อครู่นี้ของฉืออิ๋งอยู่ในที ตันชิงพลันรู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาด เมิ่งกวงหย่วนได้ยินเสียงหัวใจตนเองแหลกสลาย เหตุใดตนเองถึงได้คร่ำครึ ไม่ชิงเปิดเผยรูปร่างต่อหน้าฉืออิ๋งก่อน!

ฉืออิ๋งพูดออกมาเสียมากมายกลับไม่มีการตอบรับใดๆ นางยังคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ “ที่เอวของอาจารย์ก็ไม่มีส่วนเกินเสียหน่อย จะกลัวอะไรกัน เหตุใดท่านถึงไม่กินเนื้อสัตว์เล่า”

ตันชิงและเมิ่งกวงหย่วนตาโต

ขมับไป๋สิงเจี่ยนกระตุกตุบๆ เขาใช้ตะเกียบคีบน่องไก่แล้วเอาเข้าปากกัดไปคำหนึ่ง กินยาก…แต่เขาก็ฝืนกลืนลงคอไป

ในที่สุดฉืออิ๋งก็พอใจได้เสียที นางใช้ตะเกียบคีบน่องไก่เข้าปากแล้วกัดไปหนึ่งคำ ในฉับพลัน “แหวะ เคี้ยวยากชะมัด ตันชิงเจ้าทำอะไรมา!”

ตันชิงใบหน้าแดงก่ำ “กระหม่อมก็ทำเหมือนที่เคยทำยามปกติ คงเป็นที่ตัวไก่ที่เนื้อไม่ดีเองพ่ะย่ะค่ะ”

ฉืออิ๋งไม่เชื่อ “เจ้าหาข้อแก้ตัวเก่งนักนะ มิน่าอาจารย์ถึงได้ไม่กินเนื้อสัตว์ ที่แท้ก็เป็นเพราะเจ้าทำอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ไม่อร่อย” นางหันหน้ากลับไปก็เห็นอาจารย์ผู้ไม่กินเนื้อสัตว์ถึงกับงับน่องไก่จนเกือบหมด นางแตกตื่นในทันที “อาจารย์! ของที่กินยากท่านยังกินเข้าไปได้ ที่แท้ท่านก็กินไม่เลือกนี่!”

เนื้อไก่ที่ไป๋สิงเจี่ยนกินเข้าไปพลันติดคอ เพื่อดูแลร่างกายแล้ว…เขาจะเลือกกินไม่ได้ แม้แต่เนื้อสัตว์ที่เคี้ยวยากยิ่งเขาก็ยังกินเข้าไป…กลายเป็นเขากินไม่เลือก? ไม่ว่าเรื่องใดที่พูดออกจากปากนางล้วนแต่กลับไปกลับมาได้เสมอ ไป๋สิงเจี่ยนโกรธจนเนื้อไก่ที่กินเข้าไปติดคอ ทั้งที่มันเคี้ยวยากเพียงนี้ เหตุใดข้ายังต้องกินมันด้วยเล่า

ฉืออิ๋งไม่รู้ว่าตนเองเผลอทำให้เนื้อไก่ไปติดคอไป๋สิงเจี่ยนเข้าแล้ว หลังจากนางติเนื้อไก่ว่าไม่อร่อยแล้ว คำเดียวก็ไม่ยอมกินอีก เพียงกินแต่แป้งม้วนไส้อิงเถา ทั้งยังเลือกกัดเฉพาะส่วนที่มีอิงเถาเท่านั้น

ไป๋สิงเจี่ยนเห็นวิธีการกินของฉืออิ๋งแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ คนเลือกกินเช่นนี้ยังมีหน้าไปสั่งสอนคนอื่นไม่ให้เลือกกินได้หน้าตาเฉยอีกหรือ เหตุใดเขาต้องมาถูกบังคับให้กินด้วย

อาหารมื้อนี้กินอย่างไม่ราบรื่นนัก ยังไม่ทันจะกินเสร็จ นอกบ้านก็มีเสียงกลองดังขึ้นอย่างกระชั้นเพื่อปิดประตูเขตฟาง

ฉืออิ๋งเงยใบหน้าที่มีเศษอิงเถาติดข้างแก้มขึ้นมองด้วยความสงสัยอย่างมาก “เสียงอะไรกัน”

ตันชิงวางตะเกียบลงแล้วลุกขึ้น “กระหม่อมไปดูเอง”

ไม่ถูกต้อง ไป๋สิงเจี่ยนนึกในใจ ประตูเขตฟางปิดก่อนเวลาเช่นนี้ ฉืออิ๋งก็จะกลับไปไม่ได้ การหายตัวไปของรัชทายาทต้องก่อให้เกิดความวุ่นวายภายในวังแน่นอน กับไป๋สิงเจี่ยนแล้วเดิมทีไม่ถือเป็นปัญหาอะไร แต่ครั้งนี้จะเป็นปัญหากับเขาเพราะมีฉืออิ๋งมาค้างคืนด้วย แค่มาเยี่ยมนางก็เด็ดอิงเถาไปแล้วครึ่งต้นและขุดหูหลัวปัวไปแล้วครึ่งแปลง แค่ชั่วระยะเวลาไม่นานก็ทำให้บ้านเขาวุ่นวายไปหมด หากค้างคืนล่ะก็…

ตันชิงกลับมาพร้อมกับข่าวร้าย “ประตูเขตฟางปิดแล้ว แจ้งว่ามีสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของผู้สูงศักดิ์หายไป ต้องออกค้นหาทุกบ้าน”

เมิ่งกวงหย่วนเอ่ยถาม “ผู้สูงศักดิ์คนใดกัน สัตว์เลี้ยงตัวโปรดคือตัวอะไร เหตุใดต้องจริงจังถึงเพียงนี้ด้วย”

ตันชิงเอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินว่าผู้สูงศักดิ์ที่ว่าเป็นที่เคารพยิ่ง ส่วนสัตว์เลี้ยงตัวโปรด…”

ตันชิงหันหน้ามองไปบนโต๊ะ ทุกคนพลันหันมองตาม สายตาทั้งหมดรวมอยู่ที่เดียวกัน…อาหารที่ถูกหมางเมิน

ตันชิงเอ่ยถึงความเป็นจริงที่ทุกคนสงสัย “วันนี้มีการแข่งชนไก่ครั้งสำคัญ มีเจ้าไก่ชนตัวหนึ่งชื่อ ‘อูอวิ๋นไก้เสวี่ย (เมฆดำบังหิมะ)’ หนีหายไปจากสนามแข่ง แล้วก็ไม่เห็นมันกลับมาอีก อีกทั้งยังไม่เห็นร่องรอย…”

ฉืออิ๋งมองไปยังอาหารที่ถูกหมางเมิน พลันโพล่งขึ้นมา “มิน่าเล่า ถึงได้กินยากกินเย็นถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็มิใช่ไก่เนื้อนี่เอง ช่างน่าเสียดายนัก ไก่ดีๆ ตัวหนึ่ง เหตุใดถึงกลายเป็นเจ้าไก่ชนไปเสียได้”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: